ข้อที่ 2
หมีอัลเทอร์เนทีฟ (100%)
“ชอบกินแซลม่อนจริงๆ ด้วยว่ะ” เราเงยหน้าสบตาเจดที่เอาแต่มองเราคีบแซลม่อนซาชิมิเข้าปากไปตั้งครึ่งจาน เรารู้สึกผิดเลยคีบไปวางในจานเล็กๆ ของเจดบ้าง
“บอกแล้วว่าไม่ได้ชอบ” เจดหัวเราะ คีบกลับมาให้แต่ไม่ยอมวางลงจาน “อ้า...”
หมี... เราไม่ใช่เด็กอนุบาล
แต่เราไม่หยิ่งหรอก อ้าปากงับแซลม่อนชิ้นโตจากตะเกียบเจดเข้าปาก เจดหัวเราะเบาๆ แล้วมองเรากินต่ออย่างไม่มีอะไรทำ ข้าวหน้าเนื้อของเจดหมดแล้ว หมีตัวโตกินน้อยหรือเรากินช้าก็ไม่แน่ใจ แซลม่อนกับซูชิที่สั่งถึงไม่พร่องไปสักที
“พรุ่งนี้สอบเสร็จกี่โมง” เหตุผลที่วันนี้นัดเพื่อนติวหนังสือให้ก็เพราะพรุ่งนี้มีสอบย่อยวิชาที่เราไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่
เราไม่ได้โง่นะ อาจารย์สอนไม่เข้าใจ
“บ่ายๆ” เราตอบพลางคีบแซลม่อนชิ้นใหม่เข้าปาก
แซลม่อนที่นี่ชิ้นใหญ่มาก พอเคี้ยวแก้มก็ป่องออกมาจนดูตลกมั้ง เจดเอื้อมมือมาจิ้มๆ แก้มเราขำๆ
“งั้นตอนเย็นจองตัวนะ”
เราส่งสายตาถามว่าไปไหน เพราะของกินเต็มปาก พูดไม่ได้
“เดี๋ยวไปก็รู้”
โธ่ ไม่อยากลุ้น
“ไม่ผิดหวังหรอก เชื่อดิ” เหมือนรู้ว่าเราคิดอะไรถึงได้พูดดักไว้พร้อมคีบแซลม่อนป้อนเบี่ยงเบนความสนใจ
“เอาอันนั้น” เราเลยยอมปล่อยผ่าน กินให้อิ่มก่อนแล้วกันค่อยคิดว่าเจดจะพาไปไหน
☉ ------------------------------------------------------------ ☉
หลังกินข้าวเสร็จเจดพาเราไปเดินเล่นต่ออีกนิดหน่อยก่อนพามาส่งที่หอตอนเกือบสามทุ่ม เพราะอ่านหนังสือจบบทที่จะสอบแล้วเราเลยไม่ค่อยกังวล คิดว่าอ่านทบทวนอีกนิดหน่อยก็จะนอน จะได้ไปสอบอย่างสดใส
จริงๆ อยากเดินเล่นจับเจดต่อนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรก็ได้ เจดเองก็มีงานที่ยังทำค้างไว้
“ไม่ขึ้นไปนะ พี่เพื่อนบอกไม่ให้ชิงสุกก่อนห่าม” เจดพูดขำๆ ส่วนเราเบิกตากว้าง
เพื่อน? เอ๊ะ เพื่อน... นี่เพื่อนคิดว่าเราจะปล้ำเจดเหรอ
เราเป็นสุภาพบุรุษพอเหอะ
สงสัยเราเผลอขมวดคิ้วอีก เจดเลยยื่นนิ้วมาจิ้มๆ หว่างคิ้วแล้วพูดยิ้มๆ “พรุ่งนี้เย็นมารับนะ”
“อือ” เราพยักหน้าตอบสั้นๆ แต่พอเจดหันหลังก็ดันหลุดปาก “เจด”
“หือ?”
“...”
เงอะ... เมื่อกี้เราจะพูดอะไรอ่ะ
“ขมวดคิ้วแปลว่าคิดมาก” อยู่ๆ เจดก็พูดอะไรแปลกๆ คนตัวโตเดินกลับมายืนตรงหน้าเรา มือสองข้างล้วงกระเป๋าแล้วโน้มตัวลงมาจ้องตากันจังๆ
“คิดอะไร ไหนพูดออกมาซิครับ” อย่าครับดิครับ ใจสั่น
อย่ายิ้มน่ารักๆ ด้วย...
พอเจ้าหมีมายิงฟันขาวใส่ในหัวเราเหมือนมีตัวหนังสือวิ่งวุ่นวายไปหมดจนจับต้นชนปลายไม่ได้ แต่ถ้าไม่พูดเจดก็คงจะจ้องอยู่อย่างนี้ยืนเหมือนมีเวลาทั้งชีวิตรอฟัง
เราก้าวถอยหลัง กระแอมเบาๆ
“เรา...” กล้าๆ หน่อยเจได “โทรหา...ได้ไหม”
“หือ?” เจดเลิกคิ้ว ยืดตัวเต็มความสูง ประหลาดใจ
ปกติเราคุยไลน์กัน ไม่ทุกวันด้วย แล้วแต่เวลาว่าง
“เพื่อนบอกว่า คนจีบกันต้องโทรหากัน”
อย่าไปบอกเพื่อนนะว่าเราอ้าง
“อ่อ” เจดพยักหน้า ท่าทางเหมือนไม่เชื่อ อมยิ้มกรุ้มกริ่ม เราเลยยิ่งต้องหาข้ออ้างที่สมเหตุสมผล
“เจดเสียงเพราะ” ไม่ใช่ข้ออ้างซะทีเดียวหรอก เป็นความจริงต่างหาก “อยากได้ยินก่อนนอน”
พอพูดจบคนตัวโตก็เบิกตากว้าง เบือนหน้าหนีไปอีกทาง ยกมือขึ้นมาปิดหน้าแล้วหัวเราะกับฝ่ามือตัวเองเบาๆ ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะหันกลับมาทำหน้าแปลกๆ พลางขยี้หัวเรา
“น่ารักจังวะ”
“...!”
โห้ย อะไร อยู่ๆ มาชมกันโต้งๆ คนมันตั้งตัวไม่ทัน
ยังดีที่เราพูดในสิ่งที่ต้องการไปแล้ว ไม่อย่างนั้นคงค้างคาอยู่อย่างนี้จนเช้าเพราะเอาแต่เขิน
“งั้นถึงหอแล้วจะโทรหา”
แปลว่าเจดอนุญาต
“ไม่ต้องมายิ้ม” พอเรายิ้มก็โดนนิ้วโป้งกับนิ้วชี้โตๆ คีบปาก
ขมวดคิ้วก็บ่น ยิ้มก็ไม่ได้ หมีเอาใจยากมาก
แต่เราหุบยิ้มไม่ได้ก็เลยแอบอมยิ้มไว้ เจดมองหน้าเราแล้วเบือนหน้าหนีไปหัวเราะทางอื่นอีกรอบ ก่อนจะหันกลับมาถอนหายใจหนักๆ ล้วงอะไรสักอย่างออกมาจากกระเป๋า
จำได้ว่าเป็นซองกระดาษของร้านเครื่องเขียนที่เราแวะซื้อปากกา เจดแกะห่อแล้วหยิบสิ่งที่อยู่ในนั้นออกมา
“แบมือหน่อย” เราทำตามอย่างว่าง่าย เพราะมัวแต่สงสัยว่ามันคืออะไร
พอเจดดึงมือกลับไปเราก็สบตากับกระต่ายตัวเล็กๆ เท่าปลายนิ้วก้อย เราเงยหน้ามองเจดอย่างแปลกใจ ตอนอยู่ร้านเครื่องเขียนเจดเอาให้ดูแล้วบอกว่าเหมือนเรา เราไม่เข้าใจว่าเหมือนตรงไหน แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไรเพราะคิดว่ามันน่ารัก
ไม่คิดว่าเจดจะซื้อมา
“โคตรเหมือนเจเลย” เสียงทุ้มย้ำคำเดิมอีกครั้ง
โอเค เจดอุตส่าห์ซื้อ เรายอมเหมือนก็ได้
“ให้เราทำไม” พอได้ยินคำถามเจดมองหน้าเรา นิ่งไปสักพักก่อนทำท่าอึกอัก เกาคางตัวเองไปพลาง
“ก็... คะแนนไง”
“?”
“วันนี้เจน่ารัก ให้แต้มนึง”
เหมือนในแฮรี่ฯ เหรอ หนึ่งแต้มให้กริฟฟินดอร์
“แล้วเราต้องได้กี่แต้ม” ตื่นเต้นขึ้นมาเมื่อได้รางวัล รับประกันว่าเรากำลังเดินหน้า ไม่ใช่ถอยหลัง
“ก็หมดนี่” เจดเขย่าถุงกระดาษ
แล้วมันเท่าไหร่เล่า
“ไม่บอก” โธ่ อมพะนำเก่งจังหมียักษ์ เจดหัวเราะ ขยี้หัวเราอีกครั้ง “เอาไว้เป็นเพื่อนอ่านหนังสือนะครับ”
เราไม่ชินที่เจดพูดเพราะก็เลยก้มหน้า ทำเป็นมองหน้ากระต่ายในมือ
“อือ”
“ไปแล้วนะ”
“อือ” เราตอบคำเดิมพลางพยักหน้า แต่ในใจท้วงว่ายังไม่อยากให้กลับ
“อือ” เจดเหมือนรู้ถึงได้รับคำแล้วยืนยิ้ม แกล้งประวิงเวลาอยู่สักพัก
เราหลุดยิ้มตาม พยักหน้าน้อยๆ อีกครั้ง
“อือ”
เจดหัวเราะเบาๆ คราวนี้ยอมหันหลัง เดินไปสตาร์ทรถแล้วขับออกไป เราหันหลังกลับขึ้นหอบ้าง
ระหว่างรอลิฟต์เรามองกระต่ายตัวน้อยในมือนึกถึงคำพูดเจด แล้วหัวใจก็เต้นตึกตัก
...อยากให้กระต่ายหมดถุงไวๆ จัง
☉ ------------------------------------------------------------ ☉
“ไม่เอาแล้ว เราจะซิ่ว” โอดครวญทันทีที่ทำควิซเสร็จแล้วได้ยินข่าวร้ายว่าอาทิตย์หน้าก็ยังมีควิซอีก
“ก็บ่นงี้มาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วป่ะ” เพื่อนว่า หยิบชีทขึ้นมาวาง เทียบเนื้อหากับข้อสอบที่เพิ่งทำไป
ไม่เราไม่อยากรับรู้เลยฟุบหน้าลงกับโต๊ะ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าดูรูปภาพไปเรื่อยๆ ในอินสตราแกรม แทบไม่มีความแปลกใหม่ เพราะส่วนใหญ่เป็นเพื่อนๆ ที่อัพรูปวนๆ อยู่ไม่กี่จุดในคณะ มีรูปร้านอาหารร้านกาแฟบ้างประปราย
เราเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ โดยไม่โฟกัสอะไร จนกระทั่งหยุดลงที่รูปล่าสุดของเจ้าของแอคเคาท์ที่มีโปรไฟล์เป็นรูปสเกตหมีเล่นกีตาร์... แบบเดียวกับในไลน์
เจดเพิ่งโพสต์รูปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ระหว่างที่เรากำลังนั่งทำควิซอยู่พอดี เป็นรูปโมเดลบ้านสองชั้นที่เหมือนโดนผ่าให้เห็นข้างในแบบที่เราเห็นเจ้าตัวก้มหน้าก้มตาทำเมื่อคืน มีเฟอร์นิเจอร์เล็กๆ ที่เราเห็นแค่แวบๆ จัดแต่งสวยงาม
แต่ที่ทำเราเบิกตากว้าง คือทุกตารางนิ้วในบ้านถูกจับจองด้วยกระต่ายตัวน้อยแบบเดียวกับที่ให้เรา
‘I wanna talk tonight, until the mornin’ light’
แคปชั่นที่มาจากเนื้อเพลงดังไม่เข้ากับรูปเท่าไหร่ แต่เรารู้ว่าหมายความว่ายังไง ยิ่งอ่านประโยคทิ้งท้ายในบรรทัดถัดไปก็ยิ่งยืนยันว่าเราไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง
‘กระต่ายโง่ ไม่รู้ว่าทำข้อสอบได้ไหม’
กระต่ายไม่โง่ ทำข้อสอบได้
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่” เราไม่ได้เงยหน้าจากมือถือตอนที่เพื่อนทำเสียงหมั่นไส้ใส่ ยังมองรังกระต่ายของเจดอยู่อย่างนั้น ก่อนนึกอะไรขึ้นได้
หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก... เก้า
ในบ้านมีกระต่ายเก้าตัว... หมายถึงเราต้องทำให้ได้อีกเก้าแต้มใช่ไหม?
“เพื่อน เราตัดสินใจแล้ว...” ยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อไขปริศนาได้ แถมมีไอเดียว่าจะชิงกระต่ายพวกนั้นยังไง
เพื่อนเคยบอกว่าคณะเจดอยู่ไกล จีบยากใช่หรือเปล่า ถ้าอย่างนั้น...
“เราจะซิ่วไปถาปัตย์ฯ...”
ตุบ!
ยังไม่ทันจบประโยคก็ถูกเพื่อนหยิบชีทมาฟาดหัวโครมใหญ่
“แม่ส่งมาเรียนไม่ได้ให้มาตามผู้ชาย”
“โอย...”
บ๊ายบาย ความรู้ที่สั่งสมมา
☉ ------------------------------------------------------------ ☉
รู้เฉลยแล้วว่าเจดจะพาเราไปไหน
ดาดฟ้าคณะศิลปกรรมกลายเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตเล็กๆ ของวงดนตรีนอกกระแสที่รวมตัวกันเฉพาะกิจเพื่อสั่งลาให้กับวงของเพื่อนที่กำลังจะแยกย้ายกันไปตามทาง
เจดรู้จักบางคนในวงนั้นก็เลยถูกชวนมาโดยไม่ต้องซื้อบัตรที่หมดไปตั้งแต่วันแรกที่เปิดขาย เราเดินตามหลังเจดเข้ามาในงานที่ถูกจัดด้วยบรรยากาศสบายๆ มีที่นั่งจัดเป็นกลุ่มๆ ง่ายๆ
“ป๊า” เสียงตะโกนดังขึ้นมา พร้อมกับร่างสูงบางที่นั่งรวมกลุ่มกับอีกสามสี่คนที่โต๊ะด้านหน้า
เจดยกมือทักกลับ เดินลิ่วไปหาน้องพิชญ์ทันที
ลืมเราเลยอ่ะ
“เล่นไปกี่วงละ” เจดถามนั่งลงพลางปัดๆ ที่นั่งข้างๆ
เรานั่งตาม มองน้องพิชญ์กับเจดคุยกัน “สอง ป๊าเอาเบียร์ป่ะ จะไปซื้อเพิ่ม”
ตรงทางเข้ามีซุ้มขายเบียร์ยี่ห้อหนึ่งที่น่าจะเป็นสปอนเซอร์ให้
“เออ เดี๋ยวไปด้วย” เจดว่า แล้วทั้งสองคนก็ลุกจากโต๊ะไป เรามองตาม เผลอขมวดคิ้วตอนที่เจดยกแขนขึ้นกอดคอพิชญ์ แถมยังขยี้ผมน้องอีก เราเม้มปากหันกลับมามองเตวิชญ์ที่นั่งอยู่ด้วยกัน แต่ไม่เห็นเขาว่าอะไร ยังจิบเบียร์นิ่งท่าทางสบายๆ
คนมีสิทธิ์หึงเขายังไม่ว่าอะไรเลย อย่าเพิ่งหงุดหงิดสิเจได
“ไปหน้าเวทีป่ะ” ใครสักคนเอ่ยชวน เมื่อเจดกับพิชญ์กลับมาพร้อมแจกจ่ายเบียร์ให้คนทั้งโต๊ะ เรารับมากระดกอึกๆ อย่างไม่ได้สนใจ ให้เบียร์เย็นๆ ดับความคิดงี่เง่า
เพื่อนเคยบอกว่าเรามีนิสัยเสียๆ ที่ขี้หวงไม่เข้าท่า วันนี้เรายอมรับแล้วล่ะ
ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์หวงด้วยซ้ำ...
“ไปก่อนเลย เดี๋ยวสูบบุหรี่แป๊บ” เจดบอกก่อนคว้าแขนพิชญ์เดินแยกออกไปตรงโซนที่มีที่เขี่ยบุหรี่ให้ เราได้แต่มองตามอีก เพราะไม่รู้จะทำอะไร
โดนเขาทิ้งแล้วเจได
“หงอยเชียวกระต่าย” สมาชิกอีกคนที่ยังไม่ลุกไปไหนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เราสะดุ้ง มองหน้าเตวิชญ์อย่างเกร็งๆ นิดหน่อยเพราะไม่ค่อยได้คุยกัน
ไม่กล้าสบตาด้วยซ้ำตอนที่เอ่ยถาม “หึงไหม”
เจดเคยชอบน้องพิชญ์ใช่ว่าเตวิชญ์จะไม่รู้ เราเลยสงสัยว่าทำไมเขาไม่แสดงท่าทีอะไร ปล่อยให้สองคนนั้นคุยกันสนิทสนมเกินหน้าเกินตาแบบนี้ได้ไง
“พิชญ์ไม่ได้คิดอะไร”
“รู้ได้ยังไง” คราวนี้เราเผลอจ้องตางอแงใส่ แล้วก็รู้ว่าพลาดเมื่อดวงตาสีดำคมกริบฉายแววที่ทำเอาขนลุกวาบ
แถมไม่ได้คำตอบ เตวิชญ์แค่ยักไหล่ ก่อนลุกออกไป ไม่ได้ไปรวมกับคนอื่นที่ยืนเอ็นจอยอยู่หน้าเวที ร่างสูงเดินเข้า
ไปโอบเอวพิชญ์ที่หันกลับมายิ้มให้ทันที บุหรี่ในปากน้องถูกคีบออกมาป้อนใส่ปากคนพี่ แชร์นิโคตินจากมวนเดียวกัน
เราเบือนหน้าจากสองคนนั้นกลับไปทางเจด ก็เห็นเขากำลังมองกลับมาเช่นกัน คนตัวโตดับบุหรี่แล้วปลีกตัวออกมานั่งลงข้างเราอีกครั้งตะโกนแข่งเสียงเพลง
“หงุดหงิดอะไร”
หมีเหมือนมีวิชาอ่านใจ ทำไมถึงรู้ได้ว่าเรากำลังไม่พอใจ
“ขมวดคิ้วแถมเบะปาก” นิ้วโตๆ จิ้มหว่างคิ้วก่อนเลื่อนลงมาบีบปาก คราวนี้เราสะบัดหน้าหนีตีหน้าบึ้งกระดกเบียร์เข้าปากอีกหลายอึก
เจดหุบยิ้มท่าทางประหลาดใจแล้วขมวดคิ้วบ้าง
“เจ เป็นอะไร ไม่สนุกเหรอ”
พอเจดมาง้อ แทนที่เราจะดีใจ ช้างในกลับโหวงๆ ไม่อยากงอแงให้เขาลำบากใจ
“เจด เราขออะไรได้ไหม” เจดเคยบอกว่าตัดใจได้แล้ว เราเลยไม่อยากถามซ้ำกลัวเจดรำคาญ
อีกอย่าง... เรากลัวคำตอบเปลี่ยนไป
“ต่อไปนี้รู้สึกอะไร บอกเราตรงๆ ได้ไหม”
“หมายถึงเรื่องอะไร” เจดทำท่าไม่เข้าใจ
เราขมวดคิ้วรวบรวมความคิดพักใหญ่ เรียบเรียงคำพูดเพื่อเอ่ยประโยคที่ยาวที่สุดออกไป
“เรื่องของเรา... ตอนนี้เราเพิ่งเริ่มเจดคงยังไม่แน่ใจ แต่ถ้ารู้ตัวว่าชอบหรือไม่ชอบเราเมื่อไหร่ เจดส่งสัญญาณหน่อยได้ไหม”
เราไม่อยากเร่งรัดเจด แต่ก็ไม่อยากแห้ว ไม่อยากให้ตัวเองคาดหวังอย่างไม่มีความหมาย
“กระต่ายโง่ขี้คิดมาก ถ้าเจดไม่บอกตรงๆ คงเครียดตาย” ก้มหน้างุด หน้าร้อนตอนยอมรับว่าเราไม่ค่อยมีเซ้นซ์เรื่องแบบนี้เท่าไหร่ แถมยอมรับว่าเป็นกระต่าย
เจดหัวเราะเบาๆ จับหน้าเราเงยขึ้นไปสบตาอีกครั้งให้เห็นแววตาจริงจัง
“เข้าใจแล้วครับ ต่อไปนี้รู้สึกอะไร จะบอกเจหมดเลย โอเคไหม” แถมยังยกนิ้วก้อยโตๆ ขึ้นมาตรงหน้าขอเกี่ยวก้อยสัญญา
โธ่ บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าเราอายุมากกว่า ทำไมชอบทำเหมือนเป็นเด็กอ่ะ
“อือ” แต่กลัวว่าเจดจะเปลี่ยนใจ เลยพยักหน้าตกลงพร้อมกับกำนิ้วก้อยเจดแน่น
เกี่ยวไว้ห้านิ้วเลยแล้วกัน เจดจะได้ไม่ผิดสัญญาง่ายๆ
“งั้นไปหน้าเวทีกัน” พอเห็นเราทำท่าพอใจ เจดก็หัวเราะ คลายกังวลพาเราลุกขึ้นยืนจากโต๊ะไปรวมกับคนอื่นๆ หน้าเวที
พอมายืนตรงนี้เราก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นกับบรรยากาศที่คึกคัก คนโห่ร้องให้นักดนตรีที่ผลัดเปลี่ยนขึ้นมา สาเหตุที่เจดชวนเรามาเพราะหนึ่งในนั้นมีวงที่เราชอบแต่ไม่เคยดูการแสดงสดสักครั้งเพราะตั๋วหายากมาก แถมชอบมีแสดงช่วงที่เราไม่ว่าง
เจดหัวเราะทำหน้าล้อเลียนเมื่อเห็นเรายิ้มร่าไม่มีเค้าความหงุดหงิดแบบก่อนหน้า
แต่ไม่เฉลยหรอกว่านอกจากเสียงเพลงแล้วสิ่งที่ทำให้เราอารมณ์ดีได้ในพริบตา ยังเป็นเพราะนิ้วก้อยที่ใช้เกี่ยวสัญญา ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นนิ้วทั้งห้าที่ประสานกันไว้ตลอดงาน
☉ ---Side Story : 2 --- ☉
[ ง่วงยัง ] หลังจากที่เจดโทรหาก็ผ่านมาหลายชั่วโมง
ตอนแรกตั้งใจว่าจะแค่โทรคุยกัน แต่เราดันไม่รู้จะพูดอะไร เงียบใส่จนเจดต้องถามย้ำๆ ว่ายังอยู่ไหม สุดท้ายคนโทรก็เลยตัดสินใจวางสายเพื่อเปลี่ยนเป็นเฟสไทม์
เราแตกตื่นอยู่สักพักก็พบว่าแบบนี้มันสะดวกกว่า เพราะต่างคนต่างทำธุระตัวเองต่อโดยที่ยังเห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา
แถมเราตอบด้วยการพยักหน้าหรือส่ายหน้าเฉยๆ ตามความเคยชินเจดก็เห็นชัด
[ จะอยู่จนเช้าหรือไงคุณ ] เจดเลิกคิ้วขำๆ เพราะเห็นเราอ่านหนังสือจบตั้งนานแล้ว แต่ยังลืมตามองเขาต่อโมเดลก็อกแก็กอยู่อย่างนั้น
“เราอยู่ไหว” ท่าทางอีกนานกว่างานเจดจะเสร็จ เราอยู่เป็นเพื่อนก็ได้
[ ไม่เอา ไม่ให้อยู่ ไปนอนได้แล้วไป ]
อ้าว โดนไล่
“อีกชั่วโมงนึง...”
[ เดี๋ยวฟ้องเพื่อนเลยว่ะ ]
ยังไม่ทันต่อรองเสร็จก็โดนขู่จนต้องเงียบไป
“อีกห้านาทีได้ไหม”
เจดหัวเราะเมื่อเห็นว่าคำขู่นี้ได้ผล ได้ผลสิ เพื่อนดุจะตาย
[ โอเค อีกห้านาที ]
เราพยักหน้าแล้วเท้าคางมองเจดก้มหน้าก้มตากรีดคัตเตอร์ลงบนกระดาษ แอบยิ้มให้สีหน้าขะมักเขม้นโดยไม่คิดจะส่งเสียงกวนใจ พอครบห้านาทีตามที่บอกเราก็กดตัดสายเงียบๆ เดินไปที่เตียง
กำลังจะปิดไฟ แต่นึกอะไรขึ้นได้เลยกดเข้ายูทูปเสิร์ชหาชื่อวงดนตรีที่เราต่างชอบพร้อมชื่อเพลงลงไป ก่อนกดส่งให้หมียักษ์ที่ต้องทำงานอีกหลายชั่วโมง
ตั้งใจจะส่งทิ้งไว้เฉยๆ แต่ไม่ทันไรอีกฝ่ายก็ตอบกลับมา
‘โห อัลเทอร์มาจีบ ว่ะ’
เรายิ้มให้กับมุกชื่อหนังที่ล้อกับชื่อแนวดนตรีที่ส่งให้ฟัง
ก่อนจะได้ยิ้มกว้างอีกครั้ง เมื่อตอนกลางวันเห็นข้อความจากเพียงเดียวกันปรากฏอยู่ใต้ภาพในอินตราแกรม
‘I wanna talk tonight, until the mornin’ light’
☉ ------------------------------------------------------------ ☉
ค้นพบกว่าการแบ่งอัพเป็นครึ่งๆ ทำให้เนื้อหาแต่ละตอนยาวขึ้นเป็นเท่าตัวเลยค่ะ 5555
จากปกติเราเขียนตอนนึง 4-6 หน้า แต่เรื่องนี้ตอนละ 10 หน้าอัพทั้งสองตอนเลย
หรือเป็นเพราะมีแต่บทสนทนานะ? อืม... อาจจะเป็นอย่างนั้น
ขอบคุณสำหรับการเอ็นดูยัยกระต่ายเจไดนะคะ ดีใจมากที่ทุกคนไม่รำคาญความอ๊องเอ๋อของนาง
ตอนเขียนกังวลมาก กลัวคนอ่านไม่ชอบนายเอกแนวนี้ กลัวน้องโดนด่า (ใครด่าเราจะฟ้องเพื่อนนะ!) 5555
ขอบคุณจริงๆ ค่ะสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น หวังว่าจะเอ็นดูคู่นี้ไปจนจบนะคะ
เนื้อเพลงที่หยิบยกมามาจากเพลง Talk Tonight ของ Oasis นะคะ ตามไปฟังได้ที่ลิ้งก์นี้เลย
https://www.youtube.com/watch?v=bb6e2Brz9Nwส่วนมุกอัลเทอร์มาจีบมาจากชื่อหนัง 2538 อัลเทอร์มาจีบ (2558) ภาพยนตร์โดย ยรรยง คุรุอังกูร ค่ะ (เราไม่เคยดูเรื่องนี้ขออภัยที่ให้ข้อมูลไม่ได้นะคะ u_u)
ปล. พอเขียนเรื่องนี้แล้วเราพูดคำหยาบน้อยลงด้วยล่ะ สงสัยติดยัยเจมา 5555
ฝาก #หมีแต่รัก ด้วยนะคะ
ขอบคุณมากๆ เลยค่า
-Martian-