ข้อที่ 3
กฎหมี (100%)
กินข้าวเสร็จเราต้องมาส่งเจดที่คณะเพราะเขาต้องทำงาน สงสัยคงโต้รุ้งด้วยถึงได้แวะซื้อกาแฟตั้งสองแก้ว
“พรุ่งนี้เจไปไหม”
เรางง ไม่รู้ว่าเจดให้ไปไหน
“บาสถาปัตย์-เภสัชไง”
เราร้องอ๋อ “ปกติไม่ไป”
เราไม่ค่อยได้มีส่วนร่วมกับกีฬามหาลัยเท่าไหร่... อันที่จริงนอกจากวงดนตรีคณะ เราก็ไม่ได้ยุ่งกับกิจกรรมอะไร เหนื่อยง่ายน่ะ
“เสียดาย อยากให้ไป”
“ถ้าไปจะได้แต้มกระต่ายไหม” เราไม่ได้งกนะ แค่ถามอย่างมีความหวัง
“โห แผนสูงว่ะ” เจดหัวเราะ ขยี้ผมเราแรงๆ ทีหนึ่งก่อนต่อรอง “ถ้าเชียร์ถาปัตย์ด้วยนะ”
“ได้ เราเชียร์” ตอบไม่คิด
เพื่อนต้องด่าว่าเราบ้าผู้ชายแน่ แต่ไม่เป็นไร ยังไงเราก็อยากเชียร์เจดมากกว่า
“พูดแล้วนะ”
“ครับ”
“ขอบคุณสำหรับกำลังใจล่วงหน้า” เจดยิ้มกว้าง เราเลยยิ้มตอบเหมือนได้รับกำลังใจกลับมาเหมือนกัน
☉ ------------------------------------------------------------ ☉
รู้ไหมทำไมน้องพิชญ์เรียกเจดว่าป๊า
...เพราะเจดเป็นซุปเปอร์แมนไงล่ะ
“ป๊ามันยังไม่ได้นอนเลย” ตอนนี้เราอยู่อัฒจันทร์ฝั่งถาปัตย์ แปรพักตร์อย่างอุกอาจแต่ไม่มีใครว่า เพราะนั่งข้างๆ น้องพิชญ์
น้องมาเชียร์แฟนตัวเองที่ลงแข่งเหมือนกัน กลายเป็นที่ฮือฮามากเพราะปกติพิชญ์ไม่ค่อยปรากฏตัวให้เห็นนอกคณะ คงไม่มีใครทันสังเกตด้วยซ้ำว่าเรานั่งอยู่ข้างๆ โดนออร่าความขาววิ้งบังตา
“อึดยังกะหมี” เรามองคุณหมีที่รีบร้อนเปลี่ยนเสื้อวิ่งเข้าสนามอย่างเห็นด้วย
เจดสภาพเหงื่อโซมทั้งที่ยังไม่เริ่มแข่งเพราะว่ามีแข่งฟุตบอลก่อนหน้า พิชญ์บอกว่าคณะคนน้อยแถมไม่มีใครเล่นกีฬาเป็นกิจจะลักษณะ แข่งแต่ละครั้งก็ตามตัวหน้างาน ใครว่างก็มา แต่วันนี้หนักหน่อยที่ต้องแข่งฟุตบอลกับบาสต่อกันแบ่งคนยังไงก็ไม่ครบ สุดท้ายมาลงที่เจดที่เป็นคนอาสาเป็นตัวจริงทั้งสองเกมเพราะเล่นเก่งทั้งสองกีฬา
แต่เราว่ามันหนักไป ใครนะใครจัดตาราง
นักกีฬาลงสนามจนครบ เสียงนกหวีดก็ดัง ทุกคนเริ่มวิ่งแย่งลูกบอลสีส้มกันให้วุ่นทั่วสนามจนตาลาย เราดูบาสไม่เป็นเลยไม่สนใจเกมเท่าไหร่ ได้แต่มองตามเจดที่วิ่งไปวิ่งมา
มองตาม แล้วก็มองตาม จนได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมาเบาๆ
“เจยังกับพัดลม”
เราหันไปสบตาน้องพิชญ์ที่ยิ้มขำ เผลอลั่นสิ่งที่คิดออกไป “ห้ามเชียร์เจดนะ”
ถ้าน้องพิชญ์เชียร์เจดอีก อาจจะกลบกำลังใจเรามิดก็ได้
“หือ? ได้เหรอ ก็คณะเดียวกัน” น้องพิชญ์หัวเราะอีกรอบ
“เดี๋ยวเราเชียร์ให้” เราอาสา น้องเลยหัวเราะเสียงดังขึ้น ยักไหล่
“โอเค ผมเชียร์พี่เตคนเดียวก็ได้” ว่าพลางเอื้อมมือมาบีบแก้มเรา “ฝากป๊าด้วยนะ”
เราพยักหน้ารับ แล้วหันกลับไปมองเจดใหม่ คนตัวโตกำลังพยายามแย่งลูกบอลจากฝ่ายตรงข้ามที่ตัวเล็กกว่า ไม่ทันไรก็คว้าบอลมาได้ เราเผลอกำมือแน่นตอนที่เจดวิ่งเลี้ยงลูกไปอีกฝั่งของสนาม
เหมือนเห็นภาพสโลว์โมชั่นของขายาวๆ ที่วิ่งไปข้างหน้า ริมฝีปากใต้เคราเผยอตักตวงอากาศหายใจไปพลาง สายตามองไปรอบตัว ก่อนส่งบอลให้เตวิชญ์ที่วิ่งตัดหน้าฝ่ายตรงข้ามมารับพอดี แฟนน้องพิชญ์วิ่งสองก้าวแล้วกระโดดขึ้นชู้ตลูกลงห่วงไปอย่างสวยงาม
คนส่งบอลหัวเราะดีใจเดินเข้าไปชกไหล่คนทำแต้มเบาๆ ก่อนจะวิ่งเหยาะๆ กลับไปป้องกันที่ฝั่งของตัวเอง ระหว่างนั้นเจดหันมาทางเรา โบกมือพลางยิ้มบางๆ
เราโบกมือกลับอัตโนมัติ หลุดยิ้มออกมากับความน่ารัก
เจดเท่มาก ยิ่งใส่ชุดบาสสีเข้มแบบนี้ยิ่งเท่ หัวใจเราเต้นตึกตักไปหมดตอนที่มองเจดวิ่งไปวิ่งมาอยู่ในสนาม
“ป๊าเท่เนอะ” ได้ยินเสียงแซว เราเลยพยักหน้าหงึกหงักแต่ไม่ละสายตาจากคนตัวโตที่ได้ลูกบาสกลับมาอยู่ในมืออีกแล้ว
เราไม่ได้จะเข้าข้างหรอก แต่คิดว่าถาปัตย์คงจะชนะ เพราะเจดกับเตวิชญ์ตัวสูงมาก แถมวิ่งเร็ว เผลอแป๊บเดียวก็แวบจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่ง เจดส่งบอลให้เตวิชญ์อีกครั้งแต่คราวนี้ถูกฝั่งเภสัชวิ่งมากันไว้ แต่เจดแก้สถานการณ์ไว วิ่งไปตัดรับบอลมาในมือก่อนจะพลิกตัวกระโดดขึ้นชู้ตอย่างรวดเร็ว
แต่ไม่ทันระวังว่ามีอีกคนพุ่งมาจากด้านหลัง
พลั่ก!
ปรี๊ดดด
“เฮ้ย!”
“เจด!” เสียงเรากับพิชญ์ร้องพร้อมกัน เราลุกขึ้นยืนแต่ก้าวไม่ทันคนขายาวกว่าที่วิ่งลงไปในสนามทันทีที่เห็นเจดร่วงลงพื้นดังตั้บ
“ป๊า!” น้องพิชญ์ร้องเรียกพลางเข้าไปช่วยประคองคนที่นอนอยู่บนพื้นเหมือนยังตั้งสติไม่ได้ เราชะงักเมื่อเห็นว่าเจดเลือดกำเดาไหล ก่อนจะรีบคว้ากล่องพยาบาลฝั่งถาปัตย์ที่วางไว้ข้างสนามวิ่งตามเข้าไป
“เจ...”
พอเห็นเราเจดก็เรียกเสียงอู้อี้เพราะถูกบีบจมูกไว้ มือข้างหนึ่งยื่นออกมาหา เราหยิบผ้าห่อน้ำแข็งประคบจมูกให้พลางจับมือเจดไว้ บีบแน่น
“ลุกไหวไหม” เราถาม เจดพยักหน้ายิ้มจางๆ ให้ เหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไรทั้งที่สีหน้าดูไม่ไหว
เตวิชญ์เข้ามาช่วยพยุงเจดลุกมานั่งข้างสนาม การแข่งหยุดชะงัก คนที่กระแทกเจดล้มวิ่งเข้ามาขอโทษขอโพยใหญ่ก่อนที่เกมจะต้องเริ่มต่อไปโดยถาปัตย์เปลี่ยนตัวสำรองคนอื่นลงไปเล่นแทนเจดที่ยังห้ามเลือดไม่ได้ และคงเล่นต่อไม่ไหว
เพราะหัวใจกำลังสูบฉีดเลือดเลยออกมาเยอะมาก ผ้าที่ใช้ซับชุ่มสีแดงอย่างน่ากลัว
“ป๊า ไปโรงบาลป่ะ” น้องพิชญ์ถามขณะที่ใช้ผ้าเย็นช่วยลดอุณหภูมิร่างกายให้เจดอีกแรง หมีดื้อส่ายหน้า ดึงผ้าประคบจมูกออกทันทีที่เลือดหยุดไหล ดูเหมือนจมูกจะไม่ได้หัก ค่อยยังชั่ว
“กูไหว” เหมือนเจดอยากเล่นต่อ เพราะตอนนี้เหลือเตวิชญ์แบกทีมคนเดียวเกมเลยเหมือนจะพลิกไป จากที่น่าจะชนะขาดลอยก็เปลี่ยนเป็นผลัดกันชู้ตไปหลายรอบจนแต้มสูสีกัน สภาพนักกีฬาฝั่งสถาปัตย์ก็ดูอิดโรยมาก
แต่ไม่ได้หรอก
“ไม่ให้แข่งแล้ว” เราบอก เสียงจริงจัง จนคนที่ทำท่าจะขอลงสนามอีกชะงัก กะพริบตามองหน้าเรา
“ไม่เอา” เราเบ้ปากยืนยัน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำหน้ายังไง เจดถึงได้ขมวดคิ้วดูหนักใจ น้องพิชญ์หัวเราะ ดึงผ้าซับเลือดไปทิ้งให้พลางช่วยกล่อมอีกแรง
“ป๊ากลับเลยก็ได้ อีกไม่กี่นาทีก็จบ”
“แต่...”
“เถอะน่า กระต่ายเป็นห่วงจะร้องไห้แล้วนั่น” น้องพิชญ์เพยิดหน้ามาทางเรา ยิ้มขำ เจดเลยหันมาสบตา มองกลับเข้าไปในสนามอีกครั้งแล้วถอนใจ
“มีพี่เตทั้งคน ไม่แพ้หรอก” พูดอีกให้มั่นใจ
จริงๆ ไม่แพ้หรอก
“เออๆ ก็ได้” เจดยกมือยอมแพ้ลุกขึ้นยืน “เจอกันที่สตู”
“ยังจะไปสตูอีก” พิชญ์ขมวดคิ้วสีหน้าตำหนิ
“ทำไงได้ กูมีงาน”
“กลับไปนอนก่อนเหอะ เดี๋ยวก็เป็นลมตาย”
“กูนอนสตูก็ได้”
“ไปนอนหอเราไหม”
“...”
“...”
เรามองสองคนที่เงียบไป สายตาสองคู่หันมามองเหมือนเราพูดอะไรผิดไป
ก็นอนสตูไม่น่าจะสบายใช่ไหมล่ะ
“หอเราอยู่ใกล้ ขับมะลิไปแป๊บเดียว” เราอธิบาย พิชญ์หัวเราะผลักไหล่เจดเบาๆ
“เออก็ดีนะ ไปหลับสักงีบให้มีแรงแล้วค่อยกลับมาก็ได้”
“ได้ที่ไหนเล่า” เจดโวย หันมาขมวดคิ้วใส่เรา “กฎข้อห้าไง จำได้ไหม”
กฎข้อ 5. จะให้เราจีบต้องห้ามล่วงเกิน ห้ามแต๊ะอั๋ง ห้ามพาขึ้นห้อง เด็ดขาด!!
แต่นั่นเราไม่ได้เขียนข้อนั้นเองสักหน่อย...
“ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ทำอะไร” ยืนยัน เผื่อเจดกลัวว่าเราจะทำมิดีมิร้าย
อยู่กับคนที่ชอบสองต่อสองมันเสี่ยงใช่ไหมล่ะ แต่เราเชื่อว่าเรายับยั้งชั่งใจได้
“ห่วงเรื่องนั้นที่ไหนล่ะครับ” เจดหัวเราะหน่ายๆ วางมือไว้บนหัวเราจับโยกไปมา ท่าทางลังเลสักพักก็ถอนใจ
“ถ้าพี่เพื่อนรู้คงถูกกินหัว”
ไม่รู้ว่าเจดพึมพำอะไร แต่เราดีใจที่เขาไม่ดื้อยอมเดินตามมาหามะลิ คนตัวโตหยิบหมวกกันน็อกไปใส่ แบมือออกมาขอกุญแจ แต่เราส่ายหน้า ไม่ให้
“เดี๋ยวหลับใน” ต่อให้ไม่บาดเจ็บ สภาพเจดก็ดูจะขับรถไม่ไหว
เจดยักไหล่ ไม่ขัดใจยอมซ้อนท้ายเราปากบ่นงึมงำ “ง่วงมาก”
“อดทนแป๊บนึงนะ” เราบอก เอื้อมมือไปดึงแขนสองข้างมาโอบรอบเอวตัวเองไว้ระแวงว่าเจดจะทนความง่วงไม่ไหวแล้วหงายหลังตกรถไป “กอดแน่นๆ อย่าเพิ่งหลับ”
ได้ยินเสียงคนด้านหลังหัวเราะ กระชับอ้อมแขนว่าง่าย
“ใครจะไปหลับเล่า”
พูดแบบนั้น แต่กลับซบหน้าลงกับไหล่เรา ลมหายใจอุ่นระต้นคอเราไปตลอดทาง
☉ ------------------------------------------------------------ ☉
มาถึงห้องเราก็ให้เจดอาบน้ำ เพราะเพิ่งเล่นกีฬามาคงเหนียวตัวกลัวเจดนอนไม่สบาย ส่วนเราเอาหมอนกับผ้าห่มมาจัดที่นอนตรงโซฟาด้านนอกให้
อันที่จริงนอนในห้องเราก็ได้ แต่เจดบอกว่าเกรงใจ
เราจัดที่นอนเสร็จก็เป็นจังหวะเดียวกับที่อีกคนเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี ร่างสูงสวมกางเกงวอร์มสีเข้มตัวเดียว ตั้งแต่หัวถึงเอวเปลือยเปล่า มีหยดน้ำเกาะจนระยิบระยับน่ามอง
แต่...
“อ้าว ทำไมหมีไม่มีพุง” เราโพล่งถามเมื่อเห็นว่าแทนที่จะเป็นพุงหมี เจดกลับมีกล้ามเนื้อท้องเป็นก้อนๆ ดูแข็งๆ
“ต้องมีพุงเหรอ?” ก้มมองหน้าท้องตัวเองแล้วถามกลั้วหัวเราะท่าทางประหลาดใจในคำถาม
เรานิ่งคิด มองหน้าท้องกับหน้าเจดสลับกัน ถือวิสาสะจิ้มก้อนแข็งๆ แล้วพยักหน้าเบาๆ “อือ พุงนุ่มๆ”
แบบนี้มันแข็ง กอดแล้วจะอุ่นไหม
เจดหัวเราะอีก โน้มตัวลงมาจ้องหน้าเรา ยกมือขึ้นเล่นงานหูสองข้าง “กระต่ายสมัยนี้ยังหูสั้นเลย”
“อื้อ!” เราสะดุ้ง หลุดปากร้องเสียงดัง
เจดดูตกใจที่เราตกใจแต่ไม่ทันไรก็ขำ ยิ้มล้อเลียนที่เห็นเราผวากุมหูร้อนๆ ไว้
“ลืมไปว่าหูกระต่ายเป็นจุดอ่อนไหว”
ก็มันจั๊กจี้ไหม
พอเราหน้าดุใส่ เจดก็ยิ้มสวยๆ ยิงฟันขาว พูดเอาใจ
“เอาไว้ถอดคราวหน้าจะมีพุงนุ่มๆ ให้กอดอุ่นๆ ดีไหม”
เนี่ย ง้อเก่งขนาดนี้จะให้งอนหมีนานๆ ได้ยังไง
☉ ------------------------------------------------------------ ☉
เจดตั้งปลุกไว้ตอนสี่ทุ่มก่อนหลับไป หมีหลับง่ายมาก หัวถึงหมอนปุ๊บก็เริ่มหายใจลึกปั๊บหลับสนิทภายในสามนาที
เรายึดโซฟาตัวเล็กนั่งอ่านหนังสือไปพลาง พยายามไม่ส่งเสียงรบกวนหมีที่กำลังจำศีล แต่ถึงส่งเสียงก็คงไม่เป็นไรเพราะขนาดนาฬิกาปลุกดังลั่นเจดยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่นง่ายๆ
“เจด” เราวางหนังสือเดินไปปิดเสียงนาฬิกาให้ ก่อนนั่งคุกเข่ากระซิบข้างหูคนหลับ เขย่าไหล่เขาเบาๆ “เจด สี่ทุ่มแล้ว”
แต่หมียังหลับเป็นตาย
หรือควรให้นอนต่อดี? น้องพิชญ์บอกว่าเจดไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อวาน แถมยังเหนื่อยจากแข่งกีฬา
แต่กระทู้พันทิปบอกว่าถ้ามีแฟนเรียนถาปัตย์ ห้ามปล่อยหลับยาวเด็ดขาด
“เจด” ถึงจะสงสารเราก็ต้องปลุกเจดมาทำงาน ไม่อย่างนั้นคงลำบากทีหลัง
“...” ปลุกยากจัง
“เจด ตื่น...!”
เราผงะเกือบหงายหลังเมื่ออยู่ๆ เจดก็พลิกตัวมาหาจมูกโด่งๆ แทบจะปะทะหน้าเรา หนำซ้ำยังคว้ามือเราไปแนบแก้มบ่นงึมงำ
“อือ... ตื่นแล้วครับ”
ตื่นยังไง ทำไมไม่ยักลืมตา...
“...”
เราอ้าปาก แต่ไม่กล้าเรียกต่อ นิ่งค้างอยู่อย่างนั้นนาน หัวใจเต้นตึกตักเพราะหน้าเจดอยู่ใกล้มากจนลมหายใจรดแก้มเรา
…ลมหายใจอุ่นๆ แก้มเราก็เลยอุ่นตาม
เรามองมือตัวเองที่ถูกกุมแนบแก้มคนหลับ สัมผัสสากๆ ของเคราไม่ทำให้รำคาญ กลับยิ่งอยากไล้นิ้วตามหนวดทรงสวยเหนือริมฝีปากพลางจินตนาการว่าถ้าเจดไม่มีหนวดจะเป็นยังไง
คงดูเด็กกว่านี้หลายเท่า และคงเป็นคุณหมีที่ดูใจดี
จะพิลึกไหมถ้าเราบอกว่าชอบเจดที่เป็นแบบนี้มากกว่า ป๊าที่มีเครา ภายนอกดูดุดันแตกต่างจากตัวตนข้างใน
“เจ...” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เราเป็นฝ่ายขยับหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเสียเอง ลมหายใจคงรบกวนคนขี้เซาจึงยอมลืมตาขึ้นมาสบตา
“จะลักหลับกันหรือไง” แทนที่จะผลักเราออก เจดกลับเลิกคิ้วยิ้มๆ มือยังกุมมือเราไว้นิ้วโป้งไล้หลังมือเบาๆ
“...” ไม่มีข้อแก้ตัว เพราะกำลังจะแต๊ะอั๋งเจดจริงๆ
กลายเป็นว่าเรากำลังจะทำผิดกฎข้อที่ห้าเสียเอง
“หึ” ต่างคนต่างจ้องหน้ากันอยู่นาน กระทั่งเจดหัวเราะออกมาอย่างไม่รู้ความหมาย
แล้วอยู่ๆ เปลือกตาบางก็ปิดลงไป... แสร้งเป็นเหยื่อนอนนิ่งให้จับกิน
เราหลุดยิ้ม ไม่คิดปล่อยให้หมีที่แกล้งตายหลุดมือไปง่ายๆ
จุ๊บริมฝีปากเจดเบาๆ
จุ๊บนานๆ ...พลางคิดในใจว่าหลังจากจุ๊บนี้ กฎหมีก็คงไม่มีความหมายอีกต่อไป
☉ ----------------------------Side Story3-------------------------------- ☉
นี่ไม่ใช่กฎหมายแต่เป็นคำถามที่กระต่ายต้องตอบให้ได้
บอกเหตุผลที่ชอบกันมาสักห้าข้อได้ไหม
1. เพราะเจดน่ารัก (ที่ไม่ใช่หน้าตา) (ขีดฆ่าในวงเล็บ)
2. เจดใจดี ไม่บังคับให้กินผัก
3. เจดเสียงเพราะ เหมือนอเล็กซ์มาก
4. เราชอบเจด
5. เจดน่ารัก
“เจ ข้อห้ามันซ้ำ”
“...”
“ข้อสี่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลป่ะ”
“...”
“หึ โอเค หยวนให้ก็ได้ครับ”
☉ ------------------------------------------------------------ ☉
พายัยเจมาส่งแล้วววว ขอโทษที่หายไปนานค่ะ เลตกว่าที่บอกเป็นอาทิตย์ๆ เลยแง้ง
ไม่มีอะไรจะแก้ตัวเลยค่ะเพราะสมองตันจริงเราเขียนๆ ลบๆ ตอนนี้หลายรอบมากกก จนไมโครซอฟต์เวิร์ดลงโทษลบให้ซะครึ่งตอนไปเล้ยย (ร้องไห้ ;-;)
ก่อนหน้านี้สภาพจิตใจย่ำแย่มาก หมดไฟ หมดอาลัยตายอยาก เลยหนีไปเที่ยว ปรากฏว่ากลับมาแย่หนักกว่าเดิมเพิ่มเติมคือป่วยกายด้วยยับเยินไปหมด 5555
ยัยเจกับป๊ามีส่วนช่วยเรามาก ทุกครั้งที่เขียนถึงจะเครียดแต่ก็มีความสุขมาก หวังว่าคนที่ได้อ่านจะมีความสุขเช่นกันนะคะ (ส่งจุ๊บกระต่ายฮีลลิ่ง)
ฝาก #หมีแต่รัก ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เอ็นดูยัยเจกันเยอะมากๆ มีกำลังใจมากเลยค่ะ
ปล. ถ้าใครติดตามทวิตเตอร์เราคงจะเห็นเราเขียนแท็ก #มอปลายลายสัก เป็นโปรเจ็กต์ที่คิดขึ้นมาชั่ววูบค่ะ ปกติแล้วเวลาจะเขียนนิยาย1เรื่องเราจะจดลงสมุดหรือบันทึกไว้ลับๆ รู้คนเดียวใช่ไหม แต่คราวนี้เราเปลี่ยนมาเป็นบันทึกลงทวิตเตอร์เป็นสาธารณะค่ะ เป็นพล็อต ไอเดีย บทสนทนาสั้นๆ ประกอบภาพ ที่จะเอาไปสานต่อเป็นเรื่องยาวในอนาคต เหมือนให้คนอ่านได้เข้ามาจอยตั้งแต่กระบวนการร่างพล็อตนิยายเลย ถ้าใครสนใจก็ฝากติดตามด้วยนะคะ ถือว่าอ่านเล่นๆ สนุกๆ ฆ่าเวลาเนอะ ^^