❤️::::แม่พันธุ์จำเป็น[MpreG]::::❤️ตอนที่ 22 มีกันตลอดไป(จบ) l Up:16-06-2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❤️::::แม่พันธุ์จำเป็น[MpreG]::::❤️ตอนที่ 22 มีกันตลอดไป(จบ) l Up:16-06-2018  (อ่าน 108877 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
แก้เผ็ดวิธีนี้นี่.......สุดยอดเลย

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๙-

แฟนกำมะลอ



          การทำงานครั้งแรกในชีวิตของเจฟฟี่ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ หลังจากไปส่งคนรักที่ร้านเบเกอร์รี่ของพี่สาวแล้ว ก็ขับรถหรูตรงดิ่งมายังโรงแรมโกลเด้นพาเลช เดินมาดเท่ห์ตรงเข้าไปหาบิดาที่ยืนรออยู่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ บรรดาพนักงานสาวเห็นก็ต่างกรี๊ดกร๊าดกันเป็นแถว

            “สวัสดีครับแด๊ด”

            “ทำงานวันแรกแกก็มาสายซะแล้ว” เสียงเรียบนิ่งเอ่ยตำหนิลูกชาย

            “โด่วว...แด๊ดวันแรกก็หยวนๆให้หน่อยดิครับนี่ลูกชายนะ” เจฟฟี่เอ่ยราวกับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่นั้นเอง

            “อยู่ที่นี่ห้ามเรียกฉันว่าแด๊ดให้เรียกท่านประธานเหมือนคนอื่นๆ” โจเซฟอยากให้ลูกชายเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นโดยไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น

            “โหดเกิ๊น...แต่ก็โอเคผมพอเข้าใจได้” เจฟฟี่เอ่ยเหมือนเข้าใจ แต่สีหน้าที่แสดงออกมากลับค่อนข้างไม่พอใจบิดาของตัวเอง

            “ต่อไปนี้ฉันจะยึดบัตรเครดิตคืนทุกใบแกจะได้รู้คุณค่าของเงินเสียบ้าง” โจเซฟยื่นคำขาดให้กับลูกชาย เพราะต้องการสอนให้เห็นคุณค่าของเงิน กว่าจะหามาได้แต่ละบาทมันต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อแรงกายมามากขนาดไหน

            “โนววว!!! ไม่เอานะแด๊ดเอ่อ...ท่านประธานผมไม่ยอมเด็ดขาดแล้วอย่างนี้ผมจะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงเมียล่ะครับ” เจ้าตัวเริ่มโวยวายเสียงดังไม่แคร์สายตาผู้คนที่มองมาแม้แต่น้อย

            “ก็เงินเดือนที่ได้จากการทำงานนี่ไง ถ้าใช้ประหยัดหน่อยมันก็คงจะเหลือพอให้เก็บอีกด้วย”

            “เงินเดือนแค่นี้มันจะไปพออะไรครับ ไม่เอาแบบนี้มันไม่แฟร์เลย” เจฟฟี่ทำหน้าเซ็งๆให้กับความคิดของบิดา

            “แกไม่มีทางเลือกแล้วเพราะฉะนั้นให้ตั้งใจทำงาน เผื่อฉันใจดีอาจจะเพิ่มเงินเดือนขึ้นให้แกอีกสักนิดก็เป็นได้”

            “ท่านประธานอ่ะ...อย่าทำอย่างนี้เลยนะครับ” เมื่อหมดหนทางแล้วเจฟฟี่ก็เริ่มใช้ลูกอ้อนทันที

            “อย่ามางอแงอย่างกับเด็ก ทำตัวอย่างนี้จะเลี้ยงเมียรอดไหมเนี่ย ฉันล่ะสงสารที่หนูเงินได้แกเป็นแฟนจริงๆ” โจเซฟยืนกอดอกส่ายหน้าอย่างเอือมระอาให้กับลูกชาย ที่พูดอย่างนั้นออกไปเพราะต้องการให้ลูกชายมีแรงฮึดสู้ขึ้นมา ให้รู้ว่าเป้าหมายที่เข้ามาทำงานตรงนี้คืออะไรกันแน่

            “รอดแน่นอนคอยดูละกัน” เมื่อได้ยินอย่างนั้นความง้องแง้งของเจฟฟี่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง มีเพียงความมุ่งมั่นที่แสดงออกทางสีหน้า ทำเอาโจเซฟถึงกับพอใจในผลงานของตัวเอง

            “ฉันจะคอยดู” ว่าแล้วก็แนะนำให้ลูกชายได้รู้จักกับหัวหน้างาน “นี่คุณผกาเป็นผู้จัดการแผนกต้อนรับส่วนหน้า เป็นหัวหน้างานที่แกจะต้องเชื่อฟังและจะช่วยสอนงานให้แกด้วย”

            “สวัสดีครับคุณผกา” เจฟฟี่ยกมือไหว้

            “สวัสดีค่ะยินดีต้อนรับเข้าสู่การเป็นพนักงานโรงแรมโกลเด้นพาเลชอย่างเป็นทางการนะคะคุณเจฟฟี่”สาวใหญ่วัยสี่สิบสามส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

            “แกจะไม่มีอภิสิทธิ์เหนือกว่าพนักงานคนอื่นๆทำตัวให้ดีด้วยอย่าให้เสื่อมเสียมาถึงฉัน”

            “รู้แล้วน่า”

            “ฝากด้วยนะครับคุณผกามีอะไรก็สั่งสอนได้เต็มที่เลย” โจเซฟเอ่ยกับผู้จัดการสาวแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องทำงาน 

            “คุณเจฟฟี่ตามพี่มาทางนี้ค่ะ”

            “ครับ”

            เจฟฟี่เดินตามหลังไปอย่างเงียบๆจนถึงหน้าห้องหนึ่ง ผกาเปิดประตูแล้วเดินนำหน้าเข้าไป ก่อนจะเดินไปหยิบชุดพนักงานในชั้นมายื่นให้

            “ไปเปลี่ยนชุดในห้องเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ แล้วออกมาหาพี่ตรงนี้” ผกาชี้ไปยังโต๊ะที่อยู่มุมห้อง

            “ครับ”

            เจฟฟี่รับชุดมาแล้วก็เดินเข้าไปเปลี่ยนในห้องเปลี่ยนชุด เสร็จแล้วก็ยืนส่องกระจกดูสภาพตัวเองก็ถึงกับขำออกมา นี่เขาต้องมาใส่ชุดบ้าอะไรเนี่ย เสื้อแขนกระบอกคอจีนสีแดงมีลายเส้นสีดำตัดที่แขนเสื้อทั้งสองข้าง เข้าคู่กับกางเกงสแลคสีดำ แถมยังมีหมวกสีแดงคล้ายกับกะลาสีเรือให้ใส่อีกด้วย ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยใส่ชุดแบบนี้มาก่อน หลังจากนั้นก็เดินออกมาหาผู้จัดการ

            “นี่ผมต้องใส่ชุดนี้ทำงานทั้งวันเลยเหรอครับ” เดินออกมาด้วยท่าทีเก้ๆกังๆด้วยความไม่คุ้นเคย

            “ใช่ค่ะ...ก็เข้าท่าดีนะพี่ว่าดูเหมาะกับคุณเจฟฟี่ออก” ผกาเอ่ยชมแต่กลับอมยิ้มกับท่าทางของลูกน้องคนใหม่ ช่างดูเงอะงะเสียนี่กระไร

            “จริงดิครับผมว่ามันแปลกๆมากกว่า” เจ้าตัวทำสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

            “ไม่หรอกค่ะเดี๋ยวก็ชิน มานั่งตรงนี้ก่อนเดี๋ยวพี่จะอธิบายขั้นตอนการทำงานและการปฏิบัติตัวต่อแขกให้ทราบคร่าวๆ แล้วช่วงบ่ายค่อยลงไปทำงานจริงๆ”

            “ครับพี่”

            เจฟฟี่นั่งลงแล้วตั้งใจฟังสิ่งที่ผกาอธิบาย มีหลายเรื่องที่เจ้าตัวได้ฟังแล้วก็รู้สึกกังวลใจ เพราะงานบริการต้องเอาใจลูกค้าให้มากที่สุด เขาเคยแต่จิกหัวใช้คนอื่นมาตลอด แต่วันนี้กลับต้องมาเป็นฝ่ายมาคอยตามเอาใจคนอื่นซะงั้น คิดแล้วก็ได้แต่ปลงและยอมทำใจรับมันให้ได้

*-*-*-*-*-*-*

            ร้านเบเกอร์รี่

            วันนี้เป็นวันที่สองของการทำงานแล้ว เงินเริ่มรู้จักอะไรมากขึ้นและเรียนรู้งานได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นยังโชคดีที่ได้มีเพื่อนใหม่รุ่นราวคราวเดียวกันอย่างมอสทำให้ไม่รู้สึกเหงา จริงๆแล้วเจสสิก้าอยากให้เงินเข้าไปช่วยงานในเคาน์เตอร์เสียมากกว่า แต่เจ้าตัวกลับเป็นคนขอมาเป็นพนักงานเสิร์ฟเองเพราะคิดว่าน่าจะสามารถทำออกมาได้ดีกว่าตำแหน่งอื่นๆ

            “โต๊ะห้าจ๊ะเงิน” ‘เปิ้ล’ พนักงานรุ่นพี่เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทำให้บรรยากาศการทำงานเต็มไปด้วยความอบอุ่น

             “ครับพี่เปิ้ล”

              เงินรับคำสั่งรุ่นพี่ที่หน้าเคาน์เตอร์พร้อมส่งยิ้มให้ ก่อนจะยกถาดเค้กนำไปเสิร์ฟให้ลูกค้าคู่รักชายหญิง ที่กำลังนั่งจ้องตากันอย่างหวานซึ้งรออยู่ที่โต๊ะ เห็นอย่างนั้นก็ทำให้เงินคิดถึงใครบางคนขึ้นมาทันที ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง

            “ขออนุญาตเสิร์ฟนะครับ” เงินค่อยๆวางเค้กทั้งสองจานให้ลูกค้าอย่างคล่องแคล่ว “ไม่ทราบว่าจะรับอะไรเพิ่มเติมไหมครับ” 

            “ไม่เป็นไรค่ะ” ลูกค้าสาวตอบกลับมา

            “ถ้าอย่างนั้นทานให้อร่อยนะครับ” เงินยิ้มให้แล้วเดินถือถาดกลับมาที่หน้าเคาน์เตอร์ ก็พบกับมอสยืนยิ้มให้รออยู่ก่อนแล้ว

            ด้วยความที่ทั้งสองคนเป็นเด็กใหม่ด้วยกันทำให้สนิทสนมกันได้ไม่ยาก

            “เงินช่วงเที่ยงไปกินเตี๋ยวกับเราเปล่า ร้านนี้อร่อยชัวร์เรารับรอง” เพื่อนร่วมงานสุดหล่อเอ่ยปากชวน มีหรือที่เงินจะปฏิเสธได้ แต่ทั้งนี้เจ้าตัวจะต้องไปขออนุญาตเจ้าของร้านก่อน กลัวว่าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจะได้ไม่โดนว่าทีหลัง

            “อื้ม...ไปก็ได้แต่เราต้องไปขออนุญาตพี่เจสก่อนนะ” เงินตอบกลับพร้อมรอยยิ้มหวาน

            “โอเค” มอสยักคิ้วให้ดูท่าทางจะดีใจไม่น้อย

            “นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้วถ้างั้นเราขอตัวไปหาพี่เจสก่อนละกันนะ”

            เงินยิ้มให้เพื่อนร่วมงานหลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของเจสสิก้า เห็นเจ้าของร้านสาวสวย นั่งเขียนเอกสารบางอย่างอยู่จึงเคาะประตูห้องที่เป็นกระจกใสแล้วเปิดเข้าไปด้านใน

            “ว่าไงจ๊ะเงิน” เจสสิก้าเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้

            “คือช่วงเที่ยงผมขออนุญาตไปทานก๋วยเตี๋ยวกับมอสได้ไหมครับพี่เจส”

            “เอาสิมันเป็นช่วงพักของเราไม่ต้องมาขออนุญาตพี่ก็ได้”

            “ขอบคุณครับพี่เจสถ้างั้นผมขอตัวนะครับ” ว่าแล้วก็เดินออกไปจากห้อง

            เจสสิก้ามองตามหลังเด็กหนุ่มด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หล่อนภาวนาขออย่าให้น้องชายตัวดีทำตัวเหลวไหลจนเสียคนดีๆอย่างเงินไป เพราะไม่งั้นหล่อนเองก็คงเสียดายอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

            เมื่อถึงช่วงเที่ยงแล้วมอสก็ขับรถมอเตอร์ไซต์คู่ใจ พาเพื่อนร่วมงานตรงไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวที่เจ้าตัวการันตีว่าอร่อยสุดๆ ไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงที่หมาย ร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งนี้ตั้งอยู่ข้างถนนสายหลัก พื้นที่ไม่ใหญ่มากนักแต่ก็มีลูกค้ามานั่งจนเกือบเต็มร้าน เจ้าถิ่นเดินนำหน้าเข้าไปในร้านอย่างคุ้นเคย เมื่อได้ที่นั่งแล้วก็มีพนักงานหนุ่มมารับออร์เดอร์

            “รับอะไรดีครับ” พนักงานหนุ่มหน้าหวานเดินตรงเข้ามาหาพร้อมกับกระดาษจดบันทึก มอสเงยหน้าขึ้นไปมองก่อนจะเอ่ยขึ้นมา

            “กูเอาก๋วยเตี๋ยวต้มยำทะเลพิเศษ แล้วเงินล่ะเอาอะไรดีครับ” มอสสั่งออร์เดอร์แล้วหันไปเอ่ยกับเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ตรงข้าม

            เงินมองหน้ากลับเพราะยังไม่รู้ว่าที่นี่มีเมนูอะไรเด็ดๆบ้าง

            “มีเมนูแนะนำไหมอ่ะ”

            “ถ้างั้นเอาเหมือนเราไหมล่ะ...อร่อยสุดแล้ว” มอสปรายตาไปมองพนักงานคนนั้นอยู่บ่อยครั้ง เหมือนพยายามให้อีกฝ่ายหันมามองบ้าง

            “ถ้างั้นเอาเหมือนกันครับ” เงินหันไปยิ้มให้กับพนักงาน แต่ในใจกลับมีคำถามากมายเกิดขึ้น เพราะมอสเอาแต่มองพนักงานคนนั้น แถมยังใช้คำแทนตัวว่ากูอีกต่างหากมันดูแปลกๆยังไงพิกล

            “มอสเราขอถามอะไรหน่อยดิ” แม้เงินจะนั่งอยู่ตรงหน้าแต่สายตาของมอส กลับสนใจมองตามหลังพนักงานคนนั้นไปมากกว่า

            “อื้อ..มีอะไรเหรอเงิน” เมื่อได้ยินคำถามมอสหันมาส่งยิ้มให้

            “มอสรู้จักกับพนักงานคนนั้นเหรอ”

            “เพื่อนเราเองล่ะ” เหมือนอีกฝ่ายมีอะไรที่ยังค้างคาอยู่ในใจ แต่เงินเองก็ไม่อยากจะถามเซ้าซี้จนเกินไป ได้แต่พยักหน้ารับ

            “อ๋อ...มิน่าล่ะมอสถึงได้มองตามตลอดเลย แต่ก็งงว่าทำไมเค้าทำเป็นเหมือนไม่รู้จักมอสเลยอ่ะ” มอสยิ้มให้กำลังจะตอบกลับมา แต่ระหว่างนั้นเจฟฟี่ก็วิดีโอคอลมาหาเงินพอดี

            “เราขอรับสายแฟนแป๊บนะ” มอสพยักหน้าให้ ส่วนเงินก็กดรับวิดีโอคอลจากปลายสาย

            “เงินอยู่ที่ไหนเนี่ย” เจฟฟี่มองไปข้างหลังก็รู้สึกไม่คุ้นตา เดาว่าคงไม่ใช่ที่ร้านเบเกอร์รี่ของพี่สาวแน่นอน

            “ผมมากินก๋วยเตี๋ยวข้างนอกครับ” เงินยิ้มให้อีกฝ่าย

            “มากับใคร” เมื่อรู้อย่างนั้นเจฟฟี่ก็พูดด้วยน้ำเสียงห้วนทันที

            “มากับมอสอ่ะ” เงินตอบไปตามความจริง

            “ทำไมต้องมากับมันด้วย ก็รู้ว่าพี่ไม่ชอบขี้หน้ามัน กลับเดี๋ยวนี้เลย” ปลายสายเริ่มออกคำสั่งเสียงดัง มอสได้ยินก็เดินมานั่งข้างๆเงินก่อนจะโผล่หน้าเข้าไปในจอ ใบหน้าทั้งสองเกือบจะสัมผัสกัน นั่นยิ่งทำให้เจฟฟี่เดือดขึ้นไปอีก

            “เดี๋ยวกลับอีกไม่นานหรอกน่า ว่าแต่พี่ทานอะไรยัง”

            “ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง บอกให้ไอ้เหี้ยนั่นออกไปให้พ้นหน้าพี่เดี๋ยวนี้” แม้จะได้ยินอย่างนั้นมอสก็ยังทำหน้าทะเล้นอยู่ในจอ

            “สวัสดีครับพี่ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมจะพาเงินกลับร้านอย่างทะนุถนอมแน่นอนครับ” เงินส่งเสียงผ่านหน้าจอไป

            “มึงหุบปากเดี๋ยวนี้แล้วออกไปให้ห่างๆจากเมียกูด้วย” เจฟฟี่ชี้หน้าผ่านจอ ดูก็รู้ว่าโมโหมากขนาดไหน

            “มอสกลับไปนั่งที่ก่อนเถอะ” เงินหันไปเอ่ยกับเพื่อนร่วมงาน เจ้าตัวรู้ว่ามอสแค่อยากแกล้งเจฟฟี่เท่านั้นเอง ไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้ามาแต๊ะอั๋งเหมือนที่เจฟฟี่กังวลใจ

            ก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิมมอสยังไม่วายที่จะโบกมือให้ ระหว่างนั้นก๋วยเตี๋ยวที่สั่งมาเสิร์ฟที่โต๊ะพอดี ทำให้มอสหันไปสนใจก๋วยเตี๋ยวชามโตแทน หลังจากทุกอย่างอยู่ในความสงบแล้วเงินก็เอ่ยถามคนรักขึ้นอีกครั้ง

            “สรุปพี่ทานข้าวยัง” เงินเริ่มทำน้ำเสียงจริงจังขึ้นมา

            “ทานแล้วแต่ทานได้นิดเดียวเอง มันไม่อร่อยเหมือนที่เงินทำเลยอ่ะ แถมตอนนี้ยังคิดถึงมากๆด้วย” อีกฝ่ายทำหน้าหงอย เหมือนกำลังรู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เผชิญอยู่ในตอนนี้

            “อย่าทำตัวงอแงเหมือนเด็กสิ อย่างนี้จะรอดไหมเนี่ย แล้วทำงานเป็นยังไงบ้าง” เงินยิ้มเพื่อเป็นกำลังใจให้อีกฝ่าย

            “ช่วงเช้าเป็นการเทรนในห้อง ช่วงบ่ายถึงจะได้ออกไปทำงานจริงๆ พี่จะพยายามอดทนเพื่อเรานะ”

            “สู้ๆนะครับ ผมเป็นกำลังใจให้เสมอ” แม้ยังไม่ชินที่จะพูดคำหวาน แต่เงินก็อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง เขารู้ว่ามันหนักสำหรับเจฟฟี่เพราะเคยใช้ชีวิตหรูหรามาตลอด พอมาเจออย่างนี้มันคงจะหนักน่าดู

            “ขอบใจนะที่รัก เย็นนี้ตัวเองนวดให้เค้าหน่อยนะ” แม้จะคุยกันผ่านหน้าจอแต่สายตาหื่นยังคงแผ่รังสีเข้ามาจนเงินสัมผัสได้

            “ก็ได้...แต่ต้องตั้งใจทำงานนะห้ามอู้เด็ดขาด” เงินตอบรับแต่ก็ต้องมีข้อแม้เสมอ

            “คร้าบบบ” เมื่อได้ฟังคำตอบที่พอใจก็ยิ้มหน้าบานทันที

            “เดี๋ยวผมขอตัวกินก๋วยเตี๋ยวก่อนนะเย็นหมดแล้วเนี่ย”

            “คร้าบบที่รัก ห้ามให้ไอ้นั่นมาแตะเนื้อต้องตัวเด็ดขาดนะ”

            “อื้ม..แค่นี้ล่ะบาย” ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับมาเงินก็กดวางสาย แล้วหันมาสนใจชามก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ตรงหน้าทันที

            “หวานกันจริงๆเลยนะ” มอสเอ่ยแซวขณะใช้ตะเกียบคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวไปด้วย

            “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก บางทีก็มีงอนกันบ้างหวานมากไปมันก็จะเลี่ยนๆ” เงินตักเครื่องปรุงใส่ชามไปด้วย

            “เราหมั่นไส้แฟนเงินโคตรๆ คนอะไรจะหวงหึงหนักขนาดนี้ ที่เราทำไปต้องขอโทษด้วยนะ เราอดไม่ไหวจริงๆ” มอสเอ่ยแต่สายตากลับลอยไปที่อื่นอีกแล้ว จนเงินรู้สึกผิดสังเกต เวลาเพื่อนของมอสคนนั้นเดินไปไหนมาไหน มอสก็จะปรายตาตามตลอดเวลา

            “พูดกับเราก็หันมามองเราหน่อย ใจลอยไปไหนแล้วนั่น” เงินเอ่ยแซว

            “เอ่อ..โทษที” เจ้าตัวทำหน้าเหรอหราแล้วหันกลับมาสนใจชามก๋วยเตี๋ยวต่อ

            “เราว่ามอสแปลกๆตั้งแต่เข้ามาในร้านแล้ว สรุปผู้ชายหน้าตาน่ารักคนนั้นเป็นเพื่อนมอสจริงๆหรือเปล่า” เงินถามออกไปตรงๆ

            “เพื่อนเราจริงๆแต่เลิกคบไปตั้งนานแล้ว” เจ้าตัวตอบแล้วทำหน้าหงอยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้

            “อ้าวทำไมล่ะ” เงินทำหน้าสงสัย

            “มันชื่อไอ้บอลเป็นเพื่อนเราตั้งแต่ประถม เราเป็นเพื่อนสนิทที่แตกต่างกันมาก เราชอบเที่ยวกลางคืนชอบแข่งรถ แต่มันเป็นเด็กดีตั้งใจเรียน เราจำได้ดีตอนมอห้าเทอมสุดท้ายเราแอบชอบเพื่อนผู้หญิงในห้องคนนึง เลยไปปรึกษามันว่าจะขอคบดีหรือเปล่า แต่มันก็ทำท่าอึกอักแล้วมาบอกว่าชอบเราซะงั้น ด้วยความตกใจและโมโหเราเลยต่อยมันจนน่วมเป็นเรื่องดังไปทั้งโรงเรียน ทุกคนรู้เรื่องนี้กันหมด” เล่ามาถึงตอนนี้มอสก็ทำหน้าเศร้าเข้าไปใหญ่

               “แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น” เรื่องที่มอสเล่าทำให้เงินรู้สึกสนใจเป็นพิเศษ

               “ไอ้บอลมันอายมากเลยย้ายโรงเรียนหนีไป และหายไปจากชีวิตเราตั้งแต่นั้นมา แต่เมื่อเดือนก่อนเรามาเจอมันอีกครั้งที่ร้านก๋วยเตี๋ยวนี้ มันมารับจ้างเป็นเด็กเสิร์ฟ เราเลยตัดสินใจมาสมัครงานที่ร้านเพื่อจะได้มาอยู่ใกล้ๆมัน ยิ่งห่างกันยิ่งทำให้เรารู้ใจตัวเอง จนตอนนี้เราว่ารักมันเข้าให้แล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันจะคิดกับเราเหมือนเดิมรึเปล่าน่ะสิ มาหาทีไรมันก็ทำตัวห่างเหินตลอด” มอสผู้เคยเป็นหนุ่มแบดบอยกลับกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆเมื่อเล่าเรื่องนี้ให้เงินฟัง

            “เอาจริงๆนะเราสงสารเพื่อนมอสมากกว่าอ่ะ โดนอย่างนั้นเข้าคงจะเสียศูนย์ไปเลย แต่ไม่ต้องคิดมากนะเราเองก็เข้าใจมอสเหมือนกัน ตอนนั้นอาจจะยังสับสนอยู่ ถ้ามีอะไรให้เราช่วยก็บอกได้นะ” เงินยิ้มให้กำลังใจ

            “เงินช่วยแกล้งเป็นแฟนเราหน่อยนะ เราอยากรู้ว่ามันจะยังรักเราอยู่เหมือนเดิมไหม” นี่คือจุดประสงค์ที่มอสพาเงินมาที่นี่ 

            “จะดีเหรอเรากลัวว่ามันจะแย่กว่าเดิมน่ะสิ”

            “ไม่หรอกเรารู้นิสัยมันดี มันเป็นคนเก็บอาการไม่ค่อยอยู่ รู้สึกยังไงก็แสดงออกมาอย่างนั้น ถ้าเราพาเงินมาที่นี่บ่อยๆ หากมันยังรักเรามันต้องออกอาการเข้าสักวันแน่นอน” มอสเอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจ

            “เอ่อ...ก็ได้แต่แค่ที่นี่ใช่ไหม” เงินถามเพื่อความมั่นใจเพราะไม่อยากให้เจฟฟี่เห็นและเข้าใจอะไรผิดไปอีก

            “ใช่แค่ที่นี่”

            “โอเค...เราจะช่วยมอสจนกว่าจะรู้ความจริงละกัน ถ้ามอสรู้ความจริงแล้วจะเอายังไงต่อล่ะ”

            “ถ้ามันยังรักเราก็จะขอมันเป็นแฟน แต่ถ้า...มันไม่เหมือนเดิมแล้วเราก็จะออกจากชีวิตมันไป” ดูท่าทางมอสคงจะรู้สึกผิดกับเรื่องราวในอดีตไม่น้อย เพราะเงินรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่แสดงออกทางสีหน้า

            “ถ้าคนเราเป็นเนื้อคู่กันแล้ว ยังไงก็ต้องได้อยู่ด้วยกันแน่นอน” เงินเอื้อมมือเรียวไปกุมมือของเพื่อนไว้เพื่อให้กำลังใจ

            “ขอบใจนะที่ให้กำลังใจเรา” มอสยิ้มให้

            “ไม่เป็นไรเรายินดี”

             “ถ้างั้นเรากลับกันเถอะนี่ก็ใกล้บ่ายโมงแล้ว” มอสเอ่ย

            เมื่อทั้งสองลุกขึ้นจากโต๊ะแล้ว มอสก็เอื้อมมือไปโอบที่เอวคอดไว้แล้วเดินออกไปจากร้าน หวังให้บอลได้เห็น และตั้งใจจะพาเงินมาที่นี่บ่อยๆจนกว่าจะได้รู้ว่าอีกฝ่ายยังคงมีความรู้สึกดีๆให้อยู่หรือเปล่า





---------------------------------

สปอยๆตอนหน้าน้องปลาวาฬจะท้องแล้วน้า

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
ตอนหน้าจะท้องแล้วหรอ แหม่ น่ำยาดีหรือขยันเข้าสู้เนี่ย

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
อยากอ่านคู่ปลาวาฬแล้ววว :ling1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
หนูเงิน ระวังพี่เจฟรู้นะ มอสตายลูกเดียว  :3125:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
น้ำยาดีแท้นะนักบิน

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
อยากอ่านปลาวาฬเเล้ว

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ aeecd

  • :: 8018 ::
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-0

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๑o-

ท้อง



          วันเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้ก็ครบหนึ่งเดือนแล้วที่ปลาวาฬได้เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านมหาธำรงกุล วันๆเจ้าตัวเอาแต่นั่งลุ้นภาวนาให้ตัวเองมีเจ้าตัวน้อยเร็วๆ เพราะหากยังไม่มีวี่แววก็จะต้องเสียท่าให้กับนักบินอีกแน่นอน แค่นึกเห็นภาพไอ้เจ้าโลกขนาดมหึมาก็ทำเอาปลาวาฬขนลุกซู่ขึ้นมาทันที

           ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังเดินทางไปที่โรงพยาบาลตามคำสั่งของคุณหญิงฉัตรฉาย นั่นเพราะหลายวันก่อนปลาวาฬได้ซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจเองที่บ้านแต่ผลที่ออกมากลับเป็นลบ คุณหญิงจึงอยากให้มาตรวจที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อยืนยันผล อีกอย่างปลาวาฬเองก็เป็นผู้ชายอาจจะทำให้ผลการตรวจต่างจากผู้หญิงก็เป็นได้

           ระหว่างทางร่างเล็กเอาแต่นั่งเงียบเพราะรู้สึกตื่นเต้น ถอนหายใจเข้าออกนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้คนที่กำลังขับรถอยู่ปรายตามองมาตลอดทางด้วยความรำคาญใจ

            “นายเป็นอะไร...ทำตัวน่ารำคาญฉิบหาย” หากนักบินไม่เอ่ยอย่างนี้ออกไป มีหวังต้องทนรำคาญไปอย่างนี้ตลอดทางแน่นอน

            “ก็คนมันตื่นเต้นนี่นาคุณคงไม่เข้าใจหรอก”

            “ฉันเองก็ตื่นเต้นไปไม่น้อยกว่านาย แต่ไม่เห็นต้องถอนหายใจจนน่ารำคาญอย่างนี้เลย”

            “เรื่องของผมไม่ต้องมายุ่ง” ปลาวาฬหันไปชักสีหน้าใส่ แล้วสะบัดหน้ากลับคืนมา

            เอี๊ยด!!!

            นักบินเบรครถกะทันหันจนทำให้ศีรษะของอีกฝ่ายกระแทกเข้ากับหน้ารถอย่างจัง

            “โอ๊ย!!! คุณทำบ้าอะไรเนี่ยจะเบรคก็ไม่บอกกัน” มือเรียวยกขึ้นมาลูบที่ศีรษะป้อยๆ

            “เรื่องของฉัน นายจะได้หายตื่นเต้นไงล่ะไม่ดีเหรอ” ว่าแล้วก็หันไปมองถนนแล้วขับต่อไปอย่างไม่สนใจ

            “ทำเป็นเล่นเดี๋ยวได้ตายก่อนถึงโรง’บาลกันพอดี” ปลาวาฬนั่งหน้าบึ้งพร้อมกับบ่นออกมาเบาๆ

            เมื่อมาถึงโรงพยาบาลแล้วนักบินก็เดินนำหน้าตรงไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เพื่อขอเข้าพบคุณหมอสูตินารีที่ได้โทรนัดไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ‘หมอเดี่ยว’ เป็นเพื่อนกับนักบินตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เรียนจบแพทย์จากต่างประเทศและเข้ามาประจำอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้ได้หลายปีแล้ว

             “ผมมาพบคุณหมอเทพพงษ์ครับ” นักบินเอ่ยกับประชาสัมพันธ์สาวสวยประจำโรงพยาบาล

             “ไม่ทราบว่าได้นัดไว้ไหมคะ”

             “นัดไว้ครับ”

             “ถ้างั้นรอสักครู่นะคะ” เจ้าหล่อนรีบโทรแจ้งคุณหมอ คุยได้สักพักก็วางสายแล้วหันมายิ้มให้ “เชิญเข้าไปพบคุณหมอในห้องตรวจหมายเลขห้าทางด้านโน้นได้เลยค่ะ” เจ้าหล่อนผายมือบอกทางด้วย

             “ขอบคุณครับ”

            นักบินตอบรับแล้วเดินนำหน้าตรงเข้าไปในห้องตรวจทันที ส่วนปลาวาฬก็ได้แต่ทำหน้างองุ้มเดินตามหลังไปติดๆ คนอะไรจะเดินเร็วเป็นบ้า ปลาวาฬได้แต่บ่นในใจ ที่นี่เป็นโรงพยาบาลเอกชนดังนั้นค่ารักษาพยาบาลจึงค่อนข้างสูงมาก ทำให้คนไข้เข้ามาใช้บริการค่อนข้างจะบางตา นั่นต่างจากโรงพยาบาลของรัฐราวฟ้ากับเหว

            ก่อนจะเข้าไปในห้องตรวจพยาบาลก็เรียกตัวปลาวาฬเข้าไปทำประวัติคนไข้ก่อน เมื่อเสร็จแล้วนักบินก็เดินนำหน้าพาเข้าไปในห้องตรวจ

            “ว่าไงไอ้คุณนักบิน” เดี่ยวเอ่ยทักขึ้นก่อน เมื่อเห็นเพื่อนเดินเข้ามาพร้อมกับหนุ่มน้อยหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง

            “ไม่ว่าไง...กูพาเด็กมาตรวจตามที่ได้บอกมึงไว้เมื่อคืนนี้” เมื่อคืนนักบินได้โทรคุยกับเพื่อนและเล่ารายละเอียดให้ฟังคร่าวๆแล้ว

            “น้องนั่งรอที่เก้าอี้ก่อนครับ เดี๋ยวหมอโทรหาพยาบาลแป๊บนึง” เดี่ยวหันไปเอ่ยกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆเพื่อน

             “ขอบคุณครับ”  ปลาวาฬเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างผนัง ส่วนนักบินยังคงยืนอยู่ที่เดิม

             “แล้วกูล่ะไม่คิดจะเชิญนั่งบ้างเลยรึไง” นักบินพูดเหมือนน้อยใจเพื่อนซะเต็มประดา

            “ถ้ามึงไม่นั่งก็แล้วแต่โตเป็นควายแล้วยังคิดไม่เป็นอีก” เดี่ยวยกยิ้มที่มุมปากแล้วหันไปสนใจโทรศัพท์ที่วางอยู่มุมโต๊ะ ก่อนจะยกหูขึ้นมาโทรหาพยาบาลเพื่อให้มารับตัวปลาวาฬไปเก็บตัวอย่างปัสสาวะและเลือดเพื่อส่งตรวจที่ห้องแล็บ “พี่ชื่อหมอเดี่ยวนะครับ แล้วน้องชื่ออะไร” เมื่อวางสายแล้วเดี่ยวก็หันมาถาม

            “ปลาวาฬครับ” ร่างเล็กยิ้มหวานให้คุณหมอจนคนที่นั่งอยู่ข้างๆแทบจะถลึงตาใส่

            “น้องปลาวาฬอีกแป๊บนึงพยาบาลจะพาไปเก็บตัวอย่างเลือดและปัสสาวะ เสร็จแล้วจะพากลับมาส่งที่ห้องนี้” คุณหมอเอ่ยด้วยท่าทีสุภาพและน้ำเสียงที่ดูเป็นคนใจดี

            “ครับคุณหมอ” ปลาวาฬยิ้มให้กับคุณหมอ ทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆรู้สึกไม่พอใจอีกครั้ง เพราะคิดว่าไอ้เด็กดื้อคนนี้หว่านเสน่ห์ให้เพื่อนของตัวเอง

            “หยุดหว่านเสน่ห์ใส่เพื่อนฉันเดี๋ยวนี้” นักบินหันมากระซิบกระซาบข้างใบหู ปลาวาฬได้ยินอย่างนั้นก็ตอบกลับอย่างเจ็บแสบราวกับว่าไม่ได้สนใจคำพูดนั่นแม้แต่น้อย

            “เรื่องของผมอย่าเผือก”

            ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น พร้อมกับพยาบาลสาวสวยที่เดินยิ้มหวานเข้ามา

            ก๊อกๆๆๆ!!!

            “เชิญคุณปลาวาฬค่ะ” ปลาวาฬลุกขึ้นแล้วเดินตามหลังพยาบาลสาวสวยคนนั้นไป

            นักบินรีบยกเก้าอี้เดินเข้าไปนั่งข้างๆเพื่อนเมื่ออยู่กันเพียงลำพังแล้วทำเอาเดี่ยวถึงกับงุนงง

            “มึงจะเข้ามานั่งใกล้กูทำหอกอะไรวะห้องก็ออกจะกว้าง”

            “กูมีเรื่องจะตกลงกับมึงก่อน”

            “ว่า” เดี่ยวเอ่ยขณะตายังคงจ้องมองที่หน้าจอคอมพิเวตอร์

            “พอไอ้เด็กนั่นกลับมาแล้วเดี๋ยวกูจะพากลับเลยนะ มึงค่อยส่งผลไปให้กูทีหลัง” นักบินเอ่ยกระซิบกระซาบกับเพื่อน ราวกับว่าจะมีใครเข้ามาได้ยินด้วยซะอย่างนั้น

            “มึงจะกระซิบทำห่าอะไร พูดดีๆ”

            “ก็ตามที่บอกนั่นล่ะ” นักบินเขยิบออกมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ

             “รอแป๊บนึงไม่ได้เหรอวะ และอีกอย่างกูจะต้องเป็นคนบอกน้องเขาด้วยตัวเองนะ” เดี่ยวรู้สึกสงสัยกับสิ่งที่เพื่อนเอ่ยออกมา

            “ไม่เป็นไรกูจะเป็นคนบอกเองไง มึงอย่าลืมว่ากูเป็นคนจ้างให้ไอ้เด็กนั่นท้องนะ เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันต้องผ่านกู” นักบินใช้สิทธิ์การเป็นนายจ้างมาอ้าง

            “แต่กูไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อนเลยนี่หว่า ถึงแม้น้องเขาจะมารับจ้างท้องให้มึง แต่ถึงยังไงน้องเขาก็เป็นแม่เด็กนะเว้ย” เดี๋ยวไม่เห็นด้วยกับความคิดของเพื่อน

            “กูไม่มีทางให้เด็กคนนั้นมาเป็นแม่ของลูกกูเด็ดขาด...กูทำสัญญาเอาไว้แล้ว” ประโยคที่เพิ่งเอ่ยออกไปทำให้เจ้าตัวรู้สึกเจ็บจี๊ดๆอย่างบอกไม่ถูก

            “น่าสงสารน้องจังเลยว่ะ” เดี่ยวถอนหายใจ เขาเป็นหมอสูตินารีย่อมรู้ดีว่าความผูกพันธ์ระหว่างแม่กับลูกมันมีมากกว่าคนเป็นพ่อเสียด้วยซ้ำ

            “จะสงสารทำไมในเมื่อไอ้เด็กนั่นเลือกอย่างนี้เอง คนที่เห็นแก่เงินอย่างนี้กูคงจะให้เป็นแม่ของลูกกูไม่ได้หรอก” 

            “คนเรามันเลือกเกิดได้ที่ไหนกันวะ น้องเขาอาจจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆก็ได้” เดี่ยวไม่ได้โลกสวยขนาดนั้น แม้จะเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก แต่ก็มั่นใจว่าปลาวาฬเป็นเด็กดีเพราะมีสัมมาคาระและพูดจาอ่อนน้อม

            “มึงอย่ามาทำเป็นรู้ดีกว่ากู” นักบินเริ่มหัวร้อนเมื่อเพื่อนไม่ได้เชื่อสิ่งที่ตัวเองพูดเลย

            “เออๆแล้วแต่มึงละกันกูขี้เกียจจะพูดแล้ว” เดี่ยวปัดมือไล่เพื่อนให้ออกห่างจากตัว เพราะถึงจะพูดยังไงก็คงจะเหมือนเดิม คนหัวดื้ออย่างนักบินเคยฟังใครซะที่ไหนกัน

            ก๊อกๆๆๆ!!!

            “พาคนไข้มาส่งแล้วค่ะ” พยาบาลสาวเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับปลาวาฬ แล้วยื่นเอกสารให้กับคุณหมอ หลังจากนั้นเจ้าหล่อนก็เดินออกจากห้องไป

            “เสร็จแล้วใช่ป่ะกลับบ้านกันเถอะ” คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ยังไม่ทันได้นั่งลงที่เก้าอี้เลย แต่นักบินกลับเอ่ยขึ้นมาก่อน

            “อ้าว! แล้วไม่รอฟังผลหรอกเหรอคุณ” ปลาวาฬหันไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

            “เดี๋ยวหมอจะส่งผลให้ฉันทีหลัง...ใช่ไหมวะ” นักบินหันไปขยิบตาให้เพื่อน

            “ชะ...ใช่ครับเดี๋ยวหมอจะส่งผลตรวจไปให้นักบินทีหลังครับ พอดีมีปัญหาทางเทคนิคนิดหน่อย” เดี่ยวยิ้มแหยๆให้กับร่างเล็ก ตั้งแต่เขาเป็นหมอมาไม่เคยต้องโกหกคนไข้อย่างนี้มาก่อนเลย

            “แย่จังเลยนึกว่าจะรู้ผลเร็วๆซะอีก” ปลาวาฬก้มหน้าเศร้าเมื่อได้ยินอย่างนั้น

            “ถ้าผลแล็บเสร็จตอนไหนหมอรับรองว่าจะรีบส่งให้แน่นอนครับไม่ต้องห่วง” เดี่ยวเห็นท่าทีของปลาวาฬก็รู้สึกสงสารขึ้นมา ดูท่าทางคงจะอยากรู้ซะเต็มประดา นี่คือสัญชาตญาณของคนที่กำลังจะเป็นแม่เขาสัมผัสได้

            “ไปๆๆ กลับกันเถอะ” ว่าแล้วนักบินก็โอบไหล่ร่างเล็กอย่างลืมตัว

            “เอามือคุณออกไปเลย” ปลาวาฬรีบปัดมืออีกฝ่ายออกโดยเร็ว พร้อมกับหันไปทำหน้าเหี้ยมใส่

            “ผมกลับก่อนนะครับคุณหมอ” เจ้าตัวยกมือไหว้แล้วยิ้มหวานให้คุณหมอ

            “ครับคราวหน้าคงได้เจอกันอีก” เดี่ยวยิ้มตอบ

            “มัวแต่ยิ้มอยู่นั่นล่ะเดินออกไปสิ!” เมื่อเห็นทั้งสองคนยืนยิ้มให้กันอยู่ นักบินก็เดินไปแทรกตรงกลางแล้วดันหลังร่างเล็กให้เดินออกไปจากห้องตรวจทันที

            เดี่ยวมองตามหลังไปก็หัวเราะออกมาเบาๆ ไหนบอกว่าเป็นแค่นายจ้างกับลูกจ้าง แต่ทำตัวอย่างกับเป็นเจ้าของซะอย่างนั้น เพื่อนของเขายังคงเป็นคนหัวรั้นและปากแข็งอยู่เหมือนเดิมสินะ

*-*-*-*-*-*-*

            ระหว่างนั่งรถกลับมาที่บ้าน ปลาวาฬเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา ส่วนนักบินกลับขับรถผิวปากไปอย่างสบายใจ จนอีกฝ่ายรู้สึกหมั่นไส้กับท่าทีนั่นและได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจมาตลอดทางจนถึงบ้าน เมื่อลงจากรถแล้วทั้งสองก็เดินเข้ามาในบ้าน คุณหญิงฉัตรฉายพร้อมทั้งสามีและลูกชายคนเล็กต่างก็นั่งรอในห้องนั่งเล่นอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อเห็นนักบินและปลาวาฬเดินเข้ามา ทั้งหมดก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกันโดยอัตโนมัติ

            “ผลเป็นยังไงบ้างลูก ปลาวาฬท้องหรือเปล่า” คุณหญิงฉัตรฉายถามขึ้นมาเป็นคนแรก

            “ตอนนี้ยังไม่ทราบครับ ไอ้เดี่ยวมันจะแจ้งผลมาอีกที” นักบินตอบ

            ปลาวาฬเดินเลี่ยงไปนั่งที่โซฟาอย่างหมดแรง ปล่อยให้คนในครอบครัวได้คุยกันเอง

            “อ้าว! ทำไมเป็นอย่างนี้แม่ก็นึกว่าจะรู้ผลเลยซะอีก” คุณหญิงฉัตรฉายรู้สึกสงสัย เพราะปกติไปตรวจที่โรงพยาบาลก็จะแจ้งผลที่นั่นเลย

            “มีปัญหาทางเทคนิคนิดหน่อยครับแม่ แต่คิดว่าอีกไม่นานมันคงจะแจ้งผลมา” 

            “ถ้าอย่างนั้นเราก็มานั่งรอฟังผลกันที่นี่กัน” คุณหญิงบอกกับทุกคนแล้วเดินไปนั่งลงข้างๆปลาวาฬ ก่อนจะจับมือเอาไว้เพื่อให้กำลังใจ

            “หนูปลาวาฬอย่าตื่นเต้นไปเลยนะจ๊ะ อีกไม่นานก็รู้ผลแล้ว” คุณหญิงมองดูท่าทีของปลาวาฬก็พอจะรู้ว่ากำลังตื่นเต้นมากแค่ไหน

            “ครับคุณหญิง” ได้รับกำลังใจจากคุณหญิงก็ทำให้ปลาวาฬยิ้มขึ้นมาได้

            ระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือของนักบินก็ดังขึ้นมา ทุกคนหันขวับไปมองเป็นตาเดียวกัน เพราะคิดว่าน่าจะเป็นสายของทางโรงพยาบาลแน่นอน นักบินมองที่หน้าจอมือถือแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ทุกคนก่อนจะกดรับสาย

            “ฮัลโล ว่าไงมึง” เป็นเดี่ยวนั่นเองที่โทรเข้ามา

            [“พร้อมที่จะฟังผลรึยังวะ”]

            “พร้อมแล้วว่ามา” ตอนนี้หัวใจของนักบินเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาภาวนาขอให้เป็นอย่างที่คิดไว้

            [“ผลแล็บออกมาแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วยว่ะมึงกำลังจะมีลูก”]

            “อ้าว! จริงเหรอวะ! ขอบใจละกันที่โทรมาบอกแค่นี้ก่อนนะเว้ย” แทนที่จะส่งเสียงดีใจแต่นักบินกลับทำเสียงเรียบนิ่ง ราวกับว่ากำลังได้รับข่าวร้ายซะอย่างนั้น

            [“เออๆแค่นี้ล่ะ”] เดี่ยวรู้สึกงงกับน้ำเสียงของเพื่อน เหมือนไม่ได้ดีใจที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นพ่อคนเลย

            นักบินรีบวางสายเพื่อน แล้วหันไปทำหน้าเศร้าให้กับทุกคน ที่ต่างก็ตั้งตารอฟังคำตอบ

            “เป็นยังไงบ้างพี่” นักรบเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ซะเต็มประดา

            “บอกมาเร็วๆสิยะฉันหัวใจจะวายอยู่แล้วเนี่ย” คุณหญิงฉัตรฉายถามย้ำอีกครั้ง

            นักบินมองหน้าปลาวาฬด้วยแววตาเศร้า เห็นอย่างนั้นเจ้าตัวก็พอจะรู้แล้วว่าผลออกมาเป็นยังไง

            “คือ...ปลาวาฬยังไม่ได้ท้องครับ”

            “ว่าไงนะ ไอ้คนไม่มีน้ำยา” คุณหญิงตวาดใส่ลูกชายทันที

            “โธ่...แม่ครับเพิ่งมีอะไรกันครั้งแค่เดียวเองนะ” นักบินตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

            “อย่ามายิ้มให้ฉัน ฉันผิดหวังกับแกมากจริงๆเลย” คุณหญิงไม่ยอมฟังเพราะตั้งความหวังเอาไว้เยอะซะเหลือเกิน

ตอนนี้ปลาวาฬเริ่มคิดแล้วว่าหากท้องขึ้นมาจริงๆ จะทำใจยอมยกลูกให้กับนักบินได้หรือเปล่า เพราะแค่รู้ว่าไม่ได้ท้องยังรู้สึกเสียใจมากขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดถึงวันนั้นเลย

            “ผมสัญญาว่าพยายามทำให้ปลาวาฬท้องให้ได้ครับ” นักบินเดินไปนั่งลงข้างมารดา ก่อนจะกอดเอาไว้แน่นเพื่อเอาใจ

            “อย่ามากอดฉัน” คุณหญิงพยายามขยับตัวหนี

            “เล่นตัวจริงๆแม่ผมเนี่ยฮ่าๆ” นักบินหัวเราะเสียงดังแล้วหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่

             “ไม่รู้ล่ะถ้าภายในสามเดือนหนูปลาวาฬยังไม่ท้อง ฉันจะไม่ยกสมบัติให้แกแม้แต่สตางค์แดงเดียว” คุณหญิงฉัตรฉายยื่นคำขาดให้ลูกชายตัวดี

            “ถ้าอยากได้เร็วขนาดนั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะเสกลูกเข้าท้องปลาวาฬให้เลยดีไหมครับ” นักบินล้อมารดาเล่นแต่ปลาวาฬกลับหันขวับมามองแรงใส่ทันที ถ้าเดาไม่ผิดคืนนี้นายนั่นต้องทำพิเรนกับเขาแน่ๆ

            “อย่ามาทำเป็นพูดเล่น ฉันไม่ขำกับแกด้วยนะ”

            “แกอย่าทำให้พ่อผิดหวังนะนักบิน น้ำเชื้อในตัวแกมันจะต้องแรงเหมือนพ่อเข้าใจไหม” เกริกไกรที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยให้กำลังใจลูกชาย นั่นทำให้คุณหญิงหันขวับไปมองแรงใส่สามีทันที

            “คุณอย่ามาทำเป็นพูดดีไปหน่อยเลย กว่าฉันจะมีตานักบินก็ใช้เวลาเป็นปี สงสัยเชื้อพ่อจะแรงจริงๆสินะ” คุณหญิงตอกกลับใส่สามีทันที

            “อ้าวงั้นเหรอ...ผมจำไม่ได้” เกริกไกรตีหน้าซื่อแล้วก้มลงอ่านหนังสือต่อซะอย่างนั้น

            “คุณแม่เลิกตีโพยตีพายได้แล้วครับ ผมสัญญาว่าอีกไม่นานแน่นอนเชื่อผมสิ” นักบินจับมือมารดาเอาไว้แน่นพร้อมเอ่ยให้คำสัญญา

            “ฉันจะคอยดูว่าแกจะมีน้ำยากว่าพ่อของแกรึเปล่า” เกริกไกรถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อถูกเอ่ยพาดพิง

            “ผมรับรองว่าน้ำยาผมดีดว่าพอ่แน่นอน” พูดแล้วก็ยิ้มมุมปากพร้อมกับตีคิ้วให้ปลาวาฬอย่างเป็นนัย

            “ผมขอตัวขึ้นข้างบนก่อนนะครับทุกคน พอดีรู้สึกเพลียๆ” ปลาวาฬเอ่ยแล้วลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมที่จะเดินออกไป นั่งฟังคุณหญิงเถียงกับลูกชายอยู่นานเริ่มจะเวียนศีรษะเข้าให้แล้ว

            “ถ้างั้นผมขอตัวพาปลาวาฬขึ้นไปข้างบนก่อนนะครับ” นักบินยืนขึ้นแล้วเดินไปโอบไหล่แสดงความเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ ปลาวาฬได้แต่ยืนนิ่งเพราะไม่อยากให้ทุกคนผิดสังเกต

            “พาน้องไปพักผ่อนก็ดีดูสิหน้าซีดเชียว” คุณหญิงฉัตรฉายเอ่ย

            “ไปกันเถอะครับ” นักบินยิ้มให้คนที่อยู่ในอ้อมแขนแล้วพาเดินขึ้นไปข้างบน

            คุณหญิงฉัตรฉายมองตามหลังแล้วก็ยิ้มตาม ในใจก็อยากให้ปลาวาฬกลายมาเป็นสะใภ้จริงๆซะเหลือเกิน

            เข้ามาในห้องแล้วปลาวาฬก็สลัดมือนักบินจนหลุดออกไป ก่อนจะหันไปมองด้วยสีหน้าที่ดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้

            “ทำไมต้องทำดีกับผมต่อหน้าคนอื่นด้วย”

            “ไม่เห็นแปลกเลย นายเองก็ทำดีกับฉันต่อหน้าคนอื่นเหมือนกัน แต่เวลาอยู่สองต่อสองกลับเอาแต่ดื้อ” นักบินยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเดินไปนอนขวางอยู่บนเตียงอย่างสบายใจ

            “ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ผมจะนอนพักผ่อน” ปลาวาฬยืนท้าวสะเอวมองอีกฝ่ายด้วยความรำคาญ

            “ไม่! ถ้าง่วงก็นอนทับบนตัวฉันเลยสิ” นักบินยังคงนอนนิ่งไม่ยอมลุกไปไหนง่ายๆ

            “ถ้างั้นก็นอนคนเดียวละกันผมลงไปข้างล่างล่ะ” ปลาวาฬกำลังจะเดินหันหลังออกไป แต่นักบินกลับลุกขึ้นมาดึงแขนเอาไว้ จนทั้งสองล้มลงไปบนเตียง

            “จะไปหนายยยย นอนกับฉันนี่ล่ะ” นักบินพยายามจ้องเข้าไปในดวงตาสวยอย่างไม่ละสายตา มือหนาก็โอบรัดเอวบางเอาไว้แน่น ก่อนจะกระชับเข้ามาชิดกับตัวเอง ตอนนี้ความกำหนัดเริ่มปะทุขึ้นมาเรื่อยๆ ยิ่งได้กลิ่นหอมละมุนจากตัวร่างบาง ยิ่งทำให้เจ้าน้องชายมันพองตัวขึ้นมาเรื่อยๆจนปลาวาฬรู้สึกได้

            “อี๋...ไอ้คนลามก” ร่างเล็กเอ่ยออกไปด้วยสีหน้าแดงก่ำ

            “ครบหนึ่งเดือนแล้วนายก็ยังไม่ท้อง ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะทำลูกกันอีกครั้งแล้วนะ” นักบินเอ่ยเสียงกระเส่าข้างใบหูของร่างเล็ก หลังจากนั้นก็โน้มใบหน้าเข้าไปหอมแก้มหวังจะกระตุ้นให้มีอารมณ์ร่วมไปด้วย

            “กลางวันแสกๆเนี่ยนะ รอ....ให้ถึงตอนเย็นก่อนละกัน” ปลาวาฬรู้ตัวว่ายังไงก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงพยายามถ่วงเวลาออกไปอีกสักเล็กน้อยพอให้ตั้งตัวได้

            “ฉันรอไม่ไหวแล้ว...นายก็รู้” นักบินพูดแล้วก็จับมืออีกฝ่ายมาจับที่กลางกาย เพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง

            “ปล่อยมือ” แม้จะเอ่ยปากปฏิเสธความต้องการ แต่นิ้วเรียวกลับค่อยๆขยับไปเกาะกุมแก่นกายนั้นอย่างลืมตัว

            “นายนี่มัน...ปากอย่างใจอย่าง” สายตาคมยังคงจ้องมาอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะพลิกตัวปลาวาฬให้นอนราบลงบนเตียงแล้วใช้วงแขนแกร่งกักตัวเอาไว้ “ครั้งนี้ฉันรับรองว่าจะไม่ทำให้นายผิดหวัง” ว่าแล้วก็โน้มใบหน้าลงไปประกบจูบอย่างดูดดื่ม มือทั้งสองข้างของร่างเล็กถูกตรึงแน่นไว้บนเตียง ความเร่าร้อนของนักบินทำให้คนที่อยู่ใต้ร่างถึงกับหลับตาพริ้มและขบริมฝีปากล่างเอาไว้แน่น เห็นอย่างนั้นยิ่งทำให้นักบินได้ใจ เจ้าตัวยกยิ้มที่มุมปากแล้วจัดการปลดเปลื้องอาภรณ์ของอีกฝ่ายออกไปจนหมด เรือนร่างอันเปลือยเปล่าที่อยู่ตรงหน้ายั่วตายั่วใจเขาเหลือเกิน นักบินไม่รอช้ารีบปลดปล่อยความต้องการผ่านเรือนร่างขวลนวลเนียนอย่างละมุนละม่อม ผิวกายที่สัมผัสกันเป็นจังหวะเปรียบเสมือนเป็นการจุดประกายไฟในตัวให้เกิดความรุ่มร้อนขึ้นไปเรื่อยๆอย่างไม่มีทางจบสิ้น

            พรุ่งนี้นายได้ท้องสมใจอยากแน่นอน...แต่ตอนนี้ฉันขอเอาคืนก่อนละกันหึๆ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
อีนักบิน ชอบแกล้งน้อง

ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
นักบินนี่เจ้าแค้นนะเนี่ย55.   :mew2:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
กลัวจริง ๆ ว่าจะแท้งอ่ะ เล่นมีปัวหื่นแบบนี้  :katai1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
งานนี้มีตีกันตายแน่นอน555

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เอ้อ คุณนักบินคะ แหม  :z13:

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
นักบินมันร้ายมันอยากจะกินปลาวาฬอีกนี่เอง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
นักบินเป็นเด็กหรา ที่ไม่บอกว่าท้องเพราะอยากจะกินปลาวาฬอ่ะดิ รู้ทันหรอก :hao3:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
แย่มากนักบิน ระวังเถอะน้องมันเอาคืนแน่ๆ

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
ยังไม่เข็ด สงสัยต้องโดนน้องเอาคืนอีกสักรอบสินะ

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
เอาคืนกันเอง สมน้ำสมเนื้อจริงๆคู่นี้

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๑๑-

ความลับในใจ



          เช้าวันรุ่งขึ้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารอบอวลไปด้วยความเงียบงัน มีเพียงเสียงกระทบกันของช้อนส้อมกับจานดังอยู่เนืองๆ นักบินเห็นสภาพของแต่ละคนก็อดขำไม่ได้ จึงตัดสินใจใช้โอกาสนี้ประกาศข่าวดีให้ทุกคนทราบโดยพร้อมเพรียงกัน

            “ทุกคนครับผมมีเรื่องจะบอก” เมื่อได้ยินเสียงทุกก็หันมามองนักบินทันที

            “มีอะไรจะเซอร์ไพรซ์อีกเหรอพี่” นักรบเอ่ยถาม

            “ฉันไม่อยากฟังอะไรจากปากแกแล้ว” คุณหญิงหันมาเอ่ยกับลูกชายแล้วเมินหน้าหนี เพราะเรื่องเมื่อวานยังทำให้รู้สึกเศร้าสร้อยมาจนถึงตอนนี้

            “ยังไม่หายงอนอีกเหรอครับคุณแม่”

            “ฉันจะไม่หายงอนจนกว่าหนูปลาวาฬจะท้อง”

            “ถ้าอย่างนั้นคุณแม่ต้องหายงอนผมแล้วล่ะครับ” พูดแล้วก็หันไปยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่วนคุณหญิงก็หันขวับมามองลูกชายด้วยความสงสัย

            “แกหมายความว่ายังไงนักบิน อย่ามาล้อฉันนี่แม่แกนะ”

            “เมื่อเช้านี้ไอ้เดี่ยวมันโทรมาบอกว่า....” นักบินเว้นช่วงไว้เพราะอยากแกล้งทุกคน ที่ตอนนี้กำลังหันมามองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นซะเต็มประดา

            “ว่าไงยะบอกฉันมาเร็วๆ ถ้าไม่มีสาระฉันจะจับตีก้นลายเลยคอยดู” คุณหญิงดูท่าจะลุ้นหนักกว่าคนอื่น

            “จริงๆแล้วปลาวาฬท้องครับ” นักบินตะโกนออกไปเสียงดังจนทุกคนได้ยินถนัดหู

            “ว้ายยย! แกไม่ได้หลอกแม่ใช่ไหมนักบิน” คุณหญิงวางช้อนส้อมลงบนจาน แล้วยืนขึ้นกรีดร้องลั่นบ้านด้วยความดีใจ ไม่ต่างจากคนอื่นๆที่มีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า ยินดีปรีดากับเรื่องที่เพิ่งจะได้ยินมา

            “เรื่องจริงครับมันเป็นความผิดพลาดของผลแล็บ” ที่ต้องอ้างอย่างนั้นเพราะไม่อยากให้ปลาวาฬรู้ว่าเมื้อคืนนี้โดนหลอก หากเป็นเช่นนั้นมีหวังเขาได้ถูกเด็กนั่นเอาคืนเป็นสิบเท่าแน่นอน นึกถึงกรรไกรเล่มนั้นแล้วยังขนลุกอยู่ไม่หาย

            “ต่อไปหนูปลาวาฬต้องดูแลตัวเองดีๆนะจ๊ะ เพราะกำลังมีเจ้าตัวน้อยอยู่ในท้อง” คุณหญิงหันไปเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ขณะที่ปลาวาฬเองก็ยิ้มแล้วใช้มือเรียวลูบที่ท้องไปด้วย

            “ดีใจด้วยนะปลาวาฬ” นักรบเอ่ยแสดงความยินดี

            “อื้ม” เจ้าตัวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

            “ตาเดี่ยวทำเอาฉันแทบจะเป็นบ้า ถ้าเจอตัวจะด่าซะให้เข็ดเลย” คุณหญิงเอ่ยคาดโทษเพื่อนลูกชายเอาไว้

            “ยะ...อย่านะครับคุณแม่ มันเป็นความผิดพลาดคงไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก อย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดกับมันอีกเลยนะครับ” นักบินรีบเอ่ยห้ามมารดาไว้ เพราะกลัวเรื่องมันจะแดงขึ้นมา

            “ฉันก็พูดเล่นไปอย่างนั้นล่ะ แกดูจริงจังไปนะนักบิน” คุณหญิงเอ่ยแล้วส่งสายตาจับผิดลูกชาย

            “เปล่าครับคุณแม่ ไม่มีอะไรจริงๆ”  นักบินรีบส่ายมือปฏิเสธทันที

            ปลาวาฬจ้องหน้านักบินด้วยความสงสัย ทำท่าลุกรี้ลุกรนอย่างกับคนทำความผิดมาซะอย่างนั้น อย่าให้เขารู้นะว่าเรื่องเมื่อคืนมันเป็นแผนไม่งั้นจะจัดคืนให้หนักเลยคอยดู

            “พ่อว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแกไม่ต้องไปทำงานแล้วล่ะ อยู่ดูแลหนูปลาวาฬที่บ้านจนกว่าจะคลอด” เกริกไกรเอ่ยกับลูกชาย

            “ผมว่าไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้มั้งครับคุณพ่อ อยู่บ้านปลาวาฬก็มีคนรับใช้ดูแลอยู่แล้วนี่นา” นักบินรีบปฏิเสธทันที ถ้าอยู่ด้วยกันทั้งวันเขากลัวจะเผลอทำอีกฝ่ายแทงค์ไปซะก่อน

            “ฉันเห็นด้วยกับคุณ นักบินต้องมาอยู่บ้านดูแลหนูปลาวาฬเท่านั้น” คุณหญิงเห็นด้วยอีกเสียง

            “ผมก็เห็นด้วยครับ” นักรบสนับสนุนอีกเสียง

            “โอเคๆก็ได้ครับผมจะอยู่ดูแลปลาวาฬที่บ้าน ทุกคนพอใจแล้วนะ” นักบินต้องยอมแต่โดยดี หากไม่ยอมทำตามมีหวังได้โดนบ่นไม่เว้นแต่ละวันแน่นอน

            “ถ้าคุณนักบินไม่เต็มใจผมว่าไม่ต้องก็ได้นะครับ” ปลาวาฬเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็รู้สึกไม่ปลื้ม เขาเองก็ไม่อยากให้นักบินมาคอยดูแลเหมือนกันเพราะมันคงจะอึดอัดน่าดู

            “บอกน้องเขาไปสิว่าแกเต็มใจ” คุณหญิงเอ่ยกับลูกชายเป็นคำสั่งกลายๆ

            “ครับคุณแม่” นักบินตอบรับมารดา แล้วหันไปเอ่ยกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “ฉันเต็มใจได้ยินแล้วใช่ไหม” นักบินยักคิ้วใส่

            “ผมไม่มีปัญหาครับเหมือนกันครับ”  ปลาวาฬหันไปยิ้มให้กับทุกคนเพื่อสื่อว่าตัวเองก็เห็นด้วย

            “ถ้างั้นเย็นนี้เรามาจัดปาร์ตี้ฉลองกันดีไหม” อยู่ๆคุณหญิงก็คิดอะไรดีๆขึ้นมาได้

            “ดีครับคุณแม่ผมเห็นด้วย” นักรบสนับสนุนเต็มที่       

            “บ้านเราไม่มีงานรื่นเริงมานานแล้วก็ดีเหมือนกันนะ” เกริกไกรก็เห็นด้วยอีกเสียง

            “ถ้างั้นก็เอาตามนี้เดี๋ยวฉันจะให้แม่บ้านไปซื้อของมาเตรียมสำหรับงานเย็นนี้ก็แล้วกันนะ” คุณหญิงเอ่ยกับทุกคนด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข

            “เดี๋ยวผมจะช่วยเตรียมสถานที่ละกันครับ” นักรบอาสา

            “เดี๋ยวผมไปช่วยนักบรบอีกแรงครับ” ปลาวาฬอาสาช่วยอีกแรง

            “ไม่ได้นะ! หนูปลาวาฬกำลังตั้งท้อง ต้องนั่งอยู่เฉยๆเดี๋ยวให้คนอื่นจัดการดีกว่า” คุณหญิงเอ่ย

            “ผมทำไหวครับช่วยเล็กๆน้อยๆยังพอได้” ปลาวาฬยังยืนยันที่จะอาสาช่วยทำ

            “ถ้างั้นก็ตามใจจ๊ะแต่ระวังด้วยนะเดี๋ยวจะหกล้มเอา” คุณหญิงเอ่ยด้วยความเป็นห่วง

            “ครับคุณหญิง”

            “ผมว่าเราทานข้าวต่อกันเถอะครับ อาหารเย็นหมดแล้วมั้งเนี่ย” ทั้งหมดนั่งสนทนากันจนลืมไปว่าตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร

            อาหารเช้ามื้อนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุขของทุกคนในครอบครัว ส่วนปลาวาฬรู้สึกดีใจมากเหลือเกินแต่พยายามไม่แสดงออกจนเกินงาม แค่รู้ว่ามีเจ้าตัวน้อยในท้องก็ทำให้ชีวิตดูมีค่าขึ้นมาก นับจากนี้ไปเขาจะดูแลตัวเองให้ดี เพื่อให้เจ้าตัวเล็กคลอดออกมาอย่างแข็งแรงสมบูรณ์

*-*-*-*-*-*-*

            ช่วงเย็นปลาวาฬลงมาช่วยนักรบจัดเตรียมพื้นที่ในสวนข้างบ้าน ทั้งสองวางคอนเซปต์จะเปลี่ยนจากสวนที่เคยเขียวขจีเป็นสวนในเทพนิยาย โดยประดับตกแต่งไปด้วยไฟสลับสีและลูกโป่งคละสีจำนวนมาก

            “เดี๋ยวปลาวาฬเอาลูกโป่งไปติดที่ต้นไม้นะเราจะเป็นคนเป่าให้” นักรบเอ่ยขณะถือถุงลูกโป่งอยู่ในมือ

            “โอเคจ้า” ปลาวาฬนั่งลงข้างๆมองดูนักรบใช้เครื่องสูบเติมลมเข้าไปในลูกโป่ง เมื่อลูกโป่งพองตัวจนได้ขนาดพอดีแล้วก็ยื่นให้ หลังจากนั้นปลาวาฬก็นำไปติดที่ต้นไม้

            ลูกโป่งถูกนำไปติดบนต้นไม้ลูกแล้วลูกเล่า จนเหลือลูกสุดท้ายที่อยู่สูงจนปลาวาฬต้องเขย่งเท้าขึ้นไปติด นักรบเห็นอย่างนั้นก็เดินเข้าไปซ้อนหลังแล้วช่วยมัดเชือก หากมองจากด้านหลังจะคล้ายกับว่าทั้งสองคนกำลังยืนกอดกันอยู่ ระหว่างนั้นนักบินบังเอิญเดินมาเห็นเข้าก็ชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ เพราะคิดว่าปลาวาฬกำลังอ่อยน้องชายตัวเองอีกคน จึงเดินตรงเข้าไปหาคนทั้งสองอย่างหงุดหงิด

            “ทำอะไรกันอยู่น่ะ!” สายตาคมจ้องมองคนทั้งสองอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้

            “อ้าว! พี่นักบินลงมาได้แล้วเหรอ” เมื่อเห็นพี่ชายยืนทำหน้าบึ้งอยู่ตรงหน้า นักรบก็เอ่ยทักทายทันที

            “เออ แล้วทำอะไรกันอยู่น่ะ” เจ้าตัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงห้วนๆ สายตาคมจ้องจับผิดร่างเล็กอย่างออกหน้าออกตา

            “ก็ช่วยกันตกแต่งสวยไงล่ะ คุณนักบินตื่นเร็วจังเลยครับนี่มันแค่ห้าโมงเย็นเองนะ” ปลาวาฬพูดประชดประชัน เพราะหลังจากทานข้าวเที่ยงแล้ว นักบินก็เข้าไปงีบในห้องนอนจนเลยเถิดมาถึงตอนนี้

            “นี่นายกำลังพูดประชดฉันอยู่รึเปล่า”

            “ไม่นี่ครับผมก็พูดปกติ” พูดแล้วก็ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ

            “ปลาวาฬงั้นเดี๋ยวเราขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันดีกว่า อีกหน่อยแม่บ้านคงจะมาเตรียมอาหารไว้แล้ว” นักรบกล่าว

            “โอเคแล้วเจอกันตอนเย็นนะ” พูดจบทั้งสองคนก็เดินแยกย้ายกัน แต่นักบินกลับรั้งมือร่างเล็กเอาไว้เสียก่อน

            “คุณมีอะไรอีก” ปลาวาฬมองตาขวางพร้อมกับบิดข้อมือเพื่อให้เป็นอิสระ

            “เมื่อกี้นายคิดจะทำอะไร” นักบินไม่ยอมปล่อยมือกลับถามคำถามที่ทำให้ปลาวาฬถึงกับงง

            “ทำอะไร?”

            “ก็นายกำลังอ่อยน้องชายฉันอยู่ไง บอกไว้ก่อนเลยว่าห้ามเด็ดขาด น้องฉันมันยังเรียนไม่จบเลย” คนพูดเองก็ทำหน้าไม่ถูก รู้สึกกระดากปากที่เอ่ยอย่างนั้นออกไป ทั้งที่ในใจจริงๆแล้วไม่ได้ห่วงน้องชายเลย แต่กลับรู้สึกหวงคนที่อยู่ตรงหน้าเสียมากกว่า

            “คุณมันบ้าไปแล้ว ผมเนี่ยนะจะอ่อยนักรบ” ปลาวาฬชี้เข้าที่หน้าตัวเอง

            “ก็นายสองคนกำลังยืนกอดกันอยู่ฉันเห็นนะ” นักบินยังคงรบเร้าไม่เลิก

            “อย่ามโน นักรบแค่มาช่วยติดลูกโป่งต่างหาก ปล่อยมือผมได้แล้วจะขึ้นไปอาบน้ำ”

            “ก็ขึ้นไปสิ” นักบินยืนทำหน้าตายเหมือนตั้งใจจะยั่วให้อีกฝ่ายโมโห

            “ก็จับมือผมไว้อย่างนี้จะไปได้ยังไง” ปลาวาฬเริ่มขึ้นเสียงเมื่อเห็นว่ากำลังโดนอีกฝ่ายแกล้ง

            “ก็ไปพร้อมกันนี่ไง อย่าลืมว่าทุกคนในบ้านให้ฉันดูแลนายเป็นอย่างดี”

            “มันไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้ผมรำคาญเข้าใจไหม” ปลาวาฬแยกเขี้ยวใส่อย่างเหลืออด เจ้าตัวรู้ว่านักบินอยากแกล้งเขามากจนเอาเรื่องนั้นมาอ้าง อย่าคิดว่าเขาจะไม่รู้ทัน

            “แต่ฉันไม่เห็นจะรำคาญ ป่ะขึ้นห้องกัน” ว่าแล้วก็เดินนำหน้าจูงมืออีกฝ่ายขึ้นไปบนห้อง ต่อไปนี้เขาจะต้องจับตาดูปลาวาฬไม่ให้คลาดสายตา โดยเฉพาะเวลาที่อยู่กับผู้ชายคนอื่น ชอบยั่วชอบอ่อยจนผู้ชายหลงไหลได้ปลื้ม

            และแล้วช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง แม้จะเป็นงานเลี้ยงเล็กๆที่จัดขึ้นเฉพาะคนในครอบครัว แต่คุณหญิงฉัตรฉายแต่งตัวจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหน้าผม ราวกับไปออกงานสังคมไฮโซซะอย่างนั้น ขณะที่คนอื่นกลับแต่งตัวสบายๆ

            อาหารหลากหลายเมนูถูกจัดวางไว้บนโต๊ะ ส่วนข้างๆก็จะมีเตาย่างบาร์บีคิวและอาหารทะเล ซึ่งมีแม่บ้านคอยยืนคุมอยู่ประจำที่ ขณะเดียวกันก็มีเสียงเพลงสากลบรรเลงคลอไปด้วย เพื่อเพิ่มบรรยายกาศให้ดูสนุกสนานมากขึ้น ตอนนี้ทุกคนนั่งอยู่บนโต๊ะอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว คนที่เป็นแม่งานอย่างคุณหญิงฉัตรฉายยืนตระหง่านพร้อมกับชูแก้วไวน์ขึ้น

            “ทุกคนมาฉลองกันหน่อยยย” ว่าแล้วทั้งหมดก็ยกแก้วขึ้นไปชนกันตรงกลางโต๊ะดังแกร๊ง ก่อนจะจิบไวน์ด้วยสีหน้ารื่นรมย์ แต่แก้วของปลาวาฬกลับแปลกจากคนอื่น เพราะของเหลวที่อยู่ในนั้นคือน้ำส้มคั้นนั่นเอง

            “เพื่อหลานชายคนแรกของตระกูลมหาธำรงกุลคร้าบบ” นักรบเอ่ยขึ้นเสียงดังแม้ตอนนี้จะยังไม่รู้เลยว่าเด็กในท้องของปลาวาฬเป็นเพศไหนกันแน่

            “เดี๋ยวๆๆ ไอ้นักรบแกรู้ได้ไงว่าลูกฉันจะเป็นผู้ชาย” นักบินถามน้องชาย

            “ก็ผมอยากได้หลายชายไงเลยพูดไว้ก่อน” นักรบตอบแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์

            “แต่แม่อยากได้หลานสาวมากกว่า” สีหน้าของคุณหญิงดูมีความหวังว่าเด็กในท้องของปลาวาฬจะเป็นหลานสาว

            “พ่อยังไงก็ได้” เกริกไกรเองก็เอากับเขาบ้าง

            “แล้วแกล่ะนักบินอยากได้ลูกสาวหรือลูกชาย” คุณหญิงถามลูกชาย

            “ผมอยากได้ทั้งหญิงและชายเลยครับ ถ้าเป็นแฝดได้ก็ยิ่งดี” นักบินตอบแล้วหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เห็นว่าปลาวาฬทำหน้าเครียดเหม่อลอยอยู่เลยสะกิดที่หน้าขาเบาๆ เมื่อปลาวาฬหลุดจากภวังค์ก็หันไปมองหน้าอีกฝ่ายทันที

            “เป็นอะไร” นักบินเอ่ยถามเบาๆด้วยความเป็นห่วง เพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่มีความสุขกับปาร์ตี้ครั้งนี้

            “เปล่าครับ” เจ้าตัวตอบกลับเบาๆแล้วหันไปโปรยยิ้มให้กับทุกคน

            “แล้วหนูปลาวาฬอยากได้ลูกชายหรือลูกสาวจ๊ะ” คุณหญิงถามออกไป

            “เอ่อ..ผมยังไงก็ได้ครับ” ปลาวาฬตอบส่งๆออกไป ยิ่งได้ยินทุกคนพูดอย่างนี้ยิ่งละอายใจกับสิ่งที่ทำอยู่  ซึ่งมันไม่ต่างจากการขายลูกกินเลย เมื่อได้รู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นแม่คน ยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดในใจมันผุดขึ้นมาเรื่อยๆ

            “ฉันลืมไปว่าหนูแค่มารับจ้างอุ้มท้องให้เท่านั้นเอง” เมื่อพูดออกไปแล้วคุณหญิงก็เอามือมาปิดริมฝีปากไว้ เพราะลืมคิดไปว่าอาจจะทำให้ปลาวาฬรู้สึกไม่ดีก็เป็นได้ “ฉันขอโทษนะจ๊ะที่พูดอย่างนั้นออกไป หนูปลาวาฬอย่าคิดมากนะ”

            “ไม่เป็นไรครับคุณหญิงผมโอเค เรื่องที่คุณหญิงพูดมามันก็คือเรื่องจริงนี่นา” แม้จะรู้สึกแย่มากแค่ไหน แต่เขาก็ต้องแสดงออกให้ดูร่าเริงมากที่สุด เพราะไม่อยากให้ทุกคนอึดอัด

            “ผมว่าเรามาชนแก้วกันอีกครั้งดีกว่าครับ เอ้าชน!” นักบินกลัวว่าบรรยากาศจะกร่อย เลยเอ่ยแทรกขึ้นมาเพื่อดึงบรรยากาศให้ครื้นเครงขึ้น

            แกร๊ง!

            “นั่งกันนานแล้วตอนนี้เรามาขยับแข้งขยับขากันดีกว่าครับทุกคน” นักรบยืนขึ้นแล้วเอ่ยกับทุกคน

            “ดีเหมือนกันแม่ไม่ได้เต้นรำมานานแล้ว” คุณหญิงเอ่ยแล้วหันไปมองหน้าสามีทันที นั่นทำให้เกริกไกรรู้ตัวทันทีว่าเขาจะต้องเป็นคู่เต้นรำให้กับภรรยาแน่นอน

            “เดี๋ยวผมจะไปเปลี่ยนเพลงให้นะครับ” ว่าแล้วนักรบก็เดินตรงไปยังโต๊ะควบคุมเครื่องเสียง เพื่อเปลี่ยนเพลงให้เหมาะหรับการเต้นรำ แล้วเดินกลับมาโค้งคำนับเพื่อขอให้ปลาวาฬลุกขึ้นมาเป็นคู่เต้นรำด้วย “คุณปลาวาฬให้เกียรติเต้นรำกับผมด้วยครับ”

            ก่อนที่ปลาวาฬจะตอบรับ นักบินกลับเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน

            “ไม่ได้เว้ยไอ้น้องรัก วันนี้ปลาวาฬต้องเต้นรำคู่กับพี่เท่านั้น” ว่าแล้วก็จับมือคนที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้น แล้วโอบไหล่เดินไปกลางฟลอร์ ซึ่งเป็นพื้นหญ้าโล่งในสวน

            “โด่ววว หวงซะจริงๆเลย” นักรบบ่นให้พี่ชายแต่ก็ยอมโดยดี

            “ผมเต้นไม่เป็นนะ” ปลาวาฬเอ่ยพร้อมกับค่อยๆแกะมือของอีกฝ่ายออกจากไหล่บาง

            “ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันจะสอนเอง” ว่าแล้วก็พลิกตัวอีกฝ่ายมาประจัญหน้า แล้วสอดประสานนิ้วยกขึ้นข้างลำตัว ส่วนมืออีกข้างเกี่ยวที่เอวคอดเอาไว้แล้วกระชับตัวเข้ามา

            “ชิดเกินไปรึเปล่าคุณ” ปลาวาฬเงยหน้าขึ้นไปถามอีกฝ่าย แต่นักบินกลับทำหน้าทะเล้นแล้วยิ้มให้

            “ชิดกว่านี้ก็เคยมาแล้วจะกลัวอะไร” พูดแล้วก็ยักคิ้วให้ ทำเอาคนที่อยู่ในอ้อมกอดเบ้ปากใส่ทันที

            ระหว่างนั้นคุณหญิงฉัตรฉายและสามีก็จูงมือกันลงมากลางฟลอร์เช่นเดียวกัน ส่วนนักรบเปลี่ยนหน้าที่มาเป็นผู้บันทึกภาพและวิดีโอไปโดยปริยาย

            ระหว่างที่ดนตรีคลาสสิคบรรเลงไปเรื่อยๆ คู่เต้นรำทั้งสองก็ออกสเตปไปตามจัวหวะอย่างช้าๆ แม้ว่าคุณหญิงฉัตรฉายและสามีจะห่างหายจากการเข้าคู่มานาน แต่การเต้นรำกลับเป็นไปอย่างราบรื่น ทำให้หวนนึกถึงสมัยที่เคยจีบกันใหม่ๆ ส่วนคู่นักบินกับปลาวาฬเกือบสะดุดล้มไปหลายรอบ แต่ถึงอย่างนั้นนักบินก็ช่วยสอนและเป็นผู้นำได้เป็นอย่างดี แม้จะโดนอีกฝ่ายเหยียบเท้าอยู่หลายครั้งก็ตาม

            “ทำหน้าให้มันดีๆหน่อย” แม้จะเต้นรำมาได้สักพักแต่ปลาวาฬกลับยังคงทำหน้างองุ้มไม่หยุด

            “ก็ผมบอกว่าเต้นไม่เป็นคุณก็ยังจะบังคับ และอีกอย่างผมก็ไม่อยากเต้นกับคุณด้วย”

            “เต้นกับฉันแล้วมันจะทำไม อ้อ...ลืมไปว่ากำลังอ่อยน้องฉันอยู่คิดจะเทครัวรึไงห๊ะ”

            “ในหัวคุณคิดแต่เรื่องต่ำๆไม่เหมือนนักรบ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นพี่น้องคลานตามกันมา” ปลาวาฬมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว

            “นี่นายกล้าว่าฉันต่ำเหรอ!” นักบินชักสีหน้าใส่พร้อมที่จะจัดการอีกฝ่ายได้ตลอดเวลา

            “เอาสิจะทำอะไรผมก็รีบทำ ทุกคนจะได้รู้ว่าคนอย่างคุณมันไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลยแม้แต่น้อย” ปลาวาฬท้าทายเพราะคิดว่ายังไงนักบินก็ไม่มีทางทำอะไรเขาได้

            “ตั้งแต่รู้ตัวว่าท้องนี่ปากเก่งขึ้นเยอะนะ อย่าคิดว่าฉันจะไม่กล้าทำอะไรนาย”

            “กล้าก็ทำเลยสิผมจะได้เอาเรื่องนี้ไปฟ้องคุณหญิง” ปลาวาฬรู้ดีว่ายังไงซะคุณหญิงก็ต้องอยู่ข้างเขา และถ้าเอาเรื่องความปลอดภัยของเด็กมาอ้างมีหรือที่อีกฝ่ายจะไม่โดนเอ็ดเอา

            “ฉันไม่โง่อย่างนั้นหรอกนะหึๆ” พูดจบก็เลื่อนมือหนาไปลูบไล้ที่บั้นท้ายแล้วคลึงเล่นเบาๆ ก่อนจะยิ้มอย่างผู้มีชัย ทำเอาปลาวาฬถึงกับมองตาขวางแล้วพยายามสลัดตัวออกเพื่อกลับไปนั่งที่เดิม

            “ผมเหนื่อยแล้วขอกลับไปนั่งที่”

            “อ้าว! ง่วงแล้วเหรอยังสนุกอยู่เลย” นักบินพูดเสียงดังจนทุกคนหันมามองเป็นตาเดียวกัน

            “คุณพูดบ้าอะไรเนี่ย” ปลาวาฬกัดฟันพูดเสียงเบา

            “ทุกคนครับผมขอตัวพาปลาวาฬขึ้นไปนอนก่อนนะ น้องง่วงแล้วงอแงงอย่างกับเด็กเลย” นักบินพยายามโอบไหล่ร่างเล็กเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนได้

            “ถ้างั้นก็พาน้องขึ้นไปนอนเถอะ” คุณหญิงฉัตรฉายเอ่ย

            “ครับคุณแม่”

            นักบินโอบไหล่ร่างเล็กเดินขึ้นไปบนห้องนอน โดยที่อีกฝ่ายกลับเอาแต่ฮึดฮัดไม่ยอมตามใจ

            เมื่อมาถึงห้องแล้วนักบินก็ผลักร่างเล็กลงบนเตียงแล้วคร่อมตัวเอาไว้ มือเรียวทั้งสองข้างถูกประสานนิ้วแล้วตรึงไว้เหนือศีรษะ ทำให้ปลาวาฬกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรบ้าๆลงไปเหมือนเมื่อคืนอีก

            “ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” ร่างเล็กกดเสียงต่ำบ่งบอกว่ากำลังโมโหอยู่ไม่น้อย สายตาคมจ้องมองมาอย่างไม่ได้ใส่ใจกับคำทัดทานนั่นเลย

            “ไม่ จนกว่านายจะบอกฉันว่านายเป็นอะไร”

            “ผมเป็นอะไร?” ปลาวาฬเริ่มงงกับคำถาม

            “ก็ตอนที่นั่งเหม่ออยู่ในงานเลี้ยงไง นายคิดอะไรอยู่บอกฉันมา”

            “เปล่า” พูดแล้วก็เบนหน้าหนีไปอีกทาง ขืนบอกไปว่าเขารู้สึกผิดที่ขายลูกกินมีหวังนักบินได้สมน้ำหน้าเขาแน่นอน

            “จะบอกไม่บอก” นักบินเริ่มไม่เล่นด้วย ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาอยากรู้เรื่องที่อีกฝ่ายคิดในตอนนั้น และมั่นใจว่าแววตาเศร้านั่นเหมือนกับมีเรื่องไม่สบายใจอยู่

            “ผมจะคิดอะไรจำเป็นต้องบอกคุณทุกเรื่องเลยเหรอ บ้าไปแล้วรึไง”

            “ที่ถามเพราะอยากรู้ว่านายมีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า ฉันจะได้ช่วยนายไงล่ะ” นักบินเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมากขึ้น ทำให้ปลาวาฬมองหน้าชายหนุ่มอย่างประหลาดใจ ทำไมอยู่ๆถึงได้เปลี่ยนท่าทีไปได้ง่ายๆอย่างนี้นะ แถมสายตาคมคู่นั้นมันมีความจริงใจซ่อนอยู่ข้างในจนสัมผัสได้

            “เลิกพูดถึงเรื่องนี้เถอะผมง่วงแล้ว” ปลาวาฬหลบตาลงแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง เขาไม่มีทางให้อีกฝ่ายรู้เรื่องที่คิดในใจเด็ดขาด

            “นายนี่ปากแข็งจริงๆ ถ้างั้นนอนเถอะฉันไม่กวนแล้ว” ก่อนจะปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ นักบินกลับโน้มใบหน้าลงไปประกบจูบทันที เขาไม่สามารถปล่อยอีกฝ่ายไปเฉยๆได้ ทุกครั้งที่แตะเนื้อต้องตัวเด็กคนนี้เขาห้ามใจไม่ให้ทำเกินเลยไม่ได้สักที

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
สงสารปลาวาฬเลยยย

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด