-๗-
สงครามหัวใจ
เช้าวันนี้เงินรู้สึกตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ เมื่อคืนก็แทบนอนไม่หลับเพราะเจฟฟี่จะพาไปเปิดตัวกับพ่อและแม่ที่บ้าน หลังจากนั้นก็จะไปส่งที่ร้านเบเกอร์รี่เพราะเป็นวันทำงานวันแรก เงินยืนส่องตัวเองอยู่หน้ากระจก สำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผม แม้ไม่รู้จะโดนอะไรบ้างแต่การเข้าไปพบผู้ใหญ่ครั้งแรก เขาจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมมากที่สุด ไม่ให้ท่านว่าหรือตำหนิเอาได้
“น่ารักที่สุดแล้วครับ” เจฟฟี่เดินยิ้มมาหาแล้วโอบไหล่เอาไว้ หลังจากนั้นก็หอมแก้มเน้นๆหนึ่งฟอด
“แน่นอนอยู่แล้ว” เงินตอบกลับพร้อมเหลียวมองชายหนุ่มผ่านกระจกบานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า
“ดูท่าทางตื่นเต้นนะเรา ไม่ต้องกลัวหรอกแด๊ดกับมอมพี่ท่านใจดี” เจฟฟี่พูดเพื่อไม่ให้คนรักดูวิตกจนเกินไป
“ถึงท่านจะใจดีแค่ไหนผมก็ยังตื่นเต้นอยู่ดี”
“มานี่เดี๋ยวทำให้หายตื่นเต้น” ว่าแล้วก็จับตัวอีกฝ่ายให้หันมาเผชิญหน้า แล้วจุมพิตที่หน้าผากนุ่มอย่างอ่อนโยน “หายตื่นเต้นรึยังครับ” เจฟฟี่ยิ้มหวานให้คนรัก
“หะ...หายแล้วครับ” เงินตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก แต่ในใจกลับยังคงรู้สึกตื่นเต้นไม่หาย
“จริงเหรออออ ดูท่าทางยังประหม่าอยู่เลยนะเรา” เจฟฟี่จ้องหน้าจับผิดราวกับล่วงรู้ความคิดในใจเขาซะอย่างนั้น
“ไปกันเถอะครับเดี๋ยวจะสาย” เงินรีบตัดบทก่อนที่อะไรมันจะเกินเลย ดูจากสีหน้าและแววตาก็รู้ทันว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร คนอย่างเจฟฟี่ถ้ามีความต้องการขึ้นมาจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“โอเคครับเดี๋ยวตอนเย็นค่อยมาว่ากันต่อเนาะ” ชายหนุ่มพูดหยอกอีกฝ่ายพร้อมส่งสายตากรุ้มกริ่มให้
“ไอ้คนขี้หื่นเดินนำหน้าไปเลย” ก่อนที่ใบหน้าจะแดงก่ำไปมากกว่านี้ เงินก็รีบดันตัวร่างสูงให้เดินนำหน้าไป เจฟฟี่ได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุข ตั้งแต่มีเงินเข้ามาในชีวิตทุกอย่างมันก็กลายเป็นสีชมพูไปเสียหมด
นั่งรถจากคอนโดประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบ้านหรูสไตล์ยุโรป ซึ่งอยู่แถบชานเมืองบรรยากาศค่อนข้างดี ดูไม่แออัดและการจราจรก็ไม่วุ่นวายเหมือนอยู่ในเมืองหลวง หลังจากลงจากรถแล้วเจฟฟี่ก็จับมือคนรักไว้แน่น พร้อมกับมองหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายเชื่อใจในตัวเขา เงินเองก็ได้แต่พยักหน้ารับมาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ให้เขาเชื่อใจผู้ชายคนนี้ได้อย่างไร
“เข้าไปกันเถอะแด๊ดกับมอมรอเราอยู่ข้างในแล้ว” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มกริ่มให้ ส่วนมือหนาก็ประสานมือเรียวเอาไว้แน่น ราวกับไม่อยากให้อีกฝ่ายห่างกายไปไหนแม้แต่วินาทีเดียว
เมื่อคืนเจฟฟี่ได้โทรนัดบิดามารดาเอาไว้แล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าจะพาคนรักมาด้วย
“ผมจะอยู่ข้างพี่ครับ” เงินเองก็ต้องให้กำลังใจอีกฝ่ายไม่แพ้กัน เพราะไม่รู้ว่าการที่เจฟฟี่พาตัวเองเข้ามาบ้าน จะโดนบิดากับมารดาว่ากล่าวอะไรบ้าง
“ขอบใจนะครับที่รัก” เมื่อได้รับกำลังใจจากคนรักก็ทำให้เจฟฟี่ดูมีกำลังใจมากขึ้นไปอีก
เจฟฟี่เองก็รู้สึกมีความกังวลใจอยู่ไม่น้อย นั่นเพราะเขาทำตัวเสเพลมานานหลายปี ทำเรื่องไม่ดีให้ท่านทั้งสองเสียใจมาก็หลายหน แถมยังพาแฟนที่เป็นผู้ชายมาเปิดตัวอีกต่างหาก ทำให้เจ้าตัวเดาใจบิดากับมารดาไม่ถูกเหมือนกัน
ทั้งสองประสานมือกันเดินผ่านประตูบานใหญ่เข้าไป ก็พบกับเจ้าของบ้านทั้งสองกำลังนั่งจิบกาแฟรออยู่ ‘โจเซฟ’ หนุ่มใหญ่วัยหกสิบปี เชื้อชาติอเมริกันแต่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยนานหลายปี จนสามารถพูดภาษาไทยได้คล่องปร๋อ ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างๆนั่นคือ ‘ภาวดี’ สาวใหญ่วัยห้าสิบห้า ภรรยาคนสวย อดีตเลขานุการคนรู้ใจเมื่อครั้งยังโจเซฟเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรง ทั้งสองได้ตกหลุมรักและคบหาดูใจกันอยู่สักพัก จนแต่งงานกันในที่สุดและครองคู่กันมาถึงตอนนี้
“สวัสดีครับแด๊ดมอม” เมื่อเดินเข้ามาถึงแล้วทั้งสองคนก็ยกมือไหว้อย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนที่เจฟฟี่ประสานมือเรียวเอาไว้แน่นเหมือนเดิม แต่เงินดึงมือกลับมาเพราะกลัวว่าผู้ใหญ่ทั้งสองท่านจะไม่ชอบใจ เจฟฟี่กลับไม่ยอมและได้รั้งมือคนรักมาจับไว้อีกจนได้ มาถึงตอนนี้แล้วเขาอยากให้คนรักมั่นใจว่า จะไม่ถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียวแน่นอน
แม้จะมีสามีเป็นชาวต่างชาติ แต่ภาวดีก็เลี้ยงดูลูกทั้งสองคนให้เติบโตมาตามวิถีของคนไทย ไม่ลืมที่จะสอนให้เรียนรู้วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมของไทย การไหว้คือสิ่งที่บ่งบอกว่าเราคือพลเมืองของประเทศนี้ เธอจะพร่ำสอนลูกทั้งสองคนเสมอมา
“นั่งลงสิ...แล้วนี่พาใครมาด้วย” โจเซฟเอ่ยเสียงดุพร้อมกับจ้องหน้าแขกผู้มาใหม่ด้วยความสงสัย แต่เมื่อเห็นมือที่ประสานกันไว้แน่นก็พอจะเดาออกว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็อยากได้ยินจากปากลูกชายเพื่อยืนยันสิ่งที่ตัวเองคิดอีกครั้ง
“นี่เงินครับ...เมียผมเอง” นั่งลงบนโซฟาแล้วเจฟฟี่ก็มองหน้าคนรักแล้วหันไปเอ่ยกับบิดาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
โจเซฟหันไปมองหน้าภรรยาด้วยอารมณ์ที่หลากหลายแล้วหันมาเอ่ยกับลูกชายอีกที
“ตั้งแต่เกิดมาแกไม่เคยพาใครมาที่บ้านเลยสักครั้ง มันเกิดอะไรขึ้นทำไมแกถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้” โจเซฟขึ้นเสียงใส่ลูกชาย
“ผมรักเงินมากจนยอมที่จะไปช่วยงานแด๊ดที่โรงแรมครับ เงินคือคนที่ทำให้ผมอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นครับ” เจฟฟี่ตอบออกไป
“อย่างแกเนี่ยนะจะมาทำงาน! แค่ผู้ชายตัวเล็กๆคนเดียวทำให้แกเปลี่ยนไปด้วยขนาดนี้เลยเหรอ” โจเซฟแทบไม่อยากเชื่อว่าลูกชายตัวดีจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้ ขนาดเขาและภรรยาพูดจนปากจะฉีกแต่ลูกชายตัวดีก็ไม่ยอมฟัง แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแสดงว่าเด็กคนนี้คงมีอิทธิพลกับลูกชายคนนี้มากจริงๆ
“ใช่ครับแด๊ดเงินนี่ล่ะที่ทำให้ผมอยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมจะตั้งใจทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงเมียครับ” เจฟฟี่เอ่ยพร้อมกระชับมือคนที่นั่งอยู่ข้างๆไว้แน่น เงินมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความปลื้มใจ เพื่อเขาเจฟฟี่สามารถทำได้ขนาดนี้มันเกินคำว่าไว้ใจแล้ว
“มอมดีใจที่ลูกคิดได้อย่างนี้ ขอบใจหนูเงินที่ช่วยให้เจฟเป็นผู้เป็นคนขึ้นได้นะจ๊ะ” ภาวดียิ้มกริ่มด้วยความดีใจ ที่ลูกชายคนเล็กของเธอมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
“ไม่เป็นไรครับคุณน้า” เงินตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร เขารู้สึกได้ว่ามารดาของเจฟฟี่คงจะใจดีเหมือนที่เคยบอกไว้ แต่สำหรับโจเซฟนั้นเขากลับไม่มั่นใจ เพราะน้ำเสียงที่ดุดันฟังแล้วแทบขนลุก และใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครานั้นดูเหี้ยมอยู่ไม่น้อย
“มาถึงขนาดนี้แล้วเรียกแม่ก็ได้จ๊ะ” ภาวดียิ้มให้อย่างเอ็นดู แม้จะยังไม่รู้จักนิสัยใจคอของเงินมากเท่าไหร่ แต่เธอก็มั่นใจว่าคงเป็นเด็กดีอย่างแน่นอน ไม่งั้นคงไม่ทำให้เจ้าลูกชายที่ใช้ชีวิตเสเพลตั้งแต่เรียนจบ กลายเป็นคนมีเป้าหมายกับชีวิตได้ขนาดนี้
“คะ...ครับคุณแม่” เห็นรอยยิ้มของภาวดีก็ทำให้เงินสบายใจได้ไปอีกเปาะ
“สรุปแล้วแกจะไปทำงานกับฉันจริงๆใช่ไหม” โจเซฟถามย้ำอีกครั้ง
“ใช่ครับแด๊ดผมจะไปทำงานที่โรงแรม” เจฟฟี่ตอบด้วยความมั่นใจ
“ถ้าตำแหน่งที่ฉันให้ไปทำคือเบลบอยล่ะ แกยังจะยอมไปทำใช่ไหม” โจเซฟต้องการให้ลูกชายเรียนรู้งานจากตำแหน่งระดับล่างสุดเสียก่อน เพื่อจะได้รู้จักกับชีวิตการทำงานที่แท้จริง สมัยเข้ามาบริหารงานที่โรงแรมใหม่ๆเขาเองก็เคยถูกบิดาสั่งให้มาทำงานตำแหน่งนี้เช่นเดียวกัน และอีกอย่างเขาอยากรู้ว่าลูกชายจะสามารถสู้เพื่อเด็กผู้ชายคนนี้ได้นานแค่ไหนกัน
เจฟฟี่มองหน้าบิดาด้วยความตกใจ เขาหวังจะได้เข้ามาทำงานในระดับผู้บริหาร แต่นี่กลับต้องมาเป็นพนักงานยกกระเป๋าซะงั้น มันผิดคาดไปเยอะจริงๆ
“อ้าวไหงเป็นงั้นไปได้! ผมก็นึกว่าแด๊ดจะให้มาช่วยบริหารงานซะอีก” เจ้าตัวรีบโต้กลับทันควัน
“ใครบอก! แกยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยถ้าขืนให้ไปบริหารงานมีหวังโรงแรมได้เจ๊งแน่”
“แต่ฉันว่าลูกไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้นะคะคุณ” ภาวดีเองก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้ลูกชายทำงานในตำแหน่งนี้ เธอรู้ดีว่าเจฟฟี่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ เคยฟังใครซะที่ไหนกัน ถ้าขืนไปทำอย่างนั้นมีหวังได้ไล่ตะเพิดลูกค้าเป็นแน่ นั่นยิ่งจะทำให้มีผลเสียต่อโรงแรมเสียมากกว่า
“ฉันอยากรู้ว่าคนอย่างแกจะรักใครได้นานแค่ไหนกันเชียว...สรุปจะเอายังไง?”
“ผมจะทำครับแด๊ด” เจฟฟี่ตอบไปอย่างมั่นใจ มือหนากระชับมือคนรักเอาไว้แน่นยิ่งขึ้น โจเซฟถึงกับหน้าเหวอเพราะไม่คิดว่าลูกชายจะยอมทำถึงขนาดนี้ เขารู้แล้วว่าตอนนี้เงินคือคนที่ลูกชายคิดจะจริงจังด้วยอย่างแน่นอนแล้ว
“ดี..ถ้างั้นพรุ่งนี้ก็เริ่มทำงานได้เลย ฉันจะไปแจ้งกับฝ่ายบุคคลเอาไว้ แกจะเป็นแค่พนักงานธรรมดาไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆทั้งนั้น ทุกคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าสามารถสั่งงานแกได้ทุกคนโอเคนะ” โจเซฟบอกข้อปฏิบัติให้กับลูกชายฟัง
“โอเคครับ แล้วมีอะไรเพิ่มเติมไหมบอกมาให้หมดเลยครับแด๊ด” เจฟฟี่เอ่ยประชดประชันบิดา แทนที่จะดีใจที่เขามาช่วยงานแต่นี่กลับมาแกล้งกันซะอย่างนั้น ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าบิดาต้องการอะไรแน่นอน หรือคิดอยากจะให้เขาเลิกกับเงินงั้นเหรอ...นั่นมันเป็นไปไม่ได้
“ไม่มี..ว่าแต่หนูล่ะทำงานที่ไหน เป็นลูกเต้าเหล่าใคร แล้วมาเจอกับลูกชายฉันได้ยังไง” โจเซฟถามทุกคำถามที่อยากรู้
เงินได้ยินอย่างนั้นก็มองหน้าคนรักทันที เจฟฟี่ยิ้มให้แล้วจะหันไปเอ่ยกับบิดาแทน แต่โดนพูดตัดหน้าเสียก่อน
“ให้แฟนแกตอบ!” โจเซฟเอ่ยเสียงเข้มดูน่าเกรงขาม
“คือผมเป็นเด็กกำพร้าครับพ่อแม่เสียตั้งแต่เด็ก นับจากนั้นก็ทำงานหาเลี้ยงตัวเองมาตลอด ไม่มีญาติที่ไหนแม้แต่คนเดียว ก่อนหน้านี้ผมทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ผับแหน่งหนึ่ง พี่เจฟไปเที่ยวที่นั่นบ่อยๆเราเลยได้เจอกันครับ และวันนี้กำลังจะไปเริ่มงานทำงานที่ร้านเบเกอร์รี่ของพี่เจสครับ” เงินตอบออกไปตามความจริง เขาไม่อายที่จะบอกว่าเป็นคนไร้ญาติขาดมิตร และมีพื้นฐานชีวิตที่ต้อยต่ำมาตั้งแต่เด็ก เพราะมันคือภูมิคุ้มกันที่ทำให้เขามีความแข็งแกร่งมาจนถึงตอนนี้
“โธ่..น่าสงสารจริงๆหนูเงิน ไม่เป็นไรนะจ๊ะถือซะว่าฉันคือแม่คนหนึ่งของหนูละกันนะ” ภาวดีชอบคนที่มีความขยันและมุ่งมั่น ยิ่งได้รับรู้ว่าเงินเป็นเด็กที่สู้ชีวิตมาก่อนยิ่งทำให้เธอเห็นอกเห็นใจมากยิ่งขึ้นไปอีก
“ขอบคุณครับ” ได้ยินอย่างนั้นเงินก็รู้สึกดีขึ้นมาทันที ภาวดีเป็นคนจิตใจดีเหมือนแม่ของเขาอยู่ไม่น้อย ส่วนเจฟฟี่ก็ยิ้มกว้างเมื่อมารดาของตัวเองดูชอบอกชอบใจคนรักเสียอย่างนี้
“หนูรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าเจฟมันรวย” อยู่ๆโจเซฟก็ถามขึ้นมา
“ครับ”
“แล้วรู้ใช่ไหมว่าลูกชายฉันรักหนูมาก” โจเซฟถามอีกครั้ง
“ครับ” แม้จะยังงงๆแต่เงินก็ตอบออกไปตามความจริง
“ฉันถามตรงๆนะ หนูไม่ได้มาคบกับลูกชายฉันเพราะเงินหรอกนะ”
“แด๊ดทำไมถามอย่างนั้นล่ะ เงินไม่ใช่คนอย่างนั้น!” เจฟฟี่ทนไม่ไหวจึงรีบชิงตอบก่อน เพราะกลัวว่าคนรักจะรู้สึกไม่ดี
“ฉันไม่ได้ถามแก ฉันถามหนูเงิน” โจเซฟทำเสียงเข้มข่มลูกชายดูท่าทางเอาจริง เห็นอย่างนั้นเจฟฟี่ก็สงบปากสงบคำแต่โดยดี
“จริงๆแล้วตอนแรกผมเองก็ไม่ได้รักพี่เจฟหรอกครับ” เมื่อได้ยินประโยคนี้ทำเอาคนที่นั่งข้างๆหันขวับมามองแล้วทำหน้าหงอยทันที แต่เงินก็ยิ้มให้แล้วหันไปเอ่ยกับโจเซฟต่อ “ผมเสียตัวให้พี่เจฟด้วยความไม่ตั้งใจ นั่นทำให้ผมคิดว่าจะต้องเอาคืนให้คุ้มถึงได้ยอมตกลงคบด้วย” เจฟฟี่ถึงกับปล่อยมือเรียวให้เป็นอิสระแล้วชักกลับคืนมา แต่เงินกลับเป็นฝ่ายดึงกลับคืนมาแล้วกุมเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยซะอย่างนั้น “แต่พอมาอยู่ด้วยกันแล้วผมกลับรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีดีมากกว่านั้น เขาดูแลผมเป็นอย่างดี เขาทำดีกับผมสารพัดและเห็นคุณค่าในตัวผมอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ทำให้ตอนนี้ผมรู้สึกดีและอยากจะร่วมสร้างชีวิตคู่กับพี่เจฟตลอดชีวิตเลยครับ” เงินพูดออกไปตามความจริง เขาไม่อยากโกหกความรู้สึกตัวเอง นั่นจะทำให้รู้สึกไม่สบายใจ
โจเซฟได้ฟังจนจบก็รับรู้ได้ถึงความจริงใจของเงินที่มีให้กับลูกชาย และรู้แล้วว่าทำไมไอ้ลูกชายเสเพลถึงได้ติดใจซะขนาดนี้ นั่นเพราะเงินเป็นเด็กที่มีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่มากจริงๆ คนอย่างนี้เหมาะจะมาช่วยควบคุมดูแลให้เจฟฟี่เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้
“ไอ้เจฟมันโชคดีที่ได้หนูมาเป็นเมีย ฉันฝากดูแลมันด้วยละกัน หนูมีความคิดเป็นผู้ใหญ่กว่าลูกชายฉันเสียอีก” ในที่สุดโจฟก็ยอมรับเงินได้อย่างง่ายดาย จากการเผยความรู้สึกภายในจริงๆที่ไม่ได้สร้างภาพขึ้นมา
“คะ...ครับ” เงินตอบรับอย่างงงๆ เขาคิดว่าจะโดนดุด่าว่ากล่าวเสียอีก ดูหน้าโหดๆอย่างนี้บทจะดีก็มาอย่างไม่ทันตั้งตัวเลย
“แด๊ดยอมรับเงินแล้วใช่ไหมครับ” น้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นไม่ต่างจากสีหน้าของเจฟฟี่ ทำให้ภาวดียิ้มออกมาเช่นกัน
“ถ้าไม่ยอมรับฉันคงจะไล่ตะเพิดออกจากบ้านตั้งแต่ที่แกบอกว่าเป็นเมียแล้ว”
“แล้วทำไมแด๊ดต้องทำเป็นเก๊กให้เมียผมกลัวด้วยล่ะ”
“ก็ฉันอยากจะรู้จักเมียแกให้มากขึ้นไงล่ะ จากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับแกแล้วว่าจะมีความอดทนสักแค่ไหน” โจเซฟบอกกับลูกชาย
“ผมทำได้ทุกอย่างเพื่อเมียครับ” สีหน้าที่มุ่งมั่นของเจฟฟี่ ทำให้โจเซฟและภาวดีเห็นถึงความเปลี่ยนไปของลูกชายได้อย่างแท้จริง พลางคิดในใจว่าเงินน่าจะเข้ามาในชีวิตของลูกชายสักสามปีก่อนหน้านี้ ไม่งั้นป่านนี้คงจะได้ช่วยบริหารงานได้อย่างเต็มตัวแล้ว
“แกพูดแล้วนะจะทำอะไรก็ให้นึกถึงหน้าหนูเงินเข้าไว้ละกัน”
“ถ้าพี่เจฟผิดคำพูดผมจะเป็นคนบอกเลิกเองครับไม่ต้องห่วง” เงินให้คำสัญญากับผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน
“แม่ฝากด้วยนะจ๊ะหนูเงิน ไอ้ลูกชายคนนี้เกเรมาซะนาน อาจจะเอาแต่ใจบ้างก็ทนๆเอานะจ๊ะ” ภาวดีเอ่ยกับลูกสะใภ้
“ครับคุณแม่” เงินตอบรับพร้อมส่งยิ้มหวานให้อย่างสบายใจ ตอนนี้ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดีแล้ว จะเหลือก็แต่เจฟฟี่คนเดียวเท่านั้น ว่าจะสามารถทำอย่างที่ให้สัญญาไว้ได้หรือเปล่า เขาเองก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะต้องเจอกับเรื่องอะไรบ้างในอนาคต และสัญญาว่าจะคอยเป็นกำลังใจให้อยู่ข้างๆเสมอ
“ไม่น่าพาเงินมาเลยจริงๆ เหมือนกับมาเพื่อให้แด๊ดกับมอมมีพรรคพวกเพิ่มอีกซะงั้น” เจฟฟี่เอ่ยติดตลก ใบหน้าเปื้อนยิ้ม มือแกร่งโอบที่เอวของคนรักไว้ไม่ยอมปล่อย
“เห็นอย่างนี้แล้วฉันจะได้วางใจว่าแกจะเลิกทำตัวเกเรสักที” โจเซฟเอ่ยอย่างโล่งใจเมื่อได้เห็นความมุ่งมั่นของลูกชาย ถึงไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ได้อีกนานแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีขึ้น
“ถ้าเงินบอกเลิกผมเมื่อไหร่ วันนั้นล่ะครับผมจะกลับมาเกเรยิ่งกว่าเดิมอีก เพราะงั้นแด๊ดกับมอมต้องห้ามให้เงินห้ามเลิกกับผมเด็ดขาด”
“ไอ้ลูกคนนี้อย่ามายืมมือคนอื่น ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับลูกแล้วนะเจฟ ทำตัวดีๆอดทนให้มากๆถ้ารักหนูเงินจริง” ภาวดีเอ่ยกับลูกชาย
“ถูกต้องเลยครับคุณแม่” เงินเห็นด้วยกับคำพูดของภาวดีเต็มร้อย
“เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะเจอกันแค่ครั้งแรกเองนะเนี่ย” เจฟฟี่จ้องหน้าคนรักเหมือนกับคาดโทษเอาไว้
“ไม่ต้องอิจฉาเลยพี่อ่ะ” เงินเอ่ยแล้วหยิกเข้าที่สีข้างทันที
“โอ๊ย! เจ็บนะครับที่รัก” เจ้าตัวทำหน้าเหยเกแล้วลูบเบาๆบริเวณที่โดนหยิก
โจเซฟและภาวดีเห็นอย่างนี้ก็รู้สึกอุ่นใจ ในที่สุดลูกชายที่เคยเกเรไม่เอาถ่านมาหลายปี ก็เอาการเอางานเสียที แถมยังได้ลูกสะใภ้ที่น่ารักและสามารถควบคุมลูกชายไปในทิศทางที่ดีได้ มันถือว่าเป็นอะไรที่วิเศษที่สุดในตอนนี้
“ถ้างั้นผมขอตัวพาเงินไปที่ร้านพี่เจสก่อนนะครับ...วันนี้ทำงานวันแรก” เจฟฟี่เอ่ยกับทั้งสองคน
“วันหยุดก็พาหนูเงินมาหาแม่บ้างนะจะได้ทำความรู้จักกันให้มากขึ้น” ภาวดีเอ่ย
“ฝากไอ้เจ้าเจฟแทนแม่ด้วยนะหนูเงิน” ภาวดีเอ่ยกับลูกสะใภ้
“ครับ...ผมจะไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางเด็ดขาด” เงินเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ประโยคนี้ทำเอาทั้งสองคนดูถูกใจกันเสียยกใหญ่
“ให้มันได้อย่างนี้สิลูกสะใภ้ฉัน” ภาวดียิ้มแฉ่งด้วยความถูกอกถูกใจ
เห็นทุกคนเข้ากันได้ดีอย่างนี้เจฟฟี่ก็เอาแต่ยิ้ม ไม่ผิดหวังเลยที่เขาตั้งใจพาคนรักมาเปิดตัวกับบิดาและมารดา เพราะมันทำให้ตัวเขาเองและครอบครัวมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น
เมื่อออกมาจากบ้านแล้วเจฟฟี่ก็ขับรถพาคนรักมุ่งตรงมายังร้านขายเบเกอร์รี่ของพี่สาว ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถก็มาจอดเทียบหน้าร้าน ทั้งสองเดินเข้าไปในร้านก็เห็นเจสสิก้ากำลังยืนคุยกับพนักงานชายคนหนึ่งที่เพิ่งจะเข้ามาทำงานวันแรกเช่นเดียวกับเงิน
“เฮ้! พี่สาว...น้องชายพาพนักงานใหม่มาส่ง” เจฟฟี่เดินโอบไหล่คนรักเข้ามาในร้าน แสดงความเป็นเจ้าของให้ทุกคนเห็นอย่างเปิดเผย แล้วเอ่ยทักทายพี่สาว
“อ้าวมากันแล้ว” เจสสิก้าหันมายิ้มให้กับคนทั้งสอง
“สวัสดีครับพี่เจส” เงินยกมือไหว้อย่างมีสัมมาคารวะ
“หวัดดีจ้าเงิน วันนี้พร้อมแล้วใช่ป่ะ”
“พร้อมแล้วครับ”
“ถ้าพร้อมแล้วก็บอกให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆเอามือออกจากไหล่ซะที พี่จะได้สอนงานพร้อมกับมอสทีเดียวเลย” เจสสิก้าปรายตามองไปที่น้องชายทันที ได้ยินอย่างนั้นเจฟฟี่ก็ลดมือลงโดยอัตโนมัติ
“เดี๋ยวพี่จะนั่งรอแถวนี้นะ ตอนเย็นจะได้กลับบ้านพร้อมกัน”
“พี่กลับไปพักที่คอนโดก่อนเถอะผมกลับเองได้ พรุ่งนี้พี่ก็จะต้องไปทำงานแล้วนี่” เงินไม่อยากให้อีกฝ่ายรอเพราะกลัวจะมีเรื่องเกิดขึ้นให้เจสสิก้าลำบากใจอีก
“อ้าวฉันลืมเรื่องนี้ไปเลย แล้วแด๊ดกับมอมว่าไงบ้างอ่ะ” เจสสิก้าลืมไปเลยว่าเคยรับปากกว่าจะช่วยพูดเรื่องนี้ให้
“โชคดีที่ท่านรับเงินได้ แต่ผมนี่สิแย่สุดๆ” พูดแล้วก็ทำหน้าบูดบึ้งทันที พรุ่งนี้แล้วสินะที่เขาจะต้องไปตกระกำลำบากเป็นครั้งแรกในชีวิต
“เรื่องอะไรยะ”
“ก็แด๊ดให้ผมไปทำงานเป็นเบลบอยน่ะสิ”
“ว้ายยย! แด๊ดทำดีมากจากหนุ่มเพลย์บอยสู่เด็กเบลบอยผู้น่าสงสาร ฮ่าๆๆ” เจสสิก้าหัวเราะยกใหญ่เมื่อรู้ว่าน้องชายโดนบิดาเล่นงานเข้าให้ซะแล้ว สมควรแล้วที่ต้องโดนอย่างนี้เล่นเอาท่านปวดขมับมาตั้งนมนาน
“ไม่ช่วยยังจะมาหัวเราะเยาะอีกนะพี่อ่ะ” เจฟฟี่ทำหน้างอนให้กับพี่สาว
“โทษทีๆ ฉันเซอร์ไพรซ์ไปหน่อย เอาเป็นว่ากลับไปก่อนเถอะเดี๋ยวถึงเวลาเลิกงานฉันจะไปส่งเงินให้เอง ไม่ต้องเป็นห่วง” เจสสิก้าบอก
“ไม่เอาผมจะอยู่รอ กลัวว่าจะมีคนมาจีบเงิน” เจฟฟี่เห็นหน่วยก้านของพนักงานใหม่ที่ยืนอยู่ข้างพี่สาวก็เริ่มไม่ไว้ใจ เด็กนั่นรุ่นราวคราวเดียวกับคนรัก แถมยังดูหล่อเหลาไม่น้อย ท่าทางแบดบอยอย่างนั้นเขาดูออกว่าคงจะเป็นเสือตัวย่อมๆเลยทีเดียว
“แกมันบ้าไปแล้วหึงไปทั่ว” เจสสิก้าว่าให้น้องชายตัวแสบ
มอสยืนทำหน้านิ่งเมินเฉยกับสายตาไม่เป็นมิตรที่ส่งมาให้
“ใช่ครับพี่เจส...พูดอย่างนี้แสดงว่าไม่เคยไว้ใจผมเลยใช่ป่ะ” เงินเริ่มใช้บทโหดมากำราบคนรัก เขาไม่ใช่ประเภทเห็นใครก็ชอบไปหมดอย่างนั้นสักหน่อย
“อย่ามองพี่แบบนั้นสิ พี่ไว้ใจเงินแต่ไม่ไว้ใจคนอื่น” เจ้าตัวเห็นใบหน้าหวานที่เริ่มจะโหดขึ้นเรื่อยๆก็พูดเสียงอ่อยทันที
“ฉันสัญญาว่าจะดูแลเงินอย่างดีที่สุด ไม่ให้ใครมาจีบเลยยย” เจสสิก้าออกปากให้คำสัญญากับน้องชาย เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจฟฟี่จะหึงหวงได้หนักขนาดนี้
“ก็ได้ๆผมจะยอมกลับ แต่เลิกงานแล้วต้องรีบมาส่งเลยนะ”
“เออๆๆ ฉันล่ะปวดหัวกับความบ้าของแกจริงๆ” เจสสิ้ก้าบ่นให้น้องชายเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ทำเอาเจ้าหล่อนถึงกับเกาที่หลังคอไปด้วยความรำคาญใจ
“ตั้งใจทำงานนะครับ” เจฟฟี่ส่งรอยยิ้มหวานให้คนรัก ก่อนจะไปทำหน้าโหดขู่มอสที่ยืนมองอยู่ไม่ห่างมากนัก
เห็นอาการหึงหวงเกินเหตุอย่างนั้น ยิ่งทำให้มอสรู้สึกหมั่นไส้ เจ้าตัวจึงยิ้มมุมปากพร้อมกับยักคิ้วให้อย่างกวนๆ สื่อว่าเขาพร้อมประกาศทำสงครามอย่างเป็นทางการแล้ว ยิ่งเห็นอย่างนั้นยิ่งทำให้เจฟฟี่คิดมากแต่ก็ต้องยอมกลับคอนโดไม่งั้นจะต้องโดนด่าไม่รู้อีกกี่สิบรอบ