-๕-
หึงหวง
เช้าวันรุ่งขึ้นปลาวาฬเดินหาวหวอดตามหลังเจ้าของห้องลงไปข้างล่างอย่างเซ็งๆ เมื่อเดินมาถึงห้องรับประทานอาหาร ก็เห็นสมาชิกทุกคนในบ้านนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ปลาวาฬจึงยกมือไหว้ผู้เป็นเจ้าของบ้านอย่างมีสัมมาคารวะ
“อรุณสวัสดิ์ครับทุกคน”
“อรุณสวัสดิ์จ๊ะหนูปลาวาฬนั่งลงๆจะได้ทานข้าวเช้ากัน” คุณหญิงฉัตรฉายเอ่ยเชื้อเชิญพร้อมกับโปรยยิ้มให้ด้วยความเป็นมิตร
“ขอบคุณครับ” เจ้าตัวเลือกที่จะนั่งลงข้างนักรบ ส่วนนักบินนั่งที่ประจำนั่นคือข้างผู้เป็นแม่ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับผู้มาใหม่
ด้วยความง่วงทำให้ปลาวาฬอดไม่ได้ที่จะหาวหวอดอ้าปากกว้างอย่างเสียมารยาท จนทุกคนหันมามองที่เจ้าตัวเป็นตาเดียวกัน เมื่อรู้ตัวก็ยิ้มแห้งๆแล้วเอ่ยขอโทษ “เอ่อ...ขอโทษครับที่เสียมารยาท”
“ไม่เป็นไรจ๊ะฉันพอจะเข้าใจ” คุณหญิงฉัตรฉายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พร้อมกับมองหน้าลูกชายและปลาวาฬสลับไปมา
“คือมันไม่....” ปลาวาฬพอจะรู้ว่าคุณหญิงคิดอะไรอยู่ในใจจึงพยายามจะเอ่ยแย้ง แต่ไม่ทันอีกฝ่ายชิงเอ่ยตัดหน้าเสียก่อน
“อย่างที่คุณแม่เข้าใจนั่นล่ะครับ ผมเองก็เพลียๆอยู่เหมือนกัน” พูดแล้วทำเป็นนวดเบาๆที่บริเวณบ่าเพื่อคลายเส้น ก่อนจะยิ้มมุมปากชำเลืองตามองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“อีกไม่นานแล้วสินะที่แม่จะได้อุ้มหลาน”
“แน่นอนครับคุณแม่” เอ่ยกับผู้เป็นแม่อย่างให้ความหวัง
“หนูปลาวาฬก็สู้ๆนะจ๊ะฉันรออุ้มหลานอยู่” คุณหญิงฉัตรฉายส่งยิ้มให้
“ครับ” เจ้าตัวต้องยิ้มแห้งๆอีกครั้ง ก่อนจะส่งสายตาดุให้คู่อริ ทำไมต้องไปโกหกคนอื่นอย่างนั้นด้วยนะ ในเมื่อความจริงยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียหน่อย
เริ่มทานข้าวไปได้สักพัก เกริกไกรก็เริ่มบาทสนทนาขึ้นอีกครั้ง
“วันนี้แกจะเข้าบริษัทไหมนักบิน”
“ไม่ครับคุณพ่อวันนี้ผมว่าจะพักผ่อนสักหน่อย”
“ดีแล้ววันนี้ก็อยู่อำนวยความสะดวกให้กับหนูปลาวาฬละกัน มาวันแรกอาจจะรู้สึกแปลกที่แปลกทาง พาน้องไปเดินชมรอบบ้านบ้างก็ดี”
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณท่าน เกรงใจคุณนักบินเปล่าๆ” ตอบอย่างเกรงอกเกรงใจ
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหนูปลาวาฬจะเป็นเด็กกำพร้า เพราะดูจากกิริยามารยาทแล้วนึกว่าเป็นลูกคุณหนูผู้ดีเสียอีก” คุณหญิงฉัตรฉายเคยอ่านจากใบประวัติที่ปลาวาฬเคยส่งมา เด็กคนนี้รูปร่างหน้าตา ผิวพรรณดี กิริยามารยาทก็น่ารัก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตมาเพียงลำพัง
“ขอบคุณครับคุณหญิง มันก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”
“ใช่ครับคุณแม่ บางทีสิ่งที่เห็นมันอาจจะเป็นแค่ภาพลวงตาก็ได้” ที่กล้าพูดอย่างนั้นเพราะได้เจอฤทธิ์เดชมากับตัวเองแล้ว
ปลาวาฬหันขวับไปมองแรงใส่ทันที
“แกเป็นคนเลือกหนูปลาวาฬมาเองกับมือแล้วทำไมถึงพูดอย่างนี้ล่ะ” คุณหญิงฉัตรฉายมองหน้าลูกชายด้วยความแปลกใจ
“ผมก็พูดหยอกไปอย่างนั้นเองครับคุณแม่ คนที่ผมเลือกมาดีที่สุดแล้ว” มองหน้าอีกฝ่ายแล้วยิ้มเยาะให้
“แม่ก็ว่าอย่างนั้นล่ะหนูปลาวาฬเหมาะที่จะเป็นผู้ให้กำเนิดทายาทมหาธำรงกุลที่สุด” คุณหญิงฉัตรฉายยิ้มไม่ยอมหุบ เพราะรู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้มากเหลือเกิน
“ขอบคุณที่ไว้ใจผมนะครับคุณหญิง รับรองว่าผมจะไม่ทำให้ผิดหวังเลยครับ”
“ถ้างั้นก็รีบมีหลานให้ฉันเร็วๆนะ หนูคือความหวังของทุกคนในบ้านหลังนี้แล้ว ฉันล่ะเบื่อตานักบินจริงๆ ร่างกายก็แข็งแรงดีทุกอย่าง แต่ดั๊นมาเป็นโรคแพ้ผู้หญิง ไม่งั้นป่านนี้ฉันคงมีหลานไปเป็นโหลแล้วจ๊ะ”
“ผมจะพยายามรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เด็กที่เกิดมาจะได้แข็งแรงสมบูรณ์ไปด้วยครับ”
“ต้องให้ได้อย่างนี้สิ ฉันฝากด้วยนะจ๊ะ”
“ครับ” ปลาวาฬยิ้มร่าให้กับนายหญิงของบ้าน
ยิ่งมองท่าทีของอีกฝ่ายยิ่งทำให้นักบินรู้สึกขัดใจ เด็กคนนี้น่ากลัวไม่ใช่เล่น อยู่ต่อหน้าเขาแสดงความร้ายกาจออกมาให้เห็น แต่อยู่ต่อหน้าคนอื่นแสดงท่าทีสุภาพ พูดจาอ่อนหวาน เอาอกเอาใจเก่ง ว่านอนสอนง่ายราวกับคนละคน คอยดูนะเขานี่ล่ะจะกระชากหน้ากากนายนั่นออกมา แต่หลังจากได้คลอดลูกให้กับเขาแล้ว
วันนี้เป็นวันหยุดที่สุดแสนจะวุ่นวายของนักบิน เพราะต้องมาเป็นไกด์พาผู้อาศัยคนใหม่แนะนำสถานที่ต่างๆภายในบ้าน เริ่มต้นจากชั้นบนไล่ลงมาเรื่อยๆจนถึงชั้นล่าง และในที่สุดก็มาถึงห้องโฮมเธียเตอร์ประจำบ้าน ซึ่งเป็นสถานที่ปาร์ตี้สังสรรค์ของทุกคนในวันหยุดและโอกาสพิเศษ
“โหหห!!!...ทำไมถึงได้ใหญ่โตขนาดนี้” เดินเข้ามาก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นห้องโฮมเธียเตอร์สุดหรู ระบบแสงสีเสียงครบครัน มีโซฟาวางเรียงเป็นแนวยาวตรงข้ามก็มีจอขนาดใหญ่ติดไว้กับผนังห้อง
“ทำตื่นตูมอย่างกับไม่เคยเห็น” ยิ้มเยาะแล้วเอ่ยกับคนที่ยืนจ้องมองรอบๆห้องตาแทบไม่กระพริบ
“ใช่สิก็ผมมันไม่เคยมีอย่างนี้ ก็ผมมันคนจน อย่ามาดูถูกกันให้มากนัก” เห็นหน้าหล่อๆที่กำลังเยาะเย้ยยิ่งทำให้หมั่นไส้เข้าไปใหญ่
“ฉันดูถูกนายตรงไหนก็แค่พูดไปตามความจริง นายนี่ก็เล่นละครเก่งเหมือนกันนะ อยู่ต่อหน้าฉันก็อีกอย่าง อยู่ต่อหน้าคนอื่นก็อีกอย่าง นี่เป็นนิสัยของพวกสิบแปดมงกุฎชัดๆ”
“ใครดีมาก็ดีกลับ ใครร้ายมาก็ร้ายกลับ มันเป็นนิสัยของนักสู้ต่างหากล่ะ” ปลาวาฬยืนประจัญหน้าอย่างไม่เกรงกลัว
“เหรอ...ฉันก็เป็นคนประเภทชอบอะไรที่มันท้าทายซะด้วยสิ ไม่งั้นฉันไม่เลือกนายมาที่นี่หรอก” เอ่ยพร้อมกับสาวเท้าก้าวเข้าไปใกล้ๆ ปลาวาฬได้แต่เดินถอยหลังไปจนถึงโซฟาแล้วสะดุดนั่งลง
“คะ...คุณจะทำอะไร”
“ทำอะไรก็ได้ที่ฉันอยากจะทำ” ผลักอีกฝ่ายให้นอนราบลงแล้วคร่อมตัวเอาไว้
แม้จะรู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อยแต่ปลาวาฬก็ทำใจดีสู้เสือ ถึงยังไงก็สู้ไม่ได้อยู่แล้ว ยอมเล่นตามเกมส์ไปให้มันจบๆไปละกัน
“จะทำอะไรก็รีบทำ” แสดงสีหน้ายียวนอย่างไม่เกรงกลัว
เห็นอย่างนั้นยิ่งทำให้นักบินอารมณ์เดือดพล่าน เจ้าตัวโน้มใบหน้าลงไปประกบจูบทันที อยากยั่วดีนักใช่ไหมเขาจะจัดให้ปากบวมเจ่อเลยคอยดู ริมฝีปากบางถูกบดเบียดอย่างดูดดื่มและรุนแรง หมายจะให้อีกฝ่ายยอมศิโรราบร้องขอให้หยุดการกระทำ แต่มือเรียวกลับยกขึ้นมาโอบรัดต้นคอเอาไว้แน่น ในเมื่ออีกฝ่ายยังมีแรงฮึดสู้มีหรือที่เขาจะยอมแพ้ นักบินส่งลิ้นเย็นเข้าไปชอนไชในโพรงปากเหมือนต้องการหาอะไรสักอย่าง ตวัดวนเวียนอยู่ในนั้นอย่างสนุกสนาน
ผ่านไปหลายนาทีแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครยอมใคร นักบินตักตวงความหอมหวานอยู่อย่างนั้นอย่างไม่เบื่อหน่าย เสียงกระเส่าดังขึ้นอยู่เนืองๆ จนปลาวาฬเองเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องเพราะอีกฝ่ายไม่ปล่อยให้เจ้าตัวมีโอกาสสูดอากาศเข้าปอดเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นอย่างนั้นก็จัดการขบริมฝีปากของนักบินจนมีเลือดซิปออกมา
“โอ๊ย! นายทำบ้าอะไรเนี่ย” รีบลุกขึ้นแล้วใช้นิ้วแตะที่ริมฝีปากตัวเอง เมื่อเห็นเลือดก็ยิ่งโมโหหนักเข้าไปใหญ่
“โทษทีผมเป็นพวกชอบความรุนแรง” ลุกขึ้นนั่งแล้วยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“นายตั้งใจแกล้งฉัน!” มองหน้าอย่างเอาเรื่อง
“เปล่าก็บอกแล้วไงผมเป็นพวกชอบความรุนแรง และอีกอย่างคุณเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนเริ่มก่อน”
“ฝากไว้ก่อนเถอะ” ว่าแล้วก็หันหลังกลับเดินออกไป
เมื่อเห็นร่างสูงหันหลังไปแล้วปลาวาฬก็รีบใช้หลังมือถูที่บริเวณริมฝีปากทันที ใช่แล้วเขาเล่นละครตบตาอีกฝ่ายเพื่อเอาชนะ แต่แท้ที่จริงแล้วขยะแขยงเต็มทน คนบ้าอะไรจะหื่นไม่เลือกที่ได้อย่างนี้
“ตามออกมาสิ นายต้องรับผิดชอบสิ่งที่นายทำไว้” เมื่อได้ยินเสียงก็หันขวับไปยิ้มให้อีกฝ่าย
“โอเค๊ไม่มีปัญหา” เบะปากใส่ลับหลัง
นักบินเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลแล้วเข้ามาในห้องนั่งเล่น ส่วนปลาวาฬก็เดินตามหลังมาติดๆ นักบินวางกล่องลงบนโต๊ะกระจกแล้วนั่งขาไขว่ห้างรอ ที่เขาบอกว่าให้อีกฝ่ายรับผิดชอบนั่นคือการทำแผล
“นั่งลงแล้วก็รีบทำแผลให้ฉันด้วย” นั่งทำหน้าเซ็งแล้วบ่นออกมา “นี่มันเป็นวันซวยของฉันรึไงนะ”
ปลาวาฬนั่งลงบนโซฟาอย่างไม่ค่อยเต็มใจ แล้วเปิดกล่องปฐมพยาบาล หยิบอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำแผลออกมาวางไว้ แล้วหยิบสำลีออกมาจากถุง หยดน้ำเกลือลงไปแล้วนำไปจ่อบริเวณใกล้ๆริมฝีปากของคนที่นั่งมองอยู่
“ถ้านายทำฉันเจ็บอีกรอบฉันเอานายตายแน่” คนที่นั่งอยู่รีบพูดขู่เอาไว้ก่อน เพราะกลัวว่าจะโดนแกล้งเหมือนครั้งที่แล้ว
“ผมไม่แกล้งคุณหรอกน่าอยู่นิ่งๆเดี๋ยวได้เจ็บตัวจริงๆหรอก” มือเรียวค่อยๆบรรจงใช้สำลีที่ซึมซับไปด้วยน้ำเกลือ เช็ดบริเวณแผลเล็กๆบริเวณริมฝีปากของชายหนุ่ม
“ซี๊ดส์!” เมื่อแผลโดนน้ำเกลือเข้าให้เจ้าตัวก็ส่งเสียงซี๊ดออกมาเบาๆด้วยความแสบ
เจ็บล่ะสิสมน้ำหน้า เห็นอย่างนั้นก็แสยะยิ้มแล้วสมน้ำหน้าในใจ
“ยี๊อะระ(ยิ้มอะไร)” เห็นรอยยิ้มที่มุมปากนั่นก็ทำให้นักบินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา ทั้งที่ยังเจ็บริมฝีปากอยู่ไม่หาย
“แสดงว่าคุณหายเจ็บแล้วสินะ อย่างนี้ต้องซ้ำอีกรอบแล้วมั้ง” ว่าแล้วก็ยื่นสำลีที่อยู่ในมือเข้าไปใกล้ริมฝีปากอีกครั้ง
“พะ...พอๆ” เอ่ยพร้อมกับยกมื้อขึ้นห้าม
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมอยู่นิ่งๆแล้วก็ทายาฆ่าเชื้อภายนอกให้ โชคดีที่แผลไม่ใหญ่มาก ไม่อย่างนั้นคงได้ไปเย็บที่โรงพยาบาลเป็นแน่
นักบินได้มีโอกาสมองหน้าไอ้เด็กกวนตีนคนนี้ชัดๆ ก็รู้สึกได้ถึงความน่ารักจิ้มลิ้มที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้า
ทำไมไม่ทำตัวให้มันน่ารักเหมือนกับใบหน้านายนะ..
“เสร็จแล้ว” เก็บขวดยาและอุปกรณ์ใส่ในกล่องเหมือนเดิม
“เอาไปไว้ที่เดิมด้วย” เอ่ยเสียงเบาติดๆขัดๆ เพราะยังปวดริมฝีปากไม่หาย
“ขอบใจสักคำยังไม่มีแถมยังใช้ต่ออีก คุณนี่ไม่มีน้ำใจเอาซะเลย”
“นายเองก็ยังไม่ขอโทษฉันอย่างเป็นทางการเลย ถือว่าหายกัน”
“ชิส์!” เบะปากใส่แล้วเดินเอาปล่องปฐมพยาบาลไปเก็บไว้ที่เดิม
นักบินมองตามหลังไปด้วยความเสียดาย คืนนี้เขาอุตส่าห์จะเผด็จศึกไอ้เด็กคนนี้ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นก็ต้องเลื่อนออกไปก่อน รอให้แผลที่ปากหายดีก่อนเถอะ เขาจะจัดให้หนักเลยคอยดู
*-*-*-*-*-*-*
วันนี้เจฟฟี่เป็นสารถีพาแฟนมาที่ร้านเบเกอร์รี่ของพี่สาวสุดที่รัก ‘เจสสิก้า’ คือพี่สาวคนเดียวที่เจฟฟี่รักและไว้ใจมากที่สุด เวลามีเรื่องไม่สบายใจหรือมีปัญหาชีวิตก็จะมาปรึกษาพี่สาวคนนี้ มากกว่าพ่อกับแม่เสียอีก
ลงจากรถแล้วเจฟฟี่ก็จูงมือคนรักเดินตรงเข้ามาในร้าน ซึ่งออกแบบตกแต่งสไตล์ร้านในสวน บรรยากาศนอกร้านจะเป็นที่นั่งชิลล์กินลมเย็นๆใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ มีน้ำตกเล็กๆไหลผ่านเป็นสายรอบตัวร้าน ส่วนภายในร้านจะเป็นที่นั่งติดแอร์สำหรับคนที่ชอบอากาศเย็นสบาย และสามารถมองเห็นความสวยงามของสวนผ่านกระจกใสไปด้วยได้
“ว่าไงครับพี่สาวสุดที่รัก” เดินมาถึงก็เห็นพี่สาวยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ท่าทางดูยุ่งๆ จึงเอ่ยทักทายอย่างคุ้นเคย
“อ้าวไอ้ตัวดีทำไมวันนี้มาหาฉันได้ยะ” วางปากลงแล้วหันมายิ้มให้น้องชาย
“ก็คิดถึงไงเลยมาหา”
“อย่ามาพูดถ้าไม่มีเรื่องให้ฉันช่วย แกไม่มีทางแบกหน้ามาให้ฉันเห็นหรอก แล้ว..” เอ่ยกับน้องชายก่อนจะปรายตามองหนุ่มน้อยหน้าตาน่ารักที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เอ้อ...ลืมแนะนำนี่เงินครับ”
“สวัสดีครับ” เงินยกมือไหว้อย่างมีสัมมาคารวะ ก่อนจะยิ้มให้พี่สาวของแฟน
“สวัสดีจ๊ะหน้าตาน่ารักเชียว” เจสสิก้าเห็นแล้วก็รู้สึกเอ็นดู เพราะท่าทางดูเป็นเด็กที่น่าจะว่านอนสอนง่าย ผิดจากน้องชายของตัวเองซะเหลือเกิน
“นี่แฟนผมเองครับพี่” เจฟฟี่บอกพี่สาวไปตรงๆ เจสสิก้าทำหน้าเหวอทันที่รู้ความจริง ไม่ใช่รับไม่ได้แต่รู้สึกประหลาดใจมากกว่า เพราะแฟนคนก่อนๆของเจฟฟี่เป็นผู้หญิงมาตลอด แต่นี่ถือว่าเป็นแฟนผู้ชายคนแรกที่เธอเคยเห็นมา
“แฟนแกงั้นเหรอ?” ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อน้องชาย
“ใช่แฟนผมเองตอนนี้อยู่ด้วยกันแล้วด้วย” ยิ้มกริ่มให้พี่สาวอย่างภูมิใจ ขณะมือหนาก็จับมือเรียวของคนที่ยืนอยู่ข้างๆไว้แน่น เพื่อสร้างความอุ่นใจให้อีกฝ่าย
“อะ...อะไรนะแล้วเรื่องนี้แด๊ดกับมอมรู้เรื่องรึยัง” ที่ถามอย่างนั้นเพราะกลัวพ่อกับแม่จะรับไม่ได้ ทำตัวเสเพลไปวันๆ แถมตอนนี้ยังจะมีแฟนเป็นผู้ชายอีกต่างหาก
“ยังอ่ะ...แต่พรุ่งนี้ผมจะพาเงินไปไหว้ท่านที่บ้าน”
“แกมานี่กับฉันก่อน” เอ่ยกับน้องชายแล้วหันไปเอ่ยกับเงินอีกที “เดี๋ยวพี่ยืมตัวน้องชายแป๊บนึงนะจ๊ะ”
“ครับ” ตอบรับสั้นๆในใจก็รู้สึกกลัวว่าพี่สาวของแฟนจะรับไม่ได้
“เดี๋ยวพี่มานะไปนั่งรอตรงโน้นก่อนละกัน”
เจสสิก้าดึงมือน้องชายเข้าไปหลังร้าน เมื่อถึงแล้วก็ยืนกอดอกรอฟังคำอธิบายจากอีกฝ่าย
“เล่ามาให้ละเอียด ทำไมแกถึงได้เปลี่ยนมาคบผู้ชาย”
“ก็ไม่มีอะไรมากแค่ผมชอบน้องเขาเท่านั้นเอง รักก็คือรักไม่มีคำอธิบายใดๆ” ตอบแบบสั้นๆกวนๆ
“ตัวฉันเองไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ห่วงแต่แด๊ดกับมอมเท่านั้นล่ะที่จะไล่ตะเพิดแกกับน้องออกมาจากบ้าน” ที่ถามเพราะเธอเป็นห่วงความรู้สึกของทั้งพ่อกับแม่ และเงินที่อาจจะโดนไล่กลับมา
“คนนี้ผมรักจริงนะพี่ พี่ช่วยพูดกับแด๊ดกับมอมให้หน่อยนะ”
“แล้วทำไมฉันจะต้องช่วยแกด้วยล่ะ”
“ผมจะไปช่วยงานท่านที่บริษัท น้องเงินบอกว่าถ้าผมไม่ทำงานจะไม่ยอมคบด้วย น้องเขาไม่ชอบผู้ชายเสเพลผมเลยต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง” เจฟฟี่บอกความจริงกับพี่สาวไป
“แสดงว่าแกรักน้องเขามากจริงๆสินะ แด๊ดพูดจนปากจะฉีกแกก็ยังไม่ยอมไปทำงาน แต่แฟนพูดแค่ประโยคเดียวกลับยอมซะงั้น ฉันจะช่วยละกันแต่เห็นแก่น้องเงินนะไม่ใช่เพราะแก” เจสสิก้าบอกกับน้องชาย
“โถ่วว มาวันแรกก็เข้าข้างกันซะแล้ว”
“ก็จริงไหมล่ะดูท่าทางน้องเขาจะเอาแกอยู่นะ...ฉันชอบบ” ยิ่งได้รู้ว่าอีกฝ่ายบังคับน้องชายให้มาทำงานได้ยิ่งชอบใจไปใหญ่
“เอ้อ...มีอีกเรื่องนึงผมว่าจะฝากเงินมาทำงานที่นี่ด้วย”
“ได้สิไม่มีปัญหา ฉันกำลังขาดผู้ช่วยพอดี”
“ขอบคุณนะคร้าบบที่ช่วยเหลือน้องชายคนนี้มาตลอดแม้จะทำตัวไม่ค่อยดีนัก” ว่าแล้วก็โผเข้ากอดพี่สาวแล้วผละตัวออกมายิ้มให้
“จ้าน้องรักต่อไปก็ทำตัวดีๆไม่งั้นน้องเงินหนีไปฉันไม่รู้ด้วยนะ”
“เจอคารมณ์ผมเข้าให้แล้วไม่มีทางหนีไปไหนได้แน่นอน” เอ่ยอย่างมั่นใจกับคารมณ์คมคายที่ตัวเองมี
“อย่าทำเป็นเก่งถ้าน้องเขาหนีไปจริงๆ ฉันนี่ล่ะจะเป็นคนแรกที่หัวเราะเยาะแก”
“พี่สาวใจร้าย” ทำหน้าบูดบึ้งอย่างกับเด็ก
“ออกไปข้างนอกกันเถอะป่านนี้น้องเงินแกโดนลูกค้าฉันงาบไปกินแล้วมั้ง”
ได้ยินอย่างนั้นเจ้าน้องชายตัวดีก็รีบเดินนำหน้าออกไปทันที เจสสิก้าได้แต่ยิ้มแล้วส่ายศีรษะให้กับความหวงก้างของน้องชาย สงสัยความรักครั้งนี้คงจะจริงจังเหมือนที่พูดไว้จริงๆ
ระหว่างนั่งรอคนทั้งสองเงินก็ชะเง้อมองหลายต่อหลายครั้ง ก่อนจะเห็นพนักงานกำลังวุ่นอยู่เพราะลูกค้ากำลังเข้าร้านจนหนาตา มีออเดอร์รอเสิร์ฟอยู่หลายคิวจึงอาสาเข้าไปช่วย
“พี่ครับให้ผมช่วยเสิร์ฟไหม” เงินเดินไปถามพนักงานคนหนึ่งที่หน้าเคาน์เตอร์
“ไม่เป็นไรจ๊ะ” เธอตอบอย่างงงๆ เพราะไม่รู้จักว่าอีกฝ่ายเป็นใครจึงปฏิเสธออกไป
“ผมเป็นแฟนพี่เจฟน้องชายเจ้าของร้านครับให้ผมช่วยเถอะ ลูกค้าโต๊ะนั้นนั่งรอนานแล้ว ดูท่าทางจะอารมณ์เสียด้วย” พนักงานสาวมองไปยังโต๊ะที่มีลูกค้าหนุ่มสามคนนั่งชะเง้อมองมาอยู่บ่อยครั้ง ดูท่าทางหงุดหงิดไม่น้อย เมื่อเห็นอย่างนั้นหล่อนจึงตัดสินใจให้เงินยกไปเสิร์ฟ ส่วนคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบส่วนนี้ บังเอิญท้องเสียไปเข้าห้องน้ำพอดี
“ถ้างั้นพี่ฝากด้วยนะจ๊ะ ขอบใจจ๊ะ”
“ครับพี่”
เงินยิ้มให้แล้วยกถาดที่มีจานขนมเค้กพร้อมกับเครื่องดื่มไปให้ลูกค้าทันที
“ขออนุญาตเสิร์ฟนะครับ และต้องขอโทษด้วยที่ต้องให้รอนานครับ” ด้วยประสบการณ์ที่เคยทำงานบริการมาหลายปี เรื่องแค่นี้เขาทำได้สบายมาก
“ไม่เป็นไรครับน้อง แต่วันหลังให้เร็วๆด้วยนะพวกพี่สั่งตั้งนานแล้ว นี่ถ้าไม่เห็นว่าน้องน่ารักพี่ไม่ยอมยกโทษให้เด็ดขาด” ลูกค้าหนุ่มคนหนึ่งส่งยิ้มมาให้ สายตาก็โลมเลียอย่างไม่วางตา
“วันหลังจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกแน่นอนครับ ต้องการอะไรเพิ่มเติมไหมครับ” ก่อนจะเดินกลับไปก็เอ่ยถามอีกครั้ง
“งั้นขอเบอร์น้องหน่อยได้ไหมครับ” ไม่พูดเปล่ามือหนาเอื้อมมาจับข้อมือเด็กเสิร์ฟเอาไว้ ไม่ยอมให้เดินกลับไปโดยง่าย
“เอ่อ..ต้องขอโทษด้วยนะครับทางร้านไม่มีนโยบายอย่างนี้ ผมขอตัวก่อนนะครับ” พยายามดึงมือกลับแต่อีกฝ่ายยังคงไม่ยอม
“อย่าทำเป็นเล่นตัวเลยน้องบ้านพี่รวยนะเลี้ยงน้องได้สบายเลย” ว่าแล้วก็ดึงตัวให้มานั่งลงบนตักแล้วล็อกตัวเอาไว้
“ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ” เงินพยายามจะลุกขึ้นแต่โดนอีกฝ่ายกอดไว้แน่น
“อย่าดิ้นสิครับเดี๋ยวคนอื่นก็สงสัยเอาหรอก” ดูท่าทางเพื่อนร่วมโต๊ะจะรู้เห็นเป็นใจ ยิ้มเชียร์กันยกใหญ่
“เฮ๊ย! มึงทำอะไรเมียกูวะ” เจฟฟี่เดินเข้ามาเห็นพอดีก็รีบดึงตัวแฟนเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แล้วชี้หน้าลูกค้าหนุ่มคนนั้น
“มึงเป็นใครวะกล้ามาทำอย่างนี้กับลูกค้าในร้านได้ยังไง” เจ้าตัวต้นเหตุเริ่มโวยวายจนลูกค้าคนอื่นๆเริ่มหันมามอง
“ขอโทษด้วยนะคะ” เจสสิก้ารีบมาห้ามเอาไว้ แล้วบอกน้องชายให้ออกไปจากตรงนั้นก่อน “รีบไปหลังร้านก่อนเร็ว” แต่คนอย่างเจฟฟี่มีหรือจะยอม โดนหยามซะขนาดนี้
“ไม่มันลวนลามเมียผม”
“เมียมึงมาให้ท่ากูเองโว้ย”
“ไม่จริงผมไม่ได้ทำอย่างนั้น” เงินรีบปฏิเสธทันควัน
“ลูกค้าใจเย็นๆนะคะเดี๋ยวมื้อนี้ทางร้านให้ทานฟรีเลยค่ะ” เจสสิก้าพยายามหาทางออกที่ไม่ต้องมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน
เงินพยายามดึงตัวแฟนให้ออกจากตรงนั้น แต่เจฟฟี่กลับยืนนิ่งมองลูกค้ากลุ่มนั้นด้วยความโกรธแค้น ยิ่งนึกถึงภาพที่คนรักโดนลวนลามยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่
“ไปกันเถอะพี่เจฟ”
“ไม่! จนกว่ามันจะขอโทษเงินก่อน”
“ก็กูบอกว่าเมียมึงมันมายั่วกูเองไงวะ” อีกฝ่ายเริ่มทนไม่ไหวจึงลุกขึ้นยืนด้วยความนักเลงทันที
“ไอ้หน้าตัวเมีย”
ผัวะ!
เพล้ง!
กรี๊ดดดด!
ทั้งสองคนตะลุมบอนกันกลางร้านจนโต๊ะล้มระเนระนาด ลูกค้าทั้งหมดรีบวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น และเรื่องทั้งหมดก็ต้องไปจบกันที่โรงพัก เสียค่าปรับคนละห้าร้อยบาทแล้วแยกย้ายกันกลับ ทั้งหมดกลับมาที่ร้านอีกครั้ง เงินทำแผลให้แฟน หลังจากนั้นก็มาช่วยเจสสิก้าเก็บร้านจนเสร็จเรียบร้อย
“เฮ้อ! ร้านฉัน” เจสสิก้านั่งกลุ้มกุมขมับเมื่อเห็นสภาพของร้านที่พังยับเยิน แม้จะเป็นแค่บางส่วนแต่สิ่งที่กลัวมากนั่นคือลูกค้าประจำจะหายไปหมดน่ะสิ
“ผมขอโทษครับที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องขึ้น ถ้าผมไม่อาสาไปช่วยก็คง..” เงินเอ่ยอย่างรู้สึกผิด ถ้าเขาไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายก็คงไม่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น
“ไม่ใช่ความผิดของเงินหรอกจ๊ะอย่าคิดมาก แต่คนที่ผิดคือไอ้น้องชายตัวดีของพี่ต่างหากล่ะ” เจสสิก้าชี้หน้าน้องชายอย่างเอาเรื่อง
“อ้าว! ทำไมเป็นผมล่ะ ไอ้นั่นต่างหากที่มันมาแต๊ะอั๋งเมียผม”
“แกก็รู้ว่าที่นี่ลูกค้าคือพระเจ้า”
“แล้วจะให้มันทำกับเมียผมฟรีๆงั้นเหรอ” พูดแล้วก็เจ็บใจไม่หาย
“ถ้างั้นฉันก็คงจะให้เงินมาทำงานที่นี่ด้วยไม่ได้ เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีก มีหวังร้านของฉันพังแน่นอน”
“ไม่ได้นะครับพี่สัญญาแล้ว” เมื่อได้ยินก็ทำหน้าเหวอ กลัวคนรักจะเสียใจและอีกอย่างถ้าไปทำงานที่อื่นเขาคงไม่ไว้ใจเป็นแน่
“ก็ได้...แต่ถ้าเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นอีก ฉันจะไม่ให้เงินทำงานที่นี่ต่อแน่นอน” เจสสิก้าเอ่ยคำขาด
“ผมสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นอีกเด็กขาดครับพี่เจส ถ้าพี่เจฟห้ามตัวเองไม่ได้ผมก็จะเลิกคบทันที” คนที่รับปากกลับกลายเป็นเงิน
“อ้าว! น้องเงินทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ”
“ถ้าพี่ยังหัวร้อนอย่างนี้ผมคงไม่สามารถคบกับพี่ต่อไปได้”
“โอเคๆพี่จะไม่ให้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นอีกเด็ดขาด” เจ้าตัวจิ๊ปากแล้วแล้วก้มหน้าลง มือหนาก็จับที่มุมปากไปด้วยความเจ็บปวด
“ให้มันได้อย่างนี้สิ..เสือสิ้นลายซะแล้ว” เจสสิก้าขำกับท่าทางง้องแง้งของน้องชาย “เดี๋ยวพี่ไปดูร้านต่อก่อนนะ ฝากเงินดูแลมันต่อด้วย”
“ครับพี่เจส” เจสสิก้ายิ้มให้แล้วเดินไปสั่งงานลูกน้อง
แม้จะเพิ่งดุอีกฝ่ายไปแต่เงินก็แอบเป็นห่วงไม่ได้ ที่เจฟฟี่เจ็บตัวขนาดนี้เพราะทนเห็นเขาโดนเอาเปรียบไม่ได้ เห็นอย่างนี้ก็รู้สึกอุ่นใจว่าในอนาคตผู้ชายคนนี้คงจะดูแลเขาได้
“เจ็บมากไหมอ่ะ”
“เจ็บที่สุดเลยครับ โอ๊ะ...โอยย” ว่าแล้วก็ร้องโอดโอยเพื่ออ้อนคนรัก
เงินหยิบผ้าเย็นออกมาจากกระติกน้ำแล้วไปประคบเบาๆให้
“ขอบคุณนะครับ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นมือหนาก็ยกขึ้นมากุมมืออีกฝ่ายไว้พร้อมกับจ้องตา
“พี่ยอมเจ็บตัวดีกว่ายอมให้คนอื่นมาเอาเปรียบเมียพี่”
ได้ยินอย่างนี้เงินแทบจะถวายตัวให้เสียตอนนี้เลย
------------------------------
ต่อไปอาจจะลงถี่ขึ้นนะครับ วันเว้นวันประมาณนั้น ขอบคุณที่ช่วยคอมเม้นท์กันนะครับ ฝากติดตามด้วยน้า มีอะไรที่ผิดพลาดต้องขออภัยด้วยเด้อ