★C H O R A K A★ #จรกาคนงาม - ★★Special C H 02★ทายาทอสูร[02.07.61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ★C H O R A K A★ #จรกาคนงาม - ★★Special C H 02★ทายาทอสูร[02.07.61]  (อ่าน 144129 ครั้ง)

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 12: เกลียดเข้าไส้[1]

ดีแล้วล่ะที่พูดไปอย่างนั้น บอกไปตามตรงเลยนั่นแหละดีแล้ว เขาจะได้รู้สักทีว่าผมน่ะ...เกลียดเขาเข้าไส้!

ผมพยายามบอกตัวเองอย่างนี้มาหลายวันแล้วเพื่อกลบความรู้สึกผิดที่ผุดขึ้นมาในใจของตัวเอง ก็ตอนที่ผมบอกว่าชอบพี่บุศย์และจะไม่มีวันชอบเขาน่ะ พี่อินทร์ดูสลดมากๆ เลยนะ ถึงแวบแรกผมจะคิดว่าเขาแกล้ง แต่พอเห็นแววตาของเขาแล้ว ผมว่าเขาคงจะไม่ได้แกล้งหรอก

ถูกคนที่ชอบพูดใส่หน้าอย่างนั้น ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ต้องจุกทั้งนั้นแหละ ไม่เว้นแม้แต่อิเหนาเองก็ตาม

ผมก็เหมือนเป็นไบโพล่าร์นะ ครึ่งหนึ่งก็รู้สึกสะใจที่ทำให้อิเหนาที่หลงตัวเองว่ารูปงามนามเพราะ ใครเห็นก็รักก็หลงเสียหน้าได้ แต่อีกครึ่งหนึ่ง... อย่างที่บอกแหละว่ารู้สึกผิด ไม่อย่างนั้นผมจะมาคิดวุ่นวายเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำไม

หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้เจอหน้าพี่อินทร์เลยด้วย ต่อให้ตามติดพี่บุศย์ก็ไม่เห็นพี่อินทร์มาวุ่นวายเลยแม้แต่น้อย ความผิดปกตินี้ทำให้ผมไม่สบายใจ แต่จะให้ถามพี่บุศย์ก็ไม่กล้า กลัวว่าถ้าถามไปแล้ว เขาเกิดถามว่ามีเรื่องอะไรกัน นั่นแหละเป็นเรื่องที่ผมไม่กล้าบอกไปล่ะ

ใครจะไปกล้าบอกล่ะว่าผมหักอกรูมเมตเขาเพราะผมชอบเขาน่ะ

แต่...ทั้งๆ ที่มีเวลาอยู่กับพี่บุศย์สองต่อสองแล้ว ผมกลับฟุ้งซ่านไม่หยุดหย่อน เอาแต่คิดถึงเรื่องพี่อินทร์ อยากจะถามเหลือเกินว่าเขาเป็นยังไงบ้าง ทว่าก็ปากหนักเกินกว่าจะพูดไป ผมเลยระงับความฟุ้งซ่านนั้นด้วยการเลิกตามติดพี่บุศย์สักระยะ ไปกินข้าว ทำกิจกรรมอื่นๆ กับเพื่อนฝูงในเอกบ้าง เพื่อนๆ ผมก็ดูจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ผมเป็นฝ่ายเข้าหาพวกเขาเอง ปกติแล้วเวลาใครชวนไปไหน ผมจะปฏิเสธตลอด

ใจจริงก็ไม่ได้ว่าอยากจะเกาะกลุ่มไปกับเพื่อนหรอกนะ เพราะเพื่อนเอกผมชอบไปไหนมาไหนกันกลุ่มใหญ่ๆ ทั้งหญิงและชายปนๆ กันไป เวลาจะไปไหนแต่ละทีก็ต้องรอกันก่อน ซึ่งอันนี้มันน่ารำคาญสำหรับผมมาก แต่เหมือนช่วงนี้จำเป็นต้องพึ่งพาจริงๆ แหละ ไม่งั้นคิดวุ่นวายน่าดู

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมมากินข้าวกลางวันกับพวกเพื่อนๆ ระหว่างที่กินข้าวและพูดคุยกันออกรสอยู่นั้น จู่ๆ ใครบางคนในกลุ่มก็กระซิบกระซาบขึ้น

“มึงๆ พี่คนนั้นใช่คนที่เป็นเดือนมหา’ลัยหรือเปล่าวะ”

ผมชะงักช้อนที่กำลังเขี่ยใบกระเพรา เงยหน้าขึ้นมองตามจุดที่เพื่อนพยักปลายคางไป

“เออ ใช่ ตัวจริงโคตรหล่อเลยว่ะ”

แล้วผมก็เห็นว่าผู้ชายคนที่เพื่อนๆ พูดถึงกันนั้นคือพี่อินทร์ เท่านั้นผมก็รีบก้มหน้างุด ไม่ใช่ว่าไม่สนใจ แต่ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงถ้าจู่ๆ เขาปรี่เข้ามาหาผมน่ะ

ก้มไปได้ครู่หนึ่งก็เหลือบมองเล็กน้อย เหมือนว่าวันนี้พี่อินทร์จะไม่ได้มากินข้าวที่นี่แต่อย่างใด ทว่ามาแจกอะไรสักอย่างกับกลุ่มเพื่อนๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร จนกระทั่งหนึ่งในรุ่นพี่ที่มากับเขาเดินมาที่โต๊ะเรา

“น้องอยู่ปีหนึ่งกันปะครับ”

“ใช่ค่า”

เพื่อนผู้หญิงพากันร้องรับประสานเสียงให้รุ่นพี่คนนั้นได้ยิ้มกว้าง

“งั้นดีเลย คืองี้ ที่คณะสินกำมีการแสดงละครเวทีให้น้องๆ ปีหนึ่งเข้าไปดูฟรีวันพรุ่งนี้ พี่เอาบัตรมาให้ เผื่อจะสนใจไปดูกันนะ”

แล้วก็แจกกระดาษในมือให้ทุกคนเป็นพัลวัน ผมเลยได้รู้ว่าจริงๆ แล้ว พี่อินทร์มาแจกบัตรดูการแสดงนั่นเอง คงจะเป็นโปรเจ็กต์ประจำปีของพวกเด็กปีสองคณะนี้ล่ะมั้ง เหมือนเป็นการต้อนรับเพื่อนใหม่อะไรงี้

ผมเลยไม่ได้สนใจ ได้แต่ภาวนาขอให้พวกเขารีบไปจากที่นี่สักที กลัวเหลือเกินว่าพี่อินทร์จะเดินมาที่โต๊ะนี้ ขณะที่สายตาก็มองเขาแจกบัตรฟรีให้กับนักศึกษาปีหนึ่งโต๊ะอื่นๆ อยู่

แต่ทว่า...เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างผมเลยเมื่อบัตรที่อยู่ในมือรุ่นพี่คนที่มาโต๊ะพวกผมไม่พอ

“เอ้า ไม่พอแฮะ”

ซึ่งคนที่ไม่ได้บัตรก็คือผมนี่แหละ

“เดี๋ยวพี่เอามาให้นะ เฮ้ย ไอ้อินทร! บัตรไม่พอ เอามาใบนึง”

ผมเบิกตาโพลง รีบออกปากทันใด

“มะ...ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เอาก็ได้”

รุ่นพี่คนนั้นหันมามองทันใด “เฮ้ย ไม่ได้ มาแจกแล้ว ต้องได้ทุกคนครับ อะนั่น มาละ เอาไปอีกใบนึง”

ไม่ทันแล้วเรียบร้อย พี่อินทร์เดินมาที่โต๊ะตามเสียงเพื่อนเรียกเป็นที่เรียบร้อยเช่นกัน ผมนั่งตัวแข็งเลยเมื่อเขามาหยุดยืนที่โต๊ะ

“ไหน ใครยังไม่ได้”

เพื่อนผู้หญิงของผมแทบจะโยนบัตรในมือมาให้ผมทันทีที่เห็นหน้าเขา แต่เพื่อนพี่อินทร์ก็ชี้มาที่ผมแล้ว

“น้องคนนี้ยังไม่ได้”

ผมเหลือบมอง รู้สึกอิหลักอิเหลื่อแปลกๆ ขณะที่พี่อินทร์ก็ดูนิ่งไปเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ยื่นบัตรให้ผม

ไม่สิ...ไม่ได้ยื่นให้ เขาวางลงบนโต๊ะโดยไม่พูดอะไร ไม่มีรอยยิ้มอย่างเคยด้วย ทำให้ผมเผลอหลุดปาก

“พี่อินทร์...”

ไม่รู้ทำไมถึงได้เผลอเรียกออกไปอย่างนั้น แต่เขาน่าจะไม่ได้ยินล่ะมั้งเพราะหลังจากนั้นก็หมุนตัวไปยังโต๊ะอื่นแทน ปล่อยให้ผมได้มองตามหลังพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ

อึดอัด...

ทำไมมันน่าอึดอัดจังวะ

ความจริงผมเองก็รู้คำตอบว่าทำไม มันเป็นเพราะผมเองแหละ เป็นคนไปบอกเขาเองนี่ว่าไม่ชอบให้มาวุ่นวายหรือแกล้ง เขาเลยทำตัวเฉยๆ กับผม แต่...ไม่รู้ทำไม อีกใจหนึ่งก็รู้สึกหวิวๆ แปลกๆ กับท่าทางเป็นปกติของเขา

เออ ไอ้ท่าทางปกตินี่แหละที่มันไม่ปกติสำหรับผมล่ะ ปกติแล้วเวลาเขาเจอหน้าผมจะต้องทำอะไรบ้าๆ บอๆ นี่นา พอนิ่งๆ แบบนี้ ผมก็ไม่ชินยังไงก็ไม่รู้

หรือเขาจะเกลียดผมเข้าให้แล้ว?

เผลอคิดไปแบบนั้น แต่แล้วก็ต้องสลัดความคิดนั้นทิ้ง คิดในแง่บวกแน

ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกัน ห่างๆ กันแบบนี้นั่นแหละดีแล้ว จะเกลียดก็เกลียดไปเลย ดีแล้วล่ะ!

 

ดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้ล่ะ รู้แต่ว่าผมตั้งใจว่าจะไม่ไปดูการแสดงของคณะศิลปกรรมเพราะละครเวทีที่เพิ่งได้บัตรมา มันเป็นการแสดงละครเรื่องอิเหนานี่นา อะไรไม่ว่า เป็นตอนบวงสรวงที่จรกาถูกรุมแกล้งด้วย

เรื่องอะไรจะไปดูเล่า!

แต่พวกเพื่อนผมกลับคะยั้นคะคอให้ผมไปให้ได้ โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิง ประเด็นก็คือพวกนั้นรู้ว่าผมสนิทกับพี่อินทร์พอสมควร เพราะหลังจากที่พี่อินทร์เอาบัตรมาให้ในวันนั้น ผมก็โดนรุมถามกันใหญ่ว่ารู้จักพี่อินทร์ได้ยังไงเพราะแปลกใจที่จู่ๆ ผมก็เรียกชื่อเขา พอเล่าว่าเป็นรูมเมตของพี่รหัส เท่านั้นแหละ อยากให้ผมแนะนำเขาให้รู้จักกันเป็นการใหญ่

มันใช่เรื่องที่กูจะต้องมาเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้ไหมล่ะ!

หงุดหงิดขึ้นมาน้อยๆ เลย ไม่อยากไปด้วย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ พอถึงวันเวลาที่เริ่มการแสดง ผมก็มานั่งจุ้มปุ้กอยู่ในโรงละครของคณะศิลปกรรมศาสตร์จนได้

ไม่นานนัก เสียงบรรเลงดนตรีไทยก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงประกาศของคนพากย์อย่างฮึกเหิมว่าจะแสดงอะไร

อิเหนา ตอนบวงสรวง...

...เป็นตอนที่ผมจำเนื้อหาได้ดีเลยทีเดียว

ไม่ใช่จำได้เพราะบทเรียนที่อ่าน แต่เป็นเพราะเนื้อหาในตอนนี้ มันเป็นหนึ่งในประสบการณ์เลวร้ายที่ผมได้ประสบมาก่อนเลยนะ เรื่องมันมีอยู่ว่าหลังจากที่เสร็จศึกกับวิหยาสะกำแล้ว ผม...ในชาติที่เป็นจรกาก็ถือโอกาสขอแต่งงานกับบุษบา แต่ท้าวดาหาบอกว่าให้ทำพิธีบวงสรวงแก้บนที่ชนะศึกก่อน ในพิธีบวงสรวงนั้น ท้าวดาหาก็เชิญเจ้าชายจากทุกเมืองที่มาช่วยรบมาร่วมกันร้องรำให้สำราญเป็นการสักการะเหล่าเทพยาดาทั้งหลาย เหล่าเจ้าชายพากันขับรำสลับไปมา เมื่อถึงตอนที่อิเหนาต้องร้องรำ อิเหนาก็ขับรำด้วยลำนำที่มีเนื้อหาเสียดสีผม พอถึงคราวผมขับรำบ้าง อิเหนาก็ไปตีกลองให้เสียจังหวะจนร้องรำไม่ได้ ท้าวดาหาเห็นท่าไม่ดีก็เลยให้ยุติการขับรำ

พอไร้ซึ่งการขับรำแล้ว อิเหนาก็ชวนเจ้าชายทุกพระองค์ไปเที่ยวชมป่า รวมถึงชวนผมด้วย ผมรู้แหละว่าเขาไม่ได้อยากให้ผมไปสักเท่าไร แค่ชวนไปอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เสียมารยาท และขณะที่ชมป่ากันอยู่นั้น ขบวนฝ่ายในขององค์มะเดหวีและบุษบาก็เสด็จผ่านมา ทุกคนหลบทางให้กันหมด แต่อิเหนากลับถลาเข้าไปช่วยบุษบาประคองพานผ้าที่ถือมา ทำให้เหล่าเจ้าชายพากันยลโฉมและชมบุษบาไม่หยุดหย่อน ตอนนั้นผมเห็นแล้วก็ทนไม่ได้ เลยพลั้งปากต่อว่าอิเหนากับพวกเพื่อนของเขาไปว่าทำแบบนี้ไม่มีมารยาท ไปมองบุษบาของผมด้วยความพิศวาสแบบนี้ได้ยังไง จากนั้นก็ถูกยอกย้อนกลับมาว่าเป็นแค่คู่หมั้น ไว้ตบแต่งเป็นฝั่งเป็นฝากันก่อนค่อยมาทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของตามหึงหวง ตบท้ายด้วยการหัวเราะใส่

และมันก็เป็นอีกหนึ่งความเจ็บใจจากการถูกอิเหนากลั่นแกล้ง ยิ่งพอกลายมาเป็นการแสดงแบบประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย ผสมผสานความตลกโปกฮาเข้าไปด้วยแล้ว ก็ยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้สึกว่าจรกาช่างโง่เง่าสิ้นดี

ผมมองขึ้นไปบนเวทีตอนที่อิเหนาโผล่ออกมา เสียงร้องกรี๊ดวี้ดว้ายเมื่อเห็นว่าใครเล่นเป็นอิเหนานั้นทำให้ผมต้องย่นคิ้วยู่

จะเป็นใครเสียอีกล่ะถ้าไม่ใช่อิเหนาตัวจริงเสียงจริง

พี่อินทร์...

พอมาสวมชุดไทยแบบนี้ ภาพใบหน้าของอิเหนาในอดีตชาติก็มาซ้อนทับทันที ถึงใบหน้าจะมีบางส่วนที่แตกต่างกันอยู่บ้างตามยุคสมัย แต่ความงามนั้น...ไม่ต่างเลย

อิเหนา...ไม่ว่ายังไงก็คืออิเหนา รูปงาม นามเพราะ ใครเห็นก็รักก็หลง เป็นคุณสมบัติที่อิเหนาพึงมีอยู่แล้ว ขณะที่คนซึ่งรับบทเป็นจรกานั้น... แต่งตัวตลกโปกฮา ตัวดำ ผมหยิก แถมยังอ้วนใหญ่

ผมรู้อยู่หรอกว่าเป็นการแต่งตัวแต่งหน้าให้สมบทบาท แต่พอการแสดงเล่นไปจนถึงฉากที่อิเหนากำลังร้องเพลงเสียดสีจรกาแล้ว ผมก็ได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น

แค่รูปชั่วตัวดำ ไม่หล่อเหลาเหมือนอิเหนาแค่นี้ ทำไมจะต้องกลั่นแกล้งด้วย จรกาไม่ได้ผิดสักหน่อย ก็แค่รักบุษบาเท่านั้นเอง!

เพราะแบบนี้ไง ผมถึงได้แค้น แล้วก็เกลียดขี้หน้าอิเหนามาจนถึงชาตินี้ด้วย ยิ่งเห็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ผมตอกย้ำตัวเองว่าเกลียดเขาเข้าไส้แค่ไหน

เกลียด… เกลียดมาก

เกลียดเข้าไส้จริงๆ!

แต่พอเห็นพี่อินทร์เริ่มรำต่อจากนี้ ความเคียดแค้นเมื่อครู่ก็ค่อยๆ มลายหายไปเมื่อเห็นแสงทองเรืองรองประกายเจิดจ้าน้อยๆ ออกมาจากร่างของเขา ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะไฟจากเวทีหรืออะไร แต่ภาพที่เห็นนั้นก็ทำให้ผมเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าทำไมใครๆ ถึงได้อยากถูกเปรียบเปรยว่ารูปงามดั่งอิเหนา

ก็อิเหนาตัวจริงรูปงามแบบนี้นี่ไง...

หล่อมาก... พี่อินทร์หล่อสะกดทุกสายตาจริงๆ ใครจะรักจะหลงก็ไม่แปลก เพราะแม้แต่ผมเองก็ยังละสายตาจากเขาไม่ได้เลย แต่...มันทำให้ผมอดน้อยใจไม่ได้เหมือนกัน

จรกา...ไม่ว่ายังไงก็คือจรกา ต่อให้เกิดใหม่อีกกี่ชาติ จะศัลยกรรมอีกสักกี่หน้า ยังไงก็สู้อิเหนาไม่ได้

มันคือความจริงที่ผมต้องยอมรับ ต่อให้เกิดใหม่มีรูปงาม แต่ไม่ว่าอย่างใน ภายใต้เปลือกนี้ก็ยังเป็นจรกาคนเดิม...

ผมดูไม่รู้เรื่องสักเท่าไรหรอกว่าเขาเล่นอะไรกัน เอาแต่นั่งมองพี่อินทร์จนกระทั่งพวกเขาแสดงจบ พอจะรู้ว่ามันคงสนุกมากเพราะมีเสียงหัวเราะดังมาเป็นระยะ แต่ผมไม่สนุกด้วยเลยสักนิดนอกจากรู้สึกห่อเหี่ยวยังไงก็ไม่รู้ ใจจากจะกลับหอเต็มแก่ แต่ทว่าก็ถูกเพื่อนรั้งไว้ก่อน

“คืนนี้มีเฟรชชี่ไนท์นะจิ จะไม่อยู่ต่อเหรอ”

ผมเลยนึกขึ้นมาได้ว่างานมันมีวันนี้

“เราไม่ค่อยชอบคนเยอะๆ น่ะ”

และพอผมอ้างไปอย่างนี้ เพื่อนทุกคนก็เบ้หน้าทันที

“ครั้งเดียวในชีวิตนะจิ ต่อให้ปีหน้ามางาน มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้วนะเพราะไม่ใช่ปีหนึ่งแล้ว อยู่ต่อเถอะ ถ้ามันดึกก็ไปนอนค้างหอเพื่อนก็ได้ เพื่อนมีเยอะแยะ”

ใช่ มีเยอะแยะ เพื่อนผู้ชายก็ด้วย ไปขอนอนค้างสักคืนก็ไม่มีปัญหาหรอก พวกนั้นเองก็เออออเห็นดีด้วยเหมือนกันเพราะผมได้ยินแว่วๆ ว่าหลังงานเฟรชชี่ไนท์ก็มีแพลนกันต่อ

พวกนั่งกินเหล้ากินเบียร์อะไรกันตามประสานั่นแหละ...

ผมไม่ชอบกิจกรรมพวกนี้สักเท่าไร แต่พอจะปฏิเสธ

“คือว่าเรา...”

“น่านะจิ ครั้งเดียวในชีวิตนะ”

“แต่เรา...”

“วง xxx มาเล่นเลยนะ ซื้อบัตรไปดูคอนฯ แพงนะเว้ย แต่งานนี้ดูฟรี”

แล้วก็เอ่ยชื่อวงดนตรีที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ ผมอยากจะบอกเหมือนกันว่าไม่ได้ชอบหรือสนใจอะไรพวกนี้สักเท่าไร แต่ก็ทนการคะยั้นคะยอของเพื่อนๆ ไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องอยู่ยาวจนกระทั่งงานเริ่ม

 

งานเฟรชชี่ไนท์เริ่มในช่วงหัวค่ำ ผมถูกเพื่อนๆ ลากมายังหอประชุมที่จัดงาน พอแสดงบัตรนักศึกษาที่มีรหัสสองตัวหน้าบ่งบอกว่าเป็นเด็กปีหนึ่งเรียบร้อย ก็เป็นอันได้รับอนุญาตให้เข้าไปในงานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

ข้างในค่อนข้างมืดและอึกทึกครึกโครมพอสมควรเพราะเป็นงานรวมตัวเด็กปีหนึ่งทุกคณะเอาไว้ด้วยกัน จริงๆ ไม่ได้มีแค่เด็กปีหนึ่งด้วย ปีอื่นๆ ก็มี มิหนำซ้ำ ยังมีเด็กจากมหาวิทยาลัยอื่นด้วย ซึ่งพวกนี้ก็จะมีเพื่อนที่เรียนอยู่ที่นี่นั่นแหละ แล้วก็แอบลอบเข้ามากัน

แต่จะยังไงก็ช่างเถอะ ตอนนี้ผมโคตรอึดอัดเลย ไม่ชอบคนเยอะๆ แบบนี้จริงๆ

ทว่าหลวมตัวเข้ามาแล้ว จะออกก็ออกไม่ได้ ได้แต่ยืนดูการแสดงต่างๆ โชว์หน้าตาดาวเดือนปีที่แล้วของมหาวิทยาลัยและคณะ แน่นอนว่าตอนนี้พี่อินทร์ก็อยู่บนเวทีนี้ด้วยเช่นกัน แต่อยู่ในชุดนักศึกษาเต็มยศ ผมเพิ่งสังเกตเห็นในตอนนี้ว่า...วันนี้เขาตัดผมใหม่

เป็นผมทรงเดิมนั่นแหละ แต่สั้นขึ้นกว่าเดิมพอสมควร ถึงอย่างนั้น...ก็ดูดีไปหมดทุกกระเบียดนิ้ว

พอเขาแนะนำตัวที เสียงกรี๊ดก็หวีดดังทั่วทั้งหอประชุม รอยยิ้มของเขาผุดพรายขึ้นเมื่อพิธีกรบอกให้พูดอะไรฝากให้น้องปีหนึ่งสักอย่าง

“ขอให้สนุกกันให้เต็มที่นะครับน้องๆ”

เป็นรอยยิ้มที่...ปกติแล้วเขาจะมอบให้ผมตลอด ยกเว้นวันที่เจอเขาหลังจากที่ผมหักอกเขาเป็นที่เรียบร้อย

ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกไม่ดีขึ้นมา มิหนำซ้ำยังรู้สึกไม่พอใจด้วยที่เขายิ้มให้คนอื่นที่ไม่ใช่ผม

เป็นความรู้สึกที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยสักนิด แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรต่อเพราะสิ้นเสียงเขาปุ๊บ ก็มีเสียงกรี๊ดกลบปั๊บ ก่อนจะตามมาด้วยวงดนตรีที่ได้รับเชิญมาซึ่งโผล่มาตอนไหนก็ไม่รู้ วินาทีนี้ รอบข้างผมดังอื้ออึงไม่หมดจนมึนหัวไปหมด พี่อินทร์หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมเองก็อยากจะหายไปจากตรงนี้บ้าง แต่พอทุกคนรอบตัวออกสเต็ปวาดลวดลายกัน ผมก็ไปไหนไม่ได้ ได้แต่ยืนตัวตรงแหน็วอยู่ตรงนั้นเพราะพื้นที่ถูกเบียด

เฟรชชี่ไนท์นี่มันคืนปล่อยผีจริงๆ!

เพื่อนๆ ที่มาด้วยกันก็ไม่รู้ดิ้นไปอยู่ทิศทางไหนแล้ว ผมทนอยู่ต่ออีกสักพักก่อนจะรู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้ว เลยตัดสินใจในชั่ววินาทีนั้นว่าจะชิ่งกลับก่อน พลันค่อยๆ ลัดเลาะหมายจะออกไปข้างนอก แต่ยังไม่ทันจะถึงประตูก็ไปอยู่กลางกลุ่มของพวกผู้ชายที่ดิ้นเบียดเสียดกันอยู่ แล้วผมก็...ติดหนึบ

ขยับไปไหนไม่ได้เลยอ้ะ!

ร้องขอทางก็แล้ว พยายามแทรกก็แล้ว แต่เหมือนจะไม่เป็นผลเลย จะมุดก็ไม่ได้ด้วย พวกนี้ตัวใหญ่ปิดทางหมด ผมเลยกะว่ารอให้ถึงเพลงช้าก่อนแล้วค่อยขอทางไปอีกที ทว่า...ฉับพลันก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างแตะลงมาที่ก้น

เดี๋ยวนะ... ไม่ใช่มั้ง

คิดเข้าข้างตัวเองว่าคงจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่พอยืนไปอีกสักพัก ก็รู้สึกเหมือนมีมือมาลูบ

ลูบไม่พอ แม่งขยำด้วย

กูว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว!

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-05-2018 23:10:30 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
★C H 12★เกลียดเข้าไส้[2]

ผมหันไป ตั้งใจจะมองว่าใครเป็นคนทำ แต่ก็มืดจนมองไม่เห็น แถมยังคนเยอะยั้วเยี้ยมั่วไปหมดด้วย อะไรไม่ว่า ตอนนี้เหมือน...เอ่อ...ไม่ได้มีแค่มือเดียวแล้วด้วย เหมือนมีมากกว่านั้น

ไม่รู้ว่ามือใครต่อใครวุ่นวายไปหมดแล้วเนี่ย!

ผมมองไปรอบตัวด้วยความตระหนก มืดก็มืดๆ ไฟก็สลัว มองไม่เห็นเลย เกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้วเพราะทำอะไรไม่ถูก ไม่เคยโดนทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่จู่ๆ ก็มีมือของใครบางคนคว้าต้นแขนผมแล้วกระชากออกมาจากจุดนั้น

แวบหนึ่งผมคิดว่าคงจะเป็นมือของเพื่อนที่มาด้วยกัน แต่พอหลุดออกมาจากตรงนั้นได้และเห็นหน้าของเจ้าของมือจังๆ ผมก็ต้องชะงักงันไปเมื่อเห็นว่าเป็น...ผู้หญิง?

ใช่ ผู้หญิง แต่งตัวแต่งหน้าจัดจ้านกร้านโลก ท่าทางดูเอาเรื่องไม่เบา ที่สำคัญ ตอนนี้หน้าสวยๆ ของเธอที่มีเครื่องสำอางเติมแต่งจนเต็มดูไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง พอลากผมออกมาข้างนอกห้องประชุมได้แล้ว เธอก็ไม่รอช้า แหวใส่ผมทันที

“ปล่อยให้พวกมันยืนล้วงอยู่ได้ ชอบหรือไงฮะนายอะ”

น้ำเสียงฟังดูค่อนข้างหงุดหงิด ผมสาบานเลยว่าไม่เคยเห็นหรือรู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อน แต่พอผ่านไปเพียงชั่ววินาทีเดียวที่ได้สบตากับเธอเท่านั้น แสงทองเรืองรองก็ส่องไสว ภาพของผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ผมรู้จักดีปรากฏให้เห็นทับซ้อนกับดวงหน้าสวยนั่น เท่านั้นผมก็รับรู้ได้ทันทีว่าเธอคือ...

“สะ...สังคามาระตา!?”

ผู้หญิงคนนั้นขมวดคิ้วมุ่นที่จู่ๆ ผมก็โพล่งออกไปอย่างนั้น พลันมองผมอย่างหัวเสีย

“พูดอะไรของนาย สังคามาระตาอะไร”

ผมได้แต่ยิ้มแหยๆ ขณะที่ในใจตะโกนก้อง

ทำไมมันถึงได้กลับมาเกิดใหม่แล้วเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันทั้งก๊กเลยวะเนี่ย!

ไม่เข้าใจเลยว่าองค์ประตาระกาหลาทรงเล่นสนุกอะไรอยู่ แต่ผมก็รับรู้ได้เลยว่าการที่ใครต่อใครในชาติที่แล้วมารวมตัวกันอยู่ใกล้ๆ ผมแบบนี้ มันจะต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ แต่เป็นเรื่องไม่ดียังไงนั้น...ผมเองก็เดาไม่ถูกเหมือนกัน

แล้วก็ไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อด้วยเมื่อจู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“สรัล ไม่เข้าไปในงานเหรอ”

พอหันไปมองเจ้าของเสียง ผมก็ต้องตระหนกเป็นรอบที่สอง

จะไม่ให้ตระหนกได้ยังไง ก็เจ้าของเสียงนั่นคือ...

“อ้าว พี่อินทร์ ไหนว่าจะกลับ ทำไมยังอยู่ล่ะ”

ทำตัวไม่ถูกเลย ทำหน้าก็ไม่ถูก ยิ่งผู้หญิงคนที่ชื่อสังคา... เอ่อ ในชาตินี้คือสรัลน่ะนะ ถามพี่อินทร์กลับด้วย ผมก็ก้มหน้างุดลงไปอย่างรวดเร็วทันที

“กำลังจะกลับแล้ว” พี่อินทร์ตอบ จากนั้นก็เบือนหน้ามาทางผม “แล้วนี่...รู้จักกัน?”

สรัลหันมามองผมด้วยอีกคนพลันส่ายหัวพรืด “หึ ไม่อะ เมื่อกี้เห็นโดนรุมล้วงตูดอยู่ก็เลยลากออกมา”

ผมถึงกับเบิกตาโพลง

ล้วงตูดบ้าบอคอแตกอะไร โดนจับก้นเว้ย ชาตินี้เป็นสาวเป็นนาง พูดจาให้มันดีๆ หน่อยไอ้สังคามาระตา!

แต่จะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ ร้องตะโกนในใจไปก็เท่านั้น มิหนำซ้ำ คำว่า ‘ล้วงตูด’ ทำให้พี่อินทร์ขมวดคิ้วยู่ด้วย

“ล้วงตูด?”

ผมตั้งใจจะแก้ตัวว่าไม่ใช่ แต่สรัลก็พูดออกไปก่อนแล้ว

“อือ โดนพวกเด็ก ม.อื่นล้วงเมามันส์เลย ไอ้นี่ก็ยืนให้เขาล้วงด้วยนะ ไม่ทำอะไรสักอย่าง เหมือนจะชอบ”

แล้วก็เหลือบมามองผมด้วยสายตาตำหนิ ส่วนผมก็ทำได้แค่ย่นคิ้วแข่งกับพี่อินทร์

ไม่ได้ชอบด้วยเว้ย! ก็พูดเกินไป!

จากนั้นความเงียบก็เข้าครอบคลุม ทำให้สรัลรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ มองผมกับพี่อินทร์สลับกันไปมา ก่อนเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

“ทำไม พี่อินทร์รู้จักไอ้หน้าอ่อนนี่เหรอ”

พี่อินทร์พยักหน้า พลางอธิบาย “อือ น้องรหัสไอ้บุศย์มันน่ะ”

สรัลร้องอ๋อออกมาทันที พลันหันมาหาผม “เออ บังเอิญจังเลยนะ เราเป็นน้องรหัสพี่อินทร์”

สังคามาระตาชาตินี้เป็นน้องรหัสอิเหนาเรอะ!?

ผมเหวอไปนิดหน่อย ในใจคิดไปแล้วว่าเดี๋ยวจะต้องมีมาหยารัศมี พี่สาวของสังคามาระตาโผล่มาแน่ เพราะรายนั้นก็เป็นหนึ่งในเมียของอิเหนา แต่ก็ไม่ทันจะได้พูดอะไร สรัลก็โพล่งออกมาแล้ว

“แล้วพี่อินทร์จะกลับยังเนี่ย”

“อืม จะกลับแล้ว”

“อ๋อ เคๆ งั้นหนูไปละ นัดเพื่อนไว้ บายค่ะ”

พูดจบก็เดินลิ่วๆ ไปอีกทางเฉยเลย ปล่อยให้ผมยืนประจันหน้ากับพี่อินทร์อยู่อย่างนั้น

อย่าทิ้งเราไปแบบนี้ สรัลเอ๊ย! กลับมาก๊อนนน!

แล้วกลับไหมล่ะ...หึ ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเรียกในใจของผมด้วยซ้ำ ปล่อยให้ผมได้แต่ทำหน้าไม่ถูก ขณะที่พี่อินทร์ดู...โกรธ ผมคิดว่าเขาโกรธนะ โกรธเรื่องอะไร ผมเดาได้เลย

มันจะเรื่องอะไรล่ะถ้าไม่ใช่เรื่องที่ผมโดนจับก้นน่ะ แล้วสถานการณ์มันก็แย่ลงกว่าเดิมด้วยเมื่อพี่อินทร์ว่าขึ้น

“จะกลับหรือยัง พี่จะไปส่ง”

“มะ...ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวจิกลับเองดีกว่า”

“เดี๋ยวไปส่งหน้า ม. จะได้หารถขึ้นง่ายๆ”

เขาว่ามาอย่างนี้ ผมก็ปฏิเสธต่อไม่ออก

เอาเถอะ ก็ยังดีกว่าไปส่งถึงที่หอล่ะนะ

ผมเดินตามเขาไปยังลานจอดรถที่อยู่ไม่ไกล สายตาก็เหลือบมองแผ่นหลังของคนตรงหน้าไปด้วย เพราะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรที่มันมีอะไรบางอย่างมากั้นกลางระหว่างเราแบบนี้

อะไรบางอย่างที่...น่าจะเป็นกำแพงซึ่งเกิดจากผมเอง

ผมเดินตามเขามาจนกระทั่งถึงรถ อึดอัดอยู่ไม่น้อยที่เห็นพี่อินทร์เอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่พูดไม่จา พอเขาปลดล็อครถแล้วเปิดประตูให้ผม ผมก็อดถามขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นว่าเขายังไม่แสดงสีหน้าอะไร นอกจากสีหน้าน่ากลัวเท่านั้น

“พี่อินทร์โกรธเหรอ”

สิ้นเสียง เขาก็หันขวับมามองหน้าผมทันที

“ใช่ พี่โกรธมาก”

ไม่ปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย รู้อยู่เหมือนกันว่าโกรธ แล้วก็กลายเป็นผมที่รู้สึกผิดเสียอย่างนั้น

“ก็จิไม่รู้”

ก้มหน้าก้มตา ว่าเสียงแผ่วอย่างลืมตัว ขณะที่พี่อินทร์กอดอกมองผมอย่างเอาเรื่อง

“ไม่รู้อะไร”

“ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะจับ...เอ่อ...”

“ก้น”

เป็นพี่อินทร์ที่พูดออกมาแทน ผมทั้งอาย ทั้งรู้สึกแย่ แต่ก็พยักหน้ารับไป ปล่อยให้พี่อินทร์ได้พูดออกมาอีก

“ถึงจะไม่รู้ว่าพวกมันจะจับ แต่ถ้าจิไม่ชอบก็ควรรีบพาตัวเองออกมาจากตรงนั้น ไม่ใช่ยืนให้พวกมันจับ ร้องขอความช่วยเหลือก็ได้”

“ก็จิเห็นว่าเป็นผู้ชายเหมือนกัน คงไม่เป็นไร”

พอผมพูดไปอย่างนั้น สีหน้าของพี่อินทร์ก็ดูน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมอีก

“มันเป็นการคุกคามทางเพศนะจิ จะผู้ชายหรือผู้หญิงก็เป็นทั้งนั้นแหละ บอกว่าไม่เป็นไรไม่ได้”

“ก็ทีตอนพี่อินทร์...เอ่อ...ทำจิ ยังไม่เป็นไรเลย”

“เอาพี่ไปเปรียบเทียบกับไอ้เวรพวกนั้นเหรอ”

ถูกถามมาอย่างนี้ ผมก็เม้มริมฝีปากแน่น หน้าตาของพี่อินทร์ดูน่ากลัวกว่าเดิมอีก ทำให้ผมต้องพึมพำออกมา

“จิขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าอย่างนั้น”

พี่อินทร์ถอนหายใจออกมาสุดแรง “ถ้าจิคิดอย่างนั้น พี่ก็ขอโทษแล้วกันที่คุกคาม”

“จิไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...”

เขากำลังประชดประชันอยู่ล่ะ ผมรู้ แล้วก็ไม่ชอบเลยที่เป็นแบบนี้ จากที่รู้สึกไม่ดีที่ทำให้เขาอกหักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้รู้สึกไม่ดีมากขึ้นไปใหญ่ ผมก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว ตอนนี้ใจอยากจะเดินไปเองมากกว่า ไม่อยากไปกับเขาเลย ร้ายกว่านั้นคือชั่วแวบหนึ่งผมก็รู้สึกกลัว

...กลัวว่าเขาจะเกลียดผมที่ใจร้ายกับเขาแบบนี้

ผมสำนึกผิดเสียอย่างนั้นอะ ก้มหน้าอีกนิดก็จะมุดดินไปแล้ว ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจเต็มแรงของพี่อินทร์ดังมาอีกที พอผมเหลือบมอง เขาก็พูดออกมา

“ขอร้องล่ะจิ อย่าทำให้พี่เป็นห่วงได้ไหม”

“ครับ?”

“ถ้าไม่อยากให้พี่ดูแล จิก็ดูแลตัวเองหน่อย”

ตอนนี้มีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏให้เห็นแล้ว ถึงสีหน้าของพี่อินทร์จะยังดูยุ่งเหยิงอยู่ แต่เขาก็พยายามยิ้มให้ผม คงเพราะเห็นว่าผมจ๋อยไปนั่นแหละ ส่วนผม...พอเห็นแล้วก็อุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด ความอึดอัดที่แบกรับมาตลอดหลายวันที่ผ่านมาจนถึงเมื่อครู่เหมือนถูกยกออกไป ขอบตาร้อนผะผ่าวขึ้นมาฉับพลัน มองหน้าพี่อินทร์แล้วก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว

“ฮึก...”

พี่อินทร์ดูตกใจไปเล็กน้อย “เป็นอะไรจิระ”

“จะ...จิ...” สูดหายใจเข้าปอดเพื่อตั้งสติและกลั้นก้อนสะอื้น ก่อนจะว่าออกมาอีกครั้ง “จิคิดว่าพี่อินทร์จะเกลียดจิซะแล้ว”

เท่านั้นใบหน้าของพี่อินทร์ก็มีรอยยิ้มกว้างทันที หัวคิ้วไม่ย่นเหมือนเดิมแล้ว พลันตามมาด้วยหัวเราะน้อยๆ

อยากจะแหวใส่เขาเหมือนกันว่ามีอะไรให้ตลกนักหนา ก็ผมกลัวเขาเกลียดจริงๆ นี่ ถึงจะไม่ชอบหน้าเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากถูกเกลียดหรอกนะ

แต่แล้วผมก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อปลายนิ้วอุ่นร้อนลูบไล้เข้ามาที่ใต้ตา พอเหลือบมองก็เห็นพี่อินทร์กำลังซับน้ำตาให้ผมอยู่

“พี่ไม่เกลียดจิหรอก ไม่เคยเกลียดเลย... ถึงจิจะหักอกพี่ก็เถอะนะ”

พี่อินทร์...

เป็นคนดีอะไรแบบนี้วะ จิตใจโคตรจะดีเลยพ่อคู๊ณณณ

ผมมองเขาผ่านม่านน้ำตา ขณะที่เขายังคงหัวเราะอยู่

“ดูๆ ทำหน้ากระรอกอย่างเดียวไม่พอ ยังเบะปากอีก ทำหน้าแบบนี้ เดี๋ยวก็ถูกพี่แกล้งอีกหรอก”

ตอนนี้ถ้าเขาอยากจะแกล้ง ผมก็จะให้แกล้งเลย แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไป ได้แต่มองหน้าเขานิ่งเท่านั้น

“หืม มีอะไร มองหน้าพี่แบบนี้ อยากได้อะไรจากปี้จ๊ะนว้องจิ~”

แล้วพี่อินทร์ก็อดทำเสียงสองใส่ผมไม่ได้ เหมือนเขาลืมตัวอะ พอพูดจบก็ทำหน้าตกใจนิดนึง ก่อนจะลูบท้ายทอยตัวเองป้อยๆ

“โทษที มันเคยชิน”

ผมหัวเราะให้กับท่าทางนั้น พลันก็รู้สึกว่าเขา...โคตรน่ารักเลย!

ไม่รู้ผีห่าซาตานตัวไหนดลใจให้รู้สึกไปอย่างนั้น แต่ที่แน่ๆ ผมรู้สึกดีมากๆ ที่เขายังคงเป็นบ้าเหมือนเดิม

พี่อินทร์ที่บ้าๆ บอๆ นี่แหละ ดีที่สุดแล้ว

พลันอดใจไม่ไหว โผเข้าหาเขาอย่างลืมตัว กอดเขาแน่นด้วย ปากก็พูดพร่ำไม่หยุด

“ถึงจิจะชอบพี่บุศย์ แต่พี่อินทร์อย่าเกลียดจินะ”

ผมว่าเขาดูงงๆ ไปเหมือนกันที่เห็นผมทำอย่างนี้ แต่แล้วก็หัวเราะออกมา ลูบหลัง ลูบหัวผมเป็นการใหญ่

“ได้ๆ ไม่เกลียด แต่ถ้าบอกว่าชอบไอ้บุศย์อีกครั้งนึง คราวนี้จะเกลียดจริงๆ ละ”

เขาพูดทีเล่นทีจริง ผมก็พยักหน้ารับหงึกหงัก ปล่อยให้เขาโอ๋อยู่อย่างนั้น พร้อมกับขัดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย

สงสัยเขาจะทำให้ผมเสพติดการแกล้งของเขาแล้วล่ะ

เพราะแบบนี้ไงถึงได้บอกว่าเกลียดอิเหนาเข้าไส้ ทั้งที่เกลียดแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้มีอิทธิพลกับความรู้สึกผมมากมายขนาดนี้นะ!

-----------------------------

ตอนแรกกะว่าไม่มาแล้ว คิดว่าไม่น่าจะเขียนจบวันนี้ แต่ดันจบ อัปให้เลยแล้วกันค่ะ

ตอนนี้พี่อินทร์มีออร่าผัวทั้งตอนนะ ถึงจะหลุดเพี้ยนๆ มานิดหน่อย เอาความผัวมาเรียกคะแนนหน่อยหลังจากบ้าๆ บอๆ มาแล้วทั้งเรื่อง 555

ฝากกำลังใจไว้ด้วยจ้า

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
เป็นพระเอกที่บ้าที่สุดตั้งแต่เคยอ่านมา :katai2-1: สมควรละที่แกล้งน้องเกินเบอร์ แต่ก็ใจหายแทน สงสารคนบ้า :katai1:

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1915
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
โอ้ออร่าพระเอกมาแล้วววว

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 889
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ในที่สุดพี่อินทร์ก็เป็นผู้เป็นคนกับเขาได้สักที ฮือ น้องอ้อนแค่นี้ใจอ่อนเลยนะพี่มึง

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
นี่ก็ไม่คุ้นกับพี่อินทร์เวอร์ปกติเลย เอาพี่อินทร์คนบ้าคืนมาเถอะนะคะ ฮ่าๆๆๆ

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 944
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
ตอนพี่อินทร์เป็นคนปกตินี่โคตรหล่อ เผลอใจสั่นไปแวบนึงเลยอ่ะ

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
มีมาหยารัศมีแล้ว คนต่อไปก็น่าจะจินตหลา

มันจะพีคมากถ้าถึงจุดกดดันแล้วนายเอกสารภาพเรื่องชาติก่อน แล้วระบายความในใจใส่นังอิเหนา สะใจจจจ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
นึกว่าจะเลิกบ้าแล้วซะอีก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ุุถ้ามีคนอื่นที่มองเห็นว่าใครเป็นใครในอดีต นอกเหนือจากหนูจิ จะเป็นอย่างไรนะ  :hao3:

ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
ฮือออ พี่อินทร์ ค่ดดีเลยยยย เอ็นดู

ออฟไลน์ Patsz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
พี่อินทร์ตอนนี้หล่อมากค่ะ มีตัวละครใหม่มาแล้ว แต่ตัวเก่าอย่างพี่บุศย์ กับวิหยาสะกำ เป็นยังไงกันบ้างนะ

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 594
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
ผมรู้สึกดีมากๆ ที่เขายังคงเป็นบ้าเหมือนเดิม <<<<นว้อง555555555 ฮือรู้สึกดีที่พี่เป็นบ้าเหมือนเดิม จิระลูก ขำอะไรไม่รู้ สงสัยนี่บ้าตามพี่อินทร์


ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
จรกาเปิดใจสักทีเถอะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 13: อิเหนาคาเฟ่

ทุกอย่าง...เหมือนจะดีขึ้น

ใช่ ผมใช้คำว่า ‘เหมือน’ เพราะหลังจากวันที่ได้คุยกับพี่อินทร์อีกครั้ง เขาก็ไม่ทำตัวเหินห่างกับผม แต่ก็ใช่ว่าจะมาทำตัวบ้าๆ บอๆ ใส่เหมือนเดิม เวลาเจอหน้าผม เขาก็ยิ้มให้ คุยด้วยตามปกตินั่นแหละ แต่เป็นความปกติที่ไม่ปกติ คนอย่างพี่อินทร์ต้องบ้าๆ บอๆ ต่างหากถึงจะเรียกว่าปกติ ทว่าก็ไปโทษอะไรเขาไม่ได้ที่เขารักษาระยะห่างจากผม เป็นผมเองนี่นาที่บอกให้เขาทำแบบนั้น

ก็...ดีแล้วล่ะมั้ง ผมรำคาญที่เขามาคอยก่อกวนนี่ เว้นระยะห่างกันหน่อยนั่นแหละดีแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น มันก็น่าอึดอัดแปลกๆ ตรงที่รู้สึกเหมือนยังมีกำแพงบางๆ กั้นกลางระหว่างเรา ผมทำเป็นไม่สนใจ คิดเอาว่าเป็นโอกาสดีแล้วที่สลัดอิเหนาให้หลุดไปได้ เพราะผมจะได้คอยตามเกี้ยวน้องบุษบาให้สมใจ

ทว่า...รู้สึกแปลกๆ จังเลยนะ

“จิ ได้ยินไหม”

“ครับ?”

ผมสะดุ้งน้อยๆ หลังจากนั่งเหม่อได้พักหนึ่ง ก่อนจะเห็นสีหน้ายุ่งเหยิงของเจ้าของเสียงตรงหน้า

“พี่เรียกตั้งนาน เหม่ออะไรอยู่ ไม่สบายหรือเปล่า”

พี่บุศย์ถามด้วยความเป็นห่วง วันนี้เป็นอีกวันที่เขาเป็นฝ่ายโทรเรียกผมให้ไปหา พูดง่ายๆ ก็คือเป็นฝ่ายเข้าหาผมเองนั่นแหละ ความจริงก็น่าดีใจอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมพอเจอหน้าเขา ผมกลับเอาแต่คิดฟุ้งซ่านไปถึงรูมเมตของเขาเสียนี่

“จิสบายดีครับ”

ผมรีบตอบรับ ก่อนจะได้รับสายตาจับพิรุธของพี่บุศย์คืนมา

“แน่ใจนะว่าไม่เป็นไร”

“ครับ จิแน่ใจ ว่าแต่เมื่อกี้พี่บุศย์จะบอกอะไรจิเหรอครับ”

พยักหน้าหงึกหงักเร็วๆ พี่บุศย์เลยไม่ได้ว่าอะไร กลับมาพูดเรื่องเดิมแทน

“พี่ถามเราว่าเย็นนี้ว่างไหม จะชวนไปกินหมูกระทะ”

“หมูกระทะเหรอ?”

“ใช่ แต่เป็นแถวบ้านพี่นะ ว่าจะชวนไปนอนค้างที่บ้านด้วย”

ผมค่อนข้างงุนงงเล็กน้อยที่ได้ยินคำพูดนี้ แต่ไม่ทันจะได้ถาม พี่บุศย์ก็อธิบายออกมาแล้ว

“วันนี้วันเกิดพี่น่ะ”

เท่านั้นผมก็เบิกตาโต “วันเกิดพี่บุศย์เหรอครับ! ทำไมจิไม่เห็นรู้!?”

ก็แน่ล่ะ เขาไม่เคยบอกผมนี่ พี่บุศย์หัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นท่าทางตื่นตกใจของผม ก่อนเอื้อมมือมาตบบ่า

“ไม่ต้องตื่นเต้นไป ใครๆ ก็มีวันเกิดกันทั้งนั้นแหละ”

“จิไม่ได้ตื่นเต้นครับ จิตกใจเพราะไม่ได้เตรียมของขวัญให้พี่บุศย์มากกว่า”

พอพูดไปอย่างนี้ พี่บุศย์ก็มองผมด้วยสายตาเอ็นดูทันที

“ของขวัญเป็นสิ่งของน่ะไม่ต้องหรอก แค่จิไปกินหมูกระทะกับพี่ พี่ก็ดีใจแล้ว ตกลงเราจะไปไหมล่ะ”

แล้วมีเหรอที่ผมจะปฏิเสธ รีบพยักหน้ารับทันที

“ไปสิครับ ไป!”

“แต่ไปค้างบ้านพี่ด้วยนะ เพราะตอนกลางคืนอาจมีกินกันต่อ”

ผมก็พยักหน้าอีกที “เรื่องนั้นไม่มีปัญหาครับพี่บุศย์ จิไปได้”

พี่บุศย์ก็เลยยิ้มกว้าง “งั้นก็ดีเลย เดี๋ยวเลิกเรียนแล้ว จิมารอที่นี่นะ ไว้ไปรถไอ้อินทร์กัน”

ผมก็ลืมไปเลยว่างานวันเกิดของพี่บุศย์จะขาดผู้ชายคนนั้นไปไม่ได้ ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้เขาไปหรอก แต่พอนึกถึงหน้าของพี่อินทร์แล้ว ผมก็เกิดรู้สึกประดักประเดิดขึ้นมาน้อยๆ

คงอีกสักพักใหญ่ๆ เลยล่ะมั้งถึงจะทำใจให้ชินกับความอึดอัดนี้ได้...

 

แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้น่าอึดอัดขนาดนั้น เพราะถึงพี่อินทร์จะไม่ได้ทำตัวบ้าๆ บอๆ กับผม มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ทำตัวบ้าๆ บอๆ กับคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่มีน้องรหัสเขาอย่างสรัลไปด้วยอย่างนี้ ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าสรัลก็ไป เปิดประตูรถฝั่งเบาะหลังได้ก็เห็นเธอนั่งแป้นแล้นอยู่แล้ว ตอนนี้เลยกลายเป็นว่า...ผม...จรกา อิเหนา บุษบา และสังคามาระตา...

...ไปกินหมูกระทะกัน

มันเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรวะเนี่ย!

เมื่อชาติก่อนนี่ ผมกับอิเหนาแล้วก็สังคามาระตาเป็นไม้เบื่อไม้เมากันเลยนะ อิเหนาชอบแกล้งผมโดยมีสังคามาระตาเป็นลูกล้อคอยช่วยทับถม เอาตรงๆ ผมก็เกลียดขี้หน้าสังคามาระตาพอๆ กับอิเหนานั่นแหละ

ทว่าตอนนี้...ดันมานั่งปิ้งหมูด้วยกัน

อิเหนาเอามันหมูทากระทะ สังคามาระตาหักผักใส่รอบๆ หม้อ บุษบาคอยรินเครื่องดื่มให้ทุกคน ส่วนจรกาอย่างผมนั่งรอเอาหมูสามชั้นหมักซอสคีบลงย่าง เป็นโมเมนต์ที่ awkward โคตรๆ

แต่...ก็สนุกดีนะ ทำเอาผมลืมความแค้นในอดีตไปได้ครู่หนึ่ง ยิ่งตอนเห็นพี่อินทร์กับสรัลคุยกันจ้อไม่หยุด ผมก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาที่บรรยากาศไม่ได้น่าอึดอัดอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้ แต่ไม่ทันไรมันก็เริ่มอึดอัดตอนที่พี่อินทร์เริ่มคีบหมูที่สุกแล้วใส่ในจานผม

ชิ้นแล้ว...ชิ้นเล่า...

ผมเหลือบมอง เขาแทบไม่คีบลงจานตัวเองสักชิ้น ผมเลยอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

“พี่อินทร์ไม่ต้องคีบให้จิก็ได้ครับ เดี๋ยวจิคีบเอง”

พี่อินทร์ยิ้มรับ ว่าอย่างไม่ยี่หระ “ไม่เป็นไร พี่อยากดูแล”

ผมเม้มริมฝีปากแน่น อึดอัดขึ้นมาน้อยๆ อีกแล้วที่เขาทำตัวดีกับผมแบบนี้ อะไรไม่ว่า ทำต่อหน้าพี่บุศย์ ถ้าเกิดผมยอมปล่อยให้พี่อินทร์ทำตามใจ ผมก็กลัวว่าพี่บุศย์จะเข้าใจผิดว่าผมชอบพี่อินทร์ เลยต้องออกปากปรามไว้ก่อน

“แต่จิชอบคีบเองมากกว่า”

แต่ก็ไม่กล้าพูดเสียงดังแหละนะ ได้แต่กระซิบเบาๆ เพราะเกรงใจพี่บุศย์ วันนี้เป็นวันเกิดเขา ผมไม่อยากให้เขาต้องมาลำบากใจเพราะเห็นน้องรหัสทะเลาะกับรูมเมตตัวเองหรอกนะ

“พี่บอกแล้วไงว่าพี่อยากดูแล”

แล้วพี่อินทร์ฟังไหมล่ะ ไม่ฟังไม่พอ ยังจะคีบหมูใส่จานให้ผมอีก ผมเลยหันไปย่นคิ้วใส่เขา

“เรื่องแค่นี้ พี่อินทร์ไม่ต้องดูแลจิก็ได้ จิทำเองได้ครับ ไม่เป็นไรจริงๆ”

เขาก็ยังไม่สนอีก ทำหูทวนลม จะคีบหมูใส่จานผมอีกครั้ง ผมเลยรีบร้องออกมา

“ไม่ต้องครับ พี่อินทร์กินไปเถอะ จิจะกินเอง”

พูดอย่างเดียวคงไม่พอ คว้าจานหนีด้วย พี่อินทร์เลยชะงัก คีบหมูใส่จานตัวเองด้วยสีหน้าเศร้าๆ

เนี่ย เป็นแบบนี้แล้วจะไม่ให้ผมรู้สึกผิดได้ยังไง สลดจนผมต้องรีบแก้ต่างให้ตัวเองเป็นพัลวัน ลืมไปหมดเลยว่าฝั่งตรงข้ามมีพี่บุศย์กับสรัลนั่งมองอยู่

“จิแค่เห็นว่าพี่อินทร์คีบให้แต่จิ ตัวเองไม่ได้กินเลย จิก็เลยอยากให้พี่อินทร์กินครับ”

แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ มาก พี่อินทร์หันมามองผม ยิ้มบางๆ ให้

“พี่ก็บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร พี่อยากดูแล”

“แล้วพี่อินทร์อยากจะมาดูแลจิทำไม”

ถามถึงตรงนี้ พี่อินทร์ก็จ้องหน้าผมนิ่ง ว่าออกมาช้าๆ พลางอมยิ้ม

“เพราะพี่เชื่อว่าน้ำหยดลงหินทุกวัน...”

“มันไม่กร่อนหรอกครับ หยดทุกวันก็ไม่กร่อนหรอก เชื่อจิ!”

ผมรีบโพล่งขึ้นมาเลยด้วยรู้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อจากนี้ ไม่อยากให้เขามาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่นเท่าไรนักหรอก แต่พอผมโพล่งไปอย่างนั้น พี่อินทร์ก็ส่ายหน้า

“หึ ไม่ใช่”

ผมเองก็ทำหน้างง “อ้าว แล้วอะไรอะ”

“น้ำหยดลงหินทุกวัน...” เขาว่า จากนั้นก็ทำหน้าเศร้าอีกครั้ง “หินรำคาญ หินไม่คุย”

แล้วมึงจะยอมรับความจริงทำไมเนี่ย!

สรัลถึงกับหัวเราะก๊ากหลังจากมองอยู่นาน หมูเหมอในปากกระเด็นกระดอนหมด ก่อนจะแทรกขึ้นมาบ้าง

“นี่มุกหรือเปลือกหอยเนี่ยพี่อินทร์”

เท่านั้นพี่อินทร์ก็หันไปมองหน้าน้องรหัสตัวเอง พูดสั้นๆ “ไป”

“ไปไหนคะ อิ่มแล้วเหรอ”

“เปล่า”

“อ้าว”

“ไปเล่นตรงโน้นเลยนะมุกเปลือกหอยของแกเนี่ย”

จากนั้นทั้งพี่บุศย์ทั้งสรัลก็พากันฮาครืน แล้วดูเหมือนจะไม่หยุดด้วยเพราะสรัลเริ่มสนุกแล้ว จู่ๆ เธอก็ถามขึ้นมาอีก

“วันก่อน หนูเห็นพี่อินทร์กลับหอดึก ไปไหนมาคะ”

“อ๋อ พี่ทำงานเป็นกะน่ะ”

“กะกลางคืนเหรอ”

“เปล่า กะree” แล้วก็ทำสะดีดสะดิ้ง ยกมือขึ้นอังแก้มทำท่าคิด “จะว่าไป เมื่อคืนนี้ยังไม่ได้แขกเลยนะฮ้า~”

พอกลับมาเป็นปกติแล้ว มึงนี่ก็แรดจริงจังเลยนะ!

ส่วนพี่บุศย์ก็ขำใหญ่ ขำจนหน้าดำหน้าแดง กลายเป็นว่าทำให้พี่รหัสน้องรหัสสองคนนี้เล่นกันไม่หยุด ล่าสุดสรัลชี้นิ้วไปยังไก่ทอดที่อยู่บนโต๊ะแล้ว

“พี่อินทร์ๆ นี่อะไร”

พี่อินทร์เหลือบมองก่อนตอบ “น่องไก่”

จากนั้นสรัลก็ชี้ไปที่ขาของตัวเอง “นี่ล่ะ”

“น่องหมู”

ถ้าผมเป็นสรัล ผมจะตบพี่อินทร์หน้าหันเลยนะ

มาบอกว่าขาผู้หญิงเป็นน่องหมูนี่ หาเรื่องโดนตบแท้ๆ

แต่สรัลก็ไม่ได้ว่าอะไร ชี้นิ้วไปยังหมาจรจัดที่อยู่หน้าร้าน

“แล้วนั่นล่ะ”

“น่องหมา”

จากนั้นก็ชี้มาที่ผม “แล้วเนี่ย”

เท่านั้นพี่อินทร์ก็ยิ้มร่า ยื่นมือมาจับแก้มผมทั้งสองข้าง ยืดออกเบาๆ แล้วส่ายไปมา

“น่องจิของป่าปี๊~”

ไอ้อิเหนากับสังคามาระตา! มึงสองคนเป็นตลกคาเฟ่ร้านหมูกระทะเหรอ เลิกเล่นกันได้แล้ว!

แต่คงจะหยุดยาก ติดลมกันไปแล้วทั้งคู่ สรัลเอาตะเกียบที่ถืออยู่ชี้ไปที่หอมหัวใหญ่ในจานยำปลาหมึกที่ตักมาเป็นที่เรียบร้อย

“แล้วอันนี้เรียกว่าอะไรพี่อินทร์”

“อันนั้นเรียกว่าหอมหัวใหญ่”

พี่อินทร์ว่า ผมมองทั้งสองคน รอดูว่าจะเล่นมุกอะไรกันต่อ ขณะที่สรัลเอาตะเกียบมาชี้หน้าผมแล้ว

“แล้วนั่นล่ะ”

เท่านั้นแหละ พี่อินทร์ก็โผเข้ามาหาผม แล้วก็...

จุ๊บ~

...จูบลงมาที่หน้าผากผมหน้าตาเฉย

“อันนี้...หอมหัวจิ”

มึงจะมาเล่นมุกฟายกันหน้าด้านๆ อย่างนี้ไม่ได้!

ผมเหวอไปเลย อ้าปากค้าง จับหน้าผากตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตาว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้กลางร้านหมูกระทะ ขณะที่สรัลกับพี่บุศย์หัวเราะร่วน ส่วนพี่อินทร์ก็ชูนิ้วโป้งให้น้องรหัสตัวเอง

“มุกดีๆ”

ดีพ่อง! มึงวางแผนกันมาใช่ไหม!

วางแผนจริงๆ แหละ เพราะจากนั้นพี่อินทร์ก็ว่าขึ้นมา

“สรัลนี่เวลาไปกินอะไรที่ไหนต้องให้นั่งใกล้ๆ ชั้นวางเครื่องดื่มนะ”

“ทำไมอะ” คราวนี้พี่บุศย์ถาม

“ชงเก่ง”

พอพี่อินทร์ตอบก็พากันฮาครืนอีกระลอก สรัลก็ยืดใหญ่ มีแต่ผมเท่านั้นแหละที่นั่งหน้ามุ่ย

ชงไม่เก่งจะเรียกว่าสังคามาระตาเหรอ ก็แม่งชงมุกให้มึงตบมาตั้งแต่ชาติที่แล้วนี่หว่า!

แต่ก็โวยวายอะไรไม่ได้ไง อย่างที่บอกว่าวันนี้วันเกิดพี่บุศย์ ผมเลยได้แต่ระบายอารมณ์ด้วยการ...

“แน่ะๆ กินหมูแก้เขินอย่างเก้วกาด”

เออ! เกรี้ยวกราดแล้ว! กูเกรี้ยวกราดแล้ว!

ผมเคี้ยวตุ้ยๆ หันไปมองพี่อินทร์อย่างเคืองๆ แต่พอเห็นเขายิ้มกว้าง ส่งสายตาที่เหมือนว่าเอ็นดูมาให้ผม ผมก็ได้แต่สูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วได้แต่ก้มหน้าก้มตากิน ก่อนจะต้องหันขวับไปมองเมื่อจู่ๆ เขาก็คีบหมูมาใส่จานให้ผมอีกครั้ง

“พี่อยากดูแล ให้พี่ดูแลสักครั้งนะ”

รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อนั่น ทำเอาผมต้องถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้

เอาเถอะ ก็ยังดีกว่านั่งอึดอัดเพราะเขาไม่ทำตัวบ้าๆ บอๆ เหมือนปกติก็แล้วกัน

 

กว่าเราจะกินหมูกระทะกันเสร็จก็มืดค่ำ พี่บุศย์พาเพื่อนๆ ไปนอนค้างที่บ้านตามที่บอกเพราะมีกินเลี้ยงวันเกิดกันต่อ ผมค่อนข้างตื่นเต้นที่ได้ไปบ้านเขาครั้งแรก แต่เหมือนพี่อินทร์กับสรัลไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเท่าไรนัก

ก็แน่ล่ะ ถามไปถามมา ปรากฏว่าสองคนนั้นเคยมาบ้านพี่บุศย์บ่อยแล้ว กับพี่อินทร์นี่ ผมไม่แปลกใจเท่าไรเพราะเขาเป็นเพื่อนกัน ยังไงก็ต้องเคยมาเที่ยวหากันอยู่แล้ว แต่สรัล...ผมอดแปลกใจไม่ได้เลยว่าเคยมาตอนไหน หรือว่าจะสนิทกันมากกว่าที่ผมรู้?

คงอย่างนั้นแหละ เพราะพอเข้ามาในบ้านได้ สรัลก็เดินซอกแซกไปทั่วอย่างกับรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนของบ้าน ส่วนผมก็ได้แต่ปรายตามองสำรวจไปรอบๆ

บ้านพี่บุศย์...แม่งโคตรรวยอะ บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ในหมู่บ้านจัดสรร มีสนามหญ้า มีน้องหมาราคาแพงตัวโตๆ รถก็ตั้งหลายคัน วาสนาดีจริง!

ก็ไม่น่าแปลกหรอก วงศ์ขัตติยะของท้าวดาหาก็เป็นหนึ่งในราชวงศ์ที่ร่ำรวย ผลพวงความรวยมันจะตกมายังชาตินี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ เพียงแต่ผมเห็นแล้วก็อดย้อนมามองดูตัวเองไม่ได้

ชาติก่อนเป็นจรกาก็เป็นเจ้าเมืองเล็กๆ ไม่ได้ร่ำรวยหรือวิเศษวิโสอะไร เกิดใหม่ก็เกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลางธรรมดาๆ มิหนำซ้ำ พ่อแม่ก็ยัง...

คิดมาถึงตรงนี้ ผมก็หยุดคิด ไม่อยากจะให้ตัวเองน้อยใจในโชคชะตาวาสนาไปมากกว่านี้ เลยเบนความสนใจไปที่สรัลซึ่งกำลังขนพวกขวดเครื่องดื่มออกมา

“มาๆๆ คืนนี้ไม่เมาไม่เลิก!”

เธอโวยวายเสียงดัง ผมมองไปก็เห็นว่ามันเป็นขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สารพัดยี่ห้อ ผมเห็นพี่อินทร์กับพี่บุศย์นั่งล้อมวงก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้

“แล้วเรามาดื่มกันในบ้านแบบนี้ พ่อแม่พี่บุศย์ไม่ว่าเหรอครับ”

ทั้งสามคนหันขวับมามองผมเป็นตาเดียว ขณะที่พี่บุศย์ส่ายหน้า

“ไม่หรอก พี่ขออนุญาตไว้แล้ว พ่อแม่พี่บอกว่าดีกว่าไปกินที่ร้านเหล้า แบบนั้นมันอันตรายกว่า ถ้าจะเมาก็เมาที่บ้านนี่แหละ ปลอดภัยที่สุดแล้ว”

ผมร้องอ๋อ เห็นด้วยกับที่พ่อแม่เขาบอกอยู่ แต่เอ...

“แล้วพ่อแม่พี่บุศย์ไปไหนเหรอครับ”

...นั่นแหละที่ผมสงสัย ยังไม่เห็นพวกท่านเลย มีแต่ป้าแม่บ้านที่มาทำความสะอาดแล้วผมเข้าใจผิดว่าเป็นแม่พี่บุศย์เลยจัดการยกมือไหว้เป็นที่เรียบร้อย กระทั่งพี่บุศย์บอกว่าไม่ใช่นั่นแหละ ถึงได้รู้ตัวว่าไหว้ผิดคน

“ไปทำธุระที่โรงเรียนน้องน่ะ เห็นว่ามีงานแสดงโรงเรียนประจำปีอะไรสักอย่าง”

ถึงตรงนี้ ผมก็ชะงัก “พี่บุศย์มี...น้อง?”

พลันพี่บุศย์ก็พยักหน้า “อืม น้องชายน่ะ”

เท่านั้นผมก็รู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมา

อย่าบอกนะว่าน้องชายของพี่บุศย์...เป็นสียะตรากลับชาติมาเกิดอีก!?

ถ้าใช่จะบันเทิงมาก เพราะผมรู้ดีว่าอิเหนากับสียะตราเคยมีความสัมพันธ์กันยังไง ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ข่าวลือ แต่ก็ไม่ใช่ว่าข่าวลือจะไม่มีเค้าโครงความจริง ไม่อย่างนั้นจะมีคนเล่าปากต่อปากกันมาได้ยังไงจริงไหมล่ะ

ส่วนข่าวลือนั่นน่ะเหรอ เออ ก็เรื่องที่อิเหนากิ๊กกั๊กกับน้องชายบุษบาเพราะอดใจคิดถึงนางไม่ไหว เลยชวนน้องเขามานอนกอดจูบลูบคลำต่างพี่สาวนั่นแหละ

 

[1]ครั้นพระกุมารหลับสนิท                พระโอบอุ้มจุมพิตขนิษฐา

โลมเล้าลูบไล้ไปมา                                สำคัญว่าบุษบานารี
พิศพักตร์พักตร์ผ่องดังเดือนฉาย         พิศทรงทรงคล้ายนางโฉมศรี
พิศปรางเหมือนปรางพระบุตรี              รัศมีสีเนื้อละกลกัน
ทั้งโอษฐ์องค์ขนงเนตรนาสา             ละม้ายเหมือนบุษบาทุกสิ่งสรรพ์
พระกอดจูบลูบไล้เกี้ยวพัน               จนบรรทมหลับสนิทไป
 

จู่ๆ ก็นึกถึงเสียงเล่าลือเมื่อครั้งอดีตชาติขึ้นมา เห็นไหมล่ะ ผมบอกแล้วว่าคนอย่างอิเหนาน่ะ แค่คลำเจอหัว ไม่เจอหางก็เสร็จเรียบวุธ แม้แต่น้องชายของผู้หญิงที่ตัวเองอยากได้เป็นเมียยังไม่รอดเลย

เผลอเบ้หน้าไม่หยุดหย่อน รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พี่บุศย์ทักแล้ว

“มีอะไรเหรอจิ ทำหน้าปูเลี่ยนแบบนั้น”

ผมรีบปรับสีหน้าทันที “อะ...อ๋อ ไม่มีอะไรครับ จิแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย กินกันเถอะ”

ดีที่ไม่มีใครสงสัยอะไร ต่างพากันตั้งหน้าตั้งแต่กินเบียร์กับขนมนมเนยเป็นพัลวัน ก็มีเป่าเค้ก ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ตามประสานั่นแหละ หลังจากนั้นก็ร้องรำทำเพลงบ้าง พี่อินทร์กับสรัลพากันเล่นมุกแป้กบ้าง ตลกบ้างสลับกันไป ผมก็เพลินดีอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้ดื่มอะไรกับเขาหรอก แค่เห็นสรัลดื่มคนเดียว ผมก็เมาแทนแล้ว

เป็นผู้หญิงที่ดื่มโคตรจะเก่งเลย...

กว่างานเลี้ยงจะเลิกราก็เกือบเที่ยงคืน สรัลเมาคอพับคออ่อน คุยไม่เป็นภาษาคนไปเรียบร้อยแล้ว ผมเองก็นั่งผงกไปผงกมาเพราะใกล้เวลานอนเหมือนกัน พี่บุศย์เลยเป็นฝ่ายออกปากยุติงานเลี้ยงนี้

“เดี๋ยวไปอาบน้ำกันนะ ห้องน้ำมีข้างบนห้องนึง แล้วก็ข้างล่างห้องนึง ส่วนเสื้อผ้าก็เอาของพี่ใส่ไปก่อน”

ผมพยักหน้า แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ “แล้วจินอนที่ไหนดีครับ โซฟาได้ไหม”

ชี้นิ้วไปที่โซฟาที่ตัวเองนั่งอยู่ประกอบคำพูด พี่บุศย์ก็ส่ายหน้าพรืดเลย

“เฮ้ย จะมานอนอะไรที่โซฟา ไปนอนในห้องนู่น”

“ห้องไหน ห้องรับแขกเหรอวะ”

เป็นพี่อินทร์ที่ถาม แต่พี่บุศย์ก็ส่ายหน้าอีกครั้ง

“ห้องรับแขกไว้ให้สรัลไปนอน เป็นผู้หญิง ไปนอนที่นั่นคนเดียวแหละดีแล้ว เดี๋ยวมึงไปนอนที่ห้องกู”

ผมเลยคิดไปว่าสงสัยเขาจะให้ผมไปนอนรวมกันอยู่ในห้องเขาด้วย ก็ไม่ได้อะไรหรอก นอนได้ ไม่มีปัญหา แต่ทว่า...

“แล้วเดี๋ยวกูจะไปนอนที่ห้องน้อง ช่วงนี้น้องติด ไม่ไปนอนด้วย เดี๋ยวงอแง”

แล้วจะให้ผมนอนกับพี่อินทร์สองคนเนี่ยนะ!?

ผมเบิกตาโตอย่างลืมตัว ทำให้พี่บุศย์ต้องออกปากถามผม

“จินอนกับไอ้อินทร์สองคนได้ใช่ไหม”

ผมเหลือบมองหน้าพี่อินทร์ที่จ้องผมนิ่ง สีหน้าไม่แสดงออกใดๆ ผมก็กระอักกระอ่วนขึ้นมา

บอกว่า ‘ไม่ได้’ ได้ไหมล่ะ โว้ย!

“ถ้าจินอนไม่ได้ เดี๋ยวกูขับรถกลับบ้านก็ได้”

เป็นผมไม่ตอบสักที พี่อินทร์ก็โพล่งขึ้นมา เท่าที่ผมจำได้ ก่อนหน้านี้เขาดื่มไปเยอะพอสมควรเหมือนกัน จะให้ขับรถกลับตอนเมาแบบนี้ มันได้ที่ไหนกันล่ะ

“จินอนได้ครับ”

ผมเลยต้องตอบไปอย่างนั้น เท่านั้นพี่บุศย์ก็ยิ้มออก

“งั้นเตรียมตัวไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวพี่เอาเสื้อผ้ามาให้”

ผมพยักหน้ารับ ทำอะรไม่ได้ก็ต้องทำใจยอม ได้แต่เดินตามพี่บุศย์กับพี่อินทร์ขึ้นไปยังชั้นบนหลังจากพากันแบกสรัลเข้าไปนอนที่ห้องนอนแขกเป็นที่เรียบร้อย

ดูท่าทางคืนนี้คงจะทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ นอนก็นอน...แค่นอนอย่างเดียวคงไม่เป็นไร

 

เหมือนโกหกตัวเองอะว่าไม่เป็นไร จริงๆ แล้วเป็นมาก!

ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานเลยทีเดียว ไม่ใช่อาบน้ำหรือพิถีพิถันอะไรหรอก แต่แค่ไม่รู้ว่าออกมาเจอพี่อินทร์ที่ห้องนอนพี่บุศย์แล้วจะทำหน้ายังไงดี ก็ห้องนอนของพี่บุศย์น่ะดันเป็นเตียงเดี่ยวขนาดควีนไซส์ จะให้ผมไปบอกว่าเดี๋ยวผมนอนบนพื้นข้างเตียง จะได้ไม่เบียดก็ไม่ได้ เพราะเห็นกันอยู่ทนโท่ว่ายังไงก็นอนพอ อีกอย่าง ผมไม่อยากรบกวนพี่บุศย์ให้หาที่นอนหมอนมุ้งมาให้เพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เขาเองก็ดูเพลียๆ เหมือนกัน ความเกรงใจของผมเลยมากกว่าปกติ

แต่เกรงใจมากไปก็ไม่ส่งผลดีกับตัวผมเองเท่าไรมั้ง พอทำใจออกมาจากห้องน้ำ เดินกลับมาที่ห้องนอนได้ ก็เห็นพี่อินทร์กึ่งนั่งกึ่งนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง เขาเองก็ใส่เสื้อผ้าของพี่บุศย์เหมือนกัน อันที่จริงการได้ใส่เสื้อผ้าของคนที่แอบชอบ มันต้องเป็นอะไรที่ผมควรดีใจนะ ทว่าตอนนี้กลับไม่รู้สึกถึงอารมณ์นั้นเลยนอกจากประหม่าอย่างเดียว

“เสร็จแล้วเหรอ จะนอนเลยไหม”

พอเห็นผมเดินเข้ามาในห้อง พี่อินทร์ก็ร้องถาม ผมเม้มริมฝีปากพลางพยักหน้า

“งั้นก็ขึ้นเตียง เดี๋ยวพี่จะได้ปิดไฟ”

คำพูดดูแหม่งๆ เหมือนกัน ผมพยายามไม่คิดอะไร ปีนขึ้นเตียง หลบไปมุมหนึ่ง ก่อนที่ไฟในห้องจะถูกปิด

ความเงียบเข้าครอบคลุมเราทั้งสองคน ผมนอนนิ่งๆ อยู่ครู่ รอดูว่าพี่อินทร์จะพูดอะไรไหม พอเห็นเขายังคงเงียบอยู่ ผมก็ค่อยๆ คลายความประหม่าลง

น่าจะนอนได้ ไม่มีปัญหาอะไรมั้ง

แต่แล้วพี่อินทร์ก็โพล่งขึ้นมา

“อึดอัดไหม”

“ครับ?”

“พี่ถามเราว่าอึดอัดไหม”

ผมส่ายหน้าในความมืด “ไม่ครับ เตียงพี่บุศย์ก็กว้างดี นอนสองคนก็ไม่อึดอัดนะ”

มีเสียงหัวเราะดังมาให้ได้ยินเล็กน้อย พอผมหันไปมองก็มีเสียงของพี่อินทร์ดังอีกครั้ง

“พี่ไม่ได้หมายถึงอึดอัดอย่างนั้น”

“...”

“แต่พี่หมายถึงอยู่กับพี่ จิอึดอัดหรือเปล่า”

ที่แท้เขาก็หมายถึงเรื่องนี้ ผมคิดทบทวนดูครู่หนึ่ง...ใช่ มันอึดอัด เขาเองก็คงจะรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน วันนี้ถึงได้พยายามทำตัวบ้าๆ บอๆ ให้ดูเป็นปกติเพื่อไม่ให้ผมรู้สึกอย่างนั้น ถึงเขาจะไม่บอกว่าพยายาม แต่ผมก็รับรู้ได้...ในวินาทีนี้แหละ

“ถ้าพี่ทำให้จิอึดอัด พี่ขอโทษนะ”

เขาว่าออกมาอีกแล้ว คราวนี้เสียงแผ่วเชียว ผมเลยรีบบอกเขา

“จิไม่ได้อึดอัดครับพี่อินทร์”

“แน่ใจเหรอ”

“อื้ม”

“ต่อให้พี่ทำตัวบ้าๆ บอๆ จิก็ไม่อึดอัดใช่ไหม?”

“ไม่เลยครับ วันนี้ก็สนุกดีนะ พี่อินทร์เล่นมุกกับสรัลตลกดี”

สาบานว่าผมไม่ได้แกล้งพูดเพื่อให้เขารู้สึกดี มันเป็นความผ่อนคลายที่ค่อยๆ พร่างพรายเข้ามาหลังจากตระหนักได้ว่าเขาพยายามให้ผมรู้สึกดีแค่ไหน และพอผมพูดไปอย่างนั้นแล้ว ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบรับกลับมาอีก ผมเลยเดาเอาว่าบางทีเขาอาจจะเมาจนผล็อยหลับไปแล้ว เลยกะว่าจะนอนบ้าง

แต่ทว่า...จู่ๆ หลังมือก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นบางอย่าง

พอนอนนิ่งอยู่อีกครู่ ไม่ขยับเขยื้อนอะไร มือของผมก็ถูกมือของพี่อินทร์คว้าไปจับเสียอย่างนั้น ผมเลยหันไปหาเขาอีกครั้ง

“พี่อินทร์...”

“คร่อก...”

แกล้งหลับเฉยเลย ผมลังเลขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะโกรธหรือจะขำดี รู้แต่ว่าตอนนี้หลุดยิ้มออกมากับความหน้ามึนของเขาแล้ว

พี่อินทร์เป็นคนบ้าๆ บอๆ ที่น่ารักดี...

ผมจะยอมวางทิฐิระหว่างอิเหนากับจรกาในอดีตชาติลงสักวันก็ได้ ยอมปล่อยให้เขาได้จับมืออยู่อย่างนั้นแล้วปิดเปลือกตาลง ทว่า...ได้ไม่นาน พี่อินทร์ก็ทำลายความเงียบขึ้น

“ถ้าจิไม่ห้ามพี่ พี่อาจจะไม่ทำแค่จับมือนะ”

“ครับ?”

“ขัดขืนโวยวายสิ บอกให้พี่อย่าโดนเนื้อต้องตัว”

ผมยังประมวลผลไม่ทัน แต่ก็ยังไม่ได้ขยับเขยื้อนอะไร...เป็นอยู่อย่างนั้นอีกครู่หนึ่ง พี่อินทร์เลยพลิกตัวมาทางผม ปล่อยมือออกแล้วเปลี่ยนมาตวัดวงแขนรวบร่างผมเข้าไปกอดแทน

ผมไม่รู้หรอกว่าเราใกล้กันแค่ไหน แต่พอจะจินตนาการได้ว่าใกล้มากเพราะใบหน้าสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขา ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นถี่รุนแรงไปหมด ยิ่งได้ยินเสียง...

“ถ้าไม่ห้ามพี่ตั้งแต่ตอนนี้...”

...แล้วตามมาด้วยริมฝีปากนุ่มๆ ที่แตะพรมลงมาบนปลายจมูก ก่อนลากไล้ไปยังแก้มข้างหนึ่งแล้วก็มาจรดลงบนริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง เท่านั้นผมก็ใจเต้นแรงจนควบคุมไม่ได้ หัวสมองมึนงงไปหมด มีแต่เสียงของพี่อินทร์เท่านั้นที่ดังก้องเข้ามาในหู

“...พี่ทำอะไรเกินเลยไปกว่านี้แน่ๆ

จากนั้นก็ประกบปากจูบแนบแน่นกับริมฝีปากผม จูบย้ำๆ ซ้ำๆ ผมก็นอนนิ่งตัวแข็งให้เขาทำ ก่อนเขาจะถอนริมฝีปากออกไป กระซิบเสียงพร่า

“ห้ามพี่เดี๋ยวนี้เลย จิระ...รีบห้ามเดี๋ยวนี้เลย”



[1] บทชมโฉม ตอนอิเหนารับสียะตราไปเลี้ยง บทละครอิเหนาฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ บทที่ 12



ตัดจบเข้าโคมไฟจย้า #โดนทุบ 555

ยังๆ มันยังไม่จบแค่นี้ to be continue นะจ๊ะ หวีดกันไปก่อน ตอนหน้าอิเหนาจะเป็นอินกหรือไม่นั้น... ให้คนเขียนทำนายกันนนน XD

ฝากกำลังใจไว้ด้วยจ้า


ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ขอให้พี่อินทร์โดนถีบ5555555

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
ทำไมเรารู้สึกเหมือนพี่บุศย์รู้ว่าพี่อินทร์ชอบจิเลยช่วยหาทางให้อินทร์ได้ใกล้ชิดจิตลอด

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เพี้ยงงงงง ขอให้มีบุคคลที่ 3 เข้าห้องมาบัดเด๋วนี้  :m5:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
จรกาน่าจะเป็นลม555

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
 มีแววว่าน่าจะโดนตรีนนอีกรอบ5555  :m20: :laugh:

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
สิ่งที่เรารู้สึกขัดมาตลอดคือจิชอบพูดโกหกอะ เวลาใครถามอะไรจิโกหกตลอดเลย คือมันพอรับได้นะถ้าไม่กี่ครั้ง แต่นี่ทุกครั้งเลย มันทำให้เสียความรู้สึกทุกครั้งที่อ่าน แบบว่าพอถามอะไรขึ้นมาปุ๊บ จิโกหกปั๊บ ทั้งๆที่ความคิดมันสวนทาง เข้าใจแหละว่าแต่งให้จิถนอมน้ำใจอีกฝ่าย แต่แบบนี้ตอนต่อๆไป จิก็โกหกไปเรื่อยๆงี้หรอ? ตัวละครตัวนี้มันเลยดูย้อนแย้งมากๆนะตอนนี้ :katai1:

ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
อิเหนาจะเป็นอินกมั้ยน๊าาาา

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1915
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
โดนถีบอีกแน่

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
สิ่งที่เรารู้สึกขัดมาตลอดคือจิชอบพูดโกหกอะ เวลาใครถามอะไรจิโกหกตลอดเลย คือมันพอรับได้นะถ้าไม่กี่ครั้ง แต่นี่ทุกครั้งเลย มันทำให้เสียความรู้สึกทุกครั้งที่อ่าน แบบว่าพอถามอะไรขึ้นมาปุ๊บ จิโกหกปั๊บ ทั้งๆที่ความคิดมันสวนทาง เข้าใจแหละว่าแต่งให้จิถนอมน้ำใจอีกฝ่าย แต่แบบนี้ตอนต่อๆไป จิก็โกหกไปเรื่อยๆงี้หรอ? ตัวละครตัวนี้มันเลยดูย้อนแย้งมากๆนะตอนนี้ :katai1:


ตั้งใจเขียนแบบนี้ค่ะ เป็นพื้นฐานนิสัยของตัวละครอยู่แล้ว ตอนนี้มีความย้อนแย้งเพราะตัวละครกำลังต่อสู้กับความรู้สึกตัวเอง
ถ้าอ่านแล้วรำคาญก็ใจเย็นๆ ก่อนจ้ะ ขอเวลาให้ไคลแม็กซ์เข้ามาพัฒนาลักษณะตัวละครก่อนเน้อ เนื้อเรื่องยังไปไม่ถึงไหนเล้ยยย  :katai4:

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ออร่าผัวตอนท้ายน้านนนนน

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด