ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น...
ผมพิงแดงไบเล่ (สุดท้ายก็เรียกชื่อมอ’ไซค์ของตัวเองตามรบจนได้) แล้วมองดูตึกสำนักงานตรงหน้าที่ผมมาทีไรเป็นอันต้องมีเรื่องทุกทีไป ในใจนึกลังเลอยู่หลายสิบครั้งว่าควรเข้าไปดีหรือไม่ ถ้าผมเข้าไป...ผมจะเสียฟอร์มหรือเปล่า เอ๊ะ หรือผมควรเข้าไปแบบเดิมๆ ดีนั่นก็คือต่อยลูกน้องไอ้นทีสักเปรี้ยงสองเปรี้ยง
ทำไมผมต้องทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากขนาดนี้
ก่อนออกมาผมไม่ลืมที่ฝากฝังแดดดี้กับรันให้ดูแลรบ ซึ่งบางทีก็อดขำตัวเองไม่ได้ สองคนนั้นคือครอบครัวของรบ ยังไงพวกเขาก็ต้องดูแลรบอยู่แล้ว...ผมจึงถูกแดดดี้แซวเรื่องนี้ เรื่องที่ว่าผมห่วงรบมากกว่าคนในครอบครัวของรบซะอีก
นึกถึงเรื่องนี้แล้วผมก็ยิ้ม...
“วอหนึ่งเรียกวอสอง วอหนึ่งเรียกวอสอง ตอนนี้ทอร์นาโดยังไม่ขยับตัว ขอย้ำ ตอนนี้ทอร์นาโดยังไม่ขยับตัว ทราบแล้วเปลี่ยน”
ผมได้ยินเสียงคนพูดกับวอในมือจึงหันไปดู...เป็นลูกน้องของไอ้นทีที่สะดุ้งโหยงเมื่อเห็นผมมองไป
เพิ่งรู้ตัวก็เดี๋ยวนี้นี่เองว่าตัวเองกำลังยิ้ม ให้คนในชุดสูทหลายสิบจับจ้องอยู่...
พวกมันเรียกผมว่าอะไรนะ ทอร์นาโดเหรอ...
“โดนทอร์นาโดมองหน้า...ไอ้ห่า ตกใจฉิบหาย ขอกำลังเสริม”
ลุงวอหนึ่งแกเป็นยาม...ซึ่งเป็นคนแรกๆ ที่มักจะเห็นผมเข้าไปในตึกเสมอ
“ถ้าผมเป็นทอร์นาโด แล้วไอ้นทีมันเป็นอะไร” ผมตัดสินใจถามลุงเพราะผมอยากรู้จริงๆ
“เฮอร์ริเคน...ครับ” ลุงตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ผมทำสีหน้ารับรู้ อย่างน้อยพายุของผมก็รุนแรงมากกว่าพายุของไอ้นทีก็แล้วกันวะ
“ไอ้เฮอร์ริเคนของลุงมันอยู่มั้ย”
“ข้างบนครับ...ชั้นบนสุด ห้องทำงานผู้บริหาร”
“อืม” ผมตัดสินใจก้าวไปข้างหน้า
“ทอร์นาโดขยับตัวแล้ว ทุกคนประจำที่ เตรียมรับแรงกระแทก!” ผมไม่รู้ว่าควรจะสงสารหรือควรจะขำลุงดี...
“ลุง”
“...”
“วันนี้ผมมาดี” ผมยิ้มให้ลุงประกอบกับคำพูด ลุงอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ยอมเปลี่ยนคำเตือนให้คนในตึกได้รับรู้อยู่ดี
ผมถอนหายใจ...นี่อาจจะเป็นครั้งแรกก็ได้ที่ผมมาสถานที่ที่เรียกได้ว่ามีส่วนเป็นของผมเหมือนกัน ผมมองหน้าคนของนที บางคนก็เป็นนักเลงประจำตัว บางคนก็เป็นพนักงานเฉยๆ ทุกคนเอาแต่จ้องมองผม ราวกับระแวดระวังตลอดเวลา กลัวว่าผมจะพุ่งตัวเข้าไปทำร้ายกะทันหัน
แปลกแต่จริงที่คนเหล่านั้นนิ่ง...หรือเป็นเพราะนทีมันสั่งการเอาไว้กันนะ
“คุณธนูจะไปหาคุณนทีใช่มั้ยคะ ให้ดิฉันกดลิฟต์ให้นะคะ” พนักงานสาวคนหนึ่งวิ่งจู๊ดเข้ามาหาผม เธอดูตัวสั่นงันงกแต่ก็ต้องมาเพราะเป็นหน้าที่
“ไม่ต้องกลัวผมขนาดนั้นก็ได้ครับ” นี่ผมเป็นตัวอันตรายของตึกนี้จริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย
“แหะๆ” เธอไม่กล้าพูดต่อ ผมจึงปล่อยให้ความเงียบครอบงำบรรยากาศระหว่างผมกับเธอ จนในที่สุดเธอก็พูดกับผมอีกครั้ง “ที่จริง...พวกเรารออยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ”
“ครับ?”
“ทุกคนรอให้คุณกับคุณนทีดีกัน...ที่จริงแล้วทุกครั้งที่คุณเข้ามาตึกนี้ คุณนทีจะสั่งให้พวกลูกน้องแค่ป้องกันตัวเองและก็อย่าทำร้ายคุณให้มาก...พวกที่เผลอทำร้ายคุณโดนคุณนทีเอ็ดจนหวิดเกือบโดนไล่ออกหลายรายแล้วนะคะ”
ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆ
“อย่าหาว่าดิฉันพูดมากเลยนะคะ ดิฉันก็แค่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างมานาน”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ตอนคุณใจเย็น...คุณเหมือนพี่ชายของคุณมากเลยค่ะ”
ผมหรี่ตามองพนักงานสาว เธอสะดุ้งโหยงแล้วตัดสินใจสงบปากสงบคำ...ที่จริงแล้วผมรู้มาตั้งแต่เด็กว่าบ้านของผมมีบริษัทแบบนี้ แต่ผมไม่เคยอินกับมันเลยสักนิด สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงแค่อิสระ ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ผมอยากจะใช้
ไม่อยากปฏิสัมพันธ์กับพนักงานแบบนี้...ยกเว้นคนคนนั้นจะเป็นเพื่อน
นทีกับพ่อไม่เคยบังคับให้ผมมายุ่งกับงาน จนผมเผลอคิดไปว่านทีมันจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปคนเดียว ทั้งๆ ที่จริงแล้ว...ผมเองต่างหากที่ไม่เคยแสดงออกว่าต้องการสิ่งเหล่านี้
ผมไม่เคยต้องการมันเลยต่างหาก...ซึ่งคนในครอบครัวของผมอาจจะรู้ดี
ตอนที่ผมออกจากลิฟต์ พนักงานสาวคนนั้นก็ทำหน้าขอบคุณสรวงสวรรค์ ผมแอบลอบยิ้มลับหลังเธอก่อนจะหุบยิ้มฉับเมื่อเห็นว่าภายในห้องข้างหน้านั้นมีใครนั่งอยู่
ช่างแม่งให้หมดก็แล้วกัน...
ผมเคาะประตูสองสามครั้ง ไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต แล้วเดินเข้าไปในห้อง
“ไม่ใช่เว้ย มึงต้องเซ็นสัญญาก่อน ไม่งั้นกูปล่อยให้มึงไม่ได้นะ” เสียงของนทีดังมาจากด้านหลังของแฟ้มบนโต๊ะซึ่งกองสูงซะจนผมมองไม่เห็นตัวมัน “แค่สัญญาใจไม่ได้โว้ย ที่ตรงนั้นใครๆ ก็ต้องการ กูให้เวลามึงถึงตอนเย็นนี้เท่านั้น แค่นี้ก่อนนะ ยุ่งสัดๆ ไปเลยวันนี้”
มันคงกดวางสายแล้วเพราะผมได้ยินเสียงมันหมุนเก้าอี้
“คุณก้อย...ใบเสร็จรายจ่ายของผับ YYY เมื่อวานมันหายไปไหน”
ผมหันซ้ายหันขวา...ไหนวะคุณก้อย มีแต่คุณธนูยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้
“ผมหาไม่เจอเลย”
ผมลองเหลือบๆ ไปที่โต๊ะ เห็นใบเสร็จปึกหนึ่งวางอยู่จึงได้หยิบแล้วส่งไปให้มัน
“ขอบคุณ...มาก” ท้ายประโยคเสียงของนทีแผ่วไปเมื่อมันเห็นว่าเป็นผม “มึง”
อะไรกัน...มันเพิ่งรู้เหรอว่าผมมา
งั้นก็แปลว่าพวกพนักงานที่ปล่อยผมแล้วก็เอาแต่จ้องมองผม ไม่ยอมทำอะไรอย่างอื่นก็เป็นสิ่งที่มันควรจะเป็นอยู่แล้วก่อนหน้านี้ ไม่ได้เป็นสิ่งที่นทีมันเพิ่งจะสั่ง...อย่างนั้นเหรอ
กูดูเหี้ยไปเลย...พับผ่าสิ
“มาทำอะไร” นทีมองไปรอบๆ ตัวผมอย่างหวาดระแวง
“เดินเล่น” ผมไม่รู้จะทำตัวยังไงจึงได้แต่เดินไปรอบๆ ห้อง
“เอาดีๆ...มึงมาทำไม”
ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะลีลาหลีกหนีความจริง... “รบสั่งให้มา”
“ว่าแล้วเชียว”
“มันให้กูมาคุยเรื่องที่กูต้องระวัง”
“อ่าฮะ” นทีชะงักไปแล้ว ดูเหมือนมันจะทำงานต่อไม่ได้เลย “ดื่มอะไรมั้ย เดี๋ยวบอกให้คนไปหามาให้”
“ไม่...กูมาแป๊บเดียว” ผมตัดสินใจตัดบทเพราะตอนนี้ผมดูไม่เป็นตัวผมเลย
“อืม”
“ปกติ...มึงงานยุ่งแบบนี้เหรอวะ”
“ก็ไม่ยุ่งเท่าไหร่หรอก” นทียกกองแฟ้มจากกองนั้นไปวางรวมกับอีกกอง หลังจากที่มันทำแบบนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดัง “ครับคุณก้อย”
“คุณวิฑูรย์ต้องการคำตอบเรื่องสัญญาซื้อขายเครื่องดื่มภายในสิบห้านาทีนี้นะคะ”
“ครับๆ ครับ” นทีกดวางสาย ก่อนจะเอานิ้วนวดขมับ “สัญญาห่านั่น...อยู่ไหนวะ”
ไม่ยุ่ง...พ่อมึงสิ
“กูมาวันหลังได้นะ”
“ไม่เป็นไร...มึงอยู่นี่แหละ”
“ก็เห็นมึงยุ่ง”
“ขอเวลากูเคลียร์แป๊บนึง” นทีกดโทรศัพท์อีกรอบ “คุณก้อยครับ หาเครื่องดื่มมาให้ธนูที”
“คุณธนูมาเหรอคะ” เมื่อตะกี้เธอคงไม่เห็นว่าผมเดินผ่านโต๊ะของเธอเพื่อเข้ามาที่ห้องไอ้นทีแน่ๆ “มาแบบไหนคะ โค้ดเรดหรือเปล่าคะ!”
ไอ้สัด...ศัพท์บ้าๆ ที่เพื่อนมันสรรหามาให้ผมตอนที่ผมหัวร้อนถึงขีดสุดแม่งลอยมาถึงนี่ได้ยังไง
“ไม่เรดครับ” นทีกลั้นขำ
“อ๋อ”
“...”
“แปลกจังค่ะ”
“คุณก้อย...น้ำครับ ขอน้ำ” นทีตัดบท มันดูเก้อเขินแปลกๆ จนผมต้องมองไปทางอื่นเพื่อให้มันเลิกแสดงออกอย่างนั้นสักที
อา นี่มันบรรยากาศบ้าบออะไรกัน...
“กูคุยกับรบรอ” ผมหยิบมือถือของผมขึ้นมา
“ได้”
ตอนผมทักรบไป ผมไม่คิดว่ารบจะตอบด้วยซ้ำ ปรากฏว่ามันลุ้นฉิบหายกลัวว่าไอ้นทีมันจะกลายเป็นตัวร้าย พาพรรคพวกมารุมกระทืบผม ให้ผมตายคาตีนไปแล้วมันรับมรดกทั้งหมดคนเดียวหล่อๆ...
แม่ง...หาว่าผมมโน มันเองก็มโนไม่ต่างจากผมเหมือนกัน
ตอนที่ผมคิดถึงเรื่องนั้น ผมเองก็ลอบมองนทีไปด้วย มันกำลังตั้งใจเคลียร์งานทั้งหมดเพื่อที่จะได้มาคุยกับผมโดยเร็วที่สุด ไม่มีตอนไหนที่มันจะโทรเรียกพรรคพวกมารุมผม มีแต่เคร่งเครียดกับงาน...แถมยังยุ่งมากซะจนผมรู้สึกผิดที่ไม่ได้มาช่วยแบ่งเบา
งานของนทีมันเยอะเกินไปซะจนผมต้องกดไลน์ดูข้อความของพ่อที่ชอบส่งมาทิ้งไว้
ข้อความของพ่อเป็นสิ่งที่ผมเลือกอ่านบ้างไม่อ่านบ้าง ไม่ได้มีแต่นทีที่ผมสร้างกำแพงขึ้นมากั้น ผมเองก็สร้างกำแพงให้กับพ่อเหมือนกัน
ผมอ่านล่าสุดเมื่อสองอาทิตย์ก่อน และก็เพิ่งได้มาอ่านข้อความล่าสุดที่เพิ่งส่งมาเมื่อหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา
พ่อของผมเพิ่งจะโยนงานทั้งหมดมาให้นทีรับแต่เพียงคนเดียว เพราะคิดว่าการไปเที่ยวจะทำให้พ่อลืมความโศกเศร้าที่สูญเสียภรรยาทั้งสองไปได้ จนในที่สุดก็เสพติดการเที่ยว หลงลืมไปหมดว่าการอยู่ประเทศไทยเป็นยังไง คล้ายกับว่าไม่อยากกลับมาเพื่อให้เห็นบรรยากาศเดิมๆ
ผ่านมากี่ปีแล้ว...พ่อก็ยังทำใจไม่ได้
แถมพ่อก็ยังบอกผมในไลน์อีกว่าไม่อยากเห็นลูกสองคนทะเลาะกัน เห็นแล้วก็ยิ่งรู้สึกผิด เหมือนตัวเองเป็นสาเหตุของทุกๆ อย่าง พ่อจึงเทงาน แล้วหายตัวไปท่องเที่ยวซะอย่างนั้น
เฮ้อ ครอบครัวผมมันมีแต่ตัวประหลาด
กลายเป็นว่าคนที่ต้องแบกรับทุกอย่างก็คือนที มันรับงานต่อมาจากพ่อ และก็รับผมไปดูแลเพราะพ่อไม่ทำหน้าที่พ่อนานแล้วเพราะเอาแต่จมอยู่กับความโศกเศร้า
ผมลองนึกย้อนกลับไป ในเวลาที่นทีมันกลั่นแกล้งผม...มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่นทีมันจะทำได้เพื่อให้ผมสนใจมัน ถ้ามันนิ่งใส่ผม ผมก็นิ่งใส่มัน...การแกล้งจึงเป็นวิธีเดียวที่ผมจะให้ความสนใจมันอย่างจริงๆ จังๆ ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีกับมันก็ตาม
หรือผม...แม่งต้องเปิดใจรับพี่ชายคนนี้จริงๆ วะ
ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคุณก้อยวางน้ำเปล่าลงตรงหน้าผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมเอาแต่คิด คิด และก็คิด ที่ผ่านมาผมทำตัวปิดกั้นจนเกินไปจริงๆ และคนที่ทำให้ผมคิดได้ก็คือรบ...ถ้าไม่มีรบ ผมก็จะไม่มีวันเปิดใจให้กับพี่ชายคนนี้จริงๆ
นทีแม่งเลือกเข้าหาผมผ่านไอ้รบ ซึ่งถือว่ามันเลือกได้ดี
ผมค่อยๆ ลุกขึ้นยืน นทีไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมมายืนอยู่ใกล้ๆ เพราะมันมัวแต่คุยโทรศัพท์อยู่
“เรื่องสัญญา...สักครู่ได้มั้ยครับคุณวิฑูรย์ ผู้ช่วยของผมทำหาย”
ผมลองจับๆ ดูข้าวของบนโต๊ะก่อนจะเจอสัญญาที่มันพูดถึง ผมจึงส่งให้มัน...
“เอ่อ...หาเจอแล้วครับ ขอโทษด้วยครับ”
มึงตั้งสติหน่อยก็ได้ไอ้พี่ชาย...
นทีลอบมองผมด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ส่วนผมก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้...หยิบแฟ้มในกองมาเปิดๆ ดู มีหลายสิ่งหลายอย่างที่นทีมันยังเคลียร์ไม่เสร็จ ผมจึงช่วยมันดู แล้วแปะโพสต์อิตเป็นข้อความเอาไว้อย่างย่อเพื่อให้การทำงานของมันง่ายขึ้น
“ผู้ช่วยผมบางทีก็เอ๋อครับ...โชคดีที่เมื่อตะกี้มีน้องชายมาช่วยไว้”
ผมได้ยินเสียงภาคภูมิใจนั้น...แต่ผมทำเป็นไม่ได้ยิน
“ครับ...ผมมีน้องชายนะครับ ชื่อธนูน่ะ”
เวรเอ๊ย...
ริมฝีปากของผมเผลอหลุดยิ้มออกมาจนได้
ผมกับนทีฟอร์มจัดพอกัน...แม้จะดีกันแล้ว แต่พวกเราก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนนี้มีของกินวางอยู่ตรงหน้าผมกับนทีอยู่เต็มไปหมด มันเคลียร์งานจนลืมทานกลางวัน คุณก้อยจึงสั่งอาหารมาให้แถมยังรู้ว่าต้องสั่งมาเผื่อผมอีก ผมกับมันจึงกินข้าวกันไปคุยกันไปในเรื่องที่ผมต้องระวัง
มันถามคำถามจุกจิกกับผมอย่างเช่นว่า...ผมไปเจอรบได้ยังไง ร้านเป็นยังไงบ้าง ได้กำไรหรือเปล่า ต้องการความช่วยเหลืออะไรมั้ย จนกระทั่งบทสนทนาลอยมาถึงสาเหตุหลักที่ทำให้ผมต้องมาหามัน
“คือกูเป็นแฟนเก่าที่นอนกับไอ้พีมแค่คืนเดียว แล้วมันดันเป็นเด็กที่ฝังใจ ไม่ยอมตัดใจสักที ก็เลยหาทางแกล้งกูสารพัดนี่ไง” นทีเคี้ยวข้าวอย่างไม่รักษามาดผู้บริหาร “พอเห็นว่าแกล้งกูแล้วกูไม่ได้รู้สึกอะไร มันก็เลยมาลงกับมึงแทน...เริ่มจากรูปพวกนั้น รูปที่มันเอาไปแปะไว้หน้าร้านของมึงน่ะ”
“มันหึงที่มึงอยู่กับแฟนกูหรือเปล่า” พูดถึงเรื่องนี้แล้วผมก็ยังรู้สึกเคืองนิดๆ อยู่เลย
“มันก็หึงหวงกูกับทุกคนนั่นแหละ” นทีทำหน้าเข็ดขยาด “พอกูจะไปจัดการ...พี่มันก็ชอบมาขวาง ไอ้ห่านี่ก็บ้า หวงน้องเข้าไส้แถมยังสปอยล์ฉิบหาย สปอยล์จนพีมมันเสียผู้เสียคนไปแล้วเนี่ย”
“แปลว่ามึงจัดการไม่ได้ มึงคุมไอ้พีมไม่ได้” ผมเลิกคิ้ว
“กูไม่รู้ว่ามันจะทำอะไร ถ้ามันมีไอ้แพงเป็นแบ็กล่ะก็...มึงต้องระวังตัวไว้”
“...”
“มึงก็รู้ว่าบ้านไอ้แพงมันมีอำนาจมากกว่าบ้านเราเยอะ...”
“กูไม่กลัวไอ้พวกนั้นเลยสักนิด”
“กูรู้ว่ามึงไม่กลัว แต่มึงต้องระวัง”
“รู้แล้ว”
“...”
“รบห่วงเรื่องนี้ ถึงบอกให้กูมา” ผมรู้สึกใจชื้นทุกครั้งที่นึกถึงแฟนตัวเอง
“กูขอโทษที่สร้างปัญหาให้” นทีทำหน้ารู้สึกผิดจริงๆ “กูจะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด แม้จะขัดแข้งขัดขากับไอ้แพงกูก็ยอม”
“มึงก็สร้างปัญหาตลอดอยู่แล้ว” ผมเอ่ยขัด นทีมองหน้าผมแล้วส่ายหน้าเบาๆ
“มึงก็สร้างแต่เรื่องเหมือนกัน”
“แต่น้อยกว่ามึง...มึงทำเป็นร้ายกาจ”
“ถ้าไม่เป็นแบบนั้นแล้วมึงจะสนใจกูมั้ย”
“กู...ไม่สนใจ”
“เห็นมั้ย”
“ไอ้พี่ประหลาด”
“มึงมันก็เป็นน้องที่แปลก”
ผมแยกเขี้ยวใส่มัน ส่วนมันก็ไม่ยอมผมเหมือนกัน... แต่แล้วผมก็นึกอะไรบางอย่างได้ “มีเรื่องจะขอ...”
“อะไรวะ”
“ถ้ามึงจะเตือนกู...มึงไม่ต้องส่งข้อความผ่านแฟนกูอีกแล้ว ได้มั้ย”
“หวงเหรอ”
“นั่นก็ใช่ แต่...” ผมถอนหายใจ “รบมันเป็นห่วง กูไม่ชอบเห็นมันกังวล”
“อืม” นทีพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
“...”
“รักมากเลยเหรอวะคนนี้”
“ที่ผ่านมามึงเคยเห็นกูมีแฟนมั้ยล่ะ”
“ไม่เคย”
“ก็น่าจะรู้แล้วนี่”
“...”
“ไม่รู้ทำไม...เหมือนกูเกิดมาเพื่อมีแฟนคนเดียวไปทั้งชีวิต”
“อะไรที่บอกมึงแบบนั้น”
ผมยักไหล่ ไม่แน่ใจว่าทำไมผมต้องมาคุยเรื่องแบบนี้กับไอ้นที คนที่ผมเคยไม่ชอบขี้หน้าแบบสุดๆ
“สัญชาตญาณมั้ง...”
“กูว่าแม่งโรแมนติกกว่านั้นว่ะ” นทีเขี่ยผักในจาน
“งั้นมันเพราะอะไรล่ะ”
“พรหมลิขิตไงวะ ไอ้น้องเวร”
สถานที่แรกที่ผมคิดจะไปหลังจากคุยกับไอ้นทีเสร็จนั่นก็คือบ้านของรบ
แต่แทนที่ผมจะได้ขี่รถไปถึงบ้านของมัน ผมก็รู้สึกได้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งมาขี่รถประกบข้างผมที่กำลังขี่รถอยู่ทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง ระหว่างทางผมพยายามสะบัดพวกนั้นออกแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล...พวกมันเอาแต่ตามแถมยังส่งสัญญาณให้ผมเลี้ยวไปในที่เปลี่ยวๆ อีกต่างหาก
ซวยแล้วไงกู...
ผมไม่ชอบขอความช่วยเหลือ ไม่ชอบให้ใครต้องมาเจ็บตัวพร้อมไปกับผมเนื่องจากผมเคยชินกับการต่อสู้เพียงคนเดียวมาตั้งแต่เด็กๆ
โชคร้ายที่พวกนั้นมันเป็นพวกมีฝีมือแทบจะทุกคน...ผมล้มง่ายมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ในใจผมอยากจะโฟกัสกับการป้องกันตัวเอง แต่พอผมนึกถึงรบ...สมาธิของผมก็ถูกรบกวน
รบมันไม่ชอบให้ผมมีเรื่อง
เหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่ผมเลือกไม่ได้ก็จริง แต่ผมก็ใจสั่นกลัวรบมันโกรธ ซึ่งผมเองก็งงว่าทำไมผมต้องมารู้สึกถึงรบในตอนนี้ ถ้าผมเจ็บปางตายโดยไม่ป้องกันตัวทั้งๆ ที่ยังทำได้ รบมันจะไม่โกรธผมมากกว่าเดิมเหรอวะ
นี่ผมคิดมากห่าไรอยู่เนี่ย...
ผมเสียหลักเนื่องจากในหัวมีความคิดอยู่เต็มไปหมด ระหว่างที่ผมโดนรุมกระทืบ ใบหน้าของรบก็ลอยเข้าหัวผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมไม่นึกถึงความเจ็บ สิ่งที่ผมนึกถึงมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือจะแก้ตัวกับรบยังไงในเรื่องนี้
ต้องพูดยังไงไม่ให้มันงอน...พูดยังไงให้มันเข้าใจว่าผมแค่ป้องกันตัว ไม่ได้ต้องการมีเรื่อง
ดวงตาผมกำลังจะปิด...ร่างกายของผมชาไปหมด
“สงคราม!” เสียงเรียกของผู้ชายคนหนึ่งทำเอาสติที่มีอยู่น้อยนิดของผมกลับมาอีกครั้ง
“มึงจะไปเสือกเหี้ยไรเนี่ย เรื่องใหญ่แบบนี้บอกตำรวจเหอะ”
“แป๊บเดียวน่า”
“...”
“เจอหมาหมู่เข้าลูกกระตากูเต็มๆ แบบนี้กูอยู่เฉยไม่ได้หรอก”
หลังจากนั้นภายในเวลาสิบวินาที...ไอ้พวกมืออาชีพพวกนั้นเรียงแถวล้มครืนต่อกันราวกับเป็นโดมิโน่
พี่ชายคนนั้นเป็นยอดมนุษย์เหรอวะเนี่ยยยยย
ผมรวบรวมพลังแล้วลุกขึ้นยืน...ก่อนจะช่วยพี่ชายคนนั้นอีกแรงเพราะนี่มันเป็นเรื่องของผม ผมไม่อยากให้เขาต้องมาเหนื่อยกับการช่วยผมเพียงฝ่ายเดียว
กลายเป็นว่าผมทำพวกมันล้มไปหนึ่งคน พี่เขาทำพวกนั้นล้มไปสามภายในเวลาเดียวกัน
ไอ้สัด...นี่พี่มันเป็นหนึ่งในอะเวนเจอร์ของมาร์เวลสตูดิโอเหรอ!
ฝ่ายตรงข้ามต่างก็ล้มระเนระนาดแล้วก็ร้องโอดโอย พี่ชายผู้ช่วยชีวิตผมถ่มน้ำลายลงพื้นด้วยท่าทางเท่ฉิบหาย
“กระจอกเอ๊ย” พี่มันทำหน้าถมึงทึง
“มึงนี่มัน...” ผมหันไปมอง...เห็นคนที่มากับพี่เขาทำหน้าพร้อมด่าเต็มที่
เชี่ย...ผู้ชายอะไรหน้าอย่างกับตัวการ์ตูนญี่ปุ่นเดินได้
“ขอโทษ...กูอดไม่ได้” พี่สุดโหดของผมกลายเป็นหมาหงอยเมื่อยืนอยู่กับพี่การ์ตูนญี่ปุ่นคนนั้น
“ไว้คุยกันต่อที่บ้าน...”
“ไม่นอนนอกห้องนะ”
“มึงได้นอนนอกห้องแน่...ไอ้เหี้ย”
เอ่อ...พี่การ์ตูนญี่ปุ่นคนนี้ก็โหดเหมือนกันแฮะ
ผมเผลอมองคนคู่นั้นอย่างจิตใจเหม่อลอยไปไกล...รู้ตัวอีกทีพี่คนนั้นก็มายืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว
“น้อง...น้องไหวมั้ย สภาพน้องแย่มากเลยนะ”
“มึงมาดูผัวมึงก่อนไอ้เหี้ยอ้าย” พี่สุดโหดเอ่ยแทรก เข้ามายืนตรงกลางระหว่างผมกับพี่อ้าย...มั้งนะ
“มึงไม่เห็นจะเป็นไร!”
“เสื้อกูเปื้อนเนี่ย”
เมื่อตะกี้พี่มันไม่โดนตีนพวกนั้นจึงไม่เจ็บสักแอะ...
ยอดมนุษย์ที่แท้จริงเป็นแบบนี้นี่เอง
“เอาไง ไปโรงพยาบาลมั้ย เดี๋ยวพวกพี่ไปส่ง” พี่อ้ายเชิดใส่พี่สุดโหดแบบไม่แคร์จริงๆ
“ไม่เป็นไรครับ” ผมเริ่มเกรงใจ “ผมดูแลตัวเองได้”
ผมเอามือคลำท้อง รู้สึกเจ็บตรงนั้นเป็นพิเศษเพราะคนพวกนั้นมันกระทืบซ้ำอย่างแรง
“พี่ว่าไม่ไหวนะ”
“อ้าย...มึงอย่าไปเซ้าซี้มันสิวะ”
“มึงหุบปากไป”
“แค่กูเข้ามาช่วยมันก็หมดความเท่ไปหลายเลเวลแล้ว...ปล่อยให้มันได้เท่ด้วยตัวของมันเองมั่งเหอะ”
“พูดห่าอะไรของมึงวะสงคราม...ฟังไม่รู้เรื่อง” พี่อ้ายพยักเพยิดมาทางผม “มึง...พยุงน้อง”
“กู?”
“ใช่”
“ทำไมต้องกู”
“หรือจะให้กูพยุงแทน”
“กูเองนี่แหละ” พี่สงครามเข้ามาพยุงผมอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ “กูไม่น่าเข้ามาเสือกตั้งแต่แรกเลย”
“ขอบคุณมากนะครับพี่” ถ้าไม่มีพี่มัน...กับแฟนพี่มัน ผมอาจจะเจ็บหนักกว่านี้ รบอาจจะด่าผมหนักกว่านี้
พี่อ้ายเดินนำไปข้างหน้า...ผมกับพี่สงครามจึงมีโอกาสได้คุยกันสองคน
“กูเห็นนะว่ามึงสู้ไม่ถอย”
“ครับ”
“...”
“ถ้าผมเจ็บหนัก...กลัวแฟนมันจะด่า” สงสัยเจ็บตัวแล้วเพ้อ ปกติผมพูดมากกับคนแปลกหน้าที่ไหน
“...”
“แฟนผมชอบด่าเหมือนพี่คนนั้นเลย” ผมหันไปทางพี่อ้าย
“เขาด่าเพราะเขาเป็นห่วงมึง...”
“ไม่ชอบเห็นเขาหน้าบึ้ง” อาจเป็นเพราะหัวอกเดียวกัน...ผมกับพี่ยอดมนุษย์จึงพูดจากันรู้เรื่อง
“เหมือนกูเลยแฮะ” พี่สงครามมองผมอย่างจับผิด...พี่มันแม่งหล่อดีเหมือนกันนะ “กูเองก็ไม่ชอบเห็นไอ้เหี้ยนั่นหน้าบึ้งเหมือนกัน”
“...”
“นี่มึงเป็นน้องชายที่พลัดพรากจากกูไปตั้งแต่เด็กๆ หรือเปล่า”
“คงไม่มั้งครับ” มีพี่โหดๆ แบบนี้ คงปวดหัวกว่ามีพี่เป็นไอ้นทีอีกมั้งผมว่า “พี่กลัวแฟนพี่จังเลยเนอะ”
“แหงสิวะ มึงไม่กลัวแฟนมึงเหรอ”
กลัว...ครับ “ตอนเขาด่าน่ะไม่น่ากลัวเท่าไหร่หรอก แต่วันที่เขาเลิกด่าต่างหากที่น่ากลัว เพราะนั่นมันแปลว่าเขาไม่รักเรา เขาเลิกหวังดีกับเราแล้ว”
“ผม...เข้าใจครับ”
“...”
“ขอบคุณพี่มากนะครับ”
“มึงหุบปาก แล้วเตรียมตัวไปหาหมอเหอะ”
“...”
“อ้อ มีอีกอย่างที่กูอยากบอก” พี่สงครามพูดระหว่างจับตัวผมเข้าไปในรถของเขากับพี่อ้าย “กูชอบที่มึงสู้ เหมือนมึงไม่ได้สู้แค่เพื่อตัวมึงเอง แต่มึงสู้เพื่อคนที่มึงรักด้วย”
นี่พี่มันมองอยู่นานแค่ไหนก่อนจะตัดสินใจลงมาช่วยผม...แต่ก็นั่นแหละ ผมก็รู้สึกปลื้มกับคำพูดพี่มันเหมือนกัน
“มึงคงไม่อยากเห็นคนรักของมึงมาเห็นมึงเจ็บใช่มะ”
“แหะ ใช่ครับพี่” ผมพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ย “ขอบคุณนะครับพี่”
ให้ตายเถอะ...ผมเพิ่งคิดอะไรบางอย่างได้ก่อนผมไป
ผมกลัวรบงอนมากกว่าจะคิดว่าคนพวกนั้นเป็นคนของใครซะอีก...
นี่ผมลืมไปเลยว่ะ
“เหมือนมึงแอบไปคายตะขาบให้เด็กสักคนโดยที่กูไม่รู้เลย” พี่อ้ายพูดกับพี่สงครามในสิ่งที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง
“บ้า มันไม่ได้เรียนมอ B”
“...”
“แต่ถ้ามันไปเรียน กูว่ามันก็คงได้เป็นประธานหอสองเหมือนกู”
“...”
“ประธานแบบโคตรประธาน”
เอ่อ พวกพี่มันคุยอะไรกันอยู่วะ...
To be continuedไม่มีอะไรนอกจากคำว่า 'สนองนี้ด' ตัวเองล้วนๆ ค่า 555
สงครามกับอ้าย เป็นคู่ที่มาจากเรื่องราชาวิหค ในเซ็ตสิบสองเศร้านะคะ