03
เงาที่มองไม่เห็น
หลังจากหวังหยูเฟิงพักฟื้นได้ครบหนึ่งอาทิตย์ ชายหนุ่มก็ดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติอย่างที่ผ่านมา เมื่อเขาเดินทางมาถึงที่ทำงานในตอนเช้า เสียงทักทายของบรรดาลูกน้องและเพื่อนร่วมงานก็ดังขึ้นไม่ขาดสาย
“ผู้กองหวังหายดีแล้วนะครับ”
“อืม หายดีแล้วล่ะ ขอบใจ”
“ผู้กองหวังคะ ดิฉันได้ยินข่าว ยังห่วงว่าจะเป็นอะไรมาก”
“โชคดีที่ผมดวงแข็งน่ะ เลยไม่ได้เป็นอะไรมาก ขอบใจที่เป็นห่วง”
หวังหยูเฟิงพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานที่ต่างก็พากันถามไถ่อาการของเขา จนกระทั่งเดินมาถึงห้องทำงานของตัวเอง
“แหม...วันนี้คึกคักดีจริงๆ”
ฟ่านมู่เหยียนเดินเข้ามาด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้ม พร้อมกับมองเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ยืนจัดโต๊ะทำงานของตัวเองอยู่ เมื่อเจ้าของห้องเงยหน้าขึ้นมามอง ชายหนุ่มก็ยักคิ้วให้เป็นเชิงทักทาย
“ก็ผู้กองหวังกลับมาทำงานได้ปกติแล้วนี่คะ” เว่ยเจียวเซิน นายตำรวจสาวที่ดูแลด้านเอกสารเอ่ยขึ้น
“อะไรกัน ตอนนั้นผมก็เข้าโรงพยาบาล พอกลับมาทำงาน ไม่เห็นจะเป็นแบบนี้” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยท้วงกับหญิงสาวอย่างต้องการความยุติธรรม
“อะไรกันคะ ก็ผู้กองหวังไปทำงานนะคะ ส่วนผู้กองฟ่านน่ะ ที่เข้าโรงพยาบาลเพราะดันไปกินของแสลงนี่คะ”
เรื่องราวน่าอายที่ดังขึ้น เรียกเสียงหัวเราะจากตำรวจหลายคนได้ไม่น้อย ก่อนคนที่ตกเป็นหัวข้อดังกล่าวจะหน้าบึ้ง แล้วดีดหน้าผากของหญิงสาวตรงหน้าเบาๆ เป็นการลงโทษ
“ทีเรื่องแบบนี้ หมวดเว่ยจำละเอียดจังเลยนะ”
เว่ยเจียวเซินจับหน้าผากของตัวเอง ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเลย แต่เธอก็อดแสร้งชักสีหน้าขึ้นมาไม่ได้ หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเง้างอน
“เจ็บนะคะผู้กอง!”
ฟ่านมู่เหยียนไม่สนใจ แล้วเดินไปหาเพื่อนสนิทพลางเท้าแขนลงบนโต๊ะทำงานที่จัดอย่างเป็นระเบียบตามนิสัยของเจ้าของ
“ตอนเก้าโมงสารวัตรเรียกประชุม จะได้สรุปปิดคดีให้มันจบๆ ไป”
“อืม”
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้พูดคุยกันต่อ ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับดอกไม้ช่อโต ซึ่งสามารถเรียกสายตาจากบรรดาผู้คนในสถานีตำรวจได้ไม่น้อย
“ตายจริง! นั่นของหมวดเหอหรือคะ” เว่ยเจียวเซินเอ่ยถามขึ้น เธอมองชายหนุ่มที่ถือช่อดอกไม้อย่างใคร่รู้
“ไม่ใช่ครับ ของผู้กองต่างหาก” เหอผิงตอบด้วยรอยยิ้ม
ผู้กองหนุ่มทั้งสองคนมองดอกไม้ช่อสวยตรงหน้าอย่างแปลกใจ ก่อนที่ฟ่านมู่เหยียนจะยิ้มออกมา แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส
“สงสัยเสี่ยวโหยวจะส่งมาให้ผม น่ารักแบบนี้ต้องให้รางวัลหน่อยแล้ว”
ฟ่านมู่เหยียนยิ้มแก้มปริพลางยื่นมือจะไปรับช่อดอกไม้ที่แฟนสาวส่งมาให้ ทว่าเหอผิงกลับเบี่ยงตัวหลบ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของคนตรงหน้า
“ไม่ใช่อีกนั่นแหละครับ เป็นของผู้กองหวังต่างหาก”
“ของผมหรือ”
หวังหยูเฟิงแสดงสีหน้างุนงงอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะรับดอกไม้ช่อโตตรงหน้า ทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
"แล้วใครเป็นคนส่งมาให้หรือ”
“ไม่ทราบสิครับ แต่เป็นบริษัทเอกชนที่บริการส่งดอกไม้ทั้วไป” เหอผิงเอ่ยตอบ ก่อนจะแซวผู้กองหนุ่ม “อะไรกันครับเนี่ย หยุดงานไปอาทิตย์เดียว พอกลับมา ก็มีช่อดอกไม้ส่งมาให้”
“นั่นสิ นี่แอบไปปล่อยเสน่ห์ใส่หมอหรือพยาบาลคนไหนหรือเปล่า ร้ายเอาเรื่องเหมือนกันนี่หว่า” ฟ่านมู่เหยียนแซวต่อด้วยสีหน้าล้อเลียน
“เปล่า” หวังหยูเฟิงปฏิเสธเสียงแข็งพลางมองช่อดอกทานตะวันที่ถูกจัดช่อด้วยริบบิ้นสีแดงเข้มอย่างสวยงาม ชายหนุ่มพลิกไปมาอย่างพิจารณา
“ไม่มีการ์ดอะไรบอกเลยครับ” เหอผิงบอก เมื่อเห็นผู้บังคับบัญชามองหาอะไรบางอย่างในช่อดอกไม้ที่กำลังถืออยู่
“สวยมากเลยนะคะ คงราคาแพงน่าดู ไม่รู้ว่าผู้กองหวังไปแอบหว่านเสน่ห์ใครเข้านะคะเนี่ย” เว่ยเจียวเซินเอ่ยขึ้น แล้วหัวเราะคิกคักอย่างถูกใจ
“อืม ช่อดอกไม้ส่วนใหญ่มักจะใช้ดอกกุหลาบ ลิลลี่ หรือไม่ก็คาร์เนชั่น ไม่ค่อยเห็นคนเอาดอกทานตะวันมาจัดช่อเท่าไรเลย” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้น เขามองสิ่งที่เพื่อนกำลังถืออยู่อย่างสงสัย
“ก็ใช่นะคะ ดิฉันก็ไม่ค่อยเจอเหมือนกัน หรือว่ามันจะมีความนัยอะไรแอบแฝงหรือเปล่าคะ” เว่ยเจียวเซินแสดงความคิดเห็น เธอมองช่อดอกทานตะวันอย่างพิจารณาเช่นเดียวกัน
จากบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ บัดนี้กลับเงียบสนิท สายตาทั้งสี่คู่มองมาที่ช่อดอกไม้ปริศนาอย่างครุ่นคิด
“หรือเอาไปตรวจหน่อยดี เผื่อผู้ไม่ประสงค์ดีส่งมาให้” ฟ่านมู่เหยียนเสนอความคิดของตัวเองพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้น เขาฉวยช่อดอกไม้ที่เพื่อนถืออยู่มาพลิกไปพลิกมาเพื่อมองหาความผิดปกติ
“แหม...มันคงไม่ได้ซ่อนระเบิดมาหรอกนะคะ” เว่ยเจียวเซินเอ่ยขำๆ อย่างพยายามคลายบรรยากาศที่ดูจะเคร่งเครียดขึ้น
“ผมลองดูแล้วครับ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ คนส่งดอกไม้ ผมก็ขอดูบัตรพนักงานและแน่ใจว่าเป็นพนักงานของร้านจริงๆ” เหอผิงเอ่ยย้ำ ทว่ายังไม่ละสายตาไปจากช่อดอกไม้เจ้าปัญหา
“ขืนส่งไปตรวจสอบ ช่อดอกไม้สวยๆ ก็เละหมด ถ้าคนส่งมารู้ทีหลัง จะเสียใจเอานะคะ” เว่ยเจียวเซินเอ่ยขึ้น ทั้งที่ใบหน้าสวยยังแสดงความไม่แน่ใจ
“อืม แล้วนายว่าอย่างไร” ฟ่านมู่เหยียนหันไปถามเพื่อน อย่างน้อยก็ควรให้เจ้าของได้เป็นคนตัดสินใจเองจะดีกว่า
“คงไม่มีอะไรหรอก” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ ฟ่านมู่เหยียนก็พยักหน้ารับ ทว่าใบหน้ายังไม่คลายความสงสัย เขาส่งช่อดอกไม้คืนให้เจ้าของ
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปเคลียร์งานก่อนแล้วกัน เจอกันที่ห้องประชุม”
หลังจากลับหลังฟ่านมู่เหยียนไปแล้ว เว่ยเจียวเซินก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันไปมองเหอผิงที่ยิ้มบาง แล้วเดินไปทำงานของตัวเองต่อ หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ผู้กองหนุ่มที่ยังมองช่อดอกไม้ของตัวเองอยู่
“ผู้กองหวังก็ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ อาจจะเป็นใครสักคนที่ส่งมาเป็นกำลังใจให้ก็ได้นะคะ”
“อืม”
“แต่ว่า...เรื่องความนัยของดอกไม้ ผู้กองหวังไม่อยากรู้หรือคะ”
หวังหยูเฟิงมองเว่ยเจียวเซินที่คลี่ยิ้มสวย ถึงเขาจะชอบอ่านหนังสือและหาความรู้รอบตัวในเวลาว่าง แต่ก็ไม่เคยสนใจเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้เท่าไรนัก
"หมวดเว่ยรู้ความหมายของมันหรือ"
"ดิฉันคิดว่า ผู้กองหวังหาความหมายด้วยตัวเองดีกว่าค่ะ"
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ห้องประชุมขนาดกลางเต็มไปด้วยความเงียบ หน้าจอขนาดใหญ่ตรงหน้าห้องกำลังฉายภาพพร้อมกับเสียงบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมาเพื่อสรุปผลในการทำรายงานปิดดคีต่างๆ
“ครับ นี่คือข้อมูลที่เรามีทั้งหมดในตอนนี้” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้น เมื่อชายหนุ่มรายงานถึงผลการทำงานในขณะนี้ให้ผู้รับผิดชอบและผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบ
"คุณมีอะไรอยากเพิ่มเติมไหม ผู้กองหวัง” สารวัตรใหญ่ผู้เป็นประธานในการประชุมเอ่ยถาม หลังจากฟังผลการรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชา
“ผมคิดว่าประเด็นของการวางเพลิงครั้งนี้มาจากมือที่สาม”
“หมายความว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับกงเจ๋อตวนอย่างนั้นหรือ”
“ครับ มันไม่สมเหตุสมผลที่กงเจ๋อตวนจะมาวางเพลิง เพราะถ้าเกิดลงมือจริง ก็น่าจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่า เราจะต้องสงสัยอย่างแน่นอน” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างครุ่นคิด ชายหนุ่มพยายามโยงเหตุการณ์ต่างๆ ทว่าไม่อาจเชื่อมต่อกับกลุ่มคนปริศนาที่ฆ่าถานอี้เทาได้
“ที่จริงผมก็เห็นด้วยกับผู้กองหวังนะครับ แต่ก็ไม่น่าจะมีใครอุกอาจหรือกล้าต่อกรกับถานอี้เทาได้ นอกจากกงเจ๋อตวน” ฟ่านมู่เหยียนย้ำเนื้อความของเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“คุณได้เห็นถานอี้เทาก่อนเสียชีวิตหรือเปล่าผู้กองหวัง” สารวัตรเอ่ยถามอีกครั้งพร้อมกับสายตาทุกคู่ในห้องประชุมที่พุ่งตรงมา หวังหยูเฟิงสูดลมหายใจลึก
“เห็นครับ แต่ว่าผมไม่สามารถระบุคนร้ายได้ เนื่องจากเห็นใบหน้าบางส่วนและเหมือนพวกนั้นจะวางแผนมาก่อนหน้านี้”
ทุกคนส่งเสียงเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ก่อนที่ผู้เป็นประธานในการประชุมจะส่งสัญญาณให้เงียบเสียงอีกครั้ง นัยน์ตาคมที่ผ่านประสบการณ์มามากมายกวาดมองโดยรอบ แล้วหยุดตรงนายตำรวจหนุ่มที่เห็นเหตุการณ์
“หมายความว่าคุณไม่สามารถตามหาคนร้ายได้อย่างนั้นหรือ”
“เท่าที่ผมพอจะคาดเดาได้ คนร้ายรู้จักกับถานอี้เทา แต่ว่าอาจจะมีเหตุผลบางอย่าง ทำให้ต้องจัดการถานอี้เทาแบบนั้น พวกนั้นไม่ใช่มือปืนรับจ้าง เหมือนจะเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นตามที่ตัวเองรับรู้
“นอกจากถานอี้เทากับกงเจ๋อตวนที่เป็นผู้มีอิทธิพลมืดรายใหญ่ในเมืองนี้ ยังจะมีอีกกลุ่มหนึ่งอย่างนั้นหรือ” นายตำรวจท่านหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
“อาจจะใช่แล้วก็ไม่ใช่” หวังหยูเฟิงตอบรับได้แค่นั้น ชายหนุ่มไม่รู้แม้แต่น้อยว่า ความจริงมันเป็นอย่างไรกันแน่
"ถึงแม้การตายของถานอี้เทาจะยังเป็นปริศนา แต่โดยรวมเบื้องบนก็พอใจกับการทำงานในครั้งนี้อยู่" สารวัตรเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบมั่นคง ท่าทีสุขุมเยือกเย็น ทำให้ทุกคนภายในห้องประชุมรับฟังอย่างยำเกรง “แต่ว่าเราก็อย่าได้วางใจ เราต้องสืบหาให้ได้ว่า ใครที่ยิงถานอี้เทา รวมถึงการวางเพลิงในครั้งนี้ด้วย”
“ผมคิดว่า ทั้งสองคดีต้องมาจากกลุ่มเดียวกันแน่” ฟ่านมู่เหยียนแสดงความคิดเห็น สารวัตรใหญ่ตอบรับด้วยการมองเพียงเล็กน้อย ก่อนสายตาจะมองตรงไปยังผู้ร่วมประชุมทุกคน
“ผมก็คิดแบบนั้น สิ่งที่เราต้องสืบต่อไปก็คือพวกมันเป็นใคร”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣