16
คลื่นใต้น้ำ
”อ้าว! คุณเจิ้งบังเอิญจังเลยนะ”
คำทักทายของชายวัยกลางคนที่คุมอำนาจหลายด้านของเมือง ทำให้เจิ้งหยุนรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เพราะเขาเคยบอกกับอีกฝ่ายไปแล้วว่า ถ้าเจอกันข้างนอกไม่ต้องมาทำเป็นรู้จักกัน
“สวัสดีครับ”
“ท่าทีเย็นชาจังเลยนะ ทั้งที่เป็นคนคุ้นเคยกันแท้ๆ”
คำพูดที่แสดงความสนิทสนม ทำให้เจ้าของผับกาเบรียลต้องข่มอารมณ์เอาไว้ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“คุณให้เกียรติผมมากไปแล้วครับ”
“ฮ่าๆ”
กงเจ๋อตวนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี คืนนี้เขาต้องการมาเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อชมความงดงามของไป๋ลู่เหอระหว่างมื้ออาหาร แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอมิตรที่เคยทำงานร่วมกัน
“คุณเจิ้งจะไม่แนะนำคุณผู้หญิงที่มาด้วยกันให้ผมรู้จักหน่อยหรือ”
กงเจ๋อตวนเอ่ยขึ้นต่อ นัยน์ตาเรียวจ้องมองหญิงสาวข้างกายชายหนุ่มอย่างสนใจ
“คุณซินฉี นี่คือคุณกงเจ๋อตวน เขาทำธุรกิจหลายอย่างในเมืองนี้ครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยแนะนำไปตามเรื่องกับหญิงสาวที่มาด้วยกัน
“สวัสดีค่ะ เส้าซินฉีค่ะ” เส้าซินฉีแนะนำตัวเอง ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อมือหยาบของชายที่เพิ่งรู้จักถือวิสาสะจับมือของเธอไปจุมพิตบนหลังมือ
“ยินดีที่ได้รู้จักมากครับ คุณเส้า” กงเจ๋อตวนตอบรับด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาเรียวเจ้าเล่ห์ทอแววหื่นกระหายอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวที่ตกเป็นเป้าสายตารีบดึงมือของตัวเองกลับมาด้วยความขยะแขยง “แล้วกินข้าวกันเสร็จแล้วหรือ ผมอยากจะเลี้ยงอาหารพวกคุณสักหน่อย”
“ไม่รบกวนดีกว่าครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยปฏิเสธ ก่อนจะนำเส้าซินฉีที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนักเดินจากมา “พวกเราต้องขอตัวก่อน”
“น่าเสียดาย แต่ก็คงมีโอกาสได้เจอกันอีกแน่นอน” กงเจ๋อตวนเอ่ยคำลา ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของภัตตาคาร
เส้าซินฉีถอนหายใจออกมา เธอควงแขนของเจิ้งหยุนเอาไว้ดังเดิม แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจนัก
“พี่หยุน ดูเขาเป็นคนที่ไม่น่าคบเลยนะคะ”
“ครับ”
หวังหยูเฟิงที่ลอบสังเกตการณ์พิจารณาบทสนทนาสั้นๆ ที่เกิดขึ้น ก่อนจะรีบเดินออกจากภัตตาคารตามคู่หนุ่มสาวไปอีกคน
นอกจากจะมีนายตำรวจที่เฝ้ามองแล้ว ที่มุมหนึ่งไม่ไกลออกไปนักก็ยังมีสายตาอีกคู่กำลังจับจ้องเหตุการณ์เมื่อครู่เช่นเดียวกัน นัยน์ตาคู่นั้นเลื่อนตามหลังกงเจ๋อตวนเล็กน้อย ก่อนจะฉายภาพเจิ้งหยุนและเส้าซินฉีด้วยความมาดร้าย
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หลังจากขับรถไปส่งเส้าซินฉีที่คอนโดมิเนียม หวังหยูเฟิงก็พาเจิ้งหยุนเดินทางกลับคฤหาสน์ริมทะเล ความคิดของผู้กองหนุ่มวนเวียนเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นที่ภัตตาคารเฟยลี่
“ยินดีต้อนรับกลับครับ” อู่หนิงเอ่ยทักพร้อมกับโค้งตัวอย่างนอบน้อม เจิ้งหยุนก็พยักหน้ารับอย่างขอไปที
“เตรียมตั้งโต๊ะ ฉันจะกินข้าวกับคุณหวัง” เจิ้งหยุนสั่ง แล้วหันมาหาผู้กองหนุ่มที่เดินมาเงียบๆ “คุณหิวแล้วใช่ไหมครับ”
“คุณกับกงเจ๋อตวนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร” หวังหยูเฟิงถามกลับ โดยเมินคำถามที่ได้รับอย่างสิ้นเชิง เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“คุณถามเรื่องอะไรน่ะ” เจิ้งหยุนย้อนถามด้วยน้ำเสียงสงสัย
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วออกมา
“ผมเห็นที่พวกคุณคุยกัน” หวังหยูเฟิงบอก แล้วจ้องจับผิดอีกฝ่ายเต็มที่ “ท่าทางสนิทสนมกันดีไม่ใช่หรือ”
“ผมรู้จักเขา แต่เราไม่ได้สนิทสนมกันหรอกนะครับ” เจิ้งหยุนบอก ก่อนจะก้าวเท้าเดินต่ออย่างไม่รีบร้อน โดยที่มีผู้กองหวังเดินไปด้วยกัน
“แล้วพวกคุณรู้จักกันได้อย่างไร” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามอย่างไม่ลดละ เจิ้งหยุนถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
“เอาไว้คุยเรื่องนี้ที่หลังได้ไหมครับ ผมว่าพวกเรากินข้าวกันก่อนเถอะ ผมหิว” เจิ้งหยุนบอกราวกับต้องการตัดบทของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ขยันทำงานไม่รู้จักเวลา ก่อนหน้านี้เขาแค่รับประทานอาหารกับเส้าซินฉีพอเป็นพิธีเท่านั้น
“แต่..”
“ผมจะตอบคำถามของคุณ หลังจากที่พวกเราอิ่มท้องกันแล้วนะครับคุณหวัง”
หวังหยูเฟิงลอบถอนหายใจออกมา แล้วจำใจยอมให้ผู้ต้องสงสัยต่อเวลาไปก่อน ไม่ว่าอย่างไรคืนนี้เขาก็ต้องรู้เรื่องของเจิ้งหยุนกับกงเจ๋อตวนให้ได้
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
มื้ออาหารเย็นผ่านไปด้วยความเงียบและรวดเร็ว หวังหยูเฟิงนั่งมองเจิ้งหยุนที่ละเมียดรับประทานอาหารอย่างรอคอย แต่ก็ใช้สายตากดดันเป็นระยะ จนกระทั่งช้อนและส้อมของคนที่นั่งตำแหน่งหัวโต๊ะรับประทานอาหารวางลง
“คืนนี้พระจันทร์สวย เราไปนั่งคุยกันแถวชายหาดดีไหมครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ประโยคที่คล้ายเป็นคำถามก็กลายเป็นแค่บอกเล่า เมื่อเจ้าของคำพูดเดินตรงไปยังด้านหลังของคฤหาสน์ทันที ทำให้หวังหยูเฟิงที่รอเวลามาสักพักต้องเดินตามไป
สายลมทะเลพัดพาเป็นระยะ เกลียวคลื่นม้วนตัวก่อนจะสลายกลายเป็นผืนน้ำที่เข้ากระทบฝั่ง หาดทรายละเอียดที่มีแสงจันทร์ส่องสว่างปรากฏร่างของชายหนุ่มสองคนที่กำลังยืนอยู่
เจิ้งหยุนหันไปสั่งลูกน้องคนหนึ่ง ก่อนจะมีพรมที่ทอจากไหมเนื้อดีปูลงบนหาดทรายพร้อมกับชุดเครื่องดื่ม ท่ามกลางความงุนงงของหวังหยูเฟิง
“คุณจะทำอะไร”
“ผมจะนั่งชมจันทร์ครับ แล้วเราก็พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่คุณอยากจะถาม”
เจิ้งหยุนหันมาส่งยิ้มให้ แล้วนั่งเหยียดขาบนพื้นพรมนุ่มอย่างสบายตัว ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปเทวิสกี้ใส่แก้วเป็นเครื่องดื่มของตัวเองในค่ำคืนนี้ หวังหยูเฟิงที่ได้แต่มองพร้อมกับถอนหายใจออกมา แล้วนั่งลงเคียงข้างเจ้าของคฤหาสน์ริมทะเล
“รับไหมครับ” เจิ้งหยุนหันมาถาม เขายกแก้วทรงสูงในมือของตัวเองขึ้นเล็กน้อยเป็นการชักชวน ซึ่งแน่นอนว่านายตำรวจไม่ตอบรับน้ำใจ เจ้าของคฤหาสน์จึงลิ้มรสชาติร้อนแรงเพียงลำพัง
“อยากจะถามอะไรผมล่ะครับ”
“ตกลงว่าคุณกับกงเจ๋อตวนเกี่ยวข้องกันอย่างไร” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในสถานีตำรวจ แต่เขาก็พยายามปฏิบัติหน้าที่สอบสวนของตัวเองอย่างเต็มที่
“ผมกับเขาเป็นแค่คนรู้จักแบบผิวเผินเท่านั้นครับ” เจิ้งหยุนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย นัยน์ตาคมทอดมองทะเลอย่างเหม่อลอย
“แต่ผมไม่เห็นแบบนั้น” หวังหยูเฟิงเอ่ยแย้ง เขายังจำสีหน้าและท่าทางยินดีของกงเจ๋อตวนได้ดี “แล้วคุณรู้จักกับเขาได้อย่างไร”
“ผมบังเอิญรู้จักครับ” เจิ้งหยุนตอบอย่างง่ายดายอีกครั้ง แล้วหันมามองสีหน้าจริงจังของผู้กองหนุ่ม “ตอนนั้นผมไปรู้เรื่องของเขาเข้าพอดี”
“เรื่องอะไร” นายตำรวจหนุ่มขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย ทว่าคนถูกไล่ต้อนกลับเผยรอยยิ้มบาง
“เรื่องที่เขาทำธุรกิจผิดกฏหมายอยู่น่ะสิครับ” เจิ้งหยุนตอบด้วยน้ำเสียงที่เบาลงเหมือนต้องการจะกระตุ้นให้คนฟังอยากรู้มากกว่าเดิม แต่หวังหยูเฟิงที่นิ่งเฉยทำเพียงมองกลับอย่างรอคอยเท่านั้น “เขาค้ามนุษย์ครับ”
“แล้วคุณรู้ได้อย่างไร” หวังหยูเฟิงถามต่อ เขาไม่ได้แปลกใจกับข้อมูลที่ได้รับ เพราะเรื่องนี้ทางตำรวจก็รู้มานานแล้ว แต่กงเจ๋อตวนก็หาวิธีดิ้นหลุดจากกฎหมายไปได้
“มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งหนีเข้ามาขอความช่วยเหลือที่ผับ แต่ผมยังไม่ทันรู้เรื่องอะไร เธอก็ตายเสียก่อน” เจิ้งหยุนบอก แล้วหันไปมองท้องทะเลเบื้องหน้าอีกครั้ง “ผมไม่อยากมีปัญหาเพราะตอนนั้นก็เพิ่งเปิดผับได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ แล้วผมเองก็มาจากตระกูลที่พอจะมีชื่ออยู่บ้าง เขาก็คงไม่อยากวุ่นวาย เราเลยตกลงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ผมก็ไม่ได้ไว้ใจนักหรอก ไม่แน่ว่าคนร้ายที่ลอบยิงผมในคืนนั้นก็อาจเป็นคนของเขาที่ต้องการขู่ผมก็ได้”
“ทำไมต้องขู่คุณด้วย” หวังหยูเฟิงถามต่ออย่างแปลกใจ เขานึกทบทวนเรื่องราวที่รับรู้มาอย่างครุ่นคิด “แล้วก่อนหน้านี้ ทำไมคุณไม่บอกผมถึงเรื่องนี้”
“ผมไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ตำรวจฟังหรอก ผมไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวเพิ่ม”
“เขาเป็นคนไม่ดี แล้วคุณควรให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่”
“คุณจะเชื่อผมหรือ คุณเองก็คิดว่าผมเป็นคนร้ายนี่ครับ คำพูดของผมไม่มีน้ำหนักอะไรหรอก”
หวังหยูเฟิงถอนหายใจออกมา ก่อนจะโน้มน้าวต่ออย่างใจเย็น ถึงจะมีความจริงบางส่วนจากคำพูดราวกับตัดพ้อนั้น แต่เขาก็ไม่อยากพลาดข้อมูลอะไรก็ได้ที่อาจทำให้จับกุมกงเจ๋อตวนได้
“แล้วผมต้องทำอย่างไร คุณถึงจะบอก”
เจิ้งหยุนที่ทอดสายตามองทะเลนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนใบหน้าหล่อเหลาที่ถูกแสงสีเงินจากโคมไฟบนฟากฟ้าลูบไล้จะเผยรอยยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย
”ง้างปากผมสิ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น นัยน์ตาคมแวววาว เมื่อผู้กองหนุ่มแสดงสีหน้าสงสัยออกมาอย่างไม่ปิดบัง “ด้วยจูบของคุณ”
หลังจากได้รับคำชี้แจงเพิ่มเติม หวังหยูเฟิงก็ลอยคว้างกลางอากาศครู่หนึ่ง เขาสบกับดวงตาสีดำที่สว่างราวกับมีดาวฤกษ์ส่องแสงอยู่ข้างในนิ่ง ลมกลางคืนไม่อาจปัดเป่าความร้อนจากลมหายใจที่รินรดในระยะประชิดตอนนี้ได้
“เจิ้งหยุน” หวังหยูเฟิงเรียกชื่ออีกฝ่ายเข้มขึ้นเป็นกำแพงให้ตัวเอง เมื่อช่องว่างระหว่างพวกเขาลดลงทุกวินาที
”ครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยรับอย่างว่าง่ายไม่ต่างจากเด็กน้อยที่อยู่ในโอวาท
”คุณเป็นเกย์หรือ” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามอย่างข้องใจ ซึ่งทำให้คนที่กำลังคุกคามชะงักในทันที
“ไม่รู้สิครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยตอบ หลังจากปล่อยให้ความเงียบเดินทางผ่าน เขายิ้มมองใบหน้าจริงจังของผู้กองหนุ่ม “ผมรู้แค่ว่า...ผมชอบคุณ”
คำสารภาพที่ไม่คิดว่าจะได้ยินนำพาความตกตะลึงและประหลาดใจเข้ามาจู่โจมผู้กองหนุ่มในทันที
ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของหวังหยูเฟิงไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รับคำหวานแบบนี้ครั้งแรกจากผู้ชายมาก่อน อยากจะคิดว่าอีกฝ่ายแค่พูดไปอย่างนั้น แต่แววตาที่สะท้อนความรู้สึกชัดเจน รวมไปถึงถ้อยคำตอกย้ำก็กระแทกหัวใจของชายหนุ่มเข้าอย่างจัง
“หวังหยูเฟิง ผมชอบคุณครับ”
“ขอบ...คุณ”
หวังหยูเฟิงปั้นสีหน้าของตัวเองไม่ถูก ถึงบรรยากาศโดยรอบจะทำให้ความรู้สึกอ่อนไหวได้ไม่ยาก แต่ผู้กองหนุ่มก็ยังตระหนักได้ถึงสิ่งที่ตัวเองควรทำในเวลานี้
“คุณอย่าชวนผมเปลี่ยนเรื่อง ตกลงเรื่องกงเจ๋อตวนว่าอย่างไร”
“ทั้งที่ผมเพิ่งจะบอกความในใจที่มีต่อคุณไป แต่คุณก็เอาแต่ถามเรื่องของคนอื่น”
เจิ้งหยุนหันใบหน้าหนี ก่อนจะหยิบแก้ววิสกี้ของตัวเองขึ้นดื่มราวกับไม่สบอารมณ์นัก หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วออกมากับคนเล่นตัว
“ผมก็บอกขอบคุณไปแล้ว”
”แค่นั้น? ผมก็ไม่ได้หวังให้คุณชอบผมกลับหรอก เพราะผมก็เป็นคนร้ายในสายตาของคุณอยู่แล้ว แต่น่าจะบอกอะไรมากกว่านั้นหน่อยนะครับ”
“คุณต้องการให้ผมบอกอะไร”
หวังหยูเฟิงมองคนที่ทิ้งสายตาไปที่ทะเลอย่างใจเย็น ก่อนเสี้ยวหน้าได้รูปจะหันกลับมาทางเขาอีกครั้ง
“ก็อย่างเช่น...ความรู้สึกที่คุณมีต่อผมมั้งครับ”
“ผมไม่เคยคิดกับคุณในเรื่องแบบนั้น แล้วก็เชื่อว่าคุณคือคนร้ายที่ฆ่าถานอี้เทา และตอนนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับกงเจ๋อตวนด้วย”
“เฮ้อ...คราวนี้พูดถึงคนอื่นเพิ่มมาอีก”
เจิ้งหยุนหันใบหน้าหนีหวังหยูเฟิงอีกครั้ง ชายหนุ่มไม่ได้ขุ่นเคืองกับคำพูดของอีกฝ่าย เพราะไม่ได้เกินความคาดหมายของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกชอบเท่าไรนัก
“เจิ้งหยุน”
“คำพูดของคนไม่ดีอย่างผม ก็คงไม่มีค่าอะไรสำหรับคุณนักหรอก”
“อย่าประชดผม” หวังหยูเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งขึ้น เพราะตอนนี้เขาถูกอีกฝ่ายใช้คำพูดกระแทกกระทั้นไม่หยุด
“ทำไมผมต้องทำแบบนั้น” เจิ้งหยุนว่ากลับ แล้วทำท่าจะลุกขึ้นยืน “เอาเถอะ...ถ้าไม่มีอะไร ผมก็ขอตัวก่อนแล้วกันนะครับ”
“เรายังคุยกันไม่จบ” หวังหยูเฟิงเอ่ยรั้งพร้อมกับยึดแขนของเจิ้งหยุนไม่ให้ลุกหนี คืนนี้เขาต้องได้คำตอบที่อยากรู้ “ผมจริงจังนะ ผมต้องการรู้เรื่องของกงเจ๋อตวนที่คุณรู้ เพื่อคดีของคุณด้วย”
“หึ! ผมก็จริงจังเหมือนกัน แล้วผมก็บอกเงื่อนไขไปแล้ว” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น เขายกยิ้มที่มุมปาก “ข้อมูลฟรีไม่มีในโลกนะครับผู้กองหวัง”
“ก่อนหน้านี้คุณยังบอกเรื่องค้ามนุษย์ให้ผมรู้อยู่เลย” หวังหยูเฟิงเอ่ยท้วง เจิ้งหยุนเอนตัวไปด้านหลังโดยที่มือทั้งสองข้างวางเป็นหลักอย่างผ่อนคลาย
“เรื่องนั้น ผมรู้ว่าคุณรู้อยู่แล้วครับ”
“คุณกำลังบังคับผม”
เจิ้งหยุนหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นหวังหยูเฟิงแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน
“คุณกำลังพาลนะครับ” เจิ้งหยุนว่า แล้วเอ่ยขึ้นอย่างหยอกล้อ “ถึงผมจะไม่เคยเห็นคุณยิ้ม แต่ผมก็ชอบตอนคุณหน้าบึ้งเหมือนกันนะ”
“พูดอะไรของคุณ” หวังหยูเฟิงว่ากลับ ตอนนี้เขาเริ่มสับสนแล้วว่า ควรจะจัดการเรื่องไหนก่อน ระหว่างท่าทีของเจิ้งหยุนหรือเรื่องของกงเจ๋อตวนที่ยังอยากรู้
“พูดเรื่องคนที่ผมชอบครับ” เจิ้งหยุนตอบรับอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วถามย้ำอีกครั้ง “แล้วตกลงคุณจะเอาอย่างไร จะจูบผมหรือปล่อยให้ผมไปนอน”
หวังหยูเฟิงข่มอารมณ์ยุ่งเหยิงที่ตีรวนอยู่ในใจ ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาด ในเมื่อสิ่งที่เจิ้งหยุนต้องการแลกเปลี่ยนก็ไม่ใช่ครั้งแรกของเขาด้วย ถึงจะลำบากใจมากก็ตาม แต่ก็ไม่ได้รังเกียจหรือฝืนใจอะไรนัก
เขาก็แค่อายเท่านั้นเอง...
ผู้กองหวังสูดลมหายใจมองคิ้วเข้มที่เลิกขึ้นราวกับเร่งรัดให้เขาทำอะไรสักอย่างเสียที มือที่เคยวางอยู่ข้างลำตัวยกขึ้นรั้งท้ายทอยของชายหนุ่มผมยาวให้เข้ามาใกล้พร้อมกับเลื่อนใบหน้าของตัวเองเข้าหาเพื่อประทับจูบลงบนกลีบปากบางที่ตอบรับสัมผัสในทันที
พระจันทร์ยังคงลอยเด่นกลางท้องฟ้า น้ำทะเลยังคงเคลื่อนไหวซัดสาดเข้าหาชายหาดอย่างต่อเนื่อง ไม่ต่างจากชายหนุ่มทั้งสองคนที่ไม่อาจหยุดยั้งความรู้สึกเบื้องลึกที่มีต่อกันผ่านรสจูบที่ทวีความเร่าร้อนขึ้น เสียงสัมผัสดังแทรกแผ่วเบาราวกับเมโลดี้พิเศษที่แต่งเติมบทเพลงของธรรมชาติในตอนนี้ให้อ่อนหวานมากขึ้น
“บอกได้หรือยัง” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงเบา หลังจากลมหายใจที่ถูกช่วงชิงขาดห้วงไปชั่วขณะ ทว่าสิ่งที่ทำให้ผู้กองหนุ่มเหน็ดเหนื่อยจนรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้าคือหัวใจที่เต้นแรงมากกว่าปกติ
“คุณจูบเก่งขี้นนะครับ ดีใจจัง” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น แต่ไม่ใช่คำตอบที่หวังหยูเฟิงต้องการ
“เจิ้งหยุน!” หวังหยูเฟิงว่าด้วยใบหน้าบึ้งตึง เวลานี้นายตำรวจไม่อาจเก็บอารมณ์ของตัวเองได้อย่างปกติ “คุณบอกผมมาได้แล้ว
“อีกสองสัปดาห์กงเจ๋อตวนจะมีการนัดแลกเปลี่ยนอาวุธเถื่อนที่โกดังสองฝั่งตะวันตกครับ” เจิ้งหยุนบอกเรื่องราวที่ยื้อมานานในที่สุด ก่อนจะใช้อ้อมแขนของตัวเองโอบกอดนายตำรวจที่ตั้งใจฟังข้อมูลของเขาอย่างแนบเนียน
“วันไหน คุณพอจะรู้แน่ชัดหรือเปล่า” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามต่ออย่างกระตือรือร้น โดยไม่ได้สังเกตถึงความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น
“เรื่องนั้นผมยังไม่รู้ครับ” เจิ้งหยุนบอก แล้วใช้ปลายจมูกของตัวเองคลอเคลียผิวแก้มของคนที่จมอยู่ในความคิดอย่างอารมณ์ดี
“แล้วกงเจ๋อตวนจะมาด้วยไหม” หวังหยูเฟิงถามขึ้นอีกครั้ง เขากำลังเรียบเรียงข้อมูลเพื่อส่งต่อให้เพื่อนสนิทที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง
“เรื่องนั้นผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันครับ” เจิ้งหยุนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แล้วกดจูบข้างแก้มที่หลอกล่อความอดทนของเขาอย่างอดใจไม่ไหว ซึ่งเรียกนัยน์ตาสีนิลที่จมอยู่ในความคิดให้ตวัดมองในทันที ชายหนุ่มยิ้มรับ “ถ้าคุณอยากรู้ ผมจะหาข้อมูลมาให้ครับ”
“คุณจะหามาอย่างไร” หวังหยูเฟิงถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่องจากการถูกล่วงเกินเมื่อครู่ “ว่าแต่คุณรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”
“ขอโทษนะครับ แต่ผมคงเปิดเผยแหล่งข่าวไม่ได้” เจิ้งหยุนตอบ แล้วอมยิ้มออกมา “ข้อมูลอื่นๆ คุณก็ค่อยมาง้างปากจากผมทีหลังนะครับ”
“นี่คุณ...” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างพูดไม่ออก เพราะถ้าเขาอยากรู้อะไรจากผู้ชายคนนี้อีก จะต้องทำเรื่องแบบนี้อีกอย่างนั้นหรือ!
“ยื่นหมูยื่นแมวนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะฉวยโอกาสจุมพิตที่ริมฝีปากบวมเจ่อของหวังหยูเฟิงอย่างรวดเร็ว “ดึกแล้ว คุณไปพักผ่อนเถอะ ราตรีสวัสดิ์ครับ”
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเดินกลับห้องนอนของตัวเองด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ถึงอย่างนั้นเขาก็มีเรื่องที่ต้องคิดก่อน ข้อมูลสำคัญที่เพิ่งรับรู้มาต้องส่งต่อให้ฟ่านมู่เหยียนโดยเร็วที่สุด
หลังจากหวังหยูเฟิงเดินหนีจากไปแล้ว เจิ้งหยุนที่ถูกทิ้งไว้บนพรมที่ปูตรงชายหาดก็ยกแก้ววิสกี้ของตัวเองขึ้นดื่ม สายตาเฉยชาทอดมองทะเลมืดที่ไม่เห็นสิ่งใด ทว่าภายใต้ผืนน้ำสุดจะหยั่งถึงมีกระแสมากมายไหลวนเวียนอย่างเหม่อลอย
“อู่หนิง”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มที่ยืนซ่อนตัวในมุมมืดเพื่อให้เจ้านายได้ใช้เวลาส่วนตัวเพียงลำพังกับผู้กองหวังรีบเดินมารับคำสั่งอย่างรวดเร็ว
“ครับนาย”
“บอกเรื่องตำรวจให้ไอ้แก่นั่นรู้ด้วย”
“ครับ”
อู่หนิงโค้งรับคำสั่ง ก่อนจะเดินจากไป และทิ้งให้เจ้านายหนุ่มได้ชื่นชมทิวทัศน์เพียงลำพังต่อ เส้นผมหลุดลุ่ยจากยางรัดพลิ้วไหวไปตามลมทะเลที่เคลื่อนผ่าน ใบหน้าหล่อเหลาที่มักวาดรอยยิ้มบางเสมอแสยะยิ้มขึ้นมาพร้อมกับแววตาคมที่เป็นประกายน่ากลัว
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣