21
ตี๋กลับมาถึงบ้านฟ้าก็มืดแล้ว เพราะวันนี้ทำงานที่คณะจนเย็นย่ำ วันนี้เอสไม่ว่างมารับเลยทำให้เขาต้องฝ่ารถติดมหาโหดของเมืองกรุงกลับบ้านเอง และเพราะความเครียดจากเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เขานอนไม่ค่อยหลับ ซึ่งมันก็ส่งผลกับร่างกายโดยตรง วันนี้เขาเลยมีอาการเพลียอย่างเห็นได้ชัด
ถึงแม้ว่าการได้พูดคุยกับป๊าของพี่เอสมันจะทำให้ผ่อนคลายขึ้น แต่ลึก ๆ แล้วใจเขามันก็ยังเครียดอยู่ดีนั่นแหละนะ
เจ้าตัวเดินเข้าบ้านไปก็เจอป๊ากับม๊านั่งอยู่หน้าทีวีเหมือนอย่างทุกวันเป็นปกติ เขายกมือขึ้นไหว้ “ป๊าหวัดดี ม๊าหวัดดี”
“กินข้าวมาหรือยัง?” ป๊าเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน
“ยังเลยครับ” เจ้าตัวตอบด้วยความประหม่า
“งั้นไปกินข้าวก่อนไป แล้วค่อยมาคุยกัน”
มือกำสายกระเป๋าแน่นจนขึ้นข้อขาว ความเครียดที่วิ่งเข้ามาปะทะอีกระลอกทำเอาไม่หิวขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่คิดว่าผ่านไปแค่วันเดียวก็โดนเรียกคุยแล้ว
“ไปกินข้าวกันนะครับคนเก่ง” ม๊าเดินเข้าไปกอดเข้าที่เอวผอมของลูกชายคนเล็ก เธอหยิบอุปกรณ์การเรียนของลูกชายวางลงกับโซฟา แล้วเดินมาดึงมือตี๋ให้เดินตาม
ตี๋มองคนเป็นแม่ที่พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะเดินตามท่านเข้าไปในครัว เจ้าตัวนั่งลงกับโต๊ะมองม๊าเตรียมข้าวให้เขากินเงียบ ๆ ในหัวสมองมันคิดหลายอย่างตีกันวุ่นไปหมด
“กินสักหน่อยก็ยังดีนะลูก” เธอบอกเพราะรู้ว่าตอนนี้ตี๋คงไม่มีความอยากอาหารเท่าไหร่นัก เธอรู้ว่าลูกชายของเธอเครียด แต่เธอก็คงจะปล่อยให้เป็นเรื่องของพ่อลูกที่จะต้องเคลียร์กันเอง หน้าที่ของเธอก็คือคอยซัปพอร์ตทั้งคู่ให้มีกำลังใจเท่านั้น
ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ดูหม่นหมองก้มลงมองจานข้าวตรงหน้า กลิ่นหอมของไก่ทอดกระเทียมตีจมูกจนน้ำลายสอ ตี๋คว้าช้อนขึ้นมาตักมันเข้าปากไป
“กินเยอะ ๆ นะครับ ดูลูกม๊าคนนี้สิ...ผอมจังเลย” มือที่แสนบอบบางของคนเป็นแม่ลูบหัวทุยของลูกชายที่เธอแสนรัก
ตี๋เงยหน้าขึ้นมาอมยิ้มให้กับม๊าแก้มตุ่ยเพราะยังเคี้ยวข้าวไม่เสร็จดี พอได้กินอาหารอร่อย ๆ ฝีมือของม๊าแล้วก็ทำให้เจริญอาหารขึ้นมาบ้าง ไม่นานนักข้าวในจานก็หมดลง
“ไปคุยกับป๊ากันเนอะ”
/
เมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับป๊าก็ทำเอาเครียดจนท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด ตี๋นั่งลงที่โซฟาตัวใกล้ ๆ โดยมีคนเป็นแม่นั่งติดกันและจับมือของเขาไว้ตลอด อย่างน้อยสิ่งนี้ก็ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“สรุปว่าเราคบกับเอสจริง ๆ ใช่ไหม?” ป๊าถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามปกติอย่างที่เคยเป็น
ตี๋มองหน้าคนถามด้วยความสงสัย เพราะอีกฝ่ายดูผิดจากที่คาดไว้ คิดเอาไว้ว่าอาจจะโดนต่อว่า หรืออย่างร้ายที่สุดก็คือบอกให้เลิกกัน
“ครับ” สุดท้ายเขาก็ยอมรับอย่างที่ลูกผู้ชายสมควรจะทำ
คนเป็นพ่อเงียบไปชั่วครู่ เขาสังเกตว่าลูกชายคนเล็กของเขาเครียดอย่างเห็นได้ชัด และเขาก็ไม่เคยเห็นตี๋มีสภาพแบบนี้มาก่อน นั่นยิ่งทำให้รู้สึกไม่ดี
“เครียดมากเลยเหรอ?”
พอตี๋ได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนโยนจากป๊าแบบนี้แล้วมันก็ทำให้น้ำตาไหลออกมาอย่างบังคับไม่ได้ ทั้งที่เขาตั้งใจว่าจะไม่ร้องไห้ต่อหน้าป๊า แต่เพราะเครียดมากจริง ๆ ในชีวิตนี้เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน
ส่วนคนเป็นพ่อที่เห็นลูกชายร้องไห้แบบนี้ก็ใจอ่อนยวบ ครั้งสุดท้ายที่ตนเห็นลูกคนนี้ร้องไห้ก็คือตอนที่ต้องแยกห่างจากเอสเมื่อสิบปีที่แล้ว หลังจากนั้นก็ไม่เคยเห็นน้ำตาของตี๋อีกเลย เขาขยับตัวเข้าไปนั่งติดกับลูกชายคนเล็กแล้วยกมือขึ้นลูบหัวแผ่วเบา ไม่บ่อยนักหรอกที่จะทำแบบนี้กับลูก ๆ เขามันพวกแสดงความรักไม่เก่ง
“ตี๋ขอโทษที่ทำให้ป๊าต้องผิดหวังนะ”
ท่านส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มบาง “ไม่เลย ตี๋ไม่เคยทำให้ป๊าต้องผิดหวัง เราน่ะเป็นเด็กดีมาตลอด ไม่เคยทำให้ป๊าต้องเป็นห่วงเหมือนไอ้เฟยมันเลยด้วย”
“แต่ตี๋…” เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นสบตาก็เห็นใบหน้าที่เคยเฉยเมยมาตลอดกำลังยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
“ไม่ว่าตี๋จะเป็นยังไงหรือจะรักใคร ยังไงก็ลูกป๊า...จะเป็นยังไงป๊าก็รัก”
“นี่หมายความว่าป๊า...ไม่ว่าที่ตี๋เป็นแบบนี้เหรอ?” เจ้าตัวถามเพราะไม่แน่ใจว่าตนเองเข้าใจถูกหรือไม่
“อืม” ท่านพยักหน้าเล็กน้อย “ตี๋จะรักใครป๊าไม่ว่า ขอแค่คนนั้นเป็นคนดีและรักลูกป๊าก็เพียงพอแล้ว”
“ขอบคุณนะครับ...ขอบคุณ”
อาฮงชะงักไปเพราะโดนลูกคนเล็กสวมกอด มือใหญ่ตบลงบนหลังบางของตี๋เบา ๆ อย่างปลอบโยน ไม่บ่อยนักที่เขาสองคนพ่อลูกจะแสดงความรักซึ่งกันและกัน และก็นานมากแล้วด้วยที่เขาสองคนได้กอดกัน อาจจะเพราะว่าความที่เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ ก็เลยอายที่จะแสดงความรักต่อกัน
แต่พอมาคิดดูแล้ว...คนเราจะตายจากกันวันไหนก็ไม่มีใครรู้ ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ควรจะแสดงว่าเรารักให้อีกฝ่ายได้รับรู้ จะไปเก๊กหน้าใส่กันทำไม เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้คนแก่อย่างเขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างที่ตั้งแต่เกิดจนแก่หัวหงอกแล้วก็เพิ่งจะได้รู้
หนึ่งคือความรักที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่เห็นแก่ตัว เรารักลูกในครั้งแรกที่รู้ว่ามีเขาอย่างไร เมื่อเขาเติบโตขึ้นมาถึงแม้จะไม่ใช่อย่างที่เราหวัง...ก็ควรจะรักเขาให้เหมือนเดิม
สองคือชีวิตของลูกเขาควรจะเป็นคนเลือกเดินเอง เราไม่ได้จะมีชีวิตอยู่กับเขาไปชั่วนิรันดร เหมือนกับตอนที่ลูกยังเด็ก ตอนที่เขาเริ่มเดินได้เอง เราไม่สามารถไปเดินแทนลูกได้ พ่อกับแม่มีหน้าที่ประคับประคองและปลอบโยนในวันที่เขาล้มเท่านั้น
คราแรกที่รู้เขามีความคิดที่อยากจะให้ทั้งสองคนเลิกกัน ดีที่ยังมีสติยับยั้งตนไว้ได้ทัน ถ้าเขาทำมันลงไป ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขาจะทำร้ายลูกจนเสียใจมากขนาดไหน ถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงจะเสียใจไปจนวันตายแน่ ๆ
“ป๊ากับม๊ารักหนูมาก ๆ เลยนะครับ” คนเป็นแม่โอบกอดทั้งสองคนที่เธอรักเอาไว้ กดจูบเข้าที่แก้มขาวของลูกด้วยความรักที่มี ดีใจที่ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันได้
“ทำไรกันอะ?” เฟยเพิ่งกลับถึงบ้าน ยืนมองทั้งสามคนที่กำลังกอดกันกลม เลยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“โถ่ ไอ้นี่...ขัดบรรยากาศฉิบหายเลย” ป๊าว่าอย่างไม่จริงจังนัก เรียกเสียงหัวเราะของม๊าและตี๋ให้ดังขึ้น ในขณะที่เฟยเดินเกาหัวเข้ามานั่งลงที่โซฟาหน้ามึนเพราะโดนป๊าว่า
“สองพ่อลูกเขาเข้าใจกันแล้วครับ” ม๊าเป็นฝ่ายบอก
ลูกชายคนโตของบ้านตาโตด้วยความตื่นเต้น เพราะไม่คิดว่าป๊าจะยอมรับเร็วขนาดนี้ก่อนจะยิ้มยินดีกับน้องชาย ตอนนี้ก็ถือว่าวิกฤตของครอบครัวได้ผ่านไปแล้ว เท่านี้เขาก็สบายใจได้เสียที
/
หลายวันผ่านไปชีวิตของตี๋กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ยังคงใช้ชีวิตอยู่ระหว่างสองบ้านเหมือนเดิม กับป๊าก็ยังคงเหมือนเดิม ดูจากที่ม๊าเล่าให้ฟังแล้ว ว่าตอนนี้ท่านจะทำใจยอมรับได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว
“วันนี้ป๊าเรียกหาพี่แหนะ” ตี๋บอกเอสในขณะที่อีกฝ่ายกำลังขับรถตรงกลับบ้านด้วยกันในเย็นวันศุกร์ที่รถแสนจะติด นี่ยังไม่ได้บอกกับอีกฝ่ายเลยว่าป๊ารู้เรื่องที่เขาทั้งคู่คบกันแล้ว เพราะท่านขอเอาไว้ว่าขอเป็นฝ่ายพูดกับพี่เอสเอง
“หืม? มีเรื่องอะไรน่ะ?” คนพี่ถามด้วยความสงสัย
“ไม่รู้ดิ” ตี๋ปด ที่จริงเขาไม่ชอบพูดโกหกใครอยู่แล้ว เลยทำให้รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน แต่ในเมื่อรับปากป๊าไว้แล้วว่าจะไม่บอก ก็ต้องทำตาม
“งั้นเหรอ” เอสตอบ ท่าทางสบายแบบไม่ได้คิดอะไรมาก ช่วงนี้เรียกว่าชีวิตค่อนข้างลงตัว ทั้งเรื่องครอบครัว งาน และความรัก เลยไม่มีอะไรให้เจ้าตัวไม่สบายใจ
“วันนี้มีอะไรกินเนอะ”
“เห็นม๊าบอกว่ามีน้ำพริกกะปิ แกงส้มชะอมไข่ทอด แล้วก็หมูทอดกระเทียม ปลากะพงนึ่งซีอิ้ว ผัดฟักทอง”
เอสร้อง “วันนี้กับข้าวเยอะจัง แถมมีของโปรดพี่ด้วย” เจ้าตัวพูดอารมณ์ดีที่จะได้กินของโปรด ทุกวันนี้ต้องบอกว่าทั้งป๊าและเขามีชีวิตรอดด้วยกับข้าวของบ้านตี๋แท้ ๆ
“ช่าย” ตี๋ตอบรับอย่างอารมณ์ดี เมื่อวานม๊าเข้ามาถามเขาเองว่าพี่เอสชอบกินอะไรบ้าง วันนี้กับข้าวเยอะแบบนี้ ต้องมีอะไรพิเศษแน่เลย
“ดีจัง ไม่ได้กินมานานแล้ว” แค่นึกถึงท้องก็ร้องขึ้นมาเบา ๆ ไม่ได้นึกแปลกใจอะไร
กว่าทั้งคู่จะถึงบ้านได้ก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม เอสตรงไปที่บ้านของตี๋เลย ไม่ได้แวะเข้าบ้านตนเองก่อน และโทรบอกป๊าไว้แล้ว หารู้ไม่ว่าท่านเองก็กำลังรออยู่กับครอบครัวของตี๋อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
เอสเดินตามคนน้องเข้าบ้าน แต่ก็ต้องตกใจเพราะว่านอกจากจะเจอครอบครัวของตี๋แล้ว ก็ยังเจอคนของที่บ้านตัวเองนั่งอยู่ที่โซฟาอีก
“อ้าว” เจ้าตัวร้อง “ป๊ามาได้ไงอะ?”
“กูก็เดินมาสิ” ท่านตอบหน้าตายิ้มแย้ม ชอบใจที่ได้กวนประสาทลูกชาย
“ไม่ใช่ละ” เอสส่ายหน้า “ป๊ามาทำอะไรที่นี่?”
“นั่งก่อน ๆ” ป๊าของตี๋เรียกให้ทั้งคู่นั่งลง “หิวมากไหมเนี่ย?” ท่านถามหลังจากที่ทั้งคู่นั่งลง และก็ได้คำตอบเป็นการพยักหน้าหงึกหงักจากทั้งสองคน
“อดทนไปสักพักแล้วกันนะ” ป๊าพี่เอสพูดต่อ
ทั้งเอสและตี๋หันมามองหน้ากันงง ๆ ถึงตอนนี้คนพี่เริ่มรู้แล้วว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ผู้ใหญ่อยู่กันครบขนาดนี้ เขากวาดสายตามองทุกคนก่อนจะถาม
“มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ?”
“เจ็กรู้แล้วนะว่าเราน่ะคบอยู่กับตี๋มัน”
คนที่เพิ่งรู้ความจริงเกิดอาการใบ้กินขึ้นมาทันที เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปถึงจะเข้าท่า ตาสวยมองสบตากับป๊าของตี๋ เขาไม่ได้กลัวหรอก แต่ก็เกรงใจ เพราะรู้ว่าความรักในลักษณะนี้ของเขากับตี๋ก็ไม่ได้เป็นที่ยอมรับของสังคมอะไรมากนัก
“ครับ” เขาตอบออกไปสั้น ๆ
“ถามตรง ๆ เลยนะ เราจริงจังกับลูกชายของเจ็กมากแค่ไหนกัน?”
“ชีวิตนี้ผมไม่เคยจริงจังกับใครมาก่อน จนกระทั่งได้กลับมาพบตี๋อีกครั้ง” เขาตอบทันทีด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและสายตาที่จริงจัง “ก่อนหน้านี้ผมอาจจะไม่ใช่คนที่ดีนัก แต่กับตี๋แล้วผมจะเป็นคนดีที่สุดครับ”
ป๊าของตี๋รับรู้ได้ถึงความจริงจังที่อีกฝ่ายมีให้กับลูกชายของเขา และตนก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องโกหก ดูได้จากสายตาที่หนักแน่นมั่นคง ท่านยิ้มออกมาบาง ๆ ด้วยความพอใจกับคำตอบและท่าทางของเอส ตอนนี้เขาไม่มีอะไรสงสัยในตัวของอีกฝ่ายแล้ว และพร้อมที่จะยกลูกชายที่เขารักให้เอสดูแลต่อ
“งั้นเจ็กฝากเราดูแลตี๋มันด้วยนะ”
เอสไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนตรงหน้าจะยอมรับได้ง่ายดายแบบนี้ ก่อนหน้าเขาคิดว่าคงไม่ได้ผ่านด่านท่านแบบง่าย ๆ แน่ ก็เลยเตรียมใจเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้คิดวิธีรับมือกับเรื่องที่จะเกิดขึ้น เรียกได้ว่าขอไปตายเอาดาบหน้าเลยจะดีกว่า
พอผลมันออกมาเป็นแบบนี้ ก็ทำเอาเขารู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก แล้วยิ่งท่านไว้ใจฝากฝังให้เขาได้ดูแลลูกชายคนเล็กของท่านแบบนี้ก็ทำให้ตนรู้สึกซึ้งใจมาก
“ผมรับปากว่าจะดูแลให้ดีที่สุดครับ”
“บางครั้งน้องอาจจะดื้อไปบ้างก็ดุได้เลยนะจ๊ะ” ม๊าพูดยิ้มอ่อนโยน เอสยิ้มขันเหล่มองคนนั่งข้างกาย
“ตี๋ไม่ดื้อสักหน่อย” ลูกชายเถียง
“แถมยังเถียงเก่งอีกต่างหาก”
“ม๊าอะ!”
“ไม่ต้องกังวลไปนะ ตี๋มันเป็นเด็กดี ตอนนี้อั๊วะก็รักมันเหมือนลูกอีกคนไปแล้ว” ป๊าของเอสบอก
“ขอบคุณเฮียที่เอ็นดูนะคะ”
“ต่อไปนี้เอสก็เรียกพวกเราว่าป๊ากับม๊าได้แล้วนะ”
“ครับ” เจ้าตัวตอบรับด้วยความอบอุ่นในหัวใจ ตั้งแต่เด็กแล้วที่เขาโหยหาคำว่าครอบครัวมาตลอด ตอนนี้เหมือนกับส่วนที่ขาดหายไปถูกเติมเต็ม สำหรับคนอื่นครอบครัวที่เขามีตอนนี้มันอาจจะดูไม่เหมือนปกติทั่วไปอย่างที่เขาเป็นกัน แต่สำหรับเขา...แค่นี้ก็ดีที่สุดแล้ว
“ว่าแต่ว่า...อาฮง” ป๊าของเอสเรียก “ลื้อคิดค่าสินสอดเท่าไหร่วะ?”
“ป๊า!” ตี๋ร้อง แก้มขึ้นสี “ตี๋ไม่ใช่ผู้หญิงนะ”
“ไม่ต้องหรอกเฮีย ช่วงนี้มันยังเรียนอยู่ อย่าลืมคุมกำเนิดก็พอ” ทางป๊าของตี๋เองก็เล่นด้วย
“ป๊าาาาา!!!” ตี๋โวยวายเรียกรอยยิ้มจากทุกคน ถึงแม้จะอายแต่ก็รู้สึกดี เพราะถ้าคนพ่อพูดเล่นแบบนี้ได้ก็แสดงว่าในใจไม่ได้คิดอะไรมากแล้ว
“เสียงดัง” คนเป็นพ่อว่า
“ก็ดูป๊าพูดดิ” ตี๋ทำหน้ามุ่ย “ตี๋ไม่ใช้ผู้หญิงนะ”
“กูก็ไม่ได้บอกว่ามึงเป็นผู้หญิง”
เห็นใบหน้ายิ้มยียวนของป๊าแล้วก็ทำให้ตี๋ฮึดฮัด “หิวข้าวโว้ย!” เจ้าตัวพูดขึ้นเสียงดังก่อนจะลุกขึ้นเดินหนีไปเลย ทำเอาทุกคนหัวเราะกับท่าทีบ่ายเบี่ยงของเจ้าตัว
“เอสก็ยังไม่ได้กินข้าวเลยนี่” ม๊าถาม เอสพยักหน้ารับ “งั้นไปกินข้าวด้วยกันเนอะ”
“ทุกคนก็ยังไม่ได้กินเหรอครับ?”
“ใช่จ้ะ วันนี้เป็นวันพิเศษที่เรามีลูกชายเพิ่มอีกคน ก็เลยต้องฉลองกันหน่อย...ใช่ไหมเฮีย?” เธอหันไปถามสามีที่หันมองหน้าเหวอหลังจากที่เธอหันไปถาม
“ใช่จ้ะที่รัก” สุดท้ายก็ตอบไปด้วยความเกรงภรรยาที่ยิ้มหวานให้เขาอยู่ ถึงแม้ว่าจะเห็นเอสมาแต่เล็กแต่น้อยก็รู้สึกประดักประเดิดที่ต้องอยู่ในสถานะนี้อยู่ เขาคิดว่าคงต้องใช้เวลาปรับตัวสักระยะ
/
“นี่พี่รู้เรื่องนี้เป็นคนสุดท้ายเลยเหรอเนี่ย?” เอสถามในขณะที่พวกเขากำลังเดินขึ้นไปชั้นสองของบ้าน
ตี๋หยุดเดิน หันมายิ้มแห้ง ๆ “แฮะ ก็ใช่”
“ไอ้ตัวแสบเอ๊ย” คนพี่ส่ายหน้าปลงก่อนจะดันแผ่นหลังบางของตี๋ให้เดินต่อไป
“ก็ป๊าขอเอาไว้ว่าไม่ให้ตี๋พูดนี่” พอทั้งคู่เข้าไปในห้องตี๋ก็บอกเสียงอ้อน เจ้าตัวเข้าไปกอดเอวอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง เกยคางเข้ากับไหล่หนา
“น่าจะให้พี่ได้เตรียมตัวหน่อย รู้มั้ยว่าหัวใจพี่เกือบวายแหนะ” เอสบอกติดตลก
ตี๋หัวเราะคิกคัก “ก็ไม่เห็นจะตายสักหน่อย”
เอสพลิกตัวกลับมามองใบหน้าขาวของคนรัก “ถ้าพี่ตายเราก็เป็นม่ายสิ”
“โว๊ะ!” คนน้องเบือนหน้าหนีคนที่หมายจะเข้ามาหอมแก้ม “ม่ายบ้าอะไรล่ะวะ” เจ้าตัวโวยวาย
“อ้าว นี่ป๊าเราก็รับพี่เป็นลูกเขยแล้วไม่ใช่เหรอไง”
“ไม่ใช่ ‘ลูกเขย’ โว้ย ‘ลูก’ เฉย ๆ” ตี๋เน้นย้ำทีละคำเอานิ้วจิ้มจมูกโด่งของคนตรงหน้าออกไป
“ก็เหมือนกันนั่นแหละน่า” เขายิ้มขัน “มาให้พี่หอมสักทีสิ”
ตี๋ทำหน้ามุ่ยก่อนจะหยุดดิ้น ยอมให้อีกฝ่ายก้มลงหอมแก้มแต่โดยดี เขาโดนหอมซ้ายหอมขวาเหมือนกับที่ม๊าทำไม่มีผิด พอคิดแบบนี้แล้วก็อดที่จะหลุดขำออกมาไม่ได้
“หัวเราะอะไรหืม?”
“พี่ทำเหมือนเวลาที่ม๊าหอมตี๋เลย”
เอสชะงักไปกับสิ่งที่ตี๋พูด “เดี๋ยวจะทำไอ้สิ่งที่ไม่เหมือนกับม๊าให้ดู”
“เดี๋ยว…!” ตั้งใจจะร้องห้ามเพราะรู้ว่าเอสจะทำอะไร แต่ก็โดนอีกฝ่ายจับคางแล้วบีบเบา ๆ ทำเอาพูดอะไรไม่ออก
“ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธนะครับ” เมื่อเห็นว่าตี๋ไม่มีท่าทีจะขัดขืนอีก เขาก็กดจูบลงที่ริมฝีปากสีสวยของอีกฝ่ายเบา ๆ “กลิ่นน้ำพริกกะปิหึ่งเลยอะ”
“ตี๋จะบอกแล้วแต่พี่ไม่ฟังเองนี่” เจ้าตัวบอกหัวเราะ “ไปอาบน้ำด้วยกันไหม?” ตี๋ชวน แต่ไม่ได้มีความหมายที่ลึกซึ้งอะไรหรอกนะ แต่เพราะเห็นกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เลยทำให้ไม่รู้สึกเคอะเขินในเวลาที่ต้องเปลือยต่อหน้าอีกคนก็เท่านั้นเอง
จากครั้งนั้นที่เขาทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น หลังจากนั้นก็ยังมีครั้งต่อ ๆ มาอีก แต่ก็เป็นแค่การสัมผัสภายนอกเหมือนเดิม เอสยังไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น เพราะเขาอยากให้ครั้งแรกของตี๋เต็มไปด้วยความประทับใจ ไม่อย่างนั้นแล้วน้องคงจะเข็ดไม่กล้าทำอีกแน่
“อาบด้วยกันเฉย ๆ เหรอ?”
ตี๋ถลึงตาใส่คนที่พูดจาด้วยใบหน้าทะเล้น “ทะลึ่ง!” ถึงแม้ว่าจะไม่เขินเรื่องเปลือยต่อหน้ากันและกัน แต่ใช่ว่าเขาจะคุ้นชินกับเรื่องนั้น
เอสหัวเราะออกมาหลังจากที่โดนอีกฝ่ายแหกตาใส่อย่างอารมณ์ดี เขาปลดกระดุมนักศึกษาของตี๋ออกทีละเม็ด อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้เอื้อมมือมาปลดของเขาออกบ้าง พอเสื้อผ้าอาภรณ์หลุดหมด เขาก็เป็นฝ่ายดึงตัวของตี๋เข้าห้องน้ำไป
“ไม่ได้สระผมมากี่วันแล้วเนี่ย?” ถามพลางจับผมของอีกฝ่ายขึ้นมาดมแล้วก็ได้แต่ย่นจมูก
“สาม”
คนพี่ส่ายหน้า จับไอ้คนซกมกตรงหน้าสระผม เขาชอบผมของตี๋ เพราะมันทั้งหนา ดำขลับราวขนกา และนิ่มมือ ตอนนี้เจ้าตัวไว้ผมตามที่เขาขอเอาไว้ และมันก็ยาวจนเริ่มประบ่าแล้ว
“สบายจัง” ตี๋หลับตาพริ้มยามโดนนวดศีรษะ “ขอบคุณมากนะพี่”
“หืม?”
“ขอบคุณที่ดูแลตี๋อย่างดีมาตลอดเลย”
เอสหัวเราะเสียงเบา “เล็กน้อยน่า” ลงมือเอาน้ำล้างแชมพูออกจากหัวของอีกฝ่าย
“มาตี๋ฟอกสบู่ให้” เขาหมุนตัวกลับมา กดสบู่เหลวถูลงกับตัวของเอสที่มีกล้ามเนื้อมากกว่าเขาที่ผอมแห้งเหลือเกิน “ทำยังไงถึงจะตัวใหญ่แบบพี่เนี่ย?”
“กินให้เยอะ ๆ สิ” เอสบอกติดตลกทั้ง ๆ ที่ก็เห็นอยู่ว่าตี๋กินเก่งมากแค่ไหน
“แค่นี้ยังกินเยอะไม่พอเหรอ” เจ้าตัวพูดหน้ามุ่ย
มือใหญ่เลื่อนไปลูบที่หน้าท้องแบนราบของคนตัวขาว “ต้องกินให้เยอะกว่านี้นะ...ลูกเราจะได้แข็งแรง”
คนอายุน้อยกว่าชกเข้าที่ต้นแขนของคนพูดเต็มแรงจนเจ้าตัวร้อง ‘โอ๊ย’ ด้วยความเจ็บ เพราะยังไงตี๋ก็แรงผู้ชาย ย่อมไม่เบาอยู่แล้ว
“เอาอีกมะ?” ถามพร้อมกับชูกำปั้นขึ้น
“ไม่แล้วจ้า” เอสพูดลูบแขนตัวเองป้อย ๆ เห็นตี๋หน้างอไม่หายสักที เขาก็เลยจุ๊บปากไปหนึ่งที “โกรธพี่เหรอ”
“ไม่ได้โกรธ” ตอบพลางฟอกสบู่ตัวเองไปเรื่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นเอสหน้าตาหมองไปเลย สงสัยคงจะคิดว่าเขาโกรธจริง “บอกว่าไม่โกรธก็ไม่โกรธสิ” ตี๋บอกคว้าฝักบัวขึ้นมาล้างตัวให้ทั้งตัวเองและอีกฝ่าย กลายเป็นว่าต้องมาปลอบอีกคนแทนซะอย่างนั้น
เอสดึงตี๋เข้าไปกอด “พี่ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร ตี๋ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธ” เขาลูบแผ่นหลังกว้างอีกฝ่ายเป็นการปลอบโยน
คนพี่ถอยออกมามองใบหน้าของคนที่เขารักมาก ประทับจูบลงไป เมื่ออีกฝ่ายเผยอปากรับจูบนั้นตามความเคยชิน เอสก็สอดเรียวลิ้นเข้าไปเกี่ยวพันกัน นานหลายสัปดาห์แล้วที่เขาทั้งคู่ไม่ได้ลึกซึ้งกันแบบนี้ มันเลยทำให้อารมณ์ของเขาจุดติดง่ายมาก
พวกเขาสองคนพากันออกมาจากห้องน้ำ ในนั้นเต็มไปด้วยไอร้อนที่กรุ่นออกมาจากตัวพวกเขา แม้ว่าตี๋จะไม่ใช่พวกที่ชื่นชอบอะไรในเซ็กซ์นัก แต่ยังไงเจ้าตัวก็ยังคงเป็นวัยรุ่นที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน เมื่อโดนกระตุ้นก็ย่อมเกิดความต้องการอยู่ดี
ทั้งคู่ต่างช่วยกันปลดปล่อยอารมณ์ซึ่งกันและกัน อันที่จริงคนที่เคยผ่านประสบการณ์มีเซ็กซ์มาอย่างโชกโชนอย่างเอสก็มีอึดอัดบ้างที่ไม่ได้ปลดปล่อยอย่างที่มันควรจะเป็น แต่เขาจะรอให้อีกฝ่ายพร้อมจริง ๆ แล้วเท่านั้น จะไม่มีการร้องขอหรือเร่งเร้าอีก
ผู้ชายตัวเปียกสองคนกอดรัดกันบนที่นอน เอสเป็นฝ่ายอยู่ด้านบน เขาจับขาเรียวขาวของตี๋อ้าออกเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น คนด้านใต้หน้าแดงคอแดงไปหมด
“เขินเหรอ?” เอสถามเย้า
“ไม่ได้ด้านเหมือนพี่นี่” ตอบเสียงพร่า หันหนีหลบสายตาของอีกฝ่ายที่สื่อออกมาว่าต้องการเขามากแค่ไหน เขารู้...ไม่ใช่ว่าไม่รู้ เพียงแต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้เท่านั้น
เอสหัวเราะในลำคอ จู่ ๆ ก็อยากจะสอนบทเรียนใหม่ให้กับตี๋ ที่ทำทุกวันนี้มันก็แค่ต่างคนต่างช่วยกันปลดปล่อย เขาจะทำไอ้สิ่งที่มันน่าอายกว่านี้มากขึ้นไปอีก เอสจับขายาวของตี๋ให้เข้ามาชิดกันเหมือนเดิม จับวางบนบ่าข้างหนึ่งและกอดเอาไว้ด้วยแขนข้างเดียว
ตี๋ทำหน้างง “ทำไรอะ?”
“ทำให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้นไปอีกขั้นไง” เห็นคนด้านใต้ขมวดคิ้วหน้าตาไม่เข้าใจ เขายิ้มก่อนจะบอก “หุบขาให้ชิดกันไว้นะ” เอสดันความเป็นชายที่ร้อนจนแทบระเบิดเข้าไปที่ระหว่างขาทั้งสองข้าง ขยับเสียดสีกับส่วนสำคัญของตี๋ที่ก็ร้อนไม้แพ้กัน
ตี๋ตกใจจนพูดไม่ออก ยอมรับว่ามันก็รู้สึกวาบหวามและเสียวดี แต่ในใจลึก ๆ แล้วเขายังคงมีความรู้สึกกระดากที่จะต้องทำเรื่องนี้กับผู้ชายอยู่นิดหน่อย แต่เพราะเป็นเอส...คนที่สำคัญ คนที่ทำอะไรหลายอย่างเพื่อเขามากมายขนาดนี้ ไม่เคยมีแม้สักครั้งที่จะปฏิเสธคำขอของเขา เรื่องแค่นี้ทำไมเขาจะให้ไม่ได้
คนเราจะเอาแต่รอรับอย่างเดียวมันไม่ได้ ได้รับแล้วก็ต้องรู้จักให้ตอบแทน และเขาไม่ได้คิดว่าสิ่งนี้เป็นการฝืนใจตนเอง เพราะเวลาที่ได้ทำกับเอสก็รู้สึกดีมาก
/
“รู้สึกดีไหม?” เอสถามหลังจากเสร็จกิจ เขาทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ คนรัก ยกมือขึ้นเกลี่ยผมที่ปรกหน้าตี๋ไปทัดไว้ที่หลังหู
“ดี” เจ้าตัวตอบแก้มแดงไปหมด “แต่โคตรลามกเลยว่ะ”
คนพี่หัวเราะในลำคอเสียงต่ำ “ยังมีเรื่องลามกมากกว่านี้รอเราในวันหน้าอีกเยอะ” พูดจบก็จุ๊บเข้าที่ปลายจมูกโด่งของตี๋
พอนึกถึงเรื่องที่ว่าในวันข้างหน้าเขาจะต้องเป็นของอีกฝ่ายอย่างเต็มตัวแล้วนั้นก็ทำเอาความร้อนขึ้นมากระจุกอยู่บนใบหน้า จากที่แค่แก้มแดงก็กลายเป็นแดงไปหมดทั้งหน้าลามไปที่คอและหูอีก
“ไอ้หื่น”
เอสหัวเราะที่โดนด่า แล้วดึงตัวคนหน้าแดงเข้ามากอดเสียจนแน่น “พี่รักเรามากนะ”
“ตี๋ก็รักพี่” ตี๋หลับตาพริ้ม...เขาพูดมันได้อย่างเต็มปากว่ารักคนคนนี้เหลือเกิน และมันก็ยังคงเป็นอย่างที่เคยพูดเอาไว้ ทุกวันนี้เขาก็ยังตอบไม่ได้ว่ารักอีกฝ่ายแบบไหน
แต่ใครจะสนล่ะ...ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนเขาก็รักของเขา ในชีวิตนี้ก็คงรักใครไม่ได้เท่านี้อีกแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะมีรักแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว
“อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ เลยนะพี่”
จบ.
ขอบคุณที่ชอบและติดตามกันมาตลอดนะคะ
ตอนแรกที่เขียนเรื่องนี้...ความตั้งใจของเราคืออยากจะเขียนนิยายที่ครอบครัวเป็นจุดสำคัญของเรื่อง
"all my LOVE is for you" ชื่อเรื่องนี้สื่อได้หลายอย่าง ทั้งความรักของพี่เอสกับน้องตี๋ที่มีต่อกัน และรวมถึงความรักที่ทุกคนในเรื่องนี้มีต่อกันด้วย เรื่องนี้อาจจะไม่ได้หวือหวา...แต่เราว่าเป็นเรื่องที่อบอุ่นมาก ๆ เลย
เขียนเองยังชอบเองเลย 5555555
เราตั้งใจที่จะเขียนเรื่องนี้มาก ๆ เพราะห่างหายจากการเขียนนิยายไปหลายปี กว่าจะเข้าที่เข้าทางได้ก็ลำบากพอสมควรเลยค่ะ
เรื่องนี้จะมีการรวมเล่ม ถ้าใครสนใจก็กดติตามได้ที่เพจนะคะ
https://www.facebook.com/gandastory/ฝากติดตามนิยายเรื่องต่อไปด้วยนะคะ