▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)  (อ่าน 54649 ครั้ง)

ออฟไลน์ กานดา.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
    • facebook page
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.13 หน้า 2 [up:31/05/2018]
«ตอบ #60 เมื่อ31-05-2018 20:46:53 »



13



“ยอมรับเถอะ...ว่ามึงน่ะหวงไอ้เอสมัน”
   
“ไม่ได้หวงซะหน่อย” ตี๋พยายามเถียงข้าง ๆ คู ๆ ทั้งที่ตอนนี้แก้มทั้งสองข้างเริ่มแต้มสีแดงระเรื่อ
   
“เด็กเอ๊ย...ป๊าผ่านโลกมามากกว่ามึงเยอะนะ”
   
“...” เจ้าตัวหุบปากเงียบ แต่ก็ยอมเดินตามแรงดึงไป อีกฝ่ายคงอาจจะอยากให้เดินไปคุยไปมากกว่า
   
“ไม่ต้องไปคิดอะไรมากหรอก เป็นธรรมดาที่คนเราจะหวงคนที่รักไม่อยากให้ใครมายุ่งหรือสนใจ ยิ่งพอมีใครให้ความสนใจกับคนรักของเรา เราก็ยิ่งเกิดความกังวลหรือกลัว ที่สำคัญคือเราต้องควบคุมมันไม่ให้ไปทำลายความสัมพันธ์ระหว่างกัน...มึงเชื่อใจไอ้เอสมันไหมล่ะ?”
   
“เชื่อครับ” ตี๋ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ตั้งแต่เริ่มคบเป็นแฟนกันมา ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาไม่เชื่อใจหรือสงสัยในตัวอีกฝ่าย เอสทำให้เขาเชื่อมั่นเต็ม 100 % กลับกันคงเป็นตัวเขาเองที่ไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ ขนาดแค่เรื่องง่าย ๆ อย่างการบอกรัก ก็มีแต่อีกคนที่เป็นฝ่ายบอกตลอดมา

ทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้สึกรักไม่ต่างจากอีกฝ่าย แต่ก็ไม่เคยพูดกล่าวออกมาเลยแม้สักครั้ง

“ถ้าเชื่อในตัวมันก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวหรือกังวล ป๊าเป็นพ่อมัน เห็นมันมาตั้งแต่เกิด เชื่อป๊าสิ...มันรักมึงจะตาย”

ทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายรักเขามากแค่ไหน แต่พอโดนคนอื่นตอกย้ำแบบนี้แล้ว..มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอาย ใบหน้าขาวของตี๋แดงก่ำปิดอาการของตัวเองเอาไว้ไม่มิด และมันก็ทำให้ป๊าของเอสยิ่งรู้สึกเอ็นดูเด็กคนนี้มากเข้าไปอีก มือใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นตบลงบนไหล่แคบของอีกฝ่ายสองสามที

“เอ้า...อย่ามัวแต่อาย เลือกขนมของมึงไป” พูดจบก็แยกตัวออกไปซื้อของที่ตนต้องการ

ทั้งสองคนใช้เวลาซื้อของในเซเว่นอยู่สักพัก ออกมาก็เจอกับคนทั้งคู่ที่ยืนรอและคุยกันอยู่ด้านหน้าแล้ว  พอเอสเห็นว่าป๊ากับตี๋เดินตรงมาเขาก็รับของจากป๊ามาถือไว้พร้อมส่งยิ้มให้กับคนรัก ซึ่งมันทำให้ตี๋เกิดอาการหน้าแดงเป็นลูกตำลึงอีกรอบ

“ทำไมถึงหน้าแดงล่ะ?” เอามือข้างที่ไม่ได้ถือของเกลี่ยแก้มใสที่ขึ้นสีของอีกฝ่ายด้วยความเคยชิน

“อากาศมันร้อน”

“ตลกแล้ว ร้อนที่ไหนกัน” เอสว่าหัวเราะเบา ๆ

“พี่ไม่ร้อนแต่ตี๋ร้อน!” เจ้าตัวพยายามแถเสียงดัง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายถามมากเรื่อง

“เป็นอะไรน่ะ มีไข้เหรอ?”

ตี๋เบี่ยงตัวหนีมือที่จะเข้ามาจับแก้มเขาอีกครั้ง “ไม่มี ๆๆ”

ในขณะที่สองคนกำลังง่องแง่งกันอยู่ คนสูงอายุที่รู้ทุกเรื่องราวก็ยืนกอดอกมองแล้วก็ได้แต่ยิ้มขันกับการแสดงของตี๋ที่พยายามจะเบี่ยงเบนความสนใจของเอส แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเป็นห่วงและยิ่งให้ความสนใจเข้าไปใหญ่

ส่วนเฟยก็มองน้องชายของตัวเองด้วยความประหลาดใจ ไม่บ่อยนักที่ตี๋จะมีอาการอายจนหน้าแดงได้ขนาดนี้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่น้องชายของตนวิ่งเข้ามาเกาะแขนแล้วจะลากให้เดินไปด้วยกัน ตัวเขาเองที่ยังอยู่ในอาการงง พอเดินช้า งก ๆ เงิ่น ๆ ไม่ทันใจมันก็หันมาด่า

“เดินเร็ว ๆ หน่อยดิวะ!”

“อะไรของมึงเนี่ย!”

“กลับห้อง!”

เอสเกิดอาการงงที่จู่ ๆ แฟนก็ลากพี่ชายที่ตัวเล็กกว่าเดินหนีออกไป ก็รู้อยู่แก่ใจหรอกนะว่าตี๋เป็นพวกเข้าใจยาก แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะยากขนาดนี้ หรือ...เป็นเขาที่โง่เอง มือใหญ่ยกขึ้นเกาหัวแกรก ๆ ไม่รู้จะทำยังไงดี

“หึ ๆๆ”

“หัวเราะอะไรอะ?”

“ก็หัวเราะควายอย่างมึงไง”

ลูกชายคนเดียวทำหน้าไม่เข้าใจ จนเขารู้สึกอยากจะตบกระบาลมันสักที จะได้กระตุ้นสมองบ้าง

“ดูไม่ออกหรือไงว่าน้องมันอาย”

“อาย?”

“เฮ้อ กลับห้องก่อน เดี๋ยวกูค่อยเล่าให้ฟัง”




++++++++++




“ไรของมึงเนี่ย!”

เฟยโวยวายทันทีที่ถึงห้องพัก หอบหายใจด้วยความเหนื่อย แก้มแดงไม่ได้ต่างไปจากน้องชายของตัวเอง ก็มันลากเขาให้เดินตามมันที่ขายาวกว่า แถมเดินเร็วอย่างกับควายหาย ไม่เหนื่อยก็ให้มันรู้ไป

“เป็นส้นตีนไรหา!”

เมื่อเห็นว่าตี๋ไม่ตอบก็เดินไปเอาเท้าสะกิดขามันที่นอนห้อยขาอยู่บนที่นอนหอบแฮก จริง ๆ อยากจะเตะหน้าแข้งมันด้วยซ้ำไป แต่เห็นขาเท่าตะเกียบแล้วก็สงสาร

“กูเหนื่อย” เจ้าตัวพูดเสียงแผ่ว

“กูไม่เหนื่อยมั้ง”

“นอน ๆๆ” แขนยาวตบลงบนที่นอนข้างตัวเพื่อให้พี่ชายลงมานอนข้างกัน ได้ยินเสียงถอนหายใจหนึ่งฝืดแล้วที่ข้างตัวก็ยวบลง

“ไม่รู้จะรีบเดินทำห่าไร ก็รู้อยู่ว่ากูขาสั้นกว่ามึง”

“โทษที”

เฟยชะงักไป ปกติแล้วมันไม่เคยขอโทษเขาง่ายที่ไหน นี่มันผิดปกติชัด ๆ “สรุปว่ามีอะไร?”

“...เปล่า ไม่มีอะไรหรอก แค่จะรีบกลับมากินขนม กูหิว”

“ตลกละ เพิ่งแดกข้าวไป” เขาสะบัดหลังมือใส่ท้องคนนอนข้าง ๆ ให้มันสะดุ้งเล่น ไม่ได้เจ็บอะไรหรอก สองพี่น้องนอนหอบหายใจข้างกันโดยที่ไม่มีเสียงพูดคุยอะไรออกมาอีก เพราะทั้งคู่เป็นคนที่ไม่เล่นกีฬาเลยอาจจะทำให้เหนื่อยง่ายและนานกว่าพวกที่เล่นกีฬา

“มึงมีอะไรจะบอกกูไหม?” คนเป็นพี่เปรย ไม่ได้ใช้น้ำเสียงบังคับอะไร

ตี๋เงียบ ไม่ได้ตอบคำถามของพี่ชาย ความเป็นจริง...ถ้าเฟยถามแบบนี้ในเวลาปกติก็คงจะโดนตนด่าว่าเสือกไปแล้วเรียบร้อย แต่เพราะตอนนี้ตี๋เองก็ไม่ได้เป็นปกติ หลายเรื่องราวในหัวตอนนี้มันตีกันยุ่งไปหมดจนไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี

คนน้องเงียบไปนานจนพี่ชายเริ่มถอดใจคิดว่ามันคงไม่อยากจะพูดอะไรตอนนี้ และเขาก็คงจะไม่ทู่ซี้ถามต่อ เฟยคิดว่าอยากจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ เหงื่อออกจนเหนียวตัวไปหมด แต่ก็ยังขี้เกียจอยู่เลยนอนต่อไปเรื่อย ๆ ก่อน

“นี่”

คนถูกเรียกเหลือบมองคนข้างกาย “ว่า?”

ตี๋เงียบลงไปอีก กำลังชั่งใจว่าจะพูดดีหรือไม่ คราวนี้ใช้เวลาคิดไม่นานนักเขาก็ตัดสินใจได้ อาจจะเพราะความอึดอัดที่มีอยู่มันมากจนเก็บไว้แทบไม่ไหว อย่างน้อยก็ขอให้ได้พูดออกมานิดหน่อยก็ยังดี ซึ่งคนที่เขาเลือกจะพูดด้วยก็คือพี่ชายเพียงคนเดียว

“ถ้าเกิดกู...” เม้มปากด้วยความตื่นเต้น “ถ้าเกิดว่ากูคบผู้ชาย มึงจะคิดยังไงอะ?”

เฟยค่อนข้างแปลกใจเพราะด้วยไม่คิดว่าน้องชายของเขามันจะเป็นฝ่ายเปิดอกพูดเรื่องนี้ก่อน ตอนแรกเขาคิดว่าจะต้องเป็นคนที่ต้องเอ่ยปากถามมันก่อนเสียอีก บอกตามตรงว่าเขาก็ไม่รู้ว่าจะคิดกับเรื่องที่มันถามยังไงดีเหมือนกัน อาจจะเพราะรู้ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องสมมติ เพราะทั้งเอสและตี๋ก็ไม่ได้มีท่าทีปกปิดเรื่องนี้สักเท่าไหร่นัก

“เงียบไมวะ?” พอเห็นทางพี่ชายเงียบไปเขาก็เลยมีความกังวลเลยเนี่ย

“ก็กำลังคิดนี่ไง”

“แล้วคิดได้ยัง?”

“ยังเลย”

“เฮ้ย กูแค่สมมติ มึงไม่ต้องจริงจังสิวะ”

“ก็เพราะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องสมมติไง กูถึงต้องจริงจัง”

ทันทีที่เฟยพูดจบด้วยเสียงเรียบ ๆ ตี๋ก็กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหันมาทางเขาทันที ดวงตาตี่ ๆ นั่นเบิกกว้างขึ้นด้วยความคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรู้

“มึงรู้?!”

คนเป็นพี่ลุกขึ้นนั่ง สีหน้าไม่ได้แสดงความรู้สึกใดออกมา

“ทำไมมึงไม่ปฏิเสธ?”

“...”

“ทำไมไม่ปฏิเสธว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงล่ะ?”

“ก็เพราะมันเป็นเรื่องจริง กูถึงไม่ปฏิเสธ”

ตี๋เงียบไป เขาใช้ความคิดอยู่ไม่นานก่อนจะตัดสินใจพูดความจริงออกไปดีกว่าที่จะมานั่งปกปิด ไหน ๆ ก็รู้ความจริงแล้ว ก็ไม่ต้องสมมติอะไรให้มากความ แล้วการที่เขาคบกับพี่เอสก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดีหรือเสียหาย ถึงแม้ตอนแรกจะตกใจ..แต่พอคิดดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเลย ถ้าอีกฝ่ายจะไม่เห็นด้วยก็เรื่องของมันสิ เขาไม่สนใจหรอก

สองพี่น้องนั่งจ้องหน้ากันอย่างไม่ลดละ แต่สุดท้ายคนพี่ก็เป็นฝ่ายหลบตาก่อน ตามมาด้วยการถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหนักอกหนักใจ และเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน

“ถ้าถามว่ากูรู้ได้ยังไง..ไม่ยากเลย พี่เอสแม่งเล่นแสดงออกว่ามึงเป็นของเขาขนาดนั้น ให้คนโง่กว่ากูก็ยังดูออกเลยว่ามึงกับเขาไม่ใช่แค่พี่น้องปกติแน่ ๆ แล้วเรื่องที่ถามว่ากูคิดยังไง..ถ้ามึงคบผู้ชาย บอกตามตรงว่าตอนนี้กูก็ไม่รู้ว่าควรจะคิดหรือรู้สึกกับเรื่องนี้ยังไงดีเหมือนกัน เพราะงั้นกูก็ยังให้คำตอบมึงไม่ได้ว่ะ”

หลังจากฟังพี่ชายที่พูดความในใจออกมาเสียยาวเหยียด ก็ทำให้ได้รู้ว่าไอ้พี่เอสนี่มันร้ายจริง ๆ ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกตัวเลยว่าพี่มันแสดงอะไรแบบนั้น แบบนี้ต้องจัดการหน่อยแล้ว ฮึ่ม! ส่วนอีกเรื่องเขาก็เข้าใจว่ามันกะทันหันตัวเฟยเองก็คงต้องใช้เวลาคิดสักหน่อย

“กูเข้าใจ คิดได้เมื่อไหร่ก็บอกนะ”

“เออ” เฟยยิ้มบาง นาน ๆ ทีจะเห็นตี๋มันทำตัวเชื่องแบบนี้ ปกติแล้วทำตัวกวนตีนหน้ามึนได้ตลอดเวลา

“ยิ้มห่าอะไร”

“เปล่า ไปอาบน้ำได้แล้วไป พรุ่งนี้ขึ้นดอยอีก มึงเมาอ้วกแตกแน่” พอเขาพูดจบมันก็ทำหน้าเหยเกทันที สงสัยว่าคงจะกลัวไปก่อนล่วงหน้าแล้ว ทั้งที่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเมาหรือไม่ เพราะป๊าของพวกเขาก็ไม่เคยพาขึ้นดอยขึ้นเขาเพื่อไปเที่ยวมาก่อน

“เอาน่า ไม่ลองไม่รู้ มึงอาจจะไม่เมาก็ได้” เขาตบไหล่มัน

“ขอให้จริงเถอะ สาธุ” ตี๋พนมมือสูงท่วมหัวก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดกระเป๋า หยิบเอาของใช้ส่วนตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

 พอเห็นน้องชายเดินหายไปเขาก็ทิ้งตัวลงนอนหงายอย่างคิดหนัก ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตี๋มันจะเป็นเกย์ ไม่สิ..มันก็ไม่ได้บอกว่ามันเป็นเกย์เสียหน่อย แต่ผู้ชายที่คบกับผู้ชายด้วยกันมันก็เรียกแบบนั้นไม่ใช่เหรอ ประเด็นคือเขาก็ต้องมาคิดว่าจะให้คำตอบมันยังไงดี

...แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
มันก็ยังคงเป็นน้องชายคนเดียวของเขาอยู่ดี...




++++++++++




“แล้วป๊าไปพูดอะไรกับตี๋อะ น้องถึงได้หน้าแดงขนาดนั้น” เอสถามขณะที่กำลังเช็ดผมที่เปียกชื้นของตัวเอง

คนเป็นพ่อที่เอนหลังลงไปนอนเรียบร้อยพลิกตัวมองลูกชาย สายตาแสดงความขบขันอย่างปิดไม่มิด บางครั้งเอสมันก็โง่อะไรของมันก็ไม่รู้ เรื่องที่ควรจะฉลาดทำไมถึงไม่ฉลาดนะ

“ก็ไม่อะไร แค่ไปสะกิดต่อมมันนิด ๆ หน่อย ๆ”

“ต่อมอะไรของป๊า?”

“มึงไม่รู้หรือไงว่าทำไมตี๋มันถึงหน้าบูดตอนอยู่ในร้านข้าว”

“ก็เพราะไม่รู้น่ะสิ ถึงได้ถาม แล้วป๊ารู้เหรอ?”

“ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก แต่ถ้าเป็นมึงถามมันก็คงไม่ยอมบอกว่ามันหงุดหงิดเรื่องอะไร”

เอสขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ ทำไมป๊าถึงพูดแบบนั้น บอกตามตรงว่าหลายเรื่องเขาก็ตามทันคนรัก แต่บางอย่างเขาก็ไม่รู้จริง ๆ เพราะตี๋เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาสักเท่าไหร่นัก

“มันก็แค่หวงมึงน่ะ”

“หะ- หวง?” เขาไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่คนเป็นพ่อพูดเลยสักนิด

“พอดีมันเห็นสาว ๆ มองมึงกันตาเชื่อมเลยน่ะสิ แถมซุบซิบ ๆ อะไรกันไม่รู้ ถึงมันจะฟังไม่ออกก็เถอะ แต่ก็คิดไปเองว่าพูดเรื่องมึง ตอนแรกมันก็ไม่ยอมรับตัวเองหรอกว่ามันหวงมึง แต่พอกูจี้โดนจุดมันก็ต้องยอมรับจนได้นั่นแหละ”

“...”

เอสฟังป๊าพูดเงียบ ๆ จนท่านเล่าจบไปแล้วเขาก็ยังเงียบ เพราะไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะมีความสำคัญกับตี๋ขนาดไหน พอรู้แบบนี้แล้ว เขารู้สึกดีใจจนเหมือนกับหัวใจมันพองคับอกไปหมด ความรู้สึกที่ได้รู้ว่าตัวเองมีความหมายกับอีกฝ่ายเช่นไรมันดีแบบนี้นี่เอง ถ้าตอนนี้เขาไปหาตี๋ได้ก็ดีสิ อยากจะเข้าไปกอดไปจูบให้เต็มรักเลย

“เฮ้ย” คนเป็นพ่อเรียกลูกชายให้ได้สติ

“หา?”

“หยุดยิ้มตลก ๆ ของมึงได้แล้ว”

“โถ่ ป๊า..ก็เอสมีความสุขนี่นา” เจ้าตัวลูบแก้มตัวเองแก้เขิน

“กูรู้ แต่ตอนนี้ดึกแล้ว พรุ่งนี้มึงยังต้องขับรถขึ้นเขาอีกนะ”

ไม่ใช่ว่าอยากจะขัดความสุขของลูกชายตัวเองหรอก แต่ตอนนี้ก็ดึกมาก เขาก็อยากจะให้มันได้พักผ่อนเต็มที่ เพราะวันนี้มันขับรถทางไกลมาทั้งวันแล้ว และการขับรถขึ้นเขามันก็ไม่ใช่ง่าย เลยอยากให้มันมีสติเยอะ ๆ กับการเดินทางในวันพรุ่งนี้

“ครับ ๆๆ” เอสเดินไปปิดไฟให้เรียบร้อยแล้วจึงมาล้มตัวลงนอนที่เตียงอีกฝั่ง ทั้ง ๆ ที่เขาควรจะเหนื่อยกับการเดินทางจนทำให้หลับเป็นตายแท้ ๆ แต่เรื่องเมื่อครู่นี้มันกลับทำให้เขาคิดอะไรบางอย่างได้ แล้วมันก็ดันอยากจะรู้เอาเวลานี้ซะด้วยสิ

“ป๊า หลับยัง?”

ได้ยินเสียงถอนหายใจก่อนจะตอบ

“หลับแล้ว”

“ถ้าหลับแล้วจะตอบได้ยังไงล่ะ?”

“มึงมีอะไรอีกก็ว่ามาเลย”

“เอสถามอะไรป๊าหน่อยสิ”

“เออ ว่ามา”

“ป๊าเสียใจมั้ยที่เอสเป็นเกย์อ่ะ?”

เขารู้ว่าป๊ารับได้ที่เขาเป็น ไม่ว่าอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่เขาก็อยากจะรู้ว่าท่านเสียใจกับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน คิดว่าคงไม่มีใครที่จะยินดีที่ลูกชายคนเดียวเป็นเกย์หรอก ยิ่งเป็นคนจีนแบบป๊าแล้วด้วย อาจจะอยากได้หลานมากกว่า

“ตอนนี้ก็ไม่ได้เสียใจอะไรแล้วนะ”

เอสขมวดคิ้ว...ป๊าพูดเหมือนรู้เรื่องมาก่อนหน้านี้แล้วเลย

“นี่ป๊ารู้ว่าเอสเป็นมาตั้งแต่ตอนไหนแล้วเนี่ย?”

ท่านถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ก่อนจะตอบ “กูพ่อมึงนะไอ้เอส มึงเป็นอะไรทำไมกูจะไม่รู้ ตอนแรกก็อาจจะมีเสียใจบ้างเป็นธรรมดา แต่สุดท้ายแล้ว...มันก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่ามึงหรอก แค่มึงมีความสุขในสิ่งที่มึงเลือกที่จะเป็น แค่นี้กูก็มีความสุขแล้ว”

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพ่อกับลูกอยู่สักพัก ก่อนที่เอสจะเป็นฝ่ายพูดก่อนทั้งที่น้ำตาคลอหน่วยด้วยความซาบซึ้ง

“ขอบคุณครับ เอสก็รักป๊ามากนะ”

“เออ นอนได้แล้ว ไป”

ไม่บ่อยนักหรอกที่คนเป็นพ่อจะพูดความในใจออกมา แต่ก็เพราะเขาคิดได้ชีวิตคนเรามันสั้นนัก ไม่รู้ว่าจะจากกันไปเมื่อไหร่ พออายุมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็ไม่เห็นประโยชน์ของการทำทุกอย่างให้ได้ดั่งใจของตัวเองจนทำให้คนที่รักไม่มีความสุขก็แค่นั้นเอง




++++++++++




เช้าต่อมาทุกคนตื่นสายกว่าที่นัดหมายกันเอาไว้ ยิ่งตี๋ด้วยแล้ว อาการหนักกว่าคนอื่น ๆ เลย

“กูบอกแล้วว่ากูไม่อยากจะนอนกับมึงเลยยยย” เจ้าตัวบ่นขณะที่กำลังกินข้าวเช้า จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากกินสักเท่าไหร่หรอก แต่เพราะว่าป๊าของพี่เอสบอกให้มีอะไรอยู่ในท้องบ้างมันจะช่วยลดอาการเมารถได้ ยิ่งท้องว่างจะยิ่งเมา ด้วยความที่เป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้ใหญ่ เช้านี้เลยจัดไปสองจาน

“แค่คืนเดียว อย่าบ่นมาก” พี่ชายตอบโต้แล้วตักข้าวเข้าปากไปอย่างไม่ได้รู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องแทบไม่ได้นอน

“ตี๋ไม่ชอบเวลาที่นอนไม่พอนี่เนอะ” เอสพูด

ตี๋หันไปพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ ๆๆ”

“เอาใจกันเกินไปแล้ว” เฟยว่าทำหน้าเลี่ยน

“ก็จะทำไมล่ะ” คนเป็นน้องก็สวนทันที

“หมั่นไส้โว้ย” คนพี่ก็ตอกกลับอย่างไม่ลดราวาศอก

“พอ ๆๆ” เอสต้องเป็นฝ่ายห้ามทัพ เพราะไม่อย่างนั้นคงได้เถียงกันไปมาแบบนี้ไม่จบสิ้น แถมยังเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นเป้าสายตาคนอื่นอีก ในขณะที่ป๊าของเขาที่เป็นผู้ใหญ่สุดแทนที่จะห้ามกลับนั่งหัวเราะ

“หัวเราะอะไรของป๊าเนี่ย?”

“ก็มันตลกดี เหมือนละครลิงเลย”

ลิงสองตัวที่ว่าหันขวับมามองคนที่เพิ่งพูดประโยคเมื่อครู่ กำลังจะอ้าปากร้องแต่ก็โดนคนสูงอายุพูดขัดขึ้นเสียก่อน

“ไป ๆๆ รีบกินได้แล้ว จะได้รีบขึ้นดอยสักที”

สองพี่น้องทำปากยู่แล้วจึงก้มหน้าก้มตากินต่อ เพราะนี่ก็สายมากแล้ว เห็นว่าจะต้องเดินทางอีกประมาณสองชั่วโมงนิด ๆ กว่าจะถึงปลายทาง

พอออกมาจากร้านตี๋ก็คิดว่าคงจะต้องแวะซื้อยาดมไว้ดีกว่า ถึงจะไม่รู้ว่าตัวเองจะเมาหรือไม่เมา แต่ก็สมควรจะกันไว้ดีกว่าไม่มีทางแก้ ตอนที่ขึ้นรถเลยบอกให้แวะเซเว่นเพราะจะซื้อยาดม ป๊าเลยบอกให้ซื้อปลาสเตอร์ยามาแปะสะดือด้วย ตอนที่กำลังเลือกซื้อเลยลังเลว่าจะเอายังไงดี เพราะก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะแกล้งแหย่เขา ไอ้ปลาสเตอร์ยาเนี่ยนะ..จะช่วยอะไรได้

“ปะ ออกเดินทางได้”

“เชี่ยตี๋ มึงแม่งโคตรตลกเลย” เฟยหัวเราะลั่น

“สัดเฟย เรื่องของกู” ตี๋ด่าพี่ชายตาขวาง

สภาพของน้องเล็กในตอนนี้คือมีหมอนรองคอติดคอเอาไว้ มือซ้ายถือถุงพลาสติก มือขวาจับยาดมทิ่มเอาไว้ที่จมูก แถมยังมีปลาสเตอร์ยาที่ปิดเอาไว้ที่สะดืออีก

“นี่มันชุดออกรบใช่ไหม?”

“ป๊ากับพี่เอสหยุดหัวเราะนะ” ตี๋แว้ด แต่มันกลับยิ่งทำให้ทุกคนหัวเราะหนักเข้าไปอีก เจ้าตัวเลยได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับกลอกตาด้วยความเซ็ง

“เดี๋ยวพี่จะขับช้า ๆ นะ จะพยายามให้เหวี่ยงน้อยที่สุด”

“แบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย”

“พรูด!!” เฟยที่กำลังพยายามกลั้นหัวเราะ แต่พอเจอประโยคเมื่อกี้ของตี๋ก็ทำไม่สำเร็จ แถมยังหัวเราะเสียงดังจนน้องชายเอื้อมมือมาตีขาพี่ชายตัวเอง
“กูเกลียดมึง รอบหน้าไม่ต้องมาเลยนะ!!”

ต้องยอมรับว่าทิวทัศน์ระหว่างทางเป็นอะไรที่สวยงามมากจริง ๆ แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าตี๋ไม่เกิดอาการเมารถเข้าให้ ขนาดว่าทำทุกวิถีทางที่คิดว่าจะทำให้รอดพ้นจากอาการนี้แล้วนะ แต่ก็ไม่รอดอยู่ดี...

“กูก็ลืมบอกให้มึงซื้อยาแก้เมารถมากิน” เฟยบอกหน้าตาเหมือนจะรู้สึกผิด

“กูเกลียดมึง” น้องชายด่าเสียงเบาอย่างไม่มีแรง

“พี่ว่าเปิดหน้าต่างดีกว่า อากาศบริสุทธิ์น่าจะดีกว่าแอร์เนอะ”

สารพัดประโยคที่ช่วยพูดหาวิธีให้เขาอาการดีขึ้น เอาจริงมันก็ไม่ได้เมาขนาดอ้วกแตกอ้วกแตน แต่ก็มึนหัว...ใช้ได้เลย ตอนนี้หน้าขาวก็ยื่นหน้าออกไปโต้ลมธรรมชาติที่ลอดหน้าต่างเข้ามา อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าแอร์จริง ๆ ด้วย มือข้างขวาก็ยังคงทิ่มยาดมที่จมูกซ้ายทีขวาทีสลับกันไปเป็นระยะ ทุกคนในรถพอเห็นตี๋เมารถแบบนี้จะตลกก็ตลกไม่ออกซะแล้ว เห็นคนที่เวลาปกติหน้าก็ขาวอยู่แล้ว พอเป็นแบบนี้หน้ายิ่งซีดเข้าไปอีก

“อีกไม่นานก็ถึงแล้ว เดี๋ยวตี๋ก็พักไปเลยนะ” เอสบอก

“อือ” เจ้าตัวตอบรับเหมือนวิญญาณไม่อยู่กับร่าง

เอสขับรถไปตามจีพีเอสไม่นานก็ถึงรีสอร์ตที่จองเอาไว้ เขาเดินไปจัดการเรื่องห้องพักโดยปล่อยให้ป๊ากับเฟยคอยดูแลคนอาการไม่ค่อยจะดีอย่างตี๋อยู่บนรถไป ที่นี่เป็นรีสอร์ตเล็ก ๆ มีการตกแต่งน่ารัก แลดูเป็นกันเองดี เขาเลือกบ้านที่ตั้งติดกันสามหลัง เพื่อความสะดวกในการดูแลทุกคน เอสขยับรถไปจอดด้านหน้าบ้าน พอทุกคนลงจากรถก็แจกกุญแจให้ โดยให้ป๊าเป็นคนเลือกก่อนว่าจะนอนหลังไหน

“ป๊าไปพักก่อน เดี๋ยวเอสพาตี๋ไปนอนแล้วจะยกของไปให้นะ”

“เออ ดูแลมันดี ๆ หน่อยล่ะ”

“ครับ” เอสตอบ “เฟยขนของเข้าห้องไปเลยก็ได้นะ เดี๋ยวของตี๋พี่ขนเอง”

เฟยที่กำลังหยิบเป้ขึ้นมาสะพายหลังหันมา “ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมหยิบของมันให้ พี่พยุงมันขึ้นไปนอนเถอะ”

เขาพยักหน้ารับยิ้ม ๆ ก่อนจะหันไปเรียกตี๋ที่นั่งหน้าซีดอยู่บนเบาะหลัง อีกฝ่ายหันมายกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดคอเอสแน่น แล้วเอาคางวางบนไหล่หนา

“อะไรครับ?” วงแขนกว้างกอดตอบ มือใหญ่ลูบหัวลูบหลังแผ่วเบา

“ตี๋เดินไม่ไหว” เจ้าตัวพูดเสียงแผ่ว หัวมันหมุนไปหมดจนอยากจะร้องไห้ นี่เป็นครั้งแรกที่เมารถขนาดนี้..ไม่ชอบอาการแบบนี้เลย

“จะให้พี่อุ้มเหรอ?” เอสพูดติดตลก

“แล้วได้ไหมอะ?” ถามเสียงออดอ้อนพร้อมกับเอียงหน้าซบไหล่

“ได้ดิ แต่ขอเปลี่ยนเป็นขี่หลังแทนนะ” ดูจากขนาดตัวแล้ว ถึงตี๋จะผอมก็เถอะ แต่ส่วนสูงนี่ไม่ได้ทิ้งห่างไปจากเขาเท่าไหร่เลย น้ำหนักก็ไม่น่าจะน้อย เกรงว่าถ้ามีการอุ้มกันจริง ๆ หลังเขาจะยอกเสียก่อน

“อื้อ ๆๆ”

พอตี๋ตอบรับ เอสก็หมุนตัวหันหลังให้อีกฝ่ายได้ยกแขนขึ้นกอดคอเขาเอาไว้ พร้อมกับเขาที่ช้อนขาคนเมารถขึ้น ตี๋ยกขาทั้งสองข้างขึ้นกอดเอวของคนรักจนแน่นเพราะกลัวว่าจะตก เนื่องจากรู้ว่าตัวเองก็ใช่ว่าตัวเล็กซะเมื่อไหร่ เฟยเปิดผ้าห่มบนที่นอนรอเอาไว้แล้ว คนพี่เลยค่อย ๆ นั่งลงกับเตียงลงไปพร้อมกับตี๋ให้เบาที่สุด เพื่อที่จะไม่กระเทือนทำให้ตี๋อาการหนักขึ้นจนอ้วกพุ่ง เขาดันตัวคนรักให้เอนตัวลงนอนพร้อมกับห่มผ้าให้ ฝ่ามือใหญ่ลูบหัวอย่างอ่อนโยน

“นอนหลับนะครับ ตื่นมาค่อยหาอะไรกินเนอะ”

ตี๋หลับตาลงอย่างอ่อนล้ากับการเดินทางมหาโหด แค่คิดว่าวันกลับก็จะต้องเพลียแบบนี้ก็อยากจะร้องไห้แล้ว คราวหลังจะไม่สรรหาที่เที่ยวที่จะต้องขึ้นเขาอีกแล้ว ให้ตายเถอะ...



TBC…
ถ้าใครเคยไปบ่อเกลือแล้วจะรู้ว่าเมาตั้งแต่โค้งแรกเป็นแบบไหน 55555
ขอบคุณสำหรับการติดตามและคอมเม้นท์นะคะ เราดีใจที่ทุกคนชอบนิยายเรื่องนี้ค่ะ  :กอด1:



   

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.13 หน้า 3 [up:31/05/2018]
«ตอบ #61 เมื่อ31-05-2018 21:02:07 »

โอ๋ๆน่าสงสาร

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.13 หน้า 3 [up:31/05/2018]
«ตอบ #62 เมื่อ31-05-2018 21:18:21 »

หายไวๆนะน้องตี๋

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.13 หน้า 3 [up:31/05/2018]
«ตอบ #63 เมื่อ31-05-2018 22:07:40 »

 :L2: :pig4: :L1:

พี่เอสคือดีเวอร์
ตี๋น่ารัก
เฟย 55
ป๊าดีที่สุด

ออฟไลน์ กานดา.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
    • facebook page
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.14 หน้า 3 [up:03/06/2018]
«ตอบ #64 เมื่อ03-06-2018 11:59:37 »




14



ตี๋ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เย็นมากแล้ว ดูได้จากหน้าต่างที่ไม่ได้ปิดม่าน กลอกตามองซ้ายทีขวาทีก็รู้สึกว่าจะไม่มีใครอยู่ในห้องกับตนเลยสักคน เขาลุกขึ้นนั่ง พอได้นอนไปอาการก็ดีขึ้นจนแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง บิดขี้เกียจอยู่สองสามทีก่อนจะนั่งนิ่ง ๆ เพื่อเรียกสติ ผ่านไปไม่นานก็มีคนเปิดประตูเข้ามา..เป็นเอสนี่เอง

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ?”

“อือ”

“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นไหม?” เอสนั่งลงติดกับคนตัวขาว ถามด้วยความเป็นห่วง ฝ่ามือใหญ่จับปอยผมที่ปิดหน้าไปทัดไว้ที่หูให้เรียบร้อย

“ก็ดีขึ้นแล้ว แต่ยังมึน ๆ อยู่นิดหน่อย”

“หิวข้าวหรือยังครับ?”

เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงัก แถมท้องยังร้องซะเสียงดังอย่างกับว่าจะร้องประท้วงแทนเจ้าของซะอย่างนั้น

“งั้นไปกินข้าวกัน พี่สั่งไว้เพียบเลย” เอสลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะช่วยจับแขนให้คนรักลุกขึ้นจากที่นอนได้อย่างสะดวก เพราะถึงเจ้าตัวจะบอกว่าดีขึ้นมากแล้ว แต่ใบหน้าขาวก็ยังดูซีดอยู่

“วันหลังจะไม่มาเที่ยวอะไรแบบนี้อีกแล้ว”จู่ ๆ ตี๋ก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงยานคาง

เอสพอได้ฟังแบบนั้นก็หัวเราะออกมา “เลือกเองด้วยนะเนี่ย”

“ก็ใครมันจะไปคิด ว่ามันจะเป็นแบบนี้”

“จำไว้เป็นบทเรียนแล้วกัน”

“รู้แล้วน่า” ตี๋ตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองกับคนข้าง ๆ

เดินออกจากบ้านพักมาได้ไม่ไกลนักก็เจอกับเรือนรับรองที่เปิดไฟสีส้มสวยงาม พอเข้าไปก็พบกับป๊าและเฟยนั่งรออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับอาหารหลายอย่างบนโต๊ะ ตี๋กลืนน้ำลายด้วยความหิว แต่หัวที่ยังมึนอยู่นิดหน่อยแบบนี้ก็ทำเอาอยากจะอ้วกอยู่นิด ๆ เหมือนกัน

“เป็นยังไงบ้างหืม..ไอ้แสบ” ป๊าเป็นฝ่ายถามก่อน

“ก็ดีขึ้นแล้วครับ แต่ตี๋ยังมึน ๆ อยู่นิดหน่อย”

“รีบกินแล้วก็รีบไปพักซะล่ะ อุตส่าห์มาเที่ยวไกลแบบนี้ จะมานอนป่วยก็น่าเสียดาย”

“ค้าบ” เจ้าตัวหลับตาตอบเหมือนว่าจะหลับอีกรอบ

“กระจอกจริง ๆ เลย”

ตี๋เหลือบตามองพี่ชายที่พูดจากวนตีน “ขากลับกูขอให้มึงเป็นมั่ง”

“ไม่ มี ทาง” เฟยตอบยักไหล่ทำหน้าเยาะเย้ย

ตี๋ที่ตอนนี้ไม่มีแรงจะตอบโต้ก็หันกลับมาสนใจข้าวบนโต๊ะที่เอสกำลังตักใส่จานให้ ใบหน้าหล่อยิ้มขำกับความตลกของสองพี่น้อง ด้วยความที่เขาเป็นลูกคนเดียว ก็เลยไม่เคยมีโมเม้นท์อะไรแบบนี้ ถึงจะมีน้องชายคนละพ่อ แต่ด้วยที่อายุห่างกันเยอะมากก็มีแต่เขาต้องช่วยแม่ดูแลน้องมากกว่า พอเห็นแบบนี้แล้วก็แอบอิจฉาทั้งสองคนอยู่บ้าง มีกันสองคนแบบนี้ก็คงจะไม่รู้สึกเหงาเหมือนเขาสินะ

“เฟยส่งจานมาสิ พี่ตักข้าวให้”

“อ๊ะ ขอบคุณครับ”

มื้อนี้ของตี๋เป็นอะไรที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่ท้องหิวมาก อาหารก็อร่อย แต่กลับไม่เจริญอาหารอย่างที่คิด มันคงจะเกิดจากผลข้างเคียงของการเมารถ พอเป็นแบบนี้แล้วก็ทำเอาหงุดหงิดไม่น้อย กินไปได้ไม่กี่คำก็นั่งเขี่ยข้าวไปมาอย่างผิดปกติ เอสที่นั่งตรงข้ามสังเกตเห็นเลยถามออกไป

“กินไม่ลงเหรอ?”

“อื้อ จะอ้วกอะ”

“กินเสร็จแล้วก็ไปนอนซะนะ” ป๊าบอกด้วยความเป็นห่วง ความจริงแล้วตี๋เองก็ไม่ใช่เด็กที่ร่าเริงอะไรมากมาย แต่ก็จะสดใสมากกว่านี้ ยิ่งเห็นว่าซึมเป็นหมาป่วยแบบนี้ก็อดที่จะสงสารไม่ได้

เฟยเอื้อมมือไปขยี้ผมน้องชายเบา ๆ “ไอ้หมาเอ๊ย”

“ถ้ากูเป็นหมา แล้วมึงเป็นอะไรอะ”

“ปากดีได้แบบนี้ แสดงว่าไม่เป็นอะไรมากสินะ” เฟยผลักหัวน้องเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว แต่ก็โดนมันตีกลับมา “เฮ้ แรงดีนี่ไอ้หนู”

“กวนตีน”

ก่อนที่จะทะเลาะกันบานปลายไปมากกว่านี้ คนอายุเยอะที่สุดก็ต้องเป็นคนห้ามอีกครั้ง ด้วยความเกรงใจลูกค้าโต๊ะข้างเคียงที่เริ่มจะหันมามอง สองพี่น้องเงียบลงแต่ก็ยังคงส่งสายตาเชือดเฉือนกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เขาได้แต่ส่ายหน้าปลง ๆ ในขณะที่ลูกชายของเขาเองมองทั้งสองคนแล้วก็ได้แต่ยิ้มขำ






ใช้เวลากินข้าวกันไม่นานทุกคนก็แยกกันกลับไปพักผ่อนห้องใครห้องมัน เอสเข้าไปในห้องป๊าก่อนเพื่อจัดการความเรียบร้อยให้ท่าน แล้วถึงเดินออกมาเพื่อไปนอนห้องเดียวกับตี๋ เขาเคาะห้องเพื่อที่จะเรียกให้อีกฝ่ายออกมาเปิดประตูให้เนื่องจากเขาสั่งให้ล็อกห้องไว้ แล้วเขาก็ดันลืมเอากุญแจไปด้วย

“ใครอะ?”

“พี่เอง”

พอรู้ว่าเป็นเอสตี๋ถึงเปิดให้ “นึกว่าจะนอนกับป๊าซะอีก”

“ของพี่ก็อยู่ห้องนี้แท้ ๆ ไม่เห็นเหรอ”

“พูดเล่นหรอกน่า”

ตี๋หันหลังกลับเข้าห้องไป เจ้าตัวที่ถอดเสื้อแล้วเปลือยท่อนบนก้ม ๆ เงย ๆ หยิบของใช้ออกมาจากกระเป๋าเพื่อที่จะไปอาบน้ำแล้วจะได้นอน หารู้ไม่ว่ามีสายตาแทะโลมมองตนจากทางด้านหลัง มองผิวขาวเนียนตัดกับรอยสักรูปมังกรสีดำเกือบเต็มแผ่นหลังนั่น ตอนแรกก็ตกใจอยู่เหมือนกันที่ตี๋มีรอยสัก แต่พอมองดูดี ๆ แล้วรู้สึกว่ามันก็...เซ็กซี่ดีเหมือนกัน

“มองอะไร?” เจ้าตัวถามขมวดคิ้วมุ่น “ไอ้ลามก”

เอสหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปกอดเอวผอมของอีกฝ่าย แล้วใช้จังหวะที่ตี๋กำลังเหวอนี่แหละฉกหอมแก้มขาวดังฟอด “ลามกกับแฟนนี่..ผิดด้วยเหรอ?”

“ออกไปเลยนะโว้ย” ตี๋พยายามที่จะดันตัวเองออกจากอีกฝ่ายโดยเอามือข้างหนึ่งดันอกอีกส่วนข้างยันไว้ที่หน้าของเอสที่กำลังพยายามจะยื่นหน้าเข้ามา ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร จะหอมหรือจะจูบ แต่ดูจากสายตาเมื่อครู่แล้ว รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในอันตรายยังไงชอบกล

คนที่ตัวใหญ่กว่าปล่อยมือข้างหนึ่งออกจากเอวของตี๋ แล้วคว้าเอาข้อมือข้างหนึ่งที่กำลังดันหน้าเขาอย่างเอาเป็นเอาตายออกไปก่อน พอได้เห็นหน้าของตี๋ชัด ๆ แล้วก็ทำเอาหลุดหัวเราะออกมาจนได้ ตาตี่ที่เบิกกว้างขึ้นและกัดฟันกรอด ๆ

“โมโหอะไรกันเนี่ย” เขายิ้มพูด ใช้น้ำเสียงที่คิดว่าจะทำให้อีกฝ่ายใจเย็นลงได้

และมันก็ได้ผล

“ไม่ได้โมโหสักหน่อย”

“งั้นหงุดหงิดอะไรเหรอ”

“ไม่ได้หงุดหงิด”

เอสเอียงคออย่างไม่เข้าใจ ตี๋เป็นพวกเข้าใจยากไปสักหน่อย “งั้น...เป็นอะไรเหรอครับ?”

เขาเข้าประชิดตัวคนตรงหน้ามากเข้าไปอีก กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เห็นคนน้องหันหน้าหนีด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แต่ด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีก็ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเขิน พอเห็นแบบนี้เขาก็ฝังจมูกลงกับซอกคอที่เจ้าตัวเปิดให้เขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ หลายวันมานี้เขาไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคนตรงหน้าเลยทำให้ค่อนข้างโหยหาการสัมผัสแบบนี้ไม่น้อย

คนตัวขาวสะดุ้งด้วยความตกใจ ไม่ทันได้ตั้งตัวว่าจะโดนจู่โจมอย่างนี้ พอโดนพรมจูบตามลำคอและลาดไหล่มันก็ทำเอาขนลุก ในตอนนี้บอกไม่ถูกว่าตัวเองนั้นรู้สึกอย่างไร หลากหลายความรู้สึกมันตีกันมั่วไปหมด จูบที่หลังหูมันทำเอาสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้อยู่แก่ใจว่าสักวันมันจะต้องมาถึง แต่เขายังไม่พร้อม...ยอมรับก็ได้ว่ากลัว ถึงเขาจะเริ่มคุ้นชินกับสัมผัสของอีกฝ่าย แต่พอโดนรุกเร้าแบบนี้มันก็ทำให้เขาเองเกิดความกลัวขึ้นทุกครั้ง

“พี่ เดี๋ยวก่อน”

“หืม” เอสตอบรับแต่ก็กลับไม่หยุดเล้าโลมคนตรงหน้า ตอนนี้เขากำลังมัวเมากับผิวพรรณเนียนละเอียดของตี๋จนเหมือนเป็นคนไม่มีสติ แต่จริง ๆ แล้วก็รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรและควรจะหยุดมันที่ตรงไหน ในเมื่ออีกคนบอกยังไม่พร้อม เขาก็จะไม่ล้ำเส้นที่ขีดไว้แน่นอน ตอนนี้เพียงแค่ให้ตี๋ได้รู้จักกับการสัมผัสแบบใหม่เพื่อการเตรียมพร้อมและทำความคุ้นเคยไปทีละขั้นน่าจะดีกว่า

“ดะ- เดี๋ยว! จับตรงไหนน่ะเฮ้ย!” พอโดนตะปบเข้าที่ก้นเจ้าตัวก็ร้องเสียงหลง

แล้วก็โดนจูบปิดปากจนได้ ให้ตายเถอะ บางครั้งก็รู้สึกโมโหตัวเองเหลือเกินที่ไม่สามารถปฏิเสธอีกฝ่ายได้อย่างจริงจังสักเรื่อง ที่ทุกวันนี้รอดพ้นปากเหยี่ยวปากกามาได้นี่เพราะลูกอ้อนแท้ ๆ ถึงมันจะไม่ดูเหมือนว่าเขาอ้อนอีกคนสักเท่าไหร่ก็ตาม

“อื้อ!”

คนน้องพยายามที่จะเบือนหน้าหนีเพราะนอกจากจะโดนจูบแล้ว ไอ้มือปลาหมึกนี่ยังลูบคลำก้นเขาไม่หยุด แถมยังขยำมันอีกต่างหาก ไม่รู้ทำไมเวลาหื่นขึ้นหน้าไอ้พี่เอสมันเหมือนมีกำลังเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวจนเขาสู้แรงไม่ไหวเลย แล้วไหนจะอาการมึนของเขานี่อีก มันน่าโมโหนัก

ตอนนี้คนตัวขาวเริ่มจะตัวอ่อนปวกเปียกไปหมดแล้ว เพราะเขาไม่มีแรงที่จะไปขัดขืนคนที่มีพละกำลังมากกว่าอย่างอีกฝ่ายได้เลย สุดท้ายก็ต้องเป็นคนตัวใหญ่กว่าที่ต้องหยุดเอง

ตอนแรกตี๋กลัวเหมือนกันที่โดนลากไปที่เตียง โดนจับ จูบ ลูบ คลำไปทั้งตัวแบบนี้ก็มีกลัว ๆ ว่าตัวเขาจะต้องเสียตัวในวันนี้แน่แล้วเหรอ แต่ก็ได้รับคำยืนยันจากคนด้านบนว่า ‘พี่ไม่ทำอะไรเราหรอก แค่อยากเพลิดเพลินไปกับร่างกายเราก็แค่นั้นเอง’

“แข็งแล้วนี่”

“อย่าทักจะได้มั้ยห๊ะ!” ตี๋โวยวายพลางพลิกตัวนอนตะแคง งอตัวกอดเข่าเพื่อที่จะซ่อนไอ้ตรงนั้นของตัวเองเอาไว้ โดนสัมผัสขนาดนั้นไม่รู้สึกก็แปลกแล้ว เขาเองก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนเสียหน่อย

“อายทำไม เรื่องธรรมชาติ” เอสบอก ทิ้งตัวลงนอนตะแคงข้าง ๆ คนรัก มองใบหน้าขาวที่ตอนนี้แก้มแดงไปหมดด้วยสายตาอ่อนโยน ยอมรับว่าส่วนนั้นของตัวเขาเองก็เริ่มมีอารมณ์ แต่ก็ยังทนไหวอยู่

“ใครมันจะไปหน้าด้านเหมือนพี่ล่ะ”

“เป็นคนรักกัน เรื่องพวกนี้ไม่ต้องอายหรอกน่า”

ยิ่งได้ยินคำว่าคนรักจากปากของอีกฝ่าย ตี๋ก็ยิ่งเขินหน้าแดงเข้าไปใหญ่ ไม่ใช่ว่าไม่คิดแบบเดียวกันกับพี่เอสหรอกนะ แต่เพราะทั้งสองคนเจอกันมาตั้งแต่สมัยยังเด็ก ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะได้มาอยู่ในสถานะแบบนี้กับอีกคนเลยด้วยซ้ำ ยังคงไม่เข้าใจจนทุกวันนี้ ว่าอะไรที่ทำให้ตัวเองไม่สามารถปฏิเสธอะไรคนตรงหน้านี้ได้เลย หรือว่าอาจจะเป็นเพราะสมัยเด็ก ๆ เอาแต่ใจตัวเองกับอีกฝ่ายไว้เยอะ กรรมมันเลยตามทันอะไรแบบนี้หรือเปล่า

...แต่กรรมอะไรมันจะไวขนาดนี้วะ...

“พอเลย จะไปอาบน้ำแล้วโว้ย” ตี๋ยกแขนดันตัวคนที่กำลังจะพุ่งมากอดเขาเอาไว้ไม่ให้เข้ามาได้ ไม่งั้นได้มีต่ออีกรอบแน่

“นิดหน่อยก็ไม่ได้”

“นี่มันมากกว่าปกติซะด้วยซ้ำ” ตี๋แยกเขี้ยวใส่จนเอสหัวเราะออกมา

“ก็นะ ปรับตัวไว้ อนาคตจะได้สบาย ๆ ไง”

ตี๋ตาโตเม้มปากเข้าหากันแล้วถึงกัดฟันพูด “นี่ถ้าป๊าไม่ใช่ป๊าพี่นะ ตี๋ด่าพ่อพี่ไปแล้ว”

เอสหัวเราดังลั่นกับประโยคล่าสุดของตี๋ อย่างที่เคยบอกว่าเขาชอบเวลาที่ตี๋ด่าเพราะมันตลกดี ปกติแล้วอีกฝ่ายก็มักจะพยายามพูดจาสุภาพกับเขา ยกเว้นเวลาที่โดนกวนประสาทหรือถูกจับโน่นนิด แตะนี่หน่อย ก็จะมีการโวยวายและด่านิด ๆ โวยวายหน่อย ๆ พอหอมปากหอมคอ ไม่ได้หยาบคายจนดูเกินไปไม่น่ารัก

“แล้วเมื่อไหร่จะถึงเวลาเหรอ?”

ตี๋นิ่งและเงียบไป เอสไม่ได้ใช้น้ำเสียงกดดันหรือเร่งรัดตัวเขาเลย แต่มันเหมือนเป็นการอ้อนวอนจนเขารู้สึกวูบโหวงในอก ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองจะใจอ่อนในอีกไม่ช้านี้ ซึ่งเขายังไม่อยากให้มันเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้เลย เขาอยากให้มันเป็นไปเพราะเขายินยอมพร้อมใจมากกว่าที่จะใจอ่อนอะไรแบบนั้น

“ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอกน่า”

เอสชะงักไปที่จู่ ๆ ตี๋ก็เป็นฝ่ายเข้ามาซุกเข้ากับอกเขาเสียอย่างนั้น ทั้งที่เมื่อครู่ยังไม่ยอมให้เข้าหาอยู่เลย แต่ก็รู้อยู่หรอกว่านี่เป็นวิธีอ้อนของอีกฝ่ายเวลาที่รู้สึกไม่ดีที่จะต้องบอกปฏิเสธคำขอของเขา ที่จริงแล้วตัวเขาเองก็อายุพอประมาณในการรู้จักยับยั้งชั่งใจแล้ว เลยทำให้เข้าใจอีกฝ่ายที่ยังไม่พร้อมในตอนนี้ได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่อยากจะโกหกเรื่องที่ว่าเขาต้องการให้ตี๋กลายมาเป็นของเขา นาน ๆ ทีก็เลยมีการถามบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเร่งรัดอะไร

“ขอเวลาตี๋อีกหน่อยนะ”

เอสยิ้มเมื่ออีกฝ่ายต่อด้วยลูกอ้อนแบบนี้ ใครมันจะไปใจร้ายด้วยได้ลงคอ

“อื้อ พี่รอเราได้เสมอ”

เขาตอบแล้วก้มลงหอมกลุ่มผมสีดำนุ่ม ตามลงมาด้วยจูบที่หน้าผากอย่างแผ่วเบา

...บางทีการนอนกอดกันเฉย ๆ
มันก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไปหรอก...

“ขอบคุณนะ” ตี๋เงยหน้าขึ้นไปจูบปลายคางเพื่อเป็นการตอบแทน

ทั้งสองคนจ้องตากัน ยิ้มให้กัน มือใหญ่ของเอสลูบผมดำนิ่มมือไปเรื่อย และคนน้องก็ชอบมันมากเวลาที่อีกฝ่ายทำแบบนี้ เขารับรู้ได้ถึงความรักของอีกฝ่ายได้จากทุกการกระทำ เพราะเอสไม่เคยปิดบังความรู้สึกของตัวเองเลยสักครั้ง ดวงตาคู่สวยที่ทอดมองไปที่อีกคนเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งรักและเอ็นดู

ถึงแม้ในตอนนี้เขาจะยังตอบรับอีกฝ่ายได้ในหลาย ๆ เรื่องไม่ได้ แต่เขาก็หวังว่าอีกไม่นานเขาจะตอบแทนความรักที่คนตรงหน้ามอบให้อย่างไม่เขินอายหรือตะขิดตะขวงใจใด ๆ อีก

“พี่รักตี๋นะ”

“รู้น่า”






เอสที่ตื่นขึ้นมาอาบน้ำอาบท่าตั้งแต่แปดโมงเช้า พอจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเขาก็ลงมาเอนตัวนอนข้าง ๆ คนรักที่ตอนนี้กำลังขดตัวอยู่บนเตียงเหมือนเด็กตัวน้อย ยกมือขึ้นเกลี่ยผมทัดหูเผยให้เห็นใบหน้าด้านข้าง เขาชอบผิวของตี๋มากเพราะมันทั้งขาวและใสจนอดใจที่จะหอมแก้มตรงหน้านี่ไม่ได้

“ตี๋” เขาส่งเสียงเรียกเบา ๆ

“...” คนถูกเรียกยังคงนิ่งเงียบไม่หือไม่อือใด ๆ

“ตี๋ครับ ตื่นได้แล้วนะ”

“อือ”

“ตื่นยังเนี่ย”

“อืออ”

“ตื่นแล้วทำไมไม่ลืมตา”

“ง่วงอะ”

พอเห็นอีกฝ่ายตอบมาแบบนี้ก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “จะนอนต่อไหม?”

ตี๋ไม่ตอบแต่พยักหน้าหงึกหงักให้ทั้งที่ตาเรียวยังปิดอยู่ บอกตามตรงว่าตอนนี้เขายังไม่พร้อมที่จะตื่นจริง ๆ เมื่อคืนกว่าจะได้อาบน้ำนอนก็ดึกดื่น เพราะไอ้คนข้าง ๆ นี่แหละที่กว่าจะปล่อยเขาไปก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน แล้วไหนจะอาการเพลียที่เกิดจากการเมารถอีก เท่านี้ก็ทำให้เขาลืมตาแทบไม่ขึ้นแล้ว

“งั้นพี่ไปกินข้าวเช้าก่อนนะครับ”

“อื้อ” เจ้าตัวพยักหน้าตอบ

เอสก้มลงจูบที่หน้าผากมนก่อนจะลุกเดินออกไปจากห้องทิ้งให้ตี๋นอนหลับพักผ่อน เขาเดินออกมาสูดอากาศยามเช้าของบ่อเกลือ ต้องยอมรับว่าที่นี่อากาศบริสุทธิ์มากจริง ๆ อากาศดี ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป นานมากแล้วที่ไม่ได้สูดอากาศที่สะอาดสดชื่นขนาดนี้ ทำให้รู้สึกไม่เสียแรงที่ดั้นด้นขับรถมาตั้งไกล

โชคดีที่รีสอร์ตแห่งนี้มีร้านอาหารอยู่ในตัวเขาเลยตั้งใจเดินไปสั่งอาหารจานเดียวรองท้องไปก่อนในระหว่างที่รอทุกคนตื่น แต่ก็เจอกับป๊าที่นั่งอ่านหนังสือพลางจิบกาแฟรออยู่ก่อนแล้ว

“ป๊ากินข้าวยัง?” เอสเดินเข้าไปถาม

คนพ่อวางหนังสือลงถอดแว่นสายตาออกก่อนจะตอบคำถาม “ยังเลย”

“ป๊าจะกินอะไร เดี๋ยวเอสไปสั่งให้”

“อะไรก็ได้ สั่งมาเถอะ”

คนเป็นลูกพยักหน้าก่อนที่จะเดินไปหาแม่ครัวที่ยืนยิ้มรอรับอยู่แล้ว “เดี๋ยวขอข้าวต้มหมู กับข้าวผัดไก่นะครับ”

“ได้จ้า ไปนั่งเลย เดี๋ยวน้าทำเสร็จแล้วจะยกไปให้นะ”

“ขอบคุณมากครับ” เอสยิ้มตอบพลางค้อมหัวให้กับคนที่อายุมากกว่าแล้วจึงเดินกลับมาที่โต๊ะ หยิบโทรศัพท์ออกมาเช็กข่าวสารรายวันเพื่อฆ่าเวลาไปก่อน

“แล้วพวกสองแสบนั่นยังไม่ตื่นอีกเหรอไง?” ป๊าถามขึ้นมา

เอสเงยหน้าขึ้นมองหน้าคนถาม “เอสไม่เห็นเฟยนะ สงสัยยังไม่ตื่น ส่วนตี๋เมารถหนักเลยยังเพลียอยู่เลย”

“เฮ้อ แล้วอย่างนี้ขากลับจะเป็นยังไงบ้างล่ะเนี่ย”

“เอสก็ลืมไปเลยว่าจะซื้อยาแก้เมารถให้ตี๋กินก่อนจะขึ้นมา”

“งั้นเดี๋ยวลองถามคนของที่นี่ดูแล้วกันว่ามีขายหรือเปล่า” ป๊าเสนอซึ่งเอสก็พยักหน้าเห็นด้วย

“แล้วเดี๋ยวให้ตี๋มันย้ายมานั่งหน้าแทนกูด้วยก็ได้ น่าจะช่วยได้บ้าง”

เอสมองหน้าคนเป็นพ่อแล้วก็ยิ้มออกมา

“ยิ้มอะไรของมึง?” ถามเพราะจู่ ๆ ลูกชายคนเดียวก็ยิ้มออกมาทั้งที่เมื่อนาทีที่แล้วยังหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะเป็นห่วงเด็กตี๋นั่นอยู่เลย

“เอสดีใจ ที่ป๊าเป็นห่วงตี๋”

“ตี๋มันเป็นเด็กดี ตอนนี้มันก็เหมือนลูกเหมือนหลานอีกคนไปแล้ว” เขาตอบ

ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วที่เขารู้สึกเอ็นดูเด็กที่ติดลูกชายคนเดียวของเขาแจ พอหลังจากที่เอสย้ายตามไปอยู่กับแม่ ตี๋เองก็ไม่ค่อยได้มาคลุกคลีที่บ้านของตนอีก จะเจอกันก็เวลาที่อีกฝ่ายติดสอยห้อยตามคนในบ้านมาซื้อน้ำเต้าหู้ พอเด็กนี่โตขึ้นมาก็ไม่ค่อยได้คุยกันมากมายนักเพราะดันกลายเป็นเด็กพูดน้อยซะอย่างนั้น แต่พอตี๋กลายมาเป็นแฟนกับลูกชายของเขาก็ทำให้ได้กลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง

ในสายตาของเขานั้น ตี๋เป็นเด็กที่น่ารัก ซื่อ ๆ ไม่มีพิษมีภัยกับใคร เป็นเด็กประเภทที่หาได้ยากแล้วในยุคสมัยแบบนี้ ตอนแรกก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่าเด็กแบบนี้จะเอาลูกชายของเขาอยู่หมัด เพราะถึงแม้เขาจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับลูกมานานหลายปี แต่ด้วยความเป็นพ่อแล้วก็ทำให้มองออกว่าที่ผ่านมาเอสมันใช้ชีวิตยังไง

บรรยากาศรอบตัวของเอสเปลี่ยนไปมากตั้งแต่คบกับตี๋ เมื่อก่อนนี้ถึงลูกชายของเขาจะยิ้มแต่สายตากลับว่างเปล่าและเย็นชากับทุกสิ่งรอบตัว แต่ในตอนนี้ดูได้จากการดูแลเอาใจใส่คนรักของตัวมันเองแล้ว ต้องบอกว่าเอสอ่อนโยนขึ้นอย่างมาก แววตาสดใสดูมีชีวิตชีวา

เขาเชื่อว่าลูกชายของเขานั้นรักตี๋ออกมาจากใจจริง เพราะไม่ง่ายหรอกที่ใครสักคนหนึ่งจะยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อใครอีกคน..ถ้าเขาคนนั้นไม่ได้รักอีกฝ่ายจริง ๆ

“ดีจังที่ป๊าไม่ว่าอะไรที่เอสชอบตี๋”

“กูรู้มาตั้งนานแล้วเหอะว่ามึงน่ะชอบไอ้ตี๋มัน แต่แค่ไม่คิดว่าจะรักมั่นคงหนักแน่นอะไรขนาดนี้”

เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วลูกชายคนเดียวทำหน้าเหลอหลา

“ป๊ารู้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?” ถามเสียงอ่อย

“ตั้งแต่ไอ้ตี๋มันอยู่แค่ ป.สี่ หรือ ป.ห้า มั้งนะ”

“นานขนาดนั้นเลย!”

เจ้าตัวโอดก้มหน้าซบลงกับฝ่ามือตัวเอง เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าป๊าจะรู้เรื่องที่เขาชอบตี๋มาตั้งแต่อีกฝ่ายยังเป็นเด็กชาย ทั้งที่คิดว่าเก็บอาการได้เนียนที่สุดแล้วแท้ ๆ แต่ก็คงจะประมาทเกินไป ก็เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงผู้ให้กำเนิดของเขา ไม่แปลกที่จะมองออกว่าอะไรเป็นอะไร

“ดีนะที่ตอนนั้นมึงก็ผู้เยาว์เหมือนกัน ไม่งั้นได้ไอคุก ๆ แน่มึง” ป๊าแซว

“โห ตอนนั้นแค่ชอบเฉย ๆ เอสไม่ได้คิดว่าจะมาถึงขั้นนี้ด้วยซ้ำ” คนเป็นลูกพูดยิ้มเล็กน้อย ประจวบกับที่ข้าวที่สั่งไว้มาเสิร์ฟพอดี เอสบอกขอบคุณแม่ครัวพร้อมกับรอยยิ้ม

สองพ่อลูกนั่งกินข้าวไปคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป สักพักแล้วที่พวกเขาไม่ได้พูดคุยกันอย่างสบายใจแบบนี้ เพราะก่อนจะมาเที่ยวงานของเขาค่อนข้างยุ่ง แต่ถึงจะไม่มีเวลาขนาดไหนเขาก็จะตื่นขึ้นมาทำข้าวเช้า และทานด้วยกันกับป๊าทุกวัน ส่วนตอนเย็นถ้าเขาเลิกงานช้าก็จะฝากให้ตี๋ซื้อกับข้าวเข้ามาให้ป๊าและนั่งกินเป็นเพื่อนบ้าง ในบางครั้งม๊าของตี๋ก็จะทำมาฝากบ้าง ซึ่งเขาก็รู้สึกขอบคุณที่บ้านของตี๋อยู่เสมอ

และที่สำคัญคือคนรักของเขา ถ้าไม่มีตี๋ชีวิตของเขาก็คงจะแย่อยู่เหมือนเดิม เพราะอีกฝ่ายยังคงอยู่ข้าง ๆ เขา..เขาถึงกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้แบบนี้ ต้องขอบคุณจริง ๆ

...ชีวิตของเขาคงจะขาดคนคนนี้ไม่ได้แล้วสินะ...




TBC…
ขาดเธอไม่ได้หัวใจขอสารภาพ...  :laugh:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.14 หน้า 3 [up:03/06/2018]
«ตอบ #65 เมื่อ03-06-2018 12:26:53 »

หลงหยักเลย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.14 หน้า 3 [up:03/06/2018]
«ตอบ #66 เมื่อ03-06-2018 13:07:22 »

เอส  ตี๋   :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.14 หน้า 3 [up:03/06/2018]
«ตอบ #67 เมื่อ03-06-2018 17:37:44 »

 :L2: :pig4: :L1:

ครอบครัวตี่จะโอเคไหมหนอ

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.14 หน้า 3 [up:03/06/2018]
«ตอบ #68 เมื่อ03-06-2018 19:28:03 »

ตี๋น่ารักมาก เวลาที่อ้อนพีเอส

ออฟไลน์ กานดา.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
    • facebook page
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.15 หน้า 3 [up:05/06/2018]
«ตอบ #69 เมื่อ05-06-2018 22:51:32 »

15




ด้วยความที่อากาศดีและเงียบสงบมากทำให้ตี๋ไม่อยากจะลุกออกจากที่นอนไปแม้นาทีเดียว แต่ด้วยความที่ได้ให้สัญญากับพวกเพื่อนไว้แล้วว่าจะซื้อของไปฝาก ก็ทำให้จำเป็นที่จะต้องตื่น ถึงแม้จะบอกพวกมันไปแล้วก็ตามว่าของฝากของที่นี่มันมีแต่เกลือก็เหอะ

เขาอยากจะด่าพวกมันวันละหลาย ๆ รอบ ไม่รู้จะงกของฝากอะไรนักหนา เกลือแถวบ้านมันไม่มีจะกินหรือไง ถึงต้องหอบจากที่นี่ไปให้

“ป้าครับ ที่นี่นอกจากของที่เกี่ยวกับเกลือแล้วก็ของพวกนี้ มีอะไรเป็นของฝากบ้างเหรอครับ?” ตี๋ถามแม่ค้าที่ขายเกลือที่อยู่ในบริเวณบ่อต้มเกลือที่พวกเขาเพิ่งเดินดูเสร็จ อันที่จริงเขาก็ซื้อของฝากไปแล้วล่ะ แต่ลองถามอีกเผื่อว่าจะมีอย่างอื่นบ้าง

“อ๋อ ก็เป็นพวกของป่าน่ะจ้ะ ถ้าหนูขับวนขึ้นไปทางนี้จะเจอแผงขายของอยู่ริมถนนนะ ต้องไปดูว่าช่วงนี้เขาหาของป่าอะไรได้บ้างที่หนูพอจะซื้อกลับบ้านไปได้น่ะ” คุณป้าตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ขอบคุณครับ” ตี๋ตอบยิ้มแหย ๆ ที่โดนเรียกว่าหนูอย่างนั้นหนูอย่างนี้ เกิดมาก็เพิ่งจะเคยถูกเรียกแบบนี้จากคนที่ไม่รู้จักนี่แหละ..นอกจากแม่แล้วก็ไม่มีใครเรียกเขาแบบนี้หรอก หันไปมองพี่ชายตัวเองก็เห็นมันยืนปิดปากกลั้นหัวเราะตัวโยน

“เดี๋ยวมึงจะโดน” เจ้าตัวกัดฟันพูดถลึงตาใส่

“โอยยย เฮ้อ” คนเป็นพี่กลั้นขำจนปวดท้อง เขาถอนหายใจสงบสติอารมณ์ แต่พอหันไปเห็นหน้าน้องชายตัวเองก็พลันจะหลุดออกมาอีกรอบ

พอตี๋ทำท่าจะพุ่งใส่ก็โดนมือใหญ่ของเอสคว้าหัวเอาไว้แล้วดึงเข้าหาตัวเอง คนตัวขาวทำท่าจะโวยวายใส่ เขาก็ยกนิ้วขึ้นจรดริมฝีปาก

“ชู่~”

ตี๋มองหน้าคนรักของตัวเองด้วยอารมณ์กรุ่นหลังโดนขัด เอสยกยิ้มแล้วลูบหัวของอีกฝ่ายเบาๆ

“ใจเย็น ๆ น่า”

คนใจร้อนถอนหายใจหนักก่อนจะพยักหน้าเพื่อให้คนรักสบายใจ

เฟยมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างครุ่นคิด เพราะตนเองก็ยังไม่ได้ตอบกลับน้องชายของตัวเองเรื่องที่อีกฝ่ายคบกับผู้ชายตรงหน้านี้เลย และจากที่ดูพฤติกรรมมาสองวันแล้ว ก็ไม่เห็นว่าพี่ชายข้างบ้านที่ควบตำแหน่งแฟนน้องชายอย่างพี่เอสจะมีข้อบกพร่องตรงไหน นิสัยดี รักครอบครัว มีความเป็นสุภาพบุรุษ ถึงแม้ว่าตี๋มันจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องคอยเทคแคร์ก็ตามเถอะ ไหนจะใจเย็น พูดจาดี แถมยังดูแลน้องเขาดีโคตร ๆ

ถ้าจะเป็นคนดีขนาดนี้แล้วจะไปหาได้จากที่ไหนอีกวะ...




/




พวกเขาขึ้นรถกันแล้วขับออกมาตามทางที่ป้าคนนั้นเป็นคนบอก ระหว่างทางตี๋เปิดหน้าต่างรับลมเย็น ๆ และอากาศบริสุทธิ์ ถ้าไม่นับรวมตอนเมารถช่วงขาขึ้นมาแล้ว ก็ต้องบอกว่าที่นี่เหมือนสวรรค์สำหรับเขาจริง ๆ เขาชอบทุกอย่างที่นี่มาก ยกเว้นเรื่องเมารถน่ะนะ

“นี่ไง เจอแล้ว” เอสบอกเมื่อเห็นร้านขายของที่ตั้งเป็นแผงเก่า ๆ อยู่ด้านหน้า

ดับรถเสร็จก็พากันเดินลงไปดู เด็กในเมืองอย่างตี๋และพี่ชายต่างตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นอะไรแปลก ๆ ที่ไม่เคยเห็นกัน เจ้าของร้านแนะนำของให้หลากหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นพวกของป่าที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ซื้ออะไรกลับมาเลยสักอย่าง สุดท้ายเลยได้เกลือของเด็ดของดีประจำอำเภอไปเป็นของฝากเพียงอย่างเดียว

“แล้ว...จะไปไหนต่อดีล่ะ?”

จบคำถามของเอสก็ไม่มีใครพูดตอบ ขนาดเจ้าของความคิดที่พากันมาที่นี่อย่างตี๋ยังไม่รู้เลยว่าจะไปไหนต่อดี เพราะเจ้าตัวตั้งใจที่จะมานอนเล่นเปลี่ยนบรรยากาศแค่นั้นเอง

“งั้นกลับไปหาอะไรกินในหมู่บ้านแล้วกัน...ดีไหม?”

เมื่อมติเป็นเอกฉันท์ คนขับวนรถกลับไปจอดในหมู่บ้านเหมือนเดิม กลางหมู่บ้านมีร้านข้าวเล็ก ๆ อยู่หนึ่งร้าน กับร้านก๋วยเตี๋ยวอีกหนึ่ง และมีร้านขายน้ำน่ารัก ๆ ด้วย ทั้งสี่คนพากันเข้าไปนั่งในร้านข้าว และในระหว่างที่รอ ตี๋กับเฟยก็อาสาไปซื้อน้ำร้านฝั่งตรงกันข้ามให้ทุกคน

“ถามอะไรหน่อยสิ” คนพี่เอ่ยปากถามระหว่างทาง

“อือ” ตี๋หันมามองเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

“กับพี่เอส...จริงจังขนาดไหนวะ?”

“...ถามอะไรของมึงวะ?” คนน้องย้อนถามขมวดคิ้วมุ่น

“ตอบมาเหอะ”

“กูกับพี่เขาเพิ่งคบกันไม่กี่เดือน” ตี๋เงียบไปอย่างใช้ความคิด “แต่ถ้าถาม...ตอนนี้ก็จริงจังนะ”

เฟยเม้มปากพลางพยักหน้ารับรู้ เพราะมันก็เป็นไปอย่างที่คิดเอาไว้ ถึงแม้ว่าพวกเขาสองคนจะทะเลาะกันบ่อย แต่ก็รู้เรื่องของกันและกันมากกว่าที่คนอื่นคิด ตัวเขาเองไม่เคยเห็นว่าตี๋มันคบใครมาก่อนเลยสักคน และเขาก็รู้ว่าที่มันไม่เคยมีแฟนไม่ใช่ว่ามันเป็นผู้ชายลั้ลลาไม่จริงจังกับคนไหนหรือว่าอะไร แต่เป็นเพราะไม่ใส่ใจที่จะมีมากกว่า

ตี๋เป็นคนที่ถึงจะดูเอื่อย ๆ ไปบ้าง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ตัวเองรักหรือชอบแล้วจะจริงจังมาก และพอเขารู้ว่ามันคบกับพี่เอส เขาก็สังเกตพฤติกรรมของทั้งสองคน ตอนแรกก็คิดว่าน้องเขามันคงไม่ได้จริงจังอะไรมาก แต่กลับผิดไปจากที่เขาคิด

พอเห็นว่าเฟยเงียบไป ตี๋ไม่รู้ว่าพี่ชายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ดูเหมือนไม่ได้คิดจะคัดค้านอะไรระหว่างตนกับพี่เอส

“พี่เขาดีกับกูมากเลยนะ”

“อือ กูรู้”

คนเป็นพี่หันมาส่งยิ้มบาง ๆ ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นดีกับน้องเขามากแค่ไหน คงถึงเวลาที่เขาต้องยอมรับแล้วสินะ คนพี่ยกมือขึ้นตบไหล่ตี๋สองสามที ก่อนจะเดินเข้าร้านน้ำไปก่อน ปล่อยให้คนน้องยืนงงอยู่สักพักถึงเดินตามไป

“กูสั่งหมดแล้ว มึงจะกินอะไรล่ะ?”

ตี๋มองเมนูก่อนจะตอบ "บลูฮาวายหนึ่งแก้วครับ"

ระหว่างทางที่เดินกลับไปร้านข้าว สองพี่น้องไม่ได้พูดคุยเรื่องเดิมอีก ตี๋เข้าใจว่าเรื่องนี้ยังคงต้องให้ระยะเวลากับอีกคนได้คิดและทำใจ เพราะถึงจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่เขาสองคนคบกัน ตี๋ก็จะไม่เลิกโดยเด็ดขาด ถ้าเขาจะต้องเลิกกับพี่เอส มันจะต้องเป็นเพราะว่าเขาสองคนไม่รักกันมากกว่าที่จะเพราะคนอื่นบอกให้เลิก แม้จะเป็นคนในครอบครัวก็ตาม




/




กลับมาถึงที่พักอีกครั้งก็เป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้ว เอสเลยจัดแจงให้ทุกคนไปนอนพักก่อนที่จะตื่นมากินข้าวเย็นกัน เขาเดินไปส่งป๊าที่ห้องพักดูแลความเรียบร้อยให้แล้วถึงเดินกลับมาที่ห้องของเขากับตี๋

ตัวเขาเองไม่เคยเที่ยวในที่ที่สงบแบบนี้มาก่อนเลยทำให้ไม่รู้จะทำอะไรดีนอกจากนอนและเดินเล่นชมบรรยากาศที่ล้อมรอบไปด้วยหุบเขาแบบนี้ นาน ๆ ทีจะเจอสถานที่เงียบสงบ รู้สึกเหมือนได้พักทั้งใจและกายทำให้รู้สึกสดชื่นและพร้อมที่จะกลับไปเจอความวุ่นวายในเมืองอีกครั้ง

“หลับอีกแล้วเหรอ?” เอสสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกับคนรัก แขนยาวดึงเอวผอมเข้ามากอดจนหลังของตี๋ชิดกับอกหนาจนไม่มีที่ว่างแล้วซุกหน้าลงกับหลังคอของอีกฝ่าย

“กำลังจะหลับจนพี่มากวนนี่แหละ”

“กวนตรงไหนแค่อยากอ้อนแฟนเอง”

เอสพูดไปก็เอาจมูกไถหลังคอของน้องไปด้วย ทำเอาตี๋ขนลุกเกรียว ใบหน้าขาวเห่อร้อน เอสกำลังสร้างความเคยชินให้กับตี๋ เพื่อให้อีกคนไม่กลัวกับสัมผัสของตน และก็แอบคิดว่าการถูกกระทำแบบนี้ที่ถึงแม้ว่าจะเล็กน้อย แต่เขารู้ว่าร่างกายผู้ชายถ้าถูกกระตุ้นบ่อยเข้าสักวันมันก็จะทนไม่ไหวไปเอง และเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ก็ทำให้เขาได้เห็นว่าตี๋เองก็เริ่มมีอารมณ์กับการเล้าโลมของเขาแล้วเหมือนกัน

อาจจะดูร้ายที่เขายอมรับคำขอร้องของอีกคน แต่ตัวเองกลับแตะต้องอีกฝ่ายทั้งที่ใจไม่ซื่อแบบนี้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ดีแต่เขาก็จำเป็นที่ต้องทำ ไม่อย่างนั้นแล้วก็คงหมดหวังที่จะได้ตี๋มาไว้ในครอบครองน่ะสิ เขายอมที่จะเป็นคนเห็นแก่ตัวใส่ปุ๋ยเร่งต้นอ่อนเพื่อหวังเก็บเกี่ยวผลได้เร็วในภายภาคหน้าดีกว่าต้องรอจนเหี่ยว หรืออย่างแย่คือ...ไม่ได้อะไรเลย

“พอได้แล้ว”

ตี๋ดิ้นพยายามที่จะออกจากอ้อมกอดของคนที่กำลังลวนลามตัวเองอยู่ เพราะถ้าขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้ตัวเขาคงจะทนไม่ไหวเอา แต่แขนที่แข็งแรงกว่ากลับกอดเอวเขาแน่นขึ้น

“ถ้าไม่หยุดนะ...คืนนี้ไปนอนห้องป๊าเลย”

“ครับผม หยุดก็ได้” เอสยอมแพ้แต่แขนก็ยังคงกอดเอวของตี๋อยู่แบบนั้น เขาหอมแก้มขาวที่เปลี่ยนเป็นสีแดงนั่นด้วยความรักใคร่

“ไอ้หื่นนี่แม่ง...” ตี๋ไม่รู้จะด่าอีกฝ่ายว่ายังไงดีก็เลยได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ก๊อก ๆ ๆ **

ทั้งคู่ชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง และเป็นเอสที่เป็นคนลุกขึ้นไปเปิดประตู และก็เจอกับเฟยที่ยืนหน้านิ่งอยู่

“ขอคุยด้วยหน่อยสิครับ”

พอเห็นว่าคนที่มาเปิดประตูจะเดินสวนออกไป เฟยก็เรียกเอาไว้ก่อน “ทั้งคู่นั่นแหละ”

เอสเดินกลับเข้าห้องด้วยสีหน้าสงสัย ในขณะที่คนบนเตียงนั่งหัวฟูมองคนมาใหม่และก็พอจะรู้อยู่ว่าพี่ชายมาเพื่อจะคุยเรื่องอะไร

“นั่งลงสิ” เอสนั่งลงบนที่นอนและชวนให้เฟยนั่งด้วยกัน บรรยากาศในห้องเงียบอยู่สักพัก ทั้งเอสและตี๋ต่างก็รอให้อีกฝ่ายเริ่มพูด

“พูดมาเลย” ตี๋บอก

“มีอะไรเหรอ?” เอสถามบ้างหลังจากที่เห็นเฟยเงียบไป

เจ้าตัวหลับตาลงแล้วถอนหายใจเสียยาวก่อนที่จะตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

“ผมรู้แล้วนะพี่” ลอบกลืนน้ำลายก่อนจะพูดต่อ “เรื่องที่...พี่คบอยู่กับตี๋มันน่ะ”

เฟยแปลกใจที่อีกฝ่ายไม่มีท่าทีตกใจอะไรเลยกับสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกไป แถมกลับนั่งรอฟังอย่างใจเย็นและส่งยิ้มบาง ๆ มาให้เขาอีก

“บอกตามตรงนะ...ผมก็ตกใจที่รู้ว่าตี๋มันเป็นเกย์”

“ไม่ได้เป็นโว้ย” ตี๋ตั้งใจจะโวยวายเพราะพี่ชายพูดไม่เข้าหู แต่ก็เงียบปากไปเพราะเอสเอื้อมมือมาคว้าข้อมือของเขาไว้ก่อน

“พี่ต่างหากที่เป็น ส่วนน้องเราน่ะไม่ได้เป็นหรอก เรื่องมันอาจจะเข้าใจยากไปสักหน่อย แต่ในโลกนี้น่ะมันจะมีคนประเภทที่ว่าถ้าได้รักใครไปแล้ว บางครั้งก็มองข้ามเรื่องเพศไปเลย ไม่สนว่าคนคนนั้นจะเป็นอะไร มันจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป เฟยพอจะเข้าใจไหม?”

เฟยพยักหน้า “บางเรื่องผมอาจจะยังไม่เข้าใจมากนัก แต่ที่สิ่งที่ผมเห็นคือพี่ดูแลตี๋มันดีมากและพี่ก็รักมัน”

“รักมากด้วย พี่จองน้องเราไว้ตั้งแต่ป.สี่แล้วนา” เอสพูดเสริมใบหน้ายิ้มจนสองพี่น้องเกิดอาการหมั่นไส้ โดยเฉพาะตี๋ที่อยากจะยื่นมือออกไปบีบคอไอ้คนที่พูดเรื่องไม่เป็นเรื่องตรงหน้านี่สักที

“ยังไงก็แล้วแต่ ตี๋มันเป็นน้องที่ผมรักมาก ผมฝากดูแลมันด้วยนะพี่”

ตี๋มองพี่ชายตัวเองด้วยความไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เพราะตั้งแต่โตมาจนป่านนี้ไม่เคยมีแม้สักครั้งที่ทั้งสองคนจะบอกว่ารักกัน ขนาดจะพูดกันดี ๆ ยังแทบไม่ค่อยจะมี มันก็เลยสร้างความตกใจให้เขามาก

“ไม่ต้องห่วงหรอก พี่จะดูแลให้อย่างดีเลย”

“ขอบคุณครับ” เฟยยิ้มให้เอสแล้วหันกลับไปมองน้องชายตัวเองที่นั่งก้มหน้าเขี่ยผ้าปูที่นอนอยู่ ตนเอื้อมมือไปจับหัวของตี๋แล้วโยกมันไปมา เขารู้ว่ามันเขินและนี่คือวิธีที่จะทำให้มันหายเขินได้

“ตัวก็ออกจะใหญ่ ทำไมหัวเบาจัง สงสัยจะไม่มีสมอง”

“เหี้ยเฟย” ตี๋เงยหน้าขึ้นด่าพี่ชายเสียงเบา

“กูไปละ เดี๋ยวจะขัดเวลาสวีทหวานแหววของมึง”

คนน้องมองพี่ชายตาขวางในขณะที่เอสเดินตามไปส่ง เจ้าตัวโบกมือบ๊ายบายใบหน้ายิ้มแฉ่งจนเฟยคันปากอยากจะเหน็บแนม ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าและก็ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นจะเล่นหัวด้วยล่ะก็เสร็จเขาไปแล้ว

เอสเดินกลับมาทิ้งตัวลงบนที่นอนพร้อมกับดึงคนรักตามลงมากอดด้วย ตี๋พลิกตัวเข้าซุกอกอีกฝ่ายทันที ในตอนนี้เขารู้สึกโล่งใจไปหนึ่งเปลาะที่พี่ชายของเขายอมรับในสิ่งที่เขาเป็นได้ เหลือก็แต่ป๊ากับม๊า ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ตี๋ก็พล่อยหลับไปด้วยเคลิ้มจากสัมผัสอ่อนโยนจากมือใหญ่ที่กำลังลูบหัวตนเองอยู่




/




เอสตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดยังคงหลับสนิท เขาใช้ช่วงเวลานี้มองใบหน้าอีกฝ่าย ตัวเขานั้นชอบที่จะมองใบหน้าขาวใสของตี๋ยามนอนหลับ มองขนตาที่ยาวออกมาจากตาชั้นเดียว มองจมูกโด่ง ปากบางได้รูปสีสวยเห็นแล้วก็อยากจูบชะมัด แต่ก็ตัดสินใจหอมแก้มนิ่มที่มักจะเป็นสีแดงเวลาเขินนั่นแทน

“ตี๋ครับ” เรียกพร้อมกับหอมแก้มเสียงดังฟอด

“อือ” เจ้าตัวครางรับทั้งที่ยังหลับตาอยู่

“ตื่นได้แล้วนะ ไปกินข้าวกันเถอะ”

“ยังไม่หิวเลย”

ทั้งที่ตี๋เป็นคนชอบกิน แต่ถ้าเป็นเวลานอนไม่พอหรือง่วงอยู่กลับไม่แตะอาหารเลย และมันก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนตรงหน้าผอมมากขนาดนี้ ยิ่งเวลาที่โปรเจกต์เยอะจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน เรื่องกินนี่ลืมไปได้เลย เด็กคนนี้เลือกที่จะหลับมากกว่ากินแน่นอน ปิดเทอมนี้เขาก็เลยพยายามขุนจนตี๋น้ำหนักขึ้นมาห้ากิโล จากที่แก้มตอบก็เริ่มมีเนื้อขึ้นมาบ้าง เห็นแบบนี้ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย

“ไม่ได้นะ เดี๋ยวน้ำหนักที่พี่ขุนมามันจะหายไป เสียดายแย่”

ตี๋ยิ้มทั้งที่ยังหลับตา บางครั้งพี่เอสก็พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้งเหมือนเด็ก ๆ อย่างเมื่อกี้ก็เหมือนกัน พูดไปก็ลูบท้องที่เริ่มมีเนื้อของเขาไป ไม่ลืมตามองเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายทำสีหน้าแบบไหน ต้องขมวดคิ้วแล้วทำปากยู่แน่นอน

“ขออีกห้านาทีนะ” ตี๋บอก

“ก็ได้” เอสยิ้มออกมา “เดี๋ยวพี่ไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วขอออกไปดูป๊าก่อนนะ”

“อื้อ” คนที่หลับตานอนฟังพยักหน้าหงึกหงัก

“แล้วเดี๋ยวพี่ไปสั่งข้าวเผื่อเลยนะครับ” บอกพร้อมกับก้มลงจูบที่หน้าผาก

“ครับบบ” ตี๋ตอบเสียงยานคาง

คนพี่ลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยไม่นานนักออกมาก็เห็นไอ้คนที่บอกว่าขออีกห้านาทีนอนหลับต่อไปเรียบร้อย เขาได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหัวด้วยความเอ็นดูก่อนจะออกจากห้องไปดูว่าป๊ากำลังทำอะไรอยู่

ตอนแรกตั้งใจว่าจะเดินไปดูที่ห้อง แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นว่าท่านกำลังยืนคุยอยู่กับผู้ชายมีอายุคนหนึ่งที่เขาจำได้ว่าเป็นเจ้าของรีสอร์ต เห็นแบบนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาเพื่อจะถามว่าอยากกินอะไรจะได้ไปสั่งให้

“ป๊า” เอสเรียก

“อ้าว มาพอดี นี่ครับลูกชายผมชื่อเอส” ป๊าแนะนำ

เจ้าตัวยกมือไหว้พร้อมกับยิ้ม “สวัสดีครับ”

เขารับไหว้ “ลูกชายหล่อนะเนี่ย”

เอสได้แต่บอกขอบคุณพร้อมยิ้มแห้ง เขาไม่ชอบให้ใครมาชมเรื่องหน้าตานัก เพราะมันทำให้วางตัวไม่ถูก จะบอกขอบคุณมันก็ยังไง เหมือนยอมรับว่าใช่ มันก็ดูหลงตัวเองไป เขาเลยเลี่ยงการตอบโต้เรื่องหน้าตาของตัวเองเวลาที่มีคนมาชมทุกครั้ง

“ป๊าหิวหรือยัง?” เอสเลยหันไปถามคนเป็นพ่อแทน

“ยังพอได้ เพิ่งกินมาตอนบ่ายนี้เอง พวกไอ้แสบยังไม่ตื่นกันอีกเหรอ”

“ยังไม่ตื่นเลย เอสว่าจะไปสั่งข้าวเอาไว้ก่อน แล้วค่อยไปปลุกขึ้นมากินข้าวกัน”
“เออ ไปสั่งไว้สิ”

เอสตอบรับก่อนจะหันไปบอกขอตัวกับเจ้าของรีสอร์ตด้วยท่าทีนอบน้อม สร้างความประทับใจจนผู้ใหญ่เอ่ยปากชมกับคนเป็นพ่อ เจ้าตัวเดินตรงไปที่ซุ้มอาหารจัดการสั่งอาหารให้ทุกคนเรียบร้อย เขาสั่งยำผักกูด แกงเขียวหวานปลาช่อนทอด ไข่เจียวโหระพา แกงจืด และไก่ทอดมะแขว่น ในช่วงที่กำลังรออาหารเลยตั้งใจไปปลุกสองพี่น้อง แต่พอเดินไปถึงหน้าบ้านพักก็เจอเฟยเปิดประตูออกมาพอดี

เจ้าตัวสะดุ้งเล็กน้อยที่เจอแฟนของน้องชาย อาจจะเพราะยังปรับตัวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้ไม่เต็มร้อยนัก

“ไปนั่งรอสิ พี่สั่งอาหารไว้ให้แล้ว”

เฟยยิ้มกับความดีของคนตรงหน้า ทำเอาเขารู้สึกไม่ดีนักที่ก่อนหน้านี้มองอีกฝ่ายในแง่ลบ ก่อนจะตอบ “เดี๋ยวผมเดินเล่นรอแล้วกันพี่”

เอสพยักหน้ารับ “งั้นพี่ไปปลุกตัวแสบก่อนนะ ตื่นยากมากเลย”

“ถีบมันตกเตียงสักทีมันก็ตื่นแล้วพี่ บ้านผมใช้วิธีนี้ประจำ”

คนฟังหัวเราะ “ไม่เอาหรอก เดี๋ยวตี๋จะมาถีบพี่คืนน่ะสิ”

“โอ๊ย! มันไม่กล้าหรอกเชื่อผม”

คนอายุมากกว่ายิ้มขำก่อนจะขอแยกตัวออกไปที่ห้องของตน เปิดเข้าไปเห็นคนบนเตียงยังคงหลับปุ๋ยอยู่ เห็นแบบนี้ก็ได้แต่ส่ายหน้าปลง ตี๋นอนเก่งมากถ้าเทียบกับเขาที่เป็นพวกนอนน้อย ต่อให้กลางคืนจะนอนดึกแค่ไหนเช้ามาก็ยังตื่นเป็นเวลา อาจจะด้วยความเคยชินที่จะต้องไปทำงานทุกวันเลยทำให้ตื่นเช้าเป็นกิจวัตรก็ได้

“ตี๋” เขาเขย่าตัวคนที่หลับอุตุบนที่นอน แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับอะไรออกมา “ตื่นได้แล้วครับ” เอสก้มตัวลงไปกระซิบที่ข้างหู

“อือออ” เจ้าตัวครางบิดหน้าหนีเสียงรบกวนจากคนรัก เขากำลังหลับสบายได้ที่อยู่เลยเชียว แต่คนด้านบนก็จับเข้าที่คางแล้วดึงหน้าของคนข้างใต้ให้หันกลับมาแล้วกระซิบอีกครั้ง

“ถ้าไม่ตื่นพี่จะปล้ำนะ”

ได้ผล! ตี๋ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที

“ที่ขู่นี่กล้าใช่ไหม?”

“ไม่รู้สิ” เอสไหวไหล่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไปกินข้าวได้แล้ว ค่อยมานอนต่อก็ได้”

คนน้องบิดขี้เกียจไล่ความง่วง ลุกขึ้นนั่งหน้าตามึนสติยังไม่ค่อยมาเต็มนัก เห็นแบบนี้เอสก็ขยี้หัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู เมื่อครู่เขาก็ขู่ไปอย่างนั้นเอง ถ้าจะปล้ำตี๋โดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอมเขาทำไม่ได้หรอก เพราะได้ให้สัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ทำเรื่องนี้จนกว่าตี๋จะพร้อม

“ไปล้างหน้าล้างตาไป”

“งือ” ตี๋ฟุบหน้าลงกับไหล่ของคนที่นั่งหันหน้าเข้าหาเขาอยู่ริมเตียง “อยากนอนต่อ”

“ได้นอนแน่ แต่ตอนนี้ต้องไปกินข้าวก่อนนะครับ”

“ยังไม่หิวเลยย”

“ดื้อเอ๊ย” เอสพูดกลั้วหัวเราะ

“ดื้อแล้วรักปะล่ะ?”

คนพี่ชะงักไป...อะไรกัน นี่กินยาลืมเขย่าขวดหรือไง...

“นี่ใช่ตี๋ตัวจริงหรือเปล่าเนี่ย? หรือมีคนอื่นเข้ามาสิง”

มือขาวฟาดป้าบลงที่หลังของคนแซวไม่แรงนัก คนเรารึอุตส่าห์พยายามทำหน้าด้านพูด

“โอ๋ ๆ ๆ รักสิ รักมากเลย” พอโดนตีเอสก็หัวเราะร่วนแล้วโอบเอวผอมของตี๋เข้ามากอด โยกตัวไปมาเหมือนกำลังโอ๋เด็กน้อย ก้มลงหอมแก้มฟอดใหญ่แถมให้อีกด้วย “แต่ตอนนี้ต้องไปกินข้าวก่อนนะครับ ป๊ารออยู่นะ”

“แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรก”

ตี๋ลุกออกจากที่นอนทันทีที่บอกว่าป๊าของเขากำลังรอกินข้าวเย็นอยู่ เห็นแบบนี้แล้วก็ได้แต่หัวเราะออกมา รู้แบบนี้ไม่มานั่งเสียเวลาปลุกตั้งนานหรอก ใช้วิธีนี้ซะตั้งแต่แรกก็จบ เพราะน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้ไงอีกฝ่ายถึงได้กลายมาเป็นลูกรักของป๊าอีกคน

ใช้เวลาไม่ถึงสองนาทีตี๋ก็เสร็จเรียบร้อย เจ้าตัวเดินนำเขาออกไปก่อนด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเพราะหิวหรืออะไร เอสที่เดินตามหลังได้แต่ยิ้มและส่ายหัว บางครั้งบางคราเขาก็อยากจะตีอีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยวเหลือเกิน

เพราะความรู้สึกของเขาที่มีกับอีกฝ่ายนั้น มันไม่ใช่แค่รักในแบบคนรักอย่างเดียว ตี๋นั้นเป็นเหมือนทั้งพี่ชาย น้องชายและเพื่อน ในบางครั้งก็เหมือนลูกชายที่เขาต้องดูแล และในบางครั้งนั้นตี๋ก็เป็นฝ่ายที่ดูแลเขาเหมือนกัน

...คิดแล้วเขาก็รู้สึกดีเป็นบ้า...

“กว่าจะตื่นได้นะ” ป๊าทักทันทีที่เห็นตี๋เดินเข้าไปหา

“ขอโทษคร้าบ” คนตัวขาวยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะดึงเก้าอี้ข้างพี่ชายออกแล้วนั่งลง

“กว่าจะปลุกให้ตื่นได้ หืดแทบขึ้นคอแหนะ” เอสบอก

ตอนนี้กับข้าวที่สั่งไว้ก็ลงโต๊ะทุกอย่างเรียบร้อย สองพี่น้องก้มหน้าก้มตากินด้วยความหิวโหย เอสมองตี๋ที่เพิ่งบอกไปหยก ๆ เองว่าไม่หิว แต่ดูสิ..ตอนนี้กินอย่างกับหิวโหยมานาน

ตี๋ที่ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ มาจากคนตรงข้ามเจ้าตัวก็เงยหน้ามอง “หัวเราะไรอะ?”

เอสเลิกคิ้วขึ้น ริมฝีปากยังคงยิ้มอยู่ “เมื่อกี้นี้ใครก็ไม่รู้บอกว่า ‘ยังไม่หิวเลย’ ” เขาทำเสียงเลียนแบบตี๋ เจ้าตัวเหลือบตาขึ้นมอง เอาลิ้นดุนเศษข้าวที่ติดฟันอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ไม่กล้าด่า..เลยได้แต่ส่งสายตาคาดโทษไปให้

“ป๊อดรึไง?” เฟยถามยิ้มขำ

“ป๊อดห่าไรมึง”

“ทีงี้ล่ะไม่กล้า ถ้าเป็นกูนะ..ฮึ่ม!” ลองถ้าเขาล้อเลียนมันอย่างที่พี่เอสทำสิ มันไม่ทำแค่จ้องหน้าหรอก รับรองได้ว่ามันด่าเขาไม่เหลือซากแน่

“ใช่” คนน้องพยักหน้า “ถ้าเป็นมึงนะกูจะถีบให้ตกดอยเลย”

“โอ๊ย” เฟยยกมือทาบหน้าอก แกล้งทำหน้าเจ็บปวด “พี่ชายคนนี้มันไร้ความหมายแล้วสินะ”

ตี๋ทำหน้าจะอ้วกเรียกเสียงหัวเราะให้กับทั้งโต๊ะ

“สนิทกันดีนะ” ป๊าพูดยิ้ม ๆ

“ตี๋กับมันเนี่ยนะ?” นิ้วเรียวชี้ไปมาระหว่างตัวเองกับพี่ชาย “ป๊ามองตรงไหนว่าสนิทกันเนี่ย”

“คนเราถ้าไม่สนิทสนมกันเขาก็ไม่ทะเลาะกันหรอกนะ เพราะสนิทถึงมีเรื่องให้ทะเลาะกันได้ไม่มีวันหมด แต่พวกเอ็งถึงจะดูเหมือนเป็นคู่กัดกัน แต่ต่างคนก็ต่างรักกันมากใช่ไหมล่ะ?”

สองพี่น้องที่ว่าเหลือบมองหน้ากัน ก่อนจะหันหนีแล้วก้มหน้ากินข้าวของตัวเองด้วยความรู้สึกขัดเขินที่โดนคนสูงอายุอ่านออกจนทะลุปรุโปร่ง มันก็ถูกอย่างที่ท่านว่านั่นล่ะ แต่พวกเขาก็ผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ ไอ้ครั้นจะมากอดหอมหรือบอกรักกันมันก็ไม่ใช่แนวทาง

“เขินกันเหรอเนี่ย” เอสทักเมื่อเห็นทั้งคู่เงียบไป “ไม่เห็นต้องเขินเลย มีพี่น้องแบบนี้ดีออก..พี่โตมาคนเดียวเห็นแบบนี้แล้วก็แอบอิจฉาเหมือนกันนะ”

พอคิดตามที่อีกฝ่ายพูดดูแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งตี๋และเฟยได้รู้ว่าการเติบโตมาด้วยกันนั้นมันดีแค่ไหน พวกเขาทะเลาะกันบ่อยก็จริง..แต่มันก็เป็นเรื่องไร้สาระทั้งนั้น

ต่างคนต่างก็รักอีกฝ่าย..เพียงแค่ไม่บอกกันเท่านั้นเอง
...ปากแข็งด้วยกันทั้งคู่...สมเป็นพี่น้องกันจริง ๆ




TBC…
ถ้ามีโอกาสสักครั้งก็อยากให้ทุกคนลองไปเที่ยวที่บ่อเกลือดูค่ะ
เราไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นสองเดือนกว่า บอกได้เลยว่าอากาศดีมาก ๆ
แต่อย่าไปหน้าฝนนะคะ อันตรายมากค่ะ
 :L2:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.15 หน้า 3 [up:05/06/2018]
« ตอบ #69 เมื่อ: 05-06-2018 22:51:32 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.15 หน้า 3 [up:05/06/2018]
«ตอบ #70 เมื่อ06-06-2018 00:34:42 »

 :pig4:

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.15 หน้า 3 [up:05/06/2018]
«ตอบ #71 เมื่อ06-06-2018 02:04:51 »

พี่เฟยโอเคแล้ว

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.15 หน้า 3 [up:05/06/2018]
«ตอบ #72 เมื่อ06-06-2018 05:43:01 »

ขอบคุณค่า ติดตามจ้า

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.15 หน้า 3 [up:05/06/2018]
«ตอบ #73 เมื่อ06-06-2018 05:51:53 »

 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ กานดา.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
    • facebook page
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.16 หน้า 3 [up:14/06/2018]
«ตอบ #74 เมื่อ14-06-2018 21:57:23 »



16





ขาลงจากบ่อเกลือดีที่ได้ยาแก้เมารถจากเจ้าของรีสอร์ตมาทำให้ตี๋นอนยาวจนถึงที่พักรถในจังหวัดนครสวรรค์ แต่แล้วก็โดนปลุกขึ้นมาซื้อของฝากที่ร้านโมจิชื่อดัง เจ้าตัวตื่นมานั่งหน้ามึนอยู่สักพักโดยมีเอสยืนรออยู่ ในขณะที่คนอื่นไปเดินเลือกซื้อของกันในร้านเรียบร้อยแล้ว

พอตั้งสติได้ก็ไปเลือกซื้อของฝากไปให้ไอ้เพื่อนสองคนนั้น พวกมันจะได้ไม่บ่นว่าของฝากมีแต่เกลือภูเขา ในขณะที่เฟยซื้อไปฝากป๊าม๊าและพวกญาติ ๆ รวมถึงคนที่ทำงาน เรียกได้ว่าจ่ายไปเยอะเลยทีเดียว แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา..ก็ในเมื่อตี๋ยังต้องขอเงินที่บ้านใช้อยู่เลย เขาก็ต้องประหยัดเงินช่วยท่านเอาไว้ก่อน จะให้มาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็จะต้องหาเงินเองให้ได้ก่อนสิ

ในขณะที่เอสก็ซื้อไปเป็นของฝากให้คนในแผนกเพื่อเป็นการสร้างมิตรภาพตามหน้าที่ และที่ลืมไม่ได้ก็คืออาม่าอากงแถวบ้านที่แวะเวียนกันมาคุยกับป๊าเป็นประจำที่บ้าน สิ่งนี้ถือเป็นสินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเขา

เดินเลือกซื้อกันอยู่ประมาณยี่สิบนาทีก็รวมพลกันมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ทางป๊านั้นออกไปยืนรอด้านนอกเรียบร้อยแล้ว พอสามหนุ่มมายืนเรียงกันแบบนี้แล้วก็พานทำให้สาวที่ยืนประจำหน้าเครื่องคิดเงินมองไม่วางตา โดยเฉพาะเอสที่เป็นเป้าสายตาที่สุด เพราะไม่ว่าจะเป็นหน้าตาที่หล่อเหลา รูปร่างที่ดูดี เรียกได้ว่าเป็นที่หมายปองของสาว ๆ ได้เลย

...แต่หารู้ไม่ว่า...คนที่เธอกำลังมองตาเชื่อมอยู่น่ะ
...ไม่ได้ชอบผู้หญิง

“เฟย เอามาจ่ายรวมกับพี่ก็ได้นะ” เอสบอกหลังจากที่เอากล่องขนมจากตี๋มาจ่ายรวมกับของตนเรียบร้อย ตอนแรกตี๋ก็ไม่ยอมหรอก แต่พอโดนคนตรงหน้าบังคับก็เลยต้องจำยอมอย่างช่วยไม่ได้

“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมจ่ายเอง” เฟยปฏิเสธ

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจหรอก” เอสบอกยิ้ม ๆ

“ไม่ได้หรอกพี่ ผมทำงานมีรายได้แล้ว จะไปรบกวนคนอื่นไม่ได้”

พออีกฝ่ายยืนยันหนักแน่นแบบนี้แล้ว เอสก็เข้าใจและปล่อยให้เฟยเป็นฝ่ายคิดเงินและออกไปรอที่นอกร้านก่อน ในขณะที่ถึงคิวเขาคิดเงินเอสก็จับสังเกตว่าพนักงานสาวตรงหน้าเหลือบมองและยิ้มให้เขาหลายรอบแล้ว และก็ทำเป็นคิดเงินช้าราวกับว่าจะถ่วงเวลาอยู่อย่างไรอย่างนั้น

“ไปเที่ยวกันมาเหรอคะ?” พนักงานสาวถามขึ้น

“อ่อ..ครับ” เอสตอบสั้น ๆ เขายิ้มมุมปากหลังจากเหลือบมองคนรักที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กำลังทำหน้าตูมอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก

“น้องชายน่ารักดีนะคะ” หล่อนบอกหัวเราะเบา ๆ อย่างมีจริต
 
หากแต่ถ้ามองดูดี ๆ แล้วก็จะเห็นว่าตี๋นั้นจ้องหล่อนด้วยดวงตาแข็งกร้าว แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงเขาเลยเงียบปากไว้ จะให้ไปด่าทอผู้หญิงที่โปรยเสน่ห์ใส่เอสก็ดูไม่เข้าท่านัก สุดท้ายเลยเลือกที่จะเดินหนีดีกว่าจะได้ไม่อารมณ์เสียไปมากกว่านี้ แต่แขนเรียวกลับโดนมือใหญ่ของอีกคนดึงเอาไว้ก่อน

“อ่า..ขอบคุณครับ” เอสยิ้มตาหยี “แต่คนนี้..แฟนผมครับ ไม่ใช่น้องชาย”

“ขะ- ขอโทษด้วยนะคะ” เธอรีบขอโทษเป็นพัลวัน ก้มหน้าก้มตาคิดเงินให้เสร็จแล้วรีบเอากล่องขนมลงถุง รับเงินจากมือเอสไปก่อนจะทอนเงินโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขาสองคนอีก

“ขอบพระคุณมาก ๆ นะคะ โอกาสหน้าเชิญใหม่ค่ะ”

“ครับ แล้วผมจะมาใหม่นะ” เอสบอกยิ้มบาง ก่อนจะหยิบถุงขนมขึ้นมาหิ้วข้างละสองถุงใหญ่

“อ๊ะ! เดี๋ยวตี๋ช่วย”

เอสส่งถุงให้คนอาสาจะช่วยรับไปถือไว้ ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างฉวยมือขาวขึ้นมากุมเอาไว้แล้วจูงกันออกจากร้านไป ตี๋ก้มหน้างุด เจ้าตัวพยายามกลั้นยิ้มโดยการเม้มปากจนมันเป็นเส้นตรง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะด่าและทุบคนตรงหน้าด้วยกำปั้นไปแล้ว โทษฐานพูดอะไรไม่เข้าท่า แต่หลังจากที่ยอมรับความรู้สึกหลาย ๆ อย่างของตัวเอง ก็ทำให้เขาไม่ว่าหากคนคนนี้จะทำอะไรลงไป เพราะเขารู้ว่าเอสเป็นผู้ใหญ่แล้ว และรู้ว่าอะไรที่สมควรหรือไม่สมควรทำ

หลังจากที่ไตร่ตรองดูหลายอย่างแล้ว เขาก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองนั้นถ้าได้มีแฟนแล้วจะหวงแฟนมากแค่ไหน น่าขำชะมัด...ทั้งที่ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน ก็รู้อยู่หรอกว่าอีกฝ่ายนั้นหน้าตาดี แต่เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่า..เอสนั้นเป็นจุดสนใจมากเพียงใด แล้วยิ่งอีกฝ่ายเป็นคนที่เป็นมิตรกับทุกคนขนาดนี้แล้วด้วย

“เฮ้อ” เจ้าตัวถอนหายใจออกมาเสียงเบาพอที่จะให้ได้ยินแค่คนเดียว

...น่าเบื่อชะมัด

บางครั้งก็เบื่อที่ตัวเองเป็นแบบนี้เหลือเกิน...

เขาไม่ได้อยากจะเป็นคนแบบนี้เลย ไม่อยากจะเป็นคนขี้หวงเหมือนเด็กหวงของแบบนี้ และก็ไม่รู้ว่าถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเขาเป็นแบบนี้แล้วจะคิดยังไงกันนะ





/





ทุกคนกลับมาถึงบ้านในเวลามืดแล้ว การขับรถระยะทางไกลแบบนี้ทำเอาปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัวเลย โชคดีที่ว่าเอสลางานไว้เพิ่มอีกหนึ่งวันเพื่อพักผ่อนเรียบร้อย ไม่อย่างนั้นคงแย่แน่ถ้าต้องไปทำงานทั้งที่ร่างกายไม่พร้อม

เขาจอดรถไว้ที่หน้าบ้านตามเดิม ก่อนหน้านี้เขาอยากจะหาบ้านสักหลังที่มีรั้วรอบขอบชิดแทนที่จะอยู่ตึกแถวแบบนี้ แต่ติดที่ป๊าของเขาอยู่ตรงนี้มานานหลายสิบปีจนท่านคุ้นชินกับการอาศัยอยู่แถวนี้ไปแล้ว ถ้าจะย้ายท่านไปอยู่ที่อื่นเขาเองก็อดที่จะสงสารท่านไม่ได้ เพราะถ้าย้ายไปจากตรงนี้เท่ากับท่านก็อยู่ตัวคนเดียวเลย ไม่มีเพื่อนฝูงคอยแวะเวียนมาพูดคุยด้วยอีก และที่สำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจไม่ย้ายไป คือถ้าเขาทำงานดึกดื่นอย่างน้อยก็ยังคงมีบ้านของตี๋คอยดูแลช่วยท่านแทนเขาอีกแรง พอคิดไปคิดมา..อย่างน้อยอยู่ตรงนี้เขาก็สบายใจมากกว่า ถึงจะไม่ได้อย่างใจก็ตาม แต่เขาก็มองว่าความสะดวกของป๊าต้องมาก่อนเขาเสมอ

“อย่าลืมของกันนะเด็ก ๆ” ป๊าไปยืนบอกสองพี่น้องที่กำลังขนของออกจากหลังรถ และแยกของตนไปกองไว้อีกฝั่ง

“คร้าบ” ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน

พอคัดแยกจนเสร็จแล้ว หลังจากที่เอสเดินไปเปิดประตูบ้านแล้ว ทั้งสองพี่น้องก็ช่วยยกสัมภาระเข้าบ้านไป คนอายุมากเห็นแบบนี้แล้วก็ยิ้มด้วยความเอ็นดูเด็ก ๆ ทั้งสองคนที่เห็นมาแต่อ้อนแต่ออก

“เดี๋ยวผมขอตัวกลับเลยนะครับ” เฟยบอกเจ้าของบ้าน

ท่านพยักหน้า “แล้วตี๋ล่ะ..กลับด้วยเลยไหม?”

เจ้าตัวที่กำลังก้มลงหยิบของที่พื้นเงยหน้าขึ้นมองคนถาม “กลับครับ”

“พรุ่งนี้ค่อยกลับไม่ได้เหรอ?” เอสเดินเข้าไปประชิดพูดเสียงอ้อน หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาหลายวัน พอต้องแยกกันแบบนี้ก็ทำให้อดที่จะรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาไม่ได้

คนน้องขมวดคิ้วมอง “ไม่ได้ เดี๋ยวป๊าว่า”

“เฮ้อ” เจ้าตัวถอนหายใจอย่างเสียดาย “ก็ได้ครับ”

ตี๋มองหน้าคนที่ยืนคอตกตาแป๋ว เขาใช้ความคิดอยู่สักพัก ไหน ๆ พรุ่งนี้ก็ไม่ได้เปิดเทอม ยังมีวันหยุดอีกวัน “เดี๋ยวพรุ่งนี้ตี๋มาหานะ พี่ไม่ไปทำงานนี่”

จากที่เมื่อครู่ยังหน้าเศร้าคอตกเพราะต้องแยกกับตี๋ พอน้องบอกว่าจะมาหาก็ทำเอาเอสดีใจจนเผลอแสดงอาการเหมือนเด็กออกมา

ท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือของเอสเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากคนที่ยืนมองอยู่อย่างป๊าและเฟยได้ดี เจ้าตัวได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ และเกาต้นคอแก้เขิน คนเป็นพ่อรู้ว่าเพราะเอสไว้ใจเฟยแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่แสดงท่าทีแบบนี้ออกมาต่อหน้าอีกฝ่ายหรอก

“ไป เด็ก ๆ กลับบ้านไปได้แล้ว ป่านนี้ป๊ากับม๊าคงรอแกร่วแล้วมั้ง” คนพ่อบอก เพราะนี่ก็ดึกมากแล้วผู้ใหญ่จะได้ไม่ต้องรอนาน

“ไปนะ” ตี๋โบกมือลาเอสยิ้ม ๆ ก่อนจะหันไปบอกลาป๊าต่อ ในขณะที่เฟยยกมือไหว้คนทั้งคู่แล้วเดินกลับบ้านไปพร้อมกับน้องชาย





/





วันต่อมาตี๋นัดเพื่อนให้ไปเจอกันที่ห้างเพื่อที่จะเอาของฝากมาให้ เขาไม่อยากหอบไปให้ที่มหาวิทยาลัย เพราะเดี๋ยวอาจจะโดนเพื่อนคนอื่นถามมากเรื่องอีก ขี้เกียจตอบคำถามเยอะแยะ

วันนี้มีเอสเป็นสารถีขับรถมาส่ง ที่จริงก็ปฏิเสธแล้วว่าเขาไปเองได้ เห็นอีกฝ่ายขับรถมาตั้งไกลก็น่าจะนอนพักอยู่บ้านไป แต่เจ้าตัวก็ยืนยันจะมาให้ได้ท่าเดียว อ้างว่าจะออกไปซื้อของด้วย ตี๋ก็เลยต้องตามใจอย่างช่วยไม่ได้

...แบบนี้เขาก็คงจะอยู่กับไอ้พวกนั้นไม่ได้นานแน่เลย
มาด้วยแบบนี้เดี๋ยวคงจะโดนลากกลับไปนอนกกที่บ้านอีกแหง...

“เครียดเหรอ?” คนที่กำลังขับรถชำเลืองมองคนด้านข้างที่ถอนหายใจออกมาเสียงเบา

“หา? อ๋อ..เปล่าหรอก แค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ” เขาคิดว่าตัวเองถอนหายใจเสียงเบามากแล้วนะ แต่ก็ไม่รอดหูอีกฝ่ายอยู่ดี

“ไม่อยากให้พี่มาด้วยเหรอ?” เอสถาม ใบหน้ามีรอยยิ้มบาง ๆ ประดับอยู่ ที่ถามออกไปเขาเองก็ไม่ได้คิดมากอะไรหรอก ความจริงแล้วมันเป็นคำถามหยั่งเชิงดูท่าทีของตี๋มากกว่า

“ไม่ ๆๆ ตี๋ไม่ได้คิดแบบนั้นนะ” คนน้องปฏิเสธโบกมือเป็นพัลวัน

“แต่...”

“หืม?”

“ตี๋แค่...กลัวจะเคยตัวแล้วติดพี่ไปมากกว่านี้” เจ้าตัวตัดสินใจที่จะบอกออกไปหลังจากคิดมานาน ตี๋เป็นคนคิดมากและคิดนาน เป็นคนที่ใช้ความคิดนานกว่าจะพูดออกจากปากได้ เพราะกลัวผลกระทบที่จะเกิดจากคำพูดของตัวเอง “แล้วยิ่งติดมาก ตี๋ก็จะยิ่งหวงพี่มาก ก็กลัวว่าพี่จะรำคาญเอาน่ะ”

เอสยิ้มออกมาด้วยความยินดี

“ทำไมถึงกลัวว่าพี่จะรำคาญล่ะ?” เขาย้อนถาม

“...ไม่รู้สิ”

เขาหัวเราะในลำคอด้วยความเอ็นดูคนด้านข้าง “วันหลังถ้ามีอะไรในใจก็ถามพี่นะไม่ต้องไปคิดเองเออเองรู้ไหม”

ตี๋พยักหน้าหงึก “...รู้แล้ว”

...แต่จะทำหรือเปล่าก็อีกเรื่องนะ...เด็กดื้อคิดในใจ

“พี่รักเรานะ” เอสเอื้อมไปดึงมือขาวที่กำลังแคะเล็บด้วยความประหม่าออกจากกัน เอามากุมเอาไว้บนหน้าขาของตัวเอง “อย่าคิดเอาเองว่าพี่จะเบื่อหรือรำคาญเรา เราจะหึงจะหวงพี่ก็ทำได้เต็มที่เลย เรามีสิทธิ์ในตัวพี่เต็มร้อยจะทำอะไรก็ไม่ต้องกลัวหรอก พี่ชอบเสียอีกที่เราหวงพี่ เพราะงั้นอยากทำอะไรหรือรู้สึกแบบไหนเราทำได้เต็มที่เลยนะ รู้ไหม?”

ตี๋เม้มปากตอบ “อื้อ”

“รู้ หรือ เปล่า” เขาเน้นย้ำทีละคำ คนอย่างตี๋เนี่ยต้องคอยบอกย้ำให้บ่อย ๆ ไม่อย่างนั้นก็ชอบคิดอะไรไปเรื่อย ซึ่งบางทีก็ไม่เข้าท่านัก แล้วก็ชอบเก็บไว้ในใจไม่บอกใครอีก

“รู้แล้วโว้ยยย” เจ้าตัวเริ่มโวยวายกลบอาการเขินของตัวเอง

“รู้ว่าอะไร” เอสถามหันไปมองดวงหน้าคนด้านข้างสายตาหวานเยิ้ม

“รู้- รู้ว่า พี่...แม่งน่ารำคาญไงล่ะวะ” อึกอักอยู่สักหน่อย แต่เขาก็คิดได้ว่าไม่ควรจะปล่อยให้ไอ้พี่เอสนี่ได้ใจมากจนเกินไป เลยดึงมือออกจากมือใหญ่แล้วตอกอีกฝ่ายไปหวังให้หน้าหงาย แต่ที่ได้รับกลับมาดันเป็นเสียงหัวเราะซะอย่างนั้น

อีกฝ่ายไม่ได้ตอบโต้อะไร กลับขับรถต่อไปอย่างอารมณ์ดี เพราะเขารู้ว่าถึงตี๋จะด่าหรือโวยวายยังไง แต่ในใจมันไม่ใช่อย่างที่ปากว่าออกมาหรอก เรียกว่าเป็นคนที่เวลาเขินจะกลบเกลื่อนโดยการด่าและโวยวายเป็นส่วนใหญ่ นาน ๆ จะมีเขินแล้วเข้ามาอ้อนสักครั้ง แต่ไม่ว่าตี๋จะเป็นแบบไหนเขาก็รักทั้งนั้นล่ะ

ก็อย่างว่า...เขารักของเขามาตั้งแต่เด็กนี่นา





/





พอถึงที่หมายเอสก็ขอแยกตัวไปทำธุระของตัวเอง ปล่อยให้ตี๋ไปหาเพื่อนที่นัดกันไว้ ที่เขาตามมาด้วยก็เพราะว่าจะมาดูหนังสือออกใหม่ไว้ให้ป๊าอ่านเวลาว่างด้วยนี่แหละ อันที่จริงแล้วถ้าน้องไม่ออกมาหาเพื่อนเขาก็จะชวนให้ออกมาด้วยกันอยู่แล้ว

คนตัวขาวเดินหิ้วถุงเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง เขานัดพวกมันให้มาเจอกันที่นี่ แต่เพราะตื่นสายเขาเลยมาเป็นคนสุดท้าย พวกมันเห็นหน้าเขาก็รุมด่ากันใหญ่จนสำนึกผิดไม่ทันเลยทีเดียว พอยื่นของฝากให้เท่านั้นแหละถึงจะหยุดกันได้

“นี่อะไรวะ?” ภาคหยิบขึ้นมาดู “สปาเกลือขัดผิว! ซื้อมาทำเหี้ยไรเนี่ย”

“ก็กูเห็นหน้ามึงมันหนา..เลยว่าจะไว้ให้มึงขัดหน้าไง”

“สัด”

กลอยหยิบเกลือถุงใหญ่ขึ้นมาโยนกะน้ำหนักดู “ซื้อเกลือมาให้เป็นกิโลเลยว่ะ”

“ปกติเกลือภูเขามันไม่มีไอโอดีนนะ แต่นี่ไม่ต้องกลัวว่าจะขาดไอโอดีนเลยมึง เขาเติมมาให้เรียบร้อย” ตี๋บรรยายสรรพคุณตามที่ป้าคนขายบอกมาเป๊ะ ๆ

“เออ ขอบใจ” กลอยพูดหัวเราะ

“แล้วของฝากจากบ่อเกลือไม่มีอย่างอื่นอีกเหรอวะ?” ภาคถามคุ้ยดูของในถุง ที่นอกจากเกลือและโมจิก็ไม่เห็นมีอะไรอีก

“มีพวกของป่าอะ พวกเขียดพวกหมูป่า คิดว่าซื้อมาก็ไม่มีคนกินเลยไม่ซื้อมาดีกว่า” พูดไปก็เห็นพวกมันทำหน้าแหยะ ๆ แล้วเขาก็หัวเราะออกมา

“มึงกินไรมายัง?” กลอยถาม ตี๋ส่ายหัวดิก “งั้นสั่งไรกินดิ” เขายกมือขึ้นเรียกพนักงาน

“ไปดูหนังกันต่อไหมวะ?” ภาคถามขณะที่ตี๋กำลังก้มดูเมนูแล้วบอกพนักงานที่มายืนรับอาหาร เขายื่นเมนูคืนแล้วหันมาตอบคำถามของเพื่อน

“ไม่ว่ะ” เจ้าตัวยกน้ำขึ้นจิบ “กูมากับพี่เอส ไม่อยากให้เขารอนาน”

“ง่อววววววว” ภาคกับกลอยแท็กทีมส่งเสียงแซว

“ง่อวพ่อมึงสิ”

“เหม็นฟามรักว่ะ” ภาคย่นจมูก

“อิจฉาคนมีคู่จัง” กลอยแท็กมือกับภาคหัวเราะกันก๊าก

“พวกมึงจะไม่หยุด?”

“โอ๋ ๆ อย่างอนไปเลยจ้ะพ่อ” กลอยดึงตัวเพื่อนที่กำลังจะลุกหนีให้นั่งลงที่เดิม

“ไม่แซวแล้วเด้อ”

“สัด” ตี๋ด่าหน้านิ่วคิ้วขมวด “ว่าจะเล่าอะไรให้ฟังสักหน่อย”

“อะไร ๆๆ” ภาคถามตาโต

“เออ มีอะไรคืบหน้าหรือไง?” กลอยถามคีบซูชิบนโต๊ะเข้าปากเคี้ยวต่อ

“เออดิ พี่กูรู้เรื่องแล้วนะ”

“หา?!” ภาคร้อง

“เรื่อง?” กลอยยังไม่ค่อยเข้าใจนัก

“ก็เรื่องที่กูคบกับพี่เอสเนี่ยสิ” พอตี๋พูดจบ เพื่อนทั้งสองคนนั่งเงียบอย่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อดีเลย เพราะต่างก็รู้ว่าเฟยเป็นพี่ชายที่โหดพอสมควร คนที่จะต่อกรกับเฮียแกได้ก็มีแต่ไอ้ตี๋กับป๊ามันเนี่ยแหละ แล้วถ้ารู้ว่าน้องชายคบกับผู้ชายด้วยกัน ผลมันจะเป็นยังไงกันล่ะเนี่ย

“พวกมึงเป็นเหี้ยไรกัน” ตี๋ขมวดคิ้วถาม

“เอ่อ กูควรจะรีแอคชั่นให้มึงแบบไหนดีวะ?” กลอยบอก “เอาแบบ...เฮ้ย! แล้วพี่มึงว่ายังไงวะ? แบบนี้ได้มะ”

“ไอ้ควาย...เว่อร์!!” เขาผลักหัวมันเบา ๆ “ผิดคาดฉิบหายอะ ตอนแรกกูคิดว่ามันจะด่าที่กูไปคบผู้ชายเหมือนกันแล้วเข้าไปหาเรื่องพี่เอส มันไม่ว่าอะไรสักคำเลยว่ะ แถมยังฝากฝังกูกับพี่เอสอีก”

เจ้าตัวหยุดพูดเพราะอาหารมาเสิร์ฟพอดี

“โคตรไม่น่าเชื่อ” ภาคบอกทำสีหน้าอึ้งไม่แพ้กับกลอยที่มองเพื่อนรักอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

“ตั้งแต่เกิดมามันไม่เคยบอกว่ารักกูมาก่อนเลยนะโว้ย ไม่รู้ตอนนั้นตัวห่าอะไรเข้าสิงมันหรือเปล่า”

“ก็ว่าไป พี่มึงเขารักมึงจริง ๆ ไม่งั้นเขาไม่ยอมมึงขนาดนี้หรอก” กลอยว่า “คนอย่างพี่มึงเคยยอมใครด้วยเหรอ?”

ตี๋ครุ่นคิด “นอกจากป๊าแล้วก็ไม่มีนะ”

“เขายอมมึงด้วย”

“ตรงไหนวะ ก็ทะเลาะกันอยู่ทุกวัน”

“แต่มันก็เป็นการทะเลาะกันเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งปะวะ”

เจ้าตัวหุบปากฉับไม่เถียงกลอยอีก ที่มันพูดก็ถูกของมัน เขายอมรับและไม่เถียงอีก ถึงแม้ว่าหน้าตาของเขากับพี่ชายจะเหมือนกันราวกับฝาแฝดแต่เฟยมันนิสัยคนละขั้วกับเขาเลยก็ว่าได้

“ใครแม่งเขาให้พูดเรื่องขี้ ๆ ตอนกินกันวะ” ตี๋พูดงึมงำในลำคอ เอาช้อนตักข้าวแกงกะหรี่เข้าปาก พวกเขานั่งคุยกันต่ออีกพักหนึ่งก็แยกตัวกันไป พวกมันสองคนก็ไปดูหนังกัน ส่วนเขาแยกออกมาไปหาพี่เอสที่ร้านหนังสือ

เข้ามาที่ร้านเขาก็สอดส่ายสายตามองหา โชคดีที่อีกฝ่ายตัวสูงและค่อนข้างเด่นเลยมองหาง่าย ซึ่งไอ้ตรงนี้นี่แหละที่เขาไม่ชอบใจนักเวลาที่มีใครมาสนใจคนรักของเขา บางครั้งเวลาเห็นอีกฝ่ายแต่งตัวดีทำผมเนี้ยบ เขานี่อยากจะเข้าไปเอามือขยี้ผมให้มันยุ่งเหยิงซะ

...มันเขี้ยวว้อย...

เจ้าตัวเดินไปหาคนที่กำลังมีสมาธิกับการอ่านหนังสือจนไม่รู้สึกตัวว่าเขาเดินมายืนอยู่ข้าง ๆ แล้ว ตี๋เดินเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่ายจนแทบจะสิงกันแล้วกระซิบเสียงเบาที่พอจะได้ยินกันแค่สองคน

“เลือกได้หรือยังเนี่ย?”

เอสสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่รู้สึกว่าโดนเบียด แต่พอหันมาเห็นว่าเป็นคนรักก็ฉีกยิ้มกว้าง “เลือกได้เป็นตั้งแล้ว พี่ฝากไว้ที่แคชเชียร์น่ะ”

คนน้องยิ้มให้ “แล้วนี่กินอะไรยัง? หิวไหม?”

“หิวนิดหน่อย”

“งั้นไปหาอะไรกินกัน” ตี๋บอก ที่กินกับเพื่อนไปเมื่อกี้นี้มันก็แค่ส่วนหนึ่งของกระเพาะ เขารู้ว่าต้องเก็บท้องมากินกับอีกฝ่ายเลยกินไปแค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง ยังไม่ครึ่งท้องเลยด้วยซ้ำ

“เราอยากกินอะไรล่ะ?” เอสถามเดินนำไปคิดเงินค่าหนังสือก่อน

“ตามใจพี่เลย” ตี๋บอก ปกติแล้วอีกฝ่ายจะตามใจเขาตลอด คราวนี้เขาอยากจะเป็นฝ่ายนั้นดูบ้าง

“หืม?” เอสเอียงคออย่างแปลกใจ “วันนี้มีตามใจพี่ด้วย”

“นาน ๆ ที” เจ้าตัวส่งยิ้มให้ “ไม่ชอบเหรอ?”

“ชอบสิ” คนพี่ยกมือขึ้นขยี้ผมน้องเบา ๆ ก่อนจะหันไปจ่ายเงินค่าหนังสือที่เสียไปหลายพันอยู่ หันมาก็เจอกับพนักงานที่จ้องเขาทั้งคู่ตาแป๋ว ทำเอาตี๋รู้สึกเก้อเขินไปเหมือนกัน เลยขอออกไปรอข้างนอกดีกว่า

เอสเดินออกมายกแขนขึ้นกอดคอให้ตี๋เดินตามมา “กินสเต๊กไหม?”

“เอา ๆๆ”

นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่ข้างนอกล่ะก็เขาคงจะฟัดแก้มขาวตรงหน้านี่ไปแล้ว ทำไมต้องทำตัวน่ารักขนาดนี้ ยิ่งนานวันตี๋ยิ่งทำตัวน่ารักมากขึ้นเรื่อย ๆ แค่นี้เขาเองก็หลงจะแย่อยู่แล้วแท้ ๆ

ทั้งสองคนใช้เวลากินสเต๊กกันไม่นาน เพราะไม่รู้จะไปไหนต่อก็เลยเลือกที่จะกลับบ้านกันดีกว่า จะได้ให้คนที่พรุ่งนี้ต้องไปทำงานพักผ่อนต่อ ถึงแม้ว่าพี่เอสจะเป็นคนที่แข็งแรงมากก็เถอะ เขาก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี คนคนนี้แบกรับหน้าที่อะไรหลายอย่างไว้มากมาย แล้วยังเป็นคนไม่ปล่อยวางอะไรง่าย ๆ อีก ดูจากภายนอกอีกฝ่ายอาจดูเป็นคนสบาย ๆ แต่ลึกเข้าไปแล้วใครจะรู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เขากลัวว่าอีกคนจะเกิดความเครียดสะสมไม่รู้ตัว เพราะแบบนี้อะไรที่เขาทำหรือช่วยได้เขาก็ทำ

บรรยากาศในรถระหว่างคนทั้งคู่ก็ยังคงเงียบเหมือนเดิม ที่จริงทั้งเอสและตี๋ก็ไม่ได้เป็นคนที่พูดเก่งนัก เวลาอยู่ด้วยกันก็จะต่างคนต่างอยู่ในความเงียบเสียเป็นส่วนใหญ่

“แล้วนี่เปิดเทอมวันไหนเหรอ?” เอสถามขึ้น

“หือ” คนถูกถามเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ “จันทร์หน้าอะ”

“เข้าเช้าหรือเปล่า?” ตี๋พยักหน้าตอบ “ให้พี่ไปส่งไหม?”

เจ้าตัวย่นจมูก “ไม่ต้องหรอก เสียเวลา”

“ก็ถามไปงั้น” คนพี่ไหวไหล่ เขารู้อยู่แล้วว่าตี๋จะต้องตอบแบบนี้ อันที่จริงที่ทำงานเขากับมหาวิทยาลัยของตี๋ก็ไม่ได้ไปทางเดียวกันหรอก  จะไปรับไปส่งมันก็ไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น แต่เขาไม่อยากจะทำให้ตี๋รู้สึกไม่ค่อยดี เพราะเจ้าตัวเคยบอกเอาไว้ว่า ‘พี่ไม่ต้องไปรับไปส่งทุกวันหรอก ตี๋ดูแลตัวเองได้ ไม่ได้เป็นผู้หญิงสักหน่อย’

เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้น้องคิดแบบนั้น ที่ทำไปทั้งหมดก็แค่อยากจะอยู่ด้วยกันให้มากขึ้นเท่านั้นเอง

“ก็อย่างที่เคยบอกไง ถ้าอยากให้ไปรับเดี๋ยวตี๋โทรเรียกเอง”

เขาหัวเราในลำคอ “จ้า”

“จ้าอะไร”

“ก็เชื่อฟังไงครับ”

“จะเชื่อฟังทำไม?” ตี๋เอียงคอคิ้วขมวดอย่างไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายพูดแม้แต่นิด เอสเหลือบมองคนข้างกายนิดหน่อยก่อนจะหันไปสนใจทางข้างหน้าต่อ ริมฝีปากแย้มยิ้มเล็กน้อย

“เชื่อฟังว่าที่ภรรยามันผิดตรงไหนล่ะ”

สิ้นสุดคำตอบของเอส คนที่รอฟังด้วยความตั้งใจอย่างตี๋ถึงกับอยากจะยกมือขึ้นไปชกคนข้าง ๆ ซะ แต่ก็ทำได้แค่ยกค้างไว้ พร้อมกับใบหน้าแดงแจ๋

“แปลกแฮะ...รอบนี้ไม่ด่า” พึมพำอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้กลัวจะโดนทำร้ายร่างกายแม้แต่น้อย “ยอมรับแล้วเหรอ?”

“ยอมรับบ้าอะไรล่ะ!! แค่ไม่รู้ว่าจะด่าอะไรดีต่างหากล่ะโว้ยยย!!”

คนพี่หัวเราะร่าด้วยความชอบใจหลังจากที่โดนตี๋โวยวายใส่

“หรือเราจะเป็นฝ่ายสามี? แย่หน่อยนะ..พี่คงให้เป็นไม่ได้”

“มันไม่ใช่ประเด็นนั้นเหรอวะ!”

“อ้าว! แสดงว่ายอมเป็นเมียพี่แล้วสิ” เขาพูดน้ำเสียงหยอกเย้า

ตี๋คว้าต้นคอของคนที่กำลังหัวเราะอย่างอารมณ์ดีไว้ให้มั่นออกแรงบีบเล็กน้อยพอให้รู้ว่าเขาไม่พอใจก่อนจะพูด “รู้ไหม...ถ้าพี่แม่งอายุเท่าตี๋นะ โดนตี๋กระโดดถีบไปแล้ว”

“อ่า..แหม ขอโทษนะ”

เจ้าตัวถอนหายใจหนัก ๆ หนึ่งที “ก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอก”

“แต่พี่พูดจริงนะเรื่องที่อยากจะได้เราเป็นเมียน่ะ”

ตี๋หลับตาลงอย่างหนักใจ “เออ รู้แล้วน่า”

เขาแค่ยังต้องขอเวลาเตรียมตัวเตรียมใจอีกสักพัก เซ็กซ์กับผู้ชาย...ไม่ใช่สิ่งที่เคยนึกคิด กลัวว่าพอถึงเวลาจริง ๆ แล้วเกิดมันทำไมได้ขึ้นมา มันจะทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายขนาดไหน เขาเลยไม่อยากทำในตอนที่ยังไม่พร้อม

“พี่อาจจะดูเหมือนเร่งรัดแต่พี่รอได้นะ..รอเก่งด้วย”

ตี๋เอียงหน้าหันไปมองคนขับรถ สายตาฉายแววเอ็นดูอีกฝ่ายอย่างปิดไม่มิด ทำไมถึงขยันทำให้เขาใจอ่อนอยู่เรื่อย แต่ขอโทษทีเถอะ...เรื่องนี้เขาขอใจแข็งไว้สักเรื่องนะ




TBC…
ความสัมพันธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป
ไม่ชิงสุกก่อนห่าม  แต่อิพี่เอสจะเฉาตายคาต้นมั้ยน้อ 555555
 :L2:



ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.16 หน้า 3 [up:14/06/2018]
«ตอบ #75 เมื่อ14-06-2018 22:23:25 »

 :laugh:

เข้าประเด็ด และตรงประเด็นมาก
ชอบตี๋

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.16 หน้า 3 [up:14/06/2018]
«ตอบ #76 เมื่อ15-06-2018 01:48:37 »

 :pig4:

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.16 หน้า 3 [up:14/06/2018]
«ตอบ #77 เมื่อ15-06-2018 01:57:42 »

พี่เอสรอต่อไป รอว่าที่เมียพร้อม 

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.16 หน้า 3 [up:14/06/2018]
«ตอบ #78 เมื่อ15-06-2018 04:29:23 »

น่ารักมากจ้า

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.16 หน้า 3 [up:14/06/2018]
«ตอบ #79 เมื่อ15-06-2018 09:29:15 »

พี่เอส ขยันหยอด พูดให้ใจตี๋อ่อน
แบบ  “พี่อาจจะดูเหมือนเร่งรัดแต่พี่รอได้นะ..รอเก่งด้วย”

พี่เอส น่ารัก อบอุ่น ตามใจตี๋จริงๆ   :mew1:
พี่เอส  ตี๋   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.16 หน้า 3 [up:14/06/2018]
« ตอบ #79 เมื่อ: 15-06-2018 09:29:15 »





ออฟไลน์ กานดา.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
    • facebook page
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.17 หน้า 3 [up:19/06/2018]
«ตอบ #80 เมื่อ19-06-2018 17:02:20 »



17

   


พอเปิดเทอมก็เป็นไปอย่างที่คาดหมายเอาไว้ งานที่อาจารย์ให้มาเยอะเป็นภูเขาเลากาจนตี๋แทบจะกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ แต่ต้องขอบคุณที่เจ้าตัวจัดการเวลาเก่งเลยทำให้ยังมีเวลาให้เอสอยู่บ้าง พักหลังนี้ถึงขนาดหอบงานมาทำที่บ้านเขาเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ห้องเขาเลยรกเหมือนเป็นสนามรบย่อม ๆ กองงานทุกอย่างวางอยู่บนที่นอนจนตอนนี้ต้องระเห็จมานอนที่พื้นอย่างช่วยไม่ได้
   
“วันนี้นอนไหนเหรอ?” เอสที่ไปรับน้องถึงมหาวิทยาลัยเอ่ยถามขึ้น เพราะช่วงนี้เนื่องจากอีกฝ่ายมาทำงานที่บ้านเขา พอดึกมาก ๆ ก็นอนค้างซะเลย ช่วงนี้กลายเป็นว่าตี๋อยู่ที่บ้านเขาแทบทั้งอาทิตย์
   
“บ้านมั่งเหอะ เดี๋ยวป๊าจะด่าเอา”
   
เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะพึมพำ “นั่นสิเนอะ”
   
เพราะทั้งป๊าและม๊าของตี๋ต่างก็ยังไม่รู้ว่าลูกชายคนเล็กของตนคบอยู่กับเขาที่ก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน เขาเดาไม่ออกเลยว่าถ้าพวกท่านรู้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่ถ้าถามว่าเขากลัวหรือเปล่า...ก็ตอบได้เลยว่าไม่
   
ตอนเฟยนั้นเขาก็รู้ตัวอยู่หรอกว่าอีกฝ่ายมาด้วยสาเหตุอะไร ดูได้จากสายตาที่คอยจ้องมองทั้งเขาและตี๋แบบอยากรู้อยากเห็น เขาเลยแสดงออกไปให้ได้รู้เลย พอมาย้อนคิดดูแล้วทำแบบนั้นออกไปก็ถือว่าเสี่ยงเหมือนกัน เพราะถ้าโชคไม่ดีเขาคงไม่ได้อยู่ดีแบบนี้หรอก แต่เฟยก็เป็นคนสมัยใหม่ที่เข้าใจอะไรได้ง่าย แต่ป๊ากับม๊าของตี๋นี่สิ...
   
“เฮ้” พอเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน ตี๋ก็เลยเรียก พี่เอสหันมามองเขานิดหน่อยแล้วก็หันไปตั้งใจมองทางข้างหน้าต่อ
   
“มีอะไรเหรอ?” เอสถาม
   
“ตี๋สิต้องถามพี่...คิดมากหรือไง?”
   
เขายิ้มอ่อนก่อนจะตอบเสียงเรียบ “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
   
“ตี๋รู้ว่าพี่คิดมาก” เจ้าตัวพูด “แต่ตี๋อยากให้พี่รู้..ไม่ว่ายังไงตี๋ก็จะไม่ทิ้งพี่เด็ดขาด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น..ตี๋ก็จะยังอยู่ข้างพี่นะ”
   
“ขอบคุณครับ” เขายกมือขึ้นโยกหัวคนรักที่นั่งเอียงตัวหันมาทางเขา พูดจาน่ารักด้วยใบหน้าน่ารักแบบนี้ เห็นแล้วอยากเข้าไปขย้ำชะมัด
   
“พูดอย่างกับว่าพี่จะปล่อยเราไป” ตนหัวเราะหึในลำคอ “พ่อตาก็พ่อตาเถอะ”
   
“ไอ้เลว...พ่อตาบ้าอะไรวะ” ตี๋อดไม่ได้ที่จะทุบเข้าที่แขนของเขา แต่ก็เพียงแค่เบา ๆ ไม่ได้แรงอะไร
   
“เอ้า พ่อเมียไม่ให้เรียกว่าพ่อตาแล้วจะให้เรียกอะไรล่ะ”

เอสพูดกลั้วหัวเราะ สนุกทุกครั้งที่ได้แหย่คนข้าง ๆ ให้หงุดหงิด สงสัยว่าเขาต้องโรคจิตแน่ ๆ เลยที่ชอบทำให้อีกฝ่ายเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย เพราะรู้สึกว่ามันตลกดี

“ยังไม่ได้ตกลงเรื่องตำแหน่งโว้ย”

“ก็บอกแล้วไงว่าพี่ไม่ยอม”

“แล้วคิดว่าตี๋จะยอมหรือไงเล่า!”

เอสยักไหล่ “ก็ไม่รู้สิ” เขาไม่ได้รู้สึกกังวลเลยด้วยซ้ำ เพราะถ้าถึงเวลานั้นขึ้นมา ยังไงเขาก็มีวิธีที่จัดการทำให้ตี๋ยอมเขาโดยละม่อมได้ก็แล้วกัน

“ถึงเวลานั้นเดี๋ยวก็รู้เอง” เอสบอกยิ้มน้อย ๆ

“ฮึยยยยย” มือขาวยกขึ้นบีบต้นคออีกฝ่ายแรงจนเจ้าตัวร้องโอ๊ย

“พี่เจ็บน้า~”

“สมน้ำหน้า”

และเพราะตี๋เป็นคนที่ยุขึ้นแบบนี้ กว่าจะถึงบ้านได้ทั้งคู่ก็เถียงกันแบบนี้ไปตลอดทาง



/



“กลับบ้านเป็นด้วย?”

พอลูกชายคนเล็กเดินเข้าบ้าน คนเป็นพ่อก็ส่งเสียงทักทาย แต่ออกแนวจิกกัดประชดประชันอีกฝ่ายมากกว่า

“ตี๋มีบ้านนะ ก็ต้องกลับสิ” เจ้าตัวว่าก่อนจะเดินเข้าไปนั่งเบียดคนเป็นแม่บนโซฟา แขนยาวกอดเอวบางของท่านก่อนจะหอมแก้มอย่างออดอ้อนตามปกติของเจ้าตัว “คิดถึงม๊าจังเลย”

ม๊าดึงศีรษะของลูกชายให้ก้มลงมาหอม ก่อนจะถาม “กินข้าวมาหรือยังครับ?”

“ยังเลย”

ป๊าเหลือบมองไอ้ตัวดีที่ตั้งแต่เปิดเทอมนี่กลับบ้านนับวันได้อย่างหมั่นไส้ เขาส่งเสียง ‘เหอะ’ ออกมาก่อนจะพูด “ไม่มีข้าวให้กินเว้ย”

“เอ๊ะ! เฮียก็อย่าทำแบบนี้สิ” มือขาวฟาดลงกับขาของคนที่นั่งอีกฝั่ง โทษฐานเอ็ดลูกชายของเธอจนหน้างอ “ไปลูก เดี๋ยวม๊าอุ่นให้กินนะ”

ตี๋ยิ้มให้ม๊าจนหน้าบานแล้วเดินตามไปในครัวอย่างว่าง่าย

“เฟยมันยังไม่กลับเหรอม๊า?” เขามองนาฬิกาที่ตอนนี้ก็สามทุ่มกว่าแล้ว แต่กลับยังไม่เห็นหน้าพี่ชายคนเดียวเลย

“วันนี้เห็นว่ามีกินเลี้ยงที่บริษัทน่ะจ้ะ”

“อ๋อ” ตี๋ครางในลำคอเป็นอันรับรู้

“ว่าแต่เราเถอะ ไปกวนพี่เขาที่บ้านหรือเปล่า”

“หื้อ” ลูกชายร้อง “ไม่ได้กวนสักหน่อย ตี๋ทำงานต่างหาก”

“ไปบ้านเขาก็อย่าอยู่เฉย ๆ นะครับ”

ตี๋พยักหน้ายิ้ม ไปที่นั่นเขามีหน้าที่ตั้งเยอะ ไหนจะคุยเป็นเพื่อนป๊า คอยดูแลท่าน ไหนจะคนลูกที่เอาเวลาแทบทั้งหมดของเขาไปหมดแล้ว ดีที่ฝ่ายนั้นเป็นผู้ใหญ่พอไม่งี่เง่าเวลาที่ตนทำงานเยอะจนไม่มีเวลาไปคลุกอยู่ด้วยมากเหมือนตอนปิดเทอม อีกอย่างคือตอนนี้ทางนั้นก็งานหนักไม่แพ้กัน เห็นว่าเขียนโค้ตโปรแกรมเท่าไหร่ก็ไม่ผ่านสักที หนัก ๆ เข้าก็เห็นว่าไปทำงานต่อในความฝันได้หน้าตาเฉย

เขาใช้เวลากินข้าวไม่นานก็ออกไปนอนหนุนตักเอาหน้าซุกท้องม๊าบนโซฟาเพื่อให้ท่านปั่นหูให้

“โตเป็นควายแล้วยังอ้อนเป็นเด็ก ๆ ไปได้” คนเป็นพ่อแขวะเข้าให้ แต่ลูกชายก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะก็โดนว่าแบบนี้อยู่บ่อย ๆ จนชินซะแล้ว ป๊าเหลือบมองมันอย่างครุ่นคิด จะว่าเขาคิดมากเกินไปก็ได้ แต่จากเซนส์ของเขาแล้วไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าอะไร ๆ มันดูผิดปกติชอบกล

ลูกชายคนเล็กของเขาจากที่เป็นเด็กติดบ้านและไม่ชอบไปค้างที่อื่น ทุกวันนี้เรียกว่าแทบจะไปนอนบ้านของเอสทุกวัน ถึงแม้ว่าจะกลับมากินข้าวที่บ้านให้ได้เห็นหน้าอยู่บ่อย ๆ ก็ตาม เขารู้และเข้าใจดีเรื่องที่เด็กผู้ชายมักจะติดเพื่อนมากกว่าเด็กผู้หญิงเลยไม่ได้สงสัยอะไร แต่ลูกชายของเขากลับบอกว่าให้เอสคอยช่วยทำงานของมหาวิทยาลัยจะได้ไม่เหนื่อย

...น่าแปลก ตี๋มันไม่เคยให้ใครช่วยงานมันเลยสักคน ขนาดพี่ชายของมันเองอาสาจะช่วยมันยังไม่ยอมเลย

ไอ้เรื่องที่จะให้อีกคนช่วยมันจะเป็นไปได้ยังไงกัน...

แต่คิดอีกทีเขาคงจะแค่คิดมากเกินไปก็ได้ ทั้งคู่สนิทสนมกันมาแต่เล็กแต่น้อย เรื่องพวกนี้ก็น่าจะเป็นปกติทั่วไปล่ะมั้ง

ไม่นานนักเฟยก็กลับมาถึงบ้านด้วยสภาพอิดโรย ลูกชายคนโตทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาก่อนจะคลายเนกไทและกระดุมออก

“กินอิ่มไหมลูก?” ม๊าเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน รู้ว่าเฟยไปกินเลี้ยงกับบริษัทมา แต่ไม่รู้กับข้าวจะถูกปากลูกหรือเปล่า เนื่องจากเฟยเป็นคนที่เลือกกินมาก น่าแปลกตรงที่คนน้องกลับผอมกว่าทั้งที่กินเก่งกว่านี่สิ

“ไม่ค่อยอะม๊า มีแต่อะไรก็ไม่รู้ให้กิน เฟยไม่ชอบ” ตอบสีหน้าเซ็ง

“งั้นเดี๋ยวม๊าไปอุ่นข้าวให้นะครับ”

พอคนเป็นแม่ทำท่าจะลุกขึ้นยืนตี๋ที่นอนหนุนตักอยู่ก็กอดเอวเอาไว้แน่นไม่ยอมให้ลุก

“ให้มันไปอุ่นเองดิม๊า” เจ้าตัวโวย

“พี่เขากลับมาเหนื่อย ๆ นะครับ ไม่งี่เง่าสิ”

พี่ชายหมั่นไส้เลยยกเอาเท้าถีบก้นน้องไปที เจ้าตัวสะดุ้งลุกขึ้นนั่งหันมาโวยวายใหญ่ แต่เฟยก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่ โดยมีคนเป็นพ่อนั่งหัวเราะด้วยความตลก

“ม๊าดูป๊ากับไอ้เฟยสิ!”

“นิดหน่อยเอง” เธอปรามเสียงอ่อนพร้อมกับยิ้มเอ็นดู “ไปอุ่นกับข้าวช่วยม๊าหน่อยสิ..นะ”

ตี๋มองคนเป็นแม่หน้างอ “ก็ได้ครับ”

สงครามเป็นอันว่าสิ้นสุดลงที่ตรงตี๋เดินตามม๊าเข้าไปในครัว ก่อนจะไปยังหันมาทำปากขมุบขมิบด่าพี่ชายอีก ที่ไม่กล้าด่าเขาแบบมีเสียงก็เพราะกลัวว่าจะโดนม๊าเอ็ด ไอ้นี่มันเด็กติดแม่ชัด ๆ เชื่อฟังคำพูดของม๊าที่สุดในบ้านแล้ว อ่อ...ไม่นับรวมพี่เอสแฟนของมันอะนะ

“งานเป็นยังไงบ้าง?” ป๊าถามขึ้นเนื่องจากเห็นหน้าตาลูกชายคนโตดูอ่อนล้ามาก

“งานไม่หนักหรอกป๊า แต่ลูกค้านี่สิเรื่องมาก”

เฟยทำงานในตำแหน่งล่ามภาษาจีนในโรงงาน ซึ่งก็มีหน้าที่หลายอย่าง ทั้งแปลเอกสาร แปลในที่ประชุม รวมถึงแปลในสายการผลิต ตอนที่เข้าไปก็ต้องเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ทั้งหมด เพราะถ้าเราช้าเราก็จะโดนกดดัน บอกตามตรงคือตอนนี้เขาเหนื่อยมาก เงินเดือนก็ไม่ได้เยอะแยะอะไรด้วยถ้าเทียบกับความเหนื่อยและความกดดันที่ต้องทนให้ได้

“ลองหาอะไรใหม่ ๆ ทำดูสิ”

ที่จริงเขาก็มีคิดไว้บ้างแล้วว่าอยากจะออกมาดูแลร้านแทนป๊ากับม๊า แล้วก็อาจจะมีรับงานแปลไปด้วย ถ้ามีงานล่ามฟรีแลนซ์เข้ามาก็อาจจะรับเป็นงาน ๆ ไป

“ค่อย ๆ คิด...ไม่ต้องเครียดหรอก”

เฟยหันไปยิ้มให้คนเป็นพ่อ “ครับ”

ตี๋เดินออกมาจากหลังบ้านพร้อมกับจานข้าวที่ราดกับข้าวออกมาให้แล้วเรียบร้อย เจ้าตัวยื่นให้พี่ชาย “แดกซะ”

“ขอบใจจ้ะ...น้องรัก” พูดด้วยน้ำเสียงที่คิดว่ากวนประสาทน้องชายและก็ได้ผล ตี๋มันหันมาถลึงตาใส่ ดูตลกจนเขาเองหัวเราะออกมา “ขอบคุณแล้วทำไมต้องโมโหด้วยล่ะ”

“กวนตีน”

“อย่าว่าเฮียสิ” ป๊าบอกในขณะที่สายตาก็ยังคงจ้องทีวี

น้องเล็กได้แต่กลอกตา ก่อนจะตัดสินใจขึ้นห้องตัวเองไปดีกว่า เบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียงด้วยแล้ว ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านเขาก็เพิ่งจะหยิบมือถือขึ้นมาดูหลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้วล้มตัวนอนลงบนเตียงนี่แหละ เวลาก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มนิด ๆ กับข้อความจากคนรักอีกนิดหน่อย

เป็นคำถามทั่ว ๆ ไป อย่างเช่นกินข้าวหรือยัง? ทำอะไรอยู่? เขาทั้งคู่ไม่ค่อยได้คุยกันทางไลน์มากนัก เรียกว่าเป็นพวกไม่ติดโทรศัพท์ทั้งคู่เลยจะดีกว่า ชีวิตประจำวันพวกเขาก็ไม่ได้ไลน์หากันตลอดเวลา นอกจากเรื่องมื้อเย็นว่าอยากจะกินอะไรหรือจะกลับบ้านพร้อมกันไหม

พอเขาตอบกลับไปได้ไม่นานเอสก็โทรเข้ามา

“โหล”

(รู้สึกแปลก ๆ แฮะ) อีกฝ่ายพูดหัวเราะแห้ง ๆ เพราะไม่ได้คุยผ่านโทรศัพท์มานานสักพักใหญ่ ก็เลยไม่ชินล่ะมั้ง ตี๋มานอนที่บ้านเขานานหลายอาทิตย์จนเขารู้สึกชินกับการที่มีตี๋ไปแล้ว ซึ่ง...มันไม่ค่อยจะดีซักเท่าไหร่ในความคิดของเขา เพราะอยากให้อีกคนรู้สึกว่าตัวเองมีอิสระ ไม่ได้ถูกเขาผูกมัดไว้

“แค่วันเดียวเองนะ”

(นั่นสิ...)

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างทั้งสองอยู่ชั่วครู่

(คิดถึงนะ...)

แล้วเอสก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบที่เคยใช้กับเขาในทุกครั้ง สงสัยว่าอาจจะไม่ได้ยินคำนี้จากอีกฝ่ายมานาน ครานี้เลยทำให้ตี๋หน้าแดงขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“อื้อ”

(แค่นั้น?)

“...” คนน้องกัดปากตัวเองเงียบ เขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร และเขาก็ไม่เคยพูดคำนั้นออกมาจากปากเลย ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกรักหรือคิดถึง แต่เขาว่ามันยังไม่ถึงเวลาและเอสก็ไม่ได้เรียกร้องมันจากเขาด้วย

...นี่เป็นครั้งแรก

(ไม่เป็น-)

“คะ- คิดถึงเหมือนกันนะ”

พอเห็นว่าเอสจะบอกว่าไม่เป็นไร เขาก็รีบพูดขัดขึ้นก่อน แต่แม่ง...เกลียดตัวเองฉิบหาย ทำไมต้องพูดติด ๆ ขัด ๆ ด้วยวะ พอเป็นแบบนี้เขาเลยรีบกดตัดสายอีกฝ่ายทิ้งไปเลยดีกว่า

อายโว้ย!!






เอสก้มมองโทรศัพท์ที่เพิ่งโดนตัดสายไปหมาด ๆ หลังจากที่คนรักเพิ่งจะพูดว่าคิดถึงเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ตัดสินใจคบกันมา แต่ดูท่าคงจะตื่นเต้นไม่น้อยเจ้าตัวถึงได้พูดติดขัดแบบนั้น และก็คงจะเพราะว่าเขินกับสิ่งที่ทำลงไปเลยชิ่งวางสายหนีไปเลย

เจ้าตัวหัวเราะในลำคอ โคลงศีรษะอย่างนึกเอ็นดู ในใจก็รู้สึกอิ่มเอมเหมือนต้นไม้ที่ได้รับฝนหลังจากขาดน้ำ ทั้งอิ่มเอมและชุ่มชื่นหัวใจ ตี๋ไม่ใช่คนโรแมนติกนัก เป็นคนที่ค่อนข้างจะแข็งทื่อเสียด้วยซ้ำ แต่ข้อดีคือขี้อ้อนและว่าง่าย

เขาตัดสินใจโทรกลับไปหาอีกฝ่าย นานเลยกว่าตี๋จะกดรับ จนเขาคิดว่าน้องคงไม่อยากคุยต่อแล้ว

(โทรมาทำไมอีก?) เจ้าตัวพูดเสียงห้วน

“เอ้า” เขาหัวเราะ “ก็วางทำไมล่ะ พี่ยังพูดไม่จบเลย”

(ตี๋ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว)

“แต่พี่มีนี่” เขาพูดเสียงอ้อน “ยังไม่ได้บอกรักแฟนเลย”

(ไอ้! แม่ง...โว้ยยย)

ได้ยินเสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมาจากอีกทางของปลายสาย ดูท่าคงจะอยากด่าเขาน่าดูแต่ทำไม่ได้ เลยทำได้แค่ตีอกชกตัว ยิ่งได้ยินเสียงเขาหัวเราะเสียงดังด้วยยิ่งแล้วใหญ่

(วันนี้พี่เป็นไรเนี่ย กวนประสาทตี๋ตั้งแต่เย็นแล้วนะ!) ตี๋แว๊ดใส่

“โอ๋ ๆๆ รักหรอกถึงหยอกเล่น”

เอสพูดเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาดดังมาตามสาย เขาก็ได้แต่กลั้นหัวเราะเอาไว้ แกล้งมากไปเดี๋ยวอีกฝ่ายโกรธเขาจริง ๆ จะลำบากตามง้อกันอีก

(ตี๋เหนื่อย..)

“น่าจะชินที่พี่แกล้งแหย่เราได้แล้วนะ จะได้ไม่เหนื่อยหงุดหงิดโมโหทุกครั้งแบบนี้ไง”

(พี่ต่างหากที่ต้องหยุด)

“อะจ้า...ต้องเชื่อฟังเมี-”

(พูดคำว่าเมียอีกทีนะพี่..มึงโดนแน่)

เขาหัวเราะลั่นหลังจากที่อีกฝ่ายหลุดคำพูดอย่างนั้นออกมา ไม่บ่อยนักที่อีกฝ่ายจะพูดแบบนี้ นาน ๆ ได้ยินทีก็สนุกดีเหมือนกัน

(พี่นี่แม่งโรคจิตว่ะ)

“ก็เพิ่งรู้สึกตัวเหมือนกัน แกล้งเราแล้วสนุกดี” พูดพร้อมกับหัวเราะในลำคอ เดาว่าอีกฝ่ายคงทำหน้าเบ้และต้องด่าเขาอยู่ในใจแน่นอน เขาหันไปมองนาฬิกาบนพนังเห็นว่าตอนนี้ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว

“แล้วเราเมื่อไหร่จะนอนล่ะ?”

(อ๋อ..สักพักแหละ ว่าจะอ่านหนังสือที่ซื้อเก็บไว้หน่อย)

“นอนดีกว่าไหม? ไม่ได้มีเวลาพักแบบนี้บ่อย ๆ นา”

(ตี๋อยากอ่านหนังสือนี่) เจ้าตัวพูดเอาแต่ใจด้วยโทนเสียงออดอ้อนทำเอาเขาใจอ่อนยวบเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

“อย่าดึกนักล่ะ”

(รู้ตัวน่า)

“โอเค งั้นพี่วางสายแล้วนะ พรุ่งนี้เจอกันครับ”

หลังจากวางสายไปเขาก็เดินไปที่โต๊ะทำงานต่ออีกสักพักใหญ่ก็ตัดสินใจนอนดีกว่า เพราะพรุ่งนี้ต้องไปรับเจ้าตัวแสบที่บ้านแล้วไปส่งที่มหาวิทยาลัยด้วย



/



ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังจากหน้าห้อง คนตัวขาวที่นอนอ่านหนังสือบนที่นอนเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะตอบรับไป

“ครับ?”

“ตี๋ครับ ม๊าเข้าไปนะลูก”

ถึงแม้ว่าลูกชายของเธอจะล็อกหรือไม่ได้ล็อกห้องก็ตาม แต่เธอก็จะบอกพูดแบบนี้เสมอก่อนที่จะเข้าห้องของลูก เพราะอย่างน้อยลูกเธอก็โตเป็นหนุ่มแล้วไม่ใช่เด็ก ๆ ถ้าเกิดเปิดพรวดพราดเข้าไปเลยก็จะดูไม่ค่อยดีนัก

“เปิดเลยครับ ตี๋ไม่ได้ล็อก”

คนเป็นแม่ชะโงกหน้าเข้ามา พอเห็นหน้าลูกชายที่นั่งอยู่บนที่นอนก็ยิ้มหวานออกมา เธอเดินเข้าไปนั่งลงบนที่นอนหันหน้าเข้าหาลูก

“ม๊ามีอะไรเหรอ?”

มือเล็ก ๆ ยกขึ้นจับใบหน้าอ่อนเยาว์ของลูกชายที่เธอแสนรัก ก่อนจะพูดออกมา “ม๊าขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหมครับ”

ตี๋พยักหน้า ม๊าเอื้อมมือมาจับมือของเขาเอาไว้บีบเล็กน้อย

“เรื่องของตี๋กับพี่เอสน่ะ...เราสองคนเป็นแฟนกันใช่ไหมครับ?”

เหมือนกับว่าโลกทั้งหมดหยุดหมุนไปชั่วขณะ ใบหน้าของตี๋ยิ้มค้าง แต่ข้างในหัวใจกลับเต้นรัวเร็ว ฉับพลันสีหน้าของเจ้าตัวก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด สายตาราวกับจะร้องไห้

นานนับนาทีกว่าจะเรียบเรียงคำพูดออกมาได้ “มะ- ม๊า...รู้ได้ยังไง?”

เขามองใบหน้าของคนเป็นแม่ไม่ได้หลบสายตาไปไหน แต่ก็ไม่ได้เห็นแววตาโกรธ ไม่พอใจ หรือผิดหวังเสียใจอยู่ในนั้นเลย ใบหน้านั้นยังคงยิ้มอ่อนโยนให้เขาอย่างนั้น มองเขาด้วยแววตาอบอุ่นเหมือนเดิม

ม๊ายกมือขึ้นขยี้ผมลูกชายคนเล็กเบา ๆ “พูดแบบนี้ได้ยังไงกัน ม๊าเป็นม๊าของตี๋นะ ทำไมจะมองไม่ออกล่ะ”

ลูกชายคนเล็กหลุบตาลงต่ำ ปากบางเม้มเป็นเส้นตรง

“ตี๋...ทำให้ม๊าผิดหวังหรือเปล่า? ม๊าเสียใจไหมที่ตี๋คบกับคนที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน”

มือของคนที่เลี้ยงเขามาทั้งชีวิตประคองหน้าให้เขาเงยขึ้น เขากลัวบุพการีรู้สึกเสียใจที่เขาเป็นแบบนี้ ตอนแรกเขาไม่คิดว่าตัวเองจะรู้สึกมากขนาดนี้ด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างว่า..ถ้ามันไม่เกิดขึ้นเขาก็คงไม่รู้หรอกว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน

แต่ถ้าถามว่าเขาเสียใจที่คบกับเอสหรือเปล่า ก็ตอบได้เลยว่าไม่

...เรียกได้ว่ามีความสุขมากกว่าที่ตัวเองคิดเอาไว้เสียอีก

“ตี๋กับเฟยเป็นลูกที่ม๊ารักและภูมิใจมากที่สุด ตั้งแต่ที่หนูเกิดมาไม่มีวันไหนที่ม๊าไม่รักพวกหนูเลยนะครับ”

ตี๋ไม่ใช่คนที่ร้องไห้ง่ายหรือบ่อน้ำตาตื้น เขาไม่ได้ร้องไห้มานาน...นานจนจำไม่ได้ว่าร้องไห้ครั้งสุดท้ายนั้นคือเมื่อไหร่กัน

“โถ่เอ๊ย” ม๊ายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาของลูกชายที่เธอเองก็ไม่ได้เห็นมานานเหลือเกิน “จะร้องไห้ทำไมเนี่ย”

คนเป็นแม่พูดกลั้วหัวเราะ มือเล็กยังคงปาดน้ำตาที่ยังคงไหลออกมาไม่หยุด ตี๋ไม่ใช่คนที่ร้องไห้ฟูมฟาย แต่จะมีเพียงแค่น้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสายเงียบ ๆ อย่างไร้เสียงสะอื้นเท่านั้น

ม๊าขยับเข้าไปใกล้โอบกอดลูกชายที่ตัวโตกว่าเอาไว้ในอ้อมแขน

“ไม่ต้องร้องนะครับ ตี๋ของม๊าเก่งจะตาย..เรื่องแค่นี้ไม่ต้องร้องหรอกเนอะ”

ตี๋ซบหน้าลงกับไหล่บอบบางของคนที่รักและเลี้ยงเขามาทั้งชีวิต น้ำตาไหลเปรอะเปื้อนชุดนอนของม๊าจนเปียกไปหมด แต่เธอก็พูดปลอบพลางลูบท้ายทอยของเขาไปด้วย

...เนิ่นนานกว่าน้ำตาจะหยุดไหล

“ขอโทษนะครับ”

“ตี๋ทำอะไรผิดเหรอถึงต้องขอโทษม๊า”

“...” เจ้าตัวเม้มปากเงียบลงอีกครั้ง

“หนูรักพี่เอสเขาหรือเปล่า?”

ลูกชายคนเล็กพยักหน้าตอบอย่างไม่ลังเล สายตามองมาแสดงถึงความจริงจังแต่ก็ยังเจือแววเสียใจไม่คลาย

“ถ้าหนูรักพี่เขาก็ไม่มีอะไรที่ผิดนี่”

“...”

“ความรักมันไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรอกนะครับ ไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่หนูไม่สมควรจะรักหรอกนะ..อีกอย่างพี่เอสเขาก็เป็นคนดี ลูกของม๊ารักคนที่ดีขนาดนี้...แค่นี้ม๊าก็พอใจแล้ว”

ตี๋โผเข้ากอดคนเป็นแม่อีกครั้ง “ขอบคุณมาก ๆ เลยครับ”

“มันต้องแบบนี้สิลูกชายม๊า” เธอกอดแล้วโยกตัวลูกไปมา “ม๊ารักหนูที่สุดเลยนะลูก”

“ตี๋ก็รักม๊าที่สุดในโลกเลยครับ”





TBC…
ค่อย ๆ คลี่คลายไปทีละคนเนอะ ด่านต่อไปก็เป็นตัวพ่อแล้วค่ะ 555
อยากให้ทุกคนที่มีลูกเป็นเกย์เข้าใจในสิ่งที่ลูก ๆ เป็นค่ะ
อ่านเรื่องนี้ของเราแล้วหวังว่าจะให้ข้อคิดได้ไม่มากก็น้อย
ขอบคุณที่ชอบและติดตามเสมอมานะคะ ♥

 :L2:




ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.17 หน้า 3 [up:19/06/2018]
«ตอบ #81 เมื่อ19-06-2018 18:13:25 »

กลัวดราม่าครอบครัวมากนี่บอกเลย

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.17 หน้า 3 [up:19/06/2018]
«ตอบ #82 เมื่อ19-06-2018 20:10:37 »

……


ม๊าน่าร้ากกกกกก.  เป็นแม่ในไอดอลเลยอ่ะ.   

เหลือป๊าอ่ะนะ. จะคิดยังไง. 


 :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:



………

ออฟไลน์ กานดา.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
    • facebook page
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.18 หน้า 3 [up:25/06/2018]
«ตอบ #83 เมื่อ25-06-2018 19:25:32 »



18





“ทำไมตาบวมแบบนี้ล่ะ?” เอสถามขึ้นเมื่อเห็นคนรักเดินมาหาเขาที่บ้านในตอนเช้าด้วยเปลือกตาที่ดูบวมแดงผิดปกติ
   
“ขึ้นรถก่อน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” เขาดันตัวคนถามให้ไปขึ้นรถฝั่งคนขับ ส่วนตัวเองก็เดินแยกไปอีกด้าน ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้อยากจะเล่าเรื่องเมื่อคืนให้อีกฝ่ายฟังเลย แต่มันก็จำเป็น
   
ขับรถออกมาได้สักพัก เอสก็เอ่ยถามขึ้นอีก “เมื่อคืนมีเรื่องอะไรเหรอ?” เพราะก่อนที่เขาจะวางสายไปก็ยังดูปกติดีอยู่เลย ตอนนี้ตี๋ดูแปลกไปนิดหน่อย ดูเซื่อง ๆ เหมือนกับว่ามีเรื่องให้คิดอยู่ตลอด

“อืม...ก็มีนิดหน่อยอะ” คนน้องตอบเสี่ยงเอื่อย

เขาเงียบเพื่อที่จะรอฟัง สักพักตี๋ถึงเริ่มพูด

“ม๊ารู้เรื่องแล้วนะ”

เอสชะงักไปนิดหน่อย เหลือบมองคนด้านข้างก็เห็นว่าอีกฝ่ายหันมองตนอยู่ก่อนแล้ว

“เรื่องของเรา” ตี๋พูดต่อให้จบประโยค

จะผิดไหมที่เขารู้สึกดีกับคำว่า ‘เรื่องของเรา’ จากปากของอีกฝ่ายในสถานการณ์แบบนี้

“อมยิ้มอะไรของพี่วะ?”

“โทษที ๆ” เอสบอกแต่ใบหน้าก็ยังคงเจือไปด้วยความรู้สึกดี ไม่ใช่เขาไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องที่ม๊าของตี๋รู้หรอก แต่เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าสักวันทุกคนก็ต้องรู้เรื่องนี้...เขาทำใจไว้นานแล้วล่ะ

“นี่พี่ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ?”

“ไม่ใช่พี่ไม่รู้สึก” เขาคว้ามืออีกฝ่ายมาบีบเพื่อให้ใจเย็นลง “แต่พี่เตรียมใจไว้นานมากแล้ว ตั้งแต่คบกับเราใหม่ ๆ โน่น ภูมิต้านทานพี่เลยเยอะกว่ายังไงล่ะ”

“เออ พ่อคนเก่ง”

เอสยิ้มขำ แต่ก็สบายใจเมื่อเห็นตี๋ผ่อนคลายขึ้น “แล้วม๊าว่ายังไงบ้าง?”

“ม๊าไม่ว่าอะไรเลย” เพียงแค่เปิดปากพูดก็เหมือนน้ำตาจะไหลอีกครั้ง เขาเลยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดต่อ “ม๊าบอกว่า..ไม่ว่าตี๋จะเป็นยังไงเขาก็ยังรัก”

เอสยิ้ม “ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ นี่แหละความรักของคนเป็นแม่” ได้ยินน้องพูดแบบนี้เขาก็เบาใจขึ้น ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้เขาก็มั่นใจว่าถ้าม๊าของตี๋รู้เรื่องของพวกเขา ท่านจะโอเค คนที่น่าเป็นห่วงคือป๊าของตี๋ต่างหาก...

“ตี๋ดีใจมาก ๆ เลย แต่ก็เสียใจด้วย”

“หืม..มันยังไงกันล่ะเนี่ย” เขาหัวเราะในลำคอเสียงเบา

“ไม่รู้สิ คนเป็นพ่อเป็นแม่เขาก็คงหวังให้ลูกแต่งงานมีครอบครัวล่ะมั้ง”

“ม๊าบอกว่าผิดหวังในตัวเราเหรอ?”

“เปล่า”

“เห็นไหม..ท่านก็ไม่ได้พูดซะหน่อย คิดมากเกินไปแล้ว เนี่ยเป็นนิสัยที่ไม่ค่อยดีของตี๋นะ รู้ตัวหรือเปล่า?”

เจ้าตัวยู่ปาก เถียงไม่ออกเพราะที่อีกคนพูดมามันก็เป็นเรื่องจริง

“พี่ไม่ได้บอกให้เราไม่ต้องคิดหรอกนะ แต่เรื่องที่มันยังไม่เกิดคิดไปมันก็เครียดเปล่า ๆ คิดพอให้เรามีภูมิต้านทานที่ดีแบบพี่ก็พอ”

“พูดดีไปเถอะ ถ้าป๊าตี๋ไม่เห็นด้วยพี่จะทำยังไงล่ะทีนี้”

“เอาจริงดิ”

“อย่ากวนตีนได้ปะ!” ตี๋แหวใส่เสียงดัง คิ้วเรียวขมวดแทบจะผูกกันเป็นโบว์

คนพูดจากวนประสาทหัวเราะอารมณ์ดี “พี่จะไปทำอะไรป๊าเราได้ ที่พี่ทำได้..ก็แค่รักและดูแลลูกชายคนเล็กคนนี้ของป๊าให้ดีที่สุด นอกนั้นก็แล้วแต่ความเห็นชอบของท่านแล้วล่ะ”

ใบหน้าของตี๋ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความเขินปนรู้สึกดี แล้วตอนนี้มันก็แดงไปหมดลามไปจนถึงหูกับคอเลยด้วย ทั้งที่สิ่งที่อีกฝ่ายพูดมันก็ไม่ใช่คำพูดแสนหวานอะไร แต่มันก็มีผลต่อใจเขามากเหลือเกิน

พอรถติดไฟแดงก็ทำให้เอสได้มีโอกาสหันมามองคนที่นั่งด้านข้างชัด ๆ และความแดงของตี๋ก็ทำให้เขาตกใจปนตลกมากจนหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ จนเจ้าตัวหันมามองส่งสายตาไม่พอใจมาให้นั่นล่ะถึงได้หยุดขำ

“นี่จริงจังนะว้อย!”

“พี่ก็จริงจังนะ”

“แล้วหัวเราะทำไมล่ะวะ!”

เอสยกยิ้มก่อนจะกุมมือของคนที่กำลังโวยวายขึ้นมากดจูบลงไปอย่างแผ่วเบา “ก็พี่อยากให้เราผ่อนคลาย อย่าเครียดไปเลยนะ ไม่ว่ายังไงพี่ก็จะอยู่ข้างเราเสมอ...จะไม่ทิ้งไปไหนแน่นอน”

แววตาของตี๋อ่อนลงเมื่อรู้ถึงเจตนาของเอส เจ้าตัวเอนหัวพิงกับไหล่กว้างนั้น “ขอบคุณนะ” เขาพูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มอ่อน ๆ รู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

พอไฟเขียวตี๋ก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงเพื่อที่เอสจะได้ขับรถได้อย่างสะดวก ไม่เกินสิบห้านาทีก็ถึงเขตมหาวิทยาลัย คนพี่ไปส่งเขาถึงหน้าคณะก็ออกรถไปบริษัทต่อทันทีไม่ได้ลงมาส่งแต่อย่างใด

เขามาถึงคนแรกของกลุ่ม เพราะไอ้พวกนั้นมันนอนหอที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเลยตื่นสายได้ แล้วช่วงนี้มันย้ายเข้าที่ใหม่แชร์ค่าห้องกันด้วย เดี๋ยวก็คงจะมาพร้อมกันนั่นแหละ

เขานั่งเล่นเกมในโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อยระหว่างรอเพื่อนมาสมทบ ไม่นานนักพวกมันก็เดินมาพร้อมกัน

“ทำไมตามึงบวมจังวะ?” ภาคถามวางกระเป๋าลงกับโต๊ะก่อนจะนั่งลง เขามองเปลือกตาของเพื่อนรักที่บวมตุ่ยผิดปกติอย่างสงสัย

“เสือก”

พอโดนเพื่อนตอกกลับภาคก็อุทานว่า ‘โอ๊ะ’ สั้น ๆ ส่วนกลอยก็หัวเราะร่วนด้วยความตลก

“เรารึอุตส่าห์เป็นห่วงเห็นว่าเพื่อนดูแปลกไป ดูสิคนเรา กลับมาด่าเพื่อนหยาบคายแบบนี้ได้ยังไงกัน” ภาคแกล้งบ่นตัดพ้อยาวเหยียด

“พอเลยมึง” ตี๋ทำท่าจะปาโทรศัพท์ในมือใส่มันด้วยความหมั่นไส้ ถ้าไม่ติดว่าราคาแพงนะ เครื่องนี้ได้เอาเลือดหัวมันออกแน่

“ก็แล้วมีอะไรล่ะตามึงถึงบวมขนาดนี้” กลอยถามบ้าง

“ก็...มีเรื่องนิดหน่อย” ตี๋ตอบอ้อมแอ้ม

“ถ้าให้กูเดานะร้องไห้มาล่ะสิ?”

ตี๋หันขวับไปมองภาคที่พูดออกมาทั้งที่ขนมปังเต็มปาก แอบด่ามันในใจ ไอ้นี่ให้มันเดาอะไรก็แม่นแม่งทุกครั้ง ไม่รู้ว่ามันมีพรายกระซิบหรือยังไง

“นี่ไง มองหน้ากูแบบนี้...กูเดาถูกล่ะสิ”

เพื่อนตัวดียกนิ้วขึ้นชี้หน้าเขาพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี

“มึงนี่มัน...” ตี๋เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ขี้เสือกจริง ๆ”

ภาคยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “รีบเล่ามาเลยมึง กูอยากรู้ว่าอะไรทำให้เพื่อนรักกูต้องเสียน้ำตา”

“มึงก็พูดเหมือนเป็นห่วงกูนะสัด”

“หรือทะเลาะกับผัว” ภาคไม่ใส่ใจคำด่าว่าของเพื่อน แถมยังย้อนถามกวนตีนอีก

“ผัวเหี้ยอะไรล่ะ” ตี๋ยกมือขึ้นหวังจะตบหัวแต่ไอ้เพื่อนตัวดีหลบทัน

กลอยมองพวกมันสองคนด่ากันไปมาสักพัก พอเห็นว่ากลุ่มเขาเริ่มเป็นเป้าสายตาก็เลยต้องปรามกันบ้าง “พวกมึงทั้งคู่หยุดทะเลาะกันได้แล้วโว้ย จะเถียงกันให้คนรู้เรื่องทั้งคณะเลยรึไงวะ” พวกมันถึงจะหุบปากกันได้

“ตี๋มึงก็พูดมาเหอะว่ามีปัญหาอะไร พวกกูจะได้ช่วย” พอเห็นว่าสงบปากกันได้ กลอยก็เลยเป็นฝ่ายถามแทน เพราะตี๋มันไม่ค่อยกล้าหือกับเขาหรอก อารมณ์เหมือนกับว่ามันแพ้ทางกันมากกว่า

ไอ้ภาคนี่เหมือนคู่กัดกัน...กัดกันเป็นหมาเลย

“ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร ม๊าแค่มาพูดกับกูว่าเขารู้แล้วว่ากูคบกับพี่เอสอะแหละ” ตี๋บอก

ทั้งกลอยและภาคตาโตส่งเสียงร้องพร้อมกัน “เหี้ย!”

“จะเสียงดังหาพ่อมึงรึไง!!” ตี๋ด่าเข้าให้

ทั้งสองคนตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน ก็แหม...เจอเรื่องแบบนี้เป็นใครก็ตกใจไหมล่ะ

“โทษที” กลอยบอกพร้อมกับหัวเราะแห้ง ๆ

“แล้วเป็นไงบ้างอะมึง?” ภาครีบถาม

“เขา...เข้าใจกูนะ ไม่ได้ว่าอะไรเลย” ตี๋ตอบคำถามเพื่อนสั้น ๆ ยังคงรู้สึกซึ้งใจไม่หาย แบบนี้เขาถึงยังไม่อยากเล่าให้พวกมันฟัง เพราะเขาจะร้องไห้นี่ไง

กลอยยิ้มออกมาบาง ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นตบไหล่เพื่อน “ก็ดีแล้วนี่”

“แบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย พวกกูนี่ลุ้นกันเยี่ยวเหนียวเลยมึง” ภาคบอกใบหน้าบ่งบอกถึงความสบายใจ

“ขอบใจพวกมึงมากนะ” ตี๋บอก

“แล้วป๊ามึงอะเขารู้หรือยัง?” ภาคถามต่อ เพื่อนรักทำหน้าเครียดและเงียบไปพักใหญ่ จนเขากับกลอยมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อดี แต่ปกติแล้วเพื่อนเขาเป็นพวกถ้าเจอคำถามยาก ๆ มันจะใช้เวลาคิดคำตอบนานอยู่แล้ว เลยทำให้พวกเขายังคงรอดูท่าทีของมันก่อน

“เฮ้อ” ตี๋ถอนหายใจทิ้งก่อนจะเริ่มพูด “เขายังไม่รู้ว่ะ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่เขาจะดูออก เพราะที่ม๊ากูรู้เรื่องนี่เขาก็ดูออกเองนะมึง โชคดีไปที่ท่านรับได้ แต่อีกคนนี่...กูไม่รู้เหมือนกันว่าผลมันจะออกมายังไง”

ตี๋เงียบไปช่วงอึดใจก่อนจะพูดต่อ “ที่กูห่วงน่ะไม่ใช่ตัวเองหรอก กูห่วงพี่เขาต่างหากว่าจะเป็นยังไงถ้าเกิดพ่อกูไม่ยอมรับขึ้นมาจริง ๆ”

...ถึงปากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ถ้ามันยังไม่เกิดขึ้นก็รับประกันอะไรไม่ได้หรอกว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน

คนที่ดูภายนอกว่าเข้มแข็ง แต่ภายในอ่อนแอแค่ไหน ใครหรือจะรู้...

“อย่าเพิ่งคิดไปในทางที่ไม่ดีเลยมึง มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้นะเว้ย”

ตี๋หันไปยิ้มบาง ๆ ให้กับเพื่อนทั้งสองคน “กูจะพยายาม”

ภาคก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่บอกว่าตอนนี้ถึงเวลาเริ่มเรียนแล้ว พวกเขาทั้งสามคนเลยรีบหอบของแล้วออกวิ่งไปพร้อมกับเสียงบ่นของตี๋

“พวกมึงแม่งเอาแต่ชวนกูคุย สายเลย แม่งเอ๊ยยย คาบ’จารย์ชูชัยด้วย โดนด่าแน่มึง”

ทั้งภาคและกลอยก็ได้แต่หัวเราะร่วนและก็วิ่งไปพร้อมกัน




/




“วันนี้มีคนมารับไหมมึง?” กลอยถามขณะเก็บอุปกรณ์การเรียน

“ไม่ว่ะ เห็นว่าวันนี้เลิกดึก”

“งั้นไปเล่นห้องพวกกูป่าว” ภาคชวนยักคิ้วให้ วันนี้วันศุกร์พรุ่งนี้พวกเขาไม่ต้องไปมหาวิทยาลัยเลยกะว่าจะตั้งวงกันนิดหน่อย ถึงไอ้ตี๋จะเป็นพวกไม่ดื่มก็เถอะ แต่หลายคนก็ดีกว่าสองคน บรรยากาศจะได้ครึกครื้นหน่อย

ตี๋ใช้เวลาคิดนิดหน่อยก่อนจะตอบ “เออ เดี๋ยวขอโทรบอกม๊าก่อน”

“บอกม๊าหรือบอกก...”

“ไอ้สัด” ตี๋ด่าแล้วเดินชนไหล่ไอ้ภาคออกไป เขาล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ออกมากดหาคนที่บ้าน เสียงสัญญาณดังอยู่สักพักก็มีคนกดรับ “ม๊า..เดี๋ยวคืนนี้ตี๋นอนห้องไอ้ภาคกับไอ้กลอยมันนะ”

“โอเคลูก ตี๋อย่าลืมบอกพี่เอสเขาด้วยนะ” ม๊าบอก

“ครับ” เจ้าตัวตอบรับก่อนจะกดวาง เขาไลน์ไปบอกพี่เอสว่าจะค้างห้องของเพื่อนตามที่มารดาบอกไว้ แล้วจึงเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม

ปกติแล้วเขาไม่ค่อยได้ไปนอนค้างห้องเพื่อนบ่อยนักถ้าไม่มีงานกลุ่มที่ต้องช่วยกันทำ แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงถึงได้ตามพวกมันมา ทั้งที่ก็รู้ว่าพวกมันจะก๊งเหล้ากัน ระหว่างทางที่กำลังเดินไปก็มีเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นพี่เอสที่โทรหาเขานั่นเอง

(มีงานกันเหรอครับ?) อีกฝ่ายเอ่ยถามเขา

“หึ เปล่า...พวกมันชวนหลายครั้งแล้ว ก็ไปซะหน่อยเดี๋ยวจะเสียน้ำใจกันอะ”

พวกเขาคุยกันอีกนิดหน่อยก็วางสายกันไป เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยุ่ง เพราะว่าวันนี้มีการปรับปรุงระบบคอมใหม่ในบริษัท เลยทำให้ต้องกลับดึกหน่อย อาจจะต้องถึงห้าทุ่มเที่ยงคืนเลยทีเดียว

“พี่ก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะฮะ” ไอ้ภาคป้องปากพูดเสียงเล็กแหลมกับท่าทางสะดีดสะดิ้งล้อเลียนเขา

“นะฮะพ่อมึง กูไม่ได้พูดโว้ย” ตี๋ว่าพร้อมกับยกขาขึ้นถีบก้นมันไปที

พอเห็นว่าใกล้จะถึงหอแล้วกลอยก็พูดกลั้วหัวเราะเพื่อนทั้งสองคนของตน “เดี๋ยวแวะเซเว่นซื้อของกันมึง”

“อย่าลืมโค้กของกูละกัน” ตี๋บอก

“จ้า เด็กอนามัย” กลอยเหน็บ

“มึงไม่ลองซะหน่อยเหรอวะ?” ภาคถามขณะเลือกซื้อขนมขบเคี้ยวไว้แกล้มเหล้าที่มีอยู่แล้วบนห้อง

คนถูกถามนิ่วหน้าเบะปากพร้อมกับส่ายหัว เขาเคยได้ยินว่าเหล้ามันไม่อร่อย และเขาชอบกินของที่อร่อยมากกว่า “กูเป็นคนเลือกกิน ไม่อร่อยกูไม่กินหรอก”

ภายหยุดคิด ก่อนจะดีดนิ้ว “เหี้ย..เดี๋ยวกูจัดการให้ จะทำให้อร่อยเลยมึง” พอเห็นว่าตี๋ทำหน้าไม่เชื่อเขาก็บอกต่อ “เชื่อฝีมือกูเหอะน่า”

ทั้งสามคนจัดการซื้อของจำเป็นในการดื่มเรียบร้อยในเวลาไม่นาน ภาคและกลอยหิ้วของถุงใหญ่เต็มสองมือ แล้วก็พากันขึ้นลิฟต์ไปชั้นที่ 5 ซึ่งเป็นห้องของพวกมันเอง

ตี๋เพิ่งเคยมาห้องใหม่ของเพื่อนเป็นครั้งแรก ที่นี่เป็นหอสร้างใหม่มีทั้งห้องเดียวและห้องคู่ ซึ่งพวกมันเลือกเป็นห้องคู่ ทำให้บริเวณในห้องกว้างขวางพอสมควรและค่าเช่าก็สูงตามไปด้วย เจ้าของหอนี้ตกแต่งห้องแบบโมเดิร์นที่เน้นสีขาวและเทาเป็นหลัก ทำให้ดูสะอาดตา แต่ไอ้พวกสกปรกนี่ดันทำให้ห้องสวย ๆ ดูไม่ได้เลย ไอ้กลอยเก็บของเข้าตู้เย็นในขณะที่ไอ้ภาคเคลียร์พื้นที่ที่จะนั่งกินเหล้ากันตรงโต๊ะเตี้ย ๆ หน้าทีวี

“มา ๆ นั่งลงเลยมึง” ภาคโบกมือเรียกตี๋ที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่กลางทางเดินให้เข้ามานั่งตรงที่มันจัดให้

“จะดีเหรอวะ” เจ้าตัวพึมพำตอนที่เห็นไอ้ภาคมันกำลังวุ่นผสมนั่นนี่โน่นตามสูตรที่มันก้มดูในโทรศัพท์ให้เขากินตามที่มันได้โม้เอาไว้

“เอาน่า..สักครั้งในชีวิต” กลอยบอกมือก็ผสมเหล้าของตนเองกับไอ้ภาค “ไม่ต้องกังวล ถ้ามึงเมาล่ะก็ พวกกูรับปากจะดูแลอย่างดีเลย”

“เอาไป” ภาคยื่นแก้วมาให้เขา

ตี๋รับมาถือเอาไว้ มองอย่างลังเลว่าจะกินหรือไม่กินดี เขาก้มลงดม ๆ ก็ยังได้กลิ่นเหล้าอยู่เลยยิ่งทำให้เขาลังเลเข้าไปใหญ่

“แดก ๆ ไปเหอะน่า” ภาคดันมือของตี๋จนขอบแก้วชนเข้ากับปากบางนั่น เพื่อนของเขาตัดสินใจลองจิบดูเล็กน้อย ก่อนมันจะทำตาโตเท่าที่ตาตี่ ๆ นั่นจะโตได้ เขายิ้มแล้วยักคิ้วให้มัน “เป็นไงล่ะมึง?”

“ก็ไม่แย่อย่างที่คิดนี่หว่า” ตี๋ว่า

ทั้งสามคนนั่งกินไปพูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย ก่อนที่ตี๋จะเริ่มเมาเป็นคนแรกจากส่วนผสมหลายอย่างที่เพื่อนปรุงให้ดื่ม ใบหน้าที่ปกติจะขาวจัดจนเกือบซีดกลับกลายเป็นแดงระเรื่อจากความร้อนของแอลกอฮอล์ จากที่เป็นคนพูดน้อยก็พูดมากขึ้น พฤติกรรมที่ไม่เคยทำก็ดันทำขึ้นมาซะอย่างนั้น

ภาคเหลือบมองนาฬิกาที่ตอนนี้บอกเวลาห้าทุ่มแล้ว ตัวเขากับไอ้กลอยน่ะแค่มึน ๆ แต่ในสายตาของเขาไอ้ตี๋นี่ดูท่าทางจะหนักเกินไปแล้ว เลยคิดว่าจะไล่ให้มันไปนอน แต่โทรศัพท์ของมันก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ฮาโหล” ตี๋รับสายด้วยน้ำเสียงยานคาง

(.....ทำไมเสียงเป็นแบบนั้นล่ะ?) เอสชะงักไปก่อนจะถามด้วยความสงสัย

“หื้อ เมานิดหน่อยเอง” เจ้าตัวตอบหน้ามึน

(ไหนเราเคยบอกว่าจะไม่กินเหล้าไง?) เอสถามเสียงแข็งด้วยความที่ตนไม่พอใจนิดหน่อยเรื่องที่ตี๋เมาแบบนี้

“ก็ไอ้ภาคมันทำอร่อยดี..เลยเอาซะหน่อยอะ”

(พี่ว่าไม่หน่อยแล้วนะแบบนี้น่ะ)

“ก็แล้วทำไมต้องว่าด้วยล่ะ!” ตี๋ขึ้นเสียงใส่เอสที่พูดกับเขาโดยที่ใช้น้ำเสียงไม่เหมือนเดิม

คนเป็นพี่ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะพยายามใจเย็นลง (พี่ไม่ได้ว่า)

“แต่พี่ก็ไม่พอใจ” เขาจับอารมณ์ของคนที่โทรมาได้

(ใช่พี่ไม่พอใจ แต่มันเป็นเพราะว่าพี่ไม่อยากให้เรากินของพวกนี้ มันไม่ใช่ของดีแค่ไหนพี่รู้ดี พี่เป็นห่วงเรามากนะ)

ตี๋สลดลงหลังจากที่อีกฝ่ายพูดจบ ถึงเขาจะเมาแต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ดูเหมือนว่าพอเมาแล้วจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ยากขึ้น เขาอาจจะเป็นคนที่โวยวายบ่อยก็จริง แต่การควบคุมอารมณ์ของเขาในช่วงปกตินั้นถือว่าทำได้ดีกว่านี้มาก

“เอามาให้กูคุยนี่มา” กลอยฉกเครื่องมือสื่อสารของตี๋ไป

“ไอ้ห่านี่เมาแล้วงี่เง่าโว้ย” ภาคว่าแล้วผลักหัวมันไปที ก่อนจะลงมือเก็บซากอารยธรรมที่กินกันเอาไว้ เพราะพอพี่เอสโทรมาแล้วไอ้ตี๋มันโวยใส่ เขากับไอ้กลอยก็ส่งสัญญาณว่าเลิกกินท่าจะดีกว่า

“ฮัลโหล สวัสดีพี่ ผมกลอยนะ” เจ้าตัวกรอกเสียงลงไป

(อืม สวัสดี)

“ขอโทษครับ พวกผมบอกให้มันกินเองแหละพี่ อย่าไปโกรธมันเลยนะ” กลอยบอกอย่างรู้สึกผิดที่ทำให้ทั้งสองคนผิดใจกัน

(พี่ไม่ได้โกรธหรอก) เอสบอกเสียงเบา

“เอ่อ...” เขาเองก็ไม่รู้จะไปต่อยังไงดี

(ห้องเราอยู่ที่ไหนน่ะ? เดี๋ยวพี่จะไปรับตี๋กลับบ้าน) จู่ ๆ เอสก็ถามขึ้น

“เดี๋ยวผมแชร์โลเคชั่นให้ครับ”

หลังจากนั้นพี่เอสก็วางสายไป กลอยก็ใช้โทรศัพท์ของเพื่อนรักนั่นแหละแชร์โลเคชั่นให้อีกฝ่าย ก่อนจะหันมามองมันนั่งซึมกะทืออยู่ที่เดิม กลอยโยนเครื่องมือสื่อสารคืนให้เจ้าของไป

“เก็บของได้แล้วมึง เดี๋ยวพี่เขามารับ”

ตี๋เหลือบมองคนพูดก่อนจะถอนหายใจน้อย ๆ เขาหยิบกระเป๋าสะพายอุปกรณ์การเรียนขึ้นมาถือไว้ กลอยบอกให้เขาขึ้นไปนั่งบนโซฟาเขาก็ทำตามอย่างว่าง่าย ส่วนเพื่อนทั้งสองคนก็ช่วยกันเก็บทั้งแก้ว ทั้งขวดเหล้า ห่อขนมให้เรียบร้อย

“ไปมึง เดี๋ยวพวกกูไปส่ง” ภาคชวนให้ตี๋ไปนั่งรอด้านล่างกัน เพราะชั้นล่างของหอพักมีล็อบบี้อยู่ ตี๋เดินตามพวกเขามาเงียบ ๆ ไม่หือไม่อือ

“เป็นห่าไรวะ พอโวยวายเสร็จก็เงียบเลยมึง” กลอยถาม

“พอเมาแล้วเป็นแบบนี้เองเหรอวะ” ภาคว่าหัวเราะในลำคอ

เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร หัวสมองมันโล่งไปหมด สายตาเหม่อลอยออกไปจมอยู่กับตัวเอง...นานเท่าไหร่ไม่รู้ จนกระทั่งไอ้ภาคมันเรียกบอกว่าพี่เอสมาถึงแล้ว

“พวกผมขอโทษด้วยนะพี่” ทั้งสองคนยกมือไหว้ขอโทษคนที่โตกว่าด้วยความรู้สึกผิด โดยที่มีไอ้ตี๋ยืนหลบอยู่ข้างหลังพวกเขา มันคิดว่าจะหลบพ้นหรือยังไงกัน

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ” เอสบอกเสียงเรียบ ทำเอาเพื่อนของคนรักทั้งสองคนใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย

“แต่อย่าให้มีอีกแล้วกัน”
   
แต่ประโยคหลังนี่ทำเอาใจร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเลย คนตรงหน้าพูดด้วยใบหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์อะไรทำให้ดูน่ากลัวขึ้นหลายเท่า ทั้งที่ปกติจะดูเป็นมิตรกว่านี้
   
“จะไม่มีอีกแล้วพี่..พวกผมรับปาก”
   
คนโตกว่ายิ้มรับคำสัญญาก่อนจะมองเลยไปยังด้านหลังของทั้งคู่ เห็นคนรักของเขายืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้นไม่พูดไม่จา “ตี๋..กลับบ้านได้แล้ว”
   
พอกลอยเห็นว่าเพื่อนตัวดีไม่มีท่าทีตอบรับกับประโยคเมื่อครู่ก็หันมาว่า “ไป ๆๆ กลับบ้านได้แล้วมึง” พร้อมกับดันหลังให้มันเดินขึ้นไปเผชิญหน้ากับคนที่ตัวโตกว่า แล้วรีบวิ่งหนีขึ้นห้องไปพร้อมกับภาค
   
ตี๋เงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาสวยของเอสที่มองตนอย่างไม่วางตา และก็เป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายหลบตาก่อน ปากบางเม้มเป็นเส้นตรงอย่างทำตัวไม่ถูก
   
เอสที่เห็นคนตรงหน้ามีอาการซึมแบบนี้แล้วก็ทำโกรธได้ไม่นาน เขาเผยรอยยิ้มบาง ๆ ขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ผมสีดำนิ่มมือตรงหน้าอย่างนึกเอ็นดู มืออีกข้างก็เลื่อนมากุมฝ่ามือของตี๋แผ่วเบา
   
ตี๋เงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ
   
“ไม่โกรธตี๋แล้วเหรอ?”
   
เอสยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ไม่ได้ตอบคำถามนั้น “กลับบ้านเรากันนะ”

พอตี๋พยักหน้า พี่เอสก็ดึงมือเขาให้เดินตามไปขึ้นรถ แล้วจึงขับออกไป ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรออกมา มันทำให้ตี๋รู้สึกอึดอัด...เขารู้สึกผิดที่ขึ้นเสียงใส่อีกฝ่าย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มขอโทษยังไงดี

จนกระทั่งถึงบ้านของอีกฝ่ายเขาก็ยังไม่กล้า...

เอสเดินนำตี๋ขึ้นบันได เขาเดินเข้าห้องไปก่อนโดยไม่ได้หันมามองตี๋ที่เดินตามหลังมาเลย อาจจะเพราะความรู้สึกในอกมันยังคงไม่สงบลงสักเท่าไหร่นัก เขาไม่ได้โกรธอีกฝ่าย...แต่แค่รู้สึกแย่นิดหน่อย เขาเดินตรงไปที่โต๊ะทำงาน หยิบกระเป๋าเงินกับกุญแจรถวางลงบนโต๊ะ

ตี๋มองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาเจ็บปวด ก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดพี่เอสจากด้านหลังแน่น ซุกหน้าลงกับไหล่หนาเงียบ...คนถูกกอดก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ยืนนิ่งและรอดูว่าตี๋จะทำอะไร

“ตี๋ขอโทษ” ในที่สุดเจ้าตัวก็พูดออกมาเสียงเบา

เอสยิ้มบางออกมาใจอ่อนยวบ ก่อนจะถาม “ขอโทษพี่เรื่องอะไรเหรอ?”

“ขอโทษที่ขึ้นเสียงใส่พี่”

คนพี่ตบลงบนแขนที่โอบรอบเอวเขาอยู่ “ไม่เป็นไร ๆ”

“ตี๋ขอโทษนะ...” ยิ่งอีกคนพูดเสียงนิ่งแบบนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกผิด “จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”

เอสแกะแขนของตี๋ออกแล้วหมุนตัวหันกลับมา เขาเกลี่ยผมที่ปิดบังใบหน้าขาวออก เปิดให้เห็นสายตาที่รู้สึกผิดของอีกคนที่กำลังมองมาที่เขาอย่างเว้าวอน

“พี่เองก็ขอโทษนะที่เจ้ากี้เจ้าการกับเรา”

“ไม่ ๆๆ” ตี๋ส่ายหัว “พี่ไม่ผิดเลย เรื่องทั้งหมดตี๋ผิดเอง”

“ไหนบอกพี่สิ หืม...” เอสใช้สองมือประคองใบหน้าของคนรักให้เงยขึ้นสบตากัน “เราผิดอะไร?”

ตี๋เม้มปากก่อนจะตอบสั้น ๆ “ตี๋ดื้อ”

เอสยกยิ้มมุมปาก “แล้วรู้ไหมว่าเด็กดื้อจะต้องโดนลงโทษ”




TBC…
บทลงโทษของเด็กดื้อจะเป็นอะไรน้า~~ ฮิฮิ  :hao6:
เรายังยืนยันอยู่ว่านิยายเรื่องนี้เป็นนิยายฟีลกูดนะคะ
อย่าเครียดกันไปเลย 555555
 :L2:










ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.18 หน้า 3 [up:25/06/2018]
«ตอบ #84 เมื่อ25-06-2018 19:47:00 »

ตี๋น่าร๊ากกกกก

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.18 หน้า 3 [up:25/06/2018]
«ตอบ #85 เมื่อ25-06-2018 21:51:20 »

 :hao7:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.18 หน้า 3 [up:25/06/2018]
«ตอบ #86 เมื่อ25-06-2018 23:07:09 »

น้ำเปลี่ยนนิสัยจริงๆ

ไม่ก็ทำให้เกิดแต่เรื่องร้ายๆ   :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.18 หน้า 3 [up:25/06/2018]
«ตอบ #87 เมื่อ26-06-2018 02:07:31 »

รอพี่เอสจัดการเด็กดื้อ

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.18 หน้า 3 [up:25/06/2018]
«ตอบ #88 เมื่อ26-06-2018 03:24:02 »

รอบทลงโทษนะคะ จะแซ่บเอ้ยโหดยังไงนะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.18 หน้า 3 [up:25/06/2018]
«ตอบ #89 เมื่อ26-06-2018 10:05:06 »

ปรับตัว น่ารักทั้งคู่

 :L2: :L1: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด