12
ในที่สุดก็ถึงวันเดินทาง ตี๋กับพี่ชายแบกกระเป๋ามาที่หน้าบ้านของเอสในตอนเช้าตรู่ ทั้ง ๆ ที่ตายังไม่ลืมดีนัก ยิ่งคนน้องที่ตั้งแต่ปิดเทอมมาก็ไม่ได้ตื่นเช้ามานาน พอต้องมาตื่นตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นแบบนี้แล้วด้วย ก็ยิ่งพร้อมจะนอนข้างถนนได้เลย แต่ง่วงขนาดนี้ทั้งคู่ไม่ลืมที่จะหยิบหมอนรองคอและที่คาดตาติดมือมาด้วย กะว่าจะไปนอนบนรถอย่างเต็มที่
“ไปเที่ยวก็ทำตัวดี ๆ นะ อย่าไปทะเลาะกันล่ะ” คนเป็นพ่อสั่งสอนลูกชายทั้งสองตอนที่กำลังเก็บสัมภาระเข้าด้านหลังรถ
“เฟย/ตี๋ โตแล้วนะป๊า!” ทั้งสองคนว่าพร้อมกันเสียงแข็ง เมื่อป๊าพูดอย่างกับว่าพวกเขายังไม่โตสักที
“คนที่โตแล้วเขาไม่มาทะเลาะกันแบบพวกมึงหรอก”
สิ้นสุดคำพูดของคนเป็นพ่อลูกชายทั้งสองคนก็หน้าบูดเป็นตูดหมึกทันที เห็นแบบนี้แล้วป๊าของพี่เอสที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ ยิ่งหน้าเหมือนนิสัยเหมือนกันทั้งคู่แบบนี้ก็ยิ่งตลกเข้าไปใหญ่ ไม่แปลกใจที่จะทะเลาะกันได้บ่อย ๆ พี่น้องกันก็แบบนี้ ถ้าไม่สนิทจนรู้ทันกันก็หาเรื่องกวนประสาทกันไม่ได้หรอก
“ถ้าพวกมันสองคนทะเลาะกัน อั๊วะก็ขอโทษแทนพวกมันด้วยนะเฮีย” ป๊าของสองพี่น้องบอก
“ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ครึกครื้นดีออก”
อาฮงยิ้มให้กับคนที่เขานับถือเหมือนพี่ชาย เขาเห็นมาตลอดว่าคนตรงหน้าใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมานานนับสิบปี ก่อนหน้านี้ที่เอสจะกลับมาอยู่บ้าน เวลาที่เขาว่างก็จะเดินมาคุยด้วยอยู่บ่อย ๆ เป็นการแก้เหงาให้กับอีกฝ่าย เห็นแบบนี้เขาเลยไม่เอ่ยปากห้ามที่ลูกชายคนเล็กจะมาคลุกอยู่ที่บ้านนี้เป็นประจำ เพราะอย่างน้อยไอ้ตัวแสบของเขาก็น่าจะสร้างสีสันให้กับบ้านหลังนี้ได้ไม่มากก็น้อยล่ะนะ เฮียโจวถึงได้ดูหน้าตาสดใสขึ้นเยอะแบบนี้
“สวัสดีครับเจ็กฮง” เอสที่เพิ่งเดินลากกระเป๋าเดินทางกับสัมภาระของทั้งตัวเองและของป๊าออกมาจากในบ้าน เอ่ยทักทายและยกมือขึ้นไหว้ผู้ปกครองของสองพี่น้อง
“ฝากดูแลเด็ก ๆ มันด้วยนะ”
“จะดูแลอย่างดีเลยครับ” เอสยิ้มตอบ พร้อมกับยกของขึ้นไปวางด้านหลังรถ และขอตัวไปปิดบ้านให้เรียบร้อย แล้วถึงเดินมาสตาร์ทรถเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง
“ไปนะป๊า” สองพี่น้องพูดพร้อมกัน โบกมือบ๊ายบายให้
“เออ อย่าไปรบกวนเขาให้มากล่ะ”
“ครับ ๆๆ”
“เดินทางปลอดภัยนะเฮีย ฝากดูไอ้สองแสบด้วยนะเอส”
พอฝากฝังและล่ำลากันเรียบร้อย ซีอาร์วีสีดำก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไป โดยที่มีสองพี่น้องนั่งอยู่เบาะหลัง คนเป็นพ่อได้แต่คิดในใจว่านั่งใกล้กันขนาดนี้จะมีใครตายก่อนไปถึงปลายทางไหมเนี่ย ปกติอยู่บ้านเดียวกันก็ตีกันจะตาย ถ้าไม่มีเขากับม๊ามันคอยห้าม สงสัยว่าได้มีชกกันบ้างแหละ
ครั้งนี้เอสเป็นคนวางแผนการเดินทางทั้งหมด ในตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะออกเดินทางตอนกลางคืนเพื่อที่จะได้ขับขึ้นบ่อเกลือในตอนเช้าโดยที่ไม่ต้องหาที่พักข้างล่างก่อนหนึ่งคืน แต่ก็ห่วงความปลอดภัยของทุกคน เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้ขับรถในระยะทางไกลบ่อยนัก เลยเปลี่ยนเป็นออกรถในตอนเช้าตรู่เพื่อที่จะถึงอำเภอปัวตอนเย็น ค้างเพื่อพักผ่อนสักหนึ่งคืน แล้วเช้าวันต่อมาก็ค่อยเดินทางขึ้นดอยต่อไป
ออกรถได้ไม่นานสองพี่น้องก็หลับทั้งคู่ เรียกรอยยิ้มจากคนอายุมากที่สุดในรถได้อย่างดี
“ถ้าป๊าเมื่อยก็บอกนะ เอสจะได้พักรถให้ป๊ายืดเส้นยืดสาย ขาจะได้ไม่บวม” ลูกชายคนเดียวบอกทั้งที่เพิ่งจะขับออกมาได้ไม่นาน แต่ก็เพราะเป็นห่วงนั่นแหละ เขาจำได้ว่าเวลาเดินทางนาน ๆ ป๊ามักจะเท้าบวมอยู่บ่อยครั้ง
“เออ”
“ป๊าจะหลับก็ได้นะ”
“เดี๋ยวกูอยู่คุยเป็นเพื่อนมึงนี่แหละ” พูดไปอย่างนั้น เอาเข้าจริงเขาก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับลูกชายตัวเองเหมือนกัน เพราะมันกับเขาเองก็คุยไม่เก่งกันทั้งคู่ ทุกวันนี้เหมือนมีตี๋เป็นคนกลางที่ทำให้สองพ่อลูกใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น และนี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปีที่เขามาเที่ยวกับมัน ทั้งที่เมื่อก่อนจะเป็นตัวเขาที่พาเที่ยว รู้สึกเหมือนผ่านไปไม่นาน ลูกชายของเขามันโตขึ้นขนาดนี้แล้วเหรอ
“แล้วจะกลับไปเยี่ยมแม่เมื่อไหร่ล่ะ?”
“ว่าจะไปช่วงสิ้นปี ป๊าไปด้วยปะ?”
“ไม่ดีมั้ง”
ถึงเขาจะไม่ได้คิดอะไรแล้ว เพราะเวลามันก็ผ่านไปนาน และแม่ของเอสก็มีครอบครัวใหม่ไปเรียบร้อย แต่มันคงจะไม่เหมาะสมนักถ้าหากว่าเขาไปยุ่งเกี่ยวอีก
“เอสลองถามแม่แล้ว ป๊าไปได้ อย่าคิดมากเลย”
“แล้วเอาไอ้นี่ไปด้วยไหม?” ป๊าถามเหล่ตามองไปทางที่นั่งข้างหลังอย่างรู้กัน เนื่องจากมีคนนอกอยู่ด้วยเลยไม่อยากพูดออกมาโจ่งแจ้งนักว่าใคร เพราะก็รู้ว่าคนทางบ้านของตี๋ยังไม่รู้ว่าลูกชายคนสุดท้องมีแฟนเป็นผู้ชาย แถมยังเป็นคนที่คิดไม่ถึงอย่างลูกชายเขาอีกต่างหาก คิดภาพไม่ออกเลยว่าทางนั้นรู้จะเป็นอย่างไร
“เอาไปด้วยสิ แม่เขาอยากเจอ”
คนเป็นพ่อพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้วไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
“สรุปว่าป๊าไปด้วยนะ”
“ทำไมกูต้องไปวะ?” ไม่ได้กวนหรือประชดอะไรลูกชายเลย แต่เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเขาจะไปเพื่ออะไร
“ทิ้งป๊าไว้คนเดียว เอสเป็นห่วง”
“ก่อนที่มึงจะมา กูก็อยู่คนเดียว ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
เอสเงียบไปทันที ความเสียใจมันตีขึ้นมาจนเจ็บหน่วงไปทั้งอก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าป๊าเองพูดไปอย่างนั้นไม่ได้คิดอะไร แต่มันก็คือเรื่องจริงที่ว่าท่านเองก็อยู่คนเดียวมานานโดยที่ไม่มีใครอยู่ด้วย ตอนนั้นเขาก็ยังเป็นเด็ก ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอะไรที่จะโต้แย้งได้
“เอส...ขอโทษนะครับ”
คนเป็นพ่อหันมามองลูกชายที่หน้าจ๋อยไป ก่อนจะยกมือที่มีรอยเหี่ยวย่นขึ้นมาลูบหัว
“มึงไม่ต้องคิดมากหรอกน่า”
ทั้งความอบอุ่นจากฝ่ามือและคำพูดที่แสนอ่อนโยนจากคนเป็นพ่อ ทำเอาเขาน้ำตาคลอหน่วยจนมันแทบจะไหลออกมา เนิ่นนานแค่ไหนกันที่เขาไม่ได้รับสัมผัสที่อบอุ่นแบบนี้จากคนข้าง ๆ เมื่อก่อนที่เคยคิดว่าป๊าคงไม่ได้รักเขาหรอก เพราะจนถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากปากท่านเลย แต่พอโตขึ้นเขาก็ได้รู้ว่าไม่ใช่ไม่รัก แต่การแสดงออกของคนเรามันต่างกัน บางคนแม้ไม่มีคำว่ารักออกจากปาก แต่ก็รักเรามากกว่าคนที่ปากพร่ำบอกคำรักเสียอีก
“ขอบคุณครับ...เอสรักป๊านะ”
“เออ ๆ”
ท่านยิ้มและตอบรับ ตบบ่าเขาสองสามทีก่อนจะมองตรงไปข้างหน้า หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก เหลือไว้แค่ความรู้สึกดี ๆ ที่อบอวลอยู่ภายในรถ
++++++++++
หลังจากออกมาจากบ้านได้สามชั่วโมงเอสก็ตัดสินใจพักรถในปั๊มน้ำมันใหญ่ที่เป็นจุดพักรถ มีทั้งมินิมาร์ท ร้านอาหารและร้านขายของฝาก ตั้งใจจะให้ทุกคนแวะกินข้าวเช้ากันที่นี่ เพราะตอนนี้ก็เริ่มสายมากแล้ว
“ป๊าไปสั่งข้าวก่อนได้เลย เดี๋ยวเอสปลุกเด็ก ๆ เอง”
เอสลงจากรถแล้วเดินมาเปิดประตูฝั่งที่ตี๋นั่งเพื่อที่จะปลุกเด็กขี้เซา เขาเริ่มจากการปลุกคนพี่ก่อน เฟยเป็นคนตื่นง่ายพอโดนเรียกไม่กี่ครั้งก็ลืมตาตื่นขึ้น คนพี่ที่ตัวเล็กกว่าบิดขี้เกียจพร้อมกับหาวอ้าปากกว้าง พอเอสเห็นว่าอีกคนตื่นแล้ว เขาเลยเอื้อมมือไปเปิดที่คาดตาออกคว้ามือของคนน้องขึ้นมาจับแล้วบีบเบา ๆ
“ตี๋...ตี๋ครับ”
“อื้อ”
“ตื่นมาเข้าห้องน้ำก่อนเร็ว”
พอเห็นตาตี่ ๆ เปิดขึ้นเอสก็ยิ้มออกมา คราวนี้ตื่นง่ายคงเป็นเพราะนอนบนรถมันหลับไม่สบายเลยทำให้หลับไม่สนิท เขายกมือขึ้นลูบหัวเล็ก ๆ ของคนรักอย่างเอ็นดู มันเป็นพฤติกรรมที่ทำไปตามความเคยชินของตัวเองโดยที่ไม่ทันได้ระวังตัวว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย คนอื่น...ที่ถึงแม้จะเพิ่งตื่นสติไม่เต็มร้อย แต่ก็เห็นทุกสิ่งได้ยินทุกอย่างที่เขาแสดงออกกับน้องชายของอีกคน
เฟยรู้สึกว่าการแสดงออกต่อกันของทั้งสองคนมันดูแปลกไปจากพี่น้องทั่วไป ขนาดตัวเขาเป็นพี่น้องกับมันแท้ ๆ ยังไม่เคยแสดงท่าทางแบบนี้ออกไปเลย แถมอีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าสะทกสะท้านอีกต่างหาก ทั้ง ๆ ที่ก็เห็นว่าเขามองอยู่ ดันหันมายิ้มให้เฉย
“เฟยลงไปสั่งข้าวก่อนได้เลยนะ เดี๋ยวพี่พาตี๋ไปเอง”
ทำได้แค่พยักหน้าตอบแล้วลงรถไปด้วยความงงงวย ไม่รู้ว่าจะคิดเรื่องไหนก่อนดี บวกกับความง่วงที่ยังคงค้างอยู่เลยยังทำให้เรียงลำดับความคิดไม่ได้ แต่ที่แน่ ๆ สองคนนี้ต้องมีอะไรบางอย่าง เป็นความสัมพันธ์ที่คงไม่ใช่แค่พี่น้องแน่นอน แต่มันจะเป็นอะไรเดี๋ยวต้องหาเวลาถามน้องชายของเขาอีกที
หลังจากที่ทั้งสี่คนนั่งกินข้าวด้วยกันจนเสร็จ สองพี่น้องก็พากันแยกไปซื้อเสบียงตุนเอาไว้ เพราะจากนี้ก็ต้องเดินทางอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงที่พัก
“มึงจะหยิบอะไรเยอะแยะเนี่ย” เฟยติงน้องชาย
“ก็อีกตั้งไกลกว่าจะถึง” ตี๋ค้อนมือยังถือตะกร้าขนมแน่น
“แต่พี่เขาก็ต้องแวะพักอีกไหมล่ะ”
ตี๋กลอกตาคิด “นั่นดิ”
มือขาวหยิบขนมคืนชั้นไปบางชิ้นตามคำว่าของพี่ชาย ทั้ง ๆ ที่ใจก็อยากจะซื้อไปหมดเนี่ยแหละ เพราะอยู่บนรถแล้วมันว่างไม่มีอะไรจะทำ จะอ่านหนังสือเขาก็กลัวว่าจะเมารถอีก
“แล้วมึงไม่เอาอะไรเหรอ?” ตี๋ถามเฟยที่กอดอกยืนมองตนอยู่
“ไม่อ่ะ”
“ไม่ซื้อแล้วจะตามมาทำเพื่อ”
เฟยไม่ได้ตอบคำถาม ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะถามเรื่องที่สงสัย เพราะถ้าคำตอบมันออกมาไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง เขาก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าจะรู้สึกยังไงดี เพราะอย่างนั้นเขาต้องเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะดีกว่า เขากับตี๋เป็นเหมือนเพื่อนกันมากกว่าพี่น้อง แต่ในฐานะที่เป็นพี่ชายถึงจะทะเลาะกันอยู่ประจำแต่เขาก็เป็นห่วงมันเสมอ น้องชายของเขาถึงจะไม่ใช่พวกเชื่อคนง่าย แต่ก็ใจดีใจอ่อนซะเหลือเกิน นิสัยโคตรแตกต่างจากภาพลักษณ์ภายนอก เพราะแบบนี้ทั้งป๊าม๊ากับเขาถึงได้เป็นห่วงมันมาก
หันไปอีกทีก็เห็นตี๋หิวขนมกับน้ำเต็มสองมือ เฟยส่ายหัวเบา ๆ ด้วยความปลง สงสัยเดินผ่านชั้นไหนก็หยิบอีกแน่ ๆ แล้วที่เอาคืนชั้นไปมันช่วยลดปริมาณขนมตรงไหน
“เข้าห้องน้ำหรือยัง?” เอสถามตอนที่ตี๋เอาขนมไปเก็บที่รถ
“เรียบร้อย”
“เฟยล่ะ?”
“เข้าแล้วครับ”
“งั้นขึ้นรถกัน ปะ” เอสยกมือขึ้นดันหัวของคนรักให้เดินขึ้นไปนั่งให้เรียบร้อย
“เพิ่งจะแดกข้าวไป นี่มึงจะแดกอีกแล้วเหรอ?” คนพี่ถามน้องชายที่พอรถออกไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ก้มตัวคุ้ยถุงขนมตรงที่พักเท้า
“ยุ่งไรด้วย”
“กูกลัวมึงอ้วนไง”
ตี๋ดันตัวเองขึ้นมานั่งตรงพร้อมกับขนมติดมือมาด้วย มองหน้าพี่ชายด้วยสายตาหน่าย ๆ “แล้วเห็นกูอ้วนไหมล่ะ?”
เฟยหัวเราะเบา ๆ ก็จริงของมัน ตั้งแต่ไหนแต่ไรเขากับตี๋ก็ไม่เคยมีเนื้อมีหนังแบบเด็กคนอื่น ๆ เลย ม๊าเคยซื้อยาถ่ายพยาธิมาให้กิน เพราะเข้าใจว่าลูกทั้งสองคนที่ไม่อ้วนอาจจะเป็นเพราะว่ามีพยาธิเยอะ แล้วดูสิ...ไม่เห็นจะมีวี่แววอ้วนขึ้นเลย
“กินปะ?” ตี๋ถามพี่ชายพลางยื่นปลาเส้นทาโร่ให้
“หึ” เขาส่ายหัว “กูอิ่มอยู่”
เจ้าตัวยักไหล่ก่อนจะหันไปเกาะเบาะรถคนขับด้านหน้า “พี่กินปะ?”
เอสหันมามองแว๊บหนึ่งแล้วยิ้ม “ป้อนหน่อยสิ”
“โห ลำบากมั้ยเนี่ย” คนโดนอ้อนบ่นนิดหน่อยแต่ก็ยอมหยิบไปส่งให้ถึงปากอยู่ดี
“โตเป็นควายแล้วยังจะอ้อนน้องอีกนะมึง” คนที่อายุเยอะที่สุดในรถแซวลูกชายคนเดียว
“โถ่...ป๊า มีคนให้อ้อนก็ต้องอ้อนสิ” เอสตอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของเฟยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความงุ้งงิ้งของพี่ชายแถวบ้านกับน้องชายของเขาที่ดูยังไงมันช่างเกินคำว่าพี่น้องไปไกลโข เรียกได้ว่าเหมือนเป็นแฟนกันซะด้วยซ้ำ แล้วถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง...ป๊าของพี่เอสรับได้ด้วยหรือไงกัน
“อะ”
คนคิดมากได้สติหลังจากที่น้องชายส่งเสียงเรียกแล้วยื่นห่อขนมมาตรงหน้า
“อะไร”
“เห็นมองตาไม่กะพริบ อยากกินเหรอ?”
“ไม่อะ” บอกปฏิเสธไปแล้วก็จัดแจงเอาผ้าปิดตาขึ้นมาคาดเตรียมตัวนอนต่อ
ตี๋เห็นแบบนั้นเลยไม่คิดจะกวนเวลานอนของเฟย แล้วหันไปตั้งอกตั้งใจกินโดยที่ไม่ได้คิดติดใจอะไรกับท่าทางของพี่ชาย ที่ก็ดูไม่ผิดปกติไปจากเดิมสักเท่าไหร่ แต่คนที่รู้ถึงความไม่ปกตินี้คือเอสกับคนพ่อ พวกเขารู้ว่าตอนนี้เฟยกำลังจับสังเกตระหว่างเขากับน้องชายตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่ระวังตัว จริง ๆ แล้วต้องบอกว่า...เขาตั้งใจจะแสดงให้อีกฝ่ายเห็นด้วยนั่นล่ะ ว่าระหว่างเขากับน้องของอีกคนมีความสัมพันธ์กันแบบไหน
“อีกนานไหมอะกว่าจะถึง?”
“อะไรกัน เพิ่งไม่นานก็งี่เง่าซะแล้ว”
“ป๊าอ่ะ ตี๋แค่ถามเฉย ๆ เอง”
เอสหัวเราะก่อนจะตอบ “น่าจะอีกซักห้าหรือหกชั่วโมงนะ”
“โห” ตี๋ทิ้งตัวลงกับเบาะ ด้วยความเป็นเด็กไฮเปอร์แล้ว นอกจากเวลานอนก็แทบจะไม่ปล่อยให้ตัวเองได้ว่างเลย อย่างน้อยอ่านหนังสือหรือเล่นเกมโทรศัพท์ก็ยังดี แต่นี่ก็โดนป๊ากับพี่เอสขู่เอาไว้ว่าระวังเมารถเลยทำให้ไม่กล้าเลย
“ดูมันทำท่าเข้า หมดอาลัยตายอยากขนาดนั้นเลยหรือไง”
“ก็มันนานนี่ป๊า ตี๋เบื่ออออออ!”
“เลือกเองแท้ ๆ จะบ่นทำไม”
“ลืมนึกไปว่ามันไกลอะ”
สองพ่อลูกที่นั่งด้านหน้าส่ายหน้าปลง แต่ก็อดที่จะยิ้มเอ็นดูไม่ได้ ส่วนคนที่เด็กที่สุดก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาฟังเพลงแก้เบื่อ ใช้เวลาไม่นานนักตี๋ก็หลับไปอีกรอบ
“เด็ก ๆ นี่มันดีจริง ๆ นิ่งเป็นหลับขยับเป็นแดก”
เอสหันไปมองป๊าที่พูดออกมาลอย ๆ เขาเห็นแววตาของความสุขฉายออกมาอย่างปิดไม่มิด ที่เคยได้ยินมาว่าคนแก่ไม่ควรจะอยู่ลำพัง ควรจะมีอะไรให้ท่านทำหรือมีคนอยู่ด้วย ยิ่งถ้าเป็นเด็กหรือมีสัตว์เลี้ยงจะดีมาก ช่วงนี้เขาก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะรับแมวหรือหมาตัวเล็ก ๆ สักตัวมาเลี้ยงเป็นเพื่อนท่านเวลาที่เขาไปทำงาน เพราะตั้งแต่ที่เลิกขายน้ำเต้าหู้มาก็แลดูว่าท่านจะว่างมากเหลือเกิน เขาพยายามที่จะสอนเล่นพวกไอแพทแล้ว แต่ดูท่าป๊าจะไม่ชอบเห็นอ่านแต่หนังสือ เขาก็เลยต้องพาไปซื้อในวันหยุดกับตี๋อยู่บ่อยครั้ง และบางทีตี๋ก็หอบมาให้เป็นตั้งใหญ่เลย
ว่าแล้วก็ขอถามสักหน่อยดีกว่า “ป๊าชอบหมาหรือแมว?”
“ถามทำไม?” ท่านย้อนถามเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“เอสจะเลี้ยง”
“มึงหรือกูกันแน่ที่เลี้ยง”
“เกลียดคนรู้ทัน” ลูกชายหัวเราะแห้ง ๆ
“แล้วแต่มึงเถอะ อยากเลี้ยงอะไรก็ตามใจ”
“โอเค เดี๋ยวป๊าเตรียมตัวเป็นอากงได้เลยนะ”
“หึ” คนพ่อยิ้มมุมปาก เขาเองก็รู้ว่าตัวเองคงจะไม่มีโอกาสได้อุ้มหลานเหมือนคนอื่น และก็ทำใจยอมรับกับเรื่องนี้มาตั้งแต่รู้ว่าลูกชายของเขาไม่ได้ชอบผู้หญิงแล้ว ช่วงแรก ๆ อาจจะมีเสียดายอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาปลงกับเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้ว เพราะชีวิตที่เป็นอยู่ปัจจุบันก็ดีเหมือนกัน เขามีความสุขและลูกชายของเขาก็มีความสุข...แค่นี้ก็พอแล้ว
เดินทางมาได้อีกพักใหญ่ ๆ เอสก็จอดพักรถอีกครั้งก่อนที่จะเดินทางต่อยาวให้ถึงอำเภอปัวเลย
“ป๊า จะกินข้าวเลยไหม?” เอสถามตอนที่จอดรถเสร็จ
“เออ”
“เฟยก็ไปกับป๊าพี่เลยก็ได้นะ”
“ครับ” เจ้าตัวตอบทั้ง ๆ ที่งัวเงียเพิ่งจะตื่น
“เดี๋ยวพี่ปลุกตี๋ให้”
เฟยเหลือบมองอีกฝ่ายที่ปลุกน้องชายเขาด้วยความนุ่มนวล ทั้งสายตาและรอยยิ้มที่มีให้กับตี๋มันเต็มไปด้วยความรักที่มาก...จนเขาสัมผัสได้ แถมยังดูแลน้องชายของเขาได้ดีเยี่ยมอีกต่างหาก ทั้งที่ตามใจมันขนาดนี้แต่กลับเอามันอยู่หมัดจนไอ้ตัวแสบมันเชื่องเหมือนลูกไก่ในกำมือ แต่คนตรงหน้ากลับดูเจ้าชู้ยังไงชอบกล เรื่องนี้แหละที่ทำให้เขายังคิดหนักเพราะเป็นห่วงน้อง
“ถึงไหนแล้วอะ?” คนน้องถามเสียงยานคางมือขวายกขึ้นขยี้ตา
“แพร่แล้วครับ”
“อือ ๆๆ” เจ้าตัวตอบรับด้วยความง่วง ไม่รู้หรอกว่าแพร่อยู่ส่วนไหนของประเทศไทย แต่คิดว่าน่าจะใกล้ถึงแล้วมั้ง “ปวดฉี่”
ตี๋พูดทั้งที่ตายังไม่ลืมดีค่อย ๆ ไถตัวลงมาจากรถ แล้วเดินตามพี่ชายตัวเองเข้าห้องน้ำไป เอสจัดการล็อกรถแล้วถึงไปจัดการธุระของตัวเองบ้าง ตัวเขาเองยังไม่ค่อยหิวเลยปล่อยให้ป๊ากับสองพี่น้องกินข้าวไปก่อน ในขณะที่ตัวเองเดินยืดเส้นสายคลายเมื่อยที่เกิดจากการขับรถไกล ขายาวเดินเข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อจะไปหาผ้าเย็นสักผืนกับกาแฟสักแก้วเพื่อไล่ความง่วงที่เริ่มเกาะกุม ลูกอมก็หมดแล้ว กลายเป็นว่าตั้งแต่ที่เขาเลิกบุหรี่มาก็กลับติดลูกอมแทนซะอย่างนั้น
“ไม่กินข้าวเหรอ?” ตี๋ถามเมื่อเขาเดินไปถึงโต๊ะ
“พี่ยังไม่หิวน่ะ”
“เพลียสิมึง” ป๊าว่า
“นิดหน่อยอะป๊า ไม่ค่อยได้ขับรถทางไกล”
“ค่อย ๆ ไป ไม่ต้องรีบ”
“ครับ” เอสรับคำก่อนจะกินกาแฟต่อ พอวางแก้วลงบนโต๊ะก็สังเกตว่าตี๋ที่นั่งฝั่งตรงข้ามนั้น จ้องเขาตาแป๋ว เห็นแบบนี้เขาก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “มองอะไรครับ?”
“หือ เปล่า” เจ้าตัวปฏิเสธก่อนจะลุกขึ้นยืน “ตี๋ไปเซเว่นนะ”
“ขนมบนรถมึงยังกินไม่หมดเลย” เฟยว่าน้อง
“จะกินกาแฟ”
“ห่า เดี๋ยวก็นอนไม่หลับ”
“กูนอนไปเยอะขนาดนี้แล้ว ไม่กินกูก็นอนไม่หลับอยู่แล้วมะ”
พอเห็นพี่ชายไม่ว่าอะไรอีกตี๋ก็หันไปหาคนสูงอายุที่ยังกินข้าวไม่เสร็จ “ป๊าจะเอาอะไรไหม? เดี๋ยวตี๋ซื้อมาเผื่อ”
“โบตันสักหน่อยแล้วกัน”
“โอเคครับเจ้านาย” ตี๋ยิ้มให้ก่อนจะวิ่งแจ้นออกไปก่อนที่เฟยจะพูดว่าอะไรเขาอีก
“เดี๋ยวผมขอตัวไปห้องน้ำนะครับ” เนื่องจากเป็นพวกท่อตรงกินปุ๊บถ่ายปั๊บก็เลยต้องขอไปเข้าห้องน้ำก่อนจะออกเดินทาง ไม่งั้นไปปวดข้างทางล่ะแย่เลย
“เดี๋ยวไปเจอกันที่รถนะ”
เฟยพยักหน้าตอบพี่ข้างบ้าน ก่อนจะหันหลังกลับ สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างคิดหนัก ตอนนี้เขามั่นใจกว่า 80% แล้วว่าเอสกับน้องชายเขามีความสัมพันธ์ที่พิเศษต่อกันแน่นอน ใจจริงก็ไม่ได้อยากจะตัดสินไปก่อนที่จะได้ฟังจากปากของตี๋ แต่ว่าฝ่ายพี่เอสดูเหมือนจะจงใจแสดงท่าทีให้เขารู้ ตอนนี้ก็ขอเวลาให้เขาได้ตกตะกอนความคิดและทำใจก่อนสักพัก แล้วค่อยถามจากน้องชายของเขาวันหลังแล้วกัน
ตอนแรกตี๋คิดว่านั่งอีกไม่นานก็คงจะถึง ที่ไหนได้...ผ่านมาชั่วโมงกว่าก็แล้ว สองชั่วโมงก็แล้ว
“เมื่อไหร่จะถึงเนี่ยยยยย” เจ้าตัวโวยวายด้วยความหงุดหงิด
“เสียงดัง” พี่ชายที่นั่งข้างกันว่าเข้าให้ แถมยังเอาหมอนมาตีอีกต่างหาก
“ก็กูเบื่อ อย่างน้อยเล่นเกมหรือว่าอ่านหนังสือได้ก็ยังดี แต่กลัวเมารถนี่หว่า” บ่นตามประสาเด็กไฮเปอร์ที่อยู่นิ่ง ๆ ไม่ค่อยได้
เอสกับป๊าหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนเอสจะตอบ “ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้วเนี่ย”
“โอย” ตี๋ถอนหายใจ “ขอบคุณพระเจ้า”
“มึงนี่มัน...” คนเป็นพี่ชายหมดคำจะด่า ได้แต่ส่ายหัวหน่ายกับน้องชายตัวเอง
หลังจากที่ต้องนั่งแกร่วอยู่ในรถเป็นเวลาหลายชั่วโมง ในที่สุดก็เดินทางมาถึงรีสอร์ตในอำเภอปัวสักที ตี๋ดีใจจนแทบอยากจะร้องไห้ พอลงจากรถได้ก็ยืดเส้นยืดสายบิดขี้เกียจกับป๊าและพาเดินดูบรรยากาศรอบ ๆ ที่พักที่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมร่มรื่นสวยงาม ห้องพักก็เป็นบ้านหลังเล็ก ๆ สองหลังติดกัน น่ารักดี
คืนนี้เอสจองไว้สองหลังสำหรับตัวเองกับบิดา และอีกหลังก็เป็นของสองพี่น้อง ตอนแรกที่ตี๋รู้ก็หน้าบูดไปนิดที่ตนต้องทนฟังเสียงกรนของพี่ชาย แต่เขาก็ให้เหตุผลว่าคืนเดียวเอง ทนเอาหน่อยนะ
“เสียงกรนไอ้เฟยมันโคตรดังเลยนะ” เจ้าตัวงี่เง่า
“เดี๋ยวพี่ซื้อที่อุดหูให้” คนพี่บอกพลางยิ้มขำ
ตี๋ถอนหายใจหนึ่งเฮือก “ก็ได้วะ”
ตอนที่มาถึงก็ใกล้มืดแล้วพวกเขาก็ไม่ได้แวะกินข้าวที่ไหน เลยพากันเดินออกจากที่พักมาเพื่อหาอะไรกินก่อนที่จะนอนกัน ดีที่รีสอร์ตไม่ได้ไกลจากถนนใหญ่นักเลยไม่ต้องเดินไกล ปัวเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างเงียบเลยถ้าเทียบกับจังหวัดที่พวกเขาอยู่ ร้านขายข้าวก็ไม่ได้มีให้เลือกมากนัก มีอะไรให้กินก็ต้องกินล่ะ
“ดีจัง มีเซเว่นด้วย” ตี๋ชี้ตาโต
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วค่อยแวะ” เฟยปรามน้องชาย
“รู้น่า”
ทั้งสี่คนฝากท้องกับร้านข้าวที่อยู่ใกล้กันกับเซเว่นนั่นแหละ แน่นอนว่าสามหนุ่มนั่งอยู่โต๊ะเดียวกันย่อมเป็นเป้าสายตาของสาว ๆ ในร้าน ด้วยความที่ก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรและดูยังไงก็ไม่ใช่คนพื้นที่ ยิ่งเอสที่เป็นคนหน้าตาดีแบบพิมพ์นิยม สาว ๆ ก็ยิ่งจ้องกันใหญ่ บางคนก็แอบซุบซิบกัน ถึงจะฟังไม่ออกว่าพูดอะไร แต่ตี๋ก็ไม่ได้ชอบใจนักหรอก เจ้าตัวก็เลยก้มหน้าก้มตากินไม่พูดไม่จา
“เป็นอะไรเหรอ?” เอสที่สังเกตเห็นความผิดปกติของตี๋ ทั้งที่เมื่อครู่ยังร่าเริงอยู่ดี ๆ แต่ตอนนี้กลับก้มหน้ากินข้าวเงียบไป
“เปล่า”
“ก็เห็นหน้าบูดเชียว เป็นอะไรหรือเปล่า?”
พอโดนตื๊อถามมากเข้า ตี๋ก็ถอนหายใจแรงเพื่อระบายอารมณ์ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แค่หงุดหงิดนิดหน่อย เดี๋ยวก็หาย”
“จริงนะ”
“ให้มันจริงเหอะ”
เอสกับเฟยพูดขึ้นมาพร้อมกัน แต่คนละความหมาย
“เออออ” ตี๋ตอบทั้งคู่เสียงยานคางอย่างไม่ชอบใจนัก โดยมีป๊าของพี่เอสหัวเราะอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ป๊ากินอิ่มยัง เดี๋ยวไปซื้อขนมกับตี๋กันนะ” เจ้าตัวกำลังเบี่ยงความสนใจไปที่เรื่องอื่นแทน
“ไปสิ”
พอคนอายุมากตอบตกลงตี๋ก็ยิ้มแล้วลุกขึ้นไปพยุงแขนอย่างออดอ้อน ซึ่งมันก็สร้างความพอใจให้กับเขาเป็นอย่างดี จริง ๆ ตี๋ไม่จำเป็นที่จะต้องมาเกาะแขนพาเขาเดินหรอก เพราะถึงจะอายุมาก แต่ด้วยความที่ทำงานมาตลอดชีวิตเลยทำให้สุขภาพโดยรวมของเขาก็ยังคงแข็งแรงอยู่
“เมื่อกี้หงุดหงิดอะไรล่ะเราน่ะ?” เขาถามขึ้นระหว่างเดิน
“ก็...”
“พูดมาเถอะ”
“ก็มีแต่คนมองพี่เอสแล้วก็ซุบซิบอะไรกันก็ไม่รู้อะ”
“แล้วยังไงต่อ”
“ตี๋...”
“มึงไม่ชอบใจ” เขาตอบแทนในส่วนที่มันไม่กล้าพูด
“อื้อ” เจ้าตัวพยักหน้าอย่างจำต้องยอมรับกับเรื่องจริงที่อีกฝ่ายพูดออกมา “ทำไมตี๋ถึงต้องไม่ชอบใจด้วยล่ะป๊า?”
“หึ” คนถูกถามหัวเราะกับความซื่อของแฟนลูกชายเขาคนนี้ “เพราะมึงหวงมันไง”
ทันทีที่ป๊าพูดจบขายาว ๆ ของตี๋ก็หยุดชะงัก
“ไม่จริงอะ” เขาพยายามจะปฏิเสธคำพูดนี้ ทั้ง ๆ ที่ในใจก็รู้อยู่ว่าอีกฝ่ายพูดออกมาน่ะมันเป็นเรื่องจริงหรือไม่
“ยอมรับเถอะ...ว่ามึงน่ะหวงไอ้เอสมัน
TBC…
ฉันหวง ฉันมาทวงของฉันคืน #ผิดดดด
น้องตี๋คนความรู้สึกช้า ถถถถถ สงสารพี่เอสจัง
#น้องตี๋พี่เอส