พิมพ์หน้านี้ - ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: กานดา. ที่ 13-04-2018 22:06:19

หัวข้อ: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 13-04-2018 22:06:19
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การ นำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่า เป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่าง ของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้ เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)





ผมรักเด็กผู้ชายคนหนึ่งมาตั้งแต่เด็ก...
รักทั้งที่ไม่มั่นใจว่าจะรักได้...
และเมื่อต้องแยกจากกันไปตามวิถีชีวิตที่เปลี่ยน
ผมก็คิดว่าความรักนั้นคงจะจบลงและไม่มีทางเป็นไปได้ตลอดไป

แต่แล้ว...เมื่อได้กลับมาเจอกันอย่างไม่คาดฝัน ความรู้สึกที่คิดว่าคงจะจืดจางลงตามวันเวลามันกลับแจ่มชัดขึ้นมาในหัวใจ
สร้างความอบอุ่นและกำลังใจให้กับชีวิตที่ไร้เป้าหมายของผมอีกครั้ง

และครั้งนี้...ผมจะไม่ยอมถอยกลับหันหลังให้กับความรักนี้อีกแล้ว
รักครั้งแรก ครั้งเดียว และผมหวังว่ามันจะเป็นรักครั้งสุดท้ายของผม...

_________________________

เพจ : https://www.facebook.com/gandastory/ (https://www.facebook.com/gandastory/)
ทวิตเตอร์ : https://twitter.com/gandabossom

_________________________


หัวข้อ: Re: - all my LOVE is for you - ch.1 [13/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 13-04-2018 22:08:46


CH.1



“ตี๋!” เสียงที่ติดจะหงุดหงิดส่งเสียงเรียกคนที่หลับอุตุเป็นรอบที่ร้อย จนเขาคันไม้คันมือชักอยากจะลงแรงให้มันตื่น ๆ ไปเสียที

“อืม...” ร่างที่นอนอยู่บนเตียงส่งเสียงครางรับตามสัญชาตญาณ แต่สติกลับไม่ตื่นไปตามเสียงที่เรียกเลยแม้แต่น้อย

ชายสูงอายุที่ส่งเสียงเรียกกลับรู้ทันลูกชายคนเล็กจอมขี้เซาดี เพราะมันก็เป็นแบบนี้อยู่ทุกวัน ถ้ายิ่งช่วงไหนอดหลับอดนอนจะยิ่งปลุกยากขึ้นอีกเท่าตัว

“ไอ้ตี๋!! ตื่น!” เขาเร่งเสียงให้ดังขึ้นอีก หวังว่ามันจะตื่น ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันก็แค่หวังลม ๆ แล้ง ๆ ก็ตาม

“งืม...” ร่างเพรียวพลิกเอาหน้าซุกหมอนหนีแสงสว่างจากหน้าต่างที่เพิ่งโดนเปิดผ้าม่านออก แถมยังเอามือปิดหูด้วยความรำคาญ แต่ก็ยังคงไม่มีท่าทีจะลุกแม้แต่นิดเดียว ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง

ชายสูงวัยถอนหายใจเสียงดังด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนจะยกฝ่าเท้าขึ้นถีบลูกชายสุดรักลงจากที่นอนอย่างไม่ใยดี ไม่ได้อยากจะใช้วิธีนี้ปลุกมันเลย แต่ก็เพราะมีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่ทำให้มันตื่นได้ เขายืนรอไอ้ตัวแสบได้สติก่อนถึงค่อยพูดคุยกัน นี่ถ้าเขาไม่ต้องการใช้ให้มันไปซื้อของล่ะก็ ไม่มีทางที่จะมาปลุกมันให้เสียอารมณ์เด็ดขาด

“โอย อะไรวะเนี่ย แม่ง...” คนตัวขาวที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่บ๊อกเซอร์และรอยสักรูปมังกรเต็มหลังครางพร้อมกับลุกขึ้นในท่าคลานมือขวาคลำก้นที่กระแทกพื้นป้อย ๆ

“ไปซื้อน้ำเต้าหู้ให้ป๊าหน่อย”

ตาตี่หันควับไปมองตามเสียงที่อยู่อีกฟากของเตียงทันที ริมฝีปากสีชมพูได้รูปนั่นอ้าค้าง

“นี่ป๊าถีบตี๋ตกเตียงเพื่อที่จะให้ไปซื้อน้ำเต้าหู้เนี่ยนะ!”

“ก็เออสิวะ” ตอบน้ำเสียงแบบไม่แยแส ถึงแม้ในใจจะสมน้ำหน้าแค่ไหนก็ตามแต่ใบหน้าก็ต้องนิ่งไว้ก่อน

“แล้วไอ้เฟยไปไหน?” เรียกหาพี่ชายที่อายุมากกว่าสองปี เพราะปกติแล้วหน้าที่นี้คือของมันไม่ใช่ของเขา

“ไปทำงานแล้ว วันนี้มันทำงานวันแรกลืมแล้วรึไง”

“แล้วป้าศรีล่ะ?” ถามหาแม่บ้านคนเก่าแก่ มือรองอันดับสองรองจากพี่ชาย

“ไปจ่ายตลาดกับม๊ามึง”

ลูกชายคนเล็กถอนหายใจดังเฮือกอย่างอารมณ์เสีย ใบหน้าขาวเนียนบึ้งตึง เพราะตัวเองเพิ่งจะได้นอนตอนตีสี่ หลังจากปั่นงานจนเสร็จ ตี๋หันไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง อยากจะรู้ว่าตนเองนอนไปได้กี่ชั่วโมงกันแน่

“หกโมงครึ่ง!” ลูกชายคนเล็กร้องเสียงดัง

“ก็เออสิวะ” ป๊าตอบอย่างไม่ใยดี ในใจก็เริ่มรำคาญความมากเรื่องของตี๋ แล้วอาการดีดดิ้นเพราะนอนไม่พอของลูกชายคนเล็กก็ตามมา แต่คนเป็นพ่อก็หาได้สนใจไม่

“ป๊าจะรีบปลุกทำไมเนี่ย! ตี๋เพิ่งนอนตอนตีสี่เอง ไปซื้อตอนเจ็ดโมงครึ่งก็ทันอ่ะ”

“ก็ถ้าไม่รีบไปซื้อเดี๋ยวเต้าฮวยของอร่อยมันจะหมดซะก่อนสิ”

ตี๋ยกมือขึ้นขยี้หัวอย่างหงุดหงิดสองสามทีก่อนจะหันไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อยืดออกมาใส่ลวก ๆ เพราะถ้าออกไปสภาพที่ทั้งตัวมีแต่กางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเดียวแบบนี้คงไม่ดีแน่ อาม่าแถวบ้านคงได้หัวใจวายตายกันพอดี

“มึงไม่หากางเกงใส่ทับไปอีกตัวด้วยวะ?” คนอายุมากก้มมองกางเกงลูกชายของตัวเอง เพราะบ๊อกเซอร์ของตี๋มันสั้นเหนือเข่าขึ้นมาประมาณครึ่งหน้าขา แต่ยังดีที่มันไม่บางไม่งั้นเวลาเดินย้อนแสงคงเห็นละลุไปถึงไหนต่อไหนแน่

“โอ๊ยป๊า ตี๋เป็นผู้ชายนะ ช่างมันเหอะไม่เป็นไรหรอก” ตี๋เดินเอามือล้วงเสื้อเข้าไปเกาท้องของตัวเองแล้วเดินออกจากห้องตามด้วยคนเป็นพ่อ

“กูไม่ได้ว่ามันจะเป็นอะไร แต่ออกจากบ้านก็แต่งตัวให้มันดีหน่อย กูกลัวว่าไข่มึงจะปลิ้นออกมาต่างหาก”

“ไข่ตี๋ยังเต่งตึง ไม่ได้หย่อนยานเหมือนของป๊าหรอกน่า” พูดจบก็ต้องหลบฝ่ามือพิฆาต ก่อนจะถามเปลี่ยนเรื่อง “ป๊าเอาไรมั่งล่ะ ขอตังเผื่อของตี๋ด้วยนะ”

“น้ำเต้าหู้สองถุง เต้าฮวยสาม” บอกรายการพลางควักเงินแล้วยื่นให้ลูกชายตัวแสบ

“ตามบัญชา เดี๋ยวมานะครับ”


++++++++++++++++++++++++


“เอาน้ำเต้าหู้สองถุง เต้าฮวยสาม เต้าหู้เต้าฮวยสองถุง ปาท่องโก๋สิบตัวครับ”

ตี๋สั่งรัว ๆ ด้วยความเคยชินจนคนที่อยู่อีกฝั่งของรถเข็น ขมวดคิ้วเพราะฟังไม่ทัน ส่วนไอ้ตัวดีก็ยืนมองนั่นมองนี่ไม่ได้สนใจไยดีเลยว่าอีกคนจะฟังรู้เรื่องหรือเปล่า

“น้องจะเอาอะไรนะ? พอดีพี่ฟังไม่ทัน” คนมีศักดิ์เป็นลูกชายเจ้าของร้านน้ำเต้าหู้ย้อนถาม จนตี๋ต้องหันกลับมามองหน้าด้วยความสงสัย พอเห็นหน้าเลยรู้ว่าไม่ใช่ตาแปะคนเดิม เห็นตัวพอ ๆ กันก็นึกว่าใช่

“อ้าว แล้วแปะไปไหนอ่ะ?” เจ้าตัวย้อนถามด้วยความสงสัย

“อยู่หลังบ้านน่ะ หลังยอกพี่เลยมาช่วยงานชั่วคราว” อีกฝ่ายตอบยิ้ม ๆ

“อ๋อ ของป๊ากะม๊าน้ำเต้าหู้สอง เต้าฮวยสาม ของผมเอาน้ำเต้าหู้ใส่เนื้อเต้าฮวยสาม ปาสิบตัว” ตี๋ทวนรายการให้ฟังอีกรอบ

“กินแปลกจัง” บอกพร้อมกับยิ้มบาง ๆ มันทำให้เขานึกถึงเรื่องสมัยก่อน ‘เด็กคนนั้นก็ชอบกินแบบนี้เหมือนกัน’ เขาคิดพลางลงมือตักน้ำเต้าหู้ใส่ถุงให้ตี๋ที่ยืนรออย่างขัด ๆ ด้วยความที่ยังไม่ชินกับงาน เห็นแบบนั้นตี๋เลยเอื้อมมือไปหยิบถุงพร้อมกับกระดาษมาใส่ก้นถุงเพื่อจะได้ช่วยอีกแรงเป็นการประหยัดเวลาไปในตัว

“ผมชอบกินแบบนี้แหละ น้ำขิงมันเผ็ด”

“มิน่าละตัวขาวเหมือนเต้าหู้เลย”

เป็นประโยคที่สร้างความรู้สึกแปลก ๆ ให้กับตี๋ในลักษณะน่าขนลุกมากกว่าที่จะรู้สึกดี เหมือนโดนคุกคามทางคำพูดมากกว่าโดนชม พอเงยหน้าขึ้นมองก็ถึงกับสะดุ้ง เพราะเจอกับสายตาพราวระยับกับรอยยิ้มมุมปาก ที่ไม่ว่าคิดยังไงก็ไม่น่าจะเอาไว้ใช้กับผู้ชายด้วยกัน

...ไม่ใช่ว่าแม่งเป็นเกย์หรอกนะ...

“เอ่อ...”

“เสร็จแล้วครับ ทั้งหมด82บาท”

ก่อนที่ตี๋จะได้ตอบโต้อะไรออกไป พี่ชายที่ขายน้ำเต้าหู้ก็ชิ่งตัดการสนทนาซะก่อน ตี๋รับถุงมาถือเอาไว้แล้วยื่นแบงค์ร้อยไปให้ ตอนที่รับเงินทอนจากอีกฝ่ายไม่รู้ว่าพี่มันจงใจให้มือโดนกันหรือเปล่า แต่คนตัวขาวเหมือนเต้าหู้อย่างที่อีกคนว่าชักมือกลับแทบไม่ทัน ขาเรียวยาวรีบก้าวเดินออกไปจากร้านทันที แต่ก็ได้ยินเสียงไล่หลังตามมา

“ขอบคุณที่มาอุดหนุนนะ เดินกลับบ้านดี ๆ ล่ะ”

ตี๋รีบเดินจ้ำอ้าวกลับบ้าน ในใจก็ได้แต่ก่นด่าตัวเองว่าน่าจะเชื่อคำเตือนของป๊าบังเกิดเกล้าเรื่องใส่กางเกงทับมาอีกชั้น เพราะตอนที่หันหน้ากลับไปดันเห็นสายตาของอีกฝ่ายจ้องมาที่ขาของเขาอย่างไม่ปิดบังอะไรทั้งสิ้น แถมยังมีหน้ามาโบกมือบ๊ายบายมาให้อีก

...ขนาดจิ้งจกทักยังต้องฟัง นี่ป๊าบังเกิดเกล้าทักทำไมกูไม่ฟังวะเนี่ยขนลุกชิบหายเลยว้อย...


++++++++++++++++++++++++


“ยิ้มอะไรของมึงวะไอ้เอส?” คนเป็นพ่อค่อย ๆ พยุงตัวเองเดินออกมาจากด้านหลังของบ้าน เห็นลูกชายของตัวเองยืนกอดอกยิ้มมองอะไรของมันอยู่ก็ไม่รู้เลยเอ่ยถามด้วยความสงสัย

เอสไม่ตอบคำถามแต่กลับชี้นิ้วไปที่ลูกค้าตัวขาวคนเมื้อกี้ที่ตอนนี้เห็นหลังอยู่ไว ๆ ป๊าที่อยู่พื้นที่นี้มานานกว่าเขาคงรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นใคร

“เด็กคนนั้นใครอ่ะป๊า?”

“ไหนวะ?”

“คนนั้นไง ที่ตัวขาว ๆ ใส่บ๊อกเซอร์กับเสื้อยืดสีดำน่ะ”

“อ๋อ นั่นมันไอ้ตี๋ลูกชายอาฮงร้านขายผ้าตรงหัวมุมตึกนั่นไง”

“ใช่เหรอ เมื่อก่อนตัวนิดเดียวเองนะป๊า” เขาพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

เมื่อก่อนนี้ตัวเล็กนิดเดียว ตอนนี้กลับตัวสูงขนาดนี้ ถ้าเทียบกับเขาที่สูง 185 แล้วแทบจะดูไม่ต่างกันเท่าไหร่แต่อีกคนตัวผอมบางกว่าเขามาก แต่ถ้ามองดูดี ๆ หน้าตาก็ไม่ได้ต่างไปจากเมื่อก่อนซักเท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะเขาจากที่นี่ไปเป็นสิบปีความจำบางอย่างมันก็อาจจะลืมเลือนไปบ้าง แต่ก็มีบางส่วนที่เขาไม่เคยลืม ต่อให้ผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม...

“ใช่สิวะ เดี๋ยวนี้แม่งตัวยาวยังกับยีราฟ”

เอสมองตามเด็กแถวบ้านที่เคยเล่นด้วยกันเมื่อสมัยเด็กที่ตอนนี้เดินจ้ำอ้าวจนหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้  ท่าทีเหม่อลอยเหมือนคิดอะไรอยู่ ไม่ได้พูดโต้ตอบอะไรกับป๊าต่อ คนเป็นพ่อพอเห็นลูกชายเป็นแบบนี้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจพลางส่ายหน้าก่อนจะเดินเข้าหลังบ้านไปด้วยอาการหนักใจและคิดไม่ตก

พอเอสนึกถึงเห็นท่าทีที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาแบบนั้นของตี๋แล้ว ในใจก็ได้แต่นึกตลกกับใบหน้าเหวอของอีกคน คงจะตกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ ก็โดนจีบโดยผู้ชายเหมือนกัน เมื่อก่อนนี้เขาทั้งคู่เคยเล่นด้วยกัน แต่จะว่าเล่นก็ไม่ถูก เรียกว่าเขาเป็นคนดูแลอีกคนกับเด็ก ๆ ละแวกนี้ดีกว่า แต่ทั้งกลุ่มก็มีตี๋เนี่ยแหละที่ติดเขายังกับอะไรดี ...แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายกลับจำกันไม่ได้เลย แถมตอนนี้ซ้ำร้ายสงสัยว่าเขาจะโดนมองเป็นเกย์โรคจิตอีกด้วยมั้ง

การกลับมาเจอกันอีกครั้ง ทำให้ความทรงจำสมัยเด็กตอนอยู่ที่นี่มันไหลย้อนกลับเข้ามาในสมอง ทุกๆ เรื่องราวที่ผ่านไปแม้มันจะดีขึ้น อาจจะด้วยอายุที่มากขึ้นหรืออะไรก็ตาม แต่การพบกันอีกครั้งมันทำให้รู้ว่าเขายังคง ‘คิดถึง’ อีกฝ่ายอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง


++++++++++++++++++++++++


“อ๊ะป๊า!” ตี๋วางน้ำเต้าหู้ที่ซื้อมาลงบนโต๊ะ แถมยังตะโกนซะเสียงดังทำเอาคนแก่ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เพลิน ๆ สะดุ้งโหยง

“ทำไมต้องเสียงดังด้วยวะ” ป๊าเอ็ดเข้าให้

“ตี๋เหนื่อย” อาการหอบแฮ่กที่ได้มาจากการเดินเร็วกลับมาบ้านแบบนี้ มันทำให้คนที่ไม่ชอบออกกำลังกายอย่างเขาเหนื่อยสุด ๆ แก้มขาวมีเลือดฝาดขึ้นเป็นสีชมพูอ่อน เวลาที่ตี๋เหนื่อยหรือออกกำลังกายก็จะแก้มแดงหน้าแดงแบบนี้ทุกครั้ง มันเลยพาลทำให้เขาไม่ชอบเล่นกีฬาอะไรซักอย่าง เพราะเวลาที่เป็นแบบนี้ทีไรเป็นต้องโดนแซวตลอด และเขาก็ไม่ชอบที่ต้องมาเป็นเป้าให้คนอื่นแซวด้วย ถ้าสนิทกันก็ว่าไปอย่าง กับบางคนที่ไม่สนิทและไม่สนมเนี่ยทำให้เขาอยากเอาเท้าไปทาบหน้ามันซะ แต่ก็ได้แต่คิดนั่นล่ะ ด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบมีปัญหากับใคร เลยอยู่เงียบ ๆ แบบนี้ไปดีกว่า

“แล้วมึงไปวิ่งหนีควายที่ไหนมาล่ะ”

“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะวะ” ตี๋พึมพำกับตัวเอง เขาหมายถึงอีกฝ่ายตัวใหญ่อย่างกับควาย ถึงแม้ส่วนสูงจะไม่ได้ต่างกันมาก แต่เขาคงจะผอมมากไปเองล่ะมั้ง เลยทำให้อีกคนดูตัวใหญ่ แค่คิดถึงเรื่องที่ผ่านไปเมื่อซักครู่ก็ทำเอาขนลุกโดยอัตโนมัติ

“ไป ๆ ไปเอาถ้วยเอาแก้วมา”

ตี๋เดินไปหยิบแก้วกับชามตามคำสั่ง ลืมไม่ได้อีกอย่างคือนมข้นหวานที่จะเอามาไว้จิ้มกับปาท่องโก๋เพื่อเพิ่มความอร่อย ร้านนี้เป็นร้านของอาแปะเจ้าประจำที่ขายมานานหลายสิบปีตั้งแต่สมัยเขายังเด็ก น้ำเต้าหู้ของที่นี่อร่อยมากจนตี๋ไม่เคยนอกใจไปกินร้านอื่นเลย ทั้งหอมทั้งมันแบบไม่ผสมน้ำเข้าไปเยอะเหมือนเจ้าอื่น แถมปาท่องโก๋ที่นี่ก็อร่อยไม่ชุ่มน้ำมันและยังไม่เหม็นหืนน้ำมันเก่าอีกด้วย

“แล้วเมื่อคืนทำไมนอนดึกนัก” คนเป็นพ่อถามพลางซดน้ำขิงร้อน ๆ ลงคอไป

“ตัดโม” ตอบสั้น ๆ ก่อนจะยัดเข้าปากเคี้ยวตุ้ย

“นี่กูคิดถูกรึเปล่าที่ส่งให้มึงไปเรียนถาปัดถาเปอะห่าไรเนี่ย” ป๊าพูดคิ้วขมวด เขาไม่รู้หรอกว่าไอ้วิชานี้การเรียนการสอนเป็นยังไง แต่พอเห็นลูกชายของตัวเองต้องอดหลับอดนอนแบบนี้ก็ชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าควรจะให้มันเรียนต่อไปดีไหม ไม่รู้ว่าคุ้มกับสุขภาพที่เสียไปหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเรียนจบมาแล้วต้องมานั่งรักษาร่างกายอีกนะ แบบนั้นไม่คุ้มกับใบปริญญาที่ได้มาเลยแม้แต่น้อย

“ถึงงานมันจะเยอะไปหน่อย แต่ตี๋ก็ชอบนะ”

แต่พอได้ฟังลูกชายพูดแบบนี้ทีไรก็เป็นอันเข้าใจกัน ไม่ว่าจะพูดเรื่องเรียนของมันกี่ครั้งต่อกี่ครั้งมันก็จะตอบแบบเดิมเสมอ ไอ้เขาก็ไม่อยากจะขัดในสิ่งที่ลูกชายชอบซะด้วย เลยได้แต่ปล่อยไป ทำได้แค่เพียงตักเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ เวลาที่ลูกชายเริ่มละเลยสุขภาพของตัวเอง

ตี๋ซดน้ำเต้าหู้ดังซู้ดก่อนจะเรอเสียงดังเป็นการปิดท้าย “ไปนอนต่อนะป๊า”

“ไอ้ห่า ทำแบบนี้บ่อย ๆ เดี๋ยวก็ได้เป็นกรดไหลย้อนกันพอดี”

“ช่างมันเหอะ ไปนะ” พูดจบก็เดินขึ้นห้อง ตั้งใจจะไปหลับต่อ แต่เพราะสายตาแบบนั้นของไอ้พี่ที่ขายน้ำเต้าหู้มันกวนใจเขาจนทำให้ข่มตานอนต่อไม่หลับ เลยลุกขึ้นมาอาบน้ำเพื่อที่จะไปมหาวิทยาลัยเพราะคาบเช้าวันนี้มีเรียนตอนสิบโมง

...ถึงตอนนี้แม่งจะแค่เจ็ดโมงครึ่งก็เหอะ...


++++++++++++++++++++++++


“ไหงวันนี้มึงทำหน้าบูดเป็นตูดหมึกเลยวะ” เพื่อนกลอยที่จับสังเกตมาตั้งแต่เช้าทักขึ้นมา เขารู้สึกว่าตี๋มันหน้าบูดมากกว่าปกติเล็กน้อยถึงปานกลาง ซึ่งปกตินั้นหน้ามันก็ไม่ได้เป็นมิตรกับชาวบ้านซักเท่าไหร่อยู่แล้ว พอทำหน้าแบบนี้ยิ่งไม่น่าคบเข้าไปใหญ่ ถึงแม้ว่าหน้าตาโดยรวมมันจะดูดีก็เถอะ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรแม้แต่น้อย บวกกับนิสัยที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เรียกง่าย ๆ ว่ามนุษย์สัมพันธ์แย่ เพราะแบบนี้ล่ะมั้งมันถึงไม่มีแฟนเหมือนคนอื่นซักที

“ไม่ได้นอนรึไง” ภาคเพื่อนอีกคนในกลุ่มถาม

“เออ โดนป๊าปลุกไปซื้อน้ำเต้าหู้แต่เช้า” ตี๋ตอบด้วยเสียงเหนื่อย ๆ “แล้วก็มีเรื่องนิดหน่อยเลยนอนต่อไม่หลับ” พูดจบก็ฝุบหน้าลงกับแขนด้วยความง่วง

“เรื่องไรวะ?” ภาคถามต่อด้วยความอยากรู้ เพราะหายากที่คนอย่างตี๋มันจะนอนไม่หลับ ไอ้นี่หัวถึงหมอนปุ๊บเป็นหลับปั๊บ

“ไม่เอาอ่ะ กูไม่อยากพูดถึง” ตี๋ส่ายหัวทำหน้าเบื่อหน่าย แค่เพียงคิดถึงสายตาและรอยยิ้มชวนขนลุกนั่นก็ทำให้ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันที

สาบานได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอเกย์คนไหนทำแบบนี้ใส่ เพราะถึงตี๋จะหน้าตาดีแต่ก็ไม่ได้ดูเป็นมิตรขนาดที่ใครจะกล้ามาทำสายตาวิบวับและรอยยิ้มมีเลศนัยใส่ได้ ขนาดผู้หญิงยังไม่ค่อยจะมีเข้ามาหา ผู้ชายเนี่ยไม่ต้องพูดถึง มันไม่มีเข้ามาในลักษณะเชิงชู้สาวอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจเพศที่สาม เพราะเพื่อนที่เป็นเกย์ของตี๋ก็มีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เห็นมันจะมีท่าทีเข้ามาจีบซักคน พอโดนจีบด้วยคนที่เป็นเพศเดียวกันกับตัวเองครั้งแรกแบบนี้ก็เลยรู้สึกแปลก ๆ ชอบกล นึกภาพตัวเองเวลาคบเพศเดียวกันไม่ออกเลย

“ถึงเวลาแล้วไปเข้าเรียนกันโว้ย” กลอยสะกิดตี๋ที่นอนคิดอะไรเพลิน ๆ ให้ลุกไปเข้าเรียนด้วยกัน ขายาวก้าวเดินไป รู้สึกเหมือนตัวจะลอย ๆ คิดว่าวันนี้ตัวเองคงจะไม่มีสมาธิเรียนแน่


++++++++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: - all my LOVE is for you - ch.1 [13/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 13-04-2018 22:09:33


หลังเลิกเรียนตี๋รีบกลับบ้านทันทีเพราะจะได้รีบกลับไปนอนให้เต็มอิ่มก่อนแล้วค่อยตื่นขึ้นมาทำงานที่ค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืนต่อ แถมวันนี้ยังได้มาเพิ่มอีก นี่นึกสงสัยอยู่ว่าอาจารย์คิดว่าพวกเขาเป็นยอดมนุษย์หรือยังไง ไม่คิดว่านักเรียนต้องมีเวลาหลับนอนกันบ้างเหรอ พอลงจากรถเมล์เขาก็ต้องเดินเข้าซอย ขายาวค่อย ๆ ก้าวไปเหมือนไม่เร่งรีบ แต่ที่จริงคือง่วงจนแทบจะไม่มีแรงเดินต่างหาก วันนี้เรียนแทบจะไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ก็ทำได้แค่ก่นด่าไอ้พี่คนเมื่อเช้าไป

ทางกลับบ้านของตี๋ต้องเดินผ่านร้านน้ำเต้าหู้ทุกวัน แล้วตอนที่เจ้าตัวเดินผ่านไป เลยทำให้ลูกชายเจ้าของร้านที่ตอนนี้นั่งทำงานผ่านไอแพทอยู่ตรงเก้าอี้หน้าร้านสังเกตเห็น  มือซ้ายที่คีบบุหรี่อยู่ขยี้มันลงกับที่เขี่ยข้างตัว

“ตี๋!” เอสส่งเสียงเรียกตี๋ออกไป

เจ้าตัวหยุดเดินเพราะได้ยินเสียงเรียก หันซ้ายหันขวาก็ไม่มีใคร เพราะตอนนี้เป็นตอนเย็นที่ตลาดปิดแล้ว เลยทำให้ทั้งซอยแทบจะไม่มีคนผ่านเลย เจ้าตัวเกาหัวอย่างงง ๆ แล้วก็ทำท่าจะเดินต่อ แต่ก็ต้องชะงักไปอีกครั้ง

“ตี๋! ตี๋น้อย! น้องเต้าหู้~” เขาส่งเสียงเรียกเป็นชุดเพราะอีกฝ่ายไม่หันมามองทางเขาเลย

ได้ยินแบบนี้แล้วเลยทำให้ตี๋รู้ตัวทันทีว่าใครกันเรียกตน...ไอ้พี่ร้านขายน้ำเต้าหู้นี่เอง หน้าขาวหันควับไปตามเสียงเรียกที่ได้ยิน  แล้วก็ต้องรู้สึกขนลุกขึ้นมา  ชายหนุ่มคนเมื่อเช้าเดินยิ้มเข้ามาหา พอเห็นชัด ๆ แล้วก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายก็ดูดีไม่หยอก ทั้งตาโตสวย จมูกเป็นสันโด่งรับกับรูปหน้า ผิวสีน้ำผึ้ง รูปร่างที่สูงใหญ่ คือ...ไม่ใช่ใหญ่แบบพวกเพาะกล้ามโตอะไรนั่น แต่ถ้าเทียบกับตัวเขาเองที่ตัวผอมกะหร่องเหมือนเด็กขาดสารอาหารแล้วอีกคนก็ตัวใหญ่กว่านั่นล่ะ

...ในใจก็คิดว่า คนอะไรหน้าตาดีชิบหาย แต่ดันเป็นเกย์ซะได้ เสียดายแทนสาว ๆ ชะมัด

“เพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัยเหรอ?”

“กำลังจะไปมั้งถามได้” ตี๋ตอบน้ำเสียงกวน ๆ สงสัยว่าเป็นคนอื่นคงจะมีเรื่องชกต่อยกันไปแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมาจนทำให้คนที่เพิ่งกวนประสาทใส่สงสัย

“อะไรของพี่เนี่ย?” ตี๋เริ่มหงุดหงิด คิ้วเรียวขมวดเป็นปม

“จำพี่ไม่ได้รึไง” เอสชี้นิ้วเข้าหาตัวเองและถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาคิดว่าตัวเขาก็ไม่ได้หน้าตาเปลี่ยนไปจากตอนเด็กซักเท่าไหร่ ทำไมจำกันไม่ได้เสียแล้ว

“ก็ลูกจ้างแปะร้านน้ำเต้าหู้ไม่ใช่รึไง”

คนอายุมากกว่าหัวเราะลั่น “ใช่ที่ไหนล่ะ”

“...” ตี๋มองหน้านิ่ง แบบไม่สบอารมณ์เต็มที่ ปกติก็ไม่ใช่พวกที่จะอดทนกับคนที่มากวนประสาทอะไรแบบนี้ได้อยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้โคตรง่วง แถมหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขานอนไม่พอก็ยืนอยู่ตรงหน้านี่อีก ดีที่ว่าตี๋ไม่ใช่พวกนักเลงตีนโต ไม่งั้นอีกฝ่ายคงโดนต่อยหน้าหงายแน่

“โอเค ๆ อย่ามองพี่แบบนั้น” เขายกสองมือขึ้นว่ายอมแพ้แล้ว “นี่เฮียเอสเองไง จำไม่ได้จริงดิ?”

“เอส?” ตี๋กำลังนึกว่าเอสไหน คุ้น ๆ เหมือนจะใช่ที่เคยเล่นด้วยกันตอนเด็กหรือเปล่า แต่เขาก็จำหน้าไม่ได้แล้ว  เพราะเพื่อนที่เล่นกันสมัยเด็กก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทางหมดแล้ว

พอเห็นว่าอีกฝ่ายหน้านิ่วคิ้วขมวดทำท่านึกอยู่พักหนึ่งแล้วก็ดูจะยังจำไม่ได้จริงๆ ชายหนุ่มเลยช่วยบอกย้ำไปอีกครั้งหนึ่ง

“ลูกชายแปะขายน้ำเต้าหู้ไง”

“อ๋ออออ” ตาตี่ ๆ เบิ่งโตขึ้นเมื่อนึกออก “จริงดิ หายไปตั้งนานใครจะไปจำได้”

“ป๊ากับแม่เลิกกัน พี่เลยต้องย้ายไปเรียนที่อื่นน่ะ เรียนจบก็ทำงานต่อที่นั่นเลย ตอนนี้ป๊าพี่เขาป่วยเลยต้องมาช่วยงานหน่อยน่ะ”

“แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่เมื่อเช้าเนี่ย”

ตอนนี้ตี๋ได้ลืมเรื่องเมื่อเช้าไปชั่วครู่ เพราะเมื่อก่อนทั้งสองคนสนิทกันมาก ขนาดที่เขาไปนอนค้างที่บ้านของเอสบ่อย ๆ สมัยก่อนเด็กในซอยมีไม่กี่คน ทุกคนก็จะมาจับกลุ่มเล่นกันแถวร้านขายน้ำเต้าหู้  โดยมีอีกฝ่ายเป็นพี่ใหญ่คอยดูแลพวกน้อง ๆ  ป๊าของเอสจะบอกให้เอสเฝ้าดูแลน้องเอาไว้ เวลามีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือทัน จนมีอยู่วันหนึ่งเอสก็เดินไปหาตี๋ที่บ้านแล้วบอกว่าจะไปเรียนต่อที่อื่นคงไม่ได้เจอกันทุกวันอีกแล้ว ตอนนั้นตี๋ยังเด็กอยู่ก็มีการร้องไห้ไม่อยากให้เขาไป แต่พอเวลาผ่านไปนานเจ้าตัวก็ลืมเฮียเอสคนนี้ไปไม่ได้นึกถึงอีกเลย

“พี่ก็จำไม่ได้เหมือนกัน ตี๋เปลี่ยนไปตั้งเยอะ”

“ตี๋หล่อกว่าเดิมอ่ะดิ” คนอายุน้อยกว่าเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองจากผมเป็นตี๋ไปโดยไม่รู้ตัว ก็เมื่อก่อนเรียกแทนตัวเองว่าตี๋อย่างนั้น ตี๋อย่างนี้มาตลอด

“ใช่” เอสยิ้มเมื่อได้ยินแบบนั้น เพราะคนตรงหน้าถ้าไม่สนิทแล้วจะก็ไม่แทนตัวเองว่าตี๋อย่างเด็ดขาด ข้อนี้เขาจำได้ดี “หล่อขึ้น น่ารักมากกว่าเดิมอีก”

...แต่ที่จริงคือไม่ว่าเรื่องอะไรของคนตรงหน้าเขาก็ไม่เคยลืม...

ตี๋สะดุ้งตอนที่คนตรงหน้ายกมือมาลูบผมและบีบแก้มเขาเบา ๆ แต่เขาก็ไม่ได้ผละหนีไปจากสัมผัสของฝ่ามือใหญ่นี้ จากที่ตอนแรกลืม ๆ เรื่องเมื่อเช้าไป มันก็กลับมาจำได้อีกรอบ แต่ความรู้สึกมันกลับเปลี่ยนไปนิดหน่อย...ตรงที่ว่าคนตรงหน้านี้คือเอส ซึ่งเป็นคนที่เคยรู้จักและสนิทกันมาก ทั้งที่สัมผัสแบบนี้เขาก็ลืมมันไปนานแล้วเหมือนกัน ลืมมันไปพร้อมกับพี่ชายคนนี้

...น่าแปลกที่เขายังรู้สึกคุ้นเคยกับมัน
เหมือนมันเพิ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา...

“พี่...” ตี๋อ้ำอึ้ง ไม่แน่ใจว่าควรจะถามเรื่องนี้ออกไปดีหรือเปล่า

“มีอะไรเหรอ?”

ตี๋มองหน้าของคนตรงหน้าอย่างชั่งใจ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้รอยยิ้มอบอุ่นของคนคนนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย คนน้องตัดสินใจถามออกไปเสียงอ่อนเพราะกลัวจะเสียมารยาท แต่ก็ดีกว่าที่จะมาค้างคาใจกัน

“พี่เป็น...เป็นเกย์เหรอ?””

“อืม...ใช่”

“...”

หลังจากที่ได้คำตอบจากอีกฝ่าย ตี๋ก็เม้มปากแน่นพร้อมกับหลบสายตา ตี๋ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี เพราะสายตาของเอสในตอนนี้ไม่ได้ปิดบังความรู้สึกที่มีต่อตัวเขาเลยแม้แต่น้อย

ทั้งสายตาและรอยยิ้มที่ส่งมา ถ้าเป็นคนอื่นเขาก็คงจะรู้สึกไม่ชอบใจ แต่พอกับคนคนนี้...คนที่เขานับถือเป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่งแล้วมารู้สึกแบบนี้กับเขา  ทำให้เขาไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกหรือคิดยังไงกับมันดี

“ตี๋รังเกียจเหรอ?” เอสถาม สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา

“ปะ- เปล่า ๆ แค่มันแปลก” พยายามหลบสายตาที่มองตรงมา โดยการมองซ้ายทีขวาที

“แปลก? อะไรที่แปลก ที่พี่เป็นเกย์ หรืออะไร?”

“สายตากับรอยยิ้มของพี่มันแปลก” ตี๋ตอบออกไปตามตรง พอจบคำตอบของเขาก็ทำให้คนฟังยิ้มมุมปากออกมา

“แปลกตรงไหนกัน?”

“...”

“เงียบทำไมล่ะ?”

ตี๋เงยหน้ามองเอสที่สูงกว่านิดหน่อย สบตาอีกฝ่ายด้วยพลังเฮือกสุดท้ายของวันนี้

“พี่จะจีบตี๋เหรอ” เขาตัดสินใจที่จะถามออกไปตามตรง ทั้งที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เรื่องที่อีกฝ่ายรู้สึกยังไงกับเขาก็ได้ แต่ก็ขี้เกียจจะมาเล่นลิ้นกันตอนที่ง่วงจัดแบบนี้ มันทำให้เขาอารมณ์เสีย

“แล้วให้จีบไหมล่ะ?” พอคิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเช้าคนพี่ก็อดที่จะขำไม่ได้ เลยลองย้อนถามดูว่าน้องมันจะยอมหรือเปล่า

“ตี๋ไม่ได้ชอบผู้ชาย”

คิดอยู่แล้วว่าคำตอบจะต้องออกมาเป็นแบบนี้ ดูก็รู้ว่าตี๋ก็เป็นเด็กผู้ชายธรรมดาที่คงไม่ได้สนใจในเพศเดียวกัน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ใช่คนที่เกลียดเกย์เข้ากระดูกดำ การที่จะทำให้หวั่นไหวก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ลองเสี่ยงดูสักตั้ง ถึงแม้ลึก ๆ แล้วเขาก็กลัวว่าตี๋จะเกลียดเขาไปเลย

ตอนแรกที่กลับมาเอสก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะจีบตี๋ ถึงแม้เรื่องที่เขาชอบอีกฝ่ายจะเป็นเรื่องจริง แต่มันก็ผ่านมาตั้งสิบปีแล้ว ตั้งแต่ที่อีกฝ่ายยังเป็นเด็กอายุเพียงแค่ 10 ขวบ ตอนเช้าที่เจอหน้าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนนี้คือรักแรกสมัยเด็กของตัวเอง แค่คิดว่าคนคนนี้ตรงเสป็กมากก็เลยรู้สึกสนใจเท่านั้นเอง

แต่พอมารู้จากป๊าว่านี่คือเด็กที่เขาเคยหลงรัก ในหัวใจมันก็สั่นไหวไปหมด เหมือนกับว่าความรู้สึกเก่า ๆ มันตีกลับเข้ามาในอก หัวใจเต้นรัวแบบที่ไม่เคยเป็นมาตลอดสิบปีที่ผ่านมา โชคดีที่ยังเก็บอาการได้เลยทำให้ไม่แสดงอะไรออกไปให้ป๊าระแคะระคายเรื่องที่เขาชอบผู้ชาย

เขานั่งคิดมาตลอดช่วงบ่ายว่าจะทำยังไงดี จะลองเสี่ยงกับมันดูไหม กับอีกคนที่เป็นผู้ชายธรรมดา ผลมันอาจจะออกมาไม่เป็นอย่างที่เขาหวัง แต่อย่างน้อยเขาก็รู้จักอีกฝ่ายดี แม้ว่าอายุที่มากขึ้นอาจจะทำให้มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่พื้นฐานนิสัยก็น่าจะยังคงเหมือนเดิม

สุดท้าย เขาก็ตกลงที่จะยอม...ลองเสี่ยงดู

“พี่ไม่ได้อยากให้เราชอบผู้ชาย แต่พี่อยากให้เราชอบพี่ต่างหาก”

“ตี๋ไม่ชอบคนสูบบุหรี่”

เพราะว่าไม่รู้ว่าจะหาข้ออ้างอะไรเพื่อปฏิเสธอีกฝ่ายออกไปดี เขาได้กลิ่นบุหรี่จากอีกคน และประจวบกับที่เขาไม่ชอบคนสูบบุหรี่พอดี เลยใช้เรื่องนี้บอกปฏิเสธ เพราะเขารู้ว่าคนที่สูบบุหรี่กว่าจะเลิกได้น่ะมันยาก

“พี่เลิกให้ก็ได้ครับ” เอสบอกยิ้มน้อย ๆ ที่จริงแล้วก็แค่สูบเวลาว่าง ๆ เขาไม่ได้ติดมันขนาดนั้น ไม่สูบก็ไม่เป็นไร

“...นี่พี่ เอาจริงเหรอวะ” ตี๋ถามเหวอ ๆ ขนาดเขาปฏิเสธออกไปขนาดนั้นแล้ว แต่อีกฝ่ายดูไม่มีทีท่าจะยอมแพ้เลย

เอสยักไหล่ก่อนจะตอบว่า “พี่ทำอะไรจริงจังเสมอ ไม่เคยเล่น”

“แต่เราเพิ่งเจอกันเองนะ” ตี๋พยายามจะเบี่ยงประเด็นไปเรื่อย

“ใครบอกว่าเพิ่งเจอกัน อุตส่าห์จองไว้ตั้งแต่ยังเด็ก”

“ห๊ะ!”

“พี่เคยบอกเราไปแล้วนะ จำไม่ได้รึไง”

“ไม่ได้!”

“โห่ เสียใจชะมัด” เอสทำปากยู่ ในสายตาของตี๋มันดูน่าตบมากกว่าที่จะดูน่ารัก

“แต่ตอนนี้...ตี๋ขอตัวไปนอนต่อนะพี่ ง่วงชิบหายเลย”

เวลานี้ตี๋อยากจะไปให้พ้นจากตรงนี้ที่สุด เลยต้องรีบตัดบทให้เร็ว เพราะดูท่าพี่แกจะไม่ยอมจบง่าย ๆ เลยต้องบอกตามตรง แต่พอจะเดินปลีกตัวออกไปก็โดนเอสเข้ามาดักหน้าเอาไว้ไม่ยอมให้เขาผ่านไป

“เอาไลน์มาก่อนถึงจะยอมให้ไป” เอสยิ้มเจ้าเล่ห์ ยื่นมือถือของตัวเองให้คนตรงหน้ายึก ๆ

ตี๋ในตอนนี้ที่ไม่มีเรี่ยวแรงจะไปต่อกรกับใคร เลยทำให้ไม่รู้ว่าจะสู้กับคนขี้ตื้อนี่ยังไงดี เอาจริง ๆ คือก็สู้ไม่ได้มาตั้งแต่สมัยไหนแล้วด้วย คิดแล้วก็เจ็บใจ เลยยื่นมือออกไปรับแล้วกดแอดเป็นเพื่อนให้ พอจะยื่นกลับไปก็โดนร้องขออีก

“เอาเบอร์มาด้วย”

ตี๋มองหน้าค้อนปะหลับปะเหลือกแต่ก็ให้ไป ไม่ใช่เพราะอ่อยหรือว่าอะไร เรียกว่าตัดรำคาญมากกว่า เพราะงั้นอีกฝ่ายเลยยอมปล่อยให้เขากลับบ้านไปได้ง่าย ๆ

“เดินดี ๆ นะ อย่าไปตกหลุมรักใครเข้าล่ะ” เอสโบกมือลาอย่างอารมณ์ดี ผิดกับอีกคนที่เดินกลับไปพร้อมกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ถึงขนาดที่เดินผ่านป๊าไปแล้วยังไม่เห็นเลยว่าคนเป็นพ่อนั่งหัวโด่อยู่ตรงนั้น ต้องโดนทักถึงจะหันกลับมายกมือไหว้

อาฮงเห็นภาพนี้จนเคยชินอยู่แล้วจึงไม่ได้ว่าอะไร เขารู้ดีว่าลูกชายของตัวเองอดนอนได้ไม่เกินหนึ่งคืนหรอก เพราะแบบนั้นตี๋เลยต้องค่อย ๆ ทำงานไปเรื่อย เพื่อที่จะไม่ต้องมาอดนอนปั่นงานให้เสร็จทันก่อนกำหนดส่ง และอาจจะโชคดีที่มันมีหัวทางนี้ เลยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายอะไร เสียอย่างเดียวคือมันชอบทำงานเพลินจนเลยเวลานอน

พอถึงห้องปุ๊บตี๋ก็ถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแต่บ๊อกเซอร์ เปิดแอร์เย็นจัด แล้วล้มตัวนอนทันที ไม่ต้องใช้เวลาอะไรทั้งสิ้น มันหลับตั้งแต่หัวยังไม่ถึงหมอนแล้วด้วยซ้ำ



TBC...



ฝากเนื้อฝากตัวในเรื่องใหม่กับยูสใหม่ด้วยนะคะ
เราเป็นคนเขียนเรื่อง "น้องหมอ กะ พี่วิศวะ" เองค่ะ
กับเรื่องนี้ก็หวังว่าทุกคนจะชอบและหลงรัก "ตี๋" ไปพร้อมกับพี่เอสด้วยนะคะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: - all my LOVE is for you - ch.1 [13/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 13-04-2018 23:08:50
น่าสนุก เฮียเอสจะรุกจีบน้องแบบไหนน้า
รออ่านตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: - all my LOVE is for you - ch.1 [13/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 14-04-2018 05:26:30
 :hao7:  :hao7: คิดถึงคนแต่งค่ะ...เรื่องที่แล้วเราก็อ่า...แต่ไม่ได้comment อะไรเลย...  :mew2: ขอโทษนะค่ะ...เรื่องนี้ต้องน่ารักแน่ๆเลย(อ้าวอิงจากเรื่องที่แล้ว) จะคอยติดตามทุกวันเลยนะค่ะ
หัวข้อ: Re: - all my LOVE is for you - ch.1 [13/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-04-2018 07:37:00
 :L2: :pig4:

รอลุ้นไปกับเฮีย
หัวข้อ: Re: - all my LOVE is for you - ch.1 [13/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 14-04-2018 11:05:40
 :hao6: :hao7: :mew1:
หัวข้อ: Re: - all my LOVE is for you - ch.2 [16/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 16-04-2018 15:35:33
CH.2




หลังจากที่แยกกับตี๋ตอนเย็นนั้น เอสก็อารมณ์ดีขึ้นผิดหูผิดตา จนป๊าที่นั่งร่วมโต๊ะกินข้าวมองแล้วมองอีกด้วยความสงสัยว่ามันไปมีเรื่องให้อารมณ์ดีมาจากไหนกัน

“ไปเจออะไรดี ๆ มารึไง?” ป๊าตัดสินใจถามออกไป หลังจากที่นั่งมองลูกชายตัวเองกินข้าวไปยิ้มไปจนดูเหมือนคนบ้ามาพักใหญ่แล้ว

“เจอตี๋มาน่ะป๊า” เขาตอบยิ้ม ๆ แต่ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดไปว่าเจอแบบไหนถึงทำให้เขายิ้มเหมือนเป็นบ้าอยู่แบบนี้

“อ่อ” ป๊าตอบรับสั้น ๆ เป็นอันรับรู้ ว่าเป็นเพราะได้ไปเจอเพื่อนสมัยเด็ก หลังจากที่ต้องแยกกันไปเพราะว่าตัวเองเลิกกับภรรยา เลยทำให้ลูกชายคนเดียวต้องย้ายไปอยู่กับแม่อีกจังหวัดหนึ่งนานนับสิบปี

“ไม่ได้เจอกันตั้งนานยังน่ารักเหมือนเดิม” พูดจบก็คีบปลาทอดเข้าปาก

“มึงก็เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ” ป๊าพูด

“อะไรของป๊าเนี่ย จู่ ๆ ก็ทำเสียงซีเรียส” เอสเหลือบตามองคนเป็นพ่อที่เคี้ยวข้าวเหมือนไม่ได้มีนัยยะอะไรกับสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่

“เปล๊า ไป รีบกินแล้วจะได้นอน พรุ่งนี้ต้องลงมาขายของอีก” ป๊าว่าเสียงสูงก่อนจะใช้มือที่จับตะเกียบอยู่โบกไหว ๆ เป็นเชิงเร่งให้รีบกิน เขาไม่อยากจะหลุดพูดไปว่าเขารู้ตั้งนานแล้วว่ามันชอบเด็กตี๋นั่นหรอก รอให้ลูกชายของเขาเป็นฝ่ายพูดเองน่าจะดีกว่า

พอคนเป็นพ่อพูดแบบนั้นเอสก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก กินเสร็จก็ขึ้นห้องเตรียมตัวนอน เพราะต้องตื่นขึ้นมาเตรียมตัวตั้งแต่ตีสี่ เพื่อจะได้ขายน้ำเต้าหู้ตอนหกโมง ตอนนี้เขาขอพักงานจากบริษัทที่ทำอยู่เพื่อที่จะมาช่วยป๊าขายของ ด้วยความที่ท่านอายุมาก แล้วก็ขายของอยู่คนเดียวมาหลายปี บอกให้จ้างลูกจ้างสักคนก็ไม่ยอม อ้างว่าเปลือง งานไม่ได้หนักหนาอะไรทำคนเดียวก็ไหว พอเขามาช่วยถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่งานที่สบาย ๆ เลย

เห็นแบบนี้แล้วเอสก็เลยคิดอยู่ว่าจะออกจากงานมาช่วยเลยดีหรือเปล่า งานที่เขาทำอยู่ตอนนี้ก็กำลังไปได้สวยเลยด้วย ทางแม่เขาก็หมดห่วงไปแล้ว เพราะแม่แต่งงานใหม่แล้วก็มีลูกอีกคน แม่มีคนช่วยดูแลที่ไว้ใจได้ แต่ทางนี้ไม่มีใครเลยซักคน แถมป๊าก็แก่ลงทุกวัน เขาไม่อยากทิ้งให้ท่านเหงาอยู่คนเดียว

และก็ต้องยอมรับความจริงอีกอย่างที่ว่ายิ่งได้กลับมาเจอตี๋แบบนี้ ทำให้เขานึกย้อนกลับไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ตอนที่เขาจะต้องย้ายตามแม่ไป ถึงตอนนั้นจะอายุแค่ 15  แต่ก็โตพอที่จะรู้แล้วว่าตัวเองไม่ได้ชอบผู้หญิงเหมือนคนอื่น ๆ ทั่วไป และในตอนนั้น คนที่กุมหัวใจเขาได้กลับเป็นเด็กชายตัวเล็กอายุเพียง 10 ขวบที่ชื่อตี๋

เริ่มแรกเขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันมาจากอะไร มันเป็นแค่ความเอ็นดูหรือความรักกันแน่ ตี๋เป็นเด็กน่ารัก อ่อนโยน และใจดี สมัยเด็ก ๆ ก่อนที่เขาจะย้ายไปอีกฝ่ายก็มานอนค้างที่บ้านเขาบ่อยในช่วงวันหยุด ตอนแรกป๊าของตี๋ก็จะมาตามกลับอยู่เรื่อย ๆ เพราะเกรงใจทางบ้านของเขา แต่พอมาบ่อยขึ้นก็กลายเป็นป๊าเองที่บอกเจ็กฮงว่าไม่ต้องเกรงใจหรอก เดี๋ยวจะให้เขาเป็นคนดูแลให้เอง อีกฝ่ายถึงไม่ได้มาตามอีก

ตอนนั้นที่ตี๋มานอนค้างที่บ้านของเขา เอสก็จะสอนตี๋วาดรูปและระบายสีอยู่ประจำ และน้องก็ชอบมาก เพราะงั้นเขาจะโดนอ้อนให้สอนอยู่เรื่อย พอถึงเวลานอนเขาก็จะนอนบนเตียงเดียวกันกับตี๋ พออีกฝ่ายหลับ เขาก็จะแอบดึงตัวเข้ามาแนบกับอก กอดเอาไว้ แล้วก็แอบหอมแก้มอยู่เป็นประจำ เพียงแค่นั้นเขาก็พอใจแล้ว

“เฮ้อ”

คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่าอดีตที่แสนหวานได้ไหม เพราะพอคิดถึงมันที่ไรเขาก็หน่วงที่ใจทุกครั้ง เขาชอบที่จะกอดและหอมเด็กน้อยในอ้อมแขน ทั้งที่ก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควร แต่เขาก็ห้ามใจไม่เคยได้
ตอนนี้เด็กน้อยคนนั้นโตขึ้นจนเลยคำว่าผู้เยาว์ไปแล้ว เขาเลยสบายใจขึ้น ว่าถ้าอย่างน้อยทำอะไรเกินเลยไปก็คงไม่ต้องติดคุกล่ะนะ

เอสหันไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างหมอนขึ้นมา เขาเลือกที่จะโทรหาตี๋แทนที่จะแชทไป อาจจะเพราะว่าทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มันเลยทำให้เขาค่อนข้างจะเบื่อหน่ายในเทคโนโลยีอยู่เหมือนกัน พอนอกเวลางานเขาก็เลยเลือกจะใช้เท่าที่จำเป็น ไม่ได้เป็นคนที่ติดมันมากเหมือนหลายคนในสมัยนี้ที่กลายเป็นยุคสังคมก้มหน้าไปแล้ว

...แต่ความจริงคือเขาอยากจะได้ยินเสียงของอีกฝ่ายมากกว่า

เสียงสัญญาณดังอยู่สักพักก็มีคนกดรับ

(ฮัลโหลล) เสียงยานคางตอบกลับมาจากปลายสาย

“นอนอยู่เหรอ?”

(อื้มม) เดาว่าตี๋คงยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใครแน่นอน

ตอนแรกก็กะว่าจะชวนคุยซักหน่อย เห็นแบบนี้แล้วก็เลยต้องพับเก็บไป จู่ ๆ ความรู้สึกที่เก็บไว้ในส่วนที่ลึกสุดของหัวใจมันก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานมากนับตั้งแต่จากกันเมื่อครั้งยังเยาว์

“...พี่ชอบเรานะ” คำนี้ที่เขาเคยบอกเด็กน้อยในตอนที่ยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจ ผ่านมาสิบปีตอนนี้คงจะเข้าใจพี่ชายคนนี้แล้วล่ะมั้ง เอสบอกตี๋อีกครั้ง “อย่าไปชอบใครก่อนพี่ล่ะ”

(...) ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝั่ง

“ไม่ได้ยินเหรอ?” เอสถามเพราะไม่แน่ใจว่าตี๋หลับต่อไปหรือยัง

(ได้ยิน) เสียงเบามากจนเอสแทบจะไม่ได้ยิน

“ดีแล้วล่ะ ไปนอนต่อเถอะ”

(ครับ)

...ก็ยังดี ที่อย่างน้อยตี๋ก็ไม่ได้ปฏิเสธมันน่ะนะ...


++++++++++


“อ้าว แล้วเฮียโจวไปไหนซะล่ะ” คนสูงอายุถามเอสที่กำลังง่วนกับการทำงานในตอนเช้า ร้านของป๊าเขาไม่มีวันไหนที่เงียบเหงา ของขายหมดทุกวัน

เอสจำได้ว่าคนคนนี้คือพ่อของตี๋ ถึงจะไม่ได้เห็นมาสิบปี แต่เจ็กฮงก็ไม่ได้ดูเปลี่ยนไปเท่าไหร่ ยังคงดู...น่ากลัวเหมือนเดิม

“อ๋อ ป๊าอยู่หลังร้านน่ะครับ” เอสตอบเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ แต่มือก็ยังทำไม่หยุด เพราะยังมีของลูกค้าหลายคนที่รอกินอยู่ เขาเลยไม่มีเวลาจะพูดคุยมากซักเท่าไหร่นัก

“นี่ลูกชายเฮียโจวหรอกเหรอเนี่ย หยา..โตเป็นหนุ่มหล่อเชียวนา”

“สวัสดีครับ” เอสยกมือขึ้นไหว้อย่างทุลักทุเล อีกฝ่ายยกมือขึ้นรับไหว้ก่อนจะตบมือลงกับไหล่ของเขาจนน้ำเต้าหู้กระฉอก เอสก็ได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้

“เฮียโจวมาพอดี เป็นอะไรไปน่ะ ท่าเดินแปลก ๆ”

“พอดียกของผิดท่าไปเลยหลังยอกน่ะ”

“โถ่ อายุเยอะแล้วก็ระวัง ๆ หน่อยซี่”

“อืม ก็ดีที่ช่วงนี้ได้ลูกชายมาช่วย เบาแรงไปเยอะ”

“ไม่ได้เจอนาน โตเป็นหนุ่มหล่อเลย นี่ถ้าอั๊วะมีลูกสาวสักคน คงจะให้มาแต่งงานด้วยแล้ว ฮ่า ๆๆ”

เอสไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ส่งยิ้มไปให้แล้วคิดในใจ

...ขอโทษนะครับ
...ถึงเจ็กฮงไม่มีลูกสาวผมก็อยากได้ลูกของเจ็กอยู่ดีแหละครับ

แถมยังเป็นรักครั้งแรกของเขาอีกด้วย “รักแรกมักลืมยาก” ได้ยินมานาน ก็เพิ่งจะเข้าใจตอนนี้นี่แหละ

“วันนี้รับอะไรดีครับ” เอสถามออกไปหลังจากเคลียร์คิวลูกค้าหมด

“แบบที่ไอ้ตี๋มันสั่งเมื่อวานน่ะ” เจ็กฮงผละจากการคุยกับป๊าของเขาแล้วหันมาสั่ง ส่วนป๊าของเขาก็บอกว่าจะไปร้านขายยาที่หน้าปากซอย เอสพยักหน้ารับแล้วลงมือทำให้อีกฝ่าย พลางคิดในใจว่าทำไมวันนี้ตี๋ไม่มา แต่กลับกลายเป็นคนพ่อมาแทนซะได้ แอบเสียดายอยู่เหมือนกัน อยากเจอหน้าซักหน่อย

“แล้วนี่ได้เจอตี๋มันรึยังน่ะเรา” คนสูงอายุเอ่ยถาม

“อ๋อ เจอตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ”

“แล้วทำไมไม่เห็นมันมาเล่าให้ฟังเลย” หัวคิ้วขมวดด้วยความสงสัย

“ตอนแรกน้องเขาจำผมไม่ได้น่ะครับ ผมบอกเขาเองถึงจะจำได้”

“แหม่ ไอ้นี่ เมื่อก่อนนะติดเอสเป็นตังเมเลย ทีตอนนี้ทำเป็นจำไม่ได้” คนแก่ส่ายหัวปลงกับลูกชายคนเล็ก

“ตอนผมไปกับแม่ ตี๋เขาก็ยังเด็กอยู่มาก ไม่แปลกหรอกครับที่เขาจะจำผมไม่ได้ ขนาดผมเองตอนแรกก็ยังจำเขาไม่ได้เลย” เอสบอกพลางหัวเราะแห้ง ๆ

“นั่นสินะ ก็มันผ่านไปตั้งสิบปี แล้วนี่จะกลับมาช่วยเฮียโจวนานแค่ไหนล่ะ?”

“ตั้งใจว่าจนกว่าป๊าจะหายดีน่ะครับ”

“แล้วทำไมไม่มาช่วยถาวรเลยล่ะ สงสารอี ไม่ยอมหาลูกจ้างมาช่วยอีก นี่ยังดีนะที่มีเครื่องช่วย แค่นี้เจ็กก็เป็นห่วงจะแย่แล้ว”
เอสพยักหน้าเห็นด้วย

“ผมกำลังตัดสินใจอยู่ครับ ป๊าก็แก่มากแล้ว แถมยังอยู่คนเดียวอีก ผมเองก็เป็นห่วงเหมือนกัน” เอสเงยหน้าตอบยิ้ม แล้วยืนถุงให้ “ทั้งหมด 82 บาทครับ”

“ดีแล้ว ๆ งั้นเจ็กไปก่อนนะ ขอบใจมาก”

“ครับ ขอบคุณครับ”

เอสมาขายของได้ไม่กี่วันก็กลายเป็นขวัญใจของอาม่าอากงแถวบ้านเรียบร้อย ด้วยความที่เป็นคนที่คุยเก่งและสุภาพ แถมยังหน้าตาดีเสียจนพวกท่านอยากจะยกหลานสาวให้แต่งงานด้วยเสียเลย เรียกว่าหัวกระไดไม่แห้งจะดีกว่า แต่เขาก็ปฏิเสธทุกคนไปและบอกว่ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว พวกท่านเองก็ไม่ได้ตื้ออะไร แถมบางคนยังเอาใจช่วยอีกต่างหาก

เขานึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าถ้าทุกคนรู้ว่าคนที่เขาชอบเป็นผู้ชาย จะคิดยังไงกันแน่ จะยังให้กำลังใจกันอยู่หรือเปล่า เพราะเขารู้ว่าคนจีนส่วนมากจะไม่ยอมรับเรื่องพวกนี้ แต่ไม่ว่าใครจะว่ายังไงก็ตาม...คนที่เขาสนก็มีแค่ ครอบครัวและคนที่เขารักเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเขาก็ไม่สนใจหรอก

พอเก็บร้านเสร็จเอสก็นั่งทำงานต่อ เพราะถึงเขาจะขอพักงานมาแต่ก็ยังมีบางโปรแกรมที่เขาเขียนขึ้นมาและยังต้องรับผิดชอบมันอยู่ ยังทิ้งไม่ได้ แต่ถ้าเกิดจะลาออกจริง ๆ ก็คงต้องหาใครซักคนในแผนกมารับช่วงมันต่อไป หรือไม่เขาก็อาจจะยังต้องเข้าไปดูแลและพัฒนามันเป็นครั้งคราว เขาใช้เวลาหลังปิดร้านหมดไปกับการทำงานซะส่วนใหญ่ ตกเย็นเลยมานั่งเล่นหน้าบ้านเหมือนเดิม  แล้วก็ได้มาดักรอเจอตี๋กลับจากมหาวิทยาลัยด้วย แต่เย็นนี้เขาก็แป้วไป เพราะรอจนฟ้าเริ่มหมดแสงเขาก็ไม่เจอตี๋เดินผ่านมาเลย


++++++++++


“ป๊า เอสมาช่วยป๊าถาวรเลยดีไหม?”

คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมองลูกชายคนเดียวที่พูดออกมา หลังจากที่เห็นมันนั่งเงียบคิดอะไรของมันคนเดียวอยู่นานสองนาน เขาไม่ได้อยากให้มันลาออกจากงานมาช่วย ถึงแม้ในใจลึก ๆ แล้วจะอยากกลับไปใช้ชีวิตอยู่กับมันก็ตาม ลูกชายคนเดียวใครบ้างจะไม่อยากอยู่ด้วย แต่ก็นั่นแหละ เอสเป็นคนมีความสามารถ เขาอยากให้มันมีอนาคตมากกว่า ที่จะมาขายน้ำเต้าหู้อยู่ที่นี่

“ไม่ต้องหรอก ทำงานของมึงไปน่ะดีแล้ว” เขาตัดสินใจปฏิเสธมันออกไป

“ทำไมล่ะ เอสอยากมาช่วยป๊าจริง ๆ นะ” ลูกชายยังคงดื้อดึงที่จะทำตามความคิดของตัวเอง

“เอ๊ะไอ้นี่!”

“เถอะน่ะ ป๊าแก่แล้ว ให้เอสมาช่วยน่ะแหละดีแล้ว”

“แก่ห่าอะไร”

“แล้วปีนี้ป๊าอายุเท่าไหร่”

“...” คนเป็นพ่อมองใบหน้ากวนตีนของลูกชาย ก่อนจะถอนหายใจออกมาแรง ๆ อย่างขัดใจ

“ตามใจมึงเถอะ โตแล้ว ใครจะไปบังคับมึงได้” พูดไปแบบนั้น เพราะตัดความรำคาญ ยังไงถ้ามันจะลาออกจริง ๆ เขาก็ต้องปฏิเสธหัวชนฝาอยู่แล้ว เขายอมปิดร้านไปเลยดีกว่าที่จะให้มันมาจมอยู่กับร้านนี้

เอสยิ้มให้ป๊าจนตาหยี่ “ขอบคุณครับ รักป๊าที่สุด”

“เหอะ” หันหน้าหนีก่อนจะด่ากลบความเขิน “ไอ้ควาย”

ถึงจะด่าไปแบบนั้น แต่เขาก็ดีใจ ที่จะได้กลับมาอยู่กับลูกชายอีกครั้ง หลังจากที่แยกกันไปสิบปี เขาอยู่คนเดียวมานานจนลืมไปแล้วว่าครอบครัวที่อยู่ด้วยกันน่ะมันรู้สึกดีขนาดไหน ได้กินข้าวด้วยกัน พูดคุยกัน

...รู้สึกว่าชีวิตนี้มันมีสีสันมากกว่าที่ผ่านมาเยอะเลย

“ที่อยากจะกลับมาอยู่บ้านไม่ใช่เพราะอาตี๋มากกว่าเร้อ” คนเป็นพ่อหรี่ตามองลูกชายตัวเองที่ตอนนี้เบิ่งตาโตมองเขาอย่างตกใจหลังจากที่เขาพูดจบ

“พูดอะไรของป๊าเนี่ย” ลูกชายพยายามจะกลบเกลื่อนสีหน้าของตัวเองรวมทั้งความรู้สึกด้วย

“กูไม่ใช่ควายเหมือนมึงนะ” แต่ก็โดนคนเป็นพ่อย้อนด่าเข้าให้

น่าแปลกตรงที่คนโดนด่ากลับยิ้มร่า ก่อนจะย้อนกลับบ้าง

“เอสเป็นลูกป๊านะ”

“เออ ก็เพราะเป็นพ่อมึงไง ทำไมกูจะมองมึงไม่ออกว่ามึงชอบไอ้ตี๋มัน” เขารอให้มันเปิดประเด็นก่อนมานานแล้ว แต่มันก็ไม่มีท่าทีจะเอ่ยปากออกมาซักนิด ตอนนี้เพราะสถานการณ์มันพาไปก็เลยเป็นเขาที่ต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน

ลูกชายคนเดียวเงียบไป สีหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ออกมา แต่ในใจนั้นสั่นไหวราวกับมีคลื่นใต้น้ำวนอยู่ รู้อยู่แล้วว่าสักวันมันก็จะมาถึง ไม่มีความลับบนโลกใบนี้..เขารู้ดี

“แล้วป๊าไม่ว่าอะไรเอสเหรอ” เอสถาม

เขายอมรับ...เขากลัวว่าป๊าจะรังเกียจที่เขาเป็นเกย์...ที่เขาชอบผู้ชาย ทั้ง ๆ ที่เป็นลูกชายคนเดียวก็ควรจะมีหลานให้ป๊ามากกว่ามีความรักแบบผิดธรรมชาติในสายตาคนทั่วไปแบบนี้

ป๊ายกมือขึ้นตบไหล่เอส ฝ่ามือที่เคยเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่ยังเล็ก สมัยยังเด็กเขาเคยเอามือของตัวเองไปทาบกับมือของคนเป็นพ่อ เขารู้สึกว่ามือคู่นี้นี่มันยิ่งใหญ่จังเลย

...แต่ตอนนี้มันเหี่ยวย่นได้ขนาดนี้เลยเหรอ

“มึงจะเป็นอะไรกูไม่ว่ามึงหรอก ยังไงมึงก็ลูกกู มึงเรียนจบ มีงานดี ๆ ทำ ไม่เคยเกเร เป็นคนดีของสังคม แค่นี้ก็ดีมากพอแล้ว เรื่องพวกนั้นมันจิ๊บจ้อย เรื่องของความรักน่ะ...กูเข้าใจ เพราะหัวใจคนเรามันบันคับกันไม่ได้หรอกใช่มั้ยล่ะ”

เอสมองคนเป็นพ่อด้วยความซาบซึ้งและยินดี คำพูดของป๊ามันทำให้เขาน้ำตาซึมออกมา ไม่เคยคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นได้ง่ายขนาดนี้

...ไม่เคยคิดจริง ๆ

“ขอบคุณครับที่เข้าใจ”

“แต่แหม มึงนี่ก็รักเดียวใจเดี๋ยวจังนะ ผ่านไปสิบปีก็ยังไม่เปลี่ยนใจเลยเว้ย”

พอเจอแซวแบบนี้ จากที่กำลังซึ้ง ๆ น้ำตาจะไหลก็กลับกลายเป็นทำให้เจ้าตัวแอบเขินไปเหมือนกัน

“ป๊ารู้ด้วยเหรอ” เอสเกาคอแก้เขิน

“ก็บอกว่ากูพ่อมึงไง”

ที่จริงเขารู้ตั้งแต่สิบปีก่อนแล้วล่ะว่าลูกชายของตัวเองมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับเด็กชายแถวบ้านวัยเพียงสิบขวบ อาจจะด้วยความเป็นเด็กของเอสในตอนนั้นก็เลยทำให้เก็บความรู้สึกที่สื่อออกมาทางสายตาหรือทางอื่น ๆ ไม่ได้จนเขาสังเกตเห็น ในคราแรกเขาก็รู้สึกเสียใจไม่น้อยเพราะตั้งตัวกับเรื่องนี้ไม่ทัน ประกอบกับตัวเขาเองก็มีปัญหาเลิกรากับแม่ของเอส เลยใช้โอกาสนี้แยกลูกชายของตัวเองออกจากตี๋ เพราะหวังว่ามันจะทำให้ลูกชายของตนกลับมาเป็นปกติได้

พอนานวันเข้า ความเสียใจครั้งเก่านั้น...มันก็จากหายไป หลงเหลือไว้แค่ความคิดถึงที่เขามีต่อลูกชายคนเดียว หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาเคยเสียใจเคยไม่ชอบนั้นมันไม่สำคัญเท่ากับความจริงที่ว่าเขารักลูกชายคนนี้มาก..มากจนเขาเองยอมมองข้ามเรื่องนี้ไปได้อย่างง่ายดาย เขาอยากให้ลูกของเขามีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเลือกที่จะเป็น จะรักใครชอบใครเขาก็ไม่สนว่าคนคนนั้นจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เพราะเขาได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้ว ว่าเรื่องของความรักและหัวใจมันบังคับกันไม่ได้

“แล้วนี่แม่เขารู้รึยัง?”

“เรื่องที่ผมเป็นเกย์น่ะเหรอ”

“เออ”

“รู้นานแล้ว ผมบอกเองแหละ”

คนเป็นพ่อไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพียงแค่พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ตอนนี้มันโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อปมที่เคยมีเมื่อในอดีตมันคลายออกไปหมดแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลอีก



หัวข้อ: Re: - all my LOVE is for you - ch.2 [16/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 16-04-2018 15:38:50
เอสเงยหน้ามองนาฬิกาบนผนัง “ดึกแล้ว ป๊าเข้านอนเถอะ”

“มึงล่ะ” เขาถามเพราะตัวมันเองน่ะต้องตื่นเร็วขึ้นมาเตรียมของขายก่อนเขาอีก

“เดี๋ยวเอสเก็บงานอีกนิดก็ขึ้นแล้วครับ” ตอบยิ้ม ๆ

พอลูกชายตอบแบบนี้คนเจ็บก็ไม่อยากจะกวนลูกชายของตัวเองต่อ เพราะเดี๋ยวงานมันจะเสร็จช้าเข้าไปใหญ่ ส่วนเขาเองก็อยากจะหายเร็ว ๆ เพื่อจะได้กลับมาทำงานต่อ จะได้ไล่มันกลับไปทำงานของมันเองซักที

“ป๊า” เอสเรียกเอาไว้เพราะเพิ่งนึกอะไรออก

คนเป็นพ่อที่กำลังจะขึ้นบันไดหยุดเดินแล้วหันมามองหน้ารอฟังสิ่งที่เขาจะพูด

“ป๊าอย่าลืมช่วยเอสจีบตี๋นะ”

คนถูกขอส่ายหน้าอย่างปลง ๆ กับลูกชายของตัวเอง

...ไอ้ห่านี่ แค่นี้ก็ต้องให้กูช่วย กระจอกจริง...

“กูไม่ว่าอะไรที่มึงเป็นเกย์ก็จริง แต่อาฮงน่ะ...คงจะยากหน่อยนะ”
พูดทิ้งระเบิดเอาไว้แล้วก็เดินขึ้นบ้านไปอย่างสบายอารมณ์ ทิ้งไว้แต่เพียงลูกชายของตัวเองที่นั่งจิตตกอยู่แบบนั้น คนแถวนี้รู้ดีว่าฮงเจ้าของร้านขายผ้าน่ะ โหดแค่ไหน นี่ขนาดลูกเป็นผู้ชายนะ ถ้ามีลูกเป็นผู้หญิง สงสัยว่าลูกสาวคงต้องขึ้นคานเพราะหาผัวไม่ได้เป็นแน่แท้


++++++++++


ตี๋กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนที่นอน วันนี้เขาไม่มีเรียนเลยใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับการทำชิ้นงานที่ยังค้างคาอยู่ ส่วนตอนนี้เป็นเวลาพักผ่อนหลังกินข้าว ตั้งใจว่าจะทำงานต่อสี่ทุ่ม ขอพักสองชั่วโมงอ่านหนังสือที่ซื้อมาดองเอาไว้ก่อน เพราะตอนนี้มันเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ขืนไม่อ่านบ้างคงได้ท่วมหัวแน่

แต่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็แผดเสียงขึ้นขัดการอ่านหนังสือของเขาจนได้ เจ้าตัวทำหน้าเบื่อหน่ายออกมาก่อนจะคลานบนที่นอนไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูว่าใคร๊มันโทรมากวนเวลาพักของเขา ที่หน้าจอปรากฏชื่อ ‘พี่เอส’ หรา ทำให้ตี๋ชะงักไปว่าจะรับหรือไม่รับดี เมื่อคืนก่อนก็โทรมาบอกชอบเขา บอกตามตรงก็รู้สึกบอกไม่ถูก ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงไม่ปฏิเสธไปให้มันจริงจังกว่านี้หน่อย พยายามนึกเรื่องเมื่อสิบปีที่แล้วตามที่อีกคนบอก ยังไงมันก็ยังนึกไม่ออก

‘พี่เคยบอกเราไปแล้วนะ จำไม่ได้รึยังไง’

...ก็ตอนนั้นกูแค่สิบขวบเอง จะไปสนใจอะไรไปมากกว่าขนมและปืนปลอมล่ะวะ...

(ฮัลโหล ฮัลโหล) ได้ยินเสียงอะไรแว่ว ๆ เลยก้มลงมองดูโทรศัพท์ตัวเอง แล้วก็ต้องตกใจ

...ชิบ กดรับไปตอนไหนวะ...

“ครับ” กดรับไปแล้วก็ต้องคุย เดี๋ยวจะเสียมารยาท ถึงตอนนี้จะยังไม่อยากคุยซักเท่าไหร่ก็เถอะ

(วันนี้นั่งรอตั้งนาน ไม่เห็นผ่านหน้าบ้านพี่เลย)

ตี๋ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดด้วยสีหน้าแบบไหน แต่เดาว่าคงจะยิ้มน้อย ๆ แบบที่เจ้าตัวชอบทำล่ะมั้ง

“วันนี้ไม่มีเรียน เลยทำงานอยู่บ้านครับ”

(งั้นเหรอ เสียดายจัง)

เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่

“...พี่”

(เรียกเฮียแบบเมื่อก่อนสิ)

“ไม่เอาอ่ะ” ตี๋ปฏิเสธหน้าเบ้ จะให้เรียกแบบนั้น..มันจั๊กจี้ยังไงไม่รู้

(ไหงงั้น)

“ตี๋ไม่เด็กแล้วนะ”

(รู้ ตัวโตออกปานนั้น) เอสบอกกลั้วหัวเราะ

“นี่พี่โทรมาทำไมเนี่ย” ตี๋พูดตัดเข้าประเด็น เพราะไม่งั้นคงไม่จบและคงจะออกทะเลไปเรื่อย ๆ

(คิดถึง)

“อะ ไอ้-“ กำลังคิดว่าจะด่า แต่คงไม่ดี อีกฝ่ายอายุเยอะกว่าตั้งหลายปี “อย่ามาล้อเล่นสิวะพี่”

เอสเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพรูลมหายใจออกมาเสียยาว (พี่ก็บอกเราไปแล้วนะว่าพี่จริงจัง)

ตอนนี้กลับกลายเป็นตี๋ที่เงียบแทน เขากำลังสับสนและทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นควรจะรู้สึกกับเรื่องนี้อย่างไร และไม่รู้ว่าจะจัดการมันแบบไหนดี...ไม่รู้เลยจริง ๆ

(ตี๋จำเรื่องสมัยเด็กได้บ้างหรือยัง?)

พออีกฝ่ายถามแบบนั้น ตี๋ก็พยายามนึกถึงมัน..หลายวันที่ผ่านมาก็พยายามตลอด แต่มันก็นานมากแล้วจริง ๆ “จำ..ไม่ได้”

(หึ นั่นสิเนอะ ตอนนั้นตี๋ยังเด็ก ก็ไม่แปลก)

น้ำเสียงของเอสเจือความเสียใจจนเขารับรู้ได้ และมันก็ทำให้เขารู้สึกผิดขึ้นมาซะอย่างนั้น ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องรู้สึกผิด รู้สึกไม่ดี ตอนนี้เขามึนงงไปหมด จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเลยซักอย่าง

...แม้กระทั่งความรู้สึกของตัวเอง ตลกชะมัด

“ตี๋ขอโทษ ตี๋จะพยายามนึกให้ออกนะ”

เพียงแค่อีกฝ่ายพูดแบบนี้ ก็ทำให้ใจของเอสที่ห่อเหี่ยวกลับเบ่งบานขึ้นทันตา สงสัยว่าอีกฝ่ายอาจจะคิดว่าเขาเสียใจเลยตั้งใจจะพูดให้เขารู้สึกดีขึ้น ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้เสียใจอะไรขนาดนั้น เพราะเขาก็เข้าใจจริง ๆ ว่ามันผ่านมานานและอีกฝ่ายก็ยังเด็ก วัยเด็กเป็นวัยที่พร้อมจะเรียนรู้อะไรหลายเรื่อง และหลายเรื่องนั้นก็ถูกลืมไปตามกาลเวลา ซึ่งตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นที่ถูกลืม

...คิดแล้วก็เจ็บเหมือนกันแฮะ...

(ไม่เป็นไรหรอก พี่เข้าใจ พี่เองตอนแรกก็จำตี๋ไม่ได้ ถือว่าหายกันนะ)

“...งั้นพี่ก็บอกมาสิ ว่าเคยพูดอะไรไว้”

(หื้ม ต้องทำเสียงอ้อนขนาดนี้เลยเหรอ)

“ตี๋ไม่ได้ทำเสียงแบบนั้นสักหน่อย!”

(โอเค๊ ไม่ได้ทำก็ไม่ได้ทำ) เขาหัวเราะ ยอมง่าย ๆ เพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียง แต่ถ้าใครได้ยินเสียงแบบนั้นเมื่อกี้นี้ก็ต้องบอกว่าเสียงของอีกคนมีความออดอ้อนมาก นี่ถ้าอยู่ใกล้กันคงจับหอมแก้มไปแล้ว

(แล้วตี๋อยากฟังเรื่องไหนล่ะ?)

“ก็ที่พี่บอกว่า...จ- จองมาตั้งแต่เด็ก” กว่าจะหลุดคำว่าจองออกไปจากปากได้ อายก็อาย แต่ก็เพราะติดใจเรื่องนี้ที่สุด ก็เลยต้องกลั้นใจถามออกไป

(ก็ก่อนที่พี่จะย้ายบ้านตามแม่ไปตอนนั้น พี่เคยบอกกับเราไว้ ว่า ‘พี่ชอบตี๋นะ อย่าเพิ่งไปชอบใครก่อนพี่ล่ะ’ )

ตี๋รู้สึกว่าหน้าของตัวเองในตอนนี้มันต้องแดงแน่ ๆ เพราะเขารู้สึกได้ถึงความร้อนบนใบหน้าของตัวเอง แล้วหัวใจมันก็เต้นรัวจนแทบจะทะลุออกมาจากอกให้ได้ เป็นครั้งแรกที่เขามีอาการแบบนี้และมันก็ทำให้เขายิ่งไม่เข้าใจตัวเองเข้าไปใหญ่

...มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่

(ตอนนี้ตี๋คิดยังไงกับพี่เหรอ?) พอเห็นว่าอีกด้านของโทรศัพท์ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมาเอสจึงเอ่ยถามออกไปทั้งที่ในใจก็ประหม่า ใจหนึ่งมันก็กลัวว่าคำตอบที่ได้รับมันจะไม่ได้เป็นดั่งที่หวัง แต่เขาก็อยากรู้ว่าพอจะเป็นไปได้หรือไม่

“ตี๋ไม่รู้” ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองไม่รู้หรือไม่รับรู้กันแน่ ตอนนี้เขาไม่อยากสนใจและพยายามที่จะไม่คิดถึงเรื่องนี้ แต่ถ้าถามว่าจะให้ตัดอีกฝ่ายออกไปจากชีวิตเลยไหม ก็คงจะทำไม่ได้ เขาก็ไม่กล้าพอที่จะทำอย่างนั้นด้วย ถ้าจะถามหาเหตุผล...เขาเองก็ไม่รู้

แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร ความสงสารหรือความหวั่นไหว เขาก็เลือกที่จะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก่อน เขาไม่ถนัดกับการปฏิเสธคน เลยคิดว่าถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไปอีกฝ่ายก็คงจะเบื่อไปเองล่ะมั้ง

(โอเค ไม่รู้ก็ไม่รู้ครับ) เอสบอก

“ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องขายของอีกไม่ใช่ไง” ตี๋พยายามที่จะตัดบทอีกครั้ง

(ครับ ๆๆ ไปก็ไป พรุ่งนี้อย่าลืมมาซื้อน้ำเต้าหู้นะ มาให้พี่เห็นหน้าหน่อย)

ถอนหายใจหนึ่งครั้งก่อนที่จะตอบ “ถ้าตื่นไหวก็จะไปนะ”

เอสหัวเราะชอบใจที่เห็นอีกคนทำเสียงเบื่อหน่ายที่เขาพูดอ้อนก่อนจะวางสายไป

ตี๋ลุกขึ้นมานั่งมองโทรศัพท์ตัวเอง ยิ้มให้กับชื่อของคนที่วางสายไปแล้ว เจ้าตัวไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำตอนที่ยิ้มออกมา เขาสะบัดไล่ความเมื่อยขบที่ต้นคอก่อนจะลุกไปทำงานที่ค้างเอาไว้ต่อ

...ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ คงไม่ใจร้ายไปหรอกมั้ง...



TBC...

ตอนที่สองตามมาติด ๆ เพราะเรายังมีสต๊อกอยู่  :laugh:
เรื่องนี้ถ้าใครยังเดาแนวทางไม่ออก ขอบอกว่าเป็น feel good นะเจ้าคะ
อ่านแล้วก็ช่วยคอมเม้นบอกความรู้สึกหน่อยเนอะ
พอไม่ได้เขียนมานานมากขนาดนี้ก็รู้สึกแปลก ๆ ไปเลยค่ะ

ยังไงต้องขอบคุณสำหรับคนที่รอติดตามมาตลอด
และสำหรับคอมเม้นด้วยนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: - all my LOVE is for you - ch.2 [16/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-04-2018 17:09:25
 :L2: :pig4:

ชอบพี่เอสกะพ่อ
ตี๋ก็เป็นคนใจดี

รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: - all my LOVE is for you - ch.2 [16/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 19-04-2018 10:04:31
ชอบเฮียเอสกะป๊าอ่ะ น่ารัก  :-[
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.3 [up:20/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 20-04-2018 21:11:28

CH.3


ส่วนใหญ่แล้วเอสกับตี๋ไม่ค่อยจะได้เจอกันซักเท่าไหร่นัก อาศัยว่าได้คุยโทรศัพท์ในเวลาก่อนที่เอสจะเข้านอนเสียมากกว่า แต่ก็จะมีไลน์คุยกันเป็นระยะ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะคุยแต่เรื่องสัพเพเหระทั่วไป

เพราะเป็นแบบนี้เลยอาจจะดูเหมือนว่าความสัมพันธ์มันไม่ได้พัฒนาไปไหนเลย แต่จริง ๆ แล้วทั้งคู่ต่างก็ไม่รู้ว่าความคุ้นเคยมันเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไปเหมือนไม่รีบร้อน

หารู้ไม่ว่าไอ้คนพี่เนี่ยแหละที่ตั้งใจพยายามทำให้น้องมันเสพติดตัวเองเหมือนตอนเด็กให้ได้ และก็อาจจะเป็นโชคดีที่น้องมันมีอดีตที่ติดเอสอยู่แล้วเลยทำให้ไม่ต้องออกแรงมาก

ช่วงนี้ตี๋เริ่มรู้สึกแปลก ๆ เวลาที่อีกฝ่ายหายไปโดยที่ไม่บอกกล่าวนาน ๆ มันไม่ถึงขนาดต้องไปติดตามอะไร แต่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูบ่อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว ดูพะวงจนเพื่อนสงสัย เพราะปกติแล้วตี๋ไม่ใช่คนที่ติดโทรศัพท์มากนัก

“มึงเป็นอะไรมากมั้ยห๊ะ?” กลอยขมวดคิ้วถาม

“อะไร?” ตี๋ย้อน เขาไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร

“กูเห็นมึงควักโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วก็เก็บอยู่แบบนี้หลายรอบละ มีอะไรวะ?”

“อ่อ” เขาชะงักไป ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน “เหรอวะ?”

“มึงมีแฟนแล้วเหรอ?” ภาคถามบ้าง “ช่วงนี้มึงดูหมกมุ่นกันโทรศัพท์เหลือเกิน”

“ไม่มีโว้ย” เจ้าตัวปฏิเสธเสียงแข็ง

“แล้วหลบตาทำเชี่ยไร” กลอยว่าแล้วยิ้มขำ เพื่อนของเขามันมีพิรุธจริงด้วย

“พวกมึงนี่..เสือกจริง ๆ” ตี๋หันมาจ้องตาพวกมันสองคน

“สำหรับกูเสือกมันไม่ใช่คำด่าว่ะ” ภาคว่าไหวไหล่อย่างไม่สนใจ “มันก็แค่กิจกรรมอย่างหนึ่ง”

คนตัวขาวกว่าเพื่อนกลอกตาและถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายในความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนตัวเอง ก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อ ทำเป็นว่าไม่สนใจมัน

“สรุปว่าไม่มีเหรอ?” กลอยถามตาโตวาวใสด้วยความอยากรู้

ตี๋ถอนใจสั้น ๆ ก่อนจะตอบ “ไม่มี”

“จริงอ่ะ?” ภาคทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ

“เออ”

...ก็ไม่ได้เป็นแฟนกันจริง ๆ นี่หว่า

++++++++++

ตี๋โดนตามให้มาหาเอสที่บ้านในตอนเย็นวันเสาร์ ตอนแรกก็อิดออดไม่ยอมไป เพราะอยากจะหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้า แต่พอโดนร้องขอมาก ๆ เข้า ตนก็ใจอ่อนยอมมาจนได้

ทั้งสองคนนั่งอยู่ที่เก้าอี้หินตัวยาวหน้าบ้าน คนตัวใหญ่นั่งหลังพิงพนักในท่าทีผ่อนคลายต่างจากอีกคนที่ตอนนี้นั่งตัวเกร็งซะจนดูตลก อาจจะเพราะหลายวันมานี้โดนจีบมาตลอด และประกอบกับเพิ่งจะได้กลับมาเจอกันในรอบสิบปี เลยทำให้เกิดอาการประดักประเดิดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ พอมาเจอกันตรง ๆ แบบนี้แล้ว การคุยโทรศัพท์ที่ผ่านมามันก็ไม่ได้ช่วยให้หายประหม่าซักเท่าไหร่

“พรุ่งนี้ตี๋จะไปไหนหรือเปล่า?” เอสถาม

“พรุ่งนี้วันอาทิตย์ หยุด”

เอสหันกลับมามองทางตี๋ พอเห็นว่าคนที่อยู่ข้าง ๆ นั่งกุมมือบนตักซะแน่นแถมยังก้มหน้านิ่งดูเครียด ๆ ก็ยิ้มขำออกมา

“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ พี่ไม่จับกินหรอก”

หน้าขาวหันขวับทันที ตาตี่ ๆ ที่ตอนนี้คงจะเบิ่งโตที่สุดเท่าที่มันจะโตได้ พร้อมกับปากได้รูปที่กำลังจะอ้าปากด่า

“ไอ้พี่เหี้ยยยย!”

“ฮ่า ๆๆๆๆ” เอสหัวเราะร่วน เขารู้ว่าตี๋พยายามอดกลั้นที่จะไม่หยาบคายกับเขามาตลอด ตอนนี้คงทนไม่ไหวแล้วสินะ แต่ก็ขอชมที่ยังคงมีสำนึกว่าจะต้องเติมคำว่าพี่เข้าไป ไม่งั้นคงเป็นแค่ ‘ไอ้เหี้ย’

พอยิ่งเห็นอีกฝ่ายหัวเราะก็ทำให้ตี๋หงุดหงิดจนทำท่าจะลุกหนี แต่ก็โดนคว้าแขนเอาไว้ก่อน

“ขอโทษ ๆๆ” พูดทั้งที่พยายามกลั้นขำ ตี๋นั่งลงที่เดิม

“พี่แม่ง...เลว”

“พี่ไม่แกล้งแล้วครับ” พูดพร้อมชูสามนิ้วขึ้นเป็นสัญญาว่าจะไม่แกล้งอีก

“.....” เจ้าตัวทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ เพราะพี่เอสถึงจะใจดีกับเขา แต่ก็เป็นคนขี้แกล้ง

“พรุ่งนี้ไปเที่ยวกัน”

“แล้ว...”

“พรุ่งนี้ร้านหยุด” เอสตอบอย่างรู้ทันว่าตี๋จะพูดว่าอะไร “คืนนี้มานอนบ้านพี่นะ”

“ห๊ะ!!”

“อะไรล่ะ ก็เหมือนตอนเราเด็ก ๆ ไง”

“แต่ตอนนี้ตี๋ไม่เด็กแล้วนะ”

“เหอะน่า นะ”

เอสพยายามส่งสายตาอ้อนออกไป พร้อมกับแอบจับมือตี๋บนเก้าอี้ที่วางอยู่ระหว่างเขาทั้งคู่ ตี๋ก้มลงมองมือของอีกฝ่ายที่กำลังจับมือเขาไว้ด้วยใจเต้นระส่ำ ใบหน้าขาวแต่ปลายจมูกเริ่มแดงเงยขึ้นมองเจ้าของฝ่ามือใหญ่ที่กำลังทำหน้าอ้อนเขาให้ใจอ่อนอยู่ เขาค่อย ๆ บิดมือออกพร้อมกับถามกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกที่กำลังเริ่มก่อตัวขึ้นในหัวใจ

“ไปเที่ยวที่ไหนล่ะครับ?”

ใจของเอสหล่นวูบตอนที่อีกฝ่ายเอามือของตัวเองออกจากการกอบกุม พาลทำให้คิดว่าอีกฝ่ายคงจะรังเกียจอะไรแบบนี้  แต่พอตี๋ไม่ได้ปฏิเสธคำชวนของเขา ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมานิด แต่จะดีมากถ้าคืนนี้ตี๋มานอนกับเขาได้

“แล้วคืนนี้มานอนค้างที่นี่ได้ไหม?”

ตี๋นิ่งไป กำลังคิดว่าถ้าไปค้างด้วยตัวเองจะโดนทำอะไรแปลก ๆ หรือเปล่า เพราะนี่ขนาดอยู่ในที่โล่งแจ้งขนาดนี้ยังแอบจับมือ ถ้าอยู่ในที่ลับตานี่จะเหลือรอดไหมเนี่ย

“ไม่ดีกว่า”

“...อ่า ไม่ก็ไม่ครับ” ลูกชายเจ้าของร้านน้ำเต้าหู้ตอบ ริมฝีปากได้รูปเม้มเข้าหากัน เขาหันกลับมาทิ้งตัวลงกับพนักพิงอย่างหมดแรง ยอมรับก็ได้ว่ารู้สึกผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็เข้าใจ...ห่างหายกันไปนานเป็นสิบปี แล้วเพิ่งจะกลับมาเจอกันได้ไม่นาน ครั้นจะให้กลับไปสนิทสนมกันเหมือนเก่าก็คงจะยากซักหน่อย ทั้งสองคนตอนนี้ก็เป็นเหมือนกับคนแปลกหน้านั่นล่ะ อาจจะต้องใช้เวลามากหรือน้อยไม่มีใครรู้ได้ แล้วยิ่งตี๋เป็นคนที่เข้ากับคนที่ไม่รู้จักได้ยาก เขาอาจจะไม่ใช่คนไม่รู้จักที่ว่า แต่ก็ใกล้เคียงล่ะนะ

...ไอ้นิสัยเข้ากับคนยากนี่มันขัดใจกูก็วันนี้แหละวะ...

เมื่อสมัยก่อนเอสชอบนิสัยของตี๋ที่เป็นพวกเข้ากับคนแปลกหน้ายาก เพราะมันทำให้อีกฝ่ายตามติดเขาแจอยู่คนเดียว แต่พอเป็นแบบนี้แล้วก็เซ็งบรม สงสัยจะต้องสร้างความสนิทสนมให้เหมือนเก่า ปัญหาอย่างที่สองคืออีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่เด็กแล้ว ไอ้ครั้นจะให้มาสอนวาดรูประบายสีก็คงจะไม่ได้ผล

พอเห็นท่าทางแบบนั้นของอีกฝ่าย ตี๋ก็อดที่จะรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ หารู้ไม่ว่าจริง ๆ แล้วเอสก็ไม่ได้เครียดอะไรขนาดนั้น คนพี่รู้จักนิสัยของเด็กข้างบ้านมากกว่าที่เจ้าตัวคิดด้วยซ้ำ ในหัวนี่วางแผนเป็นฉาก ๆ ที่ถ้าหากคนน้องได้รู้ก็คงจะโกรธจนไม่คุยด้วยแน่

“เอ่อ...จะนอนด้วยก็ได้ แต่พี่ต้องสัญญาก่อนว่าห้ามทำอะไรเกินเลยนะ”

เอสแอบยิ้มอยู่ในใจหลังจากที่น้องพูดจบ ก็บอกแล้วว่าตี๋เป็นคนใจอ่อนมาก สำหรับเขาในกรณีแบบนี้ถือว่าเป็นข้อดี แต่ถ้ามันไปเกิดขึ้นกับคนอื่น เขาจะถือว่ามันเป็นข้อเสีย อาจจะดูเห็นแก่ตัว...แต่เขาอยากให้ทุกอารมณ์ของตี๋ เกิดขึ้นกับเขาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

เขาหันมายิ้มบางให้กับตี๋ก่อนจะยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีดำสนิทที่ดูไม่ค่อยเป็นทรงของอีกฝ่าย

“พี่ไม่ทำอะไรเราหรอก ถ้าตี๋ยังไม่อนุญาตให้พี่ทำ พี่ก็จะไม่ทำนะครับ”

“ม- ไม่มีวันซะล่ะ!” ตี๋ปฏิเสธเสียงแข็ง แก้มแดงระเรือขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

“ปฏิเสธ..แต่ทำไมหน้าแดงล่ะ?” เอสยิ้มล้อ

“ตี๋ร้อน!”

“พี่ไม่เห็นจะร้อนเลยน้า”

“เรื่องของพี่สิ ตี๋กลับบ้านแล้ว!” พูดจบก็ลุกขึ้นแล้วก้าวขาฉับ ๆ ออกไปจากตรงนั้นทันที

“อย่าลืมเตรียมเสื้อผ้ามาเปลี่ยนด้วยนะ” เอสป้องปากบอก แต่คำตอบที่ได้คือการชูนิ้วกลางกลับมาให้โดยที่ไม่มีแม้แต่หันกลับมามองเลยแม้แต่น้อย แต่เขารู้ว่าตี๋เป็นคนรักษาคำพูด เดี๋ยวอีกไม่นานก็หอบเสื้อผ้ามาแน่นอน


++++++++++


“ป๊า คืนนี้ตี๋ไปนอนบ้านพี่เอสนะ” ลูกชายคนเล็กของบ้านพูดขึ้นหลังจากที่กินข้าวเสร็จ

“บ้านตัวเองไม่มีนอนรึไง?” ป๊าว่า

“ก็พี่เขาชวน” ตี๋เถียงหน้างอ ไม่ใช่ตัวเขาเองสักหน่อยที่อยากจะไปนอน แต่ที่ต้องไปเพราะปฏิเสธไม่ได้ต่างหากล่ะ

“กลับไปสนิทกันเหมือนเดิมแล้วเหรอลูก?” มาม๊าหันมาถามบ้าง

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ” ตี๋ไหวไหล่

“อ้าว งั้นลื้อจะไปนอนทำไมล่ะ?” อาม่าที่วันนี้แวะมาหาที่บ้านถามด้วยความสงสัย

“พรุ่งนี้พี่เขาจะพาไปเที่ยวน่ะม่า” ตี๋คีบกับข้าวกินเล่นพลางตอบอาม่าไปด้วย แต่ก็โดนป๊าตีหลังมือจนตะเกียบร่วง “ตี๋เจ็บนะป๊า!”

“ไปบ้านเขาก็อย่าซนล่ะ” ม๊าบอก พลางยิ้มขำลูกชาย

“ตี๋ไม่ใช่เด็กแล้วนะม๊า”

“มึงน่ะโคตรเด็ก” ป๊าว่าอย่างสบประมาท

“โอ๊ย ตี๋ไปอาบน้ำแล้ว!” เขาลุกเอาชามไปล้างเก็บแล้วถึงเดินขึ้นห้องไปอาบน้ำ หยิบชุดนอนที่หยากไย่แทบเกาะคาตู้ขึ้นมาใส่ให้เรียบร้อย ชุดนี้ม๊าเป็นคนซื้อมาไว้ให้เขา ปกติแล้วทุกวันนี้ก็ใส่แค่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวไม่เคยได้หยิบมันมาใส่หรอก แต่คราวนี้ต้องป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นเสี่ยงอันตรายแน่ ๆ

ตี๋จับชุดที่จะใส่ในวันพรุ่งนี้พร้อมสัมภาระเข้ากระเป๋าให้เรียบร้อยแล้วเดินออกจากห้อง ลงมาด้านล่างก็เจอกับแก๊งค์ครอบครัวนั่งดูทีวีกันครบทุกคน รวมถึงพี่ชายตัวเองที่เพิ่งกลับมาจากทำงานด้วย

“มึงจะไปไหนน่ะ” เฟยถามอย่างสงสัย เพราะเห็นน้องชายตัวเองใส่ชุดนอนเต็มยศ แถมยังสะพายเป้ตุง ๆ อีกหนึ่งใบในเวลาแบบนี้ ซึ่งดูยังไงก็ผิดปกติของมันสุด ๆ

“ไปนอนบ้านเอสเค้าน่ะลูก” ม๊าเป็นคนตอบแทนลูกชายคนเล็กที่ชักสีหน้าใส่พี่ชาย เนื่องจากหงุดหงิดที่โดนถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ

“อ้าว กลับไปสนิทกันแล้วเหรอ?”

“ก็ไม่เชิง” ป๊าเป็นฝ่ายตอบแทนอีกรอบ เพราะลูกชายคนเล็กกรอกตาพร้อมกับถอนหายใจอย่างเซ็ง

“อ้าว แล้วงั้นไปนอนบ้านเขาทำไมล่ะ?”

“พรุ่งนี้พี่เอสจะพาไปเที่ยวโว้ย!” ตี๋เป็นคนตอบเองเสียงดัง ก่อนจะเดินก้าวเท้าออกจากบ้านเร็ว ๆ ด้วยความหงุดหงิด

บ้านของทั้งสองคนอยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก ทำให้ใช้เวลาไม่นานตี๋ก็มายืนอยู่หน้าบ้านเอสเรียบร้อย และพอมาถึงก็เจอกับตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องโดนซักถามเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนเป็นเหตุทำให้โคตรหงุดหงิดอยู่ตอนนี้

เจ้าตัวนั่งไขว่ห้างกดไอแพทอยู่ที่หน้าบ้าน พอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ก็หยุดมือ เปลี่ยนอากับกิริยาเป็นเอาศอกวางบนหน้าขานั่งเท้าคางมองมาทางตี๋ด้วยใบหน้ายิ้มมุมปากนิด ๆ เห็นแบบนี้ยิ่งทำให้คนน้องอารมณ์ขึ้นไปใหญ่

“ทำไมเดี๋ยวนี้กลายเป็นเด็กขี้หงุดหงิดไปได้เนี่ย” เอสถามหยอกล้อเมื่อตี๋เดินมาถึงตัวเขาที่ลุกขึ้นยืนรอรับอยู่แล้ว แค่มองหน้าปราดเดียวก็รู้แล้วว่าอีกคนอารมณ์ไม่ปกตินัก

“ก็บอกว่าตี๋โตแล้วนะ” วันนี้เขาจะต้องพูดคำนี้อีกกี่รอบกัน นี่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนจะต้องมองเขาเป็นเด็กอยู่เรื่อย ทั้งที่ปีหน้าเขาก็ 20 แล้ว

“โตแต่ตัวน่ะสิ ยังขอเงินป๊ากับม๊าใช้อยู่เลยนะ” เอสพูดเสียงนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน เขายกมือขึ้นลูบเรือนผมสีดำขลับของอีกฝ่ายอย่างเบามือ

ตี๋หุบปากฉับ เพราะสิ่งที่เอสพูดมามันก็คือความจริง

“แต่ว่า...ก็โตพอที่จะทำ ‘อะไร ๆ’ ได้แล้วนะ หึหึ”

“ไปเลย! เดินนำเข้าบ้านไป!” เจ้าตัวกำลังจะชมซักหน่อยว่าพูดดี พอเจอสายตาหื่น ๆ กับคำพูดสองแง่สามง่ามนั่นแล้ว ตี๋ก็เปลี่ยนใจ มือขาวผลักไหล่หนาให้หันหลังกลับไปเดินนำเขาเข้าบ้านอีกฝ่าย พอเอสจะหันหน้ามาแซวต่อก็ต้องโดนตี๋ดันไหล่ให้เดินเข้าบ้านเร็ว ๆ

“เข้าไปเลยนะไอ้เลว!”

เอสหัวเราะร่ากับคำด่าของคนที่เด็กกว่า นี่ก็คงจะพยายามทำให้มันดูไม่หยาบคายที่สุดแล้วล่ะมั้ง พอเข้ามาก็เจอกับป๊านั่งดูทีวีอยู่ เขาก็เลยบอกไปว่าคืนนี้ตี๋จะมานอนด้วย

ตี๋ยกมือขึ้นไหว้ด้วยความรู้สึกประหม่า ก่อนหน้านี้ก็เป็นปกติทั่วไประหว่างผู้ใหญ่กันเด็ก แต่ตอนนี้มันเหมือนกับว่ามีชนักปักหลังอยู่ทั้งที่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแท้ ๆ แต่เป็นฝ่ายลูกชายของอาแปะต่างหากที่มายุ่งกับเขาก่อน แล้วทำไมเขาจะต้องมาเป็นฝ่ายที่รู้สึกไม่ดีด้วยเนี่ย

“ไปบังคับน้องมาล่ะสิ” ป๊าว่าเข้าให้

“ไม่ได้บังคับนะ ก็..แค่อ้อนนิด ๆ หน่อย ๆ เอง”

ทั้งป๊าและตี๋บึนปากอย่างหมันไส้ในท่าทีสะดีดสะดิ้งของเอส ที่ตัวใหญ่จะตายห่า แต่กลับทำท่าซะน่ารักเหมือนเด็กสาววัยแรกรุ่นที่กำลังจะได้ไปเดทครั้งแรกกับชายหนุ่ม

“ไปเอาขนมที่ทำไว้มาให้น้องกินสิ” ป๊าตัดบทโดยการบอกให้ลูกชายไปหยิบขนมที่มันตั้งใจทำเอาไว้เมื่อตอนบ่ายมาให้น้อง เป็นคุกกี้ง่าย ๆ ที่เอสหาสูตรจากอินเตอร์เน็ตแล้วลองทำดู

เมื่อสามวันก่อนเอสพาคนเป็นพ่อไปหาหมอตามนัด และหลังจากนั้นก็แวะไปซื้อของใช้เข้าบ้าน ไม่รู้ว่าลูกชายอารมณ์ไหน เจ้าตัวบอกว่าอยากจะหัดทำขนมดู ตัวเขาเองก็ไม่ได้จะขัดอะไรเลยพากันไปซื้ออุปกรณ์พื้นฐานที่จะต้องใช้ในการทำขนม

น่าแปลกที่เอสมันมีพรสวรรค์ในทางนี้เสียด้วย แค่ทำครั้งแรกก็ออกมาดีเกินคาด แล้วแถมยังมีนิสัยเป็นแม่บ้านแม่เรือนซะเขาตกใจ ไม่ว่าจะทำอาหารหรืองานบ้านงานเรือน เย็บปักถักร้อยก็ทำได้ดี มันรื้อเสื้อผ้าของเขาที่กระดุมหลุดออกมาเย็บให้หมดทุกตัว

เขาถามมันว่าทำไมถึงทำงานพวกนี้ได้ มันตอบว่าเพราะแม่ทำงานไม่ค่อยอยู่บ้านก็จำเป็นต้องทำเองให้ได้ทุกอย่าง เขารู้สึกเศร้าอยู่ในใจลึก ๆ รู้สึกผิดที่ไม่สามารถประคองความรักกับแม่ของเอสต่อไปได้จนทำให้ลูกชายของตัวเองต้องลำบากในหลายเรื่อง

อดีตที่มันผ่านไปแล้วเขาไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้...เขาขอทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุดเป็นครั้งสุดท้ายดีกว่าเสียใจทีหลังตลอดไป

“แล้วทำไมเราถึงยอมมานอนที่นี่กับมันล่ะ?” ป๊าพี่เอสถามขึ้นหลังจากที่อีกคนเดินออกไปจากตรงนี้

“อ- เอ่อ...” พอโดนยิงคำถามใส่ ตี๋ก็ชะงักไป เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไงดีเหมือนกัน ทั้งที่ในตอนแรกนั้นก็ตั้งใจว่ายังไงก็จะไม่ยอมนอน แต่พอเห็นเอสเป็นแบบนั้น..ใจมันก็อ่อนยวบขึ้นมาเอง

“ไม่ได้เจอกับมันนาน คงจะประหม่ามากเลยสินะ”

“ก็มีบ้างครับ”

“เอสมันอาจจะดูเหมือนเล่น ๆ แต่มันเอาจริงนะ”

ตี๋มองหน้าป๊าของพี่เอสด้วยความงุนงงว่าที่อีกฝ่ายพูดมามันหมายถึงอะไรกันแน่

“เรื่องของเราน่ะ มันจริงจังนะ”


++++++++++

หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.3 [up:20/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 20-04-2018 21:12:45


พอกินขนมพร้อมด้วยนมอุ่น ๆ ที่คนเป็นพี่ยกมาให้ อีกฝ่ายบอกเขาว่านมอุ่นจะทำให้นอนหลับสบาย ตี๋ก็เลยกินซะหมดแก้วเลย หลังจากที่จัดการเสร็จก็บอกลาป๊าของพี่เอสแล้วก็ขึ้นมาบนห้องกับความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เป็นเพราะคำพูดแบบนั้นของป๊าแท้ ๆ ดูจากพฤติกรรมที่ผ่านมา แค่นั้นเขาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายจริงจังขนาดไหน แต่เขาก็ปิดหูปิดตาไม่ได้สนใจ เพราะอยากที่จะเป็นแค่พี่น้องมากกว่าคนรักแบบที่อีกฝ่ายคาดหวังอยากจะให้เป็น

พี่เอสไม่ใช่คนไม่ดี เรื่องนี้เขารู้ตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว และเป็นเขาเองที่ใจร้ายกับอีกฝ่ายไม่ลง ถึงแม้จะรู้ว่ามันเหมือนการให้ความหวัง แต่เขาก็ตัดใจปฏิเสธไม่ได้ เพราะพอเห็นหน้าที่เหมือนหมาหงอยแบบนั้นแล้ว ใจมันก็อ่อนยวบ มันทำให้เขาก็เกลียดตัวเองเหมือนกันที่เป็นคนแบบนี้ ทำยังไงถึงจะใจแข็งไม่สนใจคนตรงหน้าได้ก็ไม่รู้

“เฮ้อออออ” คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ถอนใจอะไรดังขนาดนั้น” เอสเลิกคิ้วถามพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ มือใหญ่ยกขึ้นขยี้ผมของตี๋ที่นั่งอยู่ปลายเตียง “เครียดอะไรรึไง”

“เปล่า” ตี๋ตอบออกไปแบบนั้น แต่ในใจกลับคิดว่าก็เรื่องเอ็งนั่นแหละ...เครียดที่ไม่รู้จะรับมือยังไงดีกับไอ้คนตรงหน้าเนี่ย!!

“พูดไม่เพราะเลย”

“...เปล่าครับ” ตี๋ชะงักไปก่อนจะแก้ให้เรียบร้อย เห็นอีกฝ่ายยิ้มแล้วก็ตบไหล่เขาสองสามที

“เด็กดี พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ”

พออีกฝ่ายหายเข้าห้องน้ำไป ตี๋ก็ทิ้งตัวนอนหงายลงบนที่นอน ถอนหายใจยาวกว่าเมื่อครู่นี้เสียอีก เขากลิ้งไปมาบนที่นอนขนาดห้าฟุตที่เมื่อก่อนนี้มันดูใหญ่มากสำหรับเด็กสองคน

...เฮ้ย อย่าบอกว่าต้องนอนเตียงเดียวกันอีกนะ…

เขาอยากจะตบหัวตัวเองจริง ๆ ที่ดันลืมคิดถึงเรื่องสำคัญแบบนี้ไปได้ยังไง มองไปรอบ ๆ ห้องแล้วก็ไม่เห็นจะมีที่นอนอีกชุดเตรียมเอาไว้เลย เห็นมีแค่หมอนสองใบ ผ้านวมหนึ่งผืน กับที่นอนอีกแค่หนึ่งชิ้น ที่มองยังไงก็ต้องนอนด้วยกันแน่นอน

แกร็ก

ตี๋หันไปมองทันทีที่ประตูห้องน้ำเปิด และก็เจอกับเจ้าของห้องที่เดินเปลือยท่อนบนออกมา มีหยดน้ำเกาะตามแผงอก

“ทำไมไม่แต่งตัวในห้องน้ำวะ!” ตี๋โวยวาย เขาไม่ได้อยากจะเห็นผู้ชายเปลือยต่อหน้าต่อตาหรอกนะ

“ในห้องน้ำมันชื้น พี่ชอบให้ตัวแห้งก่อนแล้วค่อยใส่เสื้อผ้า” เอสตกใจเมื่อโดนอีกคนโวยวายใส่

“มึงจงใจแน่ ๆ เลยพี่”

เอสยิ้มมุมปาก “ใช่ พี่จงใจ” เขาค่อย ๆ ก้าวขาเขาไปใกล้ตี๋มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่อีกฝ่ายกลับนั่งนิ่งมองเอสตาขวาง

...กูไม่กลัวมึงหรอกโว้ยไอ้พี่!...

“พี่จงใจยั่วเรา เผื่อว่าเราจะหวั่นไหวบ้าง” เขาค่อย ๆ คืบคลานขึ้นไปบนที่นอนและเข้าไปใกล้กับตี๋มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่อีกคนก็ยังคงไม่ขยับหนีไปไหน แต่หน้าเนี่ยไปแล้วเรียบร้อย มันดูตลกมากเสียจนเอสหยุดแกล้งไม่ได้ เขาขยับตัวเข้าไปใกล้จนตี๋ผงะล้มหงายหลังไป เอสท้าวแขนทั้งสองข้างลงกับเตียงกันเอาไว้ไม่ให้ตี๋หนีไปไหนได้

“ว่าไง? ได้ผลบ้างมั้ย?”

“อะ-”

“แหนะๆ ห้ามพูดไม่เพราะนะ” เอสทาบนิ้วลงไปบนริมฝีปากบางของตี๋ พร้อมกับทำเสียงจุ๊ ๆ

“ไม่สนหรอกโว้ย!!” ตี๋ผลักเอสออกไปจากตัว โชคดีที่ขนาดตัวพอ ๆ กัน แต่อีกฝ่ายตัวหนากว่าเขาพอสมควร ก็เลยทำให้ต้องออกแรงมากอยู่เหมือนกัน

เอาจริง ๆ ถึงเอสจะห้ามไม่ให้ตี๋พูดไม่เพราะ แต่ตอนนี้เขากลับหัวเราะชอบใจที่เห็นตี๋พูดจาแบบนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขาชอบหรือไม่ชอบ แต่มันดูตลกดีที่ตี๋เลือกที่จะพูดไม่เพราะเวลาที่เขินซะมากกว่า

“นี่แกล้งตี๋เหรอ”

“ไม่ได้แกล้ง พี่จริงจังกับเรานะ” เอสคว้ามือเรียวของตี๋ขึ้นมาจูบลงไปบนฝ่ามือแล้วเอาแก้มแนบลงไป

พอเห็นอีกฝ่ายหลับตาพริ้มแล้วก็ทำให้เขาไม่กล้าชักมือออก ได้แต่ปล่อยให้เอสเอาหน้าซุกมืออยู่แบบนั้น เขาไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับคนตรงหน้าเกินไปกว่าพี่ชายแท้ ๆ แต่ทำไมเหมือนว่าหัวใจมันไม่เป็นไปตามที่สมองสั่งการ ไม่รู้ว่าทำไม..ทั้งที่เป็นหัวใจของตัวเองแท้ ๆ ทำไมคนเราถึงควบคุมมันได้ยากนัก

ตี๋มารู้สึกตัวก็ตอนที่อีกฝ่ายขยับตัวออกไป

เอสละออกจากฝ่ามือที่ไม่ได้เนียนหรือนิ่มเหมือนกับมือหญิงสาว แต่เขาก็ชอบ..เพราะมันเป็นมือของเด็กที่เขาปักใจชอบมาตลอดสิบปี

“นอนกันเถอะ” เอสพูดพร้อมกับลุกขึ้นไปใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย

“เตียงเดียวกันอ่ะนะ”

“ก็ใช่สิ”

ตี๋ถลึงตาใส่ จนเอสขำอีกรอบ

“ตอนเด็ก ก็นอนด้วยกันประจำไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” เอสบอกหลังจากที่หยุดขำแล้ว แต่ตี๋กลับหงุดหงิดเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวตลกอย่างไรอย่างนั้น

“ตอนนั้นตัวเล็ก แต่ดูตอนนี้สิ เบียดกันตายชักเลย”

“นอนได้ มา!” เอสกอดคออีกฝ่ายที่กำลังเถียงคอเป็นเอ็นให้ล้มตัวลงนอนบนเตียงพร้อมกับเขา “เห็นป่ะว่านอนได้”

“ได้กะผีอ่ะสิ เบียดจะตาย” ตี๋พยายามจะดิ้นออกจากอ้อมแขนที่กำลังกอดเขาอยู่ จะหันหลังก็คงไม่ดีแน่ จะได้เข้าทางพี่เอสมัน เขาก็เลยตัดสินใจนอนตะแคงเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายที่กำลังนอนยิ้มให้เขาอยู่ไปเลย

“อะไรกัน เดี๋ยวนี้โตแล้วไม่ยอมให้กอดเหรอ?” เอสเย้าแหย่

“ตอนไหนก็ไม่เคยให้กอด” พูดว่าพลางปัดมือของเอสที่จับเอวเขาอยู่ออกไป

“แหม เสียดาย”

“จะนอนได้ยัง” ตี๋ทวงถาม เอสเปลี่ยนท่าทีจากที่กำลังเสียดายอยู่ กลับมายิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนอีก

“งั้นขอแค่จับมือนะ” ไม่รอคำอนุญาต เขาคว้ามือของตี๋ขึ้นมาจับและเอาไปรองแก้มของของตัวเองทันที

ทั้งสองคนนอนหันหน้าเข้าหากัน บนที่นอนแคบ ๆ ที่เมื่อสิบปีที่แล้วมันดูใหญ่มากสำหรับตี๋ แต่ตอนนี้มันกลับเล็กไปถนัดตา ตอนนี้ตัวเขายังไม่ได้ตอบรับความรู้สึกของอีกฝ่ายไป แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธไม่ให้อีกฝ่ายจับมือเขาเอาไว้ เพราะถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากเห็นสีหน้าเศร้าหมองของคนตรงหน้านี้

...หรือเขาจะแพ้ทางคนคนนี้จริง ๆ



TBC…



หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.3 [up:20/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 20-04-2018 23:51:39
น้องตี๋ เริ่มหวั่นไหวหน่อยๆแล้ว
พี่เอสสู้เค้า อิอิ :hao6:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.3 [up:20/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-04-2018 03:06:54
สนุกดีค่ะ
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.3 [up:20/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-04-2018 11:16:04
 :L2: :L1: :pig4:

ชอบความใจอ่อนของตี๋ :o8:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.4 [up:22/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 22-04-2018 16:43:29
CH.4



ตี๋ลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบกับใบหน้าอันคุ้นเคย เป็นใบหน้าที่เขาเห็นภาพสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา ตอนนี้เอสกำลังนอนตะแคงเอามือเท้าหัวเอาไว้ มองเขาแล้วยิ้มเหมือนเดิม...เหมือนที่เคยให้เขาเมื่อสิบปีที่แล้ว

...ใช่ เขาเริ่มจะจำได้ลาง ๆ แล้ว ว่าอดีตที่ผ่านมามีอะไรบ้าง แต่มันก็ลางเลือนเหลือเกิน และ...รอยยิ้มของเอสเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของเขา

“ตื่นแล้วเหรอครับ?” เอสถาม ยกมืออีกข้างขึ้นมาลูบหัวตี๋

“เป็นบ้ารึไง ยิ้มอยู่ได้” เจ้าตัวว่าเข้าให้ ร่างสูงเพรียวของตี๋บิดขี้เกียจพร้อมกับอ้าปากหาวกว้าง ๆ เป็นการไล่ความง่วงที่ยังคงค้างอยู่ ตอนแรกเขานึกว่าตัวเองจะนอนไม่หลับซะอีก แต่กลับกลายว่าหลับลึกจนไม่ได้ฝันอะไรเลย

“ถ้ารักของพี่มันทำให้เรามองว่าพี่บ้า ...พี่ก็ยอมนะ”

“...”

“ทำหน้าอะไรของเราน่ะ ลุก ๆ ไปอาบน้ำไป” พอเห็นตี๋ทำหน้ารับไม่ได้กับสิ่งที่เขาพูด ก็ไม่คิดจะต่อมุขเสี่ยวของตัวเองอีก เขาตื่นตั้งแต่เช้าด้วยความเคยชิน เลยลงไปทำกับข้าวเตรียมเอาไว้ให้คนในบ้านเรียบร้อย

ตี๋ลุกขึ้นจัดแจงเตรียมของใช้ให้พร้อมก่อนเข้าไปอาบน้ำ อีกคนที่ตื่นก่อนเขานั้นอาบไปแล้ว เห็นบอกว่าอาบเสร็จให้ลงไปข้างล่างได้เลยเพราะทำอาหารเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาไม่นานเขาก็อาบน้ำเเต่งตัวเสร็จ

“อ้าว เอส น้องมันลงมาแล้ว” ป๊าของพี่เอสที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ พอเห็นเขาเดินลงมาก็เรียกลูกชายที่กำลังนั่งกดไอแพทให้เงยหน้าขึ้นมา

“นั่งเลยๆ เดี๋ยวพี่ตักข้าวให้”

ตี๋นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับคนสูงวัย พอเงยหน้าขึ้นมาก็สบตากันพอดี อีกฝ่ายยิ้มให้เขา ตี๋ก็เลยยิ้มตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้สึกประดักประเดิดขึ้นมาทันที ได้แต่ก้มหน้าก้มตามองโต๊ะแทนที่จะมองตากับอีกฝ่ายตรง ๆ ปกติแล้วเขาคุ้นเคยกับอีกคนในฐานะลูกค้าร้านน้ำเต้าหู้มากกว่า แล้วพอมันกลายเป็นแบบนี้ มันเลยทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเหมือนกัน

“พ่อศรีเรือนขนาดนี้แล้ว อยากได้มันไปเป็นสามีบ้างหรือยังล่ะ” พูดพลางบุ้ยไบ้ไปทางลูกชายคนเดียวที่กำลังยกกับข้าวลงตั้งบนโต๊ะ

เอสตกใจจนจานแทบจะร่วง มันก็ใช่ที่เขาขอให้ป๊าช่วย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะช่วยกันถึงขนาดนี้ มันเกินจากที่คาดเอาไว้มาก ขนาดเขายังตกใจขนาดนี้ อย่างตี๋ก็คงไม่ต้องพูดถึง พอหันไปมองก็เจอกับตี๋ที่ยิ้มค้างไปเรียบร้อย

“แบบนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนา” ยังพูดย้ำอีกรอบ

ตี๋หุบยิ้มที่ค้างฉับ

“ผะ- ผมไม่ได้อยากจะเป็นภรรยาซะหน่อย” ตี๋อยากจะตบปากตัวเองซักวันละสิบรอบ ช่วงนี้เป็นอะไร ทำไมพูดดี ๆ ไม่ได้ ต้องตะกุกตะกักอยู่เรื่อย มันทำให้เขาดูเหมือนเป็นไอ้หน้าโง่เลย

เอสอึ้งไป ที่อึ้งไม่ใช่ว่าเสียใจที่น้องมันปฏิเสธออกมาแบบโจ่งแจ้ง แต่ที่อึ้งเป็นเพราะว่าในตอนนี้น้องมันโคตรน่ารัก น่ารักเสียจนเขาอยากจะเข้าไปกอดแล้วจับหอมแก้มซ้ายขวา เขาอาจจะบ้าอย่างที่ตี๋บอกก็ได้ เพราะถ้าเป็นในสายตาคนอื่นก็อาจจะไม่ได้ดูว่าอีกฝ่ายน่ารักมากมายอะไร แต่ในสายตาของเขาแล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรมันก็ดูน่ารักไปซะหมด สงสัยเขาจะบ้าของจริงแล้วล่ะนะ

“อ้าว อยากเป็นสามีก็ไม่บอกพี่” เอสแหย่ วางจานข้าวให้บนโต๊ะ

“ไม่ใช่แบบนั้นนะ”

ตี๋ตอบหน้างอแล้วตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ทำเป็นไม่สนใจสองพ่อลูก แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้ถือสาอะไร เพราะพวกเขาก็แกล้งให้เด็กตรงหน้าหงุดหงิดเอง แต่อย่าเรียกว่าแกล้งเลยจะดีกว่า ต้องบอกว่าหนึ่งคนจริงจังและอีกหนึ่งคนเป็นทัพเสริมให้ถึงจะถูก เอสรู้สึกขอบคุณป๊ามาก ๆ ที่นอกจากจะไม่รังเกียจที่เขาเป็นเกย์แล้วยังจะสนับสนุนให้เขาได้สมหวังกับคนที่เขาชอบอีก

เรื่องที่ไม่ได้ชอบผู้หญิง เอสบอกแม่เป็นคนแรก ท่านไม่ว่าเขาเลยซักคำ แค่นี้เขาเองก็รู้สึกขอบคุณมากอยู่แล้ว แต่ทางนี้...ตอนแรกเขาไม่แน่ใจเลยว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน เคยได้ยินว่าคนจีนส่วนมากจะยอมรับเพศที่สามยากอยู่แล้ว เขาเองก็กลัวไม่น้อยตอนที่ตัดสินใจบอกออกไป แต่พอผลมันออกมาตรงกันข้ามกับที่กลัว เขาก็โล่งใจ เหมือนถูกปลดจากพันธนาการที่มองไม่เห็นมานาน พอถึงตอนนี้แล้วเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีมากจริง ๆ ที่มีทั้งป๊าและแม่เข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น และไม่รังเกียจมัน

“อร่อยมั้ย?”

ตี๋หันไปมองหน้าคนถาม เห็นอีกฝ่ายยิ้ม หน้าตาดูลุ้นที่จะได้รับคำตอบแบบไหนจากเขา

“ก็...อร่อยครับ” เขาตัดสินใจตอบไปตามตรง ถึงแม้แว๊บแรกจะอยากแกล้งคนตรงหน้าบ้าง แต่พอเห็นท่าทางลุ้นกับคำตอบที่จะได้จากเขาแบบนั้นแล้วก็ทำไม่ลง แถมอาหารตรงหน้าก็อร่อยจริง ๆ และเป็นรสชาติที่ถูกปากเขาทีเดียว

“แล้ววันนี้จะพากันไปไหนล่ะ” ป๊าถามขึ้นมา ช่วยเด็กมันหน่อย เห็นสายตาของลูกชายตัวเองที่มองอีกฝ่ายแล้วก็กลัวตี๋มันจะกินข้าวไม่ลงเพราะสำลักความเลี่ยน ...ไม่รู้ใครสอนให้มันเป็นคนแบบนี้… เพราะตัวเขาเองก็ไม่มีนิสัยแบบนี้ เลยได้แต่สงสัยว่ามันไปเอานิสัยเสี่ยว ๆ มาจากที่ไหนกัน

“ก็แล้วแต่น้องน่ะครับ ป๊าจะฝากซื้ออะไรก่อนเอสกลับไหม?”

“เออ เดี๋ยวกูจดใส่กระดาษให้ละกัน”


++++++++++


ใช้เวลากินข้าวกันอีกไม่นาน เอสก็พาตี๋ออกจากบ้านมาด้วยรถที่เขาซื้อจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ไม่ใช่รถยี่ห้อหรูอะไร แต่ก็ยังดีกว่าต้องขี่มอเตอร์ไซค์ตากแดดหัวแดงและยังต้องเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังอีก ไอ้ครั้นจะให้ใช้รถสาธารณะมันก็หงุดหงิดทุกครั้งที่จะต้องใช้บริการ เขาเลยตัดสินใจซื้อรถเลยจะดีกว่า

“ตี๋อยากไปที่ไหนเหรอ” ขับออกมาได้สักพัก เอสถึงจะถาม คนที่นั่งอยู่อีกฝั่งพยายามคิดว่าอยากจะไปไหน เพราะมันกระทันหันและไม่ได้คุยกันไว้ก่อนว่าจะทำอะไร ภาระก็เลยมาตกอยู่ที่ตี๋อย่างช่วยไม่ได้

“ดูหนัง หรือชอปปิ้งก็ได้นะ” พอเห็นตี๋เงียบไปนานเขาเลยต้องเสนอไอเดียเป็นตัวช่วยให้น้องบ้าง ตัวเขาเองไม่ได้อยากจะไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษ แค่อยากใช้เวลาอยู่กับอีกฝ่ายเท่านั้นเอง

“ดูหนังก็ดีนะ ช่วงนี้ตี๋งานยุ่งมาก ไม่ได้ดูหนังมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้มีเรื่องอะไรเข้าบ้างอ่ะ” พอหันไปหาเอส ก็มีแค่รอยยิ้มแห้ง ๆ ที่เจ้าตัวใช้เป็นคำตอบ

“พี่ก็ทำแต่งาน ไม่รู้เลยว่ามีเรื่องอะไร เดี๋ยวเราไปเลือกเอาก็แล้วกันเนอะ”

“ก็ได้ครับ”

แล้วทั้งรถก็เงียบลงอีกครั้ง พออยู่ด้วยกันจริง ๆ แล้วมันทำให้คนเป็นพี่รู้สึกอึดอัดอยู่เหมือนกัน คงเพราะห่างหายกันไปนานก็เลยทำให้ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรดี แล้วก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายในตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปถึงไหนแล้ว เอสก็เลยเลือกที่จะถามเรื่องทั่วไปจะดีกว่า

“เรามาเล่นยี่สิบคำถามดีไหม?” เอสถามละสายตาจากการขับรถมามองคนที่นั่งด้านข้างเป็นพัก ๆ เห็นคิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างสงสัย

“พี่อยากรู้จักเรามากกว่านี้น่ะ” เอสบอก “ไม่ได้เจอกันนาน..ไม่รู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง”

“เอาสิ” ตี๋ยิ้มให้

“ตอนนี้เรียนอะไรอยู่เหรอ?”

“สถาปัตย์”

“งี้ก็งานเยอะเลยสิ”

“โคตรรรรรเยอะเลยแหละ”

“แต่ตี๋อดนอนไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”

“ระดับตี๋แล้ว อาจจะมีอดนอนบ้าง แต่ไม่มีปัญหาหรอก”

“ง่อววววว” เอสร้องแซวจนตี๋ต้องหันไปมองหน้าไม่พอใจเจ้าตัวถึงจะหุบปากได้ ถ้าเป็นเพื่อนกันและไม่รู้จักพ่อของอีกฝ่าย เขาคงจะด่าไปแล้วว่า ‘ง่อววววพ่อมึงสิ’

“ว่าแต่พี่ทำงานอะไรอ่ะ?” ตี๋เป็นฝ่ายถามบ้าง

“งานเกี่ยวกับพวกเขียนโปรแกรมกับพัฒนาโปรแกรมอะไรพวกนี้น่ะ”

“โห ท่าทางน่าจะยาก”

“ไม่ยากหรอก พี่เก่ง”

“...” ตี๋ทำปากเบะอย่างหมันไส้ในความมั่นใจของอีกคนเหลือเกิน

ก็รู้ว่าเก่ง แต่จำเป็นต้องชมตัวเองด้วยหรือไง

เอสหัวเราะสีหน้าของตี๋ก่อนจะบอก “มา พี่ถามต่อ”

“อย่าเพิ่งสิ ตี๋ยังถามไม่เสร็จ”

“อ่า ครับ ๆๆ”

“เมื่อก่อนเรานอนด้วยกันบ่อยเหรอ”

“ทุกอาทิตย์”

“ห๊ะ!” เขาไม่อยากจะเชื่อ จริงแล้วก็จำได้ลาง ๆ ว่าเคยมานอน แต่ไม่คิดว่าจะบ่อยขนาดนั้น

“พอเย็นวันศุกร์ก็จะหอบเสื้อผ้ามาบ้านพี่ พอเย็นวันอาทิตย์ก็กลับไปนอนบ้าน วนไปแบบนี้ทุกอาทิตย์เลยล่ะ ตอนนั้นเราชอบมาอ้อนให้พี่สอนวาดรูปประจำเลย”

ตี๋จ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายในระหว่างที่พูดถึงเรื่องเมื่อสมัยก่อน สายตาของเอสมันเต็มไปด้วยประกายของความสุขอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นั้นจะทำให้อีกคนมีความสุขได้มากขนาดนี้

มันทำให้เขารู้สึก...มีความสุขไปด้วยยังไงก็ไม่รู้

“ตาพี่ถามบ้าง” พอเห็นตี๋ไม่ถามอะไรต่อเขาก็เอ่ยขึ้น แต่ก่อนจะถามข้อต่อไปเขาก็เอื้อมไปคว้ามือของตี๋ขึ้นมาจับเอาไว้ บีบเบา ๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับตัวเอง เพราะเขาก็กลัวคำตอบที่กำลังจะได้รับ

...เพราะคาดหวัง...ถึงกลัวที่จะรับรู้คำตอบ

“ตี๋เคยมีแฟนหรือยัง” เงียบไปก่อนจะพูดต่อ “ไม่สิ ตอนนี้ตี๋มีแฟนหรือยัง”

“พี่อยากให้ตอบคำถามไหนก่อนล่ะ?”

“...มาพร้อม ๆ กันเลยก็ดีนะ จะได้เจ็บทีเดียว”

ตี๋ไม่เข้าใจ ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายยังไม่ได้คำตอบจากปากของเขาเลย แล้วทำไมต้องทำหน้าแบบนั้น กลัวอะไร แล้วทำไมถึงต้องกลัวด้วย

“จีบมาขนาดนี้เพิ่งจะมาถามเรื่องแฟนเนี่ยนะ” เจ้าตัวว่ายิ้มขัน ก่อนจะก้มหน้าตอบเสียงเบา “ตี๋...ไม่มีทั้งนั้นแหละ”

“ครับ?”

“ไม่มีใครหน้าไหนทั้งนั้นแหละ พอใจยัง!” เขารู้หรอกว่าอีกฝ่ายแกล้งไม่ได้ยิน แต่ก็หันไปเปล่งเสียงตอบเสียลั่นรถ ถึงแม้ว่าจะแสบแก้วหูซักแค่ไหนแต่ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม..จนเขาอดที่จะยิ้มตามไม่ได้

คนอายุมากกว่ากุมมือของตี๋ขึ้นมากดจูบเบา ๆ ให้เจ้าตัวเขินเล่น เขาโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกและดีใจที่น้องยังไม่เคยเป็นของใครมาก่อนที่จะกลับมาเจอกับเขา หวังว่า...เขาจะเป็นคนเดียวและคนสุดท้ายของคนตรงหน้านี้

...หวังว่าจะได้เป็นอย่างใจฝัน


++++++++++


เอสกับตี๋ยืนอยู่หน้าโปรแกรมการฉายหนัง และกำลังเลือกไม่ถูก “จะดูเรื่องไหนดีล่ะ?”

“ตี๋ไม่เอาหนังผี” แน่นอนว่าตี๋ไม่ดูหนังสยองขวัญ เพราะกลัวผีขั้นสุด ตอนนี้ก็เลยมีแต่หนังแอ๊คชั่นกับการ์ตูนให้เลือก ส่วนตัวเขาก็ไม่ได้ชอบดูหนังต่อสู้บู๊ล้างผลาญอะไรมากนัก แต่จะเลือกไปดูการ์ตูนก็เกรงใจอีกคน เพราะไม่รู้ว่าจะดูได้หรือเปล่า

“งั้นดูอะไรที่มันไม่หนักไปก็แล้วกันเนอะ” เอสหันไปบอก อีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบ

พอซื้อตั๋วได้ก็พากันไปนั่งฆ่าเวลารอหนังฉายที่ร้านไอศครีม เอสจำได้ว่าตี๋ชอบกินของหวาน พอลองถามดูน้องเองก็ไม่ปฏิเสธด้วย

“ดูหนังเสร็จแล้วจะไปไหนต่อรึเปล่า?”

“อืม” ตี๋อมช้อนไว้ในปากพลางคิด

เอสเห็นแบบนั้นแล้วก็ต้องชะงัก รู้สึกกระสับกระส่าย ใจไม่ค่อยดี เลยต้องเอื้อมมือไปกดแขนของตี๋ให้ช้อนหลุดออกมาจากปากอีกฝ่าย ตี๋มองหน้างง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น

“อย่าทำแบบนี้สิ ใจคอไม่ดีเลย”

“...” ตี๋ไม่เห็นเข้าใจว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะสื่ออะไรกับเขากันแน่  ถ้าดูจากสีหน้าของพี่เอสตอนนี้แล้วก็รู้สึกว่ามัน....ลามกชิบหาย

“ใจคอไม่ดีอะไร” ตี๋ถามห้วน

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก แฮะๆ”

“อะไรของพี่เนี่ย คืองี้ มีของที่ตี๋อยากได้อยู่ เอาไว้ทำงานอ่ะ”

“เดี๋ยวดูหนังเสร็จพี่พาไปซื้อ”

“แล้วพี่ล่ะ อยากไปไหน?”

“ไม่มีนี่” เอสส่ายหน้า

“อยากไปซื้ออะไรไหม”

เอสส่ายหน้าอีกรอบ “ไม่มี เดี๋ยวก่อนกลับไปซื้อของให้ป๊าแค่นั้น”

“เอ้า อะไรเนี่ย แล้วชวนออกมาทำไม”

“ก็แค่อยากใช้เวลากับเราแค่นั้นเอง”

ทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ ตี๋ก็หลบตาโดยอัตโนมัติ รู้สึกโมโหตัวเองที่ดันใจเต้นกับคำพูดเสี่ยว ๆ และรอยยิ้มอ่อนโยนของคนตรงหน้า เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะหวั่นไหวกับเพศเดียวกันได้ด้วย

“พี่นี่เสี่ยวชะมัดเลยว่ะ” ตี๋อดที่จะว่าเหน็บไม่ได้ คนอะไรเสี่ยวได้เสี่ยวดี นี่ถ้าหน้าตาไม่ดีคงดูเป็นเด็กแว๊นไปละ

“ฮะ ๆๆ พี่ก็เพิ่งจะรู้ตอนที่จีบเรานี่แหละ ว่าพี่เสี่ยวมาก”

“พี่มีแฟนมาแล้วกี่คนอ่ะ?” เพราะอีกฝ่ายพูดเหมือนเพิ่งจะเคยจีบใครเป็นครั้งแรก เขาเลยอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าที่ผ่านมาก่อนหน้าเอสเคยมีแฟนมาแล้วเท่าไหร่

เอสชะงักไปชั่วครู่ ดูท่าแล้วเหมือนจะไม่อยากตอบ เลยหาทางบ่ายเบี่ยง “ไอศครีมละลายแล้วแหนะ รีบกินสิ”

ตี๋ตักไอศกรีมเข้าปากตามที่อีกฝ่ายบอก ก่อนจะพูดต่อโดยที่พยายามไม่สนใจท่าทางของคนตรงข้าม “มีแฟนมาเยอะแล้วล่ะสิ”

“อ๊ะ ใกล้ได้เวลาหนังฉายแล้วนี่นา” เอสยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดูก่อนจะร้องบอก “ตี๋จะไปเลยไหม?”

เส้นเลือดที่ขมับของตี๋เต้นตุ๊บ ๆ ด้วยความที่หงุดหงิดกับท่าทีของอีกฝ่ายที่พยายามจะหลีกเลี่ยงการตอบคำถามของเขา ความจริงแล้วถ้าจะบอกว่าที่ผ่านมามีกี่คน เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรหรอก เพราะอีกฝ่ายก็อายุตั้งขนาดนี้แล้ว ถ้าจะมีก็ไม่แปลกอะไร แต่ที่หงุดหงิดก็เป็นเพราะว่าทำไมต้องปิดบังด้วย

เจ้าตัวหรี่ตามองเอส “ถ้าพี่ยังไม่ตอบก็ไม่ไปหรอก”

“แต่มันจะสายนะ”

“ไม่เป็นไร ผมไม่ดูก็ได้”

“เสียดายตังอ่ะ”

“แล้วมันเป็นอะไรพี่ถึงบอกผมไม่ได้”

พอเห็นหน้าตี๋ที่นิ่งแบบนี้แล้วเอสก็ยิ่งหัวหด

“ไม่ใช่บอกไม่ได้ แต่มันไม่ใช่เรื่องราวที่น่าฟังหรอก” อดีตของเขามันไม่ได้สวยงาม ไม่อยากให้เด็กที่ดีแบบตี๋ต้องมารับรู้เรื่องราว...สกปรกของเขา

“อย่ามาตัดสินแทนนะ มันจะน่าฟังหรือไม่น่าฟัง ตี๋เป็นคนตัดสินเอง ไม่ใช่พี่” ตี๋พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดหนักแน่น

เอสเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาจากปาก มีท่าทีเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด เป็นท่าทีที่ไม่ค่อยจะได้เห็นกันซักเท่าไหร่นัก เจ้าตัวเป็นคนที่เก็บอารมณ์ ถ้ามีปัญหาหรือมีอะไรในใจก็ไม่เคยพูดออกมาให้ใครได้ฟัง ซึ่งเป็นนิสัยที่ไม่ค่อยดี เพราะมันมักจะทำให้เป็นไมเกรนจากอาการเครียดสะสมอยู่บ่อย ๆ

“พี่ไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตน” เอสหยุดสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองตี๋ อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีอะไร ทำเพียงแค่ตั้งใจฟังเขา “พี่มีแต่คู่นอน...ชั่วคราว”

จบคำพูดของเอสก็มีแต่ความเงียบปกคลุมทั้งคู่ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาต่อจากนั้น ทั้งสองคนนั่งเงียบท่ามกลางเสียงจอแจในร้านไอศครีม

เอสเงียบเพราะไม่มีอะไรจะต้องพูดหรือแก้ตัว ถ้าตี๋รับไม่ได้ เขาก็จะหยุด...หยุดมันทั้งหมด เขารู้ว่าการนอนกับใครไปทั่วมันไม่ใช่เรื่องที่ดี และก็ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะรับกับมันได้ เพราะแบบนี้เขาถึงไม่อยากจะบอกกับอีกฝ่าย แต่ก็นั่นล่ะ..ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดที่อยากจะมีแฟน ไม่ได้อยากมีคู่รัก ไม่อยากรักใคร เพราะถ้าต้องจากกันในวันใดวันหนึ่ง...

ไม่ว่าจะ...จากกันเพราะหมดรัก
หรือว่าจากกัน...ทั้งที่ยังรักกัน
ก็อย่ามีมันซะตั้งแต่แรกจะดีกว่า...


TBC…


 :L2:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.4 [up:22/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-04-2018 20:04:31
งุ้ยยยย กำลังจะอมเปรี้ยวอมหวาน
แล้วถอยมาลงหม้อมาม่าซะงั้น ฮื่อออออ

รอตอนต่อไป
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.4 [up:22/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 22-04-2018 22:51:39
อดีตมันก็คืออดีตล่ะนะ
เอาใจช่วยพี่เอส
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.4 [up:22/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 23-04-2018 00:53:08
คุงพี่!!!!
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.5 [up:25/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 25-04-2018 21:48:34


5




สิ้นคำพูดของเอสก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก คนอายุมากกว่าจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ตาโตสวยที่เคยมองตี๋แล้วทำสายตาวิบวับกลับหลุบต่ำลง หลังกว้างที่เคยผึ่งผายกลับเอนพิงเก้าอี้อย่างหมดแรง ตอนนี้เขารอแค่ว่าตี๋จะพูดอะไรออกมา ไม่รู้สึกกลัวอะไรอีก เพียงแค่รออย่างเงียบ ๆ พร้อมรับสถานการณ์ว่าอีกคนจะตัดสินใจยังไง

ไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร...เขาก็พร้อมจะยอมรับมัน

ตี๋มองอีกฝ่ายเงียบ ๆ ไม่ใช่ว่าโกรธหรือรังเกียจอะไร เขาแค่กำลังคิดว่าทำไมพี่ชายที่แสนดีกับเขาคนนี้ถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้ แต่อีกใจหนึ่งก็เหมือนจะรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้อีกคนเปลี่ยนไปนั้นมันเกิดขึ้นจากอะไร

เขาไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เอสทำเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่สมควรทำ ในสายตาของเขามองว่ามันก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคน แต่ถ้าเป็นคนอื่นรู้เรื่องแบบนี้ของเอสเข้าก็คงจะตราหน้าว่ามั่วซักวันคงเป็นเอดส์ตาย และเขาก็ไม่อยากให้ใครมาว่าเอสแบบนั้น

...เอดส์เหรอ...

“เวลาพี่นอนกับใคร พี่ได้ป้องกันทุกครั้งหรือเปล่า?” ตี๋ถามขึ้นหลังจากที่คิดอะไรอยู่คนเดียวสักพัก

เอสเงยหน้ามองอย่างงุนงงก่อนจะตอบ “ทุกครั้งสิ”

“ฟู่ววววว” ตี๋ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เรื่องแบบนี้พลาดแค่ครั้งเดียวก็เสี่ยงแล้ว

“ถามทำไมเหรอ? หรือว่า...รังเกียจ”

“ถามอะไรแบบนั้นวะห๊ะ!!” คนถูกถามตวัดสายตามองด้วยความไม่พอใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวโมโหจนเผลอตวาดขึ้นเสียงดังพร้อมกับตบโต๊ะจนช้อนไอศกรีมร่วงกระทบพื้นดังเคร้ง จนโต๊ะข้างกันหันมามองเลิ่กลั่ก ไม่ต่างอะไรจากพี่ชายที่อยู่ตรงข้ามก็สะดุ้ง สีหน้าของตี๋น่ากลัวจนเด็กที่นั่งโต๊ะถัดไปเริ่มเบะปากจะร้องไห้ พอเจ้าตัวเห็นแบบนั้นจึงพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลง

“ตี๋ไม่ได้รังเกียจอะไรพี่ ตี๋แค่เป็นห่วง...พี่เห็นตี๋เป็นคนยังไงกันเนี่ยห๊ะ” ถึงน้ำเสียงจะเพลาลงแต่ก็ยังบ่งบอกถึงความไม่พอใจ รวมถึงสีหน้าของตี๋ยังคงมีรอยของความโกรธปรากฏอยู่บนใบหน้า

เอสจ้องหน้าน้อง ก่อนจะเผยยิ้มบางออกมาพร้อมกับหัวใจที่มันเต้นแรงขึ้นด้วยความยินดี “พี่รู้ว่าเราเป็นคนใจดี...ขอบคุณนะที่เป็นห่วง”

“วันหลังอย่าพูดดูถูกตัวเองแบบนี้อีกนะ” ตี๋พูดน้ำเสียงตัดพ้อ

“ไม่แล้วล่ะ พี่จะไม่พูดอีกแล้ว” เอสรับปาก

“ห้ามทำแบบนั้นอีกแล้วนะ” เขาหมายถึงการนอนกับใครไปทั่ว

“อื้ม ไม่ทำแล้ว” เอสยิ้มขำกับท่าทางอ้อนของคนตรงข้าม ที่ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนจะบังคับเขา แต่สายตาและน้ำเสียงนี่อ้อนเต็มพลัง

“แล้วอย่าลืมไปตรวจเลือดด้วยอ่ะ”

“ครับผม”

“เฮ้ออออออออออ” ตี๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่ออีกฝ่ายรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ เอนหลังพิงเก้าอี้ “ดูดิไอศครีมละลายหมดแล้ว” พูดพลางมองถ้วยไอศครีมตรงหน้าด้วยท่าทีเสียดาย

“หนังก็เริ่มไปครึ่งชั่วโมงแล้วด้วย” เอสพูดหลังจากยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา

“ไปจ่ายเงินกันเถอะ” ตี๋บอกพร้อมกับลุกขึ้น เอสก็ลุกตามพร้อมกับหยิบใบเสร็จตรงไปจ่ายเงินที่เค้าท์เตอร์ให้เรียบร้อย

“ซื้อของกัน” เอสยื่นมือไปให้คนที่ยืนรออยู่หน้าร้านจับ เขาอยากจะลองใจอีกฝ่ายดูว่าจะกล้าจับมือเดินในที่สาธารณะกับเขาหรือไม่ ในตอนนี้ใจของเขามันยังคงรู้สึกปวดแปลบจากเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่ อาจจะต้องใช้เวลาในการเยียวยาสักหน่อยจึงจะกลับไปเป็นดังเดิม

...ขอแค่มีเด็กคนนี้อยู่ข้างกัน...

ตี๋ก้มลงมองฝ่ามือใหญ่ที่ยื่นมาตรงหน้า เงยหน้าขึ้นมองเอสที่ส่งยิ้มมาให้...แต่กลับสัมผัสความสุขจากอีกฝ่ายไม่ได้เลย เขาก้มลงมองฝ่ามือนั้นอีกครั้ง จ้องมันอย่างชั่งใจ เขารู้สึกว่าถ้าไม่จับมือของอีกฝ่ายไว้ให้แน่น...เอสอาจจะหายไปได้ทุกเมื่อ ไม่รู้ว่าทำไมพี่ชายของเขาในตอนนี้แววตาคู่สวยนั้นมันถึงดูเศร้าราวกับคนละคนที่เขาคุ้นเคย เหมือนกับเอสคนที่ร่าเริงคนนั้นกำลังจะหายไป

มือขาวตัดสินใจจับมือกว้างที่ยื่นมาตรงหน้า ทำเอาอีกฝ่ายตกตะลึง คงจะคิดว่าเขาไม่กล้าจับมือล่ะมั้ง

“ไปเถอะ ต้องไปซื้อใบคัตเตอร์อีก” ตี๋บอก

เอสก็ฉีกยิ้มกว้าง แล้วก็ก้าวขาเดินตามแรงดึงของเด็กตรงหน้าไปด้วยหัวใจที่เป็นสุข ถึงแม้ว่าบางทีมันอาจจะเป็นแค่ความใจดีของตี๋ ทั้งที่อีกคนอาจจะไม่ได้คิดเหมือนกันกับเขาก็ตาม แต่สิ่งที่อีกคนแสดงออกมา...แค่นี้มันก็ดีสำหรับเขามากแล้ว

ระหว่างที่เดินไปร้านเครื่องเขียนชื่อดัง ต่างก็มีคนเหลือบมองทั้งสองคนเป็นระยะตลอดทาง อาจจะเป็นเพราะมือที่ประสานกันอยู่และทั้งคู่ก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ค่อยคุ้นชินของสังคมซักเท่าไหร่ แต่ตี๋ก็หาได้แคร์ไม่ ชีวิตนี้เขาไม่เคยแคร์สายตาของคนภายนอก ที่เขาสนก็มีแค่คนที่เขารักเพียงเท่านั้น



++++++++++



พอได้เข้ามาในร้านหนังสือ ทั้งสองคนก็หายไปในมุมที่ตัวเองต่างก็ชอบ ในตอนนี้เอสที่เริ่มผ่อนคลายจากความตึงเครียดที่ผ่านมา เลยทำให้มีกะจิตกะใจดูหนังสือที่สนใจอยู่ ช่วงนี้เขากำลังสนใจเรื่องการทำอาหารและขนมต่าง ๆ ก็เลยจมอยู่กับมุมตำราอาหารและขนม

ส่วนตี๋ตอนแรกก็ไปเลือกพวกเครื่องเขียนที่จะต้องใช้ในการเรียน ก็เลือกมาได้จำนวนหนึ่ง แต่พอหันไปเห็นว่าเอสกำลังตั้งใจเลือกหนังสืออยู่เขาก็ไม่อยากจะกวน เลยพาตัวเองไปดูหนังสือบ้าง ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่ซื้อเข้าบ้านอีกถ้ายังอ่านกองที่ดองไว้ไม่หมด แต่ไหน ๆ ก็เข้ามาเเล้ว เลยเดินดูซักหน่อยว่ามีอะไรออกใหม่น่าสนใจบ้าง

“อ้าว ไอ้ตี๋”

ตี๋เงยหน้าขึ้นเมื่อโดนเรียกจากเสียงที่คุ้นเคย หันไปก็เจอกับภาคเดินยิ้มแป้นเข้ามาหา

“มากับใครวะมึง?” ภาคกอดคอถามตี๋

“อ๋อ เอ่อ...มากับพี่”

“พี่ห่าอะไร ทำไมถึงต้องทำท่ามีพิรุธด้วยวะ” ภาคย้อนถามอย่างสงสัย ปกติไอ้ตี๋มันเป็นคนพูดจาฉะฉาน ถ้าไม่บอกก็คือไม่บอก แต่นี่อะไร ทำไมต้องพูดตะกุกตะกักด้วย ท่าทีก็ลุกลี้ลุกลนแปลก ๆ มองเหมือนระวังอะไรอยู่

แต่ตี๋ที่ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรเพื่อนไป เอสก็เดินเข้ามาพอดี

“มีอะไรกันน่ะ?”

เอสถามพลางเหลือบมองภาคที่โอบไหล่ตี๋อยู่อย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่ก็เป็นโชคดีที่เขาเป็นคนเก็บอารมณ์เก่ง ไม่ค่อยมีใครจับได้สักเท่าไหร่หรอก แต่ก็ต้องยกเว้นตี๋ไว้คนหนึ่ง ไม่รู้ทำไมถึงจับกระแสอารมณ์ของเขาได้เสมอ

“เปล่าซะหน่อย” ตี๋บอกสะบัดตัวออกจากเพื่อนรัก

“เหรอ”

“ใครวะ?” ภาคเข้าไปยืนเบียดกับเพื่อนอีกรอบแล้วกระซิบถาม

“ก็บอกว่าพี่” ตอบสีหน้าน้ำเสียงติดจะหงุดหงิด รำคาญเพื่อนตัวดี

“พี่มึงไม่ใช่คนนี้นี่” เขาเคยเห็นเฮียเฟยพี่ชายของตี๋ ไม่ใช่คนนี้แน่ ๆ แถมพี่คนนี้ยังหล่อกว่าเยอะเลย ตาโตสวยเหมือนตากวาง ตัวสูงใหญ่ รูปร่างดี ผิวก็ไม่ได้ขาวเท่ากับตี๋หรือเฮีย คนละเรื่องกับเฮียเฟยเลยด้วยซ้ำ เพราะขานั้นกับเพื่อนของเขานี่หน้าตาเหมือนกันยังกับแกะ แต่อีกฝ่ายจะตัวเล็กกว่าน้องเล็กน้อย

ตี๋ตวัดสายตามองเพื่อนด้วยความหงุดหงิด แล้วด่ามันอยู่ในใจ

...เสือกแม่งทุกเรื่อง…

“เพื่อนตี๋เหรอ” ด้วยความที่เป็นคนอัธยาศัยดี เอสเป็นฝ่ายถามภาคก่อน

“ครับ ผมชื่อภาคเป็นเพื่อนที่มหาลัยของตี๋มัน สวัสดีครับ” ภาคตอบยิ้มแห้ง แล้วยกมือไหว้

เอสรับไหว้ “พี่ชื่อเอส เป็นพี่แถวบ้านของตี๋น่ะ”

“อ๋ออออ” ภาคตอบรับเสียงยาวจนน่าหมันไส้

“พี่เลือกเสร็จแล้วเหรอ” ตี๋ถามตัดบทก่อนที่ไอ้ภาคจะได้กวนประสาทเขาต่อ

“อืม เรียบร้อยแล้ว เราล่ะ?”

“ได้แล้ว ไปคิดเงินกัน กูไปก่อนนะ ไว้เจอกัน” ตี๋บอกลาเพื่อนเร็วจนอีกฝากไม่มีโอกาสได้แทรก เจ้าตัวคว้าแขนของเอสเดินออกไปทันทีโดยไม่รอว่าเพื่อนของตนจะพูดอะไร

ภาคยืนงง ยังไม่ทันจะได้บอกลาเพื่อน มันก็เดินลิ่วไปโน่นแล้ว แต่เขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในตัวสองคนนั้น จากเซ้นส์ของเขาแล้ว มันต้องมีซัมทิงอะไรบางอย่างแน่นอน เริ่มจากไอ้เพื่อนตัวดี..มันนี่แหละทำตัวมีพิรุธที่สุด แถมเขายังแอบเห็นนะว่าไอ้ตี๋มันจับข้อมืออีกฝ่ายเดินออกไปด้วย แล้วไหนพี่เอสอะไรนั่นก็มองเพื่อนของเขาตาหวานเชียว แถมพี่น้องอะไรมันจะพูดจากันด้วยน้ำเสียงแบบนั้นล่ะ

ที่สำคัญคือตอนที่เขากอดไหล่ตี๋ ไอ้พี่เอสนี่มองเขาตาขวางเลย

...ไอ้ตี๋ มึงเสร็จกูแน่ หึหึ…



++++++++++



“เหลือเวลาอีกเยอะเลย จะไปไหนต่อหรือเปล่า” เอสถามหลังจากที่ออกมาจากร้านหนังสือ

“ไม่ล่ะ พี่ไปซื้อของให้ป๊าแล้วกลับกันเลยก็ได้”

เอสพยักหน้าตอบแล้วยิ้ม ขายาว ๆ กำลังจะก้าวเดินนำไป ถ้าไม่มีเสียงจากอีกฝ่ายทักขึ้นมา

“ไม่อยากให้ตี๋จับมือเดินแล้วเหรอ”

“ถ้าได้ก็ดีนะ”

“อืมม ไม่เอาอ่ะ” ตอบเสร็จก็เดินนำอีกคนออกไปเลย รอบนี้ที่กล้าปฏิเสธออกไปก็เพราะอีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่มีความขี้เล่นแอบแฝงอยู่ แสดงว่าความขุ่นมัวในจิตใจมันเริ่มที่จะจางออกไปแล้ว ตี๋เลยเลือกที่จะปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายมีความหวังกับตนมากเกินไป เพราะเวลาที่ผิดหวังมันจะเจ็บมาก แล้วเขาก็ไม่อยากให้เอสต้องเจ็บอีก

พอกลับถึงบ้าน ตี๋ก็ช่วยหิ้วของไปเก็บให้เรียบร้อย เนื่องจากกลับมาทันก่อนมื้อเย็น เอสเลยต้องทำกับข้าวพร้อมมีลูกมือเป็นคนตัวขาวที่อยู่ด้วยกันมาทั้งวันอาสาจะช่วย

“ตี๋ทำกับข้าวเป็นเหรอ?” เอสถามพลางคุ้ยของในตู้เย็นออกมากองบนโต๊ะ เย็นนี้เขาวางแผนจะทำต้มจืดไข่น้ำใส่ผักตั้งโอ๋ ปลากะพงทอด แล้วก็ไข่ตุ๋นของโปรดตี๋ เพราะตี๋กับป๊าของเขากินเผ็ดไม่ได้เลย ส่วนตัวเขาเองที่ชอบกินอาหารรสจัดเลยต้องปรับตัวมากินแบบนี้ แล้วเสริมด้วยการซอยพริกขี้หนูใส่จานของตัวเองแทนเวลาที่อยากกินรสเผ็ด

“เหอะ ไม่เป็นอ่ะ” เจ้าตัวส่ายดัวดิ๊กเป็นคำตอบทำเอาเอสขำพรืด

“แล้วแบบนี้จะช่วยพี่ได้ยังไงล่ะ” ถามน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“นั่งเป็นเพื่อนแทนก็ได้” ตี๋ลากเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้ามเอสที่กำลังแล่ปลาอย่างคล่องแคล่ว พลางคิดว่าพี่เอสนี่เก่งจัง ทำเป็นทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือขนม งานบ้านก็ไม่บกพร่อง ถ้าคนตรงหน้าเป็นผู้หญิง เขาก็คงจะไม่คิดมากเหมือนอย่างที่เป็นนี้แน่ ๆ

“วันนี้พี่จะทำอะไรบ้างเหรอ” ตี๋ชวนคุย เพราะรู้ว่าอารมณ์ของเอสยังคงไม่ปกติตั้งแต่คุยกันในร้านไอศครีม ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะคลายไปเยอะแล้ว แต่มันก็คงจะยังมีตะกอนตกค้างอยู่ในหัวใจอยู่บ้างแน่

“แกงจืด ปลาทอด แล้วก็ไข่ตุ๋น”

“ดีจัง ไม่ได้กินไข่ตุ๋นมาตั้งนานแล้ว” ตี๋พูดยิ้มตาหยี

เห็นแบบนั้นแล้วเอสก็พลอยยิ้มไปด้วย แต่เพราะยังคงปรับอารมณ์ของตัวเองให้เป็นปกติไม่ได้ และเขาเองก็รู้ว่าตี๋กำลังพยายามทำให้เขากลับมาเป็นเหมือนเดิมอยู่ อีกฝ่ายไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนเด็ก ๆ เลย

พอเป็นแบบนี้แล้วก็ทำให้เขานึกถึงเรื่องในสมัยก่อน ถ้าวันไหนป๊ากับแม่ทะเลาะกัน เขามักจะแอบนอนร้องไห้เสมอ ถึงภายนอกเขาจะดูเหมือนเป็นคนเข้มแข็งแต่ภายในบอบช้ำแค่ไหนนั้นไม่มีใครรู้

แต่น่าแปลก...เวลาที่คนตรงหน้ามาค้างบ้านของเขา เด็กคนนี้มักจะรู้เสมอว่าตัวเขานั้นมีเรื่องที่ไม่สบายใจ เขามักจะรอให้ตี๋หลับก่อนแล้วถึงจะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา เพื่อปลดปล่อยอารมณ์ที่เก็บเอาไว้แล้วบอกใครไม่ได้

...ทั้งที่ไม่น่าจะมีใครรู้ แต่ก็มีเพียงคนเดียว

ทั้ง ๆ ที่หลับไปแล้ว แต่ตี๋ก็จะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเสมอ...

‘เฮียเอสเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม โอ๋ ๆๆ ไม่ร้องน้า เดี๋ยวตี๋จะโอ๋ ๆ เฮียเอสเองน้า’

มือเล็ก ๆ ที่เอื้อมมาเช็ดน้ำตาให้...เขายังจำได้ดี
อ้อมกอดเล็ก ๆ ที่กอดเขาให้หลับได้อย่างสบายใจ...เขาก็ยังจำได้
ใบหน้าเล็กที่ซุกลงแนบกับอกของเขา แล้วหลับไป...เขาก็ไม่เคยลืม
ตี๋เป็นคนสำคัญของเขาเสมอมา...ไม่เคยเปลี่ยนไป

เอสจมอยู่กับเรื่องในอดีตดวงตาคู่สวยดูเลื่อนลอย มือที่กำลังหั่นปลาอยู่หยุดนิ่งไม่ไหวติง ตี๋เห็นแบบนั้นจึงลองส่งเสียงเรียกดู แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าคนตรงหน้าจะได้ยิน มือขาวโบกไปมาที่ด้านหน้าของอีกฝ่ายแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ จนเขาเริ่มเป็นกังวล ด้วยไม่เคยเห็นเอสเป็นแบบนี้มาก่อน เจ้าตัวจึงลุกขึ้นไปเขย่าตัวของเอสให้ได้สติ

“ห๊ะ” คนพี่สะดุ้งหันมามองหน้าคนที่ยืนทำหน้ามุ่ยอยู่ข้าง ๆ

“หลับรึไง?” ตี๋ถาม

เอสอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตอบ “คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ”

“มาคิดอะไรเอาตอนที่ถือมีดอยู่ น่ากลัวนะ”

“โทษที” เอสหัวเราะแฮะ ๆ ก่อนจะลงมือแล่ปลาต่อ

ใช้เวลาไม่นานกับข้าวก็เสร็จเรียบร้อย ตี๋โดนเอสใช้ให้ไปเรียกป๊ามากินข้าวด้วยกัน ตี๋ก็เดินไปตามอย่างว่าง่าย เขาเห็นป๊าพี่เอสงีบหลับอยู่ที่โซฟาเอนหน้าทีวีแล้วก็เกรงใจ ไม่รู้จะทำยังไงดี เลยก้าวขายาว ๆ เดินเร็วกลับไป

“ป๊าพี่หลับอยู่อ่ะ ทำไงดี” ถามสีหน้าเป็นกังวล

“เรียกไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก” เอสบอกพลางจัดโต๊ะกินข้าวไปด้วย

“ตี๋ไม่กล้าอ่ะ พี่ไปเรียกเหอะนะ”

“โอเค ๆ ตี๋ไปยกข้าวที่พี่ตักออกมาให้ทีนะครับ”

ตี๋พยักหน้าแล้ววิ่งเข้าครัวไปด้วยความรวดเร็ว เอสมองตามขำ ๆ แล้วถึงเดินไปเรียกป๊าให้ตื่นขึ้นมากินข้าวแล้วจะได้กินยา เดินกลับมาอีกทีก็เห็นตี๋นั่งรอที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว พอเจ้าตัวสบตากับคนอายุมากก็ส่งยิ้มแหย ๆ ไปให้ด้วยความประหม่า ปนไปกับการกลัวว่าจะโดนแซวอะไรอีกด้วย

“ป๊า เอสว่าจะลาออกจากบริษัทนะ” จบประโยคทั้งป๊าและตี๋ก็หันไปมองหน้าคนพูดด้วยความตกใจ

“ออกทำไมวะ?” ป๊าเอ่ยถาม เขาไม่คิดว่ามันจะออกจริง ๆ

“เอสเป็นห่วงป๊า แล้วพอดีกับที่เบื่องานที่นั่นแล้วด้วย”

“อย่ามาอ้างว่ามึงเบื่อเลย แล้วจะออกมาขายน้ำเต้าหู้เหมือนกูเนี่ยนะ มึงเรียนมาตั้งสูง จะมาลำบากเหมือนกูไปทำไม”

“ลำบากอะไรกัน ป๊ายังขายน้ำเต้าหู้ส่งเสียเลี้ยงเอสมาได้เลย”

“ไม่ กูจะไม่ให้มึงมาขายน้ำเต้าหู้นี่แน่นอน” คนเป็นพ่อปฏิเสธเสียงแข็ง

“ป๊า!” เอสร้อง

ป๊าก้มหน้ากินต่อไม่สนใจลูกชายของตัวเองที่กำลังอารมณ์เสียเพราะโดนขัดใจ ส่วนตี๋ก็เลือกที่จะนั่งเงียบ เพราะรู้ว่านี่เป็นเรื่องในครอบครัวไม่ใช่เรื่องของตัวเอง และก็ไม่มีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย แต่เขาก็เข้าใจว่าทั้งสองคนต่างคนต่างก็เป็นห่วงกันและกัน

“งั้นเอสย้ายที่ทำงานมาอยู่ที่นี่ได้ไหม?”

หลังจากที่นั่งเงียบไปสักพักเพราะกำลังคิดหาทางอยู่ ลูกชายคนเดียวก็ถามขึ้น เนื่องจากในตอนนี้หน้าที่การงานของเขาอยู่อีกจังหวัด แต่บริษัทที่เขาทำอยู่นั้นมีสาขาแม่อยู่ที่นี่ ถ้าทำเรื่องขอย้ายมาก็คิดว่าคงจะไม่ยากอะไร เพราะงานที่เขาทำอยู่มันก็ใช้กับทุกสาขาอยู่แล้ว

“แต่ขออะไรอย่าง เอสขอให้ป๊าหยุดขายน้ำเต้าหู้นี่เถอะนะ”

เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ตั้งแต่ขายมานานหลายปี เขาไม่เคยเห็นคนเป็นพ่อรักษาสุขภาพตัวเองเลยสักครั้งเดียว ไม่เคยไปตรวจร่างกาย ตอนนี้ยังถือว่าโชคดีที่ไม่มีโรคอะไรแฝงอยู่ เพราะเขาพาไปตรวจมาแล้วเรียบร้อยก็ไม่ได้พบอะไรเป็นพิเศษ นอกจากโรคคนแก่ทั่วไป

คำพูดของเอส ถึงแม้จะดูเหมือนคำขอ แต่เจตนาของมันคือการยื่นคำขาดซะมากกว่า อย่าว่าแต่ป๊าตกใจเลย ตัวตี๋เองก็ตกใจไม่แพ้กัน เพราะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายจริงจังขนาดนี้ อีกใจก็แอบเสียดาย เขากินน้ำเต้าหู้ร้านนี้มาตั้งแต่จำความได้ แต่ก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายอายุเยอะมากแล้ว ครั้งนี้แค่หลังยอก แต่ถ้ายังฝืนทำอีกแล้วมันกลายเป็นล้มหัวฟาดพื้นขึ้นมาจะทำยังไง

“มึงนี่มัน…” คนเป็นพ่อหมดคำจะพูดกับความดื้อของมัน

“เอสก็เหมือนป๊านั่นแหละ แม่ว่าให้ฟังบ่อยแล้ว”

“เออ!” เขายอมรับ ใช่ ที่มันนิสัยเหมือนเขา ถึงแม้มันจะหน้าตาไปทางแม่มันมากกว่า แต่นิสัยนี่ได้จากเขาไปเต็ม ๆ

“แล้วสรุปป๊าจะเอาไง”

“ตามใจมึง” พูดจบก็ตักน้ำแกงจืดซดเสียงดัง ก่อนจะพูดต่อเมื่อนึกได้ “มึงก็ไปบอกอากงอาม่าแถวนี้เองแล้วกันว่ามึงจะเลิกขายแล้ว เตรียมคำพูดไปดี ๆ ด้วยล่ะ”

เอสยิ้มออกมาเมื่อผลเป็นดั่งใจ “ครับ เดี๋ยวเอสจัดการเอง”

เขาไม่คิดว่าคนอายุมากแถวนี้จะเป็นปัญหา เพราะตั้งแต่เขาเข้ามาทำแทนป๊า ถึงแม้น้ำเต้าหู้ของป๊ามันจะอร่อยจริง ๆ  แต่ก็ได้เห็นว่าการมากินน้ำเต้าหู้กันที่นี่เป็นเหมือนการรวมพล พบปะ พูดคุยกันตามประสาคนแก่เสียมากกว่า ไม่มีอะไรที่จะอยู่ยั่งยืนไปได้ทุกอย่างหรอก งานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกรา และวันนั้นก็ต้องมาถึงสักวัน



TBC...


เนื้อเรื่องอาจจะดูเรื่อยเปื่อยจนดูน่าเบื่อ

แต่เราตั้งใจว่าจะให้ออกมาแบบนี้ค่ะ

ขอบคุณที่ชอบและติดตามนะคะ

 :L2:

หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.5 [up:25/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 25-04-2018 23:57:27
 :L2: :L1: :pig4:

ทำไมเราได้กลิ่นดราม่า
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.5 [up:25/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 27-04-2018 02:21:04
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.5 [up:25/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 27-04-2018 09:53:58
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.5 [up:25/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 27-04-2018 13:04:20
ดีที่คุณป๊ายอมพัก เอสทำถูกแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.5 [up:25/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-04-2018 16:52:10
เรื่อยๆเปื่อยๆก็ไม่เป็นไร ขออย่าดราม่าหนักหน่วงใจมากก็พอ ภูมิต้านทานไม่ค่อยดี
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.6 [up:29/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 29-04-2018 21:40:45
CH.6




“หวัดดีเพื่อน!”

ภาคทักทายตี๋ทันทีที่เจ้าตัวเดินมาถึงโต๊ะ แต่มันแปลกตรงที่ร้อยวันพันปีมันไม่เคยทักทายเขาแบบนี้ แล้วแถมยังทำหน้ายักคิ้วหลิ่วตาใส่เขาแบบกวนตีนอีกต่างหาก

“หน้ามึงเป็นเหี้ยอะไร” ตี๋ว่าพลางเอากระเป๋าสะพายวางลงบนโต๊ะก่อนจะนั่งลง

“เปล๊า”

“ถ้ามึงยังไม่หยุดทำหน้ากวนตีน กูจะเอาตีนลูบหน้ามึงตรงนี้แหละ”

“แหม ๆๆ ขอโทษ ๆ”

“พวกมึงมีอะไรกันเนี่ย” กลอยถามหลังจากมองตี๋สลับกับภาคไปมาอย่างสงสัยว่าพวกมันสองคนมีอะไรกัน

“กูไม่มี แต่อีกคนน่ะมีแน่~~” ภาคทำเสียงจีบปากจีบคออย่างน่าหมันไส้ แถมยังสะบัดหางเสียงมาทางตี๋จนเจ้าตัวหางคิ้วกระตุกด้วยความหงุดหงิด

“มีอะไรมึงก็พูดมาเลยอย่ามาท่ามาก” ตี๋ว่าคิ้วขมวด

“โอเค ๆ” ภาคยกมือขึ้นยอมแพ้ ก่อนจะเปิดปาก “คนที่มึงเดินไปด้วยเมื่อวานเป็นอะไรกับมึงกันแน่ครับเพื่อน”

ตี๋ชะงัก ไม่คิดว่ามันจะมาตรงประเด็นขนาดนี้ “ก็บอกแล้วไงว่าพี่”

“กูว่าไม่ใช่”

“ก็บอกว่าพี่ไง”

“ไม่ใช่ม๊าง”

“บอกว่าใช่ไง”

“พี่ที่ไหนกันที่เวลาเห็นกูกอดไหล่มึงแล้วถึงต้องมองหน้ากูแบบไม่พอใจด้วยครับ” ภาคย้อนตรงประเด็นจนเพื่อนกลอยนั่งอ้าปากค้างหันไปมองตี๋ทันควันหลังจากภาคพูดจบประโยค

ตี๋อ้าปากจะเถียง แต่เพื่อนตัวดีก็พูดขัดขึ้นมาอีก

“แถมพี่มึงก็ไม่ใช่คนนี้ด้วย ลืมแล้วรึไงว่ากูก็รู้จักกับพี่มึงนะ”

“ก็พี่ข้างบ้านไงวะ” เจ้าตัวก็ยังคงยืนยัน ถึงแม้ว่ามันจะดูจนมุมเข้าไปทุกทีแล้วก็ตาม อันที่จริงแล้วเขากับอีกคนที่กำลังเป็นประเด็นก็ไม่ได้เป็นอะไรกันจริง ๆ นี่หว่า แล้วจะให้ตอบว่าอะไรล่ะ

“พี่ที่ไหนจะมองมึงตาเชื่อมขนาดนั้น”

ตี๋ตาโตก่อนจะตอบเสียงสูง “กูจะไปรู้เขาเรอะ!”

“มีพิรุธจริง ๆ ด้วย” กลอยเป็นฝ่ายพูดบ้างหลังจากที่สังเกตการณ์มาพักหนึ่ง

“ตรงไหน” คนโดนกล่าวหาหันไปถามทันที

“ก็...ปกติมึงไม่ใช่คนแบบนี้นี่หว่า ทุกทีมึงจะไม่พูดแถไปมาแบบนี้”

เจ้าตัวรู้สึกเหมือนโดนเพื่อนกระโดดถีบเข้ากลางหน้า ก็อย่างที่กลอยว่า ปกติแล้วเขาเป็นคนที่พูดตรง ไม่ค่อยมีอะไรในใจซักเท่าไหร่ แต่ถ้าเรื่องอะไรที่ไม่คิดจะพูดก็ไม่พูดเลย ให้ง้างปากเท่าไหรก็ไม่ปริปาก

ยกเว้น...ถ้ามันมีอะไรที่อยากจะพูด แต่มันพูดไม่ได้ เขาก็จะแสดงอาการออกมาแบบนี้ อย่างที่กลอยเรียกว่าแถนั่นล่ะ

“โอเค กูยอมพวกมึง” ตี๋มีสีหน้าหน้าเซ็ง ในขณะที่เพื่อนทั้งสองรอฟังว่าเขาจะพูดอะไร ยิ่งไอ้ภาคเพื่อนตัวดีขี้เสือกนี่หูผึ่งเต็มที่ เขาหันไปมองค้อนมันด้วยความหงุดหงิด มันกลับฉีกยิ้มใส่จนเขาอยากจะตบหัวมันสักฉาด

“พี่เขาไม่ได้เป็นอะไรกับกูทั้งนั้นแหละ” ตี๋พูดความจริง

...ซึ่งก็ไม่ใช่ทั้งหมด

“แล้ว...” ภาคคาดคั้นต่อ เขาไม่เชื่อว่านั่นคือทั้งหมด มันต้องมีอะไรที่เพื่อนของเขามันยังไม่พูดอีกแน่นอน

“แล้วห่าอะไร” ตี๋หันไปพาลใส่ไอ้เพื่อนตัวดีที่เป็นตัวต้นเรื่องทำให้เขาต้องมาเผชิญหน้ากับอะไรแบบนี้

เจ้าตัวยกยิ้มมุมปากก่อนจะบอก “พี่เขาจีบมึงว่างั้นเหอะ”

“เสือก! รู้ดี!” ตี๋แว๊ดเข้าให้ เพื่อนทั้งสองคนนั่งหัวเราะปฏิกิริยาน่ารัก ๆ ของตี๋ที่เขาทั้งคู่ไม่เคยเห็นมาก่อน

“แสดงว่าจริงน่ะสิ?” กลอยถามด้วยความตื่นเต้น เพราะตั้งแต่คบกันมาเขาไม่เคยเห็นใครเข้ามาจีบเพื่อนของเขามาก่อนเลย

คนโดนถามถอนหายใจก่อนจะตอบ “อืม จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

“แต่ที่เด็ดกว่านั้นนะมึง” ภาคหันไปสะกิดกลอย “พี่คนนี้เขาเป็นผู้ชายโว้ย”

คนที่เพิ่งรู้ความจริงอีกข้อหันมาหาตี๋ด้วยหน้าตาตกตะลึง ตาโต ปากอ้าหวอมาก่อนที่จะเปล่งเสียงออกมา “โหหหหหห!”

“ปากมากนะ ไอ้สัด!” มือขาวฟาดลงที่กลางกระบาลเพื่อนรักเน้น ๆ เต็มรัก

“ไอ้สัด เจ็บ!”

“สม! โทษฐานปากมาก”

“แล้วเขาจีบมึงมานานยัง” กลอยถามต่อด้วยความอยากรู้

“สักพัก แต่รู้จักกันมานานแล้ว ตั้งแต่กูยังเด็ก”

“อย่าบอกว่าพี่เขาชอบมึงมาตั้งแต่เด็กนะ”

ตี๋หันไปมองภาคแบบไม่ชอบใจนัก ที่มันดันรู้ดีไปเสียทุกเรื่อง ราวกับว่ามันมีญาณทิพย์มาตั้งแต่เกิด แล้วที่พูดก็ดันถูกซะอีก มันเลยทำให้เขาทั้งหงุดหงิดทั้งเขินที่จะตอบเรื่องพรรคนี้ของตัวเองด้วย

“เสือก เรื่องตัวเองน่ะหัดรู้บ้างนะมึงน่ะ”

ภาคยักไหล่หาได้แคร์กับคำด่าของตี๋

“วันหลังพามาให้กูเห็นหน้าบ้างสิ”

ตี๋เหลือบตามองกลอยหน้านิ่ง ไม่เข้าใจว่าเรื่องอะไรถึงจะต้องพามาให้มันเห็นหน้าด้วย ตาชั้นเดียวกระพริบปริบ ๆ ไม่รู้จะโต้ตอบยังไงดี โชคเข้าข้างที่พวกเขาจะต้องเข้าเรียนพอดี เลยทำให้ต้องจบประเด็นนี้ไป




++++++++++




“เย็นนี้ไปกินไรกันดีวะ” ตี๋ถามตอนที่กำลังเดินออกจากห้องเรียน ในเวลาบ่ายสามนิด ๆ โชคดีที่วันนี้เลิกเรียนเร็ว เลยมีเวลาไปเดินเล่นหาอะไรกินกัน

“กูอยากกินชาบูว่ะ ไม่ได้กินมานานแล้ว” กลอยบอก

“ดี กูกำลังหิว” ภาคลูบท้องตัวเอง ถึงมันจะผ่านมื้อเที่ยงมาแค่สามชั่วโมง แต่น้ำย่อยเขามันก็เริ่มทำงานอีกแล้ว

“งั้นไปกินที่ร้านxxxกันดีกว่า” กลอยเสนอ

“เออ” ตี๋ตอบรับ พอดีกับโทรศัพท์ของเจ้าตัวสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง เขาหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเอสเป็นคนโทรเข้ามา

“ขอกูรับโทรศัพท์ก่อน” ตี๋เดินออกไปคุยโทรศัพท์อีกทาง “ฮัลโหล”

(เลิกเรียนหรือยัง?) ปลายสายถามน้ำเสียงดูอารมณ์ดีจนตี๋เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“เลิกแล้ว กำลังจะไปหาอะไรกินกับเพื่อน”

(อ่าว)

“อย่าบอกว่ามารับตี๋นะ?” เขาถามกลับทันทีที่อีกฝ่ายอุทานออกมา

(จอดรถอยู่หน้าคณะแล้วเนี่ย) เอสบอก ส่วนเรื่องที่ว่าตี๋เรียนอยู่ที่ไหน เรียนวันไหนบ้างและเลิกเรียนตอนไหน เขาจดไว้เรียบร้อย

“วันนี้จะมาก็ไม่บอกล่วงหน้า”

(โทษที พอดีวันนี้พี่ไปบริษัทมาน่ะ)

“รออยู่นั่นแหละ เดี๋ยวตี๋ลงไปหา”

(ครับ)

เขากดวางก่อนจะเดินกลับมาหาเพื่อนทั้งสองคนที่รออยู่ มีลางว่าความปรารถนาของพวกมันจะเป็นจริง..อะไรมันจะเร็วขนาดนี้

“โทษที กูไปด้วยไม่ได้แล้วว่ะ”

“อ้าว?” กลอยร้อง

“พอดีพี่มารับ มาถึงแล้วด้วย”

“งั้นพวกกูขอติดรถไปด้วยละกัน” ภาคบอกยิ้ม ๆ เจ้าตัวนึกว่าคนที่มารับคงจะเป็นเฮียเฟย ไหน ๆ ทางกลับก็ต้องผ่านหน้าห้างอยู่แล้ว สบายไป จะได้ไม่ต้องเดินให้เมื่อยแถมอากาศยังร้อนอีก

“เอ่อ...” เขาอยากจะปฏิเสธ แต่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงดีให้มันถนอมน้ำใจและดูไม่มีพิรุธที่สุด ไอ้พี่เอสนี่ยังไง มาไวเหมือนรู้ว่ามีคนรออยากจะเห็นหน้า

“ทำไม? มีปัญหา?” ภาคย้อนถามท่าทางกวน ๆ

“เปล่า ไม่มีอะไรนี่”

ช่างแม่ง เป็นไงเป็นกันวะ...เจ้าตัวคิด ก่อนจะก้าวขาเดินนำเพื่อนออกไป

เดินออกมาพ้นตัวตึกก็เจอกับเจ้าตัว(ปัญหา)พอดี เจ้าตัวยืนรออยู่อย่างเด่น ตี๋ที่เดินนำเพื่อนทั้งสองคนอยู่ไม่เห็นว่าพวกมันทำหน้ายังไงที่เห็นว่าคนมารอรับไม่ได้เป็นคนเดียวกับที่คาดเอาไว้

คนสายตาไวอย่างภาคพอเห็นผู้ชายหน้าหล่อที่ได้เจอเมื่อวานก็รีบเอาศอกกระทุ้งสีข้างกลอยเบา ๆ เป็นการสะกิด ตอนแรกคนโดนสะกิดก็โมโหเป็นธรรมดาเพราะมันเจ็บ พอกำลังจะหันมาด่าก็เห็นภาคชี้โบ้ชี้เบ้ให้ดูข้างหน้า

“เหี้ยอะไรของมึงวะ” กลอยพึมพำเมื่อหันไปมองก็ไม่เห็นมีอะไรนี่หว่า

“พี่ที่จีบไอ้ตี๋มารับโว้ย” อีกฝ่ายส่งเสียกระซิบแม้จะเห็นว่าตี๋เดินห่างออกไปจนจะถึงเจ้าของรถอยู่แล้ว แต่ก็เพราะมีหลายคนเดินออกมาจากตึกพร้อมกัน เขาเองก็ไม่ได้อยากจะป่าวประกาศเรื่องของเพื่อนตัวเองให้คนอื่นรู้นักหรอก ถ้ามันไม่ได้อนุญาตน่ะนะ

“หล่อนี่หว่า”

“ก็เออสิวะ แล้วเช้าถึงเย็นถึงขนาดนี้” ภาคส่ายหน้า “ไอ้ตี๋เสร็จพี่แกแน่”

“พวกมึงสองตัวน่ะ! จะไปกันไหม?” ตี๋ตะโกนถามเพื่อนสองตัวที่ยืนกระซิบกระซาบกันอยู่ เขารู้ว่าพวกมันต้องคุยเรื่องของเขาอย่างแน่นอน พวกมันไม่พลาดหรอก

“ไปจ้าาาา” ทั้งสองคนประสานเสียงพร้อมกันแล้วรีบวิ่งไปที่รถทันทีเพราะกลัวจะพลาดที่จะได้ทำความรู้จัก(ว่าที่)แฟนของเพื่อนตัวเอง

“นี่ไอ้กลอย นั่นไอ้ภาคตัวเดิม” ตี๋บอกกับเอสที่ยืนยิ้มรับเพื่อนของเขา

วันนี้เอสเข้าไปคุยเรื่องย้ายงานที่บริษัทมา เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวที่พับแขนเอาไว้กับกางเกงสแล็ค ทรงผมเซ็ทให้เข้าที่มาอย่างดี ด้วยความที่หน้าตาดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งแต่งตัวดีมันก็เลยยิ่งขับให้ดูหล่อมากขึ้นไปอีก พอบวกรวมกับบุคลิกที่ดี ก็ทำเอาสาว ๆ ในคณะ (รวมถึงหนุ่มด้วย) มองด้วยความสนใจกันใหญ่

“สวัสดีครับ/หวัดดีครับ”

เอสรับไหว้หน้าตายิ้มแย้ม “สวัสดี พี่ชื่อเอสนะ”

“ไปๆ รีบขึ้นรถ กูร้อน” ตี๋ตัดบทเพราะเห็นไอ้เพื่อนสองตัวของเขาจ้องหน้าอีกฝ่ายซะตัวแทบพรุน ก่อนที่จะเกิดบทสนทนาอะไรที่จะเข้าตัวเขาไปมากกว่านี้ เลยต้องชิ่งพูดก่อนคนแรก และเขาก็ร้อนไม่รู้จะยืนให้แดดมันแยงหัวทำไม

“เดี๋ยวพี่ไปแวะส่งพวกมันที่xxxให้หน่อยนะ”

“ได้สิ”

“แล้ววันนี้ที่บ้านมีอะไรกินบ้างอ่ะ?” เจ้าตัวลูบท้องไปมา ยามนึกถึงกับข้าวฝีมือที่คนด้านข้างทำก็พาลทำให้ท้องหิวขึ้นมา อาหารฝีมือของเอสนับว่ารสชาติถูกปากเขาเป็นรองจากฝีมือม๊าแค่นั้นเอง

“พี่ยังไม่ได้คิดเลย เราอยากกินอะไรไหม?”

“ตี๋อยาก..”

“โอ๊ยยยยย นี่คู่ข้าวใหม่ปลามันหรือยังไงคร้าบ” ภาคส่งเสียงกวนประสาทดังขึ้นมาขัดการสนทนาของทั้งสองคนที่เบาะหน้าด้วยความหมันไส้ส่วนตัว เท่าที่ดูมันก็โอเคกับพี่เขามาก ๆ จนดูเหมือนเป็นสามีภรรยากันแล้วด้วยซ้ำ ตั้งแต่ที่คบกันมาเขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตี๋มันจะโอเคกับการคบผู้ชายด้วยกันได้ ถึงมันจะไม่เคยมีแฟนให้เห็นก็ตาม

“ปลามันพ่อมึงสิ” ตี๋ด่ากลบอาการเขินที่โดนแซว ส่วนคนที่นั่งข้าง ๆ กันก็ได้แต่ยิ้มขำ

“พี่จีบตี๋มานานยังอ่ะ?” กลอยเริ่มถามคนแรก

“เชี่ยกลอย”

“มึงอย่าขัด” ภาคที่นั่งอยู่ด้านหลังเบาะของตี๋เอื้อมมือทั้งสองข้างไปปิดปากเพื่อนรักกดมันลงกับเบาะ

“ถ้าจีบจริงจังก็ประมาณเกือบเดือนแล้วครับ”

“นี่รู้จักกันมานานแล้วจริงเหรอเนี่ย โอ๊ย !” ภาคร้องเพราะโดนกัดมือ

“สมควร!” ตี๋ว่า

“พี่รู้จักตี๋มาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว แต่เพิ่งจะกลับมาเจอกันได้แค่เดือนเดียวเอง”

“อ้าว แล้วพี่หายไปไหนมาอ่ะ?”

“นี่พวกมึงสองตัวจะเสือกให้ได้ทุกเรื่องเลยเหรอวะห๊ะ” ตี๋โวยวายด่าเพื่อนขี้เสือกของตัวเอง

“ฮะ ๆๆ ไม่เป็นไร” เอสบอกกับตี๋ “พอดีพี่ย้ายบ้านตามแม่ไปอีกจังหวัด ก็เลยไม่ได้เจอตี๋เลยมาเกือบจะสิบปีน่ะ”

“โห” กลอยทำปากเป็นรูปตัวโอ “อย่าบอกนะว่าพี่เล็งมันมาตั้งแต่เด็กแล้วอ่ะ”

“ก็...” เอสลากเสียง ลังเลว่าจะตอบดีไหม “ประมาณนั้น”

“เหยดดดดดดด” ทั้งภาคและกลอยส่งเสียงร้องด้วยความอึ้ง พวกเขาไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะมีอยู่ในโลก และคนแบบนี้จะมีอยู่บนโลกด้วยซ้ำ ประเภทรักแรก รักเดียว หรือรักสุดท้าย มันทำให้พวกเขาอยากจะรอดูว่าความรักของเพื่อนเขาครั้งนี้ มันจะเป็นรักแบบไหนกันแน่

แต่เขาก็หวังจะให้เพื่อนคนสำคัญของพวกเขา มีความสุขมากกว่าความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนมันก็ไม่ได้สำคัญ ที่สำคัญคือคนคนนี้จะเป็นคนดีพอที่จะทำให้เพื่อนของเขากลายเป็นคนที่โชคดีเจอรักที่ดี ๆ ได้หรือเปล่านั่นแหละที่สำคัญ




++++++++++




“ขอบคุณมากนะครับที่มาส่ง” ทั้งคู่ยกมือไหว้เอสที่วนรถขึ้นมาส่งถึงบนตึกแล้วถึงจะหันไปบอกลาเพื่อนรักแล้วลงจากรถไป

ตอนที่ขับรถทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก เป็นเพราะตี๋ยังคงอายเรื่องที่เอสพูดจนทำให้เพื่อนทั้งสองคนของเขาแซวไม่ขาดปาก และดูท่าคงมีเรื่องให้พวกมันขุดขึ้นมาทำให้เขาอายได้อีกนาน

“สรุปวันนี้เราอยากกินอะไรเหรอ?” เอสเป็นฝ่ายชวนคุยก่อน

เจ้าตัวหยุดคิดก่อนจะตอบว่า “อะไรก็ได้ พี่ทำอะไรตี๋ก็กินได้หมดแหละ”

“ปากหวานนะ” เขาพูดพลางยื่นมือไปโยกหัวของตี๋ไปมาด้วยความเอ็นดู

“แต่ช่วงนี้ไปกินข้าวบ้านพี่บ่อย ม๊าแซวเลยว่าจะย้ายสำมะโนครัวไปอยู่บ้านพี่เลยดีมั้ย”

“ก็ตอบม๊าไปเลยสิว่าย้าย”

ตี๋เหลือบไปมองคนพูด “พูดอะไรตลก”

เอสยิ้มขำ “ก็พี่อยากอยู่กับตี๋ทุกวันเลยนี่น้า”

“ไม่ได้เป็นอะไรกันจะไปอยู่ด้วยกันได้ไงเล่า!” ตี๋พูดขึ้นเสียงดังกับใบหน้าแดง ๆ ด้วยความเขินที่อีกฝ่ายพูดเหมือนกับอ้อนอยากจะให้เขาย้ายไปอยู่ด้วยกัน

“แล้วเมื่อไหรจะยอมเป็น ‘อะไร’ กับพี่ล่ะ”

ตี๋ไม่กล้าย้อนว่า ‘แล้วอยากให้เป็นอะไรด้วยล่ะ’ ถ้าอีกฝ่ายขอกันตรง ๆ เขาจะตอบยังไงดี เขากลัวว่าตัวเองจะไม่กล้าปฏิเสธออกไป เพราะในความเป็นจริงแล้วหัวใจของเขามันไม่เคยสู้คนตรงหน้าได้เลย แต่ด้วยความที่ตั้งใจเอาไว้ว่าอยากจะเป็นแค่พี่น้อง เลยได้แต่นั่งเงียบอยู่อย่างนั้น

จนเป็นเอสเองที่ทนไม่ได้ ทั้งที่ก็รู้ว่าเรื่องพวกนี้มันต้องใช้เวลา มันรีบร้อนไม่ได้ แต่เขาทนรอไปนานกว่านี้อีกไม่ไหว บวกกับอารมณ์ที่มันยังคั่งค้างอยู่ตั้งแต่เมื่อวานนี้ เขาอยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับเขา เพราะถ้ามันไม่มีโอกาสพัฒนาเลย เขาจะได้หยุดทุกอย่าง ก่อนที่จะเป็นตัวเขาเองที่ถลำลึกไปมากกว่านี้ และมันจะทำให้เขาเจ็บตัวเปล่า ๆ

“พี่ถามอะไรหน่อยสิ?” เอสจอดรถเข้าข้างทางเพื่อที่จะคุยกับอีกฝ่ายได้ถนัด

ตี๋หันหน้าไปมองอย่างสงสัยที่อีกฝ่ายจู่ ๆ ก็เปลี่ยนท่าทีกะทันหันแบบนี้

“อะไรเหรอ?” ตี๋ย้อนถาม น่าแปลกที่พอเห็นหน้าของอีกฝ่ายก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง ริมฝีปากแห้งผากจนต้องเม้มปากแล้วเลียมันด้วยความประหม่า

“ตอนนี้ตี๋คิดยังไงกับพี่?”

“...”

“มีโอกาสซักนิดบ้างหรือเปล่าที่เรา...จะชอบพี่”

“...” ตี๋เงียบ ใบหน้านิ่งสายตายังคงจ้องอีกฝ่ายที่ถามคำถามเขา ตี๋รู้ว่าวันแบบนี้คงมาถึงซักวัน ไม่ช้าก็เร็ว แต่ก็ไม่คิดว่าอีกคนจะใจร้อนแบบนี้

“ถ้ามันไม่มี แม้แต่นิดเดียว พี่จะได้...”

“เดี๋ยว!” ตี๋ขัดขึ้นก่อนที่เอสจะได้พูดจบ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร ทั้งที่เขาควรจะรู้สึกดี แต่ไม่รู้ทำไมเพียงแค่คิด..ใจมันถึงร้อนรุ่ม เขาไม่รู้เลยว่าทำไมตัวเองถึงทำอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ได้ ทั้งที่ควรจะยินดีที่อีกคนจะตัดใจจากเขา แล้วก็กลับไปเป็นพี่น้องธรรมดา

...แต่ลึก ๆ แล้วเขากลัวว่าถ้าเขาปฏิเสธไป

แม้กระทั้งความเป็นพี่น้อง...ก็จะไม่มีหลงเหลือ

เขาจะเห็นแก่ตัวเกินไปไหม ที่ไม่ตอบรับความรู้สึก แต่ก็ยังอยากจะมีอีกฝ่ายอยู่เคียงข้าง

“...”

“พี่จะตัดใจง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ?”

“ก็ถ้า..”

“พี่จะเลิกชอบตี๋ได้ง่าย ๆ เลยเหรอ?” เขาไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสพูด หัวใจในอกเต้นระรัว

เอสชะงัก สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับอารมณ์ที่กรุ่นอยู่ข้างใน “ไม่ มันไม่ง่ายแบบนั้น”

“แล้วพี่จะ...”

“ตี๋ไม่เข้าใจหรอก” เขาพูดขัดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวแบบที่อีกคนไม่เคยเห็นมาก่อน

ตี๋ชะงักไปชั่วครู่ “ถ้าพี่อยากให้ตี๋เข้าใจ พี่ก็พูดสิวะ! ว่าพี่ต้องการอะไร?  ไม่ใช่ทำท่าจะหนีปัญหาแบบนี้!”

พอตี๋เป็นฝ่ายที่อารมณ์ขึ้นบ้าง เหมือนเขาย้อนกลับไปในอดีตที่เห็นป๊ากับแม่ทะเลาะกัน ต่างฝ่ายต่างก็สาดอารมณ์ที่รุนแรงใส่กัน เรื่องนี้มันทำให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเองว่า เมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแรงมา ห้ามซัดกลับด้วยความรุนแรงเหมือนกัน...เพราะมันจะทำให้ทุกอย่างพังทลายลง

สิ่งที่ผ่านมานี้มันเลยทำให้เขาหลีกเลี่ยงที่จะมีปัญหากับคนอื่นมาตลอด เพราะเขารู้ว่ามันไม่เป็นผลดี คราวนี้ก็เช่นกัน เขารู้ว่าตี๋เริ่มอารมณ์ไม่ดี เขาก็ควรจะเป็นคนที่จะสงบสติอารมณ์ของตัวเองให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วคงคุยกันไม่รู้เรื่อง เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ก่อนจะถอนหายใจออกมายาว ๆ เพื่อจะพูดสิ่งที่อีกฝ่ายอยากรู้

“พี่ก็แค่ไม่อยากจะเจ็บปวดอีก พี่ไม่อยากถลำลึกไปมากกว่านี้ เพราะพี่ไม่รู้ว่าตี๋คิดยังไงกับพี่กันแน่ ถ้ามันไม่มีโอกาส..มันไม่มีทางเป็นไปได้ พี่จะได้จบมันซะ ก่อนที่ตัวพี่เองจะแย่..พี่ขอร้องเถอะ”

ตี๋พยายามใจเย็นลงเพื่อตั้งใจฟังที่อีกฝ่ายสื่อออกมา ฟังและคิดอย่างหนักว่าเขาจะทำยังไงกับความรู้สึกบิดเบี้ยวของตัวเองยามที่ฟังคำขอร้องของอีกฝ่ายดี เขาต้องตัดสินใจ...

แต่อีกฝ่ายก็ให้เวลาเขาน้อยซะเหลือเกิน

“พี่ฟังตี๋ให้ดี ๆ นะ”





TBC...


ได้โปรดเอ็นดูน้องตี๋ของเราด้วย  :hao7:

เชื่อเราสิว่าเรื่องนี้ไม่ดราม่าจริง ๆ นะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.6 [up:29/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 30-04-2018 00:38:21
ตัดชึ๊บเลยยยยย งืออออ น้องตี๋ อย่าทำร้ายจิตใจเฮียเอสน้า :sad4:

เฮียออกจะดี เช้าถึงเย็นถึง ทำกับข้าวเป็น พ่อบ้านพ่อเรือน เปิดใจรับเฮียหน่อยลูกกกก :hao5:

รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.6 [up:29/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-04-2018 06:34:45
 :เฮ้อ: พี่เอสต้องใจเย็นๆ ตี๋ยังงงๆอยู่

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.7 [up:03/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 03-05-2018 12:48:44
7


“ฟังแล้วจำด้วยนะ จะได้เลิกคิดอะไรบ้าบอสักที”

ตี๋กัดฟันพูดด้วยความหงุดหงิด ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาคิดหรือรู้สึกยังไง ยังคิดเองเออเองเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้ แล้วถ้าเกิดเขาไม่รักไม่ชอบขึ้นมาจริง ๆ พี่เอสมันจะเป็นขนาดไหนเนี่ย

...ช่างพี่น้องห่าเหวอะไรนั่นแล้วโว้ย!

“พูดตามตรงนะ ตี๋ชอบที่เราเป็นกันอยู่ทุกวันนี้มาก” เขาเอื้อมไปจับมือที่ใหญ่กว่าของเอส “ชอบที่พี่กุมมือแบบนี้ ชอบที่พี่ลูบหัว และถึงตี๋จะไม่ได้สระผมมาสามวันพี่ก็ยังดมได้ แม่ง..โคตรใจเลยว่ะ นอนกับพี่ก็ดีนะ ถึงพี่จะมือไวไปหน่อยก็เถอะ ชอบที่เวลาพี่ยิ้มและหัวเราะให้ตี๋ ยิ้ม...ที่มันไม่เหมือนกับที่พี่ให้คนอื่น เพราะยิ้มแบบนั้นมันดูจอมปลอมมากเลยว่ะ แล้วก็กับข้าวของพี่อร่อยมากเลย ตี๋ชอบนะ แต่เป็นอันดับสองรองจากกับข้าวของม๊าอ่ะ ชอบที่พี่ยอมตี๋ทุกอย่าง ถึงแม้จะเอาแต่ใจมากก็ตาม”

เจ้าตัวหยุดหายใจ “แล้วยังยอมเลิกบุหรี่ให้ด้วย แค่นี้แหละ...พอใจยัง”

เอสเผยยิ้มบางออกมาหลังจากที่ฟังอีกฝ่ายพูดคำว่าชอบเสียยาวเหยียดด้วยสีหน้าหาเรื่องจนจบ ทั้งที่เป็นคนไม่ค่อยพูด...แต่เพื่อเขาอีกฝ่ายกลับยอมพูดมากเป็นพิเศษ เขากดจูบที่หลังมือขาวก่อนจะพูดว่า “ยังไม่พอเลย”

“โลภมากฉิบหายเลยว่ะ” คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากัน

“รู้ไหม..พออยู่กับตี๋ทีไร พี่ก็กลายเป็นคนโลภมากทุกครั้งเลย เวลาที่ได้หอมแก้ม พี่กลับอยากจูบ เวลาที่ได้กอด พี่ก็อยากจะทำมากกว่ากอดซะด้วยซ้ำ พี่อยากให้ตี๋รักพี่..อยากได้พี่เป็นของตัวเองบ้าง” เอสเว้นวรรค ยิ้มบาง ๆ ให้คนที่นั่งฟังตาแป๋ว ก่อนจะถอนหายใจออกมาสั้น ๆ “รังเกียจหรือเปล่าที่พี่เป็นแบบนี้?”

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดความในใจออกมามากขนาดนี้ เขาก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไรเด็กคนนี้จึงเป็นคนเดียวที่ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาเสมอ ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน

ตัวจริง...ที่มันทั้งน่าเกลียดและเห็นแก่ตัว อาจจะเป็นเพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนใจดี เลยเอาจุดนี้ของตี๋มาใช้ล่ะมั้ง แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาเองก็คงไม่อาจทนอยู่กับอีกฝ่าย...ที่ไม่สามารถรักเขาได้ และถ้าตี๋จะต้องทนอยู่กับเขาเพราะว่าความสงสาร ไม่ช้าก็เร็วก็เป็นตัวเขาเองนี่แหละจะเป็นฝ่ายไปเอง

“ไม่นิ ก็บอกแล้วว่าชอบ ไม่ได้เข้าหัวสมองเลยรึไงเนี่ย”

“จริงอะ”

“ก็จริงดิ”

“จริง ๆ นะ”

“เออออ!”

เอสไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ยิ้มบาง “งั้นพี่ขอจูบเราหน่อยได้ไหม?”

คนตัวใหญ่กว่าไม่พูดเปล่า เขาใช้มือคว้าต้นคอของตี๋เข้ามาประชิดหมายจะประทับจูบลงไปทั้งที่เจ้าของปากยังไม่ได้อนุญาต แต่มือของตี๋กลับไวกว่ายกขึ้นมาปิดปากคนฉวยโอกาสไว้ได้ทันพร้อมกับร้องเฮ้ยออกมาลั่น

“ยังไม่ได้อนุญาตเลยโว้ย!”

“เอ้า”

“จะมาเอ้าทำไม จูบนี่ไว้เป็นแฟนก่อน ค่อยทำละกัน”

“อ้าว” เอสทำหน้าเหลอหลา “นี่เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันเหรอ?”

“ใครขอกันวะ!”

“ก็เห็นบอกว่าชอบ ไม่นึกว่าจะต้องขอด้วย ทั้งที่ก็ใจตรงกันแล้วนี่”

“อย่ามาเนียนว้อย ถ้าไม่ได้เป็นอะไรกันก็ห้าม!”

“งั้น เป็นแฟนพี่นะ” เอสชูนิ้วก้อยขึ้นตรงหน้าอีกฝ่าย กระดิกมันไปมาหมายจะหยอกให้อีกคนหายหงุดหงิด

คนเด็กกว่าทำปากคว่ำใส่ก่อนจะพูดเสียงลั่น “ไม่โว้ย!”

“งอนอะไรพี่อีกล่ะเนี่ย” เขาถามงง ๆ เมื่อกี้ยังโกรธเรื่องไม่ขอเป็นแฟนอยู่เลย แล้วพอขอทำไมถึงปฏิเสธล่ะ

“ขับรถกลับบ้านได้แล้ว”

“ตอบพี่มาก่อนสิว่างอนอะไร”

ตี๋ตวัดสายตามองฉับ ยิ่งตาชั้นเดียวยิ่งคมกริบราวกับโดนมีดแทง

“มีที่ไหน ต้องให้เตือนสติว่าต้องเป็นแฟนกันก่อนถึงจะจูบได้ นี่ถ้าไม่พูดก็คงไม่ของั้นสิ” ตี๋โวยวายเสียงลั่นรถ

“โอ๋ ๆ พี่ขอโทษนะครับ”

“คิดว่าแค่ขอโทษแล้วจะหายเหรอวะ ห๊า!” เขาหันไปแหกตาใส่อีกฝ่าย

เอสที่กำลังพยายามกลั้นขำก็หลุดหัวเราะออกมา พอเป็นแบบนี้ตี๋ก็ยิ่งแหกตาใส่เขาเข้าไปอีก แต่เขาไม่ได้ตั้งใจนี่นา

“ตี๋อยากให้พี่ทำอะไร พี่ทำให้หมดเลยนะ คนดี” เอสยื่นมือไปลูบหัวของตี๋อย่างแผ่วเบาพร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

เพียงแค่นี้หัวใจของตี๋...ก็อ่อนยวบ

...เกลียดตัวเองชะมัด...

เกลียดที่ตัวเองไม่สามารถโกรธอีกฝ่ายได้อย่างจริงจังเลยสักครั้ง  เกลียดที่ตัวเองใจอ่อน เกลียดที่ปฏิเสธคนตรงหน้าไม่ได้

เกลียดที่เขาแพ้ทางคนตรงหน้านี้เสมอ...

“งั้นช่วยขับรถกลับบ้านเดี๋ยวนี้”

“โถ่”

“แล้วที่จริง..ตี๋ก็ไม่ได้งอนด้วย”

จากที่หน้าเหี่ยว ๆ พอคนน้องบอกว่าไม่ได้งอนก็พลันหน้าบานขึ้นมาทันควัน เจ้าตัวหันไปขับรถเลี้ยวเข้าซอยบ้านด้วยท่าทีอารมณ์ดี ซึ่งมันแตกต่างจากเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้ลิบลับจนตี๋อยากจะหัวเราะออกมาด้วยความตลกในท่าทางเหมือนเด็กของคนพี่ที่นาน ๆ จะได้เห็นซักที

“แล้วนี่จะมากินข้าวเย็นที่บ้านพี่หรือเปล่า?” เอสถามหลังจากที่ลงจากรถเรียบร้อยแล้ว เห็นตี๋มีท่าทีลังเลใจอยู่สักพัก จนเขาตั้งใจที่จะบอกว่าไม่เป็นไรอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ชิงพูดก่อน

“เดี๋ยวมา ขอไปบอกม๊าก่อน”

เอสยิ้มบางก่อนจะบอก “พี่จะรอนะ”

ตี๋โบกมือไหว ๆ เป็นคำตอบก่อนจะเดินออกไปด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ จู่ ๆ ก็รู้สึกเขินขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุกับคำว่าจะรอของอีกฝ่าย ส่วนเรื่องที่เขาบอกไปว่าชอบนั้นมันคือเรื่องจริงไม่ได้โกหกแต่อย่างใด..แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าคำว่าชอบของเขากับอีกคนนั้นมันเหมือนกันหรือแตกต่างกันตรงไหน

ตอนนี้เขากำลังคิดว่าจะบอกที่บ้านอย่างไรดีว่าจะมากินข้าวบ้านอื่นอีกแล้ว เอาเข้าจริง ๆ ขนาดตัวเขาเองยังคิดเลยว่ามันบ่อยจนดูผิดปกติ เพียงแต่มันไม่ได้มีการแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าเขาทั้งสองคนเป็นอะไรกัน อาจจะสนิทตามประสาพี่น้องธรรมดา

แต่ถ้าวันใดที่ป๊ากับแม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ล่ะ

...ผลที่ตามมามันจะเป็นยังไงกันนะ



------------------------------



“ม๊าทำไรอยู่เหรอ?” เขาเดินเข้ามาในครัว เพราะตอนนี้เป็นเวลาเตรียมกับข้าวมื้อเย็นของคนเป็นแม่

“ทำกับข้าวน่ะสิถามได้”

รู้ว่าตัวเองถามคำถามโง่ ๆ ออกไป แต่ก็เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดีเนี่ยแหละ เขาเองไม่ได้พูดอะไรต่อบทสนทนากับม๊าอีก ขายาวก้าวเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้กับโต๊ะเตรียมวัตถุดิบเงียบ ๆ เพื่อที่จะหาจังหวะบอกว่ามื้อเย็นนี้ไม่ต้องเตรียมในส่วนของตนเอง แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มตอนไหนดี

“มีอะไรรึเปล่า หื้ม?” พอเห็นลูกชายคนเล็กเงียบไปก็อดสงสัยไม่ได้ เลยเอ่ยปากถามออกไป

“คือ...เย็นนี้ตี๋ไปกินข้าวบ้านพี่เอสนะม๊า” ตอบเสียงอ่อยด้วยความเกรงใจ

“เอาสิ เดี๋ยวเอาต้มผักกาดดองที่ม๊าเคี่ยวเอาไว้ไปฝากด้วยละกัน อยู่กันแค่สองคนคงเหงาแย่ ตี๋ก็เป็นเด็กดีอย่าไปกวนพี่เขานะ รู้ไหม”

ตี๋มองม๊าตาปริบ ๆ ก่อนจะพูดหน้างอง้ำ “ตี๋ไม่เคยไปกวนเขานะ...มีแต่พี่เอสต่างหากที่กวน” แล้วพอถึงปลายประโยคจึงลดเสียงพูดในคองึมงำเพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน

คนเป็นแม่ก็ได้แต่ยิ้มขำลูกชายของตัวเอง เธอมีลูกชายสองคนที่มีหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ แต่ถ้าพูดถึงนิสัยแล้ว ทั้งคู่มีนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ลูกชายคนเล็กของเธอเป็นคนใจดี ใจอ่อน และขี้สงสาร ไม่ชอบมีเรื่องกับใคร อะไรยอมได้ก็ยอม นิสัยแบบนี้ของตี๋นั้นทำให้เธอเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย กลัวว่าถ้าไปเจอคนไม่ดีจะโดนเอาเปรียบได้ แต่ก็ยังดีที่ตี๋นั้นเป็นคนเข้ากับคนยากก็ทำให้เธอหายห่วงไปบ้าง

“กลับมาสนิทกันเหมือนเมื่อก่อนแล้วเหรอ?”

คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยเพราะไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี เพราะจะตอบว่าไม่ใช่มันก็ดูเหมือนโกหก “ตี๋ว่ามันก็ไม่เท่าเก่านะ”

...จริง ๆ เรียกว่าไม่เหมือนเก่าน่าจะเหมาะกว่า...

“เดี๋ยวถ้าเอสเขาได้กลับมาอยู่ที่นี่ก็สนิทกันเหมือนเดิมแหละ” คนเป็นแม่พูดยิ้มบาง เตรียมกับข้าวไม่หยุดมือ

ลูกชายคนเล็กขยับเก้าอี้มานั่งเท้าคางมองแม่ตัวเองด้วยท่าทีเหม่อลอยเพราะสมองมันดันคิดอะไรไปเรื่อย ความกังวลและสับสนมากมายในหัวทำให้เขาไม่รู้ว่าจะคิดเรื่องไหนก่อนดี แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดมันออกไป อย่างน้อยก็ยังไม่อยากจะพูดอะไรในตอนนี้ รอให้อะไร ๆ มันชัดเจนมากกว่านี้ดีกว่า ถึงเวลานั้นแล้วค่อยว่ากันอีกที ระหว่างที่กำลังรอเขาก็ไลน์ไปบอกอีกฝ่ายไว้แล้วว่าไม่ต้องทำเยอะเพราะม๊าฝากกับข้าวไปให้หลายอย่าง

พอกลับไปอีกครั้งอีกฝ่ายเห็นเขาก็ถามว่าทำไมมาทั้งชุดนักศึกษาด้วยใบหน้างุนงง เขาก็ตอบไปตามตรงว่าไม่ได้คิดจะมานอนค้างเลยไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนชุดมา

“ไอ้เราก็อยากจะให้ค้างด้วยแท้ ๆ” เอสทำปากยู่

“พอเลยมึง กูนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ทั้งคน”

ตี๋ที่กำลังจะอ้าปากว่าก็ต้องหุบปากฉับ เพราะถ้าขืนพูดอะไรออกไป สงสัยจะมิวายโดนแซวจากทางป๊าพี่เอสอีกแน่นอน เลยเลือกที่จะนั่งกินไปเงียบ ๆ ดีกว่า ฟากเอสเห็นแบบนี้ก็หันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้เขาก่อนจะเริ่มลงมือกินข้าวบ้าง

“กับข้าวของม๊านี่ยังอร่อยเหมือนเดิมเลยเนอะ” หลังจากตักเข้าปากไปคำแรกเจ้าตัวก็ชมเปาะ ไม่ได้ชมเพราะเอาใจอะไร นี่มันก็นานแล้วที่เขาไม่ได้กินกับข้าวฝีมือม๊าของตี๋ แต่ฝีมือกลับไม่ได้ตกลงไปเลย

“เดี๋ยวจะบอกม๊าให้นะ” ตี๋บอกแล้วยิ้มให้อีกฝ่าย รู้สึกชอบใจเมื่อมีคนชอบกับข้าวที่ม๊าของเขาทำ

“แล้วนี่เอ็งสองคนคบกันแล้วรึยัง?”

พอจบคำถามจากคนที่อาวุโสที่สุดในบ้าน ตี๋ที่กำลังซดน้ำซุปลงคอ ถึงกับสำลักไอคอกแค่ก ใบหน้าขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงกำแต่ไม่รู้ว่าเพราะเขินหรือสำลักน้ำกันแน่

“ป๊าถามอะไรเนี่ย” เอสที่วิ่งไปเอากระดาษทิชชู่มาให้คนสำลักเช็ดปากหันมาว่าอีกฝ่ายแบบไม่ได้จริงจังนัก เพราะตัวเขาเองก็ยังแอบหัวเราะไปเหมือนกัน แค่ตี๋ไม่ทันได้สังเกตแค่นั้นเอง

“กูเป็นพ่อมึงแล้วทำไมกูจะถามไม่ได้”

“แล้วทำไมไม่มาถามตอนเอสอยู่คนเดียวเล่า”

“เอ้า แล้วทำไมกูถามไม่ได้วะ”

“ก็น้องมันอาย”

ตี๋อยากจะบอกเอสว่า ‘กูอายตอนมึงพูดนี่แหละพี่’

“อ่าว เรอะ โทษที” คนสูงอายุหันไปบอกด้วยใบหน้าที่ไม่ได้มีความรู้สึกผิดใด ๆ เลยแม้แต่นิด

ตี๋แอบก่นด่าในใจ ‘กูรู้แล้วว่าไอ้พี่เอสมันได้ความกวนตีนมาจากใคร’

“ยั- ยังไม่ได้ แค่ก- คบกันครับ” ตี๋พยายามที่จะตอบออกไปแม้จะยังมีอาการสำลักอยู่ เอสหยิบน้ำขึ้นมาให้ดื่มพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวลูบหลังให้อาการดีขึ้น

ป๊าเหลือบตาหันไปมองลูกชายตัวเองก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบว่า “ไอ้ไก่อ่อนเอ๊ย”

เขาไม่ได้ว่าลูกชายตัวเองเป็นไก่อ่อนเพียงเพราะยังไม่ได้ไอ้หนูตรงหน้านี้เป็นแฟนแค่เรื่องเดียว แต่มันรวมไปถึงการเอาอกเอาใจและยอมเจ้าตี๋นี่มากซะเหลือเกิน

“เกี่ยวอะไรกันล่ะป๊า!”

“คิดเอาเอง”

คำตอบสั้น ๆ ที่ปิดประตูคำถามและคำตอบทั้งหมด เอสรู้ว่าถามอะไรออกไปคนเป็นพ่อคงไม่ตอบอีก เขาก็เลยหันมาสนใจตี๋แทน

“เป็นไงบ้าง กินข้าวต่อได้ไหม”

“ได้สิ”

“พี่กลัวว่าเราจะอ้วก เมื่อก่อนนะสำลักนิดหน่อยเราก็อ้วกแล้ว คอตื้นมากเลย”

“ตอนนี้ตี๋โตแล้วนะ” เจ้าตัวว่าคิ้วขมวด หงุดหงิดทุกครั้งที่มีคนมาทำเหมือนว่าเขายังคงเป็นเด็ก

“กินข้าวให้เสร็จกันได้แล้ว เดี๋ยวค่อยจีบกันก็ได้” คนอายุมากบอก ทั้งสองคนเลยก้มหน้ากินข้าวต่อโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันอีก เพราะเอสก็กลัวตี๋จะเขินเพราะโดนป๊าแซวไปมากกว่านี้



--------------------------



“อิ่มโคตร”

“อย่าเพิ่งนอนหลังกินข้าวสิ เดี๋ยวจะเป็นกรดไหลย้อนเอานะ” เอสว่าทันทีเมื่อตี๋ทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนของเขา

“พี่นี่พูดเหมือนป๊าตี๋เลย จะเป็นป๊าคนที่สองหรือไง” เจ้าตัวพลิกนอนตะแคงเอามือยันหัวตัวเองขึ้นมองเอสที่กำลังเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้

“ฮึ พี่ไม่ได้อยากจะเป็นป๊าเราสักหน่อย”

“ก็แล้วแต๊~~” ไม่มีวันซะหรอกที่เขาจะย้อนในประโยคที่อีกฝ่ายอยากจะได้ยิน เพราะถ้าขืนพูดออกไปมันจะเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองน่ะสิ ไม่เอาหรอก

“โธ่ ไม่เล่นกับพี่หน่อยเหรอ”

“ไม่อะ” ตอบพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ

เอสยิ้มมุมปากก่อนจะเดินตรงเข้าไปนั่งที่ริมเตียงติดกับตี๋แล้ววางมือลงบนหัวอีกฝ่ายขยี้เบา ๆ พอให้ผมยุ่งด้วยความมันเขี้ยวแล้วเปลี่ยนมาเป็นลูบผมให้เข้าทรงอย่างอ่อนโยน “ฉลาดนักนะ”

ตี๋เห็นว่าคนที่นั่งอยู่ริมเตียงไม่หยุดลูบผมเขาสักทีเลยเปลี่ยนเป็นนอนหงายแล้วยกมือขึ้นไปจับมืออีกฝ่ายมาประกบฝ่ามือของตนเองลงไป อยากรู้ว่ามือของเอสใหญ่กว่ามือของเขาขนาดไหนกันรู้สึกว่าจับหัวเขาทีนี่แทบมิดเลย

“ทำไมมือใหญ่นัก” คิ้วเรียวขมวดด้วยความขัดใจ ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ตัวก็สูงพอ ๆ กัน แต่ทำไมมือเขาถึงได้เล็กกว่าอีกฝ่ายนัก ทั้งฝ่ามือและเรียวนิ้วนี่คนละขนาดกันเลย นี่ยังไม่รวมขนาดตัวนะ

“กระดูกมันคนละเบอร์ไง” เอสว่าพร้อมกับประสานนิ้วเข้าหามือของอีกฝ่ายกุมเอาไว้แน่น

“มือพี่แม่งร้อนว่ะ” ตี๋หาข้ออ้างที่จะดึงมือออก แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อย แถมยังดึงเข้าไปจูบที่หลังมืออีกต่างหาก

“ไปขี้มายังไม่ได้ล้างมือเลยนะ”

“หึ ไม่เป็นไร พี่ไม่ได้รังเกียจ”

“พี่นี่โคตรเหี้ยเลยว่ะ” ตี๋ทำหน้าแหยงแทน

“ขอจูบได้ไหม” เขาไม่ได้สนใจคำด่าว่าของอีกฝ่าย เพราะตอนนี้อารมณ์ที่ไม่ได้ปลดปล่อยมานานมันเริ่มปะทุแล้ว ในอกมันร้อนรุ่มจนแทบจะระเบิดออกมาถ้ามันไม่ได้รับการปลดปล่อย...ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

“ห๊ะ ทะ-ทำไม”

“พี่ไม่ไหวแล้วตี๋” เขาไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดจนจบ “ก็เราเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าไม่ยอมให้พี่ไปมีใครอีก”

“ไม่ได้พูดแบบนั้นโว้ย!”

ที่เขาพูดคือไม่อยากให้อีกฝ่ายไปมีอะไรกับใครมั่วไปหมดอีก ไม่ได้หมายถึงห้ามไปมีใครสักหน่อย โคตรมั่วเลย

“หรือเราอยากให้พี่ไปมีอีก เราก็ผู้ชาย...น่าจะเข้าใจพี่นะ”

“ตี๋ไม่เข้าใจหรอก” เขาพยายามที่จะปฏิเสธอีกฝ่าย เรื่องอารมณ์หงี่เนี่ยก็พอจะเข้าใจบ้าง แต่รุนแรงขนาดนี้ อย่างเขาจะไปเข้าใจได้ยังไง

“พี่สัญญานะ” พูดพร้อมกับยกแขนทั้งสองข้างคร่อมคนข้างใต้เอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้ “พี่สัญญาว่าจะมีแค่ตี๋”

เอสแนบหน้าผากของตัวเองลงกับหน้าผากของคนข้างใต้ หลับตาลงอย่างอดกลั้นไม่ให้ตนบุ่มบ่ามทำอะไรลงไปโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ได้อนุญาต

“ขอร้องล่ะ”

ตี๋กัดปากเมื่อโดนอีกฝ่ายร้องขอ ปลายจมูกโด่งคลอเคลียอยู่กับจมูกของเขา ลมหายใจร้อนพ่นเข้าออกรุนแรงด้วยแรงอารมณ์ เขาไม่รู้ว่าเอสต้องอดกลั้นมากขนาดไหน คนที่เคยมี...ไม่ได้ขาดแบบนี้ พอขาดไปก็คงจะเหมือนกับลงแดงหรือเปล่านะ เรื่องพวกนี้เขาไม่เข้าใจหรอก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยมีอารมณ์ เวลามีเขาก็แค่ช่วยตัวเองมันก็จบ แต่อารมณ์ที่รุนแรงแบบนี้เขาไม่รู้จะช่วยอย่างไรดี ทำได้แต่เห็นใจ เพราะเขาก็เป็นฝ่ายพูดไม่ให้คนตรงหน้านี้ไปมีอะไรกับใครโดยไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเอง ส่วนถ้าจะให้ไปหาแฟน...ก็ดันจีบเขาอยู่อีก

...หงุดหงิดโว้ยยยยย...

“แค่จูบเท่านั้นนะ”

เอสเงยหน้าขึ้นมองคนข้างใต้ที่ทำหน้าหงิกแต่แก้มใสกลับแดงระเรื่อ เขายิ้มด้วยความเอ็นดูกับท่าทางน่ารักของตี๋ “ได้สิ ถ้าเราไม่ให้อย่างอื่นพี่ก็ไม่ทำ”

“จริงนะ”

“อื้ม”

พอเห็นว่าตี๋ไม่ได้ว่าอะไรอีก เอสก็เริ่มจากการลงไปหอมแก้มขาวที่มีสีชมพูอ่อนแต้มอยู่ อีกฝ่ายเป็นคนที่ผิวขาวมาก พอมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับเจ้าตัวก็จะสังเกตเห็นได้ง่าย ตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว เวลาที่น้องแก้มแดงทีไร...เขาก็จะรู้สึกว่ามันน่ารักมาก ๆ ทุกครั้ง จึงทำให้อดไม่ได้ที่จะแอบหอมแก้มเวลาที่อีกคนเผลอ

ริมฝีปากของเอสผละออกจากแก้มที่ถึงแม้จะไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนหญิงสาวแต่ผิวก็ใสและเรียบเนียนดี เป้าหมายต่อไปคือริมฝีปากบางสีชมพูสวยของอีกฝ่าย พอเห็นว่าตี๋ทั้งหลับตาปี๋แถมยังเม้มปากซะแน่นก็ทำเอาเขาอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ก่อนจะยกนิ้วโป้งขึ้นมาไล้ไปมาที่ปากของอีกฝ่าย

“อย่าเม้มปากแน่นขนาดนี้สิ...พี่จูบไม่ได้นะ” เขากระซิบเสียงพร่าในท้ายประโยค

เจ้าตัวลืมตาโพลงทันที เพราะลมหายใจที่รดใบหูเมื่อครู่มันทำให้เขารู้สึกขนลุกซู่ ปากบางอ้าออกเพื่อผ่อนลมหายใจที่มันอัดแน่นอยู่ข้างในเพราะเมื่อครู่เจ้าตัวเกร็งเสียจนลืมหายใจไปพักหนึ่ง แต่ยังไม่ทันที่จะหายใจได้เต็มปอดดีก็โดนอีกคนประกบริมฝีปากเข้ามาก่อน

“เดี๋ย-”

“ไม่เดี๋ยวแล้ว” เอสดึงมือของตี๋ที่กำลังพยายามดันตัวเขากดลงกับที่นอน อีกฝ่ายหยุดดิ้นไปเพราะไม่มีทางให้หนีอีกแล้ว เลยจำยอมให้อีกฝ่ายจูบเพื่อปล่อยอารมณ์ออกมา คนมีประสบการณ์มากกว่าไล่จูบเม้มริมฝีปากบนทีล่างที กดจูบย้ำดึงดูดอยู่หลายครั้ง

“อ้าปากหน่อยสิ”

“หะ”

“อ้าปากหน่อย”

“อ้าทำไม!”

“เดี๋ยวจะสอนจูบแบบผู้ใหญ่ให้”

...ใครมันจะไปอยากรู้กันโว้ย...ถึงในใจจะปฏิเสธ แต่ร่างกายกลับโอนอ่อนตามที่อีกฝ่ายขออย่างง่ายดาย อาจจะเพราะลึก ๆ แล้วเจ้าตัวคงอยากจะรู้อยู่เหมือนกันว่าไอ้จูบแบบผู้ใหญ่ที่ว่ามันจะเป็นแบบไหนกันนะ

“เด็กดี” เอสเอ่ยชม แล้วค่อยลงมือจัดการปากสีชมพูที่กำลังเชิญชวนเขาอยู่ข้างหน้านี่  พอลิ้นร้อนเริ่มแทรกเข้าไปตี๋ก็ย่นคอหนีจนเขาต้องสอดมือเข้าไปช้อนคอให้เจ้าตัวแหงนหน้าขึ้นมา เรียวลิ้นที่ไม่ประสาของคนตรงหน้าเรียกอารมณ์ของเขาได้ดีทีเดียว เอสจูบจนร่างข้างใต้เบือนหน้าหนีไปอีกทางเพราะหายใจไม่ทัน

“เร็- เร็วเกินไปแล้ว” ตี๋ต่อว่าหอบหายใจหนัก

“ก็เราน่ารักเกินไปนี่นา”

“ความผิดตี๋เรอะ!” เจ้าตัวตวาดพร้อมกับหันหน้ามามองอีกฝ่าย พอเห็นรอยยิ้มของเอสแล้วเขาเองก็หุบปากฉับเพราะความเขินมันวิ่งเข้าจู่โจม ยิ่งมือใหญ่ยกขึ้นมาเกลี่ยคราบน้ำลายที่เกิดจากเหตุการณ์เมื่อครู่ทิ้งไป เขาก็ยิ่งใจสั่น

“เป็นแฟนกับพี่นะ”

“...”

พอโดนขอเป็นแฟนจริงจังแบบนี้แล้วมันก็รู้สึกเขินมากกว่าที่คาดคิดเอาไว้มาก เมื่อตอนที่จูบกันเขายังไม่รู้สึกเขินเท่านี้เลยด้วยซ้ำ มากขนาดที่เขาเองก็พูดอะไรไม่ถูก ไม่รู้เลยว่าจะต้องตอบอีกฝ่ายไปว่ายังไงดี

“ว่าไง? เป็นแฟนกับพี่นะ” เอสถามย้ำเมื่อไม่เห็นว่าตี๋จะตอบอะไร เห็นแค่หน้าแดงเป็นลูกตำลึกและไม่สบตาเขาอีกต่างหาก

ตี๋ดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแล้วซุกหน้าลงกับไหล่หนาก่อนจะตอบเสียงเบา “อื้อ”

“อะไรนะ” เอสแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน

“เอออ เป็นก็เป็นสิวะ!” ตี๋แว๊ดเสียงดังเพราะโดนถามซ้ำ เขารู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินแน่นอน แต่โกหกทำเป็นไม่ได้ยิน

“พูดจาดี ๆ หน่อยสิ”

“ไม่”

...แค่นี้ก็อายจะตายห่าแล้วโว้ย...

เอสพยายามจะดึงตัวเองขึ้นออกจากอ้อมกอดของคนด้านใต้ แต่ฝ่ายนั้นก็กอดซะแน่นเหลือเกิน เพราะตี๋รู้ว่าถ้าเห็นหน้าของเอสตอนนี้ เจ้าตัวอาจจะเขินจนช็อกตายไปเลยก็ได้

“ขอพี่เห็นหน้าเราหน่อยซี่~”

“ม่ายยยยยยย!”

เอสหัวเราะด้วยความตลกขบขัน เขาทิ้งตัวลงนอนตะแคงข้าง เพราะเกรงว่าคนด้านใต้จะโดนเขาทับจนแบนเสียก่อน แต่ตี๋เองก็ยังไม่ยอมปล่อย ยังคงกอดแล้วเอาหน้าซุกอกเขาอยู่แบบนั้น คนโตกว่าก้มลงหอมหัวทุย ๆ นั่นด้วยความเอ็นดู

“ไม่ก็ไม่ แค่นี้พี่ก็มีความสุขแล้ว ขอบคุณมากนะครับ”



TBC...

ค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์กันไป  :L2:
พี่เอสเห็นตามใจน้องแบบนี้ก็ร้ายใช่ย่อยนะ 5555

หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.7 [up:03/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-05-2018 13:53:21
พี่เอสมันร้ายยยยยย
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.7 [up:03/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-05-2018 14:21:18
 :impress2: มีความเอ็นดู
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.7 [up:03/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 03-05-2018 15:16:04
เป็นแฟนกันแล้ว :-[
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.8 หน้า 2 [up:09/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 09-05-2018 16:51:53


8



“สรุปว่ามึงเป็นแฟนกับพี่เขาแล้ว”

ตี๋เหลือบตามองภาคที่ถามย้ำ ทั้งที่เขาเองก็พูดไปชัดเจนแล้ว

“เออ”

“เมื่อวานมึงยังบอกว่าพี่ชายอยู่เลย”

“ตอนนี้ก็พี่ชาย” เจ้าตัวบอกก่อนจะจิ้มลูกชิ้นปิ้งที่กลอยมันซื้อมาฝากเข้าปาก

“เอ้า อะไรของมึงเนี่ย?” กลอยงง

ตี๋ถอนหายใจแรงเพราะหงุดหงิดที่โดนถามในเรื่องที่ไม่อยากอธิบาย ก่อนจะบอก “ไอ้แฟนมันก็ใช่ แต่สำหรับกูยังไงเขาก็ยังเป็นพี่ชายอยู่ดีว่ะ”

“กูเข้าใจ ก็มึงเจอกับพี่เขาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ มันก็ไม่แปลกหรอก” กลอยบอก

“แล้วนี่ป๊ามึงรู้ไหมเนี่ย?” ภาคถามก่อนจะงับลูกชิ้นจากถุงเดียวกันเข้าปากไป

คนถูกถามเงียบไปใบหน้าขาวดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

“กูก็ไม่รู้ดิ” เขาตอบเสียงเบา

ถึงป๊าของพี่เอสจะยอมรับได้เรื่องที่ลูกชายของตัวเองคบกับผู้ชายด้วยกัน แต่ทางป๊าของเขาล่ะ? จะยอมรับได้หรือเปล่า แล้วถ้าเกิดป๊าไม่ยอมรับ เขาควรจะทำยังไงต่อไป

ภาคกับกลอยมองหน้ากันหลังจากเห็นเพื่อนทำหน้าเครียดแบบซวยแล้วไม่น่าไปถามมันเลย เขาทั้งคู่เคยเจอกับป๊าของตี๋อยู่สองสามครั้งตอนไปที่บ้านเพื่อนรัก ถึงอีกฝ่ายจะใจดีก็ตาม แต่ทั้งคู่ก็รู้สึกเกร็งอยู่ดี เพราะรู้สึกได้ถึงรังสีอะไรบางอย่างแผ่ออกมาจนไม่กล้านั่งอยู่ตามลำพังถ้าไม่มีไอ้ตี๋อยู่ด้วยเลย

แล้วไอ้การที่ลูกชายเป็นเกย์เนี่ยก็ไม่ใช่ว่าพ่อทุกคนจะรับได้ด้วยสิ

“เอ่อ...มึง” ภาคตบบ่าของเพื่อนรักให้หันมาฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูด “อย่าไปคิดมากเลย กูก็ถามไปแบบนั้นแหละ”

“อือ” ตอบสั้น ๆ แล้วก้มหน้ากินต่อ

กลอยหันไปทำปากขมุบขมิบด่าภาคที่พูดอะไรไม่เข้าท่า เพราะถึงตี๋มันจะตอบอือ แต่มันไม่เลิกคิดมากง่าย ๆ หรอก พวกเขาคบกันมานานจนรู้นิสัยแล้ว

“ไม่ต้องกลัวนะมึง”

“เปล่า กูไม่ได้กลัว แค่กังวลนิดหน่อย”

“นี่แสดงว่ามึงชอบพี่เขาจริง ๆ นะเนี่ย” ภาคบอกยิ้มเล็กน้อย

“...” ตี๋มองเพื่อนตาปริบ ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่มันจะสื่อนัก

“ก็เพราะถ้ามึงไม่ชอบเขาจริง ๆ มึงคงจะไม่มานั่งกลุ้มใจเรื่องพ่อมึงหรอก”

“ก็คงจะเป็นงั้นมั้ง” ตี๋บอกเสตามองไปทางอื่น มันอาจจะเป็นอย่างที่ภาคพูดก็ได้

...เขาอาจจะชอบอีกฝ่ายมากกว่าที่ตัวเองคิด...

“แล้วถ้าเกิดป๊ารู้ว่ามึงกับพี่เขาคบกัน มันจะเป็นยังไงวะ?”

ใบหน้าขาวเนียนมีท่าทีกังวลเล็กน้อย ก่อนจะเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้แล้วผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ “ไม่รู้ดิวะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดว่ะ ถึงเวลานั้นค่อยคิดแล้วกัน”

“มีอะไรปรึกษาพวกกูได้นะเว้ย”

“เออ ขอบใจมาก” ตี๋บอกหันไปยิ้มให้เพื่อนทั้งสองคนที่มองเขาด้วยความเป็นห่วง “ไปขึ้นห้องเรียนกัน เดี๋ยวสายจะโดนอาจารย์ด่าหัวฟูกันพอดี”





“โห ’จารย์แม่ง งานเก่ายังไม่ทันหมด งานใหม่ก็แทรก นี่กะจะไม่ให้กูพักเลยรึไงว้า”

“เออ แล้วใกล้จะสอบแล้วด้วย จะเอาเวลาที่ไหนไปอ่านสอบเนี่ย”

“พวกมึงจะบ่นทำไม ถ้าแบ่งเวลาถูกยังไงงานมึงก็ทัน” ตี๋ว่าเพื่อนทั้งสองคนที่พอหลังจากอาจารย์ออกจากห้องไปก็บ่นโอดครวญกันใหญ่

“ใครจะไปเก่งเหมือนมึงล่ะคร้าบบบบบบพี่”

พอโดนภาคกระแนะกระแหนตี๋ก็ได้แต่หัวเราะออกมาไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไป พวกเขาเก็บอุปกรณ์การเรียนลงกระเป๋ากันแล้วถึงค่อยออกจากห้อง

“วันนี้แฟนจะมารับอีกไหมครับ” กลอยถามจงใจกวนตีน

“ไม่เห็นบอกนะว่าจะมา”

“วิ้ว~” ภาคผิวปากหวือทันทีที่ตี๋บอก

“พ่อเป็นนกหวีดเห-” ยังไม่ทันจะด่าจบโทรศัพท์ของตี๋ก็ดังขึ้นมาก่อน

“แฟนโทรมาแล้วโว้ย”

“ชู่” กลอยส่งเสียงเตือน “มึงจะบอกให้รู้ถึงคณะข้าง ๆ เลยเหรอ”

“ฮัลโหล”

(เลิกเรียนหรือยังครับ)

“เลิกแล้วครับ”

(ให้พี่ไปรับไหม)

“ไม่ต้องมาหรอกเดี๋ยวตี๋กลับเอง”

(แล้วเย็นนี้...)

“เย็นนี้ตี๋กินข้าวที่บ้าน เดี๋ยวม๊าบ่น” ตี๋เห็นจากหางตาว่าไอ้ภาคมันกำลังล้อเลียนเขาอยู่ ขายาวก้าวเดินหนีมันออกไปทันที ก่อนที่จะทนไม่ให้ตนเองตบหัวมันไม่ไหว

(อ่า โอเค ๆ งั้นคืนนี้พี่โทรหานะ)

“อื้อ”

(บายครับ)

“บาย” นิ้วยาวกดวางสายหลังจากคุยเสร็จ

“บ๊าย~” พอหันกลับไปตามเสียงล้อเลียนก็เจอกันไอ้เพื่อนสองคนจอมกวนตีนยืนโบกมือให้ด้วยใบหน้าระรื่น

“K”

“อ๊ะ ๆๆ ไม่ดีนะครับ พูดไม่เพราะแบบนี้ได้ยังไง”

“เมื่อกี้นี้ยังตี๋อย่างนั้นตี๋อย่างนี้อยู่เลย”

“เนอะ~!” ทั้งสองคนพร้อมใจกันประสานเสียงอย่างเข้าขากันสุด ๆ

“กูกลับละ”

“เจอกันพรุ่งนี้เว้ย” ภาคป้องปากบอกกลั้วหัวเราะ

“เออ” เขายกนิ้วกลางให้พวกมัน





“อ้าว วันนี้มึงไม่ไปกินข้าวบ้านโน้นรึไง” ป๊าทักเมื่อตี๋นั่งลงบนเก้าอี้ประจำที่โต๊ะกินข้าว

“บ้านตี๋ก็มีข้าว ทำไมต้องไปกินบ้านอื่นด้วยอะ” ลูกชายคนเล็กเล็มข้าวที่ติดช้อนก่อนจะจ้วงแกงจืดเข้าปากหน้าตาย

“ทำเป็นพูด อาทิตย์หนึ่งมึงกินข้าวบ้านกี่วันกัน”

“กับข้าวม๊าอร่อยจังเลย” ตี๋ทำเป็นไม่สนใจคนเป็นพ่อที่กำลังต่อว่ากลับหันไปประจบประแจงคนทำกับข้าวประจำบ้านพร้อมกับรอยยิ้มหวาน

“กูถามมึงจริง ๆ เถอะ มึงกับเอสเป็นอะไรกันเนี่ย?”

ตี๋ชะงักไป ด้วยความตกใจที่จู่ ๆ ป๊าก็ถามคำถามที่เขาไม่อยากตอบมากที่สุดออกมา เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าป๊ามีทัศนคติกับผู้ชายที่รักกับเพศเดียวกันยังไง เขากลืนข้าวที่เคี้ยวคาปากอยู่ลงคอไปอย่างฝืด ๆ ก่อนจะตอบ

“ก็เป็นพี่น้องกันไง” เขาไม่ได้โกหกคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบุพการีของตัวเองจริง ๆ นะ แค่อาจจะบอกไม่หมดเท่านั้นเอง

“โตป่านนี้แล้วมึงยังติดเขาอยู่อีกเหรอไง”

“ป่าวหรอก ตี๋เห็นบ้านนั้นเขาเงียบเหงายังไงไม่รู้อะ น่าสงสารออก”

“เฮ้อ มึงนี่ก็ไม่เปลี่ยนไอ้นิสัยแบบนี้สักที กิน ๆ ไปได้แล้ว” พอเห็นแววตาของลูกชายหมองลงเขาเองที่เป็นพ่อก็ไม่อยากจะเซ้าซี้ถามต่อ เพราะถึงมันจะไปบ้านนั้นบ่อยเขาเองก็ไม่ได้คิดจะว่าอะไรมากมาย ก็แค่เกรงใจตามประสาคนเป็นผู้ใหญ่ สงสัยคงต้องหาอะไรติดไม้ติดมือไปฝากเฮียโจวสักหน่อย ก็ลูกชายของเขาดันไปรบกวนบ่อย ๆ แบบนี้





พอตี๋กินเสร็จก็ขึ้นห้องมานั่งทำงานต่อ ยิ่งใกล้สอบแบบนี้ก็ต้องเร่งมือทำ  ไหนจะทบทวนหนังสือเพื่อเตรียมสอบอีก เจ้าตัวไม่ใช่คนฉลาด แต่ที่เรียนดีได้ขนาดนี้เรียกว่ามาจากเพราะความขยันจะดีกว่า ถ้าเทียบตี๋กับวัยรุ่นทั่ว ๆ ไป ก็เรียกว่าเป็นเด็กที่ดีได้เลย จนเพื่อนหลายคนทักบ่อย ๆ ว่ามึงหลุดมาจากยุคไหนกันเนี่ย เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ กลับบ้านตรงเวลา ไม่ไปเที่ยวที่อโคจร ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ขัดกับหน้าตาเหลือเกิน บอกใครไป ใครก็ไม่อยากเชื่อว่ายังมีเด็กวัยรุ่นแบบนี้อยู่ในยุคสมัยนี้อีกเหรอ

เพราะแบบนี้เลยทำให้คนที่บ้านไม่ค่อยจะห่วงลูกชายคนเล็กเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่นัก ตั้งแต่โตมาจนอายุ 20 แล้วยังไม่เห็นมันจะไปเถลไถลที่ไหนไกล กลับกันคนที่เกเรจะเป็นคนพี่ซะอีก กว่าจะโตมาเป็นผู้เป็นคนได้ก็ทำป๊ากับม๊าปวดหัวไปหลายตลบ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้ตี๋ต้องเงยหน้าขึ้นจากงานอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไรเพราะก็รู้อยู่ว่าใครโทรมา เขามันคนเพื่อนน้อย นอกจากไอ้สองคนนั้นแล้วก็มีอยู่คนเดียวที่จะโทรมาหา ก็คนที่เพิ่งเป็นแฟนหมาด ๆ ของเขาเองนั่นล่ะ

“ฮัลโหล” เขากดรับก่อนจะทิ้งตัวลงนอนคุยบนที่นอน ถือโอกาสพักหลังไปในตัวด้วย

(ทำอะไรอยู่ครับ?)

“ทำงานแหละ ’จารย์สั่งงานเพิ่มอีกแล้ว”

(โห เหนื่อยแย่เลย) เอสมีเพื่อนคนหนึ่งเรียนคณะเดียวกันกับตี๋ เขาจำได้ว่างานมันหนักมากจริง ๆ บางครั้งนี่ไม่ได้นอนสองสามวันเลย

“ก็นิดหน่อยอะ”

(พี่จำได้ว่าเพื่อนพี่ที่เรียนคณะนี้พี่เห็นมันแทบไม่ได้นอนเลยนี่)

“ตี๋ว่ามันอยู่ที่คนนะ อาจจะหนักไปบ้าง ถึงจะมีบางครั้งที่ไม่ได้นอน แต่ถ้าบริหารเวลาดีมันก็โอเคแหละ”

(จ้า พ่อคนเก่ง)

“แน่นอน ว่าแต่..เรื่องงานพี่สรุปว่าไงอะ”

ตอนนี้เอสกับป๊าเลิกขายน้ำเต้าหู้ไปเรียบร้อยแล้ว กว่าจะเคลียร์กับอาม่าอากงแถวบ้านได้ ฝ่ายลูกชายของร้านนี่แทบรากเลือด แต่เพราะลูกชายของร้านยืนยันเสียงแข็งว่าอายุและร่างกายของบิดาตอนนี้ไม่ไหวกับการทำงานหนัก ๆ แล้ว ทุกคนเลยจำต้องยอมรับและเข้าใจกันได้

(อาทิตย์หน้านี้เข้าไปทำแล้วล่ะ)

“พยายามเข้านะ” ตี๋บอกเสียงเบาด้วยความเคอะเขิน ปลายสายเงียบไปเลยหลังจากที่เขาพูดจบ ตี๋เลยลองเรียกดูเพราะคิดว่าสายหลุดไปหรือเปล่า

(ทำยังไงดีเนี่ย) เอสรำพัน

“มีอะไรเหรอ?”

(พี่อยากจูบเรามากเลย)

“อะ- ไอ้...พูดบ้าอะไรวะเนี่ย” ใบหน้าขาวขึ้นสี ด้วยเพราะไม่คิดว่าจู่ ๆ อีกฝ่ายจะพูดออกมาตรงแบบนี้

(เอ้า นี่พี่พูดจริง ๆ นะ)

“แต่มันก็ไม่สมควรพูดออกมาปะ ไม่อายบ้างเลยรึไงวะ”

(อายทำไม คนเป็นแฟนกัน)

อีกฝ่ายตอบเสียงซื่อเสียจนตี๋อยากจะสอดมือเข้าไปตีสักที ถ้าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันจะตบกระบาลเข้าให้

“เฮ้ออ” พอไม่รู้จะต่อคำอะไรอีกก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา

(ถ้าวันไหนเราเลิกเร็ว ไว้พี่จะไปรับนะ)

“ทางผ่านเหรอ?”

(ก็ประมาณนั้น)

“ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องมาบ่อยหรอกนะ เปลืองน้ำมัน”

(เสียใจจัง)

ปลายสายตัดพ้อจนตี๋รู้สึกผิดขึ้นมาซะอย่างนั้น “เอ่อ...แต่วันไหนเลิกดึก ตี๋จะบอกให้มารับนะ”

(โอเคครับ)

“งั้นเดี๋ยวตี๋ไปทำงานต่อนะ จะได้เสร็จเร็ว ๆ”

(ครับ)

“ช่วงนี้ใกล้สอบแล้ว งานเยอะนะ”

(ไม่เป็นไรหรอก คิดถึงก็ไปหาได้ บ้านใกล้แค่นี้เอง)

พอคนที่ปลายสายพูดจบ ตี๋ก็ระบายยิ้มออกมา คำพูดของเอสมันอาจจะดูเสี่ยวแดกสำหรับใครหลายคน ในบางทีตัวเขาเองก็คิดว่าแม่งโคตรเสี่ยวเลย แต่เพราะนี่เป็นธรรมชาติของอีกฝ่าย และถึงมันจะเสี่ยวแค่ไหนก็ตาม มันก็ทำให้เขาหวั่นไหวและใจเต้นแรงได้ในแทบทุกครั้ง

“...ไปนะ”

(ครับ คิดถึงนะ)

ตี๋เคยสงสัยมาตลอดว่าทำไมคนเราเวลาที่มีความรักมักจะดูแปลกไปจากเดิม เวลามีความรักทำไมถึงดูมีความสุข ทำไมถึงดูไม่เป็นตัวของตัวเองในบางครั้ง หรือยอมทำในสิ่งที่ไม่ชอบ ยอมในแบบที่ไม่เคยยอมใครมาก่อน การมีความรัก...มันจะทำให้คนเรามีความสุขอย่างแท้จริงเหรอ

เขาเองก็ยอมรับว่าชอบเอส แต่ไม่รู้ทำไมลึก ๆ แล้วมันถึงไม่เหมือนกับความรักในแบบทั่วไปก็ไม่รู้ แน่นอนอยู่แล้วที่ว่าเขารักอีกฝ่ายเหมือนกับพี่ชายคนหนึ่ง แต่ในฐานะคนรัก...เขายังไม่ค่อยเข้าใจมันซักเท่าไหร่

ตี๋ไม่ได้รังเกียจในสิ่งที่อีกฝ่ายปฏิบัติต่อตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการกอด หอมแก้ม จับมือ หรือแม้กระทั่งจูบ เขายอมรับได้และก็ไม่ปฏิเสธด้วยว่ามันก็รู้สึกดี เพียงแต่ถ้าจะก้าวข้ามไปถึงการมีเซ็กส์เหมือนกับคู่รักอื่น สำหรับเขามันก็คงจะยากอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่เพราะว่าอีกคนเป็นผู้ชาย แต่มันอยู่ที่ตัวของเขา ทั้งหมด...มันเป็นเพราะเขาเอง






++++++++++







“โห วันนี้พี่แกมาอย่างหล่อเลยว่ะ” ภาคพูดทันทีที่เห็นร่างสูงใหญ่ของเอสยืนพิงต้นไม้อยู่แถว ๆ ที่จอดรถ ด้วยความที่เป็นคนโดดเด่นมากเลยทำให้สังเกตเห็นได้แต่ไกล

“ทำไมรอบนี้แต่งตัวดีจังวะ” กลอยชะเง้อมองแล้วหันไปถามตี๋

“วันนี้เริ่มงานวันแรก สงสัยสร้างความประทับใจมั้ง”

“ถามจริง หล่อขนาดนี้ มึงไม่กลัวใครมาซัดไปเหรอวะ”

“เชี่ยภาค” กลอยหันไปด่า

“โทษที ลืมไปว่ามึงคิดมาก”

ตี๋ส่ายหน้าน้อย ๆ “พวกมึงจะพูดอะไรก็พูดเถอะ กูไม่ได้คิดอะไรถึงขนาดนั้น”

“ถ้าอย่างมึงไม่คิดมาก กูกับไอ้กลอยคงปัญญาอ่อนเพราะไม่คิดอะไรเลยว่ะ”

ตี๋ไม่ทันจะได้ตอบอะไรพวกเขาก็เดินมาถึงรถของคนที่มารอรับเสียก่อน ใบหน้าหล่อยิ้มละมุนก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวทุยของตี๋เบา ๆ จนเพื่อนสองคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นต้องแอบเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้

“สวัสดีครับ” ทั้งสองคนยกมือไหว้ยกเว้นตี๋

“วันนี้ให้พี่ไปส่งที่ไหนอีกหรือเปล่า?” เอสรับไหว้ก่อนจะย้อนถาม

“ไม่ครับ พวกผมแค่แวะมาทักทาย เดี๋ยวก็กลับแล้ว”

พูดคุยกันอีกสองสามคำก็แยกกันกลับ โดยที่ตี๋ขึ้นรถไปกับเอส คนอายุน้อยกว่าเหลือบมองคนข้าง ๆ เป็นระยะโดยที่ไม่ได้พูดอะไร แค่อยากรู้ว่าหน้าตาดีขนาดนี้ไม่มีคนมาจีบบ้างหรือไงกัน เขาไม่ได้คิดมากเรื่องที่เพื่อนมันพูดกันหรอก ถ้าใครจะมาสอยไปก็ช่าง ถึงเวลานั้นอาจจะมีเสียใจบ้าง แต่เขาก็จะไม่รั้งอีกฝ่ายไว้หรอก

“แอบมองอะไรพี่เนี่ย” เอสถามหัวเราะในลำคอเบา ๆ

“เปล่าซะหน่อย วันนี้ไปทำงานมาเป็นยังไงบ้าง”

เอสรู้ว่าตี๋กำลังพยายามจะพูดเปลี่ยนเรื่อง แต่เขาก็ไม่ได้จะทู่ซี้ถามอะไรให้มันมากมายนัก ก็เลยเล่าให้ฟังว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นที่บริษัทบ้าง ส่วนตี๋ก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีเหมือนเดิม

เป็นปกติของช่วงเย็นที่จะมีรถเต็มถนนไปหมด เลยทำให้ทั้งสองคนติดแหง็กอยู่บนรถอย่างช่วยไม่ได้ ที่จริงแล้วตี๋เองก็ไม่ใช่คนที่คุยเก่งอะไร แต่ถ้ามีคนชวนคุยก็จะพูดได้เรื่อย ๆ

“ถามจริงสิ นี่เราไม่เคยมีแฟนมาก่อนจริงเหรอ?” เอสถามด้วยความสงสัย

“นี่ไม่เชื่อ?” คนถูกถามเหลือบตามองอย่างไม่พอใจ เขาไม่ใช่คนชอบโกหกซะหน่อย

“เปล่า เห็นเด็กสมัยนี้มีแฟนกันเร็ว ตี๋ก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร น่าจะมีสาว ๆ มาชอบบ้างนะ”

“ก็มี แต่ตี๋ไม่ได้สนใจนี่หว่า”

“นี่ไม่เคยสนใจใครเลยเหรอ”

“ใช่”

“จริงอะ”

“นี่พี่ต้องการอะไรวะ?”

“แม้แต่พี่ก็ไม่สนเหรอครับ” เอสเลิกกวนประสาทแล้วหันไปถามพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก ที่ดูแล้วเจ้าเล่ห์มาก

“ไม่นี่”

แต่ตี๋ก็ตอบสั้นอย่างไร้เยื่อใย ทำเอาเขาน้ำตาแทบไหลกับความตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย ปกติเป็นพวกคิดช้าแท้ ๆ ทีงี้ล่ะคิดเร็วตอบเร็วเชียว แต่ก็เข้าใจว่าการเติบโตของแต่ละคนเร็วช้ามันไม่เท่ากัน อย่างตี๋นี่ก็คงจัดอยู่ในพวกโตช้าล่ะมั้ง ถึงแม้ขนาดตัวจะไม่เด็กแล้วก็ตาม

“เด็กเอ๊ย”

“เด็กที่ไหนเลือกตั้งได้แล้ว”

เอสส่ายหัวอย่างไม่อยากจะต่อปากต่อคำพร้อมกับยิ้ม “ครับ ๆๆ”
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.8 หน้า 2 [up:09/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 09-05-2018 16:52:45


ถึงรถจะติดแต่ทั้งสองคนก็กลับมาถึงบ้านเร็วกว่าที่คิดเอาไว้เหมือนกัน คนตัวโตกว่าแอบรู้สึกดีในใจเบา ๆ เพราะมันจะทำให้เขาได้มีเวลาใกล้ชิดกับตี๋เยอะขึ้นไปอีก ช่วงนี้ทั้งสองคนไม่ได้เจอกันบ่อยนัก เนื่องจากเป็นช่วงที่อีกคนใกล้จะสอบเลยต้องเคลียร์งานหนักมาก ขายาวเดินเข้าไปประชิดกับคนตัวขาวด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม

“อะไร?” คิ้วเรียวขมวดด้วยความสงสัยปนไปด้วยความไม่ไว้ใจ

“ไปห้องพี่สักหน่อยสิ”

พอเห็นตี๋ยังทำหน้าไม่เข้าใจเอสเลยต้องอธิบายเพิ่ม

“ยังไม่ถึงเวลาอาหารเย็นที่บ้านเราเลยนี่ ขอเวลาให้พี่หน่อยนะ”

“อะ- ...” พอได้ฟังเอสพูดด้วยน้ำเสียงอ้อน ๆ แบบนี้แล้วก็ทำเอาไปไม่ถูกเหมือนกัน เพราะคนตรงหน้าก็ไม่ใช่วัยที่จะมาแสดงอาการออดอ้อนเหมือนกับเด็ก ๆ และเขาเองก็ไม่ได้โดนทำแบบนี้ใส่บ่อยด้วย แถมยังโดนอีกฝ่ายแอบจับมืออีกต่างหาก

“ไปก็ได้” ตี๋ยอมเดินตามเอสเข้าบ้านไปแต่โดยดี เจอป๊าของพี่เอสก็ยกมือไหว้ก่อน ยังไม่ทันจะได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบก็โดนมือใหญ่จับข้อมือให้เดินตามอย่างไว จนคนเป็นพ่อต้องป้องปากแซวให้คนตัวขาวได้อายจนหน้าแดง

พอทั้งคู่ก้าวเข้ามาอยู่ในห้อง ทันทีที่ปิดประตู เอสก็ดึงตี๋ที่ตัวบางกว่าเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดพร้อมกับฝังจมูกลงกับขมับของอีกฝ่ายสูดดมกลิ่นกายของตี๋ด้วยความถวิลหา

“ไม่เหม็นหรือไง?” เขาถาม เพราะถึงเขาจะไม่ค่อยมีเหงื่อออกเยอะเหมือนคนอื่น แต่ผ่านการใช้ชีวิตมาตลอดทั้งวันมันก็ต้องมีกลิ่นตัวกันบ้างน่ะแหละ

“คิดถึงมากเลย”

จู่ ๆ ก็รู้สึกราวกับมีดอกไม้บานอยู่ในอก เป็นความรู้สึกดี ๆ ที่ตี๋ไม่เคยรู้สึกถึงมันมาก่อน แขนผอมยกขึ้นกอดเอวอีกฝ่ายแน่นโดยที่ไม่รู้ตัว เนิ่นนานกว่าจะมีใครขยับตัว เป็นเอสที่ก้มลงหอมที่ซอกคอของตี๋ด้วยความปรารถนาในส่วนลึกของจิตใจ จนเจ้าของสะดุ้งด้วยความตกใจ ขนลุกเกรียว แต่ก็ดิ้นจากอ้อมแขนของคนพี่ไม่หลุด

ปากแดงยังไม่ทันจะได้ทักท้วงอะไรก็โดนประกบจูบเข้าเสียก่อน ถึงแม้ช่วงแรกมันจะติดขัดเพราะเจ้าของปากนั้นมีการขัดขืนอยู่บ้าง แต่พออารมณ์มันพาไปก็กลายเป็นว่าตอบรับจูบของเอสด้วยความไม่ประสานัก ซึ่งมันทำให้ดูน่ารักอย่างมากในสายตาของอีกคน

ตี๋มีความเพลิดเพลินกับการโดนจูบ ความเคอะเขินที่มีในครั้งแรก ๆ มันน้อยลงไปเยอะ ไม่ใช่ว่าเขาทั้งสองคนจูบกันบ่อยหรืออะไรหรอก แต่เอาจริง ๆ ...มันก็เกือบจะทุกครั้งที่เจอกันนั่นล่ะ ถ้าได้เข้าห้องของพี่เอสเมื่อไหร่ล่ะก็ เขาก็ต้องโดนอีกฝ่ายจูบแน่ไม่ต้องถามเลยด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้เขารู้สึกว่ามันแปลกไปจากที่เคย...มันดูร้อนแรงกว่าทุกครั้ง

“อื้อ!” ตี๋ร้องในลำคอก่อนจะบิดหน้าหนีจากจูบพร้อมกับคว้าหมับเข้าที่มือของอีกฝ่ายที่ตอนนี้มันกำลังล้วงเข้ามาในเสื้อของเขา
“ทำอะไรน่ะ!”
แต่เหมือนอีกฝ่ายไม่มีสติที่จะฟังเขาเลยแม้แต่น้อย มือข้างหนึ่งคว้าจับท้ายทอยเพื่อบังคับให้ตี๋หันกลับมารับจูบ แต่เขาก็เบือนหน้าหนีออกด้วยความตระหนก เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกลัวคนตรงหน้า

“พี่!! เดี๋ยว!! ตี๋ยังไม่พร้อม!!”

ตี๋ร้องเสียงดัง เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร เขาเลยทุบหลังคนไม่ได้สติไปหนึ่งทีและคราวนี้มันได้ผล เอสได้สติทันที หลุดออกจากความหน้ามืดที่มันกำลังครอบงำ และพอได้สติเขาก็ตกใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เขาไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้

“พี่ขอโทษ...”

ยิ่งเห็นแววตาหวาดกลัวของตี๋มันยิ่งทำให้เขารู้สึกผิด...

“พี่ขอโทษ”

ยิ่งเกลียดตัวเอง...

“พี่ขอโทษ”

“เฮ้ย พี่จะร้องไห้ทำไม?” น้ำตาที่ไหลออกจากดวงตาคู่สวยที่เขาชอบ มันทำให้เขารู้สึกตกใจยิ่งกว่าเหตุการณ์เมื่อครู่อีก

“พี่ขอโทษ”

นอกจากน้ำตาที่ไหลมาไม่หยุดแล้ว ท่าทีของเอสมันยิ่งทำให้เขารู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ ดวงตาที่ไร้แววและปากที่พร่ำพูดแต่คำว่าพี่ขอโทษ มันทำให้ตี๋เหมือนเห็นอีกคนเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ยังไม่โต เป็นเด็กน้อยที่มีแต่บาดแผลที่เจ็บปวด

“ไม่เป็นไรนะพี่” ตี๋จับเข้าที่ข้อมือหนา พอโดนตัวถึงรู้สึกว่ามันสั่นมาก ตี๋เองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนตรงหน้าถึงช็อกได้ขนาดนี้ เขากางแขนโอบให้ร่างที่ใหญ่หนากว่าตัวเองเข้ามาชิด ลูบหลังปลอบประโลมอย่างแผ่วเบา ปากบางกระซิบบอกซ้ำ ๆ ว่า “ไม่เป็นไรนะ”

“พี่ขอโทษจริง ๆ” เอสซบหน้าลงกับไหล่ผอมของเด็กตรงหน้า ความรู้สึกผิดกัดกินจิตใจ ทั้งที่ตี๋ไว้ใจเขามาก แต่เพราะตัณหาราคะบดบังจนมันเกือบจะทำให้เขาหน้ามืดทำสิ่งที่เป็นการฝืนจิตใจของเด็กตรงหน้านี้ ทั้ง ๆ ที่ตี๋เองสมควรที่จะโกรธเขา แต่อีกฝ่ายนั้นก็ใจดี...เกินไป

“ไม่เป็นไร ๆ ตี๋แค่ตกใจเฉย ๆ เอง” มือเรียวยกขึ้นลูบผมของคนที่ซบไหล่ตนเองอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้โกรธคนตรงหน้าจริง ๆ แค่ตกใจที่มันกะทันหันเกินไป โดยที่ไม่มีการบอกกล่าวกันก่อน

“พี่ขอโทษ”

“รู้แล้ว ๆ”

“พี่...” เอสสูดน้ำมูก “ขอโทษ”

“รู้แล้ว พอได้แล้วน่า” ตี๋ตบไหล่ป้าบ ๆ

“ไม่โกรธพี่เหรอ?”

“ไม่โกรธหรอก แต่เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ”

เอสเงยหน้าขึ้นทันทีที่ตี๋พูดจบ ตาโตเบิ่งกว้างด้วยความตกใจ มือทั้งสองข้างจับไหล่ของตี๋เอาไว้ก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่ว “จะเลิกกับพี่เหรอ?”

“เฮ้ย บ้า! ใครบอกพี่ว่าจะเลิกวะ”

“ก็พี่ทำ...เรื่องที่ไม่ควร”

“มานั่งคุยกันดี ๆ ดีกว่าเนอะ” มือขาวจับข้อมือของเอสให้เดินตามมานั่งบนที่นอน

“ตี๋ว่าเรายังไม่เคยคุยกันเรื่อง เอ่อ...เซ็กส์ ใช่มั้ย?”
เอสพยักหน้าตอบ

“คืองี้...ไม่ใช่ว่าตี๋รังเกียจมันนะ” เขาพยายามที่จะรวบรวมคำพูดที่จะสื่อสารออกมาให้อีกฝ่ายเข้าใจมากที่สุด “แต่มันแค่ยังไม่ใช่ตอนนี้”

คนอายุมากกว่าเงียบแล้วตั้งใจฟัง มือข้างหนึ่งจับมือของอีกคนเอาไว้ให้มั่นเพื่อเป็นกำลังใจให้กับตัวเอง

“ตี๋ก็รู้ว่าเรื่องนี้มันเป็นธรรมดาของคนรักกัน แล้วความต้องการทางนี้ของคนเรามันก็ไม่เท่ากันด้วย ซึ่งพี่ก็อาจจะ...มีมากกว่าตี๋”

“เยอะ” เอสบอกย้ำเพื่อขยายความ

“นั่นแหละ” ตี๋เลียริมฝีปากด้วยความประหม่า “ตี๋อยากรู้ว่า...เราคบกันแบบที่ยังไม่มีอะไรกันได้มั้ยอะ?”

ที่ถามเพราะจากที่ไปทำการหาข้อมูลมา เขาเองก็ได้รู้ว่าการมีอะไรกันระหว่างผู้ชายกับผู้ชายมันเจ็บมาก ยิ่งถ้าเป็นครั้งแรก ถ้าเกิดเตรียมตัวไม่ดีนี่แย่เลย

“ต- แต่ไม่ใช่ว่าตี๋รังเกียจพี่นะ!” ตี๋รีบบอกเมื่อเห็นแววตาอีกคนกระตุกและบีบมือเขาแรงขึ้น อาจจะเพราะเข้าใจผิดในสิ่งที่เขาพูดก็ได้

“แล้วทำไมถึงถามพี่แบบนั้นล่ะ?”

“คือ...เรื่องแบบนั้นสำหรับตี๋แล้วมันไม่สำคัญเลยนะ แค่ได้เจอกันตี๋ก็พอใจแล้ว อีกอย่างก็คือ...”

“คือ?”

“เคยไปค้นมาว่าฝ่ายรับมันเจ็บมากอะ”

เอสพ่นหัวเราะออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่มันก็ทำให้อารมณ์ผ่อนคลายลงไปมาก “คือเราจะเป็นรับให้พี่เหรอ?”

“แล้วพี่จะรับให้ตี๋หรือไงเล่า!!” ตี๋ขึ้นเสียงด้วยความอาย

“ไม่มีทางอะ”

“ก็นั่นแหละ แล้วจะถามเพื่อ?” คนอายุน้อยถอนหายใจ “ตี๋ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะพร้อม อาจจะทำให้พี่ต้องรอนานก็ได้ เพราะงั้น...ระหว่างนี้ถ้าพี่ทนไม่ไหวจริง ๆ พี่จะไปซื้อ-”

ยังไม่ทันที่ตี๋จะพูดจบเอสก็ยกมือขึ้นปิดปากตรงหน้าด้วยความเจ็บจี๊ดในใจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเองก็ตั้งใจจะไม่ไปมีคนอื่นนอกจากอีกฝ่ายแท้ ๆ แต่เพราะตี๋รู้ว่าความต้องการทางนี้ของเขามันมาก และเจ้าตัวเองก็ยังสนองตรงนี้ให้ไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจเอาเองว่าให้เขาไปทำกับคนอื่นได้

...เพราะเขาเองสินะที่เป็นคนทำให้ตี๋ต้องพูดแบบนี้

“พี่จะรอ เพราะงั้นอย่าพูดว่าให้พี่ไปหาคนอื่นเลยนะ”

“ทำไมขี้แยจังเลย” ตี๋พูดน้ำเสียงหยอกเย้าเพราะเห็นอีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แถมน้ำตาคลอจะไหลออกมาจากตาคู่สวยอยู่แล้ว มือขาวยกขึ้นลูบเรือนผมสีดำสนิทที่จัดแต่งด้วยแว็กซ์แต่งผมอย่างดี “ตัวโตขนาดนี้ร้องไห้ง่ายจัง”

“อย่ามาแซวได้มั้ยเนี่ย” เอสว่า นอกจากเรื่องของพ่อกับแม่แล้ว เขาก็ไม่ได้ร้องไห้มานานมาก เพิ่งจะมาน้ำตาไหลกับเรื่องของเด็กตรงหน้านี่แหละ “ถ้าไม่รัก พี่ไม่ร้องไห้หรอกนะ”

“คร้าบ ๆๆ"

มือขาวเลื่อนมือขึ้นไปลูบใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของอีกฝ่าย ปาดคราบน้ำตาออกไปให้หน้าตาของเอสดูสดใสขึ้น ทั้งที่ปกติแล้วเขาเกลียดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายจะตาย แต่พอเห็นคนตรงหน้าร้องไห้แบบนี้แล้ว เขายอมให้ยิ้มแบบเดิมดีกว่า ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบมัน แต่ถ้าเปรียบเทียบมันกับน้ำตาแล้ว เขาก็ยังเกลียดมันน้อยกว่าอยู่ดี

“ขอกอดได้ไหม?”

“เอาสิ” คนอายุน้อยกว่าอ้าแขนรับแล้วกอดคนที่ตัวหนากว่าเอาไว้

“พี่ขอโทษจริง ๆ นะ”

“รู้แล้ว หยุดขอโทษสักที” ตี๋ว่าก่อนจะหอมแก้มอีกฝ่ายฟอดใหญ่เพื่อเป็นการเรียกขวัญ ซึ่งถ้าเป็นเวลาปกติไอ้จะให้มาเป็นฝ่ายหอมก่อนน่ะไม่มีทางเด็ดขาด และมันก็ได้ผลเพราะเอสยิ้มหน้าบาน หัวใจจากที่ฝ่อ ๆ ก็พองโตด้วยความยินดี

“ขอบคุณนะ”

“อื้อ”

ทั้งสองคนกอดกันอยู่แบบนั้นสักพักใหญ่โดยที่ไม่มีคำพูดอะไรออกมาอีกพักใหญ่ ใช้ความเงียบเพื่อหล่อหลอมความรู้สึกให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอีกครั้ง เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทำให้รู้จักอีกคนมากกว่าที่ผ่านมา ภายนอกของเอสที่ดูเป็นผู้ใหญ่ แต่ภายในนั้นมีหลุมดำและที่ก้นหลุมนั้นก็ยังคงมีเด็กชายเอสขดตัวนอนอยู่ เป็นเด็กที่มีบาดแผลเกี่ยวกับความรัก ที่ไม่ว่าเยียวยาอย่างไรแผลนั้นก็ยังไม่จางหายไป

ส่วนตี๋ที่ดูเป็นเด็ก บางเรื่องกลับโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่าอีกคนเสียด้วยซ้ำ ถึงบางเรื่องอาจจะดูโตช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน แต่เรื่อง EQ กลับดีกว่าใคร ๆ 

 “พี่รักเรานะ”

“ตี๋รู้” มือขาวตบหลังหนา ๆ ของคนในอ้อมกอดเป็นการให้กำลังใจ

ถึงแม้ว่าคนบอกรักจะยังเป็นเอสแค่ฝ่ายเดียว และความรู้สึกในใจของตี๋อาจจะยังไม่มากมายหรือเทียบเท่ากับอีกฝ่ายได้ แม้จะยังพูดได้ไม่เต็มปากว่ารัก แต่มันก็กำลังเพิ่มขึ้นทีละนิด เขาเองก็หวังว่าสักวันจะพูดมันออกไปให้อีกฝ่ายได้ยินเช่นกัน

“ว่าแต่ ตี๋ไม่ได้บอกให้ไปหาคนอื่นสักหน่อย แค่จะให้ไปหาซื้อบริการเอง”

“มันก็เหมือนกันแหละน่า”




TBC…
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อย ๆ ดำเนินไปอย่างช้า ๆ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามและชอบนิยายเรื่องนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.8 หน้า 2 [up:09/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-05-2018 17:59:18
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.8 หน้า 2 [up:09/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 09-05-2018 20:02:50
ค่อยๆเรียนรู้กันไปเนอะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.8 หน้า 2 [up:09/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-05-2018 20:18:30
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.8 หน้า 2 [up:09/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 09-05-2018 21:13:44
น่ารักค่ะ
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.9 หน้า 2 [up:15/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 15-05-2018 18:14:31
9




พักนี้ตี๋ว่างมากเพราะเป็นช่วงปิดเทอม เพื่อนรักที่มีอยู่แค่สองคนก็กลับบ้านต่างจังหวัด ถึงจะมีเทคโนโลยีที่เรียกว่าไลน์ใช้คุยกันได้ แต่มันก็ไม่เหมือนได้เจอกันอยู่ดี

กองหนังสือที่ซื้อไว้แล้วยังไม่ได้อ่านก็จัดการเคลียร์ไปตั้งแต่สองอาทิตย์แรกเรียบร้อย เพราะฉะนั้นช่วงนี้ก็เลยมีแต่เฝ้าร้านและนอนเล่นเกม พอตกเย็นก็ต้องเดินไปหาพี่เอสเป็นกิจวัตร ยกเว้นเวลาที่อีกคนทำโอทีก็จะไม่ได้ไป แต่ก็มีเอากับข้าวไปให้ป๊าของพี่เอสกินบ้างในเวลาที่อีกฝ่ายกลับดึก บางวันก็กินมื้อเย็นที่บ้านตัวเอง แต่บางวันก็กินที่บ้านอีกฝ่ายอย่างเช่นวันนี้  ในช่วงแรก ๆ ที่บ้านของเขาก็งงว่าทำไมตี๋ถึงไปอีกบ้านบ่อยนัก แต่เขาก็อ้างไปว่าบ้านนี้อยู่กันแค่สองพ่อลูกก็กลัวว่าจะเหงา

...ใครมันจะไปกล้าบอกว่าเป็นแฟนกับพี่เอสกันล่ะ
ไม่กล้าคิดถึงผลที่จะตามมาเลยถ้าที่บ้านรู้...

“ทำงานแล้วยังกลับมาทำกับข้าวอีกไม่เหนื่อยเหรอ?” ตี๋นั่งเท้าคางคางถาม เพราะกว่าอีกคนจะเลิกงานแล้วกลับถึงบ้านก็เย็นพอสมควร ดีที่วันนี้ม๊าฝากไก่ตุ๋นสมุนไพรกับปลาแดดเดียวทอดมาให้เลยไม่ต้องทำหลายอย่าง

“ถามทำไมน่ะ เป็นห่วงเหรอ?” เจ้าตัวถามยิ้มบาง ๆ

“ไม่น่าถาม”

เอสยิ้มกว้างก่อนจะตอบ “ก็เหนื่อยแหละ แต่แบบนี้ก็มีความสุขดีนะ”

“เหนื่อยแต่มีความสุข ยังไงเนี่ย?”

“ก็...ได้ทำงานเลี้ยงครอบครัว เห็นป๊าได้พักสักทีหลังจากทำงานหนักมานาน ได้ทำกับข้าวทำขนม แล้วก็...ได้อยู่กับตี๋ไง”

“แค่นี้อะ?”

“ก็แค่นี้สิ พี่ไม่โลภมากหรอก”

“จ้ะ” ตี๋ทำเบะปากพูดประชดประชัน ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่ามันคือเรื่องจริงก็เถอะ แต่ก็อดที่จะค่อนขอดไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าอายุก็แค่นี้ทำไมถึงมีความสุขกับชีวิตที่เหมือนคนแก่แบบนี้นะ

“เสร็จแล้ว ไปกินข้าวกัน”

“พี่ไปเรียกป๊าพี่เถอะ เดี๋ยวตี๋ยกไปให้”

บทสนทนาที่โต๊ะก็ไม่ได้มีอะไรมาก ตอนนี้ตี๋เองก็ไม่ได้เกร็งกับการอยู่ใกล้กับป๊าของพี่เอสเหมือนก่อนแล้ว พอได้เจอกันบ่อยถึงจะได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วท่านเป็นคนที่ตลกหน้าตายมาก ดูเหมือนเป็นคนเย็นชาแต่ก็ใจดี บางครั้งก็หาขนมนมเนยให้เขากับลูกชายตัวเองกินหลังจากกลับจากข้างนอกบ่อย ๆ บางครั้งก็เล่าเรื่องราวในสมัยก่อนที่ตัวเองยังหนุ่มให้ตี๋ฟัง และเขาเองก็ชอบเสียด้วย

พอเก็บล้างถ้วยชามที่กินเสร็จเอสก็ชวนตี๋ขึ้นไปบนห้องเหมือนทุกครั้ง พออะไรมันลงตัว ก็ได้รู้ว่าจริง ๆ แล้ว...เอสเป็นคนที่ถ้ามีแฟนแล้วจะติดแฟนมาก ชอบที่จะอยู่ใกล้ ๆ กัน ทั้งกอด หอมแก้ม หรือจับมือ

ภาพลักษณ์เจ้าชู้ที่เจอกันเมื่อหลายเดือนก่อนตอนนี้เริ่มจะไม่มีให้เห็นแล้ว นอกจากเวลาที่อีกฝ่ายเกิดเจ้าเล่ห์อะไรขึ้นมาถึงจะมีให้เห็นบ้าง จนมันทำให้ตี๋อดที่จะเกิดความสงสัยอีกไม่ได้

“นี่พี่ไม่เคยมีแฟนจริง ๆ ดิ”

เอสเงยหน้าขึ้นจากคอมพิวเตอร์แล้วหมุนเก้าอี้กลับมาหาคนถาม

“ก็จริงสิ”

“แค่กิ๊กกั๊กก็ไม่มีเหรอ?”

เอสส่ายหน้าตอบซื่อ ๆ เมื่อตี๋ถามย้ำอีก

“ทีเรายังไม่เคยมีแฟนเลย” เขาย้อนบ้าง

ตี๋ย่นจมูก “มันไม่เหมือนกันสักหน่อย ตี๋ไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้นี่”

“พี่ก็ไม่ได้สนใจเหมือนกัน”

“แล้วที่..." เจ้าตัวนึกคำเหมาะ ๆ ไม่ออก "ที่พี่ไปมีอะไรกับ...”

“ความรักกับความใคร่มันคนละเรื่องนะ” เขาตอบ “เอ่อ...สำหรับพี่เมื่อก่อนน่ะนะ”

“คนแบบพี่นี่มีเยอะเลยเหรอ” ตี๋ถามคิ้วขมวด เขาก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี “คนเราสามารถมีอะไรกับใครหลาย ๆ คนทั้งที่ไม่ได้รัก...ได้เหรอ”

เอสลุกขึ้นมานั่งข้าง ๆ ตี๋ที่นอนคว่ำอยู่บนที่นอน เห็นหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วก็เอ็นดู มือใหญ่ยกขึ้นลูบหัวก่อนจะตอบ “จริง ๆ ก็มีเยอะเลย คนแบบพี่น่ะ”

“ทำไมพี่ถึงทำแบบนั้นล่ะ ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่ามันไม่ดี”

“อืมมม จะว่ายังไงดีล่ะ” เจ้าตัวนึก เพราะมันก็ผ่านมาสักพักแล้วที่เขาเลิกพฤติกรรมแบบนั้น

“พี่พูดในมุมพี่คนเดียวนะ ถ้าคนอื่นพี่ก็ไม่รู้ว่าสาเหตุมันคืออะไร เมื่อก่อนนี้พี่ไม่อยากจะมีความรักหรือผูกพันกับใครเลยแม้แต่น้อย เพราะพี่เชื่อว่าความรักมันไม่มีอยู่จริง มันสามารถจางหายไปเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และถ้ามันจะเป็นแบบนั้น...ก็สู้อย่ามีมันเลยแต่แรกเลยจะดีกว่า”

“แล้วพี่ไม่เคยรักใครเลยเหรอ?”

เอสมองลงสบตากับคนถามแล้วยิ้มให้น้อย ๆ กับความซื่อ “มีสิ”

“แล้วไม่ได้บอกเขาไปหรอกว่ารัก?”

“บอกแล้ว”

“แล้ว?”

เอสมันเขี้ยวจนทนไม่ไหว ยกมือขึ้นบีบจมูกโด่งของคนที่ยื่นหน้ายื่นตาถาม “ก็บอกไปแล้วนี่ไง”

“โอ๊ย!” ตี๋สะบัดหน้าหนีปลายจมูกแดงแปร๊ด “นี่อย่าบอกนะว่า...”

“ใช่” ไม่รอให้อีกคนพูดจบ เขาชิ่งพูดก่อนเลย “ตี๋น่ะเป็นรักแรก แล้วก็...รักครั้งเดียวของพี่ไงล่ะ”

คนตัวขาวทำหน้าเลี่ยน ๆ “ทำไมต้องเสี่ยวเสมอต้นเสมอปลายขนาดนี้ด้วยเนี่ย”

เอสไม่ตอบโต้ได้แต่ยิ้มและลูบหัวของตี๋เบา ๆ

“แล้วทำไมถึงเป็นตี๋ล่ะ?”

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน สิบปีที่ผ่านมาพี่เจอใครมากมาย แต่พี่อาจจะเป็นพวกยึดติดเกินไปก็ได้ ไม่มีสักคนที่เติมเต็มความสุขพี่ได้เหมือนเราเลย จะว่าไปพี่ก็เคยพยายามที่จะลองคบใครหลายคนนะ แต่จนแล้วจนรอดก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ”

ตี๋เงียบฟังที่อีกฝ่ายพูดจนจบและไม่ได้มีความคิดเห็นใด ๆ ออกไป เพราะเขาไม่ได้อยู่ในจุดเดียวกับเอส ไม่ได้พบเจอกับเหตุการณ์เช่นเดียวกัน ก็เลยได้แต่ถามสิ่งที่กำลังสงสัยออกไปมากกว่า

“พี่มีความสุขไหม?”

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็พูดไม่ได้เต็มปากนะ เหมือนหลอกตัวเองว่ามีความสุขดีไปวัน ๆ มากกว่า แต่ตอนนี้พี่พูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าพี่มีความสุขมาก...อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยล่ะ”

ราวกับโดนรอยยิ้มของอีกฝ่ายสะกดเอาไว้ ตี๋ไม่เคยรู้สึกดีเมื่อเห็นคนอื่นมีความสุขเพราะตัวเองมาก่อน และนี่ก็เป็นครั้งแรก

ภายใต้ใบหน้าที่นิ่งเรียบของตัวเขามันคงทำให้อีกคนไม่รู้ว่าเขาเองก็มีความสุขเหมือนกัน และมันก็ทำให้เขาเกิดความคิดอยากจะปกป้องความสุขของอีกฝ่ายเอาไว้แบบนี้ เขาไม่อยากให้อีกคนสูญเสียมันไป...ต่อให้เอาอะไรมาแลกก็จะไม่ยอม

มือขาวเอื้อมไปจับมือใหญ่กว่าของเอส บีบเสียจนแน่นก่อนจะเอ่ย

“พี่” ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเสียงที่พูดออกไปมันพร่าแค่ไหน

“หืม”

ยังไม่ทันที่เอสจะได้พูดต่อ ตี๋ยันตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วดึงอีกฝ่ายเข้ามาจูบ...ไม่มีเหตุผล ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตนถึงเป็นฝ่ายเริ่มก่อน  รู้แค่ว่าอยากจะจูบมาก ๆ โชคดีที่ผ่านการเรียนรู้มาจากเอสหลายครั้งหลายหน และมันทำให้เขาจูบได้ไม่เลวเลยทีเดียว

“ตกใจหมด อะไรเนี่ย” เอสพูดหลังจากที่อีกฝ่ายถอนปากออกไป แต่ก็ยังเอาแขนคล้องคอตนอยู่ ส่วนเขาเองก็กอดเอวอีกคนให้มานั่งคร่อมบนตักเอาไว้กันหนี ก็รู้อยู่แล้วว่าตี๋เป็นคนผอมทั้งที่กินเก่ง แต่ก็ไม่คิดว่าจะผอมขนาดนี้  ไม่รู้ว่าถ้ากอดแรง ๆ เอวจะหักไหมนี่

ตี๋เม้มปาก ใบหน้านิ่งสบตาอีกฝ่าย แอบเขินนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มากมายเท่ากับเมื่อก่อน เพราะเขาเริ่มชินกับการถูกเนื้อต้องตัวกับอีกฝ่ายไปแล้ว

“ก็แค่อยากทำ”

เอสยิ้มมุมปาก “เป็นแบบนี้บ่อย ๆ ระวังพี่จะจับปล้ำเอา”

“กล้าก็ลองดิ” มองอย่างท้าทาย ที่กล้าท้าก็เพราะรู้ว่าเอสไม่ทำแน่นอน เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนรักษาคำพูดพอ

“ไม่หรอก เดี๋ยวเราโกรธ พี่รอได้”

ตี๋ยิ้มให้ก่อนจะเข้าไปหอมแก้มเอสฟอดใหญ่ ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นอะไรเหมือนกัน รู้สึกว่าตัวเองเอ็นดูอีกคนมาก จนอดใจไม่ไหว เขาอาจจะรักอีกคนมากจนตัวเองก็คงคิดไม่ถึงก็ได้

แต่ถึงมันจะเป็นความรักแบบไหนก็ตาม...มันก็คือรักล่ะนะ

“วันนี้กำไรจังน้า” เอสพูดเพ้อเอาหน้าซุกลงกับอกแห้ง ๆ ของตี๋ที่มันอาจจะไม่นุ่มนิ่มแต่ก็อบอุ่น 

เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ก้มลงมองคนอายุมากกว่าที่กำลังทำตัวเหมือนเด็กกำลังอ้อน แล้วยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู แขนยาวโอบกอดอีกคนเอาไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับลูบหลังขึ้นลงให้คนอ้อนได้ชื่นใจ

“ไปอาบน้ำได้แล้ว” ตี๋ว่า เพราะผ่านมาสักพักใหญ่แล้วก็ยังไม่โดนปล่อยออกจากวงแขน พอหันไปมองนาฬิกาก็เห็นว่ามันดึกแล้ว

“ขัดความสุขจัง” เจ้าตัวคลายแขนออก เงยหน้าขึ้นบ่นเสียงอ่อน

“จะได้มานอนด้วยกันไง” ตี๋พูดยิ้ม เอียงคอทำให้ดูน่ารักขึ้น

“งานพี่ยังไม่เสร็จเลยเหอะ” เอสเดินคอตกกลับไปทำงานต่อ ปล่อยให้แฟนเด็กนอนเล่นเกมในมือถือต่อไปอย่างสบายอารมณ์ เพราะตัวเองอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวเหลือบหันไปมองเอสที่นั่งหันหลังทำงานอย่างเคร่งเครียดอยู่เป็นระยะ จนในที่สุดก็เผลอหลับไป





เวลาล่วงเลยไปจนตีหนึ่ง งานที่หอบหิ้วมาจากบริษัทก็เสร็จ เจ้าตัวบิดขี้เกียจพร้อมกับหมุนตัวมาดูเด็กที่นอนเล่นเกม พอเห็นว่าหลับไปแล้วเอสก็ได้แต่อมยิ้ม ขายาวก้าวเดินมาก้มลงหอมผมนิ่มให้ชื่นใจ ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป

พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เปิดผ้าห่มล้มตัวลงนอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันแล้วดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอด ตี๋เป็นพวกชอบความเย็น พอเจอตัวเย็น ๆ ที่เพิ่งผ่านการอาบน้ำมาของเขาก็ขยับเข้ามาซุกตัวทันที ก็อย่างที่บอกกับคนในอ้อมแขนไป...ตอนนี้เขาพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าตอนนี้เขามีความสุขมากที่สุดในชีวิตแล้วก็ได้ แม้ตี๋จะยังไม่เคยบอกว่ารักเขาเลยสักครั้งก็ตาม หรือแม้เขาจะยังไม่ได้ครอบครองคนคนนี้ เขาก็มีความสุขแล้ว

เขาที่ไม่เคยรักใครและไม่ยอมให้ใครรัก ไม่เคยรู้จักความรักอย่างแท้จริง ตั้งแต่ได้กลับมาพบกับตี๋ ได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมาย เด็กคนนี้ทำให้ตัวเขารู้ว่าความรักที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เขาไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่าเลยนานขนาดนี้ ผ่านไปหลายเดือนแล้วแม้แต่ช่วยตัวเองก็แทบจะไม่มี มันทำให้เขาแปลกใจมากเหมือนกัน จนเริ่มคิดว่าหรือจริง ๆ แล้วตัวเขาก็ไม่ได้อารมณ์ทางเพศสูงอย่างที่ตัวเองคิดกันแน่

ตั้งแต่กลับมาเจอกันอีกครั้ง ตี๋ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองนั้นเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเป็นมาเกือบสิบปี พฤติกรรมแย่ ๆ หลายอย่างที่เคยทำก็เลิกอัตโนมัติโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องขอเลยด้วยซ้ำ เขาไม่เคยรู้เลยว่าจะทำตัวดีได้ขนาดนี้มาก่อนในชีวิต รู้สึกขอบคุณเด็กคนนี้มาก ๆ ไม่ว่าจะสิบปีที่แล้วหรือในตอนนี้ ตี๋เป็นเหมือนน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจให้เขาได้มีกำลังใจเสมอมา

“ฝันดีนะครับ คนดีของพี่...” เขาก้มลงหอมศีรษะที่กำลังแนบอกเขาอยู่ “...พี่รักเรานะ”

ตอนนี้เอสจะไม่ขอให้เด็กคนนี้บอกรัก เขาจะรอเมื่อตี๋พร้อมที่จะพูดมันออกจากปากของตัวเองด้วยความเต็มใจดีกว่า สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจคือ...อีกคนเองก็รู้สึกไม่ได้ต่างจากเขาสักเท่าไหร่หรอก แค่นี้มันก็ดีสำหรับเขามากแล้ว




++++++++++




“ตี๋ เดี๋ยวอยู่เฝ้าร้านให้ป๊าหน่อยนะ” คนเป็นพ่อบอกลูกชายคนเล็กที่กำลังนอนดูทีวีอยู่

“จะไปไหนกันอะ?” เจ้าตัวหันมาถามขนมยังคาปาก เพราะปกติแล้วไม่ป๊าเฝ้าก็จะเป็นม๊า ทั้งสองคนไม่ค่อยจะไปไหนพร้อมกันบ่อย ๆ หรอก

“ไปธนาคารหน่อย เดี๋ยวมา”

“เฝ้าร้านดี ๆ นะลูก” ม๊าวางมือลงบนหัว

“ครับ”

หลังจากนั้นตี๋ก็ต้องย้ายตัวเองมาอยู่ตรงส่วนร้าน ในระหว่างที่ไม่มีใครมาซื้อของเขาก็นั่งกดเกมในมือถือแทน ช่วงปิดเทอมเป็นเวลาที่เขาทำตัวไร้สาระที่สุด มักจะหมดเวลาไปกับการกิน นอน อ่านหนังสือ และเล่นเกม แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไรสักคน เพราะตอนเปิดเรียนก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาน่ะแทบจะไม่มีเวลาว่างเลย ขนาดเวลาจะนอนยังน้อย เพราะแบบนี้เลยไม่ค่อยมีใครใช้งานเขาหรอกถ้าไม่จำเป็น

“รับอะไรดีครับ” ลูกชายเจ้าของร้านถามเมื่อเห็นว่ามีคนมายืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าร้าน

“พอดีอยากได้ผ้าไปตัดกระโปรงนักศึกษา ต้องใช้ผ้าแบบไหนเหรอคะ?”

“อ๋อ ทางนี้ครับ” ตี๋เดินนำมาตรงม้วนผ้า “กี่เมตรครับ”

“ห้าเมตรก็น่าจะพอนะคะ”

“ถ้าไม่พอไว้มาซื้อเพิ่มก็ได้ครับ” ตอบยิ้ม ๆ

“อ่าว อาตี๋วันนี้อยู่เฝ้าร้านด้วยเหรอเนี่ย” หญิงชราที่เพิ่งเดินเข้าร้านมาทักเสียงดัง

“วันนี้ป้ากับม๊าไปธุระ ตี๋เลยต้องมาเฝ้าแทนครับ อาม่าเอาอะไรดี?” เจ้าตัวตอบเสียงสดใสกับอาม่าแถวบ้านที่คุ้นเคยกันดี ขณะที่กำลังวัดผ้าก่อนจะตัดแล้วพับลงถุงส่งให้ลูกค้าสาว

“ว่าจะมาซื้อกระดุมสักหน่อย เสื้ออากงไม่มีกระดุมเหลือแล้ว” เธอพูดกลั้วหัวเราะ

"ครับ ๆ รอตี๋แป๊บหนึ่งนะ” ตี๋หันไปบอกราคา รอรับเงินแล้วก็ทอนเงินให้เรียบร้อยถึงจะเดินเข้าไปหลังตู้กระจกเพื่อรอหยิบกระดุมให้อาม่า

“เอาแบบนี้ สองเม็ดพอ”

“ครับผม” หยิบใส่ถุงซิปยื่นให้ “สองบาทครับ”

“ขอบคุณครับ ม่าก็รักษาสุขภาพด้วยนะ” ตี๋จับมือของหญิงชราพาเดินออกไปหน้าร้าน

“ขอบใจมากนะ”

เจ้าตัวยิ้มให้แทนคำตอบ ยืนส่งอาม่าจนเดินเข้าบ้านไปเรียบร้อย เพราะบ้านท่านอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ช่วงตึกเอง ตี๋เป็นคนที่ผู้ใหญ่ต่างให้ความเอ็นดูเสมอ และส่วนตัวเขาเองก็ชอบที่จะพูดคุยกับคนอายุมากกว่า และก็เข้ากันได้ดีกับผู้สูงอายุมากกว่าคนวัยเดียวกันซะอีก

“กลับมาแล้วจ้า” ม๊าพูดทันทีที่เดินเข้ามาในร้าน ลูกชายคนเล็กเงยหน้าขึ้นจากมือถือแล้วลุกเดินไปช่วยหิ้วของ

“ซื้ออะไรมาเยอะแยะเนี่ย” ตี๋ว่า เพราะแขนทั้งสองข้างเกร็งไปหมดจากการหิ้วของหนัก

“ของใช้แล้วก็ของกินทั้งนั้น” ป๊าตอบ

“เดี๋ยววันนี้ม๊าจะทำกระดูกหมูต้มไช้เท้าให้นะ แล้วก็เอาไปฝากบ้านนั้นด้วยล่ะ”

“ครับ” ตี๋ดีใจที่จะได้กินของโปรด พอวางของเสร็จก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไลน์หาเอสว่าวันนี้ม๊าจะทำกับข้าวไปฝากหนึ่งอย่าง

“ตี๋ขึ้นห้องก่อนนะม๊า”

“จ้า”

อีกไม่กี่ชั่วโมงเอสก็จะเลิกงานแล้ว พอปิดเทอมแบบนี้ กลายเป็นว่าเจ้าตัวนั่งนับเวลารอพี่เอสเลิกงานแทบจะทุกวันเลยด้วยซ้ำ สงสัยว่าเขาคงจะว่างเกินไป พอเป็นแบบนี้มันก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่เริ่มกลับมาติดอีกฝ่ายเป็นตังเมเหมือนตอนเด็ก ๆ อีกครั้ง ถึงจะดูภายนอกแล้วอาจจะไม่มีใครรู้ แต่ตัวเขาเองนั้นก็รู้อยู่แก่ใจ เวลาว่าง ๆ ตอนนี้เขาเลยต้องหาอะไรทำไปเรื่อย ๆ พยายามไม่ให้ตัวเองว่างเกินไปจนฟุ้งซ่าน

“ทำไรอยู่วะ” ตี๋กดโทรหาภาค “เล่นเกมกันมึง”

(เป็นห่าไรเนี่ยชวนเล่นแต่เกม)

“ว่าง”

(คิดถึงผัวอะดิ) ภาคพูดเสียงอ่อนเสียงหวานกวนตีนเพื่อนรัก

“ผัวพ่อมึงสิ”

(หราาาาา)

“เออออออ”

(นี่ยังไม่ได้กัน?)

ภาคถาม จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากจะละลาบละล้วงอะไรมากมาย แค่สงสัยเท่านั้นเอง คบกันมาก็หลายเดือนแล้ว แต่ดูท่าเพื่อนของเขาคงยังไม่โดนจับกินเป็นแน่แท้ นี่ถ้าเป็นชาวบ้านเขาเสร็จกันตั้งแต่อาทิตย์แรกแล้วมั้ง ตอนแรกเขาก็สงสัยนะว่าใครรุกใครรับ แต่กะดูจากขนาดตัวแล้ว ถึงแม้จะสูงเท่า ๆ กันก็เถอะ แต่ไอ้ตี๋เพื่อนเขามันตัวบางกว่ามาก เรียกว่ากระดูกคนละเบอร์เลยจะดีกว่า เห็นแบบนี้ก็ไม่ต้องเดาให้ยากเลยว่าใครเป็นฝ่ายไหน

“ถามเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย!!” ตี๋ตะเบ็งเสียด่าแก้มแดง

(กูก็แค่สงสัยอะ) ภาคบอกซื่อ ๆ (สรุปยังเหรอวะ?)

ตี๋ถอนหายใจกับความขี้เสือกของเพื่อนตัวเองก่อนจะตอบ “เออ”

(โห ตอนแรกกูมองพี่เขาแล้วคิดว่ามึงต้องเสร็จเขาช้าสุด ๆ เลยนะก็แค่เดือนเดียว นี่ล่อไปสามเดือนกว่าแล้ว เป็นพ่อพระหรือนักบวชกันวะเนี่ย)

“เสือก” ตี๋ด่าสั้น ๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรไป เพราะไม่ว่าจะด้วยเหตุผลไหน เขาคิดว่าส่วนอื่นให้เว้นไว้เป็นเรื่องส่วนตัวจะดีกว่า

(วันนี้จะเล่นอะไร) พอเห็นว่าตี๋มันคงจะไม่ตอบแน่ ๆ เขาก็เลยวกเข้าเรื่องเกมแทน

“เคาน์เตอร์ละกัน ไม่ได้เล่นมานานแล้ว”

(เออ เปิดคอมแป๊บ)

การเล่นเกมเป็นการฆ่าเวลาที่ดีอีกอย่างหนึ่งเลย แถมยังได้ฝึกสมองด้วย เวลาที่มีใครชอบด่าคนที่เล่นเกม ตี๋ก็มักจะหงุดหงิดเสมอ การเล่นเกมไม่ใช่ว่าจะเล่นกันได้ดีทุกคนเสียหน่อย ไม่ใช่ว่ามันไม่ต้องใช้ทักษะอะไรเลย มันต้องใช้ทั้งสมาธิและทักษะเหมือนกับการเล่นกีฬาชนิดอื่นนั่นแหละ

.
.
.

หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.9 หน้า 2 [up:15/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 15-05-2018 18:14:53


“ตี๋!” เสียงแม่เรียกจากชั้นล่าง ดีที่ว่าเขาเล่นเสร็จพอดีเลยได้ยิน

“ครับ” เจ้าตัวเปิดประตูขานรับ

“พี่เอสเขามาหาแหนะลูก”

คนที่กำลังรอปิดประตูแล้วรีบวิ่งลงมาด้านล่างทันที เพราะไม่บ่อยนักหรอกที่อีกคนจะมาหาตนถึงบ้าน ป๊า ม๊าแล้วก็พี่เอสนั่งอยู่ด้วยกันที่โซฟาหน้าทีวี คนเป็นแม่ตกใจที่เห็นลูกชายคนเล็กวิ่งหน้าตาตื่นลงมาจนอดที่จะขำไม่ได้

“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้” เอสยิ้มขำ

“แล้วพี่มาไมอะ?” น้องถามหน้าเหลอหลา

“ก็มาขอบคุณที่แม่ของตี๋ทำกับข้าวให้พี่บ่อย ๆ น่ะสิ”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ตี๋ก็ไปรบกวนบ้านเราประจำเลย ตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว”

“ม๊าอะ ตี๋โตแล้วนะ” ตี๋ว่าหน้างอ

“ไม่ได้รบกวนหรอกครับ” เอสตอบยิ้มน้อย ๆ

“ใครจะเชื่อ มันทำอะไรเป็นที่ไหน นอกจากกินกับนอน ไปบ้านเรามันจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ได้” ป๊าพูดจบก็พ่นลมออกจากจมูกดังหึพร้อมกับเหลือบมองลูกชายที่ว่าอย่างดูถูก

ตี๋มองอ้าปากค้าง อยากจะโวยวาย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำมันยังไงดี เพราะที่ป๊าพูดมามันก็คือเรื่องจริงทั้งนั้น

“ก็จริงครับ”

ตี๋หันขวับไปหาเอสทันทีด้วยความไม่พอใจ

“แต่เขาก็เป็นเด็กที่ดีมากนะครับ ตอนนี้ตี๋เป็นเพื่อนคุยกับป๊าของผมได้ดีทีเดียว ช่วยให้ท่านคลายเหงา แล้วก็หายเบื่อไปได้เยอะเลยครับ” เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังและสายตาที่มองตรงอย่างแน่วแน่ จนป๊ากับม๊าของตี๋เงียบฟังด้วยความรู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก

ตี๋มองกลับไปกลับมาทั้งสองฝั่งอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะทางพี่เอสก็ดันพูดอะไรซะจริงจังขนาดนั้น จนเขากลัวว่าป๊ากับม๊าจะจับผิดอะไรได้ อย่างที่บอกเขากลัวว่าท่านจะรู้ว่าเขาสองคนคบกัน เขายังไม่พร้อมจะรับมือเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนั้นได้ และที่กลัวยิ่งกว่าก็คือ...เรื่องนี้มันอาจจะทำร้ายจิตใจของอีกฝ่าย ซึ่งเขาไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น

“ห- เห็นปะ ตี๋ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ซะหน่อย อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนคุยได้นะ” ตี๋ว่าเชิดหน้าใส่ป๊า พยายามทำใจดีสู้เสือ

“ก็ดี” ป๊าว่าเสียงสูงที่ท้ายคำจนลูกชายนึกหมั่นไส้

“ไปเอากับข้าวในครัวกันดีกว่าเนอะ เดี๋ยวเฮียโจวหิวแย่เลย” ม๊าเรียกให้เอสเดินตามเข้าไปเอากับข้าวที่ในครัว ส่วนตี๋กับป๊าก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม กับใจที่เต้นไม่เป็นส่ำของคนเป็นลูกภายใต้ใบหน้านิ่ง ๆ

“ไปบ้านเขาก็หัดช่วยงานบ้างล่ะรู้ไหม”

“รู้แล้ว ตี๋ก็ช่วยล้างจานนะ”

“อย่าไปซนที่บ้านเขานักล่ะ” คนเป็นพ่อพูดแซวลูกชาย

“ตี๋ไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

“ไม่ใช่เด็กแต่ก็ยังไม่โตพอ”

ตี๋ชะงักไป เพราะก็ยอมรับในสิ่งที่ป๊าพูด ก่อนจะรับคำสั้น ๆ “ครับ”

คนเป็นพ่อยิ้มบาง ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปลูบหัวลูกชายคนเล็กด้วยความรักใคร่ มีไม่บ่อยนักหรอกที่ป๊าของตี๋จะแสดงความรักเช่นนี้กับลูกชาย เรื่องลูบหัวอะไรแบบนี้แทบจะไม่มีเลยตั้งแต่ลูก ๆ โตขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักซะเมื่อไหร่กัน

หลังจากที่ป๊าเดินหายเข้าไปในครัว ตี๋ก็ทิ้งตัวลงกับพนักพิงโซฟาแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทั้งอึดอัดและโล่งอก ตาเรียวปิดลงด้วยความเหนื่อย สักพักเอสก็เดินออกมาจากครัวหลังบ้านยืนยิ้มสองมือหิ้วปิ่นโตเถาใหญ่

“ม๊าจัดให้เต็มเลย วันนี้ไม่ต้องทำกับข้าวละ” เอสบอก

“ก็ดีแล้ว ไปรอหน้าบ้านนะ ตี๋ไปเอามือถือก่อน” พอเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้ารับ ขายาวก็วิ่งขึ้นไปบนบ้าน หายไปไม่นานก็วิ่งผ่านหน้าป๊าไป

จนเจ้าตัวอดแซวลูกชายไม่ได้ “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้มั้ง”

ตี๋ไม่ตอบโต้ เพียงแค่หันไปยักคิ้วให้สองที แล้วค่อยเดินออกไปหาคนที่ตัวเองนั่งคิดถึงมาตลอดทั้งวัน

“ไปกันเถอะ”

ตอนนี้ตี๋เองก็เอาเสื้อผ้าและของใช้บางอย่างที่จำเป็นเอาไปไว้ที่บ้านของเอสแล้ว จะได้ไม่ลำบากแบกไปแบกมา เสื้อผ้าที่ใส่แล้วเอสก็จัดการซักอบรีดให้เรียบร้อย

“กินขนมไหม วันก่อนพี่ลองอบเค้กกล้วยหอมดูด้วยล่ะ”

ตี๋พยักหน้าแบบไม่ต้องคิดเลย เขาชอบกินกล้วยหอมมาก “ขอนมหนึ่งแก้วด้วยนะครับ”

“ครับผม”

ทั้งสองคนเดินเข้าไปในบ้านก็เจอป๊าพี่เอสนั่งดูทีวีอยู่พอดี

“ป๊าพี่เอสสวัสดีครับ”

ท่านยกมือรับไหว้ “เรียกซะยืดยาว คุ้นเคยกันขนาดนี้แล้ว เรียกป๊าก็พอ”

“อะ- เอ่อ...” ตี๋ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เหลือบตาไปมองคนตัวใหญ่ที่ยืนยิ้มขำอยู่ด้านหลังของพ่อตัวเอง

“ไหนลองเรียกป๊าสิ” คนสูงอายุบอก

“เอ่อ...”

“ลองดู ป๊า” ท่านย้ำ

“ป๊า...ครับ” ตอนแรกตั้งใจจะเรียกป๊าเฉย ๆ แต่ก็ดูจะห้วนไปเลยเติมครับให้ด้วย ที่ไม่อยากเรียกแบบนี้ไม่ใช่อะไร แค่รู้สึกแปลกเวลาเรียก เหมือนกับเราเป็นครอบครัวเดียวกันอย่างนั้นแหละ แต่พอเห็นสีหน้าพึงพอใจของคนสูงอายุรวมถึงลูกชายอีกฝ่ายด้วยแล้วก็แอบหมั่นไส้ขึ้นมาเล็กน้อย

“ก็แค่นี้” เจ้าตัวเดินเข้ามากอดไหล่ของตี๋ “ตี๋ก็เหมือนเป็นลูกชายป๊าอีกคนแล้วนะ ไม่ต้องเขิน”

ตอนแรกตี๋ก็ไม่ได้เขินอะไรหรอก แต่พอโดนทักเท่านั่นแหละ เขินเลย แก้มขาว ๆ ขึ้นสีชมพูระเรื่อ แต่อีกใจก็รู้สึกอบอุ่น อุ่นใจ ทุกวันนี้ตัวเขาก็เข้าออกบ้านนี้ราวกับเป็นบ้านตัวเองไปแล้ว มันเลยทำให้เขารู้สึกผูกพันกับอีกฝ่ายเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่อีกคนหนึ่ง

“แกล้งเด็กมันน่าป๊า ไปกินข้าวกัน วันนี้ม๊าตี๋ให้กับข้าวมาเต็มเลย” เอสพูดก่อนจะเดินนำเข้าไปในครัว โดยมีอีกสองคนเดินตามไป

“แกล้งนิดแกล้งหน่อยทำเป็นหวง”

“ไม่ได้หวงซะหน่อย”

“กูเป็นพ่อมึง กูรู้หมดแหละ” พูดจบก็นั่งลงกับเก้าอี้ ลูกชายคนเดียวส่ายหัวยิ้มกับคำพูดติดปากของคนเป็นพ่อ เอสจัดวางกับข้าวลงบนโต๊ะโดยที่มีตี๋ตักข้าวแล้วยกมาวางให้ เห็นภาพแบบนี้แล้วมันก็ทำให้ท่านยิ้มออกมาด้วยความอิ่มเอมใจ พออายุมากขึ้นแล้วตัวเขาเองถึงได้เข้าใจความหมายของครอบครัว ว่ามันมีความสุขมากแค่ไหน เพียงแค่ได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่ขัดขวางความรักของลูกชาย ครั้งหนึ่งเขาเคยทำสิ่งที่สำคัญหายไป และเขาไม่ต้องการให้เอสพบเจอเรื่องราวอย่างที่เขาได้ผ่านมา ในใจก็ได้แต่หวังว่าวันใดที่ตัวเขาไม่ได้อยู่บนโลกนี้กับลูกชายแล้ว ก็ขอให้มีใครสักคนหนึ่งอยู่เคียงข้างกันเท่านั้นเอง







“ทำอะไรอยู่เหรอ” ตี๋เดินเช็ดผมออกจากห้องน้ำ เอ่ยถามคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ชะโงกไปดูก็เห็นโค้ตโปรแกรมอะไรไม่รู้เยอะแยะเต็มไปหมดจนน่าปวดหัว

“ทำงานน่ะสิ” เอสตอบไม่เงยหน้าขึ้นจากคอม “ขนมกับนมอุ่น ๆ พี่วางให้บนโต๊ะแล้วนะครับ”

คนเพิ่งอาบน้ำเสร็จหันไปมองที่โต๊ะแล้วปากแดงก็อมยิ้มออกมา เจ้าตัวเดินไปใกล้ตัวเอส ก้มลงหอมแก้มไปหนึ่งฟอด “ขอบคุณครับ”

คนถูกหอมหันกลับมามองตี๋ที่เดินไปหยิบขนมกินอย่างประหลาดใจ เขารู้สึกว่าช่วงนี้อีกฝ่ายถึงเนื้อถึงตัวมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่การนัวเนียแบบลามก เป็นการเข้ามาคลอเคลียแบบอ้อน ๆ เสียมากกว่า ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบการกระทำแบบนี้ แต่บางทีมันก็ต้องใช้การข่มใจในบางครั้งเหมือนกัน ถึงแม้ว่าในระยะนี้เขาจะมีความหื่นน้อยลงแล้วก็ตาม

“อร่อยไหม?”

ตี๋พยักหน้าเป็นคำตอบแทนเพราะกำลังกินอยู่เต็มปาก เอสหันกลับมาทำงานต่อพร้อมกับรอยยิ้มและความรู้สึกดีในหัวใจ ชีวิตในช่วงเวลานี้ทำให้เขารู้สึกพอใจและไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีก เป็นชีวิตที่เรียบง่ายแบบที่เขาไม่เคยพบเจอมานาน เมื่อก่อนนี้เขาอาจเป็นคนที่ไม่ดี แต่ทั้งป๊าและตี๋ก็ช่วยทำให้เขารู้ว่าชีวิตที่สงบสุขแบบนี้ก็ดีไม่น้อยอยู่เหมือนกัน

การคบกันกับตี๋ ทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง สิ่งที่เมื่อก่อนนี้เคยคิดว่ามันจำเป็น อย่างเซ็กซ์ ตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นอะไร การอยู่แบบนี้มันก็ดีไม่หยอก มีแค่กอด จูบ และได้ดูแลกันแบบนี้ ก็มีความสุขดี ถึงแม้ว่าความต้องการทางเพศมันอาจจะมีอยู่บ้าง ก็เขายังเป็นผู้ชายที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ มันก็ไม่แปลกที่จะมี แต่ถ้าอีกฝ่ายยังไม่พร้อมที่จะมีมัน เขาก็ไม่ได้เร่งรัดอะไร

“ยังไม่เสร็จอีกเหรอ?”

“หืม?” คนที่กำลังนั่งทำงานหมุนเก้าอี้กลับไปมองคนถาม ที่ตอนนี้กำลังนอนคว่ำเอามือเท้าคางมองมาทางเขาอยู่ด้วยสีหน้าง่วง ๆ วันนี้มาแปลก ปกติแล้วถ้าง่วงก็จะหลับไปก่อนเลยแท้ ๆ แต่วันนี้มีการรอด้วย

“ยังทำงานไม่เสร็จอีกเหรอ?” ตี๋ถามย้ำ

เอสยิ้มเพราะรู้แล้วว่าตี๋เป็นอะไร ก่อนจะย้อนถาม “ทำไมครับ เหงาเหรอ”

“เปล่าสักหน่อย”

“เปล่า? แล้วทำไมต้องหลบตาพี่ด้วย”

“ก็บอกว่าเปล่าไง” คราวนี้ตี๋พูดพร้อมกับยันตัวลุกนั่งแล้วจ้องตากลับ ทำเอาเอสหัวเราะลั่น จากที่เจ้าตัวหน้าไม่รับแขกอยู่แล้ว ตอนนี้หน้าบูดเลย

คนพี่ลุกขึ้นไปหาคนนั่งตาขวางอยู่บนที่นอน นั่งลงข้าง ๆ แล้วยกมือขึ้นลูบแก้มเพื่อให้ผ่อนคลายความโกรธลง “อะ ๆ พี่ขอโทษ งานพี่อีกสักพักถึงจะเสร็จนะ ถ้าง่วงก็หลับไปได้เลย”

“จะรอ”

“รอทำไมล่ะ ง่วงก็นอนไปเลย”

หน้าขาวหงิกลงอีก เพราะอยากนอนกอดอีกฝ่ายหลับ แต่ก็เป็นเพราะความปากหนักเลยไม่ยอมพูดออกไป

“ก็จะรอ พี่จะทำก็ไปทำเถอะ ตี๋รอได้”

เอสยิ้มแล้วส่ายหัวให้กับความดื้อดึงของเด็กคนนี้ หันไปมองงานของตัวเองแล้วคิดว่ามันก็ไม่ได้รีบขนาดนั้น แค่เขาเป็นพวกทำงานแล้วชอบติดลมเท่านั้นแหละ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องทำงานด้วย ไว้ค่อยทำทีหลังแล้วกัน

“โอเค เดี๋ยวพี่ไปปิดคอมก่อนนะ”

พอเอสพูดจบตี๋ก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าตอบด้วยความพอใจ แล้วนั่งรอด้วยหน้ามึน ๆ จะหลับไม่หลับแหล่ สร้างความเอ็นดูแก่อีกคนจนอดที่จะเอื้อมมือไปขยี้หัวไม่ได้ ขายาวก้าวไปที่โต๊ะเพื่อจัดการงานของตัวเองให้เรียบร้อย พอปิดคอมเสร็จก็เดินกลับมาที่เตียง

“มา ๆ นอนกันได้แล้วครับเด็กดื้อ”

“ไม่ดื้อสักหน่อย” ตอบเสียงอู้อี้เพราะเจ้าตัวเบียดหน้าเข้ากับอกหนาของพี่เอส หัวเล็ก ๆ หนุนลงกับแขนของอีกฝ่าย พร้อมกับพาดแขนไว้กับเอวของอีกคนด้วยความคิดถึง

“ทำไมวันนี้อ้อนจังเลย”

“ไม่รู้”

“อ้าว นี่พี่ไม่ได้คุยอยู่กับตี๋เหรอเนี่ยถึงตอบว่าไม่รู้” มือใหญ่ลูบลงกับหัวเล็กทุย ๆ ของตี๋

“ก็ตี๋สิ” คนในอ้อมกอดเริ่มตอบไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เพราะสติเลือนรางลงด้วยความง่วง ยิ่งอยู่ในอ้อมกอดของเอสที่ทำให้เขาหลับได้อย่างสบายใจแล้วยิ่งไปกันใหญ่ จากที่พูดไม่ค่อยเก่งก็กลายเป็นพูดไม่รู้เรื่องแล้ว

“คิดถึงพี่เหรอครับ”

“อื้ม คิดถึง” เจ้าตัวเผลอตอบออกไปตอนที่สติแทบจะเป็นศูนย์ เสียงงึมงำฟังยาก แถมยังเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่เพราะห้องมันเงียบมาก เป็นโชคดีที่เอสได้ยิน

ในตอนแรกเขาก็ไม่ได้คิดว่าตี๋จะคิดถึงเขาจริง ๆ หรอก แต่เพราะช่วงนี้อีกคนทำตัวผิดไปจากปกติ อาจจะไม่ได้มากอะไร แต่เขาก็ดูออก ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำว่าคิดถึงออกจากปากอีกฝ่าย ถึงมันจะเป็นการหลุดปากเพราะความง่วงก็ตาม เพราะถ้าเป็นเวลาปกติล่ะก็...ตี๋ไม่มีทางพูดมันออกมาแน่นอน แต่เขาก็ดีใจ ที่อย่างน้อยก็ไม่ใช่เขาคนเดียวที่คิดถึงอีกฝ่าย เอสกอดคนในแขนให้แน่นขึ้น ก้มลงจูบหัวด้วยความรัก

“ดื้อเอ๊ย”


TBC…
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเราก็เขียนนิยายละมุนตุ้น(?)ได้ด้วย  :laugh:
เขียนเองก็อยากได้ทั้งเอสและน้องตี๋มาเป็นของตัวเอง 555555
ขอบคุณที่ชอบและติดตามกันนะคะ เราจะพยายามต่อไปค่ะ  :mew1:

หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.9 หน้า 2 [up:15/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-05-2018 19:40:44
 :กอด1: เอ็นดูคนปากหนัก
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.9 หน้า 2 [up:15/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-05-2018 12:19:27
เอาใจช่วย เอส ตี๋    :mew1: :mew1: :mew1:

เอส ตี๋    :กอด1: :กอด1: :กอด1:
      :L1: :L1: :L1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.10 หน้า 2 [up:19/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 19-05-2018 16:06:49
10




เอสมองอีกคนที่ยึดโต๊ะทำงานของเขาเพื่อนั่งเล่นเกมมาได้สักพักใหญ่แล้ว ได้ยินปากบางด่าคนด้านในผ่านไมโครโฟนที่ติดอยู่กับหูฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มขำ วันหยุดนี้เจ้าตัวหอบโน้ตบุ๊คมาให้เขาทำให้ สาเหตุเพราะตี๋ไม่สันทัดเรื่องเทคโนโลยีเลยแม้แต่นิด พอได้เครื่องไปก็นั่งเล่นเกมกับเพื่อนจนบ่ายถึงจะลุกมาบิดขี้เกียจ

“ผมยาวแล้วนะ” คนเป็นพี่เดินเข้าไปทักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเล่นเกมจบแล้ว

“ใช่ ขี้เกียจตัดอะ” ยกมือขึ้นคลำผมตัวเองพลางบ่นเสียงเอื่อย เขาไม่ชอบเข้าร้านตัดผม เพราะไม่ชอบให้ใครก็ไม่รู้มาจับหัวตัวเอง

“ปกติตัดร้านไหนล่ะ? เดี๋ยวพี่พาไป”

“ตัดเอง”

“หา?!”

“ทำไมต้องตกใจด้วย” เจ้าของหัวเงยหน้ามองไม่พอใจ จริง ๆ ก็เคยมีคนว่าเรื่องของทรงผมเขาอยู่เหมือนกัน แต่ก็หาได้สนใจไม่ เขาก็ไม่ได้ฝีมือแย่ขนาดนั้น
สักหน่อย

“เปล่า ๆ มิน่าล่ะทำไมดูไม่เป็นทรงเลย แต่ไว้ยาวก็ดีนะ เราผมสวยออก”
เอสยื่นมือไปจับผมสีดำขลับลื่นมือที่ตอนนี้มันยาวจนประต้นคอแล้ว

“คิดอยู่นะ แต่ป๊าไม่ชอบผมยาว แค่นี้ก็บ่นจะแย่แล้ว”

“อ่าฮะ”

ตี๋หมุนเก้าอี้มาหาคนพี่ ยกแขนขึ้นกอดเอวแล้วเอาคางวางที่ท้องอีกฝ่าย ช้อนตามองเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง เอสส่งเสียง “หืม” เป็นเชิงถาม เอียงคอมอง

“พี่อยากให้ตี๋ไว้ผมยาวเหรอ?”

“พี่น่ะยังไงก็ได้ แล้วแต่เราเถอะ” มือที่ใหญ่กว่าเกลี่ยผมสวยเล่น

“ตี๋ถามก็ตอบมาสิ อย่ามาย้อน”

“โอ๊ย ๆๆ” เอสร้องเพราะโดนกัดท้อง “ไว้ยาวครับ ไว้ยาว”

“ก็แค่นี้” พอได้รับคำตอบก็ปล่อยมือแล้วหมุนตัวกลับมาปิดคอมให้เรียบร้อย เพราะถึงเวลาที่จะต้องลงไปช่วยทำกับข้าวแล้ว ถึงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าช่วย แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้จักว่าอะไรเป็นอะไรมากขึ้นก็แล้วกัน เวลาที่โดนเรียกให้หยิบก็หยิบถูกแล้วด้วย

“ทำแบบนี้บ่อย ๆ มันอันตรายนะรู้ไหม?” คนโดนกัดยกมือขึ้นขยี้หัวไอ้ตัวแสบ

“ยังไงอะ?”

“เฮ้อ เอาเถอะ ไปทำกับข้าวกัน”

“ก็อะไรล่ะ” ตี๋ดึงชายเสื้อไว้ไม่ให้คนที่กำลังเบี่ยงเบนประเด็นเดินหนี

เอสหันกลับมาเผชิญหน้ากับตี๋ก่อนจะตอบ “อย่ารู้เลย”

“บอกมา” หรี่ตามอง

“ก็...” เจ้าตัวไม่ได้ตอบในทันที แต่ปลายนิ้วกลับขยับเข้าไปแตะตรงท้องของอีกฝ่าย คราแรกตี๋ก็ยังคงไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร จนกระทั่งมือใหญ่เลื่อนลงจนมาถึงท้องน้อย สัมผัสเบาหวิวที่ผิดปกติทำให้เขาดันตัวออกจากมันทันที ใบหน้าขาวตกใจอย่างเห็นได้ชัด

“เข้าใจแล้วใช่ไหม?” เอสวางมือลงบนหัวทุยแล้วเขย่ามันเบา ๆ อย่างปลอบโยน

“ข- เข้าใจแล้วครับ”

คว้าแขนคนน้องที่กำลังอยู่ในอารมณ์ตกใจให้เดินตามเขาออกจากห้อง ที่ต้องทำอย่างนั้นก็เพราะว่าถ้าพูดไป เดี๋ยวอีกฝ่ายก็คงจะไม่เข้าใจอีก ดีไม่ดีก็คงจะหาว่าเขานั้นลามกแน่นอน ถ้าแสดงให้เห็นแล้วตี๋ที่เป็นผู้ชายเหมือนกันก็คงจะเข้าใจมันได้ไม่ยากแน่นอนว่าเพราะอะไรมันถึงอันตราย

“ไอ้ลามก” ทันทีที่หายตกใจเขาก็ว่าคนที่เดินนำอยู่ข้างหน้าด้วยความหมั่นไส้

“งั้นเราก็ขี้อ่อย”

“ใครอ่อยวะ!”

“ก็เราน่ะแหละ”

“ไม่ใช่เหอะ”

“ถ้าไม่ใช่แล้วเมื่อกี้คืออะไรล่ะ”

มือขาวที่ไม่ถูกจับทุบอั๊กลงที่กลางหลังพี่ชายด้วยความหงุดหงิด ดันมาหาว่าตัวเขาขี้อ่อย แล้วโดนทุบไปแทนที่จะสลดกลับหัวเราะชอบใจซะอย่างนั้น เลยทำให้เขารัวมือใส่ไม่ยั้ง

“ซาดิสท์หรือไงวะ!”

“โอ๊ย เจ็บ ๆๆๆ” เอสหันกลับมาจับข้อมือขาวให้หยุดเสียที

“ก็หยุดหัวเราะสิ”

“ครับ ๆๆ”

คนเป็นพี่รับหน้าที่ทำกับข้าวโดยมีลูกมือเป็นตี๋เหมือนเคย วันนี้วางแผนว่าจะทำปลานึ่งบ๊วย ดอกกุยช่ายผัดตับ และไก่ผัดขิง

“ตี๋หยิบดอกกุยช่ายให้พี่หน่อยสิ” เอสที่กำลังง่วนกับการแกะกระเทียมอยู่เรียกใช้อีกคนที่นั่งมองรอรับคำสั่ง คนตัวผอมเดินลุกขึ้นไปหยิบให้แล้วก็กลับมานั่งลงที่เดิม เขาชอบมองเวลาที่อีกฝ่ายทำกับข้าว มันเพลินตาดี คิดแบบเล่น ๆ ดูแล้วก็คงจะอารมณ์เดียวกับสามีที่ชอบมองภรรยาของตัวเองล่ะมั้ง

“ยิ้มอะไร หืม?”

“อ- เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”

“ไม่มีก็ไม่มี” ตัวเขาก็ไม่อยากจะไปจี้อะไรเด็กตรงหน้านี้มากนัก ขืนดันทุรังจี้มากไป เดี๋ยวได้มีอารมณ์ขึ้นกลบเกลื่อนความเขินกันอีก “ก่อนเปิดเทอมไปเที่ยวไหนกันดีไหม?”

ตี๋มองหน้า ถึงจะเป็นแค่ตาชั้นเดียว แต่จ้องเขาตาแป๋วแบบนี้ก็น่ารักไม่หยอก

“ไปไหนอะ?” ย้อนถามด้วยความตื่นเต้น นานแล้วที่ไม่ได้ไปเที่ยวไหน

“แล้วแต่เราเลย”

“ตี๋อยากไปเที่ยวภูเขา ไม่เคยไปเลย” เขาแค่เปรยไม่ได้ว่าจะให้คนเป็นพี่ตามใจเขาหรอก เพราะรู้ว่ามันไกล ขับรถน่าจะเหนื่อย

“เอาสิ เดี๋ยวพี่พาไป อีกอาทิตย์กว่า ๆ ก็จะถึงวันหยุดยาวแล้ว เดี๋ยวพี่ลาเพิ่มอีกสองวัน”

ตี๋มองเอสอ้าปากหวอด้วยความดีใจ “แล้ว- แล้วป๊าไปด้วยไหม?”

“ต้องลองถามก่อนนะ ป๊าพี่เขาไม่ชอบนั่งรถไกลซะด้วยสิ เห็นบอกว่านั่งรถไกล ๆ ทีไรเท้าบวมทุกที”

“อื้อ ๆ”

คนตัวขาวพยักหน้าหงึก ๆ น่ารักเสียจนเอสอยากจะเข้าไปฟัด ถ้าไม่ติดที่ว่าตอนนี้เขามือเลอะอยู่ แก้มขาวนั่นได้มีสีแดงแต่งแต้มแน่ พอคบกันมาได้สักพักก็ทำให้เขารู้ว่าถึงตี๋จะขี้หงุดหงิดไปสักหน่อย แต่ก็เป็นเด็กที่น่ารักมาก ไม่ได้ต่างไปจากสมัยเด็ก ๆ เลย

“ดีใจเหรอ?”

“ดีใจสิ ไม่ได้ไปเที่ยวนานแล้ว”

ถึงตี๋จะเป็นคนที่ติดบ้าน ไม่ชอบออกไปเที่ยวที่ไหน แต่กลับชอบไปเที่ยวสถานที่ที่เป็นธรรมชาติมาก ๆ แต่ที่บ้านเขาไม่ค่อยได้พาไปซักเท่าไหร่ ครั้งสุดท้ายคือตอนที่ไปเที่ยวทะเลด้วยกันก็ตอนที่เขาอยู่ ป.6 โน่น หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ไปไหนอีกเลย พออีกฝ่ายถามเขาเรื่องไปเที่ยว ไม่มีทางที่จะไม่ไปแน่นอน

“แล้วจะไปที่ไหนดีล่ะ?”

“วันก่อนตี๋เล่นเฟส เห็นเขาแชร์คลิปที่ไปอำเภอบ่อเกลือ เห็นแล้วอยากไปมากเลย”

“บ่อเกลือ? ที่ไหนน่ะ?”

“น่านอะ”

“น่านมีอะไรให้เที่ยวด้วยเหรอ?” เขานึกไม่ออกจริง ๆ ว่าจังหวัดที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขามีที่ให้เที่ยวด้วยหรือไง แต่อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ค่อยอินอะไรกับการเที่ยวธรรมชาติมากนักเลยทำให้ไม่ค่อยจะรู้เรื่องก็ได้ เมื่อก่อนก็เที่ยวแต่ที่อโคจร

“ใครบอกว่าที่จะไปเที่ยว ตี๋จะไปเปลี่ยนที่นอนพร้อมกับสูดอากาศธรรมชาติต่างหากล่ะ”

เอสยิ้มมุมปาก ยังไงเขาก็ตามใจอีกคนอยู่แล้ว “จ้ะ ๆๆ”

พอคุยเรื่องนี้แล้วตี๋ก็พูดได้ไม่หยุดปากเลย เล่าให้ฟังว่าบ่อเกลือที่ตัวเองดูผ่านแอปพลิเคชันที่ชื่อว่าเฟสบุ๊กนั้นมีอะไรน่าสนใจบ้าง เห็นบอกว่าเป็นที่ผลิตเกลือภูเขา นั่นเลยทำให้เขาเกิดความสนใจขึ้นมาบ้างเหมือนกัน เจ้าตัวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดรูปให้เขาดูว่าหน้าตาธรรมชาติแถวนั้นเป็นอย่างไร ก็ได้เห็นว่าบรรยากาศสวยไม่น้อยเลยทีเดียว

“สวยดี”

“แค่นั้น?”

เอสทำหน้างง ๆ เมื่อโดนตี๋ย้อน

“สวยดี? แค่นั้นอะ”

เมื่อโดนย้ำอีกครั้ง เขาก็รู้แล้วว่ามันคืออะไร ริมฝีปากได้รูปเผยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะบอกให้อีกคนยิ้มจนหน้าบาน “โอเคครับ ตกลงไปที่นี่”






++++++++++






“ป๊า” ตี๋เรียก ความเคอะเขินที่ต้องเรียกป๊าสั้น ๆ พอนานไปมันก็หายไปแล้ว

ตอนนี้ทั้งสามคนกำลังทานข้าวกันอยู่ คนสูงอายุเงยหน้ามอง เห็นตาตี่ ๆ ที่มันมีแววลั้ลลาของแฟนลูกชายแล้วก็เกิดความสงสัย “มีอะไร?”

“ไปเที่ยวกันไหมครับ?”

ในสายตาของป๊าตอนนี้เหมือนเห็นหูลู่ ๆ กับหางแกว่งไปมางอกออกมาจากเด็กตัวขาวตรงหน้า สงสัยคงจะเริ่มคุ้นเคยกับเขาแล้วสินะถึงกล้าอ้อนแบบนี้ พอเห็นแบบนี้แล้วก็อดที่จะเอ็นดูราวกับเป็นลูกชายอีกคนไม่ได้จริง ๆ

“เอาสิ ที่ไหนล่ะ?”

“บ่อเกลือครับ ที่น่าน”

คิ้วหนาที่มีคนคิ้วขาว ๆ แซมขมวดเข้าหากัน เพราะไม่คุ้นกับชื่อสถานที่ที่เด็กตรงหน้าบอกมาเลย ถ้าน่านเขาก็พอรู้จักอยู่บ้าง แต่บ่อเกลือนี่มันที่ไหนล่ะนั่น

“เป็นอำเภอที่อยู่บนดอยน่ะป๊า เอสเห็นแล้ว...ก็น่าไปดีนะ”

“ดอยเลยเหรอวะ”

“ไปไม่ไหวเหรอครับ?” ตี๋หงอยลงไปทันตา เพราะเขาเองเห็นป๊าของพี่เอส
อยู่บ้านคนเดียวบ่อย ๆ แถมทำงานมาทั้งชีวิตแบบนี้คงแทบจะไม่เคยไปเที่ยวไหนเลยมั้ง เขาก็เลยอยากจะให้ไปสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง ไม่ใช่อุดอู้อยู่แต่กับบ้านแบบนี้

“โดนอ้อนขนาดนี้แล้วจะปฏิเสธมันก็ดูใจร้ายเหมือนกันเนอะ” มือที่มีรอยผิวย่นวางลงบนหัวที่มีผมดำขลับนิ่มมือ “แต่ป๊าแก่แล้วนะ ไปก็เป็นภาระเปล่า ๆ”

คนตัวขาวส่ายหัวแรง “ไม่ใช่นะ เดี๋ยวตี๋ดูแลป๊าเอง ไปนะครับ”

“อ้อนขนาดนี้ไอ้เอสมันอิจฉาแย่เลย”

“ช่างเขาเถอะ”

อาการของคนที่เพิ่งจะโดนพาดพิงถึงคือจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก จะงอนก็ทำไม่ลง ก็คนที่ตี๋กำลังอ้อนอย่างออกหน้าออกตานั่นคือป๊าบังเกิดเกล้าของตัวเอง แถมยังอ้อนยิ่งกว่าเวลาที่อยู่กับเขาเสียอีก อาจจะมีบ้างที่อิจฉา แต่มันก็แค่เสี้ยวเดียวของความสุขใจ เมื่อเห็นคนที่เขารักทั้งสองคนเข้ากันได้ดี แถมยังรักกันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ

“ไปเถอะป๊า มีคนดูแลตั้งสองคนจะกลัวอะไร” ลูกชายคนเดียวบอก

“มึงไปเที่ยวกันเถอะ ไม่ใช่เอาเวลาเที่ยวมาดูแลคนแก่แบบกู”

“อย่าว่าตัวเองแบบนี้นะ!” ตี๋ว่าเสียงดัง จนทั้งคู่สะดุ้ง “ไม่มีใครว่าอะไรป๊าเลยนะ ทำไมต้องว่าตัวเองแบบนั้นด้วยล่ะ”

คนสูงอายุแปลกใจที่จู่ ๆ ก็โดนเด็กขึ้นเสียงใส่ น่าสงสัยที่ทำไมตัวเขาเองกลับไม่มีความโกรธเลย อาจจะเพราะรู้ว่าที่อีกฝ่ายแสดงออกมาแบบนั้นเพราะเป็นห่วงก็ได้ ส่วนเอสที่เคยเจอตี๋ในลักษณะแบบนี้มาแล้วเลยไม่แปลกใจ

“อ๊ะ ขอ- ขอโทษครับที่ขึ้นเสียงใส่”

เจ้าตัวยกมือไหว้คนที่มีอายุมาก แต่ท่านก็ไม่ได้ถือสาอะไรกลับยกมือขึ้นลูบหัวตี๋อีกรอบด้วยความเอ็นดู

“ไม่เป็นไร ๆ”

“แล้วป๊าจะไปไหม?” เอสหันไปถาม

คนสูงอายุถอนหายใจก่อนเหลือบตามองตี๋ที่มองเขาตาละห้อยแล้วก็ใจอ่อน “ไปก็ไป”

“เย้!”

เสียงดีใจของคนอายุน้อยที่สุดในวงเรียกสายตาของคนทั้งคู่ให้หันไปสนใจ เห็นแขนขาว ๆ สองข้างยกขึ้นชี้ฟ้าราวกับเด็กเรียกเสียงหัวเราะให้แฟนและพ่อของแฟนได้ลั่นบ้าน นานแล้วที่บ้านหลังนี้ไม่ได้มีเสียงหัวเราะดังขนาดนี้...ขอบคุณที่สวรรค์ส่งเด็กคนนี้มาให้คนแก่คนนี้ได้รู้จักความสุขอีกซักครั้งหนึ่ง ก่อนจะ...ลาจากกันไป






++++++++++






“อาบน้ำด้วยกันไหม?”

เห็นตัวขาว ๆ ของตี๋นอนกลิ้งไปมาบนที่นอนแล้วมันทำให้คนพี่อดใจไม่ไหวจริง ๆ จนป่านนี้แล้วยังไม่เคยเห็นแม้กระทั่งแผ่นอกของอีกคนเลย เพราะเวลาที่ออกจากห้องน้ำมาคนน้องมักจะใส่เสื้อผ้าออกมาเรียบร้อยแล้ว

“ใครเขาอาบน้ำหลังกินข้าวกัน”

“แล้วใครเขานอนหลังกินข้าวกันล่ะ”

ตี๋อยากจะเขวี้ยงหนังสือใส่คนย้อนคำกวนประสาท หน้าหล่อยืนยิ้มเมื่อเห็นเขาหน้างอ สองพ่อลูกคนนี้มีนิสัยโรคจิตที่เหมือนกันอยู่หลายอย่าง และอีกอย่างก็คือ เวลากวนให้เขาหงุดหงิดได้จะชอบใจเป็นอย่างมาก

“กวนตีน”

“กวนตรงไหน เรื่องจริงต่างหาก”

“ไม่เอา ไม่อาบด้วยหรอก” ตอบเสร็จก็นอนคว่ำหนีหน้าคนพี่

“หึ” เอสเดินเข้าไปนั่งลงติดกับคนน้อง มือปลาหมึกวางลงบนก้นเล็กแบบจงใจ จนเจ้าของมันสะดุ้งแล้วกลิ้งตัวหนีไปอีกสองที “ทำไม? เขินเหรอ”

“ทะลึ่งใหญ่แล้วนะ”

คนโดนว่าเลิกคิ้วแล้วทำหน้าแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร “เป็นแฟนกันแล้วจะอายอะไรอีก”

“ใครมันจะไปหน้าหนาเหมือนพี่วะ”

“ไปอาบน้ำกันเถอะน่า จะได้เสร็จเร็ว ๆ อยากมานอนกอดแล้ว”

ตี๋หรี่ตามองไม่ไว้ใจ ถึงตอนนี้จะไม่มีอาการหื่นเท่าเก่าแล้ว แต่เสือยังไงมันก็เป็นเสืออยู่วันยังค่ำ ถึงจะเชื่องแค่ไหน..ก็ไว้ใจไม่ได้หรอก

“พี่ก็อาบไปก่อนดิ ตี๋อาบแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว”

“กลัวอะไรเนี่ย?”

“ไม่ได้กลัว” เจ้าตัวลุกขึ้นไปดันหลังคนตัวใหญ่กว่า “ไป ไปอาบน้ำเลย”

“เดี๋ยวสิ” เอสขืนตัวเอาไว้ ดีที่ตัวใหญ่กว่าเลยสู้แรงกันได้ หันกลับมาจนหน้าแทบจะชนกัน มือที่ใหญ่กว่าคว้าข้อมือขาวขึ้นมากดจูบก่อนจะบอก “ขอจูบก่อนสิ”

“บ่อยเกินไปแล้วนะ”

“น่า...นะ”

ไม่รอให้ตี๋อนุญาต เพราะรู้ว่าถึงอีกคนจะพูดเสียงแข็ง แต่อย่างไรก็ใจอ่อนให้เขาทุกครั้ง เสียงทุ้มส่งเสียงออดอ้อน ริมฝีปากคลอเคลียอยู่ที่ปากบางสีสวยของอีกคน เพราะนาน ๆ ทีก็อยากให้คนน้องเป็นคนเริ่มก่อนบ้าง ถึงแม้จะไม่ได้อย่างใจ แต่ก็อิ่มใจมากกว่า

“นะครับ”

อ้อนอยู่นานเป็นนาที คนโดนอ้อนก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะเคลื่อนริมฝีปากเข้าไปจุ๊บ พอโดนเอสกัดปากล่างเบา ๆ อย่างเรียกร้องให้มากกว่านี้ก็ชักสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ตอบสนองให้อย่างสมใจ เพราะจูบกันมาหลายครั้งหลายครา เขาไม่ใช่คนโง่ เพราะแบบนี้ถึงได้รู้ว่าทำแบบไหนคนพี่ถึงจะพอใจและถึงใจ อาจจะมีบางทีอารมณ์ส่วนที่กดมันไว้จะกรึ่ม ๆ ออกมาบ้าง พอมือของอีกฝ่ายเริ่มซุกซน ลูบคลำตามตัว เขาก็จะหยุดทันทีอย่างไม่มีข้อแม้

“พอได้แล้ว” ตี๋ว่าหอบเหนื่อย

“จ้ะ” เอสรับคำยิ้ม ๆ เข้าไปจุ๊บเป็นการส่งท้ายอีกหนึ่งที จนขาขาวยกขึ้นมาทำท่าจะถีบถึงได้รีบวิ่งไปอาบน้ำ

“ไอ้พี่บ้า หื่นฉิบหาย” ตี๋พึมพำเบา ๆ กับตัวเอง ยกแขนขึ้นเช็ดปากที่แดงจากการจูบ ถูมันไปมาเพื่อกลบเกลื่อนอาการของตัวเอง ไหนจะความคิดที่ตีกับความรู้สึก มันสวนทางกันจนทำให้เขาสับสน ตอนนี้เขายังไม่อยากจะยอมรับทุกสิ่งที่เข้ามาสั่นคลอนความตั้งใจ ไม่พร้อมก็คือไม่พร้อม ไม่ว่าจะหวั่นไหวแค่ไหน เขาก็จะยังยืนหยัดอยู่แบบนี้ต่อไป

ตี๋เดินเข้าห้องน้ำต่อทันทีที่อีกคนเดินออกมา ใช้เวลาไม่นานนักเขาก็อาบเสร็จ แต่ดันโชคไม่ดีที่คราวนี้ลืมเอาเสื้อผ้าเข้ามาเปลี่ยนซะได้ ทำได้แค่ก่นด่าตัวเองที่คราวนี้ดันพลาดลืมอะไรไม่ลืม เขาแง้มประตูแล้วโผล่ออกไปแค่หัวแล้วร้องเรียก

“พี่!”

เอสเงยหน้าขึ้นจากมือถือแล้วตอบรับด้วยความสงสัย “ว่าไง?”

“เอาเสื้อผ้าให้หน่อย ตี๋ลืม”

รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก “ก็ออกมาเอาเองสิ”

“เอามาให้หน่อยยยย”

“พี่ขี้เกียจลุกอะ”

“เอามาให้ตี๋หน่อยนะครับ”

“ครอกกกกก”

คนน้องเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เป็นไงก็เป็นกัน เปิดประตูออกมาทั้ง ๆ ที่มีแค่ผ้าขนหนูพันอยู่ที่เอว เห็นคนพี่นอนตะแคงเอามือยันหัวพร้อมกับรอยยิ้มที่น่าต่อยที่สุด ตี๋เหลือบตามองก่อนจะสะบัดหน้าหนีทำเป็นไม่สนใจแล้วหันไปเปิดตู้เสื้อผ้า

“สักด้วยเหรอ?” เอสถาม

“สติกเกอร์มั้ง ถามมาได้” 

เอสนึกไม่ถึงว่าคนนิ่งเงียบอย่างตี๋จะมีรอยสักรูปมังกรเต็มแผ่นหลัง ตั้งแต่ต้นคอลามลงมาถึงเอว รอยสักสีดำตัดกับผิวขาวจัดของอีกคน ดูแล้วมันช่างสวยงาม ติดอย่างเดียวคือตี๋ผอมเกินไป เอวเล็กมาก

“ตอนสักไม่เจ็บเหรอ?”

ตี๋เดินมาซุกตัวในผ้าห่มผืนเดียวกัน พอคนพี่พลิกตัวหันหน้าเข้าหากันแล้วถึงตอบ “เจ็บสิ”

“ถ้าเจ็บแล้วไปสักทำไมล่ะ”

“ก็ชอบอะ”

“พี่ก็ชอบนะ” คนเป็นพี่เผยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เซ็กซี่ดี”

“ทะลึ่ง” ตะปบเข้าที่หน้าให้

“โอ๊ย เจ็บ”

“สม” ตี๋แลบลิ้นใส่ “ลุกไปปิดไฟสิ”

“ครับ ๆๆ”

ทั้งสองคนมองหน้ากันผ่านความมืดโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก มือใหญ่ของเอสยกขึ้นมาลูบผมเส้นใหญ่สีดำแต่นิ่มมือของคนรัก ไม่นานนักก็เลือนลงมาวางลงที่แก้ม เจ้าตัวกำลังสะกดกลั้นอารมณ์ที่ยังไม่นิ่งดี ทั้งที่เมื่อครู่ก็เข้าไปสำเร็จความใคร่ในห้องน้ำไปหนึ่งรอบแล้วด้วยซ้ำ ที่เขาไม่ทำอะไรอีกฝ่ายก็เพราะได้ให้สัญญาไปแล้วว่าจะไม่ทำจนกว่าอีกคนจะพร้อม ผ่านไปพักใหญ่เอสก็ดึงให้ตี๋เข้ามานอนชิดกับตัวเองหลังจากที่สงบสติอารมณ์ได้เรียบร้อย

กดจูบลงกับหน้าผากด้วยความรักก่อนจะกระซิบเสียงเบา “รีบ ๆ พร้อมได้แล้วตัวแสบ พี่จะทนไม่ไหวแล้วนะครับ”

กำปั้นขาวทุบลงที่กลางหลังคนที่เพิ่งรำพึงรำพันจบเสียงดังด้วยความหมั่นไส้ “พอเลยไอ้หื่น”




TBC…

น้องตี๋ไม่ง่ายนะจ๊ะ ฮุฮุฮุ  :katai5:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.10 หน้า 2 [up:19/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-05-2018 18:22:35
เร็วๆนะตี๋
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.10 หน้า 2 [up:19/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-05-2018 21:21:40
อยากอ่านวันที่ตี๋พร้อมซักที  :z3: :z3: :z3:

ตี๋ สักมังกรที่แผ่นหลัง  o22
ดูปล้วเอส น่าจะเป็นคนที่สักมากกว่า

เอส ตี๋    :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.10 หน้า 2 [up:19/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-05-2018 23:02:06
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.10 หน้า 2 [up:19/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 20-05-2018 01:26:47
เหมาะสมกันดีนะครับ น้องตี๋ กับ พี่เอส ^^
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.10 หน้า 2 [up:19/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 22-05-2018 12:40:55
น้องตี๋มาเพิ่มสีสันให้ครอบครัวพี่เอสเลยนะเนี่ย น่ารัก :-[
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.10 หน้า 2 [up:19/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 22-05-2018 14:01:46
 :hao7: อ่านแล้วรู้สึกว่า... คนน้องน่ารักน่าฟัดมากกกกก  :hao7: คนพี่อดใจได้ไงเนี่ย :ling1:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.11 หน้า 2 [up:25/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 25-05-2018 22:06:56
11




“ม๊า วันหยุดยาวนี้ตี๋ไปเที่ยวกับที่บ้านพี่เอสนะ” ลูกชายคนเล็กของบ้านเดินเข้ามาบอกในเวลาที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งป๊ากับม๊า รวมถึงพี่ชายคนโต ทุกคนหันมามองทางเขาเป็นตาเดียว

“ไปไหนกันอะ?” เฟยถามด้วยความสงสัย

“ทำไมต้องตอบด้วย”

“ไอ้นี่ กวนตีน” พี่ชายแทบจะขว้างองุ่นในมือใส่น้องตัวเอง

พอตี๋ทำท่าจะต่อก็โดนป๊าห้ามทัพเอาไว้ก่อน คนเป็นพ่อไม่เข้าใจเหมือนกันว่าโตป่านนี้แล้ว ทำไมลูกชายทั้งสองคนยังกัดกันเหมือนหมาอีก ตั้งแต่เด็กยันโตไม่เคยเปลี่ยนเลย

“แล้วไปกันกี่วันลูก?” ม๊าเป็นคนถาม

“น่าจะสี่วันอะม๊า ขับรถไปก็หนึ่งวันแล้ว”

“ไปกันสองคนเหรอครับ”

ตี๋ส่ายหน้าหวือ “ป๊าพี่เอสก็ไปครับ”

“เที่ยวที่ไหนกันเหรอ?”

“บ่อเกลือ จังหวัดน่านครับ”

ม๊ากับป๊าไม่ได้ว่าอะไรอีก เพราะลูกชายก็โตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว แถมเจ้าตัวก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหนมาตั้งนาน ตี๋เป็นคนติดบ้านมาก บางอาทิตย์นอกจากไปมหาวิทยาลัยแล้วก็แทบจะไม่ออกไปไหนเลย บางทีพวกเขาก็เป็นห่วงลูกชายเหมือนกัน สมัยเด็ก ๆ ก็ไม่ใช่คนที่มนุษยสัมพันธ์ดีสักเท่าไหร่ พอโตขึ้นมาก็ไม่ค่อยจะมีสังคมกับใคร จนสงสัยว่าตี๋นั้นมีเพื่อนที่มหาวิทยาลัยบ้างหรือเปล่า แต่นาน ๆ ทีลูกชายคนเล็กจะพาเพื่อนมาทำงานกันที่บ้าน เห็นแบบนี้แล้วก็เบาใจหน่อยที่ก็มีเพื่อนอยู่เหมือนกัน

“จะเอาเงินเท่าไหร่ล่ะ?” ป๊าถามขึ้นมาบ้าง

“แล้วแต่ป๊าจะกรุณาครับ” ตี๋ยิ้มพนมมือขึ้น

“เหอะ ไม่ต้องมาปะเหลาะ”

“ไม่ได้ปะเหลาะสักหน่อย”

“ตอแหล” เฟยว่าน้องชายเข้าให้

ตาตี่ ๆ หันขวับไปมองหน้าพี่ชายอย่างหาเรื่อง ไม่ใช่ว่าเขาสองคนเกลียดกันหรอกนะ แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตั้งแต่เด็กจนโตป่านนี้แล้ว เขากับมันถึงได้ทะเลาะเบาะแว้งกันได้ตลอด แต่ก็มีแต่คนเป็นพี่น่ะแหละที่จ้องจะหาเรื่องกัดกันให้ได้ทุกครั้ง

เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งสมัยที่ยังเด็กกว่านี้ เฟยแหย่น้อง แต่คงจะรุนแรงเกินไปหน่อย ตี๋ซัดหมัดมาที่หน้าเขาเต็ม ๆ จนบวมปูดไปหลายวัน แถมยังไม่พูดกับเขาอีกเป็นปี จนม๊าเรียกทั้งสองคนพี่น้องมาปรับความเข้าใจนั่นล่ะ ถึงได้กลับมาคุยกันเหมือนปกติได้ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่เคยทะเลาะกันแรง ๆ อีกเลย จะมีก็แค่กัดกันเหมือนหมา (อย่างที่ป๊าว่า) นิด ๆ หน่อย ๆ

ในทางกลับกัน ตี๋ดันติดพี่ชายใกล้ ๆ บ้านอย่างเอสมากกว่าพี่ชายแท้ ๆ อย่างเฟยเสียอีก อาจจะเพราะแบบนี้เฟยเลยแกล้งน้องเพื่อที่ตัวเองจะได้เป็นจุดสนใจของน้องชายบ้างก็ได้

“อย่าลืมของฝาก” เฟยทวง

“มีแต่เกลือ จะเอาไหม?” ตี๋ไม่ได้จะกวนตีนนะ ชื่อมันก็บอกอยู่ว่าเป็นบ่อเกลือมันก็น่าจะมีแต่เกลือสิ จะให้ตอบว่าไงล่ะ

“ส้นตีน”

“เอ๊ะ! ไปด่าน้องแบบนั้นได้ยังไง” คนเป็นแม่ตีพี่ชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

“ก็มันกวนตีนอะม๊า!”

“กวนตรงไหน ก็ไปบ่อเกลือมันก็ต้องมีแต่เกลือสิ” ตี๋ว่า

“พอเลย ๆ” ป๊าต้องเป็นคนห้ามทัพอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นสองพี่น้องนี่ก็ตีกันอีก คนอายุมากเริ่มที่จะเหนื่อยใจกับความเป็นเด็กไม่รู้จักโตของลูกชายทั้งสองคน “เฟย มึงเองก็โตป่านนี้แล้ว หยุดต่อปากต่อคำกับเด็กมันได้แล้ว”

ตี๋ชะงัก รู้สึกว่าเมื่อกี้เหมือนตัวเองโดนด่า เลยหันไปถามม๊า “นี่ป๊าด่าตี๋ใช่ไหมอะ?”

“ไม่หรอก มึงคิดไปเอง”

หลังจากที่ป๊าตอบคำถามของเขา ลูกชายคนเล็กก็ขมวดคิ้วหน้ายู่ มือเรียวยกขึ้นเกาหัวอย่างไม่เข้าใจนัก ก็อย่างที่ว่า...บางครั้งตี๋ก็ซื่อเกินไปตามใครเขาไม่ค่อยจะทันหรอก

“แล้วไปวันไหนกันครับ?” ม๊าเปลี่ยนเรื่องถาม ใบหน้าสวยยิ้มหวาน ยกมือขึ้นลูบหัวลูกชายด้วยความเอ็นดู แม้จะตัวโตมากแค่ไหน แต่ในสายตาคนเป็นแม่แล้ว ยังไงลูกก็ยังเป็นเหมือนเด็กน้อยของแม่อยู่วันยังค่ำ

“ไปวันพฤหัสกลับวันจันทร์ครับ” เจ้าตัวตอบพลางเองตัวลงนอนหนุนตักนิ่มของม๊าอย่างออดอ้อน พฤติกรรมส่วนตัวของตี๋ที่ทำให้ผู้ชายอีกสองคนในบ้านมองบนด้วยความหมั่นไส้

“เป็นเด็กดีนะ อย่าไปรบกวนพี่เขามากล่ะ”

“ครับ”

ตี๋หลับตาลงด้วยความสบายใจ เวลาที่ม๊าลูบผมเขาแบบนี้ เขารู้สึกอุ่นใจทุกครั้ง และก็มั่นใจว่าถ้าอะไรเกิดขึ้น ยังไงม๊าก็อยู่ข้าง ๆ เขาแบบนี้แน่นอน

“ผมยาวแล้วนะ ทำไมไม่ตัดผมอีก?” ป๊าถามขึ้น

“ตี๋ขี้เกียจอะ”

“ให้ม๊าตัดให้ไหมลูก?”

“ไม่ต้องหรอกครับ ตี๋ว่าจะลองไว้ผมยาวดู”

“ยิ่งไว้ยาว ยิ่งหน้าเหมือนม๊ามึงสิ” คนเป็นพ่อพูดกลั้วหัวเราะ

“หน้าเหมือนม๊าก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เนอะ”

ตี๋พยักหน้าเห็นด้วยกับคนเป็นแม่ เป็นลูกคู่กันได้ดีทีเดียว

“กูไปด้วยดิ” พี่ชายคนโตบอก

ตี๋ขมวดคิ้ว “ต้องถามพี่เอสก่อนอะ”

“ไม่เป็นไร ไม่รีบ” เขาหมายถึงไม่รีบร้อนจะเอาคำตอบ เพราะกว่าจะถึงวันหยุดก็อีกหนึ่งอาทิตย์

“เดี๋ยวถามให้แล้วจะบอกนะ”

ภายใต้ใบหน้าที่เรียบนิ่งของพี่ชายคนโต ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ การที่จะไปเที่ยวด้วยครั้งนี้ไม่ใช่ว่าอยากไปนักหรอก เพียงแค่ตนสงสัยว่าน้องชายของตัวเองกับพี่แถวบ้านคนนี้มีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่ เพราะตั้งแต่ที่อีกฝ่ายกลับมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ตี๋ก็กลับไปคลุกอยู่ด้วยบ่อยจนน่าสงสัย ไม่อยากจะเชื่อว่าทั้งสองคนจะกลับมาสนิทกันได้เร็วขนาดนี้หลังจากที่ห่างไปสิบปี เขาไม่เชื่อหรอก...มันน่าจะมีอะไรเบื้องหลังอยู่ เพราะฉะนั้นต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองให้ได้





++++++++++





“พี่” ตี๋เดินเข้าไปเกาะหลังคนพี่ตอนที่กำลังทำกับข้าว ตั้งใจจะพูดเรื่องที่พี่ชายขอไปเที่ยวด้วย เพราะว่าเกรงใจอีกฝ่ายเลยมาลองขอดูก่อน

“ว่าไง?”

“เอ่อ...เฟยมันขอไปเที่ยวด้วยได้ไหมอะ?”

เอสเงียบไป เพราะไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมพี่ชายของตี๋ถึงอยากจะไปด้วย ทั้งที่ก็ไม่ได้สนิทกัน เป็นเขาคงไม่ไปหรอกแบบนี้

“ถ้าไม่ให้บอกได้นะ ตี๋ไม่ได้ว่าอะไร” คนน้องบอกหลังจากที่เห็นอีกคนเงียบไป

“แล้วแต่เราเลย ถ้าเราไม่ติดอะไร พี่ยังไงก็ได้”

“ตี๋เกรงใจป๊ากับพี่อะ”

“ไม่เป็นไรน่า”

“งั้นให้มันไปเนอะ มันเองก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหนนานแล้วเหมือนกัน”

เอสหันมายิ้มให้ “ครับ ๆ”

คนตัวใหญ่ลงมือทำกับข้าวต่อโดยมีตี๋เป็นลูกมือเช่นเคย พอช่วยทำบ่อย ๆ ก็ทำให้คนที่ไม่เคยทำอะไรเป็นอย่างตี๋ ทำอะไรได้หลากหลายอย่างมากขึ้น ตอนนี้ก็ทำไข่เจียวกับไข่ดาวได้คล่องแคล่ว แถมถ้าเอสเรียกให้หยิบวัตถุดิบก็รู้ทุกอย่าง แล้วแบบนี้ป๊าจะมาหาว่าเขาไม่มีประโยชน์เลยก็ไม่ได้แล้วด้วย เวลาว่าง ๆ ก็ช่วยทำงานบ้านหลายอย่าง เพราะไม่อยากจะมานอนบ้านคนอื่นเขาเฉย ๆ ถึงแม้ว่าสาเหตุมันจะมาจากลูกชายคนเดียวของบ้านนี้เรียกให้มาก็ตาม เขาทั้งช่วยกวาดบ้าน พับผ้า ถึงแม้จะไม่ได้หนักหนาอะไร แต่ก็ยังดีกว่าอยู่ว่าง ๆ สงสัยว่าถ้าม๊ารู้ว่าเขาทำอะไรหลายอย่างได้แบบนี้คงจะน้ำตาไหลด้วยความปีติอย่างแน่นอน

“ป๊า เดี๋ยวตอนไปเที่ยวเฟยพี่ชายตี๋จะไปด้วยนะ” ตี๋บอกตอนที่กำลังนั่งกินข้าวเย็นกัน

“เอาสิ ไปหลายคนก็ครึกครื้นดี” คนสูงวัยพยักหน้าตอบรับพลางคีบผักดองเข้าปาก

“ถ้ามันวุ่นวายก็ด่ามันได้เลยนะ” ตี๋ว่า

“ใคร๊มันจะวุ่นวายได้เท่าเอ็งแล้วฮึ”

คนตัวขาวหน้ายุ่งทันทีหลังโดนคนแก่เหน็บ

“ป๊าเขาล้อเล่นน่า” เอสบอกยิ้มขำ หลัง ๆ มานี้ตี๋เริ่มที่จะแสดงความสนิทใจให้กับพ่อของเขามากขึ้น มีทั้งพูดเล่นกันและก็งอนกันแบบนี้ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก เพราะถ้าไม่สนิทกันแล้วละก็อีกคนจะไม่แสดงออกอะไรในลักษณะนี้เลย

“ไม่รู้ไม่ชี้” ตี๋บอกก้มหน้าก้มตากินไม่สนใจทั้งพ่อทั้งลูกที่นั่งร่วมโต๊ะ

“ลูกผู้ชายเขาไม่งอนกันหรอกนะ” ป๊าว่าแล้วคีบกับข้าวไปวางลงในจานของตี๋เป็นการง้อ

“ใครงอนกัน” คนอายุน้อยเถียงแล้วตักข้าวเข้าปากเคี้ยวแรงเหมือนประชด พอตี๋ทำแบบนี้แล้วก็ทำให้สองพ่อลูกหัวเราะเสียงดัง และมันก็ทำให้ตี๋อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา รู้สึกดีที่ทำให้บ้านหลังนี้กลับมาครึกครื้นได้อีกครั้ง

เอสกำลังหาที่พักบนดอยจากอินเทอร์เน็ต มีหลายที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน แต่เขาก็ต้องคำนึงถึงความสะดวกสบายของป๊าเป็นอันดับแรก เพราะท่านก็อายุมากแล้วจะให้ไปสมบุกสมบันแบบพวกเขาก็ไม่ได้ พอเลือกที่พักได้แล้วก็ต้องคิดอีกว่าจะจองกี่ห้องดี

“เรื่องห้องจะยังไงดี?” หันเก้าอี้มาปรึกษาคนรักที่นอนอ่านการ์ตูนอยู่

“ยังไงอะ?” ตี๋ไม่ค่อยเข้าใจคำถามนักเลยย้อนถามอีกฝ่าย

“คือ...จะนอนกันยังไงดี เราจะนอนกับเฟยไหม? พี่จะได้นอนกับป๊า”

“อ๋อ ไม่ต้องหรอก มันอยากไปก็ให้มันนอนคนเดียว ให้มันจ่ายเองด้วย” ตี๋ว่า

“จะดีเหรอ?” ถึงเขาจะอยากนอนกับตี๋ แต่แบบนี้ก็ดูไม่ค่อยดีกับอีกคนสักเท่าไหร่ เป็นพี่น้องกันก็น่าจะนอนด้วยกันมากกว่า

“พี่ไม่ได้อยากจะนอนกับตี๋เหรอ?”

เอสมองหน้าอีกฝ่ายตาปริบ ๆ ที่พูดอ่อยเขาโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง

“มองหน้าทำไม?”

“เดี๋ยวนี้ทำไมขี้อ่อยจัง”

“ไม่ได้อ่อยโว้ย ตี๋หมายถึง...ไม่ได้อยากจะนอนห้องเดียวกันหรือไง?” คนน้องว่าเสียงดัง

“ไอ้อยากมันก็อยาก”

“แล้วจะลีลาเพื่อ?”

“พี่น้องกันก็น่าจะนอนด้วยกันไม่ใช่เหรอ?”

“โอ๊ย ไม่เอาอ่ะ เฟยมันนอนกรนโคตรดัง ใครจะไปอยากนอนด้วย ตี๋แยกห้องนอนกับมันมาตั้งแต่ ม.ปลายแล้ว ไม่กลับไปนอนกับมันเด็กขาด จองให้มันไปเลยหนึ่งห้อง เดี๋ยวตี๋ไลน์บอกมันเอง โอเค๊”

เอสมองตี๋พูดยาวเหยียดก่อนจะตอบรับไปด้วยความงงกับพี่น้องคู่นี้ จำได้ว่าสมัยก่อนก็ทะเลาะกันบ่อยมาก แต่ก็ไม่คิดว่าขนาดโตขึ้นมาแล้วจะยังเหมือนเดิม แต่เขาเชื่อว่าทั้งสองคนก็แค่พวกปากแข็งกันทั้งคู่ ดูได้จากตี๋ที่ไม่เคยแม้แต่จะบอกรักเขาสักครั้ง ก็ไม่รู้ว่าเพราะไม่รักกันหรือปากแข็งกันแน่ ซึ่งเขาก็ภาวนาให้เป็นอย่างหลังมากกว่านะ แต่ก็นั่นล่ะ...พี่น้องคู่นี้นิสัยเหมือนกันมากโดยที่ไม่รู้ตัว ลึก ๆ แล้วต่างคนก็รักอีกฝ่ายกันทั้งคู่นั่นแหละ แค่ไม่ยอมรับมากกว่า

ทางตี๋ก็กำลังกดไลน์หาพี่ชายตัวเอง

ตี๋ : เฟย

เฟย : อะไรมึง?

ตี๋ : สรุปว่าพี่เอสเขาให้มึงไปด้วยได้นะ

เฟย : เออ

ตี๋ : แต่กูบอกพี่เขาว่าให้มึงจ่ายค่าห้องเองนะโว้ย กูไม่นอนกับมึงหรอก กรนดังเป็นหมาหอนเลย หนวกหูฉิบหาย

เฟย : K

ตี๋หัวเราะหึหึหลังจากที่กวนประสาทพี่ชายของตัวเองได้สำเร็จ จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้มีแต่คนพี่หรอกที่รู้สึกสนุกเวลาที่ได้แกล้งน้องตัวเอง คนน้องเองก็ไม่แพ้กันหรอก ก็ชอบใจทุกครั้งเวลากวนประสาทพี่มัน สรุปก็คือโรคจิตทั้งคู่

“สรุปว่าพี่จองบ้านสามหลังนะ?”

เอสบอกแล้วล้มตัวลงนอนข้าง ๆ กันหลังจากปิดคอมเรียบร้อย เห็นแบบนี้ตี๋ก็ปิดหนังสือแล้ววางลงที่โต๊ะข้างเตียง

“ให้ปิดไฟเลยปะ?”

คนตัวใหญ่ส่งยิ้มให้บาง ๆ “ครับ”

คนอายุน้อยกว่าลุกไปปิดไฟให้เรียบร้อยแล้วถึงกลับมาซุกตัวในผ้าห่มผืนเดียวกัน เอสดึงให้ตี๋เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา ยิ่งคบกันนานวันเข้า ตี๋ก็แสดงด้านน่ารัก ๆ ออกมาให้เห็นมากขึ้นทุกที ถึงเจ้าตัวจะไม่รู้ตัวก็เถอะว่าได้แสดงความน่ารักออกมามากแค่ไหน แต่เขาก็จะไม่บอกให้ตี๋รู้ตัวหรอกนะ เพราะมันทำให้เขาหายเหนื่อยทุกครั้งเวลาที่อีกคนอ้อนเขาแบบนี้ ถ้าบอกไปก็น่าเสียดายแย่เลย

เอสกดจูบลงที่หน้าผากมนเบา ๆ ด้วยความรักและเอ็นดู แต่ว่าพอกอดไปกอดมาความใคร่มันก็ชักจะตีตื้นขึ้นมาแล้วนี่สิ สงสัยอาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้งานยุ่งมากจนไม่มีเวลาที่จะช่วยตัวเองเลยสักครั้ง ไม่เข้าใจว่าทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่เด็กมัธยมแล้วแท้ ๆ ทำไมอารมณ์มันถึงขึ้นง่ายจุดปุ๊บติดปั๊บซะอย่างนี้

“อะไรแข็ง ๆ มันดันขาอะ?” ตี๋ถามอย่างสงสัย เพราะพอขยับขาเข้าไปใกล้อีกฝ่ายก็รู้สึกแปลก ๆ ที่ต้นขา ใจหนึ่งก็คิดว่าจะใช่ไอ้นั่นหรือเปล่า แต่อีกใจก็ไม่กล้าคิด

“ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก นอนเถอะ”

...นั่นไง กูว่าแล้ว...

ตี๋พยายามข่มตานอนหลับตามที่คนเป็นพี่บอก แต่เพียงแค่ไม่กี่นาทีผ่านไปไอ้นั่นมันก็ยังแนบอยู่ที่ขาของเขาอยู่ แล้วมันก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจมาก และตี๋ก็ไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงอะไรนัก

“ไปเอาออกเหอะ”

เอสดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดเอาไว้เหมือนเดิมหลังจากที่ตี๋พยายามดันตัวออก “ไม่ต้องไปสนใจมัน เดี๋ยวก็หาย”

“ไม่สนได้ไงวะ ก็มันดันขาตี๋อยู่เนี่ย” คนน้องโวยวาย

“น่า”

“น่าเน่ออะไร!”

“ทนไว้ก่อน” ยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายให้ใจเย็น ๆ แต่ตี๋ก็สะบัดทิ้งอย่างไม่ใยดี

“ไม่ทนโว้ย!”

“งั้น...ช่วยหน่อยไม่ได้เหรอ?”

“ไม่!”

“โถ่ น่าเสียดาย” เอสทำเป็นตัดพ้อ แต่ที่พูดไปก็แค่ลองใจหรอกนะ เพราะก็รู้อยู่แล้วว่าผู้ชายแท้อย่างตี๋คงยากที่จะให้มาทำเรื่องพวกนี้ เขาก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรนักหรอก

คนน้องสะบัดตัวออกจากวงแขนของเอสจนได้ ด้วยความที่หงุดหงิดกับความดื้อด้านของอีกคน เลยยกขาขึ้นใช้เท้ายันก้นคนที่กำลังลุกไปเข้าห้องน้ำจนหน้าเกือบคะมำ

“เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวจะโดนปล้ำนะ”

“ก็ลองดูสิ”

กล้าท้าทายแบบนี้ก็เพราะคิดอยู่แล้วว่าเอสไม่กล้าทำอะไรหรอก ถ้าเขาไม่ได้ยินยอม ดูจากขนาดของมันแล้ว คงต้องขอเวลาทำใจยาว ๆ หน่อย แค่คิดก็สยองบรึ๋ย คนตัวสูงเดินเข้าห้องน้ำไป ตี๋เลยลุกขึ้นมาเปิดโคมไฟที่หัวเตียง กะว่าจะอ่านการ์ตูนต่อจากที่ค้างไว้เสียหน่อย แต่ประตูห้องน้ำก็ดันเปิดออกมาอีกรอบ

“อะ- อะไร?” ตี๋ตะกุกตะกักถามคนที่ยืนจังก้าเป้าชี้หน้าเขาอยู่อีกฝั่งของเตียง

“แล้วทำไมพี่ต้องเข้าไปทำในห้องน้ำด้วย? นี่มันบ้านพี่ ห้องพี่นะ”

ตาตี่กะพริบปริบ ๆ ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะสื่ออะไรกัน แต่ในขณะที่เขากำลังมึนอยู่ อีกคนก็นั่งลงกับที่นอนแล้ว

“พี่จะทำตรงนี้แหละ”

“งั้น...งั้น...ตี๋เข้าไปอยู่ในห้องน้ำเอง”

“เดี๋ยว!” เขาเรียกเอาไว้เพราะพูดยังไม่ทันจบตี๋ก็รีบลุกขึ้นทันที มือใหญ่จับเข้าที่ข้อมือเรียวของคนตัวขาวเพื่อไม่ให้ไปไหนจนแน่น แต่ก็โดนแกะมือออกจนได้

“เสร็จแล้วเรียกนะ” ตี๋โบกมือบ๊ายบายแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไป กดลงล็อกให้เรียบร้อยกันคนหื่นเข้ามา อย่างน้อยอยู่ในนี้ก็ปลอดภัยกับตัวเองมากกว่าข้างนอกล่ะวะ

กับเหตุการณ์นี้เขาไม่รู้ว่าจะเครียดหรือตลกกับมันดี ออกแนวงง ๆ มากกว่า สุดท้ายแล้วเขาก็ทำมันจนเสร็จนั่นแหละ ใช้เวลาไม่นานนักเพราะเป็นของตัวเองก็เลยรู้จุดที่จะทำให้มันจบ ๆ ไป ก็แอบมีจินตนาการถึงรูปร่างและผิวขาวของคนรักอยู่เหมือนกัน ทำตัวอย่างกับเด็กม.ต้นอย่างไรอย่างนั้น เขาส่ายหัวอย่างปลงกับตัวเอง

เอสเดินไปเคาะประตูเรียก คนในห้องน้ำสะดุ้งเล็กน้อย ใช้เวลาทำใจอยู่ประมาณสิบห้าวินาทีถึงจะเปิดมันออก ไฟในห้องเปิดแล้วทำให้เขามองเห็นหน้าของคนพี่ได้ชัดแจ๋ว ใบหน้าหล่อประดับรอยยิ้มขำเล็กน้อย มันทำให้เขาเกิดอาการขัดเขินขึ้นมานิดหนึ่ง มันน่าจะเป็นอีกคนมากกว่าที่ต้องเขินกับเรื่องนี้สิ

“ยิ้มอะไรเล่า!”

“ไม่รู้สิ” เอสยักไหล่ตอบ

“เสร็จเร็วเหมือนกันนี่หว่า”

“หึ” คนพี่หัวเราะในลำคอ แสยะยิ้มมุมปากแล้วก้มลงไปกระซิบข้างหู “ลองดูไหมล่ะ ว่าจะเสร็จช้า...หรือเร็ว”

ตอนแรกตี๋ตั้งใจที่จะพูดให้อีกฝ่ายอาย แต่พอโดนย้อนแบบนี้แล้ว กลับกลายเป็นว่าตนพูดขุดหลุมฝังตัวเองแท้ ๆ มือขาวยกขึ้นปิดใบหูที่แดงจากอาการเขินอาย ไม่ใช่แค่หูเท่านั้นที่แดง แต่ทั้งใบหน้าตอนนี้แดงราวกับลูกตำลึงสุก ร่างผอมบางเดินเบียดคนตัวหนาที่ยืนขวางประตูอยู่ วิ่งเข้าไปนอนมุดใต้ผ้าห่มราวกับจะหนีอีกคนพ้น

“หนีทำไมเนี่ย? ไม่อยากลองดูเหรอ” เอสเดินตามมาพยายามจะดึงผ้าห่มออก แต่อีกคนก็ดึงไว้แน่นมากจนเขาดึงออกไม่ได้ ได้แต่คิดว่าทีแบบนี้ล่ะแรงเยอะจัง

“ไม่ ๆๆๆ”

“อย่ามาดูถูกกันเชียว”

“ขอโทษครับ”

“เวลาขอโทษต้องมองหน้าด้วยสิ”

ตี๋ลุกขึ้นนั่งโดยยังมีผ้าห่มคลุมอยู่ทั้งตัว โผล่ออกมาให้เห็นแค่หน้า แก้มขาวยังคงแดงอยู่นิด ๆ และก็ไม่กล้าสบตากับคนพี่ที่นั่งยิ้มรอดูเขาอย่างเอ็นดู ใช้เวลาทำใจอีกนิดหน่อยถึงเงยหน้าขึ้นสบตาพร้อมกับเอ่ยขอโทษเสียอ่อย เกือบได้เสียตัวเพราะคำพูดตัวเองแท้ ๆ

คนอายุมากกว่ายกมือขึ้นขยี้ผมของคนน้องก่อนที่จะกางแขนทั้งสองข้างออก “มากอดที...มา”

ตี๋ชั่งใจอยู่สักพักถึงจะเปิดผ้าห่มออกแล้วค่อย ๆ คลานไปให้อีกฝ่ายดึงเข้าไปกอด คนที่ไม่ได้ตัวเล็กกว่าอีกฝ่ายสักเท่าไหร่นัก ขึ้นไปนั่งบนตักของเอส ซบหัวลงกับไหล่ ส่วนแขนทั้งสองก็กอดคออีกคนเสียแน่น แล้วเอาขาทั้งสองข้าวเกี่ยวเอวอีกฝ่ายไว้ โดยที่ไม่ระวังตัวเองอีกแล้ว

“โอย พี่หายใจไม่ออก”

“ไอ้หื่น”

“ไม่ได้หื่นซะหน่อย มันก็เรื่องปกติของผู้ชายหรือเปล่า”

“ตี๋ไม่เห็นจะเป็นเลย”

“นั่นสิน้า~ เป็นผู้ชายหรือเปล่าเนี่ย”

ตี๋เงียบไปเพราะไม่อยากจะต่อปากต่อคำ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าขุดหลุมฝังตัวเองอีก ในตอนนี้เขายอมรับได้ถ้าสักวันหนึ่งจะต้องมีเรื่องแบบนั้นกับอีกฝ่าย เพียงแค่มันยังไม่ใช่ตอนนี้เท่านั้นเอง และก็ยังตอบไม่ได้ด้วยว่าเมื่อไหร่ อาจจะเร็วกว่าที่คิดหรือนานกว่าที่คาด เพราะเป็นแบบนี้...อะไรที่มันเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างกอดหรือจูบ เขาก็พร้อมที่จะให้ได้ในระดับที่ไม่เกินไป

“อย่าหื่นให้มันบ่อยนักนะ ตี๋เหนื่อย”

“เราก็อย่าอ่อยบ่อยนะ พี่เหนื่อย”

กำปั้นขาวทุบลงกลางหลังเสียงดังก่อนจะด่าคนเป็นพี่ “ไอ้เลว”

เอสไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรอีก มีแค่หัวเราะเสียงเบาอย่างชอบใจที่โดนแฟนเด็กด่า เขาโอบแขนเข้ากับเอวของคนบนตักแล้วโยกไปมาเหมือนกล่อมเด็ก เอาจริง ๆ ตี๋ไม่ค่อยชอบนักหรอกที่ใครต่อใครพากันทำเหมือนว่าเขายังเด็ก แต่พอโดนทำแบบนี้แล้ว มันก็...รู้สึกดีอยู่เหมือนกัน เลยยอมซะอย่างนั้น

“ดึกแล้วนะ นอนกันเถอะ”

“อื้อ”

“โอ๊ย” พอวางเท้าลงกับพื้นเอสก็ร้องออกมา

“เป็นอะไรเหรอ?!” ตี๋วิ่งเข้าไปถามด้วยความตกใจ

“เป็นเหน็บ”

เจ้าตัวชะงักกับคำตอบ ก่อนจะหัวเราะออกมาแห้ง ๆ “โทษที ตี๋ตัวหนักอะสิ”

“ไม่เป็นไรหรอก”

“ตี๋นวดให้นะ”

คนน้องนั่งยอง ๆ ลงนวดไปตามขากับเท้าข้างที่เจ็บอยู่อย่างตั้งใจ โดยมีสายตาคู่สวยจับจ้องด้วยความรัก เขาไม่เคยคิดว่าตี๋จะทำอะไรแบบนี้ให้เขาได้ แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับเขามากแล้ว ถึงแม้จะไม่มีคำบอกรัก ไม่มีเซ็กซ์ แต่สิ่งที่คนตรงหน้าเป็นในตอนนี้ มันก็มีค่ามากกว่าอะไรทั้งหมดแล้ว

“ขอบคุณนะ”

ตี๋เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มให้ “ดีขึ้นยัง?”

“ดีขึ้นแล้ว”

“งั้นพี่นอนนะ เดี๋ยวตี๋ไปปิดไฟเอง”

พอห้องกลับเข้าสู่ความมืดอีกครั้ง ทั้งคู่ก็นอนกอดกันเหมือนเดิม คนพี่ก้มลงจูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากของอีกคน กระซิบคำรักเสียงแผ่วเบา แต่ว่ามันช่างหนักแน่นและจริงจัง ตี๋กระชับกอดคนตัวหนากว่าให้แน่นขึ้น

“ฝันดีนะครับ” กระซิบบอกเสียงหวาน

เพียงแค่นี้เอสก็เป็นสุขใจมากพอแล้ว...




TBC…
หื่นไม่ช่วยอะไร กรั่ก ๆๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.11 หน้า 2 [up:25/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 25-05-2018 22:48:35
 :L2: :L1: :pig4:

ตี๋น่ารัก
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.11 หน้า 2 [up:25/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 26-05-2018 08:36:08
น้องตี๋เอาตัวรอดเก่งดี พี่เอสก็รอไปก่อนนะ :laugh:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.11 หน้า 2 [up:25/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 26-05-2018 16:18:16
น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.12 หน้า 2 [up:29/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 29-05-2018 11:25:36
12



ในที่สุดก็ถึงวันเดินทาง ตี๋กับพี่ชายแบกกระเป๋ามาที่หน้าบ้านของเอสในตอนเช้าตรู่ ทั้ง ๆ ที่ตายังไม่ลืมดีนัก ยิ่งคนน้องที่ตั้งแต่ปิดเทอมมาก็ไม่ได้ตื่นเช้ามานาน พอต้องมาตื่นตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นแบบนี้แล้วด้วย ก็ยิ่งพร้อมจะนอนข้างถนนได้เลย แต่ง่วงขนาดนี้ทั้งคู่ไม่ลืมที่จะหยิบหมอนรองคอและที่คาดตาติดมือมาด้วย กะว่าจะไปนอนบนรถอย่างเต็มที่

“ไปเที่ยวก็ทำตัวดี ๆ นะ อย่าไปทะเลาะกันล่ะ” คนเป็นพ่อสั่งสอนลูกชายทั้งสองตอนที่กำลังเก็บสัมภาระเข้าด้านหลังรถ

“เฟย/ตี๋ โตแล้วนะป๊า!” ทั้งสองคนว่าพร้อมกันเสียงแข็ง เมื่อป๊าพูดอย่างกับว่าพวกเขายังไม่โตสักที

“คนที่โตแล้วเขาไม่มาทะเลาะกันแบบพวกมึงหรอก”

สิ้นสุดคำพูดของคนเป็นพ่อลูกชายทั้งสองคนก็หน้าบูดเป็นตูดหมึกทันที เห็นแบบนี้แล้วป๊าของพี่เอสที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ ยิ่งหน้าเหมือนนิสัยเหมือนกันทั้งคู่แบบนี้ก็ยิ่งตลกเข้าไปใหญ่ ไม่แปลกใจที่จะทะเลาะกันได้บ่อย ๆ พี่น้องกันก็แบบนี้ ถ้าไม่สนิทจนรู้ทันกันก็หาเรื่องกวนประสาทกันไม่ได้หรอก

“ถ้าพวกมันสองคนทะเลาะกัน อั๊วะก็ขอโทษแทนพวกมันด้วยนะเฮีย” ป๊าของสองพี่น้องบอก

“ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ครึกครื้นดีออก”

อาฮงยิ้มให้กับคนที่เขานับถือเหมือนพี่ชาย เขาเห็นมาตลอดว่าคนตรงหน้าใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมานานนับสิบปี ก่อนหน้านี้ที่เอสจะกลับมาอยู่บ้าน เวลาที่เขาว่างก็จะเดินมาคุยด้วยอยู่บ่อย ๆ เป็นการแก้เหงาให้กับอีกฝ่าย เห็นแบบนี้เขาเลยไม่เอ่ยปากห้ามที่ลูกชายคนเล็กจะมาคลุกอยู่ที่บ้านนี้เป็นประจำ เพราะอย่างน้อยไอ้ตัวแสบของเขาก็น่าจะสร้างสีสันให้กับบ้านหลังนี้ได้ไม่มากก็น้อยล่ะนะ เฮียโจวถึงได้ดูหน้าตาสดใสขึ้นเยอะแบบนี้

“สวัสดีครับเจ็กฮง” เอสที่เพิ่งเดินลากกระเป๋าเดินทางกับสัมภาระของทั้งตัวเองและของป๊าออกมาจากในบ้าน เอ่ยทักทายและยกมือขึ้นไหว้ผู้ปกครองของสองพี่น้อง

“ฝากดูแลเด็ก ๆ มันด้วยนะ”

“จะดูแลอย่างดีเลยครับ” เอสยิ้มตอบ พร้อมกับยกของขึ้นไปวางด้านหลังรถ และขอตัวไปปิดบ้านให้เรียบร้อย แล้วถึงเดินมาสตาร์ทรถเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง

“ไปนะป๊า” สองพี่น้องพูดพร้อมกัน โบกมือบ๊ายบายให้

“เออ อย่าไปรบกวนเขาให้มากล่ะ”

“ครับ ๆๆ”

“เดินทางปลอดภัยนะเฮีย ฝากดูไอ้สองแสบด้วยนะเอส”

พอฝากฝังและล่ำลากันเรียบร้อย ซีอาร์วีสีดำก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไป โดยที่มีสองพี่น้องนั่งอยู่เบาะหลัง คนเป็นพ่อได้แต่คิดในใจว่านั่งใกล้กันขนาดนี้จะมีใครตายก่อนไปถึงปลายทางไหมเนี่ย ปกติอยู่บ้านเดียวกันก็ตีกันจะตาย ถ้าไม่มีเขากับม๊ามันคอยห้าม สงสัยว่าได้มีชกกันบ้างแหละ

ครั้งนี้เอสเป็นคนวางแผนการเดินทางทั้งหมด ในตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะออกเดินทางตอนกลางคืนเพื่อที่จะได้ขับขึ้นบ่อเกลือในตอนเช้าโดยที่ไม่ต้องหาที่พักข้างล่างก่อนหนึ่งคืน แต่ก็ห่วงความปลอดภัยของทุกคน เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้ขับรถในระยะทางไกลบ่อยนัก เลยเปลี่ยนเป็นออกรถในตอนเช้าตรู่เพื่อที่จะถึงอำเภอปัวตอนเย็น ค้างเพื่อพักผ่อนสักหนึ่งคืน แล้วเช้าวันต่อมาก็ค่อยเดินทางขึ้นดอยต่อไป

ออกรถได้ไม่นานสองพี่น้องก็หลับทั้งคู่ เรียกรอยยิ้มจากคนอายุมากที่สุดในรถได้อย่างดี

“ถ้าป๊าเมื่อยก็บอกนะ เอสจะได้พักรถให้ป๊ายืดเส้นยืดสาย ขาจะได้ไม่บวม” ลูกชายคนเดียวบอกทั้งที่เพิ่งจะขับออกมาได้ไม่นาน แต่ก็เพราะเป็นห่วงนั่นแหละ เขาจำได้ว่าเวลาเดินทางนาน ๆ ป๊ามักจะเท้าบวมอยู่บ่อยครั้ง

“เออ”

“ป๊าจะหลับก็ได้นะ”

“เดี๋ยวกูอยู่คุยเป็นเพื่อนมึงนี่แหละ” พูดไปอย่างนั้น เอาเข้าจริงเขาก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับลูกชายตัวเองเหมือนกัน เพราะมันกับเขาเองก็คุยไม่เก่งกันทั้งคู่ ทุกวันนี้เหมือนมีตี๋เป็นคนกลางที่ทำให้สองพ่อลูกใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น และนี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปีที่เขามาเที่ยวกับมัน ทั้งที่เมื่อก่อนจะเป็นตัวเขาที่พาเที่ยว รู้สึกเหมือนผ่านไปไม่นาน ลูกชายของเขามันโตขึ้นขนาดนี้แล้วเหรอ

“แล้วจะกลับไปเยี่ยมแม่เมื่อไหร่ล่ะ?”

“ว่าจะไปช่วงสิ้นปี ป๊าไปด้วยปะ?”

“ไม่ดีมั้ง”

ถึงเขาจะไม่ได้คิดอะไรแล้ว เพราะเวลามันก็ผ่านไปนาน และแม่ของเอสก็มีครอบครัวใหม่ไปเรียบร้อย แต่มันคงจะไม่เหมาะสมนักถ้าหากว่าเขาไปยุ่งเกี่ยวอีก

“เอสลองถามแม่แล้ว ป๊าไปได้ อย่าคิดมากเลย”

“แล้วเอาไอ้นี่ไปด้วยไหม?” ป๊าถามเหล่ตามองไปทางที่นั่งข้างหลังอย่างรู้กัน เนื่องจากมีคนนอกอยู่ด้วยเลยไม่อยากพูดออกมาโจ่งแจ้งนักว่าใคร เพราะก็รู้ว่าคนทางบ้านของตี๋ยังไม่รู้ว่าลูกชายคนสุดท้องมีแฟนเป็นผู้ชาย แถมยังเป็นคนที่คิดไม่ถึงอย่างลูกชายเขาอีกต่างหาก คิดภาพไม่ออกเลยว่าทางนั้นรู้จะเป็นอย่างไร

“เอาไปด้วยสิ แม่เขาอยากเจอ”

คนเป็นพ่อพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้วไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

“สรุปว่าป๊าไปด้วยนะ”

“ทำไมกูต้องไปวะ?” ไม่ได้กวนหรือประชดอะไรลูกชายเลย แต่เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเขาจะไปเพื่ออะไร

“ทิ้งป๊าไว้คนเดียว เอสเป็นห่วง”

“ก่อนที่มึงจะมา กูก็อยู่คนเดียว ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”

เอสเงียบไปทันที ความเสียใจมันตีขึ้นมาจนเจ็บหน่วงไปทั้งอก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าป๊าเองพูดไปอย่างนั้นไม่ได้คิดอะไร แต่มันก็คือเรื่องจริงที่ว่าท่านเองก็อยู่คนเดียวมานานโดยที่ไม่มีใครอยู่ด้วย ตอนนั้นเขาก็ยังเป็นเด็ก ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอะไรที่จะโต้แย้งได้

“เอส...ขอโทษนะครับ”

คนเป็นพ่อหันมามองลูกชายที่หน้าจ๋อยไป ก่อนจะยกมือที่มีรอยเหี่ยวย่นขึ้นมาลูบหัว

“มึงไม่ต้องคิดมากหรอกน่า”

ทั้งความอบอุ่นจากฝ่ามือและคำพูดที่แสนอ่อนโยนจากคนเป็นพ่อ ทำเอาเขาน้ำตาคลอหน่วยจนมันแทบจะไหลออกมา เนิ่นนานแค่ไหนกันที่เขาไม่ได้รับสัมผัสที่อบอุ่นแบบนี้จากคนข้าง ๆ เมื่อก่อนที่เคยคิดว่าป๊าคงไม่ได้รักเขาหรอก เพราะจนถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากปากท่านเลย แต่พอโตขึ้นเขาก็ได้รู้ว่าไม่ใช่ไม่รัก แต่การแสดงออกของคนเรามันต่างกัน บางคนแม้ไม่มีคำว่ารักออกจากปาก แต่ก็รักเรามากกว่าคนที่ปากพร่ำบอกคำรักเสียอีก

“ขอบคุณครับ...เอสรักป๊านะ”

“เออ ๆ”

ท่านยิ้มและตอบรับ ตบบ่าเขาสองสามทีก่อนจะมองตรงไปข้างหน้า หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก เหลือไว้แค่ความรู้สึกดี ๆ ที่อบอวลอยู่ภายในรถ





++++++++++





หลังจากออกมาจากบ้านได้สามชั่วโมงเอสก็ตัดสินใจพักรถในปั๊มน้ำมันใหญ่ที่เป็นจุดพักรถ มีทั้งมินิมาร์ท ร้านอาหารและร้านขายของฝาก ตั้งใจจะให้ทุกคนแวะกินข้าวเช้ากันที่นี่ เพราะตอนนี้ก็เริ่มสายมากแล้ว

“ป๊าไปสั่งข้าวก่อนได้เลย เดี๋ยวเอสปลุกเด็ก ๆ เอง”

เอสลงจากรถแล้วเดินมาเปิดประตูฝั่งที่ตี๋นั่งเพื่อที่จะปลุกเด็กขี้เซา เขาเริ่มจากการปลุกคนพี่ก่อน เฟยเป็นคนตื่นง่ายพอโดนเรียกไม่กี่ครั้งก็ลืมตาตื่นขึ้น คนพี่ที่ตัวเล็กกว่าบิดขี้เกียจพร้อมกับหาวอ้าปากกว้าง พอเอสเห็นว่าอีกคนตื่นแล้ว เขาเลยเอื้อมมือไปเปิดที่คาดตาออกคว้ามือของคนน้องขึ้นมาจับแล้วบีบเบา ๆ

“ตี๋...ตี๋ครับ”

“อื้อ”

“ตื่นมาเข้าห้องน้ำก่อนเร็ว”

พอเห็นตาตี่ ๆ เปิดขึ้นเอสก็ยิ้มออกมา คราวนี้ตื่นง่ายคงเป็นเพราะนอนบนรถมันหลับไม่สบายเลยทำให้หลับไม่สนิท เขายกมือขึ้นลูบหัวเล็ก ๆ ของคนรักอย่างเอ็นดู มันเป็นพฤติกรรมที่ทำไปตามความเคยชินของตัวเองโดยที่ไม่ทันได้ระวังตัวว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย คนอื่น...ที่ถึงแม้จะเพิ่งตื่นสติไม่เต็มร้อย แต่ก็เห็นทุกสิ่งได้ยินทุกอย่างที่เขาแสดงออกกับน้องชายของอีกคน

เฟยรู้สึกว่าการแสดงออกต่อกันของทั้งสองคนมันดูแปลกไปจากพี่น้องทั่วไป ขนาดตัวเขาเป็นพี่น้องกับมันแท้ ๆ ยังไม่เคยแสดงท่าทางแบบนี้ออกไปเลย แถมอีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าสะทกสะท้านอีกต่างหาก ทั้ง ๆ ที่ก็เห็นว่าเขามองอยู่ ดันหันมายิ้มให้เฉย

“เฟยลงไปสั่งข้าวก่อนได้เลยนะ เดี๋ยวพี่พาตี๋ไปเอง”

ทำได้แค่พยักหน้าตอบแล้วลงรถไปด้วยความงงงวย ไม่รู้ว่าจะคิดเรื่องไหนก่อนดี บวกกับความง่วงที่ยังคงค้างอยู่เลยยังทำให้เรียงลำดับความคิดไม่ได้ แต่ที่แน่ ๆ สองคนนี้ต้องมีอะไรบางอย่าง เป็นความสัมพันธ์ที่คงไม่ใช่แค่พี่น้องแน่นอน แต่มันจะเป็นอะไรเดี๋ยวต้องหาเวลาถามน้องชายของเขาอีกที

หลังจากที่ทั้งสี่คนนั่งกินข้าวด้วยกันจนเสร็จ สองพี่น้องก็พากันแยกไปซื้อเสบียงตุนเอาไว้ เพราะจากนี้ก็ต้องเดินทางอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงที่พัก

“มึงจะหยิบอะไรเยอะแยะเนี่ย” เฟยติงน้องชาย

“ก็อีกตั้งไกลกว่าจะถึง” ตี๋ค้อนมือยังถือตะกร้าขนมแน่น

“แต่พี่เขาก็ต้องแวะพักอีกไหมล่ะ”

ตี๋กลอกตาคิด “นั่นดิ”

มือขาวหยิบขนมคืนชั้นไปบางชิ้นตามคำว่าของพี่ชาย ทั้ง ๆ ที่ใจก็อยากจะซื้อไปหมดเนี่ยแหละ เพราะอยู่บนรถแล้วมันว่างไม่มีอะไรจะทำ จะอ่านหนังสือเขาก็กลัวว่าจะเมารถอีก

“แล้วมึงไม่เอาอะไรเหรอ?” ตี๋ถามเฟยที่กอดอกยืนมองตนอยู่

“ไม่อ่ะ”

“ไม่ซื้อแล้วจะตามมาทำเพื่อ”

เฟยไม่ได้ตอบคำถาม ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะถามเรื่องที่สงสัย เพราะถ้าคำตอบมันออกมาไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง เขาก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าจะรู้สึกยังไงดี เพราะอย่างนั้นเขาต้องเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะดีกว่า เขากับตี๋เป็นเหมือนเพื่อนกันมากกว่าพี่น้อง แต่ในฐานะที่เป็นพี่ชายถึงจะทะเลาะกันอยู่ประจำแต่เขาก็เป็นห่วงมันเสมอ น้องชายของเขาถึงจะไม่ใช่พวกเชื่อคนง่าย แต่ก็ใจดีใจอ่อนซะเหลือเกิน นิสัยโคตรแตกต่างจากภาพลักษณ์ภายนอก เพราะแบบนี้ทั้งป๊าม๊ากับเขาถึงได้เป็นห่วงมันมาก

หันไปอีกทีก็เห็นตี๋หิวขนมกับน้ำเต็มสองมือ เฟยส่ายหัวเบา ๆ ด้วยความปลง สงสัยเดินผ่านชั้นไหนก็หยิบอีกแน่ ๆ แล้วที่เอาคืนชั้นไปมันช่วยลดปริมาณขนมตรงไหน

“เข้าห้องน้ำหรือยัง?” เอสถามตอนที่ตี๋เอาขนมไปเก็บที่รถ

“เรียบร้อย”

“เฟยล่ะ?”

“เข้าแล้วครับ”

“งั้นขึ้นรถกัน ปะ” เอสยกมือขึ้นดันหัวของคนรักให้เดินขึ้นไปนั่งให้เรียบร้อย

“เพิ่งจะแดกข้าวไป นี่มึงจะแดกอีกแล้วเหรอ?” คนพี่ถามน้องชายที่พอรถออกไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ก้มตัวคุ้ยถุงขนมตรงที่พักเท้า

“ยุ่งไรด้วย”

“กูกลัวมึงอ้วนไง”

ตี๋ดันตัวเองขึ้นมานั่งตรงพร้อมกับขนมติดมือมาด้วย มองหน้าพี่ชายด้วยสายตาหน่าย ๆ “แล้วเห็นกูอ้วนไหมล่ะ?”

เฟยหัวเราะเบา ๆ ก็จริงของมัน ตั้งแต่ไหนแต่ไรเขากับตี๋ก็ไม่เคยมีเนื้อมีหนังแบบเด็กคนอื่น ๆ เลย ม๊าเคยซื้อยาถ่ายพยาธิมาให้กิน เพราะเข้าใจว่าลูกทั้งสองคนที่ไม่อ้วนอาจจะเป็นเพราะว่ามีพยาธิเยอะ แล้วดูสิ...ไม่เห็นจะมีวี่แววอ้วนขึ้นเลย

“กินปะ?” ตี๋ถามพี่ชายพลางยื่นปลาเส้นทาโร่ให้

“หึ” เขาส่ายหัว “กูอิ่มอยู่”

เจ้าตัวยักไหล่ก่อนจะหันไปเกาะเบาะรถคนขับด้านหน้า “พี่กินปะ?”

เอสหันมามองแว๊บหนึ่งแล้วยิ้ม “ป้อนหน่อยสิ”

“โห ลำบากมั้ยเนี่ย” คนโดนอ้อนบ่นนิดหน่อยแต่ก็ยอมหยิบไปส่งให้ถึงปากอยู่ดี

“โตเป็นควายแล้วยังจะอ้อนน้องอีกนะมึง” คนที่อายุเยอะที่สุดในรถแซวลูกชายคนเดียว

“โถ่...ป๊า มีคนให้อ้อนก็ต้องอ้อนสิ” เอสตอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

ทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของเฟยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความงุ้งงิ้งของพี่ชายแถวบ้านกับน้องชายของเขาที่ดูยังไงมันช่างเกินคำว่าพี่น้องไปไกลโข เรียกได้ว่าเหมือนเป็นแฟนกันซะด้วยซ้ำ แล้วถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง...ป๊าของพี่เอสรับได้ด้วยหรือไงกัน

“อะ”

คนคิดมากได้สติหลังจากที่น้องชายส่งเสียงเรียกแล้วยื่นห่อขนมมาตรงหน้า

“อะไร”

“เห็นมองตาไม่กะพริบ อยากกินเหรอ?”

“ไม่อะ” บอกปฏิเสธไปแล้วก็จัดแจงเอาผ้าปิดตาขึ้นมาคาดเตรียมตัวนอนต่อ

ตี๋เห็นแบบนั้นเลยไม่คิดจะกวนเวลานอนของเฟย แล้วหันไปตั้งอกตั้งใจกินโดยที่ไม่ได้คิดติดใจอะไรกับท่าทางของพี่ชาย ที่ก็ดูไม่ผิดปกติไปจากเดิมสักเท่าไหร่ แต่คนที่รู้ถึงความไม่ปกตินี้คือเอสกับคนพ่อ พวกเขารู้ว่าตอนนี้เฟยกำลังจับสังเกตระหว่างเขากับน้องชายตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่ระวังตัว จริง ๆ แล้วต้องบอกว่า...เขาตั้งใจจะแสดงให้อีกฝ่ายเห็นด้วยนั่นล่ะ ว่าระหว่างเขากับน้องของอีกคนมีความสัมพันธ์กันแบบไหน

“อีกนานไหมอะกว่าจะถึง?”

“อะไรกัน เพิ่งไม่นานก็งี่เง่าซะแล้ว”

“ป๊าอ่ะ ตี๋แค่ถามเฉย ๆ เอง”

เอสหัวเราะก่อนจะตอบ “น่าจะอีกซักห้าหรือหกชั่วโมงนะ”

“โห” ตี๋ทิ้งตัวลงกับเบาะ ด้วยความเป็นเด็กไฮเปอร์แล้ว นอกจากเวลานอนก็แทบจะไม่ปล่อยให้ตัวเองได้ว่างเลย อย่างน้อยอ่านหนังสือหรือเล่นเกมโทรศัพท์ก็ยังดี แต่นี่ก็โดนป๊ากับพี่เอสขู่เอาไว้ว่าระวังเมารถเลยทำให้ไม่กล้าเลย

“ดูมันทำท่าเข้า หมดอาลัยตายอยากขนาดนั้นเลยหรือไง”

“ก็มันนานนี่ป๊า ตี๋เบื่ออออออ!”

“เลือกเองแท้ ๆ จะบ่นทำไม” 

“ลืมนึกไปว่ามันไกลอะ”

สองพ่อลูกที่นั่งด้านหน้าส่ายหน้าปลง แต่ก็อดที่จะยิ้มเอ็นดูไม่ได้ ส่วนคนที่เด็กที่สุดก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาฟังเพลงแก้เบื่อ ใช้เวลาไม่นานนักตี๋ก็หลับไปอีกรอบ

“เด็ก ๆ นี่มันดีจริง ๆ นิ่งเป็นหลับขยับเป็นแดก”

เอสหันไปมองป๊าที่พูดออกมาลอย ๆ เขาเห็นแววตาของความสุขฉายออกมาอย่างปิดไม่มิด ที่เคยได้ยินมาว่าคนแก่ไม่ควรจะอยู่ลำพัง ควรจะมีอะไรให้ท่านทำหรือมีคนอยู่ด้วย ยิ่งถ้าเป็นเด็กหรือมีสัตว์เลี้ยงจะดีมาก ช่วงนี้เขาก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะรับแมวหรือหมาตัวเล็ก ๆ สักตัวมาเลี้ยงเป็นเพื่อนท่านเวลาที่เขาไปทำงาน เพราะตั้งแต่ที่เลิกขายน้ำเต้าหู้มาก็แลดูว่าท่านจะว่างมากเหลือเกิน เขาพยายามที่จะสอนเล่นพวกไอแพทแล้ว แต่ดูท่าป๊าจะไม่ชอบเห็นอ่านแต่หนังสือ เขาก็เลยต้องพาไปซื้อในวันหยุดกับตี๋อยู่บ่อยครั้ง และบางทีตี๋ก็หอบมาให้เป็นตั้งใหญ่เลย

ว่าแล้วก็ขอถามสักหน่อยดีกว่า “ป๊าชอบหมาหรือแมว?”

“ถามทำไม?” ท่านย้อนถามเลิกคิ้วอย่างสงสัย

“เอสจะเลี้ยง”

“มึงหรือกูกันแน่ที่เลี้ยง”

“เกลียดคนรู้ทัน” ลูกชายหัวเราะแห้ง ๆ

“แล้วแต่มึงเถอะ อยากเลี้ยงอะไรก็ตามใจ”

“โอเค เดี๋ยวป๊าเตรียมตัวเป็นอากงได้เลยนะ”

“หึ” คนพ่อยิ้มมุมปาก เขาเองก็รู้ว่าตัวเองคงจะไม่มีโอกาสได้อุ้มหลานเหมือนคนอื่น และก็ทำใจยอมรับกับเรื่องนี้มาตั้งแต่รู้ว่าลูกชายของเขาไม่ได้ชอบผู้หญิงแล้ว ช่วงแรก ๆ อาจจะมีเสียดายอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาปลงกับเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้ว เพราะชีวิตที่เป็นอยู่ปัจจุบันก็ดีเหมือนกัน เขามีความสุขและลูกชายของเขาก็มีความสุข...แค่นี้ก็พอแล้ว

เดินทางมาได้อีกพักใหญ่ ๆ เอสก็จอดพักรถอีกครั้งก่อนที่จะเดินทางต่อยาวให้ถึงอำเภอปัวเลย

“ป๊า จะกินข้าวเลยไหม?” เอสถามตอนที่จอดรถเสร็จ

“เออ”

“เฟยก็ไปกับป๊าพี่เลยก็ได้นะ”

“ครับ” เจ้าตัวตอบทั้ง ๆ ที่งัวเงียเพิ่งจะตื่น

“เดี๋ยวพี่ปลุกตี๋ให้”

เฟยเหลือบมองอีกฝ่ายที่ปลุกน้องชายเขาด้วยความนุ่มนวล ทั้งสายตาและรอยยิ้มที่มีให้กับตี๋มันเต็มไปด้วยความรักที่มาก...จนเขาสัมผัสได้ แถมยังดูแลน้องชายของเขาได้ดีเยี่ยมอีกต่างหาก ทั้งที่ตามใจมันขนาดนี้แต่กลับเอามันอยู่หมัดจนไอ้ตัวแสบมันเชื่องเหมือนลูกไก่ในกำมือ แต่คนตรงหน้ากลับดูเจ้าชู้ยังไงชอบกล เรื่องนี้แหละที่ทำให้เขายังคิดหนักเพราะเป็นห่วงน้อง

“ถึงไหนแล้วอะ?” คนน้องถามเสียงยานคางมือขวายกขึ้นขยี้ตา

“แพร่แล้วครับ”

“อือ ๆๆ” เจ้าตัวตอบรับด้วยความง่วง ไม่รู้หรอกว่าแพร่อยู่ส่วนไหนของประเทศไทย แต่คิดว่าน่าจะใกล้ถึงแล้วมั้ง “ปวดฉี่”

ตี๋พูดทั้งที่ตายังไม่ลืมดีค่อย ๆ ไถตัวลงมาจากรถ แล้วเดินตามพี่ชายตัวเองเข้าห้องน้ำไป เอสจัดการล็อกรถแล้วถึงไปจัดการธุระของตัวเองบ้าง ตัวเขาเองยังไม่ค่อยหิวเลยปล่อยให้ป๊ากับสองพี่น้องกินข้าวไปก่อน ในขณะที่ตัวเองเดินยืดเส้นสายคลายเมื่อยที่เกิดจากการขับรถไกล ขายาวเดินเข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อจะไปหาผ้าเย็นสักผืนกับกาแฟสักแก้วเพื่อไล่ความง่วงที่เริ่มเกาะกุม ลูกอมก็หมดแล้ว กลายเป็นว่าตั้งแต่ที่เขาเลิกบุหรี่มาก็กลับติดลูกอมแทนซะอย่างนั้น

“ไม่กินข้าวเหรอ?” ตี๋ถามเมื่อเขาเดินไปถึงโต๊ะ

“พี่ยังไม่หิวน่ะ”

“เพลียสิมึง” ป๊าว่า

“นิดหน่อยอะป๊า ไม่ค่อยได้ขับรถทางไกล”

“ค่อย ๆ ไป ไม่ต้องรีบ”

“ครับ” เอสรับคำก่อนจะกินกาแฟต่อ พอวางแก้วลงบนโต๊ะก็สังเกตว่าตี๋ที่นั่งฝั่งตรงข้ามนั้น จ้องเขาตาแป๋ว เห็นแบบนี้เขาก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “มองอะไรครับ?”

“หือ เปล่า” เจ้าตัวปฏิเสธก่อนจะลุกขึ้นยืน “ตี๋ไปเซเว่นนะ”

“ขนมบนรถมึงยังกินไม่หมดเลย” เฟยว่าน้อง

“จะกินกาแฟ”

“ห่า เดี๋ยวก็นอนไม่หลับ”

“กูนอนไปเยอะขนาดนี้แล้ว ไม่กินกูก็นอนไม่หลับอยู่แล้วมะ”

พอเห็นพี่ชายไม่ว่าอะไรอีกตี๋ก็หันไปหาคนสูงอายุที่ยังกินข้าวไม่เสร็จ “ป๊าจะเอาอะไรไหม? เดี๋ยวตี๋ซื้อมาเผื่อ”

“โบตันสักหน่อยแล้วกัน”

“โอเคครับเจ้านาย” ตี๋ยิ้มให้ก่อนจะวิ่งแจ้นออกไปก่อนที่เฟยจะพูดว่าอะไรเขาอีก

“เดี๋ยวผมขอตัวไปห้องน้ำนะครับ” เนื่องจากเป็นพวกท่อตรงกินปุ๊บถ่ายปั๊บก็เลยต้องขอไปเข้าห้องน้ำก่อนจะออกเดินทาง ไม่งั้นไปปวดข้างทางล่ะแย่เลย

“เดี๋ยวไปเจอกันที่รถนะ”

เฟยพยักหน้าตอบพี่ข้างบ้าน ก่อนจะหันหลังกลับ สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างคิดหนัก ตอนนี้เขามั่นใจกว่า 80% แล้วว่าเอสกับน้องชายเขามีความสัมพันธ์ที่พิเศษต่อกันแน่นอน ใจจริงก็ไม่ได้อยากจะตัดสินไปก่อนที่จะได้ฟังจากปากของตี๋ แต่ว่าฝ่ายพี่เอสดูเหมือนจะจงใจแสดงท่าทีให้เขารู้ ตอนนี้ก็ขอเวลาให้เขาได้ตกตะกอนความคิดและทำใจก่อนสักพัก แล้วค่อยถามจากน้องชายของเขาวันหลังแล้วกัน

ตอนแรกตี๋คิดว่านั่งอีกไม่นานก็คงจะถึง ที่ไหนได้...ผ่านมาชั่วโมงกว่าก็แล้ว สองชั่วโมงก็แล้ว

“เมื่อไหร่จะถึงเนี่ยยยยย” เจ้าตัวโวยวายด้วยความหงุดหงิด

“เสียงดัง” พี่ชายที่นั่งข้างกันว่าเข้าให้ แถมยังเอาหมอนมาตีอีกต่างหาก

“ก็กูเบื่อ อย่างน้อยเล่นเกมหรือว่าอ่านหนังสือได้ก็ยังดี แต่กลัวเมารถนี่หว่า” บ่นตามประสาเด็กไฮเปอร์ที่อยู่นิ่ง ๆ ไม่ค่อยได้

เอสกับป๊าหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนเอสจะตอบ “ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้วเนี่ย”

“โอย” ตี๋ถอนหายใจ “ขอบคุณพระเจ้า”

“มึงนี่มัน...” คนเป็นพี่ชายหมดคำจะด่า ได้แต่ส่ายหัวหน่ายกับน้องชายตัวเอง


หลังจากที่ต้องนั่งแกร่วอยู่ในรถเป็นเวลาหลายชั่วโมง ในที่สุดก็เดินทางมาถึงรีสอร์ตในอำเภอปัวสักที ตี๋ดีใจจนแทบอยากจะร้องไห้ พอลงจากรถได้ก็ยืดเส้นยืดสายบิดขี้เกียจกับป๊าและพาเดินดูบรรยากาศรอบ ๆ ที่พักที่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมร่มรื่นสวยงาม ห้องพักก็เป็นบ้านหลังเล็ก ๆ สองหลังติดกัน น่ารักดี

คืนนี้เอสจองไว้สองหลังสำหรับตัวเองกับบิดา และอีกหลังก็เป็นของสองพี่น้อง ตอนแรกที่ตี๋รู้ก็หน้าบูดไปนิดที่ตนต้องทนฟังเสียงกรนของพี่ชาย แต่เขาก็ให้เหตุผลว่าคืนเดียวเอง ทนเอาหน่อยนะ

“เสียงกรนไอ้เฟยมันโคตรดังเลยนะ” เจ้าตัวงี่เง่า

“เดี๋ยวพี่ซื้อที่อุดหูให้” คนพี่บอกพลางยิ้มขำ

ตี๋ถอนหายใจหนึ่งเฮือก “ก็ได้วะ”

ตอนที่มาถึงก็ใกล้มืดแล้วพวกเขาก็ไม่ได้แวะกินข้าวที่ไหน เลยพากันเดินออกจากที่พักมาเพื่อหาอะไรกินก่อนที่จะนอนกัน ดีที่รีสอร์ตไม่ได้ไกลจากถนนใหญ่นักเลยไม่ต้องเดินไกล ปัวเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างเงียบเลยถ้าเทียบกับจังหวัดที่พวกเขาอยู่ ร้านขายข้าวก็ไม่ได้มีให้เลือกมากนัก มีอะไรให้กินก็ต้องกินล่ะ

“ดีจัง มีเซเว่นด้วย” ตี๋ชี้ตาโต

“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วค่อยแวะ” เฟยปรามน้องชาย

“รู้น่า”

ทั้งสี่คนฝากท้องกับร้านข้าวที่อยู่ใกล้กันกับเซเว่นนั่นแหละ แน่นอนว่าสามหนุ่มนั่งอยู่โต๊ะเดียวกันย่อมเป็นเป้าสายตาของสาว ๆ ในร้าน ด้วยความที่ก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรและดูยังไงก็ไม่ใช่คนพื้นที่ ยิ่งเอสที่เป็นคนหน้าตาดีแบบพิมพ์นิยม สาว ๆ ก็ยิ่งจ้องกันใหญ่ บางคนก็แอบซุบซิบกัน ถึงจะฟังไม่ออกว่าพูดอะไร แต่ตี๋ก็ไม่ได้ชอบใจนักหรอก เจ้าตัวก็เลยก้มหน้าก้มตากินไม่พูดไม่จา

“เป็นอะไรเหรอ?” เอสที่สังเกตเห็นความผิดปกติของตี๋ ทั้งที่เมื่อครู่ยังร่าเริงอยู่ดี ๆ แต่ตอนนี้กลับก้มหน้ากินข้าวเงียบไป

“เปล่า”

“ก็เห็นหน้าบูดเชียว เป็นอะไรหรือเปล่า?”

พอโดนตื๊อถามมากเข้า ตี๋ก็ถอนหายใจแรงเพื่อระบายอารมณ์ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แค่หงุดหงิดนิดหน่อย เดี๋ยวก็หาย”

“จริงนะ”

“ให้มันจริงเหอะ”

เอสกับเฟยพูดขึ้นมาพร้อมกัน แต่คนละความหมาย

“เออออ” ตี๋ตอบทั้งคู่เสียงยานคางอย่างไม่ชอบใจนัก โดยมีป๊าของพี่เอสหัวเราะอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ป๊ากินอิ่มยัง เดี๋ยวไปซื้อขนมกับตี๋กันนะ” เจ้าตัวกำลังเบี่ยงความสนใจไปที่เรื่องอื่นแทน

“ไปสิ”

พอคนอายุมากตอบตกลงตี๋ก็ยิ้มแล้วลุกขึ้นไปพยุงแขนอย่างออดอ้อน ซึ่งมันก็สร้างความพอใจให้กับเขาเป็นอย่างดี จริง ๆ ตี๋ไม่จำเป็นที่จะต้องมาเกาะแขนพาเขาเดินหรอก เพราะถึงจะอายุมาก แต่ด้วยความที่ทำงานมาตลอดชีวิตเลยทำให้สุขภาพโดยรวมของเขาก็ยังคงแข็งแรงอยู่

“เมื่อกี้หงุดหงิดอะไรล่ะเราน่ะ?” เขาถามขึ้นระหว่างเดิน

“ก็...”

“พูดมาเถอะ”

“ก็มีแต่คนมองพี่เอสแล้วก็ซุบซิบอะไรกันก็ไม่รู้อะ”

“แล้วยังไงต่อ”

“ตี๋...”

“มึงไม่ชอบใจ” เขาตอบแทนในส่วนที่มันไม่กล้าพูด

“อื้อ” เจ้าตัวพยักหน้าอย่างจำต้องยอมรับกับเรื่องจริงที่อีกฝ่ายพูดออกมา “ทำไมตี๋ถึงต้องไม่ชอบใจด้วยล่ะป๊า?”

“หึ” คนถูกถามหัวเราะกับความซื่อของแฟนลูกชายเขาคนนี้ “เพราะมึงหวงมันไง”

ทันทีที่ป๊าพูดจบขายาว ๆ ของตี๋ก็หยุดชะงัก

“ไม่จริงอะ” เขาพยายามจะปฏิเสธคำพูดนี้ ทั้ง ๆ ที่ในใจก็รู้อยู่ว่าอีกฝ่ายพูดออกมาน่ะมันเป็นเรื่องจริงหรือไม่

“ยอมรับเถอะ...ว่ามึงน่ะหวงไอ้เอสมัน




TBC…
ฉันหวง ฉันมาทวงของฉันคืน #ผิดดดด
น้องตี๋คนความรู้สึกช้า ถถถถถ สงสารพี่เอสจัง  :laugh:
#น้องตี๋พี่เอส
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.12 หน้า 2 [up:29/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-05-2018 15:06:40
ถือโอกาศแสดงความเป็นเจ้าของเลย
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.12 หน้า 2 [up:29/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 29-05-2018 21:56:26
น้องตี๋คนซึน อย่าให้พี่เอสรอนานนะลูก  :o8:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.12 หน้า 2 [up:29/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 30-05-2018 19:51:42
ครอบครัวสุขสันต์
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.12 หน้า 2 [up:29/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 30-05-2018 20:44:37
น้องตี๋ คนขี้หวง :hao3: ชอบเวลาน้องอยู่กับคุณป๊าพี่เอสอ่า น่ารักดี :-[
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.12 หน้า 2 [up:29/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-05-2018 22:15:48
ชอบบบบบบ.......   :mew1:
ตี๋ น่ารักมากเวลาอยู่กับเอส
ขนาดตี๋ไม่ได้ทำอะไรเลย เอสยังรักแล้ว
พอตี๋ ออดอ้อนเอส แม้ตี๋ไม่ได้คิดอะไร
แต่เอสสิ ยิ่งจะหลงตี๋หัวปักหัวปำ

เฟย รู้เรื่องที่เอสตี๋ชอบกันแล้ว   :hao4:
และดูห่วงตี๋เรื่องเอสดูเจ้าชู้
แต่ตี๋ หงุดหงิด หวงเอสที่มีสาวๆมาสนใจเอส
ตี๋ เริ่มโตเรื่องความรักแล้วมั้ง

เอส ตี๋    :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.13 หน้า 2 [up:31/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 31-05-2018 20:46:53


13



“ยอมรับเถอะ...ว่ามึงน่ะหวงไอ้เอสมัน”
   
“ไม่ได้หวงซะหน่อย” ตี๋พยายามเถียงข้าง ๆ คู ๆ ทั้งที่ตอนนี้แก้มทั้งสองข้างเริ่มแต้มสีแดงระเรื่อ
   
“เด็กเอ๊ย...ป๊าผ่านโลกมามากกว่ามึงเยอะนะ”
   
“...” เจ้าตัวหุบปากเงียบ แต่ก็ยอมเดินตามแรงดึงไป อีกฝ่ายคงอาจจะอยากให้เดินไปคุยไปมากกว่า
   
“ไม่ต้องไปคิดอะไรมากหรอก เป็นธรรมดาที่คนเราจะหวงคนที่รักไม่อยากให้ใครมายุ่งหรือสนใจ ยิ่งพอมีใครให้ความสนใจกับคนรักของเรา เราก็ยิ่งเกิดความกังวลหรือกลัว ที่สำคัญคือเราต้องควบคุมมันไม่ให้ไปทำลายความสัมพันธ์ระหว่างกัน...มึงเชื่อใจไอ้เอสมันไหมล่ะ?”
   
“เชื่อครับ” ตี๋ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ตั้งแต่เริ่มคบเป็นแฟนกันมา ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาไม่เชื่อใจหรือสงสัยในตัวอีกฝ่าย เอสทำให้เขาเชื่อมั่นเต็ม 100 % กลับกันคงเป็นตัวเขาเองที่ไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ ขนาดแค่เรื่องง่าย ๆ อย่างการบอกรัก ก็มีแต่อีกคนที่เป็นฝ่ายบอกตลอดมา

ทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้สึกรักไม่ต่างจากอีกฝ่าย แต่ก็ไม่เคยพูดกล่าวออกมาเลยแม้สักครั้ง

“ถ้าเชื่อในตัวมันก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวหรือกังวล ป๊าเป็นพ่อมัน เห็นมันมาตั้งแต่เกิด เชื่อป๊าสิ...มันรักมึงจะตาย”

ทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายรักเขามากแค่ไหน แต่พอโดนคนอื่นตอกย้ำแบบนี้แล้ว..มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอาย ใบหน้าขาวของตี๋แดงก่ำปิดอาการของตัวเองเอาไว้ไม่มิด และมันก็ทำให้ป๊าของเอสยิ่งรู้สึกเอ็นดูเด็กคนนี้มากเข้าไปอีก มือใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นตบลงบนไหล่แคบของอีกฝ่ายสองสามที

“เอ้า...อย่ามัวแต่อาย เลือกขนมของมึงไป” พูดจบก็แยกตัวออกไปซื้อของที่ตนต้องการ

ทั้งสองคนใช้เวลาซื้อของในเซเว่นอยู่สักพัก ออกมาก็เจอกับคนทั้งคู่ที่ยืนรอและคุยกันอยู่ด้านหน้าแล้ว  พอเอสเห็นว่าป๊ากับตี๋เดินตรงมาเขาก็รับของจากป๊ามาถือไว้พร้อมส่งยิ้มให้กับคนรัก ซึ่งมันทำให้ตี๋เกิดอาการหน้าแดงเป็นลูกตำลึงอีกรอบ

“ทำไมถึงหน้าแดงล่ะ?” เอามือข้างที่ไม่ได้ถือของเกลี่ยแก้มใสที่ขึ้นสีของอีกฝ่ายด้วยความเคยชิน

“อากาศมันร้อน”

“ตลกแล้ว ร้อนที่ไหนกัน” เอสว่าหัวเราะเบา ๆ

“พี่ไม่ร้อนแต่ตี๋ร้อน!” เจ้าตัวพยายามแถเสียงดัง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายถามมากเรื่อง

“เป็นอะไรน่ะ มีไข้เหรอ?”

ตี๋เบี่ยงตัวหนีมือที่จะเข้ามาจับแก้มเขาอีกครั้ง “ไม่มี ๆๆ”

ในขณะที่สองคนกำลังง่องแง่งกันอยู่ คนสูงอายุที่รู้ทุกเรื่องราวก็ยืนกอดอกมองแล้วก็ได้แต่ยิ้มขันกับการแสดงของตี๋ที่พยายามจะเบี่ยงเบนความสนใจของเอส แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเป็นห่วงและยิ่งให้ความสนใจเข้าไปใหญ่

ส่วนเฟยก็มองน้องชายของตัวเองด้วยความประหลาดใจ ไม่บ่อยนักที่ตี๋จะมีอาการอายจนหน้าแดงได้ขนาดนี้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่น้องชายของตนวิ่งเข้ามาเกาะแขนแล้วจะลากให้เดินไปด้วยกัน ตัวเขาเองที่ยังอยู่ในอาการงง พอเดินช้า งก ๆ เงิ่น ๆ ไม่ทันใจมันก็หันมาด่า

“เดินเร็ว ๆ หน่อยดิวะ!”

“อะไรของมึงเนี่ย!”

“กลับห้อง!”

เอสเกิดอาการงงที่จู่ ๆ แฟนก็ลากพี่ชายที่ตัวเล็กกว่าเดินหนีออกไป ก็รู้อยู่แก่ใจหรอกนะว่าตี๋เป็นพวกเข้าใจยาก แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะยากขนาดนี้ หรือ...เป็นเขาที่โง่เอง มือใหญ่ยกขึ้นเกาหัวแกรก ๆ ไม่รู้จะทำยังไงดี

“หึ ๆๆ”

“หัวเราะอะไรอะ?”

“ก็หัวเราะควายอย่างมึงไง”

ลูกชายคนเดียวทำหน้าไม่เข้าใจ จนเขารู้สึกอยากจะตบกระบาลมันสักที จะได้กระตุ้นสมองบ้าง

“ดูไม่ออกหรือไงว่าน้องมันอาย”

“อาย?”

“เฮ้อ กลับห้องก่อน เดี๋ยวกูค่อยเล่าให้ฟัง”




++++++++++




“ไรของมึงเนี่ย!”

เฟยโวยวายทันทีที่ถึงห้องพัก หอบหายใจด้วยความเหนื่อย แก้มแดงไม่ได้ต่างไปจากน้องชายของตัวเอง ก็มันลากเขาให้เดินตามมันที่ขายาวกว่า แถมเดินเร็วอย่างกับควายหาย ไม่เหนื่อยก็ให้มันรู้ไป

“เป็นส้นตีนไรหา!”

เมื่อเห็นว่าตี๋ไม่ตอบก็เดินไปเอาเท้าสะกิดขามันที่นอนห้อยขาอยู่บนที่นอนหอบแฮก จริง ๆ อยากจะเตะหน้าแข้งมันด้วยซ้ำไป แต่เห็นขาเท่าตะเกียบแล้วก็สงสาร

“กูเหนื่อย” เจ้าตัวพูดเสียงแผ่ว

“กูไม่เหนื่อยมั้ง”

“นอน ๆๆ” แขนยาวตบลงบนที่นอนข้างตัวเพื่อให้พี่ชายลงมานอนข้างกัน ได้ยินเสียงถอนหายใจหนึ่งฝืดแล้วที่ข้างตัวก็ยวบลง

“ไม่รู้จะรีบเดินทำห่าไร ก็รู้อยู่ว่ากูขาสั้นกว่ามึง”

“โทษที”

เฟยชะงักไป ปกติแล้วมันไม่เคยขอโทษเขาง่ายที่ไหน นี่มันผิดปกติชัด ๆ “สรุปว่ามีอะไร?”

“...เปล่า ไม่มีอะไรหรอก แค่จะรีบกลับมากินขนม กูหิว”

“ตลกละ เพิ่งแดกข้าวไป” เขาสะบัดหลังมือใส่ท้องคนนอนข้าง ๆ ให้มันสะดุ้งเล่น ไม่ได้เจ็บอะไรหรอก สองพี่น้องนอนหอบหายใจข้างกันโดยที่ไม่มีเสียงพูดคุยอะไรออกมาอีก เพราะทั้งคู่เป็นคนที่ไม่เล่นกีฬาเลยอาจจะทำให้เหนื่อยง่ายและนานกว่าพวกที่เล่นกีฬา

“มึงมีอะไรจะบอกกูไหม?” คนเป็นพี่เปรย ไม่ได้ใช้น้ำเสียงบังคับอะไร

ตี๋เงียบ ไม่ได้ตอบคำถามของพี่ชาย ความเป็นจริง...ถ้าเฟยถามแบบนี้ในเวลาปกติก็คงจะโดนตนด่าว่าเสือกไปแล้วเรียบร้อย แต่เพราะตอนนี้ตี๋เองก็ไม่ได้เป็นปกติ หลายเรื่องราวในหัวตอนนี้มันตีกันยุ่งไปหมดจนไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี

คนน้องเงียบไปนานจนพี่ชายเริ่มถอดใจคิดว่ามันคงไม่อยากจะพูดอะไรตอนนี้ และเขาก็คงจะไม่ทู่ซี้ถามต่อ เฟยคิดว่าอยากจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ เหงื่อออกจนเหนียวตัวไปหมด แต่ก็ยังขี้เกียจอยู่เลยนอนต่อไปเรื่อย ๆ ก่อน

“นี่”

คนถูกเรียกเหลือบมองคนข้างกาย “ว่า?”

ตี๋เงียบลงไปอีก กำลังชั่งใจว่าจะพูดดีหรือไม่ คราวนี้ใช้เวลาคิดไม่นานนักเขาก็ตัดสินใจได้ อาจจะเพราะความอึดอัดที่มีอยู่มันมากจนเก็บไว้แทบไม่ไหว อย่างน้อยก็ขอให้ได้พูดออกมานิดหน่อยก็ยังดี ซึ่งคนที่เขาเลือกจะพูดด้วยก็คือพี่ชายเพียงคนเดียว

“ถ้าเกิดกู...” เม้มปากด้วยความตื่นเต้น “ถ้าเกิดว่ากูคบผู้ชาย มึงจะคิดยังไงอะ?”

เฟยค่อนข้างแปลกใจเพราะด้วยไม่คิดว่าน้องชายของเขามันจะเป็นฝ่ายเปิดอกพูดเรื่องนี้ก่อน ตอนแรกเขาคิดว่าจะต้องเป็นคนที่ต้องเอ่ยปากถามมันก่อนเสียอีก บอกตามตรงว่าเขาก็ไม่รู้ว่าจะคิดกับเรื่องที่มันถามยังไงดีเหมือนกัน อาจจะเพราะรู้ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องสมมติ เพราะทั้งเอสและตี๋ก็ไม่ได้มีท่าทีปกปิดเรื่องนี้สักเท่าไหร่นัก

“เงียบไมวะ?” พอเห็นทางพี่ชายเงียบไปเขาก็เลยมีความกังวลเลยเนี่ย

“ก็กำลังคิดนี่ไง”

“แล้วคิดได้ยัง?”

“ยังเลย”

“เฮ้ย กูแค่สมมติ มึงไม่ต้องจริงจังสิวะ”

“ก็เพราะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องสมมติไง กูถึงต้องจริงจัง”

ทันทีที่เฟยพูดจบด้วยเสียงเรียบ ๆ ตี๋ก็กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหันมาทางเขาทันที ดวงตาตี่ ๆ นั่นเบิกกว้างขึ้นด้วยความคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรู้

“มึงรู้?!”

คนเป็นพี่ลุกขึ้นนั่ง สีหน้าไม่ได้แสดงความรู้สึกใดออกมา

“ทำไมมึงไม่ปฏิเสธ?”

“...”

“ทำไมไม่ปฏิเสธว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงล่ะ?”

“ก็เพราะมันเป็นเรื่องจริง กูถึงไม่ปฏิเสธ”

ตี๋เงียบไป เขาใช้ความคิดอยู่ไม่นานก่อนจะตัดสินใจพูดความจริงออกไปดีกว่าที่จะมานั่งปกปิด ไหน ๆ ก็รู้ความจริงแล้ว ก็ไม่ต้องสมมติอะไรให้มากความ แล้วการที่เขาคบกับพี่เอสก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดีหรือเสียหาย ถึงแม้ตอนแรกจะตกใจ..แต่พอคิดดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเลย ถ้าอีกฝ่ายจะไม่เห็นด้วยก็เรื่องของมันสิ เขาไม่สนใจหรอก

สองพี่น้องนั่งจ้องหน้ากันอย่างไม่ลดละ แต่สุดท้ายคนพี่ก็เป็นฝ่ายหลบตาก่อน ตามมาด้วยการถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหนักอกหนักใจ และเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน

“ถ้าถามว่ากูรู้ได้ยังไง..ไม่ยากเลย พี่เอสแม่งเล่นแสดงออกว่ามึงเป็นของเขาขนาดนั้น ให้คนโง่กว่ากูก็ยังดูออกเลยว่ามึงกับเขาไม่ใช่แค่พี่น้องปกติแน่ ๆ แล้วเรื่องที่ถามว่ากูคิดยังไง..ถ้ามึงคบผู้ชาย บอกตามตรงว่าตอนนี้กูก็ไม่รู้ว่าควรจะคิดหรือรู้สึกกับเรื่องนี้ยังไงดีเหมือนกัน เพราะงั้นกูก็ยังให้คำตอบมึงไม่ได้ว่ะ”

หลังจากฟังพี่ชายที่พูดความในใจออกมาเสียยาวเหยียด ก็ทำให้ได้รู้ว่าไอ้พี่เอสนี่มันร้ายจริง ๆ ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกตัวเลยว่าพี่มันแสดงอะไรแบบนั้น แบบนี้ต้องจัดการหน่อยแล้ว ฮึ่ม! ส่วนอีกเรื่องเขาก็เข้าใจว่ามันกะทันหันตัวเฟยเองก็คงต้องใช้เวลาคิดสักหน่อย

“กูเข้าใจ คิดได้เมื่อไหร่ก็บอกนะ”

“เออ” เฟยยิ้มบาง นาน ๆ ทีจะเห็นตี๋มันทำตัวเชื่องแบบนี้ ปกติแล้วทำตัวกวนตีนหน้ามึนได้ตลอดเวลา

“ยิ้มห่าอะไร”

“เปล่า ไปอาบน้ำได้แล้วไป พรุ่งนี้ขึ้นดอยอีก มึงเมาอ้วกแตกแน่” พอเขาพูดจบมันก็ทำหน้าเหยเกทันที สงสัยว่าคงจะกลัวไปก่อนล่วงหน้าแล้ว ทั้งที่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเมาหรือไม่ เพราะป๊าของพวกเขาก็ไม่เคยพาขึ้นดอยขึ้นเขาเพื่อไปเที่ยวมาก่อน

“เอาน่า ไม่ลองไม่รู้ มึงอาจจะไม่เมาก็ได้” เขาตบไหล่มัน

“ขอให้จริงเถอะ สาธุ” ตี๋พนมมือสูงท่วมหัวก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดกระเป๋า หยิบเอาของใช้ส่วนตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

 พอเห็นน้องชายเดินหายไปเขาก็ทิ้งตัวลงนอนหงายอย่างคิดหนัก ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตี๋มันจะเป็นเกย์ ไม่สิ..มันก็ไม่ได้บอกว่ามันเป็นเกย์เสียหน่อย แต่ผู้ชายที่คบกับผู้ชายด้วยกันมันก็เรียกแบบนั้นไม่ใช่เหรอ ประเด็นคือเขาก็ต้องมาคิดว่าจะให้คำตอบมันยังไงดี

...แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
มันก็ยังคงเป็นน้องชายคนเดียวของเขาอยู่ดี...




++++++++++




“แล้วป๊าไปพูดอะไรกับตี๋อะ น้องถึงได้หน้าแดงขนาดนั้น” เอสถามขณะที่กำลังเช็ดผมที่เปียกชื้นของตัวเอง

คนเป็นพ่อที่เอนหลังลงไปนอนเรียบร้อยพลิกตัวมองลูกชาย สายตาแสดงความขบขันอย่างปิดไม่มิด บางครั้งเอสมันก็โง่อะไรของมันก็ไม่รู้ เรื่องที่ควรจะฉลาดทำไมถึงไม่ฉลาดนะ

“ก็ไม่อะไร แค่ไปสะกิดต่อมมันนิด ๆ หน่อย ๆ”

“ต่อมอะไรของป๊า?”

“มึงไม่รู้หรือไงว่าทำไมตี๋มันถึงหน้าบูดตอนอยู่ในร้านข้าว”

“ก็เพราะไม่รู้น่ะสิ ถึงได้ถาม แล้วป๊ารู้เหรอ?”

“ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก แต่ถ้าเป็นมึงถามมันก็คงไม่ยอมบอกว่ามันหงุดหงิดเรื่องอะไร”

เอสขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ ทำไมป๊าถึงพูดแบบนั้น บอกตามตรงว่าหลายเรื่องเขาก็ตามทันคนรัก แต่บางอย่างเขาก็ไม่รู้จริง ๆ เพราะตี๋เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาสักเท่าไหร่นัก

“มันก็แค่หวงมึงน่ะ”

“หะ- หวง?” เขาไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่คนเป็นพ่อพูดเลยสักนิด

“พอดีมันเห็นสาว ๆ มองมึงกันตาเชื่อมเลยน่ะสิ แถมซุบซิบ ๆ อะไรกันไม่รู้ ถึงมันจะฟังไม่ออกก็เถอะ แต่ก็คิดไปเองว่าพูดเรื่องมึง ตอนแรกมันก็ไม่ยอมรับตัวเองหรอกว่ามันหวงมึง แต่พอกูจี้โดนจุดมันก็ต้องยอมรับจนได้นั่นแหละ”

“...”

เอสฟังป๊าพูดเงียบ ๆ จนท่านเล่าจบไปแล้วเขาก็ยังเงียบ เพราะไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะมีความสำคัญกับตี๋ขนาดไหน พอรู้แบบนี้แล้ว เขารู้สึกดีใจจนเหมือนกับหัวใจมันพองคับอกไปหมด ความรู้สึกที่ได้รู้ว่าตัวเองมีความหมายกับอีกฝ่ายเช่นไรมันดีแบบนี้นี่เอง ถ้าตอนนี้เขาไปหาตี๋ได้ก็ดีสิ อยากจะเข้าไปกอดไปจูบให้เต็มรักเลย

“เฮ้ย” คนเป็นพ่อเรียกลูกชายให้ได้สติ

“หา?”

“หยุดยิ้มตลก ๆ ของมึงได้แล้ว”

“โถ่ ป๊า..ก็เอสมีความสุขนี่นา” เจ้าตัวลูบแก้มตัวเองแก้เขิน

“กูรู้ แต่ตอนนี้ดึกแล้ว พรุ่งนี้มึงยังต้องขับรถขึ้นเขาอีกนะ”

ไม่ใช่ว่าอยากจะขัดความสุขของลูกชายตัวเองหรอก แต่ตอนนี้ก็ดึกมาก เขาก็อยากจะให้มันได้พักผ่อนเต็มที่ เพราะวันนี้มันขับรถทางไกลมาทั้งวันแล้ว และการขับรถขึ้นเขามันก็ไม่ใช่ง่าย เลยอยากให้มันมีสติเยอะ ๆ กับการเดินทางในวันพรุ่งนี้

“ครับ ๆๆ” เอสเดินไปปิดไฟให้เรียบร้อยแล้วจึงมาล้มตัวลงนอนที่เตียงอีกฝั่ง ทั้ง ๆ ที่เขาควรจะเหนื่อยกับการเดินทางจนทำให้หลับเป็นตายแท้ ๆ แต่เรื่องเมื่อครู่นี้มันกลับทำให้เขาคิดอะไรบางอย่างได้ แล้วมันก็ดันอยากจะรู้เอาเวลานี้ซะด้วยสิ

“ป๊า หลับยัง?”

ได้ยินเสียงถอนหายใจก่อนจะตอบ

“หลับแล้ว”

“ถ้าหลับแล้วจะตอบได้ยังไงล่ะ?”

“มึงมีอะไรอีกก็ว่ามาเลย”

“เอสถามอะไรป๊าหน่อยสิ”

“เออ ว่ามา”

“ป๊าเสียใจมั้ยที่เอสเป็นเกย์อ่ะ?”

เขารู้ว่าป๊ารับได้ที่เขาเป็น ไม่ว่าอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่เขาก็อยากจะรู้ว่าท่านเสียใจกับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน คิดว่าคงไม่มีใครที่จะยินดีที่ลูกชายคนเดียวเป็นเกย์หรอก ยิ่งเป็นคนจีนแบบป๊าแล้วด้วย อาจจะอยากได้หลานมากกว่า

“ตอนนี้ก็ไม่ได้เสียใจอะไรแล้วนะ”

เอสขมวดคิ้ว...ป๊าพูดเหมือนรู้เรื่องมาก่อนหน้านี้แล้วเลย

“นี่ป๊ารู้ว่าเอสเป็นมาตั้งแต่ตอนไหนแล้วเนี่ย?”

ท่านถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ก่อนจะตอบ “กูพ่อมึงนะไอ้เอส มึงเป็นอะไรทำไมกูจะไม่รู้ ตอนแรกก็อาจจะมีเสียใจบ้างเป็นธรรมดา แต่สุดท้ายแล้ว...มันก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่ามึงหรอก แค่มึงมีความสุขในสิ่งที่มึงเลือกที่จะเป็น แค่นี้กูก็มีความสุขแล้ว”

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพ่อกับลูกอยู่สักพัก ก่อนที่เอสจะเป็นฝ่ายพูดก่อนทั้งที่น้ำตาคลอหน่วยด้วยความซาบซึ้ง

“ขอบคุณครับ เอสก็รักป๊ามากนะ”

“เออ นอนได้แล้ว ไป”

ไม่บ่อยนักหรอกที่คนเป็นพ่อจะพูดความในใจออกมา แต่ก็เพราะเขาคิดได้ชีวิตคนเรามันสั้นนัก ไม่รู้ว่าจะจากกันไปเมื่อไหร่ พออายุมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็ไม่เห็นประโยชน์ของการทำทุกอย่างให้ได้ดั่งใจของตัวเองจนทำให้คนที่รักไม่มีความสุขก็แค่นั้นเอง




++++++++++




เช้าต่อมาทุกคนตื่นสายกว่าที่นัดหมายกันเอาไว้ ยิ่งตี๋ด้วยแล้ว อาการหนักกว่าคนอื่น ๆ เลย

“กูบอกแล้วว่ากูไม่อยากจะนอนกับมึงเลยยยย” เจ้าตัวบ่นขณะที่กำลังกินข้าวเช้า จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากกินสักเท่าไหร่หรอก แต่เพราะว่าป๊าของพี่เอสบอกให้มีอะไรอยู่ในท้องบ้างมันจะช่วยลดอาการเมารถได้ ยิ่งท้องว่างจะยิ่งเมา ด้วยความที่เป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้ใหญ่ เช้านี้เลยจัดไปสองจาน

“แค่คืนเดียว อย่าบ่นมาก” พี่ชายตอบโต้แล้วตักข้าวเข้าปากไปอย่างไม่ได้รู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องแทบไม่ได้นอน

“ตี๋ไม่ชอบเวลาที่นอนไม่พอนี่เนอะ” เอสพูด

ตี๋หันไปพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ ๆๆ”

“เอาใจกันเกินไปแล้ว” เฟยว่าทำหน้าเลี่ยน

“ก็จะทำไมล่ะ” คนเป็นน้องก็สวนทันที

“หมั่นไส้โว้ย” คนพี่ก็ตอกกลับอย่างไม่ลดราวาศอก

“พอ ๆๆ” เอสต้องเป็นฝ่ายห้ามทัพ เพราะไม่อย่างนั้นคงได้เถียงกันไปมาแบบนี้ไม่จบสิ้น แถมยังเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นเป้าสายตาคนอื่นอีก ในขณะที่ป๊าของเขาที่เป็นผู้ใหญ่สุดแทนที่จะห้ามกลับนั่งหัวเราะ

“หัวเราะอะไรของป๊าเนี่ย?”

“ก็มันตลกดี เหมือนละครลิงเลย”

ลิงสองตัวที่ว่าหันขวับมามองคนที่เพิ่งพูดประโยคเมื่อครู่ กำลังจะอ้าปากร้องแต่ก็โดนคนสูงอายุพูดขัดขึ้นเสียก่อน

“ไป ๆๆ รีบกินได้แล้ว จะได้รีบขึ้นดอยสักที”

สองพี่น้องทำปากยู่แล้วจึงก้มหน้าก้มตากินต่อ เพราะนี่ก็สายมากแล้ว เห็นว่าจะต้องเดินทางอีกประมาณสองชั่วโมงนิด ๆ กว่าจะถึงปลายทาง

พอออกมาจากร้านตี๋ก็คิดว่าคงจะต้องแวะซื้อยาดมไว้ดีกว่า ถึงจะไม่รู้ว่าตัวเองจะเมาหรือไม่เมา แต่ก็สมควรจะกันไว้ดีกว่าไม่มีทางแก้ ตอนที่ขึ้นรถเลยบอกให้แวะเซเว่นเพราะจะซื้อยาดม ป๊าเลยบอกให้ซื้อปลาสเตอร์ยามาแปะสะดือด้วย ตอนที่กำลังเลือกซื้อเลยลังเลว่าจะเอายังไงดี เพราะก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะแกล้งแหย่เขา ไอ้ปลาสเตอร์ยาเนี่ยนะ..จะช่วยอะไรได้

“ปะ ออกเดินทางได้”

“เชี่ยตี๋ มึงแม่งโคตรตลกเลย” เฟยหัวเราะลั่น

“สัดเฟย เรื่องของกู” ตี๋ด่าพี่ชายตาขวาง

สภาพของน้องเล็กในตอนนี้คือมีหมอนรองคอติดคอเอาไว้ มือซ้ายถือถุงพลาสติก มือขวาจับยาดมทิ่มเอาไว้ที่จมูก แถมยังมีปลาสเตอร์ยาที่ปิดเอาไว้ที่สะดืออีก

“นี่มันชุดออกรบใช่ไหม?”

“ป๊ากับพี่เอสหยุดหัวเราะนะ” ตี๋แว้ด แต่มันกลับยิ่งทำให้ทุกคนหัวเราะหนักเข้าไปอีก เจ้าตัวเลยได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับกลอกตาด้วยความเซ็ง

“เดี๋ยวพี่จะขับช้า ๆ นะ จะพยายามให้เหวี่ยงน้อยที่สุด”

“แบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย”

“พรูด!!” เฟยที่กำลังพยายามกลั้นหัวเราะ แต่พอเจอประโยคเมื่อกี้ของตี๋ก็ทำไม่สำเร็จ แถมยังหัวเราะเสียงดังจนน้องชายเอื้อมมือมาตีขาพี่ชายตัวเอง
“กูเกลียดมึง รอบหน้าไม่ต้องมาเลยนะ!!”

ต้องยอมรับว่าทิวทัศน์ระหว่างทางเป็นอะไรที่สวยงามมากจริง ๆ แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าตี๋ไม่เกิดอาการเมารถเข้าให้ ขนาดว่าทำทุกวิถีทางที่คิดว่าจะทำให้รอดพ้นจากอาการนี้แล้วนะ แต่ก็ไม่รอดอยู่ดี...

“กูก็ลืมบอกให้มึงซื้อยาแก้เมารถมากิน” เฟยบอกหน้าตาเหมือนจะรู้สึกผิด

“กูเกลียดมึง” น้องชายด่าเสียงเบาอย่างไม่มีแรง

“พี่ว่าเปิดหน้าต่างดีกว่า อากาศบริสุทธิ์น่าจะดีกว่าแอร์เนอะ”

สารพัดประโยคที่ช่วยพูดหาวิธีให้เขาอาการดีขึ้น เอาจริงมันก็ไม่ได้เมาขนาดอ้วกแตกอ้วกแตน แต่ก็มึนหัว...ใช้ได้เลย ตอนนี้หน้าขาวก็ยื่นหน้าออกไปโต้ลมธรรมชาติที่ลอดหน้าต่างเข้ามา อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าแอร์จริง ๆ ด้วย มือข้างขวาก็ยังคงทิ่มยาดมที่จมูกซ้ายทีขวาทีสลับกันไปเป็นระยะ ทุกคนในรถพอเห็นตี๋เมารถแบบนี้จะตลกก็ตลกไม่ออกซะแล้ว เห็นคนที่เวลาปกติหน้าก็ขาวอยู่แล้ว พอเป็นแบบนี้หน้ายิ่งซีดเข้าไปอีก

“อีกไม่นานก็ถึงแล้ว เดี๋ยวตี๋ก็พักไปเลยนะ” เอสบอก

“อือ” เจ้าตัวตอบรับเหมือนวิญญาณไม่อยู่กับร่าง

เอสขับรถไปตามจีพีเอสไม่นานก็ถึงรีสอร์ตที่จองเอาไว้ เขาเดินไปจัดการเรื่องห้องพักโดยปล่อยให้ป๊ากับเฟยคอยดูแลคนอาการไม่ค่อยจะดีอย่างตี๋อยู่บนรถไป ที่นี่เป็นรีสอร์ตเล็ก ๆ มีการตกแต่งน่ารัก แลดูเป็นกันเองดี เขาเลือกบ้านที่ตั้งติดกันสามหลัง เพื่อความสะดวกในการดูแลทุกคน เอสขยับรถไปจอดด้านหน้าบ้าน พอทุกคนลงจากรถก็แจกกุญแจให้ โดยให้ป๊าเป็นคนเลือกก่อนว่าจะนอนหลังไหน

“ป๊าไปพักก่อน เดี๋ยวเอสพาตี๋ไปนอนแล้วจะยกของไปให้นะ”

“เออ ดูแลมันดี ๆ หน่อยล่ะ”

“ครับ” เอสตอบ “เฟยขนของเข้าห้องไปเลยก็ได้นะ เดี๋ยวของตี๋พี่ขนเอง”

เฟยที่กำลังหยิบเป้ขึ้นมาสะพายหลังหันมา “ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมหยิบของมันให้ พี่พยุงมันขึ้นไปนอนเถอะ”

เขาพยักหน้ารับยิ้ม ๆ ก่อนจะหันไปเรียกตี๋ที่นั่งหน้าซีดอยู่บนเบาะหลัง อีกฝ่ายหันมายกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดคอเอสแน่น แล้วเอาคางวางบนไหล่หนา

“อะไรครับ?” วงแขนกว้างกอดตอบ มือใหญ่ลูบหัวลูบหลังแผ่วเบา

“ตี๋เดินไม่ไหว” เจ้าตัวพูดเสียงแผ่ว หัวมันหมุนไปหมดจนอยากจะร้องไห้ นี่เป็นครั้งแรกที่เมารถขนาดนี้..ไม่ชอบอาการแบบนี้เลย

“จะให้พี่อุ้มเหรอ?” เอสพูดติดตลก

“แล้วได้ไหมอะ?” ถามเสียงออดอ้อนพร้อมกับเอียงหน้าซบไหล่

“ได้ดิ แต่ขอเปลี่ยนเป็นขี่หลังแทนนะ” ดูจากขนาดตัวแล้ว ถึงตี๋จะผอมก็เถอะ แต่ส่วนสูงนี่ไม่ได้ทิ้งห่างไปจากเขาเท่าไหร่เลย น้ำหนักก็ไม่น่าจะน้อย เกรงว่าถ้ามีการอุ้มกันจริง ๆ หลังเขาจะยอกเสียก่อน

“อื้อ ๆๆ”

พอตี๋ตอบรับ เอสก็หมุนตัวหันหลังให้อีกฝ่ายได้ยกแขนขึ้นกอดคอเขาเอาไว้ พร้อมกับเขาที่ช้อนขาคนเมารถขึ้น ตี๋ยกขาทั้งสองข้างขึ้นกอดเอวของคนรักจนแน่นเพราะกลัวว่าจะตก เนื่องจากรู้ว่าตัวเองก็ใช่ว่าตัวเล็กซะเมื่อไหร่ เฟยเปิดผ้าห่มบนที่นอนรอเอาไว้แล้ว คนพี่เลยค่อย ๆ นั่งลงกับเตียงลงไปพร้อมกับตี๋ให้เบาที่สุด เพื่อที่จะไม่กระเทือนทำให้ตี๋อาการหนักขึ้นจนอ้วกพุ่ง เขาดันตัวคนรักให้เอนตัวลงนอนพร้อมกับห่มผ้าให้ ฝ่ามือใหญ่ลูบหัวอย่างอ่อนโยน

“นอนหลับนะครับ ตื่นมาค่อยหาอะไรกินเนอะ”

ตี๋หลับตาลงอย่างอ่อนล้ากับการเดินทางมหาโหด แค่คิดว่าวันกลับก็จะต้องเพลียแบบนี้ก็อยากจะร้องไห้แล้ว คราวหลังจะไม่สรรหาที่เที่ยวที่จะต้องขึ้นเขาอีกแล้ว ให้ตายเถอะ...



TBC…
ถ้าใครเคยไปบ่อเกลือแล้วจะรู้ว่าเมาตั้งแต่โค้งแรกเป็นแบบไหน 55555
ขอบคุณสำหรับการติดตามและคอมเม้นท์นะคะ เราดีใจที่ทุกคนชอบนิยายเรื่องนี้ค่ะ  :กอด1:



   
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.13 หน้า 3 [up:31/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-05-2018 21:02:07
โอ๋ๆน่าสงสาร
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.13 หน้า 3 [up:31/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 31-05-2018 21:18:21
หายไวๆนะน้องตี๋
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.13 หน้า 3 [up:31/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 31-05-2018 22:07:40
 :L2: :pig4: :L1:

พี่เอสคือดีเวอร์
ตี๋น่ารัก
เฟย 55
ป๊าดีที่สุด
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.14 หน้า 3 [up:03/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 03-06-2018 11:59:37



14



ตี๋ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เย็นมากแล้ว ดูได้จากหน้าต่างที่ไม่ได้ปิดม่าน กลอกตามองซ้ายทีขวาทีก็รู้สึกว่าจะไม่มีใครอยู่ในห้องกับตนเลยสักคน เขาลุกขึ้นนั่ง พอได้นอนไปอาการก็ดีขึ้นจนแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง บิดขี้เกียจอยู่สองสามทีก่อนจะนั่งนิ่ง ๆ เพื่อเรียกสติ ผ่านไปไม่นานก็มีคนเปิดประตูเข้ามา..เป็นเอสนี่เอง

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ?”

“อือ”

“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นไหม?” เอสนั่งลงติดกับคนตัวขาว ถามด้วยความเป็นห่วง ฝ่ามือใหญ่จับปอยผมที่ปิดหน้าไปทัดไว้ที่หูให้เรียบร้อย

“ก็ดีขึ้นแล้ว แต่ยังมึน ๆ อยู่นิดหน่อย”

“หิวข้าวหรือยังครับ?”

เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงัก แถมท้องยังร้องซะเสียงดังอย่างกับว่าจะร้องประท้วงแทนเจ้าของซะอย่างนั้น

“งั้นไปกินข้าวกัน พี่สั่งไว้เพียบเลย” เอสลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะช่วยจับแขนให้คนรักลุกขึ้นจากที่นอนได้อย่างสะดวก เพราะถึงเจ้าตัวจะบอกว่าดีขึ้นมากแล้ว แต่ใบหน้าขาวก็ยังดูซีดอยู่

“วันหลังจะไม่มาเที่ยวอะไรแบบนี้อีกแล้ว”จู่ ๆ ตี๋ก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงยานคาง

เอสพอได้ฟังแบบนั้นก็หัวเราะออกมา “เลือกเองด้วยนะเนี่ย”

“ก็ใครมันจะไปคิด ว่ามันจะเป็นแบบนี้”

“จำไว้เป็นบทเรียนแล้วกัน”

“รู้แล้วน่า” ตี๋ตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองกับคนข้าง ๆ

เดินออกจากบ้านพักมาได้ไม่ไกลนักก็เจอกับเรือนรับรองที่เปิดไฟสีส้มสวยงาม พอเข้าไปก็พบกับป๊าและเฟยนั่งรออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับอาหารหลายอย่างบนโต๊ะ ตี๋กลืนน้ำลายด้วยความหิว แต่หัวที่ยังมึนอยู่นิดหน่อยแบบนี้ก็ทำเอาอยากจะอ้วกอยู่นิด ๆ เหมือนกัน

“เป็นยังไงบ้างหืม..ไอ้แสบ” ป๊าเป็นฝ่ายถามก่อน

“ก็ดีขึ้นแล้วครับ แต่ตี๋ยังมึน ๆ อยู่นิดหน่อย”

“รีบกินแล้วก็รีบไปพักซะล่ะ อุตส่าห์มาเที่ยวไกลแบบนี้ จะมานอนป่วยก็น่าเสียดาย”

“ค้าบ” เจ้าตัวหลับตาตอบเหมือนว่าจะหลับอีกรอบ

“กระจอกจริง ๆ เลย”

ตี๋เหลือบตามองพี่ชายที่พูดจากวนตีน “ขากลับกูขอให้มึงเป็นมั่ง”

“ไม่ มี ทาง” เฟยตอบยักไหล่ทำหน้าเยาะเย้ย

ตี๋ที่ตอนนี้ไม่มีแรงจะตอบโต้ก็หันกลับมาสนใจข้าวบนโต๊ะที่เอสกำลังตักใส่จานให้ ใบหน้าหล่อยิ้มขำกับความตลกของสองพี่น้อง ด้วยความที่เขาเป็นลูกคนเดียว ก็เลยไม่เคยมีโมเม้นท์อะไรแบบนี้ ถึงจะมีน้องชายคนละพ่อ แต่ด้วยที่อายุห่างกันเยอะมากก็มีแต่เขาต้องช่วยแม่ดูแลน้องมากกว่า พอเห็นแบบนี้แล้วก็แอบอิจฉาทั้งสองคนอยู่บ้าง มีกันสองคนแบบนี้ก็คงจะไม่รู้สึกเหงาเหมือนเขาสินะ

“เฟยส่งจานมาสิ พี่ตักข้าวให้”

“อ๊ะ ขอบคุณครับ”

มื้อนี้ของตี๋เป็นอะไรที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่ท้องหิวมาก อาหารก็อร่อย แต่กลับไม่เจริญอาหารอย่างที่คิด มันคงจะเกิดจากผลข้างเคียงของการเมารถ พอเป็นแบบนี้แล้วก็ทำเอาหงุดหงิดไม่น้อย กินไปได้ไม่กี่คำก็นั่งเขี่ยข้าวไปมาอย่างผิดปกติ เอสที่นั่งตรงข้ามสังเกตเห็นเลยถามออกไป

“กินไม่ลงเหรอ?”

“อื้อ จะอ้วกอะ”

“กินเสร็จแล้วก็ไปนอนซะนะ” ป๊าบอกด้วยความเป็นห่วง ความจริงแล้วตี๋เองก็ไม่ใช่เด็กที่ร่าเริงอะไรมากมาย แต่ก็จะสดใสมากกว่านี้ ยิ่งเห็นว่าซึมเป็นหมาป่วยแบบนี้ก็อดที่จะสงสารไม่ได้

เฟยเอื้อมมือไปขยี้ผมน้องชายเบา ๆ “ไอ้หมาเอ๊ย”

“ถ้ากูเป็นหมา แล้วมึงเป็นอะไรอะ”

“ปากดีได้แบบนี้ แสดงว่าไม่เป็นอะไรมากสินะ” เฟยผลักหัวน้องเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว แต่ก็โดนมันตีกลับมา “เฮ้ แรงดีนี่ไอ้หนู”

“กวนตีน”

ก่อนที่จะทะเลาะกันบานปลายไปมากกว่านี้ คนอายุเยอะที่สุดก็ต้องเป็นคนห้ามอีกครั้ง ด้วยความเกรงใจลูกค้าโต๊ะข้างเคียงที่เริ่มจะหันมามอง สองพี่น้องเงียบลงแต่ก็ยังคงส่งสายตาเชือดเฉือนกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เขาได้แต่ส่ายหน้าปลง ๆ ในขณะที่ลูกชายของเขาเองมองทั้งสองคนแล้วก็ได้แต่ยิ้มขำ






ใช้เวลากินข้าวกันไม่นานทุกคนก็แยกกันกลับไปพักผ่อนห้องใครห้องมัน เอสเข้าไปในห้องป๊าก่อนเพื่อจัดการความเรียบร้อยให้ท่าน แล้วถึงเดินออกมาเพื่อไปนอนห้องเดียวกับตี๋ เขาเคาะห้องเพื่อที่จะเรียกให้อีกฝ่ายออกมาเปิดประตูให้เนื่องจากเขาสั่งให้ล็อกห้องไว้ แล้วเขาก็ดันลืมเอากุญแจไปด้วย

“ใครอะ?”

“พี่เอง”

พอรู้ว่าเป็นเอสตี๋ถึงเปิดให้ “นึกว่าจะนอนกับป๊าซะอีก”

“ของพี่ก็อยู่ห้องนี้แท้ ๆ ไม่เห็นเหรอ”

“พูดเล่นหรอกน่า”

ตี๋หันหลังกลับเข้าห้องไป เจ้าตัวที่ถอดเสื้อแล้วเปลือยท่อนบนก้ม ๆ เงย ๆ หยิบของใช้ออกมาจากกระเป๋าเพื่อที่จะไปอาบน้ำแล้วจะได้นอน หารู้ไม่ว่ามีสายตาแทะโลมมองตนจากทางด้านหลัง มองผิวขาวเนียนตัดกับรอยสักรูปมังกรสีดำเกือบเต็มแผ่นหลังนั่น ตอนแรกก็ตกใจอยู่เหมือนกันที่ตี๋มีรอยสัก แต่พอมองดูดี ๆ แล้วรู้สึกว่ามันก็...เซ็กซี่ดีเหมือนกัน

“มองอะไร?” เจ้าตัวถามขมวดคิ้วมุ่น “ไอ้ลามก”

เอสหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปกอดเอวผอมของอีกฝ่าย แล้วใช้จังหวะที่ตี๋กำลังเหวอนี่แหละฉกหอมแก้มขาวดังฟอด “ลามกกับแฟนนี่..ผิดด้วยเหรอ?”

“ออกไปเลยนะโว้ย” ตี๋พยายามที่จะดันตัวเองออกจากอีกฝ่ายโดยเอามือข้างหนึ่งดันอกอีกส่วนข้างยันไว้ที่หน้าของเอสที่กำลังพยายามจะยื่นหน้าเข้ามา ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร จะหอมหรือจะจูบ แต่ดูจากสายตาเมื่อครู่แล้ว รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในอันตรายยังไงชอบกล

คนที่ตัวใหญ่กว่าปล่อยมือข้างหนึ่งออกจากเอวของตี๋ แล้วคว้าเอาข้อมือข้างหนึ่งที่กำลังดันหน้าเขาอย่างเอาเป็นเอาตายออกไปก่อน พอได้เห็นหน้าของตี๋ชัด ๆ แล้วก็ทำเอาหลุดหัวเราะออกมาจนได้ ตาตี่ที่เบิกกว้างขึ้นและกัดฟันกรอด ๆ

“โมโหอะไรกันเนี่ย” เขายิ้มพูด ใช้น้ำเสียงที่คิดว่าจะทำให้อีกฝ่ายใจเย็นลงได้

และมันก็ได้ผล

“ไม่ได้โมโหสักหน่อย”

“งั้นหงุดหงิดอะไรเหรอ”

“ไม่ได้หงุดหงิด”

เอสเอียงคออย่างไม่เข้าใจ ตี๋เป็นพวกเข้าใจยากไปสักหน่อย “งั้น...เป็นอะไรเหรอครับ?”

เขาเข้าประชิดตัวคนตรงหน้ามากเข้าไปอีก กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เห็นคนน้องหันหน้าหนีด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แต่ด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีก็ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเขิน พอเห็นแบบนี้เขาก็ฝังจมูกลงกับซอกคอที่เจ้าตัวเปิดให้เขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ หลายวันมานี้เขาไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคนตรงหน้าเลยทำให้ค่อนข้างโหยหาการสัมผัสแบบนี้ไม่น้อย

คนตัวขาวสะดุ้งด้วยความตกใจ ไม่ทันได้ตั้งตัวว่าจะโดนจู่โจมอย่างนี้ พอโดนพรมจูบตามลำคอและลาดไหล่มันก็ทำเอาขนลุก ในตอนนี้บอกไม่ถูกว่าตัวเองนั้นรู้สึกอย่างไร หลากหลายความรู้สึกมันตีกันมั่วไปหมด จูบที่หลังหูมันทำเอาสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้อยู่แก่ใจว่าสักวันมันจะต้องมาถึง แต่เขายังไม่พร้อม...ยอมรับก็ได้ว่ากลัว ถึงเขาจะเริ่มคุ้นชินกับสัมผัสของอีกฝ่าย แต่พอโดนรุกเร้าแบบนี้มันก็ทำให้เขาเองเกิดความกลัวขึ้นทุกครั้ง

“พี่ เดี๋ยวก่อน”

“หืม” เอสตอบรับแต่ก็กลับไม่หยุดเล้าโลมคนตรงหน้า ตอนนี้เขากำลังมัวเมากับผิวพรรณเนียนละเอียดของตี๋จนเหมือนเป็นคนไม่มีสติ แต่จริง ๆ แล้วก็รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรและควรจะหยุดมันที่ตรงไหน ในเมื่ออีกคนบอกยังไม่พร้อม เขาก็จะไม่ล้ำเส้นที่ขีดไว้แน่นอน ตอนนี้เพียงแค่ให้ตี๋ได้รู้จักกับการสัมผัสแบบใหม่เพื่อการเตรียมพร้อมและทำความคุ้นเคยไปทีละขั้นน่าจะดีกว่า

“ดะ- เดี๋ยว! จับตรงไหนน่ะเฮ้ย!” พอโดนตะปบเข้าที่ก้นเจ้าตัวก็ร้องเสียงหลง

แล้วก็โดนจูบปิดปากจนได้ ให้ตายเถอะ บางครั้งก็รู้สึกโมโหตัวเองเหลือเกินที่ไม่สามารถปฏิเสธอีกฝ่ายได้อย่างจริงจังสักเรื่อง ที่ทุกวันนี้รอดพ้นปากเหยี่ยวปากกามาได้นี่เพราะลูกอ้อนแท้ ๆ ถึงมันจะไม่ดูเหมือนว่าเขาอ้อนอีกคนสักเท่าไหร่ก็ตาม

“อื้อ!”

คนน้องพยายามที่จะเบือนหน้าหนีเพราะนอกจากจะโดนจูบแล้ว ไอ้มือปลาหมึกนี่ยังลูบคลำก้นเขาไม่หยุด แถมยังขยำมันอีกต่างหาก ไม่รู้ทำไมเวลาหื่นขึ้นหน้าไอ้พี่เอสมันเหมือนมีกำลังเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวจนเขาสู้แรงไม่ไหวเลย แล้วไหนจะอาการมึนของเขานี่อีก มันน่าโมโหนัก

ตอนนี้คนตัวขาวเริ่มจะตัวอ่อนปวกเปียกไปหมดแล้ว เพราะเขาไม่มีแรงที่จะไปขัดขืนคนที่มีพละกำลังมากกว่าอย่างอีกฝ่ายได้เลย สุดท้ายก็ต้องเป็นคนตัวใหญ่กว่าที่ต้องหยุดเอง

ตอนแรกตี๋กลัวเหมือนกันที่โดนลากไปที่เตียง โดนจับ จูบ ลูบ คลำไปทั้งตัวแบบนี้ก็มีกลัว ๆ ว่าตัวเขาจะต้องเสียตัวในวันนี้แน่แล้วเหรอ แต่ก็ได้รับคำยืนยันจากคนด้านบนว่า ‘พี่ไม่ทำอะไรเราหรอก แค่อยากเพลิดเพลินไปกับร่างกายเราก็แค่นั้นเอง’

“แข็งแล้วนี่”

“อย่าทักจะได้มั้ยห๊ะ!” ตี๋โวยวายพลางพลิกตัวนอนตะแคง งอตัวกอดเข่าเพื่อที่จะซ่อนไอ้ตรงนั้นของตัวเองเอาไว้ โดนสัมผัสขนาดนั้นไม่รู้สึกก็แปลกแล้ว เขาเองก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนเสียหน่อย

“อายทำไม เรื่องธรรมชาติ” เอสบอก ทิ้งตัวลงนอนตะแคงข้าง ๆ คนรัก มองใบหน้าขาวที่ตอนนี้แก้มแดงไปหมดด้วยสายตาอ่อนโยน ยอมรับว่าส่วนนั้นของตัวเขาเองก็เริ่มมีอารมณ์ แต่ก็ยังทนไหวอยู่

“ใครมันจะไปหน้าด้านเหมือนพี่ล่ะ”

“เป็นคนรักกัน เรื่องพวกนี้ไม่ต้องอายหรอกน่า”

ยิ่งได้ยินคำว่าคนรักจากปากของอีกฝ่าย ตี๋ก็ยิ่งเขินหน้าแดงเข้าไปใหญ่ ไม่ใช่ว่าไม่คิดแบบเดียวกันกับพี่เอสหรอกนะ แต่เพราะทั้งสองคนเจอกันมาตั้งแต่สมัยยังเด็ก ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะได้มาอยู่ในสถานะแบบนี้กับอีกคนเลยด้วยซ้ำ ยังคงไม่เข้าใจจนทุกวันนี้ ว่าอะไรที่ทำให้ตัวเองไม่สามารถปฏิเสธอะไรคนตรงหน้านี้ได้เลย หรือว่าอาจจะเป็นเพราะสมัยเด็ก ๆ เอาแต่ใจตัวเองกับอีกฝ่ายไว้เยอะ กรรมมันเลยตามทันอะไรแบบนี้หรือเปล่า

...แต่กรรมอะไรมันจะไวขนาดนี้วะ...

“พอเลย จะไปอาบน้ำแล้วโว้ย” ตี๋ยกแขนดันตัวคนที่กำลังจะพุ่งมากอดเขาเอาไว้ไม่ให้เข้ามาได้ ไม่งั้นได้มีต่ออีกรอบแน่

“นิดหน่อยก็ไม่ได้”

“นี่มันมากกว่าปกติซะด้วยซ้ำ” ตี๋แยกเขี้ยวใส่จนเอสหัวเราะออกมา

“ก็นะ ปรับตัวไว้ อนาคตจะได้สบาย ๆ ไง”

ตี๋ตาโตเม้มปากเข้าหากันแล้วถึงกัดฟันพูด “นี่ถ้าป๊าไม่ใช่ป๊าพี่นะ ตี๋ด่าพ่อพี่ไปแล้ว”

เอสหัวเราดังลั่นกับประโยคล่าสุดของตี๋ อย่างที่เคยบอกว่าเขาชอบเวลาที่ตี๋ด่าเพราะมันตลกดี ปกติแล้วอีกฝ่ายก็มักจะพยายามพูดจาสุภาพกับเขา ยกเว้นเวลาที่โดนกวนประสาทหรือถูกจับโน่นนิด แตะนี่หน่อย ก็จะมีการโวยวายและด่านิด ๆ โวยวายหน่อย ๆ พอหอมปากหอมคอ ไม่ได้หยาบคายจนดูเกินไปไม่น่ารัก

“แล้วเมื่อไหร่จะถึงเวลาเหรอ?”

ตี๋นิ่งและเงียบไป เอสไม่ได้ใช้น้ำเสียงกดดันหรือเร่งรัดตัวเขาเลย แต่มันเหมือนเป็นการอ้อนวอนจนเขารู้สึกวูบโหวงในอก ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองจะใจอ่อนในอีกไม่ช้านี้ ซึ่งเขายังไม่อยากให้มันเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้เลย เขาอยากให้มันเป็นไปเพราะเขายินยอมพร้อมใจมากกว่าที่จะใจอ่อนอะไรแบบนั้น

“ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอกน่า”

เอสชะงักไปที่จู่ ๆ ตี๋ก็เป็นฝ่ายเข้ามาซุกเข้ากับอกเขาเสียอย่างนั้น ทั้งที่เมื่อครู่ยังไม่ยอมให้เข้าหาอยู่เลย แต่ก็รู้อยู่หรอกว่านี่เป็นวิธีอ้อนของอีกฝ่ายเวลาที่รู้สึกไม่ดีที่จะต้องบอกปฏิเสธคำขอของเขา ที่จริงแล้วตัวเขาเองก็อายุพอประมาณในการรู้จักยับยั้งชั่งใจแล้ว เลยทำให้เข้าใจอีกฝ่ายที่ยังไม่พร้อมในตอนนี้ได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่อยากจะโกหกเรื่องที่ว่าเขาต้องการให้ตี๋กลายมาเป็นของเขา นาน ๆ ทีก็เลยมีการถามบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเร่งรัดอะไร

“ขอเวลาตี๋อีกหน่อยนะ”

เอสยิ้มเมื่ออีกฝ่ายต่อด้วยลูกอ้อนแบบนี้ ใครมันจะไปใจร้ายด้วยได้ลงคอ

“อื้อ พี่รอเราได้เสมอ”

เขาตอบแล้วก้มลงหอมกลุ่มผมสีดำนุ่ม ตามลงมาด้วยจูบที่หน้าผากอย่างแผ่วเบา

...บางทีการนอนกอดกันเฉย ๆ
มันก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไปหรอก...

“ขอบคุณนะ” ตี๋เงยหน้าขึ้นไปจูบปลายคางเพื่อเป็นการตอบแทน

ทั้งสองคนจ้องตากัน ยิ้มให้กัน มือใหญ่ของเอสลูบผมดำนิ่มมือไปเรื่อย และคนน้องก็ชอบมันมากเวลาที่อีกฝ่ายทำแบบนี้ เขารับรู้ได้ถึงความรักของอีกฝ่ายได้จากทุกการกระทำ เพราะเอสไม่เคยปิดบังความรู้สึกของตัวเองเลยสักครั้ง ดวงตาคู่สวยที่ทอดมองไปที่อีกคนเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งรักและเอ็นดู

ถึงแม้ในตอนนี้เขาจะยังตอบรับอีกฝ่ายได้ในหลาย ๆ เรื่องไม่ได้ แต่เขาก็หวังว่าอีกไม่นานเขาจะตอบแทนความรักที่คนตรงหน้ามอบให้อย่างไม่เขินอายหรือตะขิดตะขวงใจใด ๆ อีก

“พี่รักตี๋นะ”

“รู้น่า”






เอสที่ตื่นขึ้นมาอาบน้ำอาบท่าตั้งแต่แปดโมงเช้า พอจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเขาก็ลงมาเอนตัวนอนข้าง ๆ คนรักที่ตอนนี้กำลังขดตัวอยู่บนเตียงเหมือนเด็กตัวน้อย ยกมือขึ้นเกลี่ยผมทัดหูเผยให้เห็นใบหน้าด้านข้าง เขาชอบผิวของตี๋มากเพราะมันทั้งขาวและใสจนอดใจที่จะหอมแก้มตรงหน้านี่ไม่ได้

“ตี๋” เขาส่งเสียงเรียกเบา ๆ

“...” คนถูกเรียกยังคงนิ่งเงียบไม่หือไม่อือใด ๆ

“ตี๋ครับ ตื่นได้แล้วนะ”

“อือ”

“ตื่นยังเนี่ย”

“อืออ”

“ตื่นแล้วทำไมไม่ลืมตา”

“ง่วงอะ”

พอเห็นอีกฝ่ายตอบมาแบบนี้ก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “จะนอนต่อไหม?”

ตี๋ไม่ตอบแต่พยักหน้าหงึกหงักให้ทั้งที่ตาเรียวยังปิดอยู่ บอกตามตรงว่าตอนนี้เขายังไม่พร้อมที่จะตื่นจริง ๆ เมื่อคืนกว่าจะได้อาบน้ำนอนก็ดึกดื่น เพราะไอ้คนข้าง ๆ นี่แหละที่กว่าจะปล่อยเขาไปก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน แล้วไหนจะอาการเพลียที่เกิดจากการเมารถอีก เท่านี้ก็ทำให้เขาลืมตาแทบไม่ขึ้นแล้ว

“งั้นพี่ไปกินข้าวเช้าก่อนนะครับ”

“อื้อ” เจ้าตัวพยักหน้าตอบ

เอสก้มลงจูบที่หน้าผากมนก่อนจะลุกเดินออกไปจากห้องทิ้งให้ตี๋นอนหลับพักผ่อน เขาเดินออกมาสูดอากาศยามเช้าของบ่อเกลือ ต้องยอมรับว่าที่นี่อากาศบริสุทธิ์มากจริง ๆ อากาศดี ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป นานมากแล้วที่ไม่ได้สูดอากาศที่สะอาดสดชื่นขนาดนี้ ทำให้รู้สึกไม่เสียแรงที่ดั้นด้นขับรถมาตั้งไกล

โชคดีที่รีสอร์ตแห่งนี้มีร้านอาหารอยู่ในตัวเขาเลยตั้งใจเดินไปสั่งอาหารจานเดียวรองท้องไปก่อนในระหว่างที่รอทุกคนตื่น แต่ก็เจอกับป๊าที่นั่งอ่านหนังสือพลางจิบกาแฟรออยู่ก่อนแล้ว

“ป๊ากินข้าวยัง?” เอสเดินเข้าไปถาม

คนพ่อวางหนังสือลงถอดแว่นสายตาออกก่อนจะตอบคำถาม “ยังเลย”

“ป๊าจะกินอะไร เดี๋ยวเอสไปสั่งให้”

“อะไรก็ได้ สั่งมาเถอะ”

คนเป็นลูกพยักหน้าก่อนที่จะเดินไปหาแม่ครัวที่ยืนยิ้มรอรับอยู่แล้ว “เดี๋ยวขอข้าวต้มหมู กับข้าวผัดไก่นะครับ”

“ได้จ้า ไปนั่งเลย เดี๋ยวน้าทำเสร็จแล้วจะยกไปให้นะ”

“ขอบคุณมากครับ” เอสยิ้มตอบพลางค้อมหัวให้กับคนที่อายุมากกว่าแล้วจึงเดินกลับมาที่โต๊ะ หยิบโทรศัพท์ออกมาเช็กข่าวสารรายวันเพื่อฆ่าเวลาไปก่อน

“แล้วพวกสองแสบนั่นยังไม่ตื่นอีกเหรอไง?” ป๊าถามขึ้นมา

เอสเงยหน้าขึ้นมองหน้าคนถาม “เอสไม่เห็นเฟยนะ สงสัยยังไม่ตื่น ส่วนตี๋เมารถหนักเลยยังเพลียอยู่เลย”

“เฮ้อ แล้วอย่างนี้ขากลับจะเป็นยังไงบ้างล่ะเนี่ย”

“เอสก็ลืมไปเลยว่าจะซื้อยาแก้เมารถให้ตี๋กินก่อนจะขึ้นมา”

“งั้นเดี๋ยวลองถามคนของที่นี่ดูแล้วกันว่ามีขายหรือเปล่า” ป๊าเสนอซึ่งเอสก็พยักหน้าเห็นด้วย

“แล้วเดี๋ยวให้ตี๋มันย้ายมานั่งหน้าแทนกูด้วยก็ได้ น่าจะช่วยได้บ้าง”

เอสมองหน้าคนเป็นพ่อแล้วก็ยิ้มออกมา

“ยิ้มอะไรของมึง?” ถามเพราะจู่ ๆ ลูกชายคนเดียวก็ยิ้มออกมาทั้งที่เมื่อนาทีที่แล้วยังหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะเป็นห่วงเด็กตี๋นั่นอยู่เลย

“เอสดีใจ ที่ป๊าเป็นห่วงตี๋”

“ตี๋มันเป็นเด็กดี ตอนนี้มันก็เหมือนลูกเหมือนหลานอีกคนไปแล้ว” เขาตอบ

ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วที่เขารู้สึกเอ็นดูเด็กที่ติดลูกชายคนเดียวของเขาแจ พอหลังจากที่เอสย้ายตามไปอยู่กับแม่ ตี๋เองก็ไม่ค่อยได้มาคลุกคลีที่บ้านของตนอีก จะเจอกันก็เวลาที่อีกฝ่ายติดสอยห้อยตามคนในบ้านมาซื้อน้ำเต้าหู้ พอเด็กนี่โตขึ้นมาก็ไม่ค่อยได้คุยกันมากมายนักเพราะดันกลายเป็นเด็กพูดน้อยซะอย่างนั้น แต่พอตี๋กลายมาเป็นแฟนกับลูกชายของเขาก็ทำให้ได้กลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง

ในสายตาของเขานั้น ตี๋เป็นเด็กที่น่ารัก ซื่อ ๆ ไม่มีพิษมีภัยกับใคร เป็นเด็กประเภทที่หาได้ยากแล้วในยุคสมัยแบบนี้ ตอนแรกก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่าเด็กแบบนี้จะเอาลูกชายของเขาอยู่หมัด เพราะถึงแม้เขาจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับลูกมานานหลายปี แต่ด้วยความเป็นพ่อแล้วก็ทำให้มองออกว่าที่ผ่านมาเอสมันใช้ชีวิตยังไง

บรรยากาศรอบตัวของเอสเปลี่ยนไปมากตั้งแต่คบกับตี๋ เมื่อก่อนนี้ถึงลูกชายของเขาจะยิ้มแต่สายตากลับว่างเปล่าและเย็นชากับทุกสิ่งรอบตัว แต่ในตอนนี้ดูได้จากการดูแลเอาใจใส่คนรักของตัวมันเองแล้ว ต้องบอกว่าเอสอ่อนโยนขึ้นอย่างมาก แววตาสดใสดูมีชีวิตชีวา

เขาเชื่อว่าลูกชายของเขานั้นรักตี๋ออกมาจากใจจริง เพราะไม่ง่ายหรอกที่ใครสักคนหนึ่งจะยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อใครอีกคน..ถ้าเขาคนนั้นไม่ได้รักอีกฝ่ายจริง ๆ

“ดีจังที่ป๊าไม่ว่าอะไรที่เอสชอบตี๋”

“กูรู้มาตั้งนานแล้วเหอะว่ามึงน่ะชอบไอ้ตี๋มัน แต่แค่ไม่คิดว่าจะรักมั่นคงหนักแน่นอะไรขนาดนี้”

เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วลูกชายคนเดียวทำหน้าเหลอหลา

“ป๊ารู้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?” ถามเสียงอ่อย

“ตั้งแต่ไอ้ตี๋มันอยู่แค่ ป.สี่ หรือ ป.ห้า มั้งนะ”

“นานขนาดนั้นเลย!”

เจ้าตัวโอดก้มหน้าซบลงกับฝ่ามือตัวเอง เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าป๊าจะรู้เรื่องที่เขาชอบตี๋มาตั้งแต่อีกฝ่ายยังเป็นเด็กชาย ทั้งที่คิดว่าเก็บอาการได้เนียนที่สุดแล้วแท้ ๆ แต่ก็คงจะประมาทเกินไป ก็เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงผู้ให้กำเนิดของเขา ไม่แปลกที่จะมองออกว่าอะไรเป็นอะไร

“ดีนะที่ตอนนั้นมึงก็ผู้เยาว์เหมือนกัน ไม่งั้นได้ไอคุก ๆ แน่มึง” ป๊าแซว

“โห ตอนนั้นแค่ชอบเฉย ๆ เอสไม่ได้คิดว่าจะมาถึงขั้นนี้ด้วยซ้ำ” คนเป็นลูกพูดยิ้มเล็กน้อย ประจวบกับที่ข้าวที่สั่งไว้มาเสิร์ฟพอดี เอสบอกขอบคุณแม่ครัวพร้อมกับรอยยิ้ม

สองพ่อลูกนั่งกินข้าวไปคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป สักพักแล้วที่พวกเขาไม่ได้พูดคุยกันอย่างสบายใจแบบนี้ เพราะก่อนจะมาเที่ยวงานของเขาค่อนข้างยุ่ง แต่ถึงจะไม่มีเวลาขนาดไหนเขาก็จะตื่นขึ้นมาทำข้าวเช้า และทานด้วยกันกับป๊าทุกวัน ส่วนตอนเย็นถ้าเขาเลิกงานช้าก็จะฝากให้ตี๋ซื้อกับข้าวเข้ามาให้ป๊าและนั่งกินเป็นเพื่อนบ้าง ในบางครั้งม๊าของตี๋ก็จะทำมาฝากบ้าง ซึ่งเขาก็รู้สึกขอบคุณที่บ้านของตี๋อยู่เสมอ

และที่สำคัญคือคนรักของเขา ถ้าไม่มีตี๋ชีวิตของเขาก็คงจะแย่อยู่เหมือนเดิม เพราะอีกฝ่ายยังคงอยู่ข้าง ๆ เขา..เขาถึงกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้แบบนี้ ต้องขอบคุณจริง ๆ

...ชีวิตของเขาคงจะขาดคนคนนี้ไม่ได้แล้วสินะ...




TBC…
ขาดเธอไม่ได้หัวใจขอสารภาพ...  :laugh:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.14 หน้า 3 [up:03/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-06-2018 12:26:53
หลงหยักเลย
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.14 หน้า 3 [up:03/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-06-2018 13:07:22
เอส  ตี๋   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.14 หน้า 3 [up:03/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-06-2018 17:37:44
 :L2: :pig4: :L1:

ครอบครัวตี่จะโอเคไหมหนอ
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.14 หน้า 3 [up:03/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 03-06-2018 19:28:03
ตี๋น่ารักมาก เวลาที่อ้อนพีเอส
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.15 หน้า 3 [up:05/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 05-06-2018 22:51:32
15




ด้วยความที่อากาศดีและเงียบสงบมากทำให้ตี๋ไม่อยากจะลุกออกจากที่นอนไปแม้นาทีเดียว แต่ด้วยความที่ได้ให้สัญญากับพวกเพื่อนไว้แล้วว่าจะซื้อของไปฝาก ก็ทำให้จำเป็นที่จะต้องตื่น ถึงแม้จะบอกพวกมันไปแล้วก็ตามว่าของฝากของที่นี่มันมีแต่เกลือก็เหอะ

เขาอยากจะด่าพวกมันวันละหลาย ๆ รอบ ไม่รู้จะงกของฝากอะไรนักหนา เกลือแถวบ้านมันไม่มีจะกินหรือไง ถึงต้องหอบจากที่นี่ไปให้

“ป้าครับ ที่นี่นอกจากของที่เกี่ยวกับเกลือแล้วก็ของพวกนี้ มีอะไรเป็นของฝากบ้างเหรอครับ?” ตี๋ถามแม่ค้าที่ขายเกลือที่อยู่ในบริเวณบ่อต้มเกลือที่พวกเขาเพิ่งเดินดูเสร็จ อันที่จริงเขาก็ซื้อของฝากไปแล้วล่ะ แต่ลองถามอีกเผื่อว่าจะมีอย่างอื่นบ้าง

“อ๋อ ก็เป็นพวกของป่าน่ะจ้ะ ถ้าหนูขับวนขึ้นไปทางนี้จะเจอแผงขายของอยู่ริมถนนนะ ต้องไปดูว่าช่วงนี้เขาหาของป่าอะไรได้บ้างที่หนูพอจะซื้อกลับบ้านไปได้น่ะ” คุณป้าตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ขอบคุณครับ” ตี๋ตอบยิ้มแหย ๆ ที่โดนเรียกว่าหนูอย่างนั้นหนูอย่างนี้ เกิดมาก็เพิ่งจะเคยถูกเรียกแบบนี้จากคนที่ไม่รู้จักนี่แหละ..นอกจากแม่แล้วก็ไม่มีใครเรียกเขาแบบนี้หรอก หันไปมองพี่ชายตัวเองก็เห็นมันยืนปิดปากกลั้นหัวเราะตัวโยน

“เดี๋ยวมึงจะโดน” เจ้าตัวกัดฟันพูดถลึงตาใส่

“โอยยย เฮ้อ” คนเป็นพี่กลั้นขำจนปวดท้อง เขาถอนหายใจสงบสติอารมณ์ แต่พอหันไปเห็นหน้าน้องชายตัวเองก็พลันจะหลุดออกมาอีกรอบ

พอตี๋ทำท่าจะพุ่งใส่ก็โดนมือใหญ่ของเอสคว้าหัวเอาไว้แล้วดึงเข้าหาตัวเอง คนตัวขาวทำท่าจะโวยวายใส่ เขาก็ยกนิ้วขึ้นจรดริมฝีปาก

“ชู่~”

ตี๋มองหน้าคนรักของตัวเองด้วยอารมณ์กรุ่นหลังโดนขัด เอสยกยิ้มแล้วลูบหัวของอีกฝ่ายเบาๆ

“ใจเย็น ๆ น่า”

คนใจร้อนถอนหายใจหนักก่อนจะพยักหน้าเพื่อให้คนรักสบายใจ

เฟยมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างครุ่นคิด เพราะตนเองก็ยังไม่ได้ตอบกลับน้องชายของตัวเองเรื่องที่อีกฝ่ายคบกับผู้ชายตรงหน้านี้เลย และจากที่ดูพฤติกรรมมาสองวันแล้ว ก็ไม่เห็นว่าพี่ชายข้างบ้านที่ควบตำแหน่งแฟนน้องชายอย่างพี่เอสจะมีข้อบกพร่องตรงไหน นิสัยดี รักครอบครัว มีความเป็นสุภาพบุรุษ ถึงแม้ว่าตี๋มันจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องคอยเทคแคร์ก็ตามเถอะ ไหนจะใจเย็น พูดจาดี แถมยังดูแลน้องเขาดีโคตร ๆ

ถ้าจะเป็นคนดีขนาดนี้แล้วจะไปหาได้จากที่ไหนอีกวะ...




/




พวกเขาขึ้นรถกันแล้วขับออกมาตามทางที่ป้าคนนั้นเป็นคนบอก ระหว่างทางตี๋เปิดหน้าต่างรับลมเย็น ๆ และอากาศบริสุทธิ์ ถ้าไม่นับรวมตอนเมารถช่วงขาขึ้นมาแล้ว ก็ต้องบอกว่าที่นี่เหมือนสวรรค์สำหรับเขาจริง ๆ เขาชอบทุกอย่างที่นี่มาก ยกเว้นเรื่องเมารถน่ะนะ

“นี่ไง เจอแล้ว” เอสบอกเมื่อเห็นร้านขายของที่ตั้งเป็นแผงเก่า ๆ อยู่ด้านหน้า

ดับรถเสร็จก็พากันเดินลงไปดู เด็กในเมืองอย่างตี๋และพี่ชายต่างตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นอะไรแปลก ๆ ที่ไม่เคยเห็นกัน เจ้าของร้านแนะนำของให้หลากหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นพวกของป่าที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ซื้ออะไรกลับมาเลยสักอย่าง สุดท้ายเลยได้เกลือของเด็ดของดีประจำอำเภอไปเป็นของฝากเพียงอย่างเดียว

“แล้ว...จะไปไหนต่อดีล่ะ?”

จบคำถามของเอสก็ไม่มีใครพูดตอบ ขนาดเจ้าของความคิดที่พากันมาที่นี่อย่างตี๋ยังไม่รู้เลยว่าจะไปไหนต่อดี เพราะเจ้าตัวตั้งใจที่จะมานอนเล่นเปลี่ยนบรรยากาศแค่นั้นเอง

“งั้นกลับไปหาอะไรกินในหมู่บ้านแล้วกัน...ดีไหม?”

เมื่อมติเป็นเอกฉันท์ คนขับวนรถกลับไปจอดในหมู่บ้านเหมือนเดิม กลางหมู่บ้านมีร้านข้าวเล็ก ๆ อยู่หนึ่งร้าน กับร้านก๋วยเตี๋ยวอีกหนึ่ง และมีร้านขายน้ำน่ารัก ๆ ด้วย ทั้งสี่คนพากันเข้าไปนั่งในร้านข้าว และในระหว่างที่รอ ตี๋กับเฟยก็อาสาไปซื้อน้ำร้านฝั่งตรงกันข้ามให้ทุกคน

“ถามอะไรหน่อยสิ” คนพี่เอ่ยปากถามระหว่างทาง

“อือ” ตี๋หันมามองเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

“กับพี่เอส...จริงจังขนาดไหนวะ?”

“...ถามอะไรของมึงวะ?” คนน้องย้อนถามขมวดคิ้วมุ่น

“ตอบมาเหอะ”

“กูกับพี่เขาเพิ่งคบกันไม่กี่เดือน” ตี๋เงียบไปอย่างใช้ความคิด “แต่ถ้าถาม...ตอนนี้ก็จริงจังนะ”

เฟยเม้มปากพลางพยักหน้ารับรู้ เพราะมันก็เป็นไปอย่างที่คิดเอาไว้ ถึงแม้ว่าพวกเขาสองคนจะทะเลาะกันบ่อย แต่ก็รู้เรื่องของกันและกันมากกว่าที่คนอื่นคิด ตัวเขาเองไม่เคยเห็นว่าตี๋มันคบใครมาก่อนเลยสักคน และเขาก็รู้ว่าที่มันไม่เคยมีแฟนไม่ใช่ว่ามันเป็นผู้ชายลั้ลลาไม่จริงจังกับคนไหนหรือว่าอะไร แต่เป็นเพราะไม่ใส่ใจที่จะมีมากกว่า

ตี๋เป็นคนที่ถึงจะดูเอื่อย ๆ ไปบ้าง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ตัวเองรักหรือชอบแล้วจะจริงจังมาก และพอเขารู้ว่ามันคบกับพี่เอส เขาก็สังเกตพฤติกรรมของทั้งสองคน ตอนแรกก็คิดว่าน้องเขามันคงไม่ได้จริงจังอะไรมาก แต่กลับผิดไปจากที่เขาคิด

พอเห็นว่าเฟยเงียบไป ตี๋ไม่รู้ว่าพี่ชายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ดูเหมือนไม่ได้คิดจะคัดค้านอะไรระหว่างตนกับพี่เอส

“พี่เขาดีกับกูมากเลยนะ”

“อือ กูรู้”

คนเป็นพี่หันมาส่งยิ้มบาง ๆ ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นดีกับน้องเขามากแค่ไหน คงถึงเวลาที่เขาต้องยอมรับแล้วสินะ คนพี่ยกมือขึ้นตบไหล่ตี๋สองสามที ก่อนจะเดินเข้าร้านน้ำไปก่อน ปล่อยให้คนน้องยืนงงอยู่สักพักถึงเดินตามไป

“กูสั่งหมดแล้ว มึงจะกินอะไรล่ะ?”

ตี๋มองเมนูก่อนจะตอบ "บลูฮาวายหนึ่งแก้วครับ"

ระหว่างทางที่เดินกลับไปร้านข้าว สองพี่น้องไม่ได้พูดคุยเรื่องเดิมอีก ตี๋เข้าใจว่าเรื่องนี้ยังคงต้องให้ระยะเวลากับอีกคนได้คิดและทำใจ เพราะถึงจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่เขาสองคนคบกัน ตี๋ก็จะไม่เลิกโดยเด็ดขาด ถ้าเขาจะต้องเลิกกับพี่เอส มันจะต้องเป็นเพราะว่าเขาสองคนไม่รักกันมากกว่าที่จะเพราะคนอื่นบอกให้เลิก แม้จะเป็นคนในครอบครัวก็ตาม




/




กลับมาถึงที่พักอีกครั้งก็เป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้ว เอสเลยจัดแจงให้ทุกคนไปนอนพักก่อนที่จะตื่นมากินข้าวเย็นกัน เขาเดินไปส่งป๊าที่ห้องพักดูแลความเรียบร้อยให้แล้วถึงเดินกลับมาที่ห้องของเขากับตี๋

ตัวเขาเองไม่เคยเที่ยวในที่ที่สงบแบบนี้มาก่อนเลยทำให้ไม่รู้จะทำอะไรดีนอกจากนอนและเดินเล่นชมบรรยากาศที่ล้อมรอบไปด้วยหุบเขาแบบนี้ นาน ๆ ทีจะเจอสถานที่เงียบสงบ รู้สึกเหมือนได้พักทั้งใจและกายทำให้รู้สึกสดชื่นและพร้อมที่จะกลับไปเจอความวุ่นวายในเมืองอีกครั้ง

“หลับอีกแล้วเหรอ?” เอสสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกับคนรัก แขนยาวดึงเอวผอมเข้ามากอดจนหลังของตี๋ชิดกับอกหนาจนไม่มีที่ว่างแล้วซุกหน้าลงกับหลังคอของอีกฝ่าย

“กำลังจะหลับจนพี่มากวนนี่แหละ”

“กวนตรงไหนแค่อยากอ้อนแฟนเอง”

เอสพูดไปก็เอาจมูกไถหลังคอของน้องไปด้วย ทำเอาตี๋ขนลุกเกรียว ใบหน้าขาวเห่อร้อน เอสกำลังสร้างความเคยชินให้กับตี๋ เพื่อให้อีกคนไม่กลัวกับสัมผัสของตน และก็แอบคิดว่าการถูกกระทำแบบนี้ที่ถึงแม้ว่าจะเล็กน้อย แต่เขารู้ว่าร่างกายผู้ชายถ้าถูกกระตุ้นบ่อยเข้าสักวันมันก็จะทนไม่ไหวไปเอง และเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ก็ทำให้เขาได้เห็นว่าตี๋เองก็เริ่มมีอารมณ์กับการเล้าโลมของเขาแล้วเหมือนกัน

อาจจะดูร้ายที่เขายอมรับคำขอร้องของอีกคน แต่ตัวเองกลับแตะต้องอีกฝ่ายทั้งที่ใจไม่ซื่อแบบนี้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ดีแต่เขาก็จำเป็นที่ต้องทำ ไม่อย่างนั้นแล้วก็คงหมดหวังที่จะได้ตี๋มาไว้ในครอบครองน่ะสิ เขายอมที่จะเป็นคนเห็นแก่ตัวใส่ปุ๋ยเร่งต้นอ่อนเพื่อหวังเก็บเกี่ยวผลได้เร็วในภายภาคหน้าดีกว่าต้องรอจนเหี่ยว หรืออย่างแย่คือ...ไม่ได้อะไรเลย

“พอได้แล้ว”

ตี๋ดิ้นพยายามที่จะออกจากอ้อมกอดของคนที่กำลังลวนลามตัวเองอยู่ เพราะถ้าขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้ตัวเขาคงจะทนไม่ไหวเอา แต่แขนที่แข็งแรงกว่ากลับกอดเอวเขาแน่นขึ้น

“ถ้าไม่หยุดนะ...คืนนี้ไปนอนห้องป๊าเลย”

“ครับผม หยุดก็ได้” เอสยอมแพ้แต่แขนก็ยังคงกอดเอวของตี๋อยู่แบบนั้น เขาหอมแก้มขาวที่เปลี่ยนเป็นสีแดงนั่นด้วยความรักใคร่

“ไอ้หื่นนี่แม่ง...” ตี๋ไม่รู้จะด่าอีกฝ่ายว่ายังไงดีก็เลยได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ก๊อก ๆ ๆ **

ทั้งคู่ชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง และเป็นเอสที่เป็นคนลุกขึ้นไปเปิดประตู และก็เจอกับเฟยที่ยืนหน้านิ่งอยู่

“ขอคุยด้วยหน่อยสิครับ”

พอเห็นว่าคนที่มาเปิดประตูจะเดินสวนออกไป เฟยก็เรียกเอาไว้ก่อน “ทั้งคู่นั่นแหละ”

เอสเดินกลับเข้าห้องด้วยสีหน้าสงสัย ในขณะที่คนบนเตียงนั่งหัวฟูมองคนมาใหม่และก็พอจะรู้อยู่ว่าพี่ชายมาเพื่อจะคุยเรื่องอะไร

“นั่งลงสิ” เอสนั่งลงบนที่นอนและชวนให้เฟยนั่งด้วยกัน บรรยากาศในห้องเงียบอยู่สักพัก ทั้งเอสและตี๋ต่างก็รอให้อีกฝ่ายเริ่มพูด

“พูดมาเลย” ตี๋บอก

“มีอะไรเหรอ?” เอสถามบ้างหลังจากที่เห็นเฟยเงียบไป

เจ้าตัวหลับตาลงแล้วถอนหายใจเสียยาวก่อนที่จะตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

“ผมรู้แล้วนะพี่” ลอบกลืนน้ำลายก่อนจะพูดต่อ “เรื่องที่...พี่คบอยู่กับตี๋มันน่ะ”

เฟยแปลกใจที่อีกฝ่ายไม่มีท่าทีตกใจอะไรเลยกับสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกไป แถมกลับนั่งรอฟังอย่างใจเย็นและส่งยิ้มบาง ๆ มาให้เขาอีก

“บอกตามตรงนะ...ผมก็ตกใจที่รู้ว่าตี๋มันเป็นเกย์”

“ไม่ได้เป็นโว้ย” ตี๋ตั้งใจจะโวยวายเพราะพี่ชายพูดไม่เข้าหู แต่ก็เงียบปากไปเพราะเอสเอื้อมมือมาคว้าข้อมือของเขาไว้ก่อน

“พี่ต่างหากที่เป็น ส่วนน้องเราน่ะไม่ได้เป็นหรอก เรื่องมันอาจจะเข้าใจยากไปสักหน่อย แต่ในโลกนี้น่ะมันจะมีคนประเภทที่ว่าถ้าได้รักใครไปแล้ว บางครั้งก็มองข้ามเรื่องเพศไปเลย ไม่สนว่าคนคนนั้นจะเป็นอะไร มันจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป เฟยพอจะเข้าใจไหม?”

เฟยพยักหน้า “บางเรื่องผมอาจจะยังไม่เข้าใจมากนัก แต่ที่สิ่งที่ผมเห็นคือพี่ดูแลตี๋มันดีมากและพี่ก็รักมัน”

“รักมากด้วย พี่จองน้องเราไว้ตั้งแต่ป.สี่แล้วนา” เอสพูดเสริมใบหน้ายิ้มจนสองพี่น้องเกิดอาการหมั่นไส้ โดยเฉพาะตี๋ที่อยากจะยื่นมือออกไปบีบคอไอ้คนที่พูดเรื่องไม่เป็นเรื่องตรงหน้านี่สักที

“ยังไงก็แล้วแต่ ตี๋มันเป็นน้องที่ผมรักมาก ผมฝากดูแลมันด้วยนะพี่”

ตี๋มองพี่ชายตัวเองด้วยความไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เพราะตั้งแต่โตมาจนป่านนี้ไม่เคยมีแม้สักครั้งที่ทั้งสองคนจะบอกว่ารักกัน ขนาดจะพูดกันดี ๆ ยังแทบไม่ค่อยจะมี มันก็เลยสร้างความตกใจให้เขามาก

“ไม่ต้องห่วงหรอก พี่จะดูแลให้อย่างดีเลย”

“ขอบคุณครับ” เฟยยิ้มให้เอสแล้วหันกลับไปมองน้องชายตัวเองที่นั่งก้มหน้าเขี่ยผ้าปูที่นอนอยู่ ตนเอื้อมมือไปจับหัวของตี๋แล้วโยกมันไปมา เขารู้ว่ามันเขินและนี่คือวิธีที่จะทำให้มันหายเขินได้

“ตัวก็ออกจะใหญ่ ทำไมหัวเบาจัง สงสัยจะไม่มีสมอง”

“เหี้ยเฟย” ตี๋เงยหน้าขึ้นด่าพี่ชายเสียงเบา

“กูไปละ เดี๋ยวจะขัดเวลาสวีทหวานแหววของมึง”

คนน้องมองพี่ชายตาขวางในขณะที่เอสเดินตามไปส่ง เจ้าตัวโบกมือบ๊ายบายใบหน้ายิ้มแฉ่งจนเฟยคันปากอยากจะเหน็บแนม ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าและก็ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นจะเล่นหัวด้วยล่ะก็เสร็จเขาไปแล้ว

เอสเดินกลับมาทิ้งตัวลงบนที่นอนพร้อมกับดึงคนรักตามลงมากอดด้วย ตี๋พลิกตัวเข้าซุกอกอีกฝ่ายทันที ในตอนนี้เขารู้สึกโล่งใจไปหนึ่งเปลาะที่พี่ชายของเขายอมรับในสิ่งที่เขาเป็นได้ เหลือก็แต่ป๊ากับม๊า ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ตี๋ก็พล่อยหลับไปด้วยเคลิ้มจากสัมผัสอ่อนโยนจากมือใหญ่ที่กำลังลูบหัวตนเองอยู่




/




เอสตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดยังคงหลับสนิท เขาใช้ช่วงเวลานี้มองใบหน้าอีกฝ่าย ตัวเขานั้นชอบที่จะมองใบหน้าขาวใสของตี๋ยามนอนหลับ มองขนตาที่ยาวออกมาจากตาชั้นเดียว มองจมูกโด่ง ปากบางได้รูปสีสวยเห็นแล้วก็อยากจูบชะมัด แต่ก็ตัดสินใจหอมแก้มนิ่มที่มักจะเป็นสีแดงเวลาเขินนั่นแทน

“ตี๋ครับ” เรียกพร้อมกับหอมแก้มเสียงดังฟอด

“อือ” เจ้าตัวครางรับทั้งที่ยังหลับตาอยู่

“ตื่นได้แล้วนะ ไปกินข้าวกันเถอะ”

“ยังไม่หิวเลย”

ทั้งที่ตี๋เป็นคนชอบกิน แต่ถ้าเป็นเวลานอนไม่พอหรือง่วงอยู่กลับไม่แตะอาหารเลย และมันก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนตรงหน้าผอมมากขนาดนี้ ยิ่งเวลาที่โปรเจกต์เยอะจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน เรื่องกินนี่ลืมไปได้เลย เด็กคนนี้เลือกที่จะหลับมากกว่ากินแน่นอน ปิดเทอมนี้เขาก็เลยพยายามขุนจนตี๋น้ำหนักขึ้นมาห้ากิโล จากที่แก้มตอบก็เริ่มมีเนื้อขึ้นมาบ้าง เห็นแบบนี้ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย

“ไม่ได้นะ เดี๋ยวน้ำหนักที่พี่ขุนมามันจะหายไป เสียดายแย่”

ตี๋ยิ้มทั้งที่ยังหลับตา บางครั้งพี่เอสก็พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้งเหมือนเด็ก ๆ อย่างเมื่อกี้ก็เหมือนกัน พูดไปก็ลูบท้องที่เริ่มมีเนื้อของเขาไป ไม่ลืมตามองเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายทำสีหน้าแบบไหน ต้องขมวดคิ้วแล้วทำปากยู่แน่นอน

“ขออีกห้านาทีนะ” ตี๋บอก

“ก็ได้” เอสยิ้มออกมา “เดี๋ยวพี่ไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วขอออกไปดูป๊าก่อนนะ”

“อื้อ” คนที่หลับตานอนฟังพยักหน้าหงึกหงัก

“แล้วเดี๋ยวพี่ไปสั่งข้าวเผื่อเลยนะครับ” บอกพร้อมกับก้มลงจูบที่หน้าผาก

“ครับบบ” ตี๋ตอบเสียงยานคาง

คนพี่ลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยไม่นานนักออกมาก็เห็นไอ้คนที่บอกว่าขออีกห้านาทีนอนหลับต่อไปเรียบร้อย เขาได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหัวด้วยความเอ็นดูก่อนจะออกจากห้องไปดูว่าป๊ากำลังทำอะไรอยู่

ตอนแรกตั้งใจว่าจะเดินไปดูที่ห้อง แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นว่าท่านกำลังยืนคุยอยู่กับผู้ชายมีอายุคนหนึ่งที่เขาจำได้ว่าเป็นเจ้าของรีสอร์ต เห็นแบบนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาเพื่อจะถามว่าอยากกินอะไรจะได้ไปสั่งให้

“ป๊า” เอสเรียก

“อ้าว มาพอดี นี่ครับลูกชายผมชื่อเอส” ป๊าแนะนำ

เจ้าตัวยกมือไหว้พร้อมกับยิ้ม “สวัสดีครับ”

เขารับไหว้ “ลูกชายหล่อนะเนี่ย”

เอสได้แต่บอกขอบคุณพร้อมยิ้มแห้ง เขาไม่ชอบให้ใครมาชมเรื่องหน้าตานัก เพราะมันทำให้วางตัวไม่ถูก จะบอกขอบคุณมันก็ยังไง เหมือนยอมรับว่าใช่ มันก็ดูหลงตัวเองไป เขาเลยเลี่ยงการตอบโต้เรื่องหน้าตาของตัวเองเวลาที่มีคนมาชมทุกครั้ง

“ป๊าหิวหรือยัง?” เอสเลยหันไปถามคนเป็นพ่อแทน

“ยังพอได้ เพิ่งกินมาตอนบ่ายนี้เอง พวกไอ้แสบยังไม่ตื่นกันอีกเหรอ”

“ยังไม่ตื่นเลย เอสว่าจะไปสั่งข้าวเอาไว้ก่อน แล้วค่อยไปปลุกขึ้นมากินข้าวกัน”
“เออ ไปสั่งไว้สิ”

เอสตอบรับก่อนจะหันไปบอกขอตัวกับเจ้าของรีสอร์ตด้วยท่าทีนอบน้อม สร้างความประทับใจจนผู้ใหญ่เอ่ยปากชมกับคนเป็นพ่อ เจ้าตัวเดินตรงไปที่ซุ้มอาหารจัดการสั่งอาหารให้ทุกคนเรียบร้อย เขาสั่งยำผักกูด แกงเขียวหวานปลาช่อนทอด ไข่เจียวโหระพา แกงจืด และไก่ทอดมะแขว่น ในช่วงที่กำลังรออาหารเลยตั้งใจไปปลุกสองพี่น้อง แต่พอเดินไปถึงหน้าบ้านพักก็เจอเฟยเปิดประตูออกมาพอดี

เจ้าตัวสะดุ้งเล็กน้อยที่เจอแฟนของน้องชาย อาจจะเพราะยังปรับตัวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้ไม่เต็มร้อยนัก

“ไปนั่งรอสิ พี่สั่งอาหารไว้ให้แล้ว”

เฟยยิ้มกับความดีของคนตรงหน้า ทำเอาเขารู้สึกไม่ดีนักที่ก่อนหน้านี้มองอีกฝ่ายในแง่ลบ ก่อนจะตอบ “เดี๋ยวผมเดินเล่นรอแล้วกันพี่”

เอสพยักหน้ารับ “งั้นพี่ไปปลุกตัวแสบก่อนนะ ตื่นยากมากเลย”

“ถีบมันตกเตียงสักทีมันก็ตื่นแล้วพี่ บ้านผมใช้วิธีนี้ประจำ”

คนฟังหัวเราะ “ไม่เอาหรอก เดี๋ยวตี๋จะมาถีบพี่คืนน่ะสิ”

“โอ๊ย! มันไม่กล้าหรอกเชื่อผม”

คนอายุมากกว่ายิ้มขำก่อนจะขอแยกตัวออกไปที่ห้องของตน เปิดเข้าไปเห็นคนบนเตียงยังคงหลับปุ๋ยอยู่ เห็นแบบนี้ก็ได้แต่ส่ายหน้าปลง ตี๋นอนเก่งมากถ้าเทียบกับเขาที่เป็นพวกนอนน้อย ต่อให้กลางคืนจะนอนดึกแค่ไหนเช้ามาก็ยังตื่นเป็นเวลา อาจจะด้วยความเคยชินที่จะต้องไปทำงานทุกวันเลยทำให้ตื่นเช้าเป็นกิจวัตรก็ได้

“ตี๋” เขาเขย่าตัวคนที่หลับอุตุบนที่นอน แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับอะไรออกมา “ตื่นได้แล้วครับ” เอสก้มตัวลงไปกระซิบที่ข้างหู

“อือออ” เจ้าตัวครางบิดหน้าหนีเสียงรบกวนจากคนรัก เขากำลังหลับสบายได้ที่อยู่เลยเชียว แต่คนด้านบนก็จับเข้าที่คางแล้วดึงหน้าของคนข้างใต้ให้หันกลับมาแล้วกระซิบอีกครั้ง

“ถ้าไม่ตื่นพี่จะปล้ำนะ”

ได้ผล! ตี๋ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที

“ที่ขู่นี่กล้าใช่ไหม?”

“ไม่รู้สิ” เอสไหวไหล่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไปกินข้าวได้แล้ว ค่อยมานอนต่อก็ได้”

คนน้องบิดขี้เกียจไล่ความง่วง ลุกขึ้นนั่งหน้าตามึนสติยังไม่ค่อยมาเต็มนัก เห็นแบบนี้เอสก็ขยี้หัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู เมื่อครู่เขาก็ขู่ไปอย่างนั้นเอง ถ้าจะปล้ำตี๋โดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอมเขาทำไม่ได้หรอก เพราะได้ให้สัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ทำเรื่องนี้จนกว่าตี๋จะพร้อม

“ไปล้างหน้าล้างตาไป”

“งือ” ตี๋ฟุบหน้าลงกับไหล่ของคนที่นั่งหันหน้าเข้าหาเขาอยู่ริมเตียง “อยากนอนต่อ”

“ได้นอนแน่ แต่ตอนนี้ต้องไปกินข้าวก่อนนะครับ”

“ยังไม่หิวเลยย”

“ดื้อเอ๊ย” เอสพูดกลั้วหัวเราะ

“ดื้อแล้วรักปะล่ะ?”

คนพี่ชะงักไป...อะไรกัน นี่กินยาลืมเขย่าขวดหรือไง...

“นี่ใช่ตี๋ตัวจริงหรือเปล่าเนี่ย? หรือมีคนอื่นเข้ามาสิง”

มือขาวฟาดป้าบลงที่หลังของคนแซวไม่แรงนัก คนเรารึอุตส่าห์พยายามทำหน้าด้านพูด

“โอ๋ ๆ ๆ รักสิ รักมากเลย” พอโดนตีเอสก็หัวเราะร่วนแล้วโอบเอวผอมของตี๋เข้ามากอด โยกตัวไปมาเหมือนกำลังโอ๋เด็กน้อย ก้มลงหอมแก้มฟอดใหญ่แถมให้อีกด้วย “แต่ตอนนี้ต้องไปกินข้าวก่อนนะครับ ป๊ารออยู่นะ”

“แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรก”

ตี๋ลุกออกจากที่นอนทันทีที่บอกว่าป๊าของเขากำลังรอกินข้าวเย็นอยู่ เห็นแบบนี้แล้วก็ได้แต่หัวเราะออกมา รู้แบบนี้ไม่มานั่งเสียเวลาปลุกตั้งนานหรอก ใช้วิธีนี้ซะตั้งแต่แรกก็จบ เพราะน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้ไงอีกฝ่ายถึงได้กลายมาเป็นลูกรักของป๊าอีกคน

ใช้เวลาไม่ถึงสองนาทีตี๋ก็เสร็จเรียบร้อย เจ้าตัวเดินนำเขาออกไปก่อนด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเพราะหิวหรืออะไร เอสที่เดินตามหลังได้แต่ยิ้มและส่ายหัว บางครั้งบางคราเขาก็อยากจะตีอีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยวเหลือเกิน

เพราะความรู้สึกของเขาที่มีกับอีกฝ่ายนั้น มันไม่ใช่แค่รักในแบบคนรักอย่างเดียว ตี๋นั้นเป็นเหมือนทั้งพี่ชาย น้องชายและเพื่อน ในบางครั้งก็เหมือนลูกชายที่เขาต้องดูแล และในบางครั้งนั้นตี๋ก็เป็นฝ่ายที่ดูแลเขาเหมือนกัน

...คิดแล้วเขาก็รู้สึกดีเป็นบ้า...

“กว่าจะตื่นได้นะ” ป๊าทักทันทีที่เห็นตี๋เดินเข้าไปหา

“ขอโทษคร้าบ” คนตัวขาวยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะดึงเก้าอี้ข้างพี่ชายออกแล้วนั่งลง

“กว่าจะปลุกให้ตื่นได้ หืดแทบขึ้นคอแหนะ” เอสบอก

ตอนนี้กับข้าวที่สั่งไว้ก็ลงโต๊ะทุกอย่างเรียบร้อย สองพี่น้องก้มหน้าก้มตากินด้วยความหิวโหย เอสมองตี๋ที่เพิ่งบอกไปหยก ๆ เองว่าไม่หิว แต่ดูสิ..ตอนนี้กินอย่างกับหิวโหยมานาน

ตี๋ที่ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ มาจากคนตรงข้ามเจ้าตัวก็เงยหน้ามอง “หัวเราะไรอะ?”

เอสเลิกคิ้วขึ้น ริมฝีปากยังคงยิ้มอยู่ “เมื่อกี้นี้ใครก็ไม่รู้บอกว่า ‘ยังไม่หิวเลย’ ” เขาทำเสียงเลียนแบบตี๋ เจ้าตัวเหลือบตาขึ้นมอง เอาลิ้นดุนเศษข้าวที่ติดฟันอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ไม่กล้าด่า..เลยได้แต่ส่งสายตาคาดโทษไปให้

“ป๊อดรึไง?” เฟยถามยิ้มขำ

“ป๊อดห่าไรมึง”

“ทีงี้ล่ะไม่กล้า ถ้าเป็นกูนะ..ฮึ่ม!” ลองถ้าเขาล้อเลียนมันอย่างที่พี่เอสทำสิ มันไม่ทำแค่จ้องหน้าหรอก รับรองได้ว่ามันด่าเขาไม่เหลือซากแน่

“ใช่” คนน้องพยักหน้า “ถ้าเป็นมึงนะกูจะถีบให้ตกดอยเลย”

“โอ๊ย” เฟยยกมือทาบหน้าอก แกล้งทำหน้าเจ็บปวด “พี่ชายคนนี้มันไร้ความหมายแล้วสินะ”

ตี๋ทำหน้าจะอ้วกเรียกเสียงหัวเราะให้กับทั้งโต๊ะ

“สนิทกันดีนะ” ป๊าพูดยิ้ม ๆ

“ตี๋กับมันเนี่ยนะ?” นิ้วเรียวชี้ไปมาระหว่างตัวเองกับพี่ชาย “ป๊ามองตรงไหนว่าสนิทกันเนี่ย”

“คนเราถ้าไม่สนิทสนมกันเขาก็ไม่ทะเลาะกันหรอกนะ เพราะสนิทถึงมีเรื่องให้ทะเลาะกันได้ไม่มีวันหมด แต่พวกเอ็งถึงจะดูเหมือนเป็นคู่กัดกัน แต่ต่างคนก็ต่างรักกันมากใช่ไหมล่ะ?”

สองพี่น้องที่ว่าเหลือบมองหน้ากัน ก่อนจะหันหนีแล้วก้มหน้ากินข้าวของตัวเองด้วยความรู้สึกขัดเขินที่โดนคนสูงอายุอ่านออกจนทะลุปรุโปร่ง มันก็ถูกอย่างที่ท่านว่านั่นล่ะ แต่พวกเขาก็ผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ ไอ้ครั้นจะมากอดหอมหรือบอกรักกันมันก็ไม่ใช่แนวทาง

“เขินกันเหรอเนี่ย” เอสทักเมื่อเห็นทั้งคู่เงียบไป “ไม่เห็นต้องเขินเลย มีพี่น้องแบบนี้ดีออก..พี่โตมาคนเดียวเห็นแบบนี้แล้วก็แอบอิจฉาเหมือนกันนะ”

พอคิดตามที่อีกฝ่ายพูดดูแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งตี๋และเฟยได้รู้ว่าการเติบโตมาด้วยกันนั้นมันดีแค่ไหน พวกเขาทะเลาะกันบ่อยก็จริง..แต่มันก็เป็นเรื่องไร้สาระทั้งนั้น

ต่างคนต่างก็รักอีกฝ่าย..เพียงแค่ไม่บอกกันเท่านั้นเอง
...ปากแข็งด้วยกันทั้งคู่...สมเป็นพี่น้องกันจริง ๆ




TBC…
ถ้ามีโอกาสสักครั้งก็อยากให้ทุกคนลองไปเที่ยวที่บ่อเกลือดูค่ะ
เราไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นสองเดือนกว่า บอกได้เลยว่าอากาศดีมาก ๆ
แต่อย่าไปหน้าฝนนะคะ อันตรายมากค่ะ
 :L2:

หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.15 หน้า 3 [up:05/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-06-2018 00:34:42
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.15 หน้า 3 [up:05/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 06-06-2018 02:04:51
พี่เฟยโอเคแล้ว
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.15 หน้า 3 [up:05/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 06-06-2018 05:43:01
ขอบคุณค่า ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.15 หน้า 3 [up:05/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-06-2018 05:51:53
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.16 หน้า 3 [up:14/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 14-06-2018 21:57:23


16





ขาลงจากบ่อเกลือดีที่ได้ยาแก้เมารถจากเจ้าของรีสอร์ตมาทำให้ตี๋นอนยาวจนถึงที่พักรถในจังหวัดนครสวรรค์ แต่แล้วก็โดนปลุกขึ้นมาซื้อของฝากที่ร้านโมจิชื่อดัง เจ้าตัวตื่นมานั่งหน้ามึนอยู่สักพักโดยมีเอสยืนรออยู่ ในขณะที่คนอื่นไปเดินเลือกซื้อของกันในร้านเรียบร้อยแล้ว

พอตั้งสติได้ก็ไปเลือกซื้อของฝากไปให้ไอ้เพื่อนสองคนนั้น พวกมันจะได้ไม่บ่นว่าของฝากมีแต่เกลือภูเขา ในขณะที่เฟยซื้อไปฝากป๊าม๊าและพวกญาติ ๆ รวมถึงคนที่ทำงาน เรียกได้ว่าจ่ายไปเยอะเลยทีเดียว แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา..ก็ในเมื่อตี๋ยังต้องขอเงินที่บ้านใช้อยู่เลย เขาก็ต้องประหยัดเงินช่วยท่านเอาไว้ก่อน จะให้มาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็จะต้องหาเงินเองให้ได้ก่อนสิ

ในขณะที่เอสก็ซื้อไปเป็นของฝากให้คนในแผนกเพื่อเป็นการสร้างมิตรภาพตามหน้าที่ และที่ลืมไม่ได้ก็คืออาม่าอากงแถวบ้านที่แวะเวียนกันมาคุยกับป๊าเป็นประจำที่บ้าน สิ่งนี้ถือเป็นสินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเขา

เดินเลือกซื้อกันอยู่ประมาณยี่สิบนาทีก็รวมพลกันมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ทางป๊านั้นออกไปยืนรอด้านนอกเรียบร้อยแล้ว พอสามหนุ่มมายืนเรียงกันแบบนี้แล้วก็พานทำให้สาวที่ยืนประจำหน้าเครื่องคิดเงินมองไม่วางตา โดยเฉพาะเอสที่เป็นเป้าสายตาที่สุด เพราะไม่ว่าจะเป็นหน้าตาที่หล่อเหลา รูปร่างที่ดูดี เรียกได้ว่าเป็นที่หมายปองของสาว ๆ ได้เลย

...แต่หารู้ไม่ว่า...คนที่เธอกำลังมองตาเชื่อมอยู่น่ะ
...ไม่ได้ชอบผู้หญิง

“เฟย เอามาจ่ายรวมกับพี่ก็ได้นะ” เอสบอกหลังจากที่เอากล่องขนมจากตี๋มาจ่ายรวมกับของตนเรียบร้อย ตอนแรกตี๋ก็ไม่ยอมหรอก แต่พอโดนคนตรงหน้าบังคับก็เลยต้องจำยอมอย่างช่วยไม่ได้

“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมจ่ายเอง” เฟยปฏิเสธ

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจหรอก” เอสบอกยิ้ม ๆ

“ไม่ได้หรอกพี่ ผมทำงานมีรายได้แล้ว จะไปรบกวนคนอื่นไม่ได้”

พออีกฝ่ายยืนยันหนักแน่นแบบนี้แล้ว เอสก็เข้าใจและปล่อยให้เฟยเป็นฝ่ายคิดเงินและออกไปรอที่นอกร้านก่อน ในขณะที่ถึงคิวเขาคิดเงินเอสก็จับสังเกตว่าพนักงานสาวตรงหน้าเหลือบมองและยิ้มให้เขาหลายรอบแล้ว และก็ทำเป็นคิดเงินช้าราวกับว่าจะถ่วงเวลาอยู่อย่างไรอย่างนั้น

“ไปเที่ยวกันมาเหรอคะ?” พนักงานสาวถามขึ้น

“อ่อ..ครับ” เอสตอบสั้น ๆ เขายิ้มมุมปากหลังจากเหลือบมองคนรักที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กำลังทำหน้าตูมอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก

“น้องชายน่ารักดีนะคะ” หล่อนบอกหัวเราะเบา ๆ อย่างมีจริต
 
หากแต่ถ้ามองดูดี ๆ แล้วก็จะเห็นว่าตี๋นั้นจ้องหล่อนด้วยดวงตาแข็งกร้าว แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงเขาเลยเงียบปากไว้ จะให้ไปด่าทอผู้หญิงที่โปรยเสน่ห์ใส่เอสก็ดูไม่เข้าท่านัก สุดท้ายเลยเลือกที่จะเดินหนีดีกว่าจะได้ไม่อารมณ์เสียไปมากกว่านี้ แต่แขนเรียวกลับโดนมือใหญ่ของอีกคนดึงเอาไว้ก่อน

“อ่า..ขอบคุณครับ” เอสยิ้มตาหยี “แต่คนนี้..แฟนผมครับ ไม่ใช่น้องชาย”

“ขะ- ขอโทษด้วยนะคะ” เธอรีบขอโทษเป็นพัลวัน ก้มหน้าก้มตาคิดเงินให้เสร็จแล้วรีบเอากล่องขนมลงถุง รับเงินจากมือเอสไปก่อนจะทอนเงินโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขาสองคนอีก

“ขอบพระคุณมาก ๆ นะคะ โอกาสหน้าเชิญใหม่ค่ะ”

“ครับ แล้วผมจะมาใหม่นะ” เอสบอกยิ้มบาง ก่อนจะหยิบถุงขนมขึ้นมาหิ้วข้างละสองถุงใหญ่

“อ๊ะ! เดี๋ยวตี๋ช่วย”

เอสส่งถุงให้คนอาสาจะช่วยรับไปถือไว้ ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างฉวยมือขาวขึ้นมากุมเอาไว้แล้วจูงกันออกจากร้านไป ตี๋ก้มหน้างุด เจ้าตัวพยายามกลั้นยิ้มโดยการเม้มปากจนมันเป็นเส้นตรง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะด่าและทุบคนตรงหน้าด้วยกำปั้นไปแล้ว โทษฐานพูดอะไรไม่เข้าท่า แต่หลังจากที่ยอมรับความรู้สึกหลาย ๆ อย่างของตัวเอง ก็ทำให้เขาไม่ว่าหากคนคนนี้จะทำอะไรลงไป เพราะเขารู้ว่าเอสเป็นผู้ใหญ่แล้ว และรู้ว่าอะไรที่สมควรหรือไม่สมควรทำ

หลังจากที่ไตร่ตรองดูหลายอย่างแล้ว เขาก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองนั้นถ้าได้มีแฟนแล้วจะหวงแฟนมากแค่ไหน น่าขำชะมัด...ทั้งที่ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน ก็รู้อยู่หรอกว่าอีกฝ่ายนั้นหน้าตาดี แต่เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่า..เอสนั้นเป็นจุดสนใจมากเพียงใด แล้วยิ่งอีกฝ่ายเป็นคนที่เป็นมิตรกับทุกคนขนาดนี้แล้วด้วย

“เฮ้อ” เจ้าตัวถอนหายใจออกมาเสียงเบาพอที่จะให้ได้ยินแค่คนเดียว

...น่าเบื่อชะมัด

บางครั้งก็เบื่อที่ตัวเองเป็นแบบนี้เหลือเกิน...

เขาไม่ได้อยากจะเป็นคนแบบนี้เลย ไม่อยากจะเป็นคนขี้หวงเหมือนเด็กหวงของแบบนี้ และก็ไม่รู้ว่าถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเขาเป็นแบบนี้แล้วจะคิดยังไงกันนะ





/





ทุกคนกลับมาถึงบ้านในเวลามืดแล้ว การขับรถระยะทางไกลแบบนี้ทำเอาปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัวเลย โชคดีที่ว่าเอสลางานไว้เพิ่มอีกหนึ่งวันเพื่อพักผ่อนเรียบร้อย ไม่อย่างนั้นคงแย่แน่ถ้าต้องไปทำงานทั้งที่ร่างกายไม่พร้อม

เขาจอดรถไว้ที่หน้าบ้านตามเดิม ก่อนหน้านี้เขาอยากจะหาบ้านสักหลังที่มีรั้วรอบขอบชิดแทนที่จะอยู่ตึกแถวแบบนี้ แต่ติดที่ป๊าของเขาอยู่ตรงนี้มานานหลายสิบปีจนท่านคุ้นชินกับการอาศัยอยู่แถวนี้ไปแล้ว ถ้าจะย้ายท่านไปอยู่ที่อื่นเขาเองก็อดที่จะสงสารท่านไม่ได้ เพราะถ้าย้ายไปจากตรงนี้เท่ากับท่านก็อยู่ตัวคนเดียวเลย ไม่มีเพื่อนฝูงคอยแวะเวียนมาพูดคุยด้วยอีก และที่สำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจไม่ย้ายไป คือถ้าเขาทำงานดึกดื่นอย่างน้อยก็ยังคงมีบ้านของตี๋คอยดูแลช่วยท่านแทนเขาอีกแรง พอคิดไปคิดมา..อย่างน้อยอยู่ตรงนี้เขาก็สบายใจมากกว่า ถึงจะไม่ได้อย่างใจก็ตาม แต่เขาก็มองว่าความสะดวกของป๊าต้องมาก่อนเขาเสมอ

“อย่าลืมของกันนะเด็ก ๆ” ป๊าไปยืนบอกสองพี่น้องที่กำลังขนของออกจากหลังรถ และแยกของตนไปกองไว้อีกฝั่ง

“คร้าบ” ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน

พอคัดแยกจนเสร็จแล้ว หลังจากที่เอสเดินไปเปิดประตูบ้านแล้ว ทั้งสองพี่น้องก็ช่วยยกสัมภาระเข้าบ้านไป คนอายุมากเห็นแบบนี้แล้วก็ยิ้มด้วยความเอ็นดูเด็ก ๆ ทั้งสองคนที่เห็นมาแต่อ้อนแต่ออก

“เดี๋ยวผมขอตัวกลับเลยนะครับ” เฟยบอกเจ้าของบ้าน

ท่านพยักหน้า “แล้วตี๋ล่ะ..กลับด้วยเลยไหม?”

เจ้าตัวที่กำลังก้มลงหยิบของที่พื้นเงยหน้าขึ้นมองคนถาม “กลับครับ”

“พรุ่งนี้ค่อยกลับไม่ได้เหรอ?” เอสเดินเข้าไปประชิดพูดเสียงอ้อน หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาหลายวัน พอต้องแยกกันแบบนี้ก็ทำให้อดที่จะรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาไม่ได้

คนน้องขมวดคิ้วมอง “ไม่ได้ เดี๋ยวป๊าว่า”

“เฮ้อ” เจ้าตัวถอนหายใจอย่างเสียดาย “ก็ได้ครับ”

ตี๋มองหน้าคนที่ยืนคอตกตาแป๋ว เขาใช้ความคิดอยู่สักพัก ไหน ๆ พรุ่งนี้ก็ไม่ได้เปิดเทอม ยังมีวันหยุดอีกวัน “เดี๋ยวพรุ่งนี้ตี๋มาหานะ พี่ไม่ไปทำงานนี่”

จากที่เมื่อครู่ยังหน้าเศร้าคอตกเพราะต้องแยกกับตี๋ พอน้องบอกว่าจะมาหาก็ทำเอาเอสดีใจจนเผลอแสดงอาการเหมือนเด็กออกมา

ท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือของเอสเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากคนที่ยืนมองอยู่อย่างป๊าและเฟยได้ดี เจ้าตัวได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ และเกาต้นคอแก้เขิน คนเป็นพ่อรู้ว่าเพราะเอสไว้ใจเฟยแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่แสดงท่าทีแบบนี้ออกมาต่อหน้าอีกฝ่ายหรอก

“ไป เด็ก ๆ กลับบ้านไปได้แล้ว ป่านนี้ป๊ากับม๊าคงรอแกร่วแล้วมั้ง” คนพ่อบอก เพราะนี่ก็ดึกมากแล้วผู้ใหญ่จะได้ไม่ต้องรอนาน

“ไปนะ” ตี๋โบกมือลาเอสยิ้ม ๆ ก่อนจะหันไปบอกลาป๊าต่อ ในขณะที่เฟยยกมือไหว้คนทั้งคู่แล้วเดินกลับบ้านไปพร้อมกับน้องชาย





/





วันต่อมาตี๋นัดเพื่อนให้ไปเจอกันที่ห้างเพื่อที่จะเอาของฝากมาให้ เขาไม่อยากหอบไปให้ที่มหาวิทยาลัย เพราะเดี๋ยวอาจจะโดนเพื่อนคนอื่นถามมากเรื่องอีก ขี้เกียจตอบคำถามเยอะแยะ

วันนี้มีเอสเป็นสารถีขับรถมาส่ง ที่จริงก็ปฏิเสธแล้วว่าเขาไปเองได้ เห็นอีกฝ่ายขับรถมาตั้งไกลก็น่าจะนอนพักอยู่บ้านไป แต่เจ้าตัวก็ยืนยันจะมาให้ได้ท่าเดียว อ้างว่าจะออกไปซื้อของด้วย ตี๋ก็เลยต้องตามใจอย่างช่วยไม่ได้

...แบบนี้เขาก็คงจะอยู่กับไอ้พวกนั้นไม่ได้นานแน่เลย
มาด้วยแบบนี้เดี๋ยวคงจะโดนลากกลับไปนอนกกที่บ้านอีกแหง...

“เครียดเหรอ?” คนที่กำลังขับรถชำเลืองมองคนด้านข้างที่ถอนหายใจออกมาเสียงเบา

“หา? อ๋อ..เปล่าหรอก แค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ” เขาคิดว่าตัวเองถอนหายใจเสียงเบามากแล้วนะ แต่ก็ไม่รอดหูอีกฝ่ายอยู่ดี

“ไม่อยากให้พี่มาด้วยเหรอ?” เอสถาม ใบหน้ามีรอยยิ้มบาง ๆ ประดับอยู่ ที่ถามออกไปเขาเองก็ไม่ได้คิดมากอะไรหรอก ความจริงแล้วมันเป็นคำถามหยั่งเชิงดูท่าทีของตี๋มากกว่า

“ไม่ ๆๆ ตี๋ไม่ได้คิดแบบนั้นนะ” คนน้องปฏิเสธโบกมือเป็นพัลวัน

“แต่...”

“หืม?”

“ตี๋แค่...กลัวจะเคยตัวแล้วติดพี่ไปมากกว่านี้” เจ้าตัวตัดสินใจที่จะบอกออกไปหลังจากคิดมานาน ตี๋เป็นคนคิดมากและคิดนาน เป็นคนที่ใช้ความคิดนานกว่าจะพูดออกจากปากได้ เพราะกลัวผลกระทบที่จะเกิดจากคำพูดของตัวเอง “แล้วยิ่งติดมาก ตี๋ก็จะยิ่งหวงพี่มาก ก็กลัวว่าพี่จะรำคาญเอาน่ะ”

เอสยิ้มออกมาด้วยความยินดี

“ทำไมถึงกลัวว่าพี่จะรำคาญล่ะ?” เขาย้อนถาม

“...ไม่รู้สิ”

เขาหัวเราะในลำคอด้วยความเอ็นดูคนด้านข้าง “วันหลังถ้ามีอะไรในใจก็ถามพี่นะไม่ต้องไปคิดเองเออเองรู้ไหม”

ตี๋พยักหน้าหงึก “...รู้แล้ว”

...แต่จะทำหรือเปล่าก็อีกเรื่องนะ...เด็กดื้อคิดในใจ

“พี่รักเรานะ” เอสเอื้อมไปดึงมือขาวที่กำลังแคะเล็บด้วยความประหม่าออกจากกัน เอามากุมเอาไว้บนหน้าขาของตัวเอง “อย่าคิดเอาเองว่าพี่จะเบื่อหรือรำคาญเรา เราจะหึงจะหวงพี่ก็ทำได้เต็มที่เลย เรามีสิทธิ์ในตัวพี่เต็มร้อยจะทำอะไรก็ไม่ต้องกลัวหรอก พี่ชอบเสียอีกที่เราหวงพี่ เพราะงั้นอยากทำอะไรหรือรู้สึกแบบไหนเราทำได้เต็มที่เลยนะ รู้ไหม?”

ตี๋เม้มปากตอบ “อื้อ”

“รู้ หรือ เปล่า” เขาเน้นย้ำทีละคำ คนอย่างตี๋เนี่ยต้องคอยบอกย้ำให้บ่อย ๆ ไม่อย่างนั้นก็ชอบคิดอะไรไปเรื่อย ซึ่งบางทีก็ไม่เข้าท่านัก แล้วก็ชอบเก็บไว้ในใจไม่บอกใครอีก

“รู้แล้วโว้ยยย” เจ้าตัวเริ่มโวยวายกลบอาการเขินของตัวเอง

“รู้ว่าอะไร” เอสถามหันไปมองดวงหน้าคนด้านข้างสายตาหวานเยิ้ม

“รู้- รู้ว่า พี่...แม่งน่ารำคาญไงล่ะวะ” อึกอักอยู่สักหน่อย แต่เขาก็คิดได้ว่าไม่ควรจะปล่อยให้ไอ้พี่เอสนี่ได้ใจมากจนเกินไป เลยดึงมือออกจากมือใหญ่แล้วตอกอีกฝ่ายไปหวังให้หน้าหงาย แต่ที่ได้รับกลับมาดันเป็นเสียงหัวเราะซะอย่างนั้น

อีกฝ่ายไม่ได้ตอบโต้อะไร กลับขับรถต่อไปอย่างอารมณ์ดี เพราะเขารู้ว่าถึงตี๋จะด่าหรือโวยวายยังไง แต่ในใจมันไม่ใช่อย่างที่ปากว่าออกมาหรอก เรียกว่าเป็นคนที่เวลาเขินจะกลบเกลื่อนโดยการด่าและโวยวายเป็นส่วนใหญ่ นาน ๆ จะมีเขินแล้วเข้ามาอ้อนสักครั้ง แต่ไม่ว่าตี๋จะเป็นแบบไหนเขาก็รักทั้งนั้นล่ะ

ก็อย่างว่า...เขารักของเขามาตั้งแต่เด็กนี่นา





/





พอถึงที่หมายเอสก็ขอแยกตัวไปทำธุระของตัวเอง ปล่อยให้ตี๋ไปหาเพื่อนที่นัดกันไว้ ที่เขาตามมาด้วยก็เพราะว่าจะมาดูหนังสือออกใหม่ไว้ให้ป๊าอ่านเวลาว่างด้วยนี่แหละ อันที่จริงแล้วถ้าน้องไม่ออกมาหาเพื่อนเขาก็จะชวนให้ออกมาด้วยกันอยู่แล้ว

คนตัวขาวเดินหิ้วถุงเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง เขานัดพวกมันให้มาเจอกันที่นี่ แต่เพราะตื่นสายเขาเลยมาเป็นคนสุดท้าย พวกมันเห็นหน้าเขาก็รุมด่ากันใหญ่จนสำนึกผิดไม่ทันเลยทีเดียว พอยื่นของฝากให้เท่านั้นแหละถึงจะหยุดกันได้

“นี่อะไรวะ?” ภาคหยิบขึ้นมาดู “สปาเกลือขัดผิว! ซื้อมาทำเหี้ยไรเนี่ย”

“ก็กูเห็นหน้ามึงมันหนา..เลยว่าจะไว้ให้มึงขัดหน้าไง”

“สัด”

กลอยหยิบเกลือถุงใหญ่ขึ้นมาโยนกะน้ำหนักดู “ซื้อเกลือมาให้เป็นกิโลเลยว่ะ”

“ปกติเกลือภูเขามันไม่มีไอโอดีนนะ แต่นี่ไม่ต้องกลัวว่าจะขาดไอโอดีนเลยมึง เขาเติมมาให้เรียบร้อย” ตี๋บรรยายสรรพคุณตามที่ป้าคนขายบอกมาเป๊ะ ๆ

“เออ ขอบใจ” กลอยพูดหัวเราะ

“แล้วของฝากจากบ่อเกลือไม่มีอย่างอื่นอีกเหรอวะ?” ภาคถามคุ้ยดูของในถุง ที่นอกจากเกลือและโมจิก็ไม่เห็นมีอะไรอีก

“มีพวกของป่าอะ พวกเขียดพวกหมูป่า คิดว่าซื้อมาก็ไม่มีคนกินเลยไม่ซื้อมาดีกว่า” พูดไปก็เห็นพวกมันทำหน้าแหยะ ๆ แล้วเขาก็หัวเราะออกมา

“มึงกินไรมายัง?” กลอยถาม ตี๋ส่ายหัวดิก “งั้นสั่งไรกินดิ” เขายกมือขึ้นเรียกพนักงาน

“ไปดูหนังกันต่อไหมวะ?” ภาคถามขณะที่ตี๋กำลังก้มดูเมนูแล้วบอกพนักงานที่มายืนรับอาหาร เขายื่นเมนูคืนแล้วหันมาตอบคำถามของเพื่อน

“ไม่ว่ะ” เจ้าตัวยกน้ำขึ้นจิบ “กูมากับพี่เอส ไม่อยากให้เขารอนาน”

“ง่อววววววว” ภาคกับกลอยแท็กทีมส่งเสียงแซว

“ง่อวพ่อมึงสิ”

“เหม็นฟามรักว่ะ” ภาคย่นจมูก

“อิจฉาคนมีคู่จัง” กลอยแท็กมือกับภาคหัวเราะกันก๊าก

“พวกมึงจะไม่หยุด?”

“โอ๋ ๆ อย่างอนไปเลยจ้ะพ่อ” กลอยดึงตัวเพื่อนที่กำลังจะลุกหนีให้นั่งลงที่เดิม

“ไม่แซวแล้วเด้อ”

“สัด” ตี๋ด่าหน้านิ่วคิ้วขมวด “ว่าจะเล่าอะไรให้ฟังสักหน่อย”

“อะไร ๆๆ” ภาคถามตาโต

“เออ มีอะไรคืบหน้าหรือไง?” กลอยถามคีบซูชิบนโต๊ะเข้าปากเคี้ยวต่อ

“เออดิ พี่กูรู้เรื่องแล้วนะ”

“หา?!” ภาคร้อง

“เรื่อง?” กลอยยังไม่ค่อยเข้าใจนัก

“ก็เรื่องที่กูคบกับพี่เอสเนี่ยสิ” พอตี๋พูดจบ เพื่อนทั้งสองคนนั่งเงียบอย่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อดีเลย เพราะต่างก็รู้ว่าเฟยเป็นพี่ชายที่โหดพอสมควร คนที่จะต่อกรกับเฮียแกได้ก็มีแต่ไอ้ตี๋กับป๊ามันเนี่ยแหละ แล้วถ้ารู้ว่าน้องชายคบกับผู้ชายด้วยกัน ผลมันจะเป็นยังไงกันล่ะเนี่ย

“พวกมึงเป็นเหี้ยไรกัน” ตี๋ขมวดคิ้วถาม

“เอ่อ กูควรจะรีแอคชั่นให้มึงแบบไหนดีวะ?” กลอยบอก “เอาแบบ...เฮ้ย! แล้วพี่มึงว่ายังไงวะ? แบบนี้ได้มะ”

“ไอ้ควาย...เว่อร์!!” เขาผลักหัวมันเบา ๆ “ผิดคาดฉิบหายอะ ตอนแรกกูคิดว่ามันจะด่าที่กูไปคบผู้ชายเหมือนกันแล้วเข้าไปหาเรื่องพี่เอส มันไม่ว่าอะไรสักคำเลยว่ะ แถมยังฝากฝังกูกับพี่เอสอีก”

เจ้าตัวหยุดพูดเพราะอาหารมาเสิร์ฟพอดี

“โคตรไม่น่าเชื่อ” ภาคบอกทำสีหน้าอึ้งไม่แพ้กับกลอยที่มองเพื่อนรักอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

“ตั้งแต่เกิดมามันไม่เคยบอกว่ารักกูมาก่อนเลยนะโว้ย ไม่รู้ตอนนั้นตัวห่าอะไรเข้าสิงมันหรือเปล่า”

“ก็ว่าไป พี่มึงเขารักมึงจริง ๆ ไม่งั้นเขาไม่ยอมมึงขนาดนี้หรอก” กลอยว่า “คนอย่างพี่มึงเคยยอมใครด้วยเหรอ?”

ตี๋ครุ่นคิด “นอกจากป๊าแล้วก็ไม่มีนะ”

“เขายอมมึงด้วย”

“ตรงไหนวะ ก็ทะเลาะกันอยู่ทุกวัน”

“แต่มันก็เป็นการทะเลาะกันเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งปะวะ”

เจ้าตัวหุบปากฉับไม่เถียงกลอยอีก ที่มันพูดก็ถูกของมัน เขายอมรับและไม่เถียงอีก ถึงแม้ว่าหน้าตาของเขากับพี่ชายจะเหมือนกันราวกับฝาแฝดแต่เฟยมันนิสัยคนละขั้วกับเขาเลยก็ว่าได้

“ใครแม่งเขาให้พูดเรื่องขี้ ๆ ตอนกินกันวะ” ตี๋พูดงึมงำในลำคอ เอาช้อนตักข้าวแกงกะหรี่เข้าปาก พวกเขานั่งคุยกันต่ออีกพักหนึ่งก็แยกตัวกันไป พวกมันสองคนก็ไปดูหนังกัน ส่วนเขาแยกออกมาไปหาพี่เอสที่ร้านหนังสือ

เข้ามาที่ร้านเขาก็สอดส่ายสายตามองหา โชคดีที่อีกฝ่ายตัวสูงและค่อนข้างเด่นเลยมองหาง่าย ซึ่งไอ้ตรงนี้นี่แหละที่เขาไม่ชอบใจนักเวลาที่มีใครมาสนใจคนรักของเขา บางครั้งเวลาเห็นอีกฝ่ายแต่งตัวดีทำผมเนี้ยบ เขานี่อยากจะเข้าไปเอามือขยี้ผมให้มันยุ่งเหยิงซะ

...มันเขี้ยวว้อย...

เจ้าตัวเดินไปหาคนที่กำลังมีสมาธิกับการอ่านหนังสือจนไม่รู้สึกตัวว่าเขาเดินมายืนอยู่ข้าง ๆ แล้ว ตี๋เดินเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่ายจนแทบจะสิงกันแล้วกระซิบเสียงเบาที่พอจะได้ยินกันแค่สองคน

“เลือกได้หรือยังเนี่ย?”

เอสสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่รู้สึกว่าโดนเบียด แต่พอหันมาเห็นว่าเป็นคนรักก็ฉีกยิ้มกว้าง “เลือกได้เป็นตั้งแล้ว พี่ฝากไว้ที่แคชเชียร์น่ะ”

คนน้องยิ้มให้ “แล้วนี่กินอะไรยัง? หิวไหม?”

“หิวนิดหน่อย”

“งั้นไปหาอะไรกินกัน” ตี๋บอก ที่กินกับเพื่อนไปเมื่อกี้นี้มันก็แค่ส่วนหนึ่งของกระเพาะ เขารู้ว่าต้องเก็บท้องมากินกับอีกฝ่ายเลยกินไปแค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง ยังไม่ครึ่งท้องเลยด้วยซ้ำ

“เราอยากกินอะไรล่ะ?” เอสถามเดินนำไปคิดเงินค่าหนังสือก่อน

“ตามใจพี่เลย” ตี๋บอก ปกติแล้วอีกฝ่ายจะตามใจเขาตลอด คราวนี้เขาอยากจะเป็นฝ่ายนั้นดูบ้าง

“หืม?” เอสเอียงคออย่างแปลกใจ “วันนี้มีตามใจพี่ด้วย”

“นาน ๆ ที” เจ้าตัวส่งยิ้มให้ “ไม่ชอบเหรอ?”

“ชอบสิ” คนพี่ยกมือขึ้นขยี้ผมน้องเบา ๆ ก่อนจะหันไปจ่ายเงินค่าหนังสือที่เสียไปหลายพันอยู่ หันมาก็เจอกับพนักงานที่จ้องเขาทั้งคู่ตาแป๋ว ทำเอาตี๋รู้สึกเก้อเขินไปเหมือนกัน เลยขอออกไปรอข้างนอกดีกว่า

เอสเดินออกมายกแขนขึ้นกอดคอให้ตี๋เดินตามมา “กินสเต๊กไหม?”

“เอา ๆๆ”

นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่ข้างนอกล่ะก็เขาคงจะฟัดแก้มขาวตรงหน้านี่ไปแล้ว ทำไมต้องทำตัวน่ารักขนาดนี้ ยิ่งนานวันตี๋ยิ่งทำตัวน่ารักมากขึ้นเรื่อย ๆ แค่นี้เขาเองก็หลงจะแย่อยู่แล้วแท้ ๆ

ทั้งสองคนใช้เวลากินสเต๊กกันไม่นาน เพราะไม่รู้จะไปไหนต่อก็เลยเลือกที่จะกลับบ้านกันดีกว่า จะได้ให้คนที่พรุ่งนี้ต้องไปทำงานพักผ่อนต่อ ถึงแม้ว่าพี่เอสจะเป็นคนที่แข็งแรงมากก็เถอะ เขาก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี คนคนนี้แบกรับหน้าที่อะไรหลายอย่างไว้มากมาย แล้วยังเป็นคนไม่ปล่อยวางอะไรง่าย ๆ อีก ดูจากภายนอกอีกฝ่ายอาจดูเป็นคนสบาย ๆ แต่ลึกเข้าไปแล้วใครจะรู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เขากลัวว่าอีกคนจะเกิดความเครียดสะสมไม่รู้ตัว เพราะแบบนี้อะไรที่เขาทำหรือช่วยได้เขาก็ทำ

บรรยากาศในรถระหว่างคนทั้งคู่ก็ยังคงเงียบเหมือนเดิม ที่จริงทั้งเอสและตี๋ก็ไม่ได้เป็นคนที่พูดเก่งนัก เวลาอยู่ด้วยกันก็จะต่างคนต่างอยู่ในความเงียบเสียเป็นส่วนใหญ่

“แล้วนี่เปิดเทอมวันไหนเหรอ?” เอสถามขึ้น

“หือ” คนถูกถามเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ “จันทร์หน้าอะ”

“เข้าเช้าหรือเปล่า?” ตี๋พยักหน้าตอบ “ให้พี่ไปส่งไหม?”

เจ้าตัวย่นจมูก “ไม่ต้องหรอก เสียเวลา”

“ก็ถามไปงั้น” คนพี่ไหวไหล่ เขารู้อยู่แล้วว่าตี๋จะต้องตอบแบบนี้ อันที่จริงที่ทำงานเขากับมหาวิทยาลัยของตี๋ก็ไม่ได้ไปทางเดียวกันหรอก  จะไปรับไปส่งมันก็ไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น แต่เขาไม่อยากจะทำให้ตี๋รู้สึกไม่ค่อยดี เพราะเจ้าตัวเคยบอกเอาไว้ว่า ‘พี่ไม่ต้องไปรับไปส่งทุกวันหรอก ตี๋ดูแลตัวเองได้ ไม่ได้เป็นผู้หญิงสักหน่อย’

เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้น้องคิดแบบนั้น ที่ทำไปทั้งหมดก็แค่อยากจะอยู่ด้วยกันให้มากขึ้นเท่านั้นเอง

“ก็อย่างที่เคยบอกไง ถ้าอยากให้ไปรับเดี๋ยวตี๋โทรเรียกเอง”

เขาหัวเราในลำคอ “จ้า”

“จ้าอะไร”

“ก็เชื่อฟังไงครับ”

“จะเชื่อฟังทำไม?” ตี๋เอียงคอคิ้วขมวดอย่างไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายพูดแม้แต่นิด เอสเหลือบมองคนข้างกายนิดหน่อยก่อนจะหันไปสนใจทางข้างหน้าต่อ ริมฝีปากแย้มยิ้มเล็กน้อย

“เชื่อฟังว่าที่ภรรยามันผิดตรงไหนล่ะ”

สิ้นสุดคำตอบของเอส คนที่รอฟังด้วยความตั้งใจอย่างตี๋ถึงกับอยากจะยกมือขึ้นไปชกคนข้าง ๆ ซะ แต่ก็ทำได้แค่ยกค้างไว้ พร้อมกับใบหน้าแดงแจ๋

“แปลกแฮะ...รอบนี้ไม่ด่า” พึมพำอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้กลัวจะโดนทำร้ายร่างกายแม้แต่น้อย “ยอมรับแล้วเหรอ?”

“ยอมรับบ้าอะไรล่ะ!! แค่ไม่รู้ว่าจะด่าอะไรดีต่างหากล่ะโว้ยยย!!”

คนพี่หัวเราะร่าด้วยความชอบใจหลังจากที่โดนตี๋โวยวายใส่

“หรือเราจะเป็นฝ่ายสามี? แย่หน่อยนะ..พี่คงให้เป็นไม่ได้”

“มันไม่ใช่ประเด็นนั้นเหรอวะ!”

“อ้าว! แสดงว่ายอมเป็นเมียพี่แล้วสิ” เขาพูดน้ำเสียงหยอกเย้า

ตี๋คว้าต้นคอของคนที่กำลังหัวเราะอย่างอารมณ์ดีไว้ให้มั่นออกแรงบีบเล็กน้อยพอให้รู้ว่าเขาไม่พอใจก่อนจะพูด “รู้ไหม...ถ้าพี่แม่งอายุเท่าตี๋นะ โดนตี๋กระโดดถีบไปแล้ว”

“อ่า..แหม ขอโทษนะ”

เจ้าตัวถอนหายใจหนัก ๆ หนึ่งที “ก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอก”

“แต่พี่พูดจริงนะเรื่องที่อยากจะได้เราเป็นเมียน่ะ”

ตี๋หลับตาลงอย่างหนักใจ “เออ รู้แล้วน่า”

เขาแค่ยังต้องขอเวลาเตรียมตัวเตรียมใจอีกสักพัก เซ็กซ์กับผู้ชาย...ไม่ใช่สิ่งที่เคยนึกคิด กลัวว่าพอถึงเวลาจริง ๆ แล้วเกิดมันทำไมได้ขึ้นมา มันจะทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายขนาดไหน เขาเลยไม่อยากทำในตอนที่ยังไม่พร้อม

“พี่อาจจะดูเหมือนเร่งรัดแต่พี่รอได้นะ..รอเก่งด้วย”

ตี๋เอียงหน้าหันไปมองคนขับรถ สายตาฉายแววเอ็นดูอีกฝ่ายอย่างปิดไม่มิด ทำไมถึงขยันทำให้เขาใจอ่อนอยู่เรื่อย แต่ขอโทษทีเถอะ...เรื่องนี้เขาขอใจแข็งไว้สักเรื่องนะ




TBC…
ความสัมพันธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป
ไม่ชิงสุกก่อนห่าม  แต่อิพี่เอสจะเฉาตายคาต้นมั้ยน้อ 555555
 :L2:


หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.16 หน้า 3 [up:14/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-06-2018 22:23:25
 :laugh:

เข้าประเด็ด และตรงประเด็นมาก
ชอบตี๋
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.16 หน้า 3 [up:14/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-06-2018 01:48:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.16 หน้า 3 [up:14/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 15-06-2018 01:57:42
พี่เอสรอต่อไป รอว่าที่เมียพร้อม 
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.16 หน้า 3 [up:14/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 15-06-2018 04:29:23
น่ารักมากจ้า
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.16 หน้า 3 [up:14/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-06-2018 09:29:15
พี่เอส ขยันหยอด พูดให้ใจตี๋อ่อน
แบบ  “พี่อาจจะดูเหมือนเร่งรัดแต่พี่รอได้นะ..รอเก่งด้วย”

พี่เอส น่ารัก อบอุ่น ตามใจตี๋จริงๆ   :mew1:
พี่เอส  ตี๋   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.17 หน้า 3 [up:19/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 19-06-2018 17:02:20


17

   


พอเปิดเทอมก็เป็นไปอย่างที่คาดหมายเอาไว้ งานที่อาจารย์ให้มาเยอะเป็นภูเขาเลากาจนตี๋แทบจะกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ แต่ต้องขอบคุณที่เจ้าตัวจัดการเวลาเก่งเลยทำให้ยังมีเวลาให้เอสอยู่บ้าง พักหลังนี้ถึงขนาดหอบงานมาทำที่บ้านเขาเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ห้องเขาเลยรกเหมือนเป็นสนามรบย่อม ๆ กองงานทุกอย่างวางอยู่บนที่นอนจนตอนนี้ต้องระเห็จมานอนที่พื้นอย่างช่วยไม่ได้
   
“วันนี้นอนไหนเหรอ?” เอสที่ไปรับน้องถึงมหาวิทยาลัยเอ่ยถามขึ้น เพราะช่วงนี้เนื่องจากอีกฝ่ายมาทำงานที่บ้านเขา พอดึกมาก ๆ ก็นอนค้างซะเลย ช่วงนี้กลายเป็นว่าตี๋อยู่ที่บ้านเขาแทบทั้งอาทิตย์
   
“บ้านมั่งเหอะ เดี๋ยวป๊าจะด่าเอา”
   
เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะพึมพำ “นั่นสิเนอะ”
   
เพราะทั้งป๊าและม๊าของตี๋ต่างก็ยังไม่รู้ว่าลูกชายคนเล็กของตนคบอยู่กับเขาที่ก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน เขาเดาไม่ออกเลยว่าถ้าพวกท่านรู้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่ถ้าถามว่าเขากลัวหรือเปล่า...ก็ตอบได้เลยว่าไม่
   
ตอนเฟยนั้นเขาก็รู้ตัวอยู่หรอกว่าอีกฝ่ายมาด้วยสาเหตุอะไร ดูได้จากสายตาที่คอยจ้องมองทั้งเขาและตี๋แบบอยากรู้อยากเห็น เขาเลยแสดงออกไปให้ได้รู้เลย พอมาย้อนคิดดูแล้วทำแบบนั้นออกไปก็ถือว่าเสี่ยงเหมือนกัน เพราะถ้าโชคไม่ดีเขาคงไม่ได้อยู่ดีแบบนี้หรอก แต่เฟยก็เป็นคนสมัยใหม่ที่เข้าใจอะไรได้ง่าย แต่ป๊ากับม๊าของตี๋นี่สิ...
   
“เฮ้” พอเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน ตี๋ก็เลยเรียก พี่เอสหันมามองเขานิดหน่อยแล้วก็หันไปตั้งใจมองทางข้างหน้าต่อ
   
“มีอะไรเหรอ?” เอสถาม
   
“ตี๋สิต้องถามพี่...คิดมากหรือไง?”
   
เขายิ้มอ่อนก่อนจะตอบเสียงเรียบ “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
   
“ตี๋รู้ว่าพี่คิดมาก” เจ้าตัวพูด “แต่ตี๋อยากให้พี่รู้..ไม่ว่ายังไงตี๋ก็จะไม่ทิ้งพี่เด็ดขาด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น..ตี๋ก็จะยังอยู่ข้างพี่นะ”
   
“ขอบคุณครับ” เขายกมือขึ้นโยกหัวคนรักที่นั่งเอียงตัวหันมาทางเขา พูดจาน่ารักด้วยใบหน้าน่ารักแบบนี้ เห็นแล้วอยากเข้าไปขย้ำชะมัด
   
“พูดอย่างกับว่าพี่จะปล่อยเราไป” ตนหัวเราะหึในลำคอ “พ่อตาก็พ่อตาเถอะ”
   
“ไอ้เลว...พ่อตาบ้าอะไรวะ” ตี๋อดไม่ได้ที่จะทุบเข้าที่แขนของเขา แต่ก็เพียงแค่เบา ๆ ไม่ได้แรงอะไร
   
“เอ้า พ่อเมียไม่ให้เรียกว่าพ่อตาแล้วจะให้เรียกอะไรล่ะ”

เอสพูดกลั้วหัวเราะ สนุกทุกครั้งที่ได้แหย่คนข้าง ๆ ให้หงุดหงิด สงสัยว่าเขาต้องโรคจิตแน่ ๆ เลยที่ชอบทำให้อีกฝ่ายเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย เพราะรู้สึกว่ามันตลกดี

“ยังไม่ได้ตกลงเรื่องตำแหน่งโว้ย”

“ก็บอกแล้วไงว่าพี่ไม่ยอม”

“แล้วคิดว่าตี๋จะยอมหรือไงเล่า!”

เอสยักไหล่ “ก็ไม่รู้สิ” เขาไม่ได้รู้สึกกังวลเลยด้วยซ้ำ เพราะถ้าถึงเวลานั้นขึ้นมา ยังไงเขาก็มีวิธีที่จัดการทำให้ตี๋ยอมเขาโดยละม่อมได้ก็แล้วกัน

“ถึงเวลานั้นเดี๋ยวก็รู้เอง” เอสบอกยิ้มน้อย ๆ

“ฮึยยยยย” มือขาวยกขึ้นบีบต้นคออีกฝ่ายแรงจนเจ้าตัวร้องโอ๊ย

“พี่เจ็บน้า~”

“สมน้ำหน้า”

และเพราะตี๋เป็นคนที่ยุขึ้นแบบนี้ กว่าจะถึงบ้านได้ทั้งคู่ก็เถียงกันแบบนี้ไปตลอดทาง



/



“กลับบ้านเป็นด้วย?”

พอลูกชายคนเล็กเดินเข้าบ้าน คนเป็นพ่อก็ส่งเสียงทักทาย แต่ออกแนวจิกกัดประชดประชันอีกฝ่ายมากกว่า

“ตี๋มีบ้านนะ ก็ต้องกลับสิ” เจ้าตัวว่าก่อนจะเดินเข้าไปนั่งเบียดคนเป็นแม่บนโซฟา แขนยาวกอดเอวบางของท่านก่อนจะหอมแก้มอย่างออดอ้อนตามปกติของเจ้าตัว “คิดถึงม๊าจังเลย”

ม๊าดึงศีรษะของลูกชายให้ก้มลงมาหอม ก่อนจะถาม “กินข้าวมาหรือยังครับ?”

“ยังเลย”

ป๊าเหลือบมองไอ้ตัวดีที่ตั้งแต่เปิดเทอมนี่กลับบ้านนับวันได้อย่างหมั่นไส้ เขาส่งเสียง ‘เหอะ’ ออกมาก่อนจะพูด “ไม่มีข้าวให้กินเว้ย”

“เอ๊ะ! เฮียก็อย่าทำแบบนี้สิ” มือขาวฟาดลงกับขาของคนที่นั่งอีกฝั่ง โทษฐานเอ็ดลูกชายของเธอจนหน้างอ “ไปลูก เดี๋ยวม๊าอุ่นให้กินนะ”

ตี๋ยิ้มให้ม๊าจนหน้าบานแล้วเดินตามไปในครัวอย่างว่าง่าย

“เฟยมันยังไม่กลับเหรอม๊า?” เขามองนาฬิกาที่ตอนนี้ก็สามทุ่มกว่าแล้ว แต่กลับยังไม่เห็นหน้าพี่ชายคนเดียวเลย

“วันนี้เห็นว่ามีกินเลี้ยงที่บริษัทน่ะจ้ะ”

“อ๋อ” ตี๋ครางในลำคอเป็นอันรับรู้

“ว่าแต่เราเถอะ ไปกวนพี่เขาที่บ้านหรือเปล่า”

“หื้อ” ลูกชายร้อง “ไม่ได้กวนสักหน่อย ตี๋ทำงานต่างหาก”

“ไปบ้านเขาก็อย่าอยู่เฉย ๆ นะครับ”

ตี๋พยักหน้ายิ้ม ไปที่นั่นเขามีหน้าที่ตั้งเยอะ ไหนจะคุยเป็นเพื่อนป๊า คอยดูแลท่าน ไหนจะคนลูกที่เอาเวลาแทบทั้งหมดของเขาไปหมดแล้ว ดีที่ฝ่ายนั้นเป็นผู้ใหญ่พอไม่งี่เง่าเวลาที่ตนทำงานเยอะจนไม่มีเวลาไปคลุกอยู่ด้วยมากเหมือนตอนปิดเทอม อีกอย่างคือตอนนี้ทางนั้นก็งานหนักไม่แพ้กัน เห็นว่าเขียนโค้ตโปรแกรมเท่าไหร่ก็ไม่ผ่านสักที หนัก ๆ เข้าก็เห็นว่าไปทำงานต่อในความฝันได้หน้าตาเฉย

เขาใช้เวลากินข้าวไม่นานก็ออกไปนอนหนุนตักเอาหน้าซุกท้องม๊าบนโซฟาเพื่อให้ท่านปั่นหูให้

“โตเป็นควายแล้วยังอ้อนเป็นเด็ก ๆ ไปได้” คนเป็นพ่อแขวะเข้าให้ แต่ลูกชายก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะก็โดนว่าแบบนี้อยู่บ่อย ๆ จนชินซะแล้ว ป๊าเหลือบมองมันอย่างครุ่นคิด จะว่าเขาคิดมากเกินไปก็ได้ แต่จากเซนส์ของเขาแล้วไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าอะไร ๆ มันดูผิดปกติชอบกล

ลูกชายคนเล็กของเขาจากที่เป็นเด็กติดบ้านและไม่ชอบไปค้างที่อื่น ทุกวันนี้เรียกว่าแทบจะไปนอนบ้านของเอสทุกวัน ถึงแม้ว่าจะกลับมากินข้าวที่บ้านให้ได้เห็นหน้าอยู่บ่อย ๆ ก็ตาม เขารู้และเข้าใจดีเรื่องที่เด็กผู้ชายมักจะติดเพื่อนมากกว่าเด็กผู้หญิงเลยไม่ได้สงสัยอะไร แต่ลูกชายของเขากลับบอกว่าให้เอสคอยช่วยทำงานของมหาวิทยาลัยจะได้ไม่เหนื่อย

...น่าแปลก ตี๋มันไม่เคยให้ใครช่วยงานมันเลยสักคน ขนาดพี่ชายของมันเองอาสาจะช่วยมันยังไม่ยอมเลย

ไอ้เรื่องที่จะให้อีกคนช่วยมันจะเป็นไปได้ยังไงกัน...

แต่คิดอีกทีเขาคงจะแค่คิดมากเกินไปก็ได้ ทั้งคู่สนิทสนมกันมาแต่เล็กแต่น้อย เรื่องพวกนี้ก็น่าจะเป็นปกติทั่วไปล่ะมั้ง

ไม่นานนักเฟยก็กลับมาถึงบ้านด้วยสภาพอิดโรย ลูกชายคนโตทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาก่อนจะคลายเนกไทและกระดุมออก

“กินอิ่มไหมลูก?” ม๊าเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน รู้ว่าเฟยไปกินเลี้ยงกับบริษัทมา แต่ไม่รู้กับข้าวจะถูกปากลูกหรือเปล่า เนื่องจากเฟยเป็นคนที่เลือกกินมาก น่าแปลกตรงที่คนน้องกลับผอมกว่าทั้งที่กินเก่งกว่านี่สิ

“ไม่ค่อยอะม๊า มีแต่อะไรก็ไม่รู้ให้กิน เฟยไม่ชอบ” ตอบสีหน้าเซ็ง

“งั้นเดี๋ยวม๊าไปอุ่นข้าวให้นะครับ”

พอคนเป็นแม่ทำท่าจะลุกขึ้นยืนตี๋ที่นอนหนุนตักอยู่ก็กอดเอวเอาไว้แน่นไม่ยอมให้ลุก

“ให้มันไปอุ่นเองดิม๊า” เจ้าตัวโวย

“พี่เขากลับมาเหนื่อย ๆ นะครับ ไม่งี่เง่าสิ”

พี่ชายหมั่นไส้เลยยกเอาเท้าถีบก้นน้องไปที เจ้าตัวสะดุ้งลุกขึ้นนั่งหันมาโวยวายใหญ่ แต่เฟยก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่ โดยมีคนเป็นพ่อนั่งหัวเราะด้วยความตลก

“ม๊าดูป๊ากับไอ้เฟยสิ!”

“นิดหน่อยเอง” เธอปรามเสียงอ่อนพร้อมกับยิ้มเอ็นดู “ไปอุ่นกับข้าวช่วยม๊าหน่อยสิ..นะ”

ตี๋มองคนเป็นแม่หน้างอ “ก็ได้ครับ”

สงครามเป็นอันว่าสิ้นสุดลงที่ตรงตี๋เดินตามม๊าเข้าไปในครัว ก่อนจะไปยังหันมาทำปากขมุบขมิบด่าพี่ชายอีก ที่ไม่กล้าด่าเขาแบบมีเสียงก็เพราะกลัวว่าจะโดนม๊าเอ็ด ไอ้นี่มันเด็กติดแม่ชัด ๆ เชื่อฟังคำพูดของม๊าที่สุดในบ้านแล้ว อ่อ...ไม่นับรวมพี่เอสแฟนของมันอะนะ

“งานเป็นยังไงบ้าง?” ป๊าถามขึ้นเนื่องจากเห็นหน้าตาลูกชายคนโตดูอ่อนล้ามาก

“งานไม่หนักหรอกป๊า แต่ลูกค้านี่สิเรื่องมาก”

เฟยทำงานในตำแหน่งล่ามภาษาจีนในโรงงาน ซึ่งก็มีหน้าที่หลายอย่าง ทั้งแปลเอกสาร แปลในที่ประชุม รวมถึงแปลในสายการผลิต ตอนที่เข้าไปก็ต้องเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ทั้งหมด เพราะถ้าเราช้าเราก็จะโดนกดดัน บอกตามตรงคือตอนนี้เขาเหนื่อยมาก เงินเดือนก็ไม่ได้เยอะแยะอะไรด้วยถ้าเทียบกับความเหนื่อยและความกดดันที่ต้องทนให้ได้

“ลองหาอะไรใหม่ ๆ ทำดูสิ”

ที่จริงเขาก็มีคิดไว้บ้างแล้วว่าอยากจะออกมาดูแลร้านแทนป๊ากับม๊า แล้วก็อาจจะมีรับงานแปลไปด้วย ถ้ามีงานล่ามฟรีแลนซ์เข้ามาก็อาจจะรับเป็นงาน ๆ ไป

“ค่อย ๆ คิด...ไม่ต้องเครียดหรอก”

เฟยหันไปยิ้มให้คนเป็นพ่อ “ครับ”

ตี๋เดินออกมาจากหลังบ้านพร้อมกับจานข้าวที่ราดกับข้าวออกมาให้แล้วเรียบร้อย เจ้าตัวยื่นให้พี่ชาย “แดกซะ”

“ขอบใจจ้ะ...น้องรัก” พูดด้วยน้ำเสียงที่คิดว่ากวนประสาทน้องชายและก็ได้ผล ตี๋มันหันมาถลึงตาใส่ ดูตลกจนเขาเองหัวเราะออกมา “ขอบคุณแล้วทำไมต้องโมโหด้วยล่ะ”

“กวนตีน”

“อย่าว่าเฮียสิ” ป๊าบอกในขณะที่สายตาก็ยังคงจ้องทีวี

น้องเล็กได้แต่กลอกตา ก่อนจะตัดสินใจขึ้นห้องตัวเองไปดีกว่า เบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียงด้วยแล้ว ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านเขาก็เพิ่งจะหยิบมือถือขึ้นมาดูหลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้วล้มตัวนอนลงบนเตียงนี่แหละ เวลาก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มนิด ๆ กับข้อความจากคนรักอีกนิดหน่อย

เป็นคำถามทั่ว ๆ ไป อย่างเช่นกินข้าวหรือยัง? ทำอะไรอยู่? เขาทั้งคู่ไม่ค่อยได้คุยกันทางไลน์มากนัก เรียกว่าเป็นพวกไม่ติดโทรศัพท์ทั้งคู่เลยจะดีกว่า ชีวิตประจำวันพวกเขาก็ไม่ได้ไลน์หากันตลอดเวลา นอกจากเรื่องมื้อเย็นว่าอยากจะกินอะไรหรือจะกลับบ้านพร้อมกันไหม

พอเขาตอบกลับไปได้ไม่นานเอสก็โทรเข้ามา

“โหล”

(รู้สึกแปลก ๆ แฮะ) อีกฝ่ายพูดหัวเราะแห้ง ๆ เพราะไม่ได้คุยผ่านโทรศัพท์มานานสักพักใหญ่ ก็เลยไม่ชินล่ะมั้ง ตี๋มานอนที่บ้านเขานานหลายอาทิตย์จนเขารู้สึกชินกับการที่มีตี๋ไปแล้ว ซึ่ง...มันไม่ค่อยจะดีซักเท่าไหร่ในความคิดของเขา เพราะอยากให้อีกคนรู้สึกว่าตัวเองมีอิสระ ไม่ได้ถูกเขาผูกมัดไว้

“แค่วันเดียวเองนะ”

(นั่นสิ...)

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างทั้งสองอยู่ชั่วครู่

(คิดถึงนะ...)

แล้วเอสก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบที่เคยใช้กับเขาในทุกครั้ง สงสัยว่าอาจจะไม่ได้ยินคำนี้จากอีกฝ่ายมานาน ครานี้เลยทำให้ตี๋หน้าแดงขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“อื้อ”

(แค่นั้น?)

“...” คนน้องกัดปากตัวเองเงียบ เขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร และเขาก็ไม่เคยพูดคำนั้นออกมาจากปากเลย ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกรักหรือคิดถึง แต่เขาว่ามันยังไม่ถึงเวลาและเอสก็ไม่ได้เรียกร้องมันจากเขาด้วย

...นี่เป็นครั้งแรก

(ไม่เป็น-)

“คะ- คิดถึงเหมือนกันนะ”

พอเห็นว่าเอสจะบอกว่าไม่เป็นไร เขาก็รีบพูดขัดขึ้นก่อน แต่แม่ง...เกลียดตัวเองฉิบหาย ทำไมต้องพูดติด ๆ ขัด ๆ ด้วยวะ พอเป็นแบบนี้เขาเลยรีบกดตัดสายอีกฝ่ายทิ้งไปเลยดีกว่า

อายโว้ย!!






เอสก้มมองโทรศัพท์ที่เพิ่งโดนตัดสายไปหมาด ๆ หลังจากที่คนรักเพิ่งจะพูดว่าคิดถึงเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ตัดสินใจคบกันมา แต่ดูท่าคงจะตื่นเต้นไม่น้อยเจ้าตัวถึงได้พูดติดขัดแบบนั้น และก็คงจะเพราะว่าเขินกับสิ่งที่ทำลงไปเลยชิ่งวางสายหนีไปเลย

เจ้าตัวหัวเราะในลำคอ โคลงศีรษะอย่างนึกเอ็นดู ในใจก็รู้สึกอิ่มเอมเหมือนต้นไม้ที่ได้รับฝนหลังจากขาดน้ำ ทั้งอิ่มเอมและชุ่มชื่นหัวใจ ตี๋ไม่ใช่คนโรแมนติกนัก เป็นคนที่ค่อนข้างจะแข็งทื่อเสียด้วยซ้ำ แต่ข้อดีคือขี้อ้อนและว่าง่าย

เขาตัดสินใจโทรกลับไปหาอีกฝ่าย นานเลยกว่าตี๋จะกดรับ จนเขาคิดว่าน้องคงไม่อยากคุยต่อแล้ว

(โทรมาทำไมอีก?) เจ้าตัวพูดเสียงห้วน

“เอ้า” เขาหัวเราะ “ก็วางทำไมล่ะ พี่ยังพูดไม่จบเลย”

(ตี๋ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว)

“แต่พี่มีนี่” เขาพูดเสียงอ้อน “ยังไม่ได้บอกรักแฟนเลย”

(ไอ้! แม่ง...โว้ยยย)

ได้ยินเสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมาจากอีกทางของปลายสาย ดูท่าคงจะอยากด่าเขาน่าดูแต่ทำไม่ได้ เลยทำได้แค่ตีอกชกตัว ยิ่งได้ยินเสียงเขาหัวเราะเสียงดังด้วยยิ่งแล้วใหญ่

(วันนี้พี่เป็นไรเนี่ย กวนประสาทตี๋ตั้งแต่เย็นแล้วนะ!) ตี๋แว๊ดใส่

“โอ๋ ๆๆ รักหรอกถึงหยอกเล่น”

เอสพูดเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาดดังมาตามสาย เขาก็ได้แต่กลั้นหัวเราะเอาไว้ แกล้งมากไปเดี๋ยวอีกฝ่ายโกรธเขาจริง ๆ จะลำบากตามง้อกันอีก

(ตี๋เหนื่อย..)

“น่าจะชินที่พี่แกล้งแหย่เราได้แล้วนะ จะได้ไม่เหนื่อยหงุดหงิดโมโหทุกครั้งแบบนี้ไง”

(พี่ต่างหากที่ต้องหยุด)

“อะจ้า...ต้องเชื่อฟังเมี-”

(พูดคำว่าเมียอีกทีนะพี่..มึงโดนแน่)

เขาหัวเราะลั่นหลังจากที่อีกฝ่ายหลุดคำพูดอย่างนั้นออกมา ไม่บ่อยนักที่อีกฝ่ายจะพูดแบบนี้ นาน ๆ ได้ยินทีก็สนุกดีเหมือนกัน

(พี่นี่แม่งโรคจิตว่ะ)

“ก็เพิ่งรู้สึกตัวเหมือนกัน แกล้งเราแล้วสนุกดี” พูดพร้อมกับหัวเราะในลำคอ เดาว่าอีกฝ่ายคงทำหน้าเบ้และต้องด่าเขาอยู่ในใจแน่นอน เขาหันไปมองนาฬิกาบนพนังเห็นว่าตอนนี้ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว

“แล้วเราเมื่อไหร่จะนอนล่ะ?”

(อ๋อ..สักพักแหละ ว่าจะอ่านหนังสือที่ซื้อเก็บไว้หน่อย)

“นอนดีกว่าไหม? ไม่ได้มีเวลาพักแบบนี้บ่อย ๆ นา”

(ตี๋อยากอ่านหนังสือนี่) เจ้าตัวพูดเอาแต่ใจด้วยโทนเสียงออดอ้อนทำเอาเขาใจอ่อนยวบเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

“อย่าดึกนักล่ะ”

(รู้ตัวน่า)

“โอเค งั้นพี่วางสายแล้วนะ พรุ่งนี้เจอกันครับ”

หลังจากวางสายไปเขาก็เดินไปที่โต๊ะทำงานต่ออีกสักพักใหญ่ก็ตัดสินใจนอนดีกว่า เพราะพรุ่งนี้ต้องไปรับเจ้าตัวแสบที่บ้านแล้วไปส่งที่มหาวิทยาลัยด้วย



/



ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังจากหน้าห้อง คนตัวขาวที่นอนอ่านหนังสือบนที่นอนเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะตอบรับไป

“ครับ?”

“ตี๋ครับ ม๊าเข้าไปนะลูก”

ถึงแม้ว่าลูกชายของเธอจะล็อกหรือไม่ได้ล็อกห้องก็ตาม แต่เธอก็จะบอกพูดแบบนี้เสมอก่อนที่จะเข้าห้องของลูก เพราะอย่างน้อยลูกเธอก็โตเป็นหนุ่มแล้วไม่ใช่เด็ก ๆ ถ้าเกิดเปิดพรวดพราดเข้าไปเลยก็จะดูไม่ค่อยดีนัก

“เปิดเลยครับ ตี๋ไม่ได้ล็อก”

คนเป็นแม่ชะโงกหน้าเข้ามา พอเห็นหน้าลูกชายที่นั่งอยู่บนที่นอนก็ยิ้มหวานออกมา เธอเดินเข้าไปนั่งลงบนที่นอนหันหน้าเข้าหาลูก

“ม๊ามีอะไรเหรอ?”

มือเล็ก ๆ ยกขึ้นจับใบหน้าอ่อนเยาว์ของลูกชายที่เธอแสนรัก ก่อนจะพูดออกมา “ม๊าขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหมครับ”

ตี๋พยักหน้า ม๊าเอื้อมมือมาจับมือของเขาเอาไว้บีบเล็กน้อย

“เรื่องของตี๋กับพี่เอสน่ะ...เราสองคนเป็นแฟนกันใช่ไหมครับ?”

เหมือนกับว่าโลกทั้งหมดหยุดหมุนไปชั่วขณะ ใบหน้าของตี๋ยิ้มค้าง แต่ข้างในหัวใจกลับเต้นรัวเร็ว ฉับพลันสีหน้าของเจ้าตัวก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด สายตาราวกับจะร้องไห้

นานนับนาทีกว่าจะเรียบเรียงคำพูดออกมาได้ “มะ- ม๊า...รู้ได้ยังไง?”

เขามองใบหน้าของคนเป็นแม่ไม่ได้หลบสายตาไปไหน แต่ก็ไม่ได้เห็นแววตาโกรธ ไม่พอใจ หรือผิดหวังเสียใจอยู่ในนั้นเลย ใบหน้านั้นยังคงยิ้มอ่อนโยนให้เขาอย่างนั้น มองเขาด้วยแววตาอบอุ่นเหมือนเดิม

ม๊ายกมือขึ้นขยี้ผมลูกชายคนเล็กเบา ๆ “พูดแบบนี้ได้ยังไงกัน ม๊าเป็นม๊าของตี๋นะ ทำไมจะมองไม่ออกล่ะ”

ลูกชายคนเล็กหลุบตาลงต่ำ ปากบางเม้มเป็นเส้นตรง

“ตี๋...ทำให้ม๊าผิดหวังหรือเปล่า? ม๊าเสียใจไหมที่ตี๋คบกับคนที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน”

มือของคนที่เลี้ยงเขามาทั้งชีวิตประคองหน้าให้เขาเงยขึ้น เขากลัวบุพการีรู้สึกเสียใจที่เขาเป็นแบบนี้ ตอนแรกเขาไม่คิดว่าตัวเองจะรู้สึกมากขนาดนี้ด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างว่า..ถ้ามันไม่เกิดขึ้นเขาก็คงไม่รู้หรอกว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน

แต่ถ้าถามว่าเขาเสียใจที่คบกับเอสหรือเปล่า ก็ตอบได้เลยว่าไม่

...เรียกได้ว่ามีความสุขมากกว่าที่ตัวเองคิดเอาไว้เสียอีก

“ตี๋กับเฟยเป็นลูกที่ม๊ารักและภูมิใจมากที่สุด ตั้งแต่ที่หนูเกิดมาไม่มีวันไหนที่ม๊าไม่รักพวกหนูเลยนะครับ”

ตี๋ไม่ใช่คนที่ร้องไห้ง่ายหรือบ่อน้ำตาตื้น เขาไม่ได้ร้องไห้มานาน...นานจนจำไม่ได้ว่าร้องไห้ครั้งสุดท้ายนั้นคือเมื่อไหร่กัน

“โถ่เอ๊ย” ม๊ายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาของลูกชายที่เธอเองก็ไม่ได้เห็นมานานเหลือเกิน “จะร้องไห้ทำไมเนี่ย”

คนเป็นแม่พูดกลั้วหัวเราะ มือเล็กยังคงปาดน้ำตาที่ยังคงไหลออกมาไม่หยุด ตี๋ไม่ใช่คนที่ร้องไห้ฟูมฟาย แต่จะมีเพียงแค่น้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสายเงียบ ๆ อย่างไร้เสียงสะอื้นเท่านั้น

ม๊าขยับเข้าไปใกล้โอบกอดลูกชายที่ตัวโตกว่าเอาไว้ในอ้อมแขน

“ไม่ต้องร้องนะครับ ตี๋ของม๊าเก่งจะตาย..เรื่องแค่นี้ไม่ต้องร้องหรอกเนอะ”

ตี๋ซบหน้าลงกับไหล่บอบบางของคนที่รักและเลี้ยงเขามาทั้งชีวิต น้ำตาไหลเปรอะเปื้อนชุดนอนของม๊าจนเปียกไปหมด แต่เธอก็พูดปลอบพลางลูบท้ายทอยของเขาไปด้วย

...เนิ่นนานกว่าน้ำตาจะหยุดไหล

“ขอโทษนะครับ”

“ตี๋ทำอะไรผิดเหรอถึงต้องขอโทษม๊า”

“...” เจ้าตัวเม้มปากเงียบลงอีกครั้ง

“หนูรักพี่เอสเขาหรือเปล่า?”

ลูกชายคนเล็กพยักหน้าตอบอย่างไม่ลังเล สายตามองมาแสดงถึงความจริงจังแต่ก็ยังเจือแววเสียใจไม่คลาย

“ถ้าหนูรักพี่เขาก็ไม่มีอะไรที่ผิดนี่”

“...”

“ความรักมันไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรอกนะครับ ไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่หนูไม่สมควรจะรักหรอกนะ..อีกอย่างพี่เอสเขาก็เป็นคนดี ลูกของม๊ารักคนที่ดีขนาดนี้...แค่นี้ม๊าก็พอใจแล้ว”

ตี๋โผเข้ากอดคนเป็นแม่อีกครั้ง “ขอบคุณมาก ๆ เลยครับ”

“มันต้องแบบนี้สิลูกชายม๊า” เธอกอดแล้วโยกตัวลูกไปมา “ม๊ารักหนูที่สุดเลยนะลูก”

“ตี๋ก็รักม๊าที่สุดในโลกเลยครับ”





TBC…
ค่อย ๆ คลี่คลายไปทีละคนเนอะ ด่านต่อไปก็เป็นตัวพ่อแล้วค่ะ 555
อยากให้ทุกคนที่มีลูกเป็นเกย์เข้าใจในสิ่งที่ลูก ๆ เป็นค่ะ
อ่านเรื่องนี้ของเราแล้วหวังว่าจะให้ข้อคิดได้ไม่มากก็น้อย
ขอบคุณที่ชอบและติดตามเสมอมานะคะ ♥

 :L2:



หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.17 หน้า 3 [up:19/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-06-2018 18:13:25
กลัวดราม่าครอบครัวมากนี่บอกเลย
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.17 หน้า 3 [up:19/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 19-06-2018 20:10:37
……


ม๊าน่าร้ากกกกกก.  เป็นแม่ในไอดอลเลยอ่ะ.   

เหลือป๊าอ่ะนะ. จะคิดยังไง. 


 :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:



………
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.18 หน้า 3 [up:25/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 25-06-2018 19:25:32


18





“ทำไมตาบวมแบบนี้ล่ะ?” เอสถามขึ้นเมื่อเห็นคนรักเดินมาหาเขาที่บ้านในตอนเช้าด้วยเปลือกตาที่ดูบวมแดงผิดปกติ
   
“ขึ้นรถก่อน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” เขาดันตัวคนถามให้ไปขึ้นรถฝั่งคนขับ ส่วนตัวเองก็เดินแยกไปอีกด้าน ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้อยากจะเล่าเรื่องเมื่อคืนให้อีกฝ่ายฟังเลย แต่มันก็จำเป็น
   
ขับรถออกมาได้สักพัก เอสก็เอ่ยถามขึ้นอีก “เมื่อคืนมีเรื่องอะไรเหรอ?” เพราะก่อนที่เขาจะวางสายไปก็ยังดูปกติดีอยู่เลย ตอนนี้ตี๋ดูแปลกไปนิดหน่อย ดูเซื่อง ๆ เหมือนกับว่ามีเรื่องให้คิดอยู่ตลอด

“อืม...ก็มีนิดหน่อยอะ” คนน้องตอบเสี่ยงเอื่อย

เขาเงียบเพื่อที่จะรอฟัง สักพักตี๋ถึงเริ่มพูด

“ม๊ารู้เรื่องแล้วนะ”

เอสชะงักไปนิดหน่อย เหลือบมองคนด้านข้างก็เห็นว่าอีกฝ่ายหันมองตนอยู่ก่อนแล้ว

“เรื่องของเรา” ตี๋พูดต่อให้จบประโยค

จะผิดไหมที่เขารู้สึกดีกับคำว่า ‘เรื่องของเรา’ จากปากของอีกฝ่ายในสถานการณ์แบบนี้

“อมยิ้มอะไรของพี่วะ?”

“โทษที ๆ” เอสบอกแต่ใบหน้าก็ยังคงเจือไปด้วยความรู้สึกดี ไม่ใช่เขาไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องที่ม๊าของตี๋รู้หรอก แต่เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าสักวันทุกคนก็ต้องรู้เรื่องนี้...เขาทำใจไว้นานแล้วล่ะ

“นี่พี่ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ?”

“ไม่ใช่พี่ไม่รู้สึก” เขาคว้ามืออีกฝ่ายมาบีบเพื่อให้ใจเย็นลง “แต่พี่เตรียมใจไว้นานมากแล้ว ตั้งแต่คบกับเราใหม่ ๆ โน่น ภูมิต้านทานพี่เลยเยอะกว่ายังไงล่ะ”

“เออ พ่อคนเก่ง”

เอสยิ้มขำ แต่ก็สบายใจเมื่อเห็นตี๋ผ่อนคลายขึ้น “แล้วม๊าว่ายังไงบ้าง?”

“ม๊าไม่ว่าอะไรเลย” เพียงแค่เปิดปากพูดก็เหมือนน้ำตาจะไหลอีกครั้ง เขาเลยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดต่อ “ม๊าบอกว่า..ไม่ว่าตี๋จะเป็นยังไงเขาก็ยังรัก”

เอสยิ้ม “ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ นี่แหละความรักของคนเป็นแม่” ได้ยินน้องพูดแบบนี้เขาก็เบาใจขึ้น ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้เขาก็มั่นใจว่าถ้าม๊าของตี๋รู้เรื่องของพวกเขา ท่านจะโอเค คนที่น่าเป็นห่วงคือป๊าของตี๋ต่างหาก...

“ตี๋ดีใจมาก ๆ เลย แต่ก็เสียใจด้วย”

“หืม..มันยังไงกันล่ะเนี่ย” เขาหัวเราะในลำคอเสียงเบา

“ไม่รู้สิ คนเป็นพ่อเป็นแม่เขาก็คงหวังให้ลูกแต่งงานมีครอบครัวล่ะมั้ง”

“ม๊าบอกว่าผิดหวังในตัวเราเหรอ?”

“เปล่า”

“เห็นไหม..ท่านก็ไม่ได้พูดซะหน่อย คิดมากเกินไปแล้ว เนี่ยเป็นนิสัยที่ไม่ค่อยดีของตี๋นะ รู้ตัวหรือเปล่า?”

เจ้าตัวยู่ปาก เถียงไม่ออกเพราะที่อีกคนพูดมามันก็เป็นเรื่องจริง

“พี่ไม่ได้บอกให้เราไม่ต้องคิดหรอกนะ แต่เรื่องที่มันยังไม่เกิดคิดไปมันก็เครียดเปล่า ๆ คิดพอให้เรามีภูมิต้านทานที่ดีแบบพี่ก็พอ”

“พูดดีไปเถอะ ถ้าป๊าตี๋ไม่เห็นด้วยพี่จะทำยังไงล่ะทีนี้”

“เอาจริงดิ”

“อย่ากวนตีนได้ปะ!” ตี๋แหวใส่เสียงดัง คิ้วเรียวขมวดแทบจะผูกกันเป็นโบว์

คนพูดจากวนประสาทหัวเราะอารมณ์ดี “พี่จะไปทำอะไรป๊าเราได้ ที่พี่ทำได้..ก็แค่รักและดูแลลูกชายคนเล็กคนนี้ของป๊าให้ดีที่สุด นอกนั้นก็แล้วแต่ความเห็นชอบของท่านแล้วล่ะ”

ใบหน้าของตี๋ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความเขินปนรู้สึกดี แล้วตอนนี้มันก็แดงไปหมดลามไปจนถึงหูกับคอเลยด้วย ทั้งที่สิ่งที่อีกฝ่ายพูดมันก็ไม่ใช่คำพูดแสนหวานอะไร แต่มันก็มีผลต่อใจเขามากเหลือเกิน

พอรถติดไฟแดงก็ทำให้เอสได้มีโอกาสหันมามองคนที่นั่งด้านข้างชัด ๆ และความแดงของตี๋ก็ทำให้เขาตกใจปนตลกมากจนหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ จนเจ้าตัวหันมามองส่งสายตาไม่พอใจมาให้นั่นล่ะถึงได้หยุดขำ

“นี่จริงจังนะว้อย!”

“พี่ก็จริงจังนะ”

“แล้วหัวเราะทำไมล่ะวะ!”

เอสยกยิ้มก่อนจะกุมมือของคนที่กำลังโวยวายขึ้นมากดจูบลงไปอย่างแผ่วเบา “ก็พี่อยากให้เราผ่อนคลาย อย่าเครียดไปเลยนะ ไม่ว่ายังไงพี่ก็จะอยู่ข้างเราเสมอ...จะไม่ทิ้งไปไหนแน่นอน”

แววตาของตี๋อ่อนลงเมื่อรู้ถึงเจตนาของเอส เจ้าตัวเอนหัวพิงกับไหล่กว้างนั้น “ขอบคุณนะ” เขาพูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มอ่อน ๆ รู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

พอไฟเขียวตี๋ก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงเพื่อที่เอสจะได้ขับรถได้อย่างสะดวก ไม่เกินสิบห้านาทีก็ถึงเขตมหาวิทยาลัย คนพี่ไปส่งเขาถึงหน้าคณะก็ออกรถไปบริษัทต่อทันทีไม่ได้ลงมาส่งแต่อย่างใด

เขามาถึงคนแรกของกลุ่ม เพราะไอ้พวกนั้นมันนอนหอที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเลยตื่นสายได้ แล้วช่วงนี้มันย้ายเข้าที่ใหม่แชร์ค่าห้องกันด้วย เดี๋ยวก็คงจะมาพร้อมกันนั่นแหละ

เขานั่งเล่นเกมในโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อยระหว่างรอเพื่อนมาสมทบ ไม่นานนักพวกมันก็เดินมาพร้อมกัน

“ทำไมตามึงบวมจังวะ?” ภาคถามวางกระเป๋าลงกับโต๊ะก่อนจะนั่งลง เขามองเปลือกตาของเพื่อนรักที่บวมตุ่ยผิดปกติอย่างสงสัย

“เสือก”

พอโดนเพื่อนตอกกลับภาคก็อุทานว่า ‘โอ๊ะ’ สั้น ๆ ส่วนกลอยก็หัวเราะร่วนด้วยความตลก

“เรารึอุตส่าห์เป็นห่วงเห็นว่าเพื่อนดูแปลกไป ดูสิคนเรา กลับมาด่าเพื่อนหยาบคายแบบนี้ได้ยังไงกัน” ภาคแกล้งบ่นตัดพ้อยาวเหยียด

“พอเลยมึง” ตี๋ทำท่าจะปาโทรศัพท์ในมือใส่มันด้วยความหมั่นไส้ ถ้าไม่ติดว่าราคาแพงนะ เครื่องนี้ได้เอาเลือดหัวมันออกแน่

“ก็แล้วมีอะไรล่ะตามึงถึงบวมขนาดนี้” กลอยถามบ้าง

“ก็...มีเรื่องนิดหน่อย” ตี๋ตอบอ้อมแอ้ม

“ถ้าให้กูเดานะร้องไห้มาล่ะสิ?”

ตี๋หันขวับไปมองภาคที่พูดออกมาทั้งที่ขนมปังเต็มปาก แอบด่ามันในใจ ไอ้นี่ให้มันเดาอะไรก็แม่นแม่งทุกครั้ง ไม่รู้ว่ามันมีพรายกระซิบหรือยังไง

“นี่ไง มองหน้ากูแบบนี้...กูเดาถูกล่ะสิ”

เพื่อนตัวดียกนิ้วขึ้นชี้หน้าเขาพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี

“มึงนี่มัน...” ตี๋เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ขี้เสือกจริง ๆ”

ภาคยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “รีบเล่ามาเลยมึง กูอยากรู้ว่าอะไรทำให้เพื่อนรักกูต้องเสียน้ำตา”

“มึงก็พูดเหมือนเป็นห่วงกูนะสัด”

“หรือทะเลาะกับผัว” ภาคไม่ใส่ใจคำด่าว่าของเพื่อน แถมยังย้อนถามกวนตีนอีก

“ผัวเหี้ยอะไรล่ะ” ตี๋ยกมือขึ้นหวังจะตบหัวแต่ไอ้เพื่อนตัวดีหลบทัน

กลอยมองพวกมันสองคนด่ากันไปมาสักพัก พอเห็นว่ากลุ่มเขาเริ่มเป็นเป้าสายตาก็เลยต้องปรามกันบ้าง “พวกมึงทั้งคู่หยุดทะเลาะกันได้แล้วโว้ย จะเถียงกันให้คนรู้เรื่องทั้งคณะเลยรึไงวะ” พวกมันถึงจะหุบปากกันได้

“ตี๋มึงก็พูดมาเหอะว่ามีปัญหาอะไร พวกกูจะได้ช่วย” พอเห็นว่าสงบปากกันได้ กลอยก็เลยเป็นฝ่ายถามแทน เพราะตี๋มันไม่ค่อยกล้าหือกับเขาหรอก อารมณ์เหมือนกับว่ามันแพ้ทางกันมากกว่า

ไอ้ภาคนี่เหมือนคู่กัดกัน...กัดกันเป็นหมาเลย

“ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร ม๊าแค่มาพูดกับกูว่าเขารู้แล้วว่ากูคบกับพี่เอสอะแหละ” ตี๋บอก

ทั้งกลอยและภาคตาโตส่งเสียงร้องพร้อมกัน “เหี้ย!”

“จะเสียงดังหาพ่อมึงรึไง!!” ตี๋ด่าเข้าให้

ทั้งสองคนตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน ก็แหม...เจอเรื่องแบบนี้เป็นใครก็ตกใจไหมล่ะ

“โทษที” กลอยบอกพร้อมกับหัวเราะแห้ง ๆ

“แล้วเป็นไงบ้างอะมึง?” ภาครีบถาม

“เขา...เข้าใจกูนะ ไม่ได้ว่าอะไรเลย” ตี๋ตอบคำถามเพื่อนสั้น ๆ ยังคงรู้สึกซึ้งใจไม่หาย แบบนี้เขาถึงยังไม่อยากเล่าให้พวกมันฟัง เพราะเขาจะร้องไห้นี่ไง

กลอยยิ้มออกมาบาง ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นตบไหล่เพื่อน “ก็ดีแล้วนี่”

“แบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย พวกกูนี่ลุ้นกันเยี่ยวเหนียวเลยมึง” ภาคบอกใบหน้าบ่งบอกถึงความสบายใจ

“ขอบใจพวกมึงมากนะ” ตี๋บอก

“แล้วป๊ามึงอะเขารู้หรือยัง?” ภาคถามต่อ เพื่อนรักทำหน้าเครียดและเงียบไปพักใหญ่ จนเขากับกลอยมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อดี แต่ปกติแล้วเพื่อนเขาเป็นพวกถ้าเจอคำถามยาก ๆ มันจะใช้เวลาคิดคำตอบนานอยู่แล้ว เลยทำให้พวกเขายังคงรอดูท่าทีของมันก่อน

“เฮ้อ” ตี๋ถอนหายใจทิ้งก่อนจะเริ่มพูด “เขายังไม่รู้ว่ะ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่เขาจะดูออก เพราะที่ม๊ากูรู้เรื่องนี่เขาก็ดูออกเองนะมึง โชคดีไปที่ท่านรับได้ แต่อีกคนนี่...กูไม่รู้เหมือนกันว่าผลมันจะออกมายังไง”

ตี๋เงียบไปช่วงอึดใจก่อนจะพูดต่อ “ที่กูห่วงน่ะไม่ใช่ตัวเองหรอก กูห่วงพี่เขาต่างหากว่าจะเป็นยังไงถ้าเกิดพ่อกูไม่ยอมรับขึ้นมาจริง ๆ”

...ถึงปากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ถ้ามันยังไม่เกิดขึ้นก็รับประกันอะไรไม่ได้หรอกว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน

คนที่ดูภายนอกว่าเข้มแข็ง แต่ภายในอ่อนแอแค่ไหน ใครหรือจะรู้...

“อย่าเพิ่งคิดไปในทางที่ไม่ดีเลยมึง มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้นะเว้ย”

ตี๋หันไปยิ้มบาง ๆ ให้กับเพื่อนทั้งสองคน “กูจะพยายาม”

ภาคก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่บอกว่าตอนนี้ถึงเวลาเริ่มเรียนแล้ว พวกเขาทั้งสามคนเลยรีบหอบของแล้วออกวิ่งไปพร้อมกับเสียงบ่นของตี๋

“พวกมึงแม่งเอาแต่ชวนกูคุย สายเลย แม่งเอ๊ยยย คาบ’จารย์ชูชัยด้วย โดนด่าแน่มึง”

ทั้งภาคและกลอยก็ได้แต่หัวเราะร่วนและก็วิ่งไปพร้อมกัน




/




“วันนี้มีคนมารับไหมมึง?” กลอยถามขณะเก็บอุปกรณ์การเรียน

“ไม่ว่ะ เห็นว่าวันนี้เลิกดึก”

“งั้นไปเล่นห้องพวกกูป่าว” ภาคชวนยักคิ้วให้ วันนี้วันศุกร์พรุ่งนี้พวกเขาไม่ต้องไปมหาวิทยาลัยเลยกะว่าจะตั้งวงกันนิดหน่อย ถึงไอ้ตี๋จะเป็นพวกไม่ดื่มก็เถอะ แต่หลายคนก็ดีกว่าสองคน บรรยากาศจะได้ครึกครื้นหน่อย

ตี๋ใช้เวลาคิดนิดหน่อยก่อนจะตอบ “เออ เดี๋ยวขอโทรบอกม๊าก่อน”

“บอกม๊าหรือบอกก...”

“ไอ้สัด” ตี๋ด่าแล้วเดินชนไหล่ไอ้ภาคออกไป เขาล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ออกมากดหาคนที่บ้าน เสียงสัญญาณดังอยู่สักพักก็มีคนกดรับ “ม๊า..เดี๋ยวคืนนี้ตี๋นอนห้องไอ้ภาคกับไอ้กลอยมันนะ”

“โอเคลูก ตี๋อย่าลืมบอกพี่เอสเขาด้วยนะ” ม๊าบอก

“ครับ” เจ้าตัวตอบรับก่อนจะกดวาง เขาไลน์ไปบอกพี่เอสว่าจะค้างห้องของเพื่อนตามที่มารดาบอกไว้ แล้วจึงเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม

ปกติแล้วเขาไม่ค่อยได้ไปนอนค้างห้องเพื่อนบ่อยนักถ้าไม่มีงานกลุ่มที่ต้องช่วยกันทำ แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงถึงได้ตามพวกมันมา ทั้งที่ก็รู้ว่าพวกมันจะก๊งเหล้ากัน ระหว่างทางที่กำลังเดินไปก็มีเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นพี่เอสที่โทรหาเขานั่นเอง

(มีงานกันเหรอครับ?) อีกฝ่ายเอ่ยถามเขา

“หึ เปล่า...พวกมันชวนหลายครั้งแล้ว ก็ไปซะหน่อยเดี๋ยวจะเสียน้ำใจกันอะ”

พวกเขาคุยกันอีกนิดหน่อยก็วางสายกันไป เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยุ่ง เพราะว่าวันนี้มีการปรับปรุงระบบคอมใหม่ในบริษัท เลยทำให้ต้องกลับดึกหน่อย อาจจะต้องถึงห้าทุ่มเที่ยงคืนเลยทีเดียว

“พี่ก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะฮะ” ไอ้ภาคป้องปากพูดเสียงเล็กแหลมกับท่าทางสะดีดสะดิ้งล้อเลียนเขา

“นะฮะพ่อมึง กูไม่ได้พูดโว้ย” ตี๋ว่าพร้อมกับยกขาขึ้นถีบก้นมันไปที

พอเห็นว่าใกล้จะถึงหอแล้วกลอยก็พูดกลั้วหัวเราะเพื่อนทั้งสองคนของตน “เดี๋ยวแวะเซเว่นซื้อของกันมึง”

“อย่าลืมโค้กของกูละกัน” ตี๋บอก

“จ้า เด็กอนามัย” กลอยเหน็บ

“มึงไม่ลองซะหน่อยเหรอวะ?” ภาคถามขณะเลือกซื้อขนมขบเคี้ยวไว้แกล้มเหล้าที่มีอยู่แล้วบนห้อง

คนถูกถามนิ่วหน้าเบะปากพร้อมกับส่ายหัว เขาเคยได้ยินว่าเหล้ามันไม่อร่อย และเขาชอบกินของที่อร่อยมากกว่า “กูเป็นคนเลือกกิน ไม่อร่อยกูไม่กินหรอก”

ภายหยุดคิด ก่อนจะดีดนิ้ว “เหี้ย..เดี๋ยวกูจัดการให้ จะทำให้อร่อยเลยมึง” พอเห็นว่าตี๋ทำหน้าไม่เชื่อเขาก็บอกต่อ “เชื่อฝีมือกูเหอะน่า”

ทั้งสามคนจัดการซื้อของจำเป็นในการดื่มเรียบร้อยในเวลาไม่นาน ภาคและกลอยหิ้วของถุงใหญ่เต็มสองมือ แล้วก็พากันขึ้นลิฟต์ไปชั้นที่ 5 ซึ่งเป็นห้องของพวกมันเอง

ตี๋เพิ่งเคยมาห้องใหม่ของเพื่อนเป็นครั้งแรก ที่นี่เป็นหอสร้างใหม่มีทั้งห้องเดียวและห้องคู่ ซึ่งพวกมันเลือกเป็นห้องคู่ ทำให้บริเวณในห้องกว้างขวางพอสมควรและค่าเช่าก็สูงตามไปด้วย เจ้าของหอนี้ตกแต่งห้องแบบโมเดิร์นที่เน้นสีขาวและเทาเป็นหลัก ทำให้ดูสะอาดตา แต่ไอ้พวกสกปรกนี่ดันทำให้ห้องสวย ๆ ดูไม่ได้เลย ไอ้กลอยเก็บของเข้าตู้เย็นในขณะที่ไอ้ภาคเคลียร์พื้นที่ที่จะนั่งกินเหล้ากันตรงโต๊ะเตี้ย ๆ หน้าทีวี

“มา ๆ นั่งลงเลยมึง” ภาคโบกมือเรียกตี๋ที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่กลางทางเดินให้เข้ามานั่งตรงที่มันจัดให้

“จะดีเหรอวะ” เจ้าตัวพึมพำตอนที่เห็นไอ้ภาคมันกำลังวุ่นผสมนั่นนี่โน่นตามสูตรที่มันก้มดูในโทรศัพท์ให้เขากินตามที่มันได้โม้เอาไว้

“เอาน่า..สักครั้งในชีวิต” กลอยบอกมือก็ผสมเหล้าของตนเองกับไอ้ภาค “ไม่ต้องกังวล ถ้ามึงเมาล่ะก็ พวกกูรับปากจะดูแลอย่างดีเลย”

“เอาไป” ภาคยื่นแก้วมาให้เขา

ตี๋รับมาถือเอาไว้ มองอย่างลังเลว่าจะกินหรือไม่กินดี เขาก้มลงดม ๆ ก็ยังได้กลิ่นเหล้าอยู่เลยยิ่งทำให้เขาลังเลเข้าไปใหญ่

“แดก ๆ ไปเหอะน่า” ภาคดันมือของตี๋จนขอบแก้วชนเข้ากับปากบางนั่น เพื่อนของเขาตัดสินใจลองจิบดูเล็กน้อย ก่อนมันจะทำตาโตเท่าที่ตาตี่ ๆ นั่นจะโตได้ เขายิ้มแล้วยักคิ้วให้มัน “เป็นไงล่ะมึง?”

“ก็ไม่แย่อย่างที่คิดนี่หว่า” ตี๋ว่า

ทั้งสามคนนั่งกินไปพูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย ก่อนที่ตี๋จะเริ่มเมาเป็นคนแรกจากส่วนผสมหลายอย่างที่เพื่อนปรุงให้ดื่ม ใบหน้าที่ปกติจะขาวจัดจนเกือบซีดกลับกลายเป็นแดงระเรื่อจากความร้อนของแอลกอฮอล์ จากที่เป็นคนพูดน้อยก็พูดมากขึ้น พฤติกรรมที่ไม่เคยทำก็ดันทำขึ้นมาซะอย่างนั้น

ภาคเหลือบมองนาฬิกาที่ตอนนี้บอกเวลาห้าทุ่มแล้ว ตัวเขากับไอ้กลอยน่ะแค่มึน ๆ แต่ในสายตาของเขาไอ้ตี๋นี่ดูท่าทางจะหนักเกินไปแล้ว เลยคิดว่าจะไล่ให้มันไปนอน แต่โทรศัพท์ของมันก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ฮาโหล” ตี๋รับสายด้วยน้ำเสียงยานคาง

(.....ทำไมเสียงเป็นแบบนั้นล่ะ?) เอสชะงักไปก่อนจะถามด้วยความสงสัย

“หื้อ เมานิดหน่อยเอง” เจ้าตัวตอบหน้ามึน

(ไหนเราเคยบอกว่าจะไม่กินเหล้าไง?) เอสถามเสียงแข็งด้วยความที่ตนไม่พอใจนิดหน่อยเรื่องที่ตี๋เมาแบบนี้

“ก็ไอ้ภาคมันทำอร่อยดี..เลยเอาซะหน่อยอะ”

(พี่ว่าไม่หน่อยแล้วนะแบบนี้น่ะ)

“ก็แล้วทำไมต้องว่าด้วยล่ะ!” ตี๋ขึ้นเสียงใส่เอสที่พูดกับเขาโดยที่ใช้น้ำเสียงไม่เหมือนเดิม

คนเป็นพี่ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะพยายามใจเย็นลง (พี่ไม่ได้ว่า)

“แต่พี่ก็ไม่พอใจ” เขาจับอารมณ์ของคนที่โทรมาได้

(ใช่พี่ไม่พอใจ แต่มันเป็นเพราะว่าพี่ไม่อยากให้เรากินของพวกนี้ มันไม่ใช่ของดีแค่ไหนพี่รู้ดี พี่เป็นห่วงเรามากนะ)

ตี๋สลดลงหลังจากที่อีกฝ่ายพูดจบ ถึงเขาจะเมาแต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ดูเหมือนว่าพอเมาแล้วจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ยากขึ้น เขาอาจจะเป็นคนที่โวยวายบ่อยก็จริง แต่การควบคุมอารมณ์ของเขาในช่วงปกตินั้นถือว่าทำได้ดีกว่านี้มาก

“เอามาให้กูคุยนี่มา” กลอยฉกเครื่องมือสื่อสารของตี๋ไป

“ไอ้ห่านี่เมาแล้วงี่เง่าโว้ย” ภาคว่าแล้วผลักหัวมันไปที ก่อนจะลงมือเก็บซากอารยธรรมที่กินกันเอาไว้ เพราะพอพี่เอสโทรมาแล้วไอ้ตี๋มันโวยใส่ เขากับไอ้กลอยก็ส่งสัญญาณว่าเลิกกินท่าจะดีกว่า

“ฮัลโหล สวัสดีพี่ ผมกลอยนะ” เจ้าตัวกรอกเสียงลงไป

(อืม สวัสดี)

“ขอโทษครับ พวกผมบอกให้มันกินเองแหละพี่ อย่าไปโกรธมันเลยนะ” กลอยบอกอย่างรู้สึกผิดที่ทำให้ทั้งสองคนผิดใจกัน

(พี่ไม่ได้โกรธหรอก) เอสบอกเสียงเบา

“เอ่อ...” เขาเองก็ไม่รู้จะไปต่อยังไงดี

(ห้องเราอยู่ที่ไหนน่ะ? เดี๋ยวพี่จะไปรับตี๋กลับบ้าน) จู่ ๆ เอสก็ถามขึ้น

“เดี๋ยวผมแชร์โลเคชั่นให้ครับ”

หลังจากนั้นพี่เอสก็วางสายไป กลอยก็ใช้โทรศัพท์ของเพื่อนรักนั่นแหละแชร์โลเคชั่นให้อีกฝ่าย ก่อนจะหันมามองมันนั่งซึมกะทืออยู่ที่เดิม กลอยโยนเครื่องมือสื่อสารคืนให้เจ้าของไป

“เก็บของได้แล้วมึง เดี๋ยวพี่เขามารับ”

ตี๋เหลือบมองคนพูดก่อนจะถอนหายใจน้อย ๆ เขาหยิบกระเป๋าสะพายอุปกรณ์การเรียนขึ้นมาถือไว้ กลอยบอกให้เขาขึ้นไปนั่งบนโซฟาเขาก็ทำตามอย่างว่าง่าย ส่วนเพื่อนทั้งสองคนก็ช่วยกันเก็บทั้งแก้ว ทั้งขวดเหล้า ห่อขนมให้เรียบร้อย

“ไปมึง เดี๋ยวพวกกูไปส่ง” ภาคชวนให้ตี๋ไปนั่งรอด้านล่างกัน เพราะชั้นล่างของหอพักมีล็อบบี้อยู่ ตี๋เดินตามพวกเขามาเงียบ ๆ ไม่หือไม่อือ

“เป็นห่าไรวะ พอโวยวายเสร็จก็เงียบเลยมึง” กลอยถาม

“พอเมาแล้วเป็นแบบนี้เองเหรอวะ” ภาคว่าหัวเราะในลำคอ

เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร หัวสมองมันโล่งไปหมด สายตาเหม่อลอยออกไปจมอยู่กับตัวเอง...นานเท่าไหร่ไม่รู้ จนกระทั่งไอ้ภาคมันเรียกบอกว่าพี่เอสมาถึงแล้ว

“พวกผมขอโทษด้วยนะพี่” ทั้งสองคนยกมือไหว้ขอโทษคนที่โตกว่าด้วยความรู้สึกผิด โดยที่มีไอ้ตี๋ยืนหลบอยู่ข้างหลังพวกเขา มันคิดว่าจะหลบพ้นหรือยังไงกัน

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ” เอสบอกเสียงเรียบ ทำเอาเพื่อนของคนรักทั้งสองคนใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย

“แต่อย่าให้มีอีกแล้วกัน”
   
แต่ประโยคหลังนี่ทำเอาใจร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเลย คนตรงหน้าพูดด้วยใบหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์อะไรทำให้ดูน่ากลัวขึ้นหลายเท่า ทั้งที่ปกติจะดูเป็นมิตรกว่านี้
   
“จะไม่มีอีกแล้วพี่..พวกผมรับปาก”
   
คนโตกว่ายิ้มรับคำสัญญาก่อนจะมองเลยไปยังด้านหลังของทั้งคู่ เห็นคนรักของเขายืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้นไม่พูดไม่จา “ตี๋..กลับบ้านได้แล้ว”
   
พอกลอยเห็นว่าเพื่อนตัวดีไม่มีท่าทีตอบรับกับประโยคเมื่อครู่ก็หันมาว่า “ไป ๆๆ กลับบ้านได้แล้วมึง” พร้อมกับดันหลังให้มันเดินขึ้นไปเผชิญหน้ากับคนที่ตัวโตกว่า แล้วรีบวิ่งหนีขึ้นห้องไปพร้อมกับภาค
   
ตี๋เงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาสวยของเอสที่มองตนอย่างไม่วางตา และก็เป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายหลบตาก่อน ปากบางเม้มเป็นเส้นตรงอย่างทำตัวไม่ถูก
   
เอสที่เห็นคนตรงหน้ามีอาการซึมแบบนี้แล้วก็ทำโกรธได้ไม่นาน เขาเผยรอยยิ้มบาง ๆ ขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ผมสีดำนิ่มมือตรงหน้าอย่างนึกเอ็นดู มืออีกข้างก็เลื่อนมากุมฝ่ามือของตี๋แผ่วเบา
   
ตี๋เงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ
   
“ไม่โกรธตี๋แล้วเหรอ?”
   
เอสยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ไม่ได้ตอบคำถามนั้น “กลับบ้านเรากันนะ”

พอตี๋พยักหน้า พี่เอสก็ดึงมือเขาให้เดินตามไปขึ้นรถ แล้วจึงขับออกไป ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรออกมา มันทำให้ตี๋รู้สึกอึดอัด...เขารู้สึกผิดที่ขึ้นเสียงใส่อีกฝ่าย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มขอโทษยังไงดี

จนกระทั่งถึงบ้านของอีกฝ่ายเขาก็ยังไม่กล้า...

เอสเดินนำตี๋ขึ้นบันได เขาเดินเข้าห้องไปก่อนโดยไม่ได้หันมามองตี๋ที่เดินตามหลังมาเลย อาจจะเพราะความรู้สึกในอกมันยังคงไม่สงบลงสักเท่าไหร่นัก เขาไม่ได้โกรธอีกฝ่าย...แต่แค่รู้สึกแย่นิดหน่อย เขาเดินตรงไปที่โต๊ะทำงาน หยิบกระเป๋าเงินกับกุญแจรถวางลงบนโต๊ะ

ตี๋มองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาเจ็บปวด ก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดพี่เอสจากด้านหลังแน่น ซุกหน้าลงกับไหล่หนาเงียบ...คนถูกกอดก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ยืนนิ่งและรอดูว่าตี๋จะทำอะไร

“ตี๋ขอโทษ” ในที่สุดเจ้าตัวก็พูดออกมาเสียงเบา

เอสยิ้มบางออกมาใจอ่อนยวบ ก่อนจะถาม “ขอโทษพี่เรื่องอะไรเหรอ?”

“ขอโทษที่ขึ้นเสียงใส่พี่”

คนพี่ตบลงบนแขนที่โอบรอบเอวเขาอยู่ “ไม่เป็นไร ๆ”

“ตี๋ขอโทษนะ...” ยิ่งอีกคนพูดเสียงนิ่งแบบนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกผิด “จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”

เอสแกะแขนของตี๋ออกแล้วหมุนตัวหันกลับมา เขาเกลี่ยผมที่ปิดบังใบหน้าขาวออก เปิดให้เห็นสายตาที่รู้สึกผิดของอีกคนที่กำลังมองมาที่เขาอย่างเว้าวอน

“พี่เองก็ขอโทษนะที่เจ้ากี้เจ้าการกับเรา”

“ไม่ ๆๆ” ตี๋ส่ายหัว “พี่ไม่ผิดเลย เรื่องทั้งหมดตี๋ผิดเอง”

“ไหนบอกพี่สิ หืม...” เอสใช้สองมือประคองใบหน้าของคนรักให้เงยขึ้นสบตากัน “เราผิดอะไร?”

ตี๋เม้มปากก่อนจะตอบสั้น ๆ “ตี๋ดื้อ”

เอสยกยิ้มมุมปาก “แล้วรู้ไหมว่าเด็กดื้อจะต้องโดนลงโทษ”




TBC…
บทลงโทษของเด็กดื้อจะเป็นอะไรน้า~~ ฮิฮิ  :hao6:
เรายังยืนยันอยู่ว่านิยายเรื่องนี้เป็นนิยายฟีลกูดนะคะ
อย่าเครียดกันไปเลย 555555
 :L2:









หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.18 หน้า 3 [up:25/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 25-06-2018 19:47:00
ตี๋น่าร๊ากกกกก
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.18 หน้า 3 [up:25/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-06-2018 21:51:20
 :hao7:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.18 หน้า 3 [up:25/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-06-2018 23:07:09
น้ำเปลี่ยนนิสัยจริงๆ

ไม่ก็ทำให้เกิดแต่เรื่องร้ายๆ   :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.18 หน้า 3 [up:25/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 26-06-2018 02:07:31
รอพี่เอสจัดการเด็กดื้อ
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.18 หน้า 3 [up:25/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 26-06-2018 03:24:02
รอบทลงโทษนะคะ จะแซ่บเอ้ยโหดยังไงนะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.18 หน้า 3 [up:25/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 26-06-2018 10:05:06
ปรับตัว น่ารักทั้งคู่

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.18 หน้า 3 [up:25/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 26-06-2018 20:05:44
:กอด1: :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.18 หน้า 3 [up:25/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 26-06-2018 23:56:09
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.18 หน้า 3 [up:25/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 28-06-2018 11:50:01
น้องตี๋ไม่น่ารอด :hao6:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.19 หน้า 4 [up:07/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 07-07-2018 21:41:28



19




“แล้วรู้ไหมว่าเด็กดื้อจะต้องโดนลงโทษ”

ตี๋รู้ว่า ‘บทลงโทษ’ ของอีกคนหมายถึงอะไร ดูได้จากสายตาวาววับเหมือนเสือจ้องตะครุบเหยื่อแบบนี้แล้ว ก็ทำให้ได้รู้ว่าอะไรจะเป็นบทลงโทษของสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป

...แต่มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดก็ได้

เลยทำใจดีสู้เสือตัวนี้และถามออกไป “ลงโทษอะไรเหรอ?”

พอโดนง้อมากเข้าก็เลยทำให้ตอนนี้เอสอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว อันที่จริงเขาทนเห็นอีกฝ่ายหงอยแบบนี้ได้ไม่นานหรอก แค่ตี๋ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ใจเขาก็ร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว แต่เพราะด้วยความที่ถ้าเขาแสดงออกว่าหายแล้วมันจะทำให้ตี๋คิดว่าแค่ง้อไม่นานเขาก็หายและคราวหน้าก็จะทำแบบนี้อีก

เอสโอบเข้าที่เอวบางของคนรัก เห็นตี๋มีท่าทีล่อกแล่กเขาก็หัวเราะในใจ ดูท่าเหมือนจะรู้ทันว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรเป็นการ ‘ลงโทษ’ อยู่นะเจ้าตัวถึงยกมือขึ้นดันอกหนาเมื่อเขาค่อย ๆ เข้าไปใกล้มากขึ้นจนทุกสัดส่วนแทบจะแนบชิดกันไปหมด

“บทลงโทษเหรอ” เอสกระซิบ “ง่าย ๆ ก็แค่ตามใจพี่”

ตี๋มองหน้าเอสเหมือนกับชั่งใจ เขาก็ผู้ชายที่ยังมีความอยากรู้อยากเห็น แต่ที่ผ่านมาเรียกว่ายังไม่กล้าและที่สำคัญคือกลัวว่าสุดท้ายแล้วเขาจะทำมันไม่ได้ เขากลัวว่ามันจะไปกระทบกระเทือนจิตใจของอีกฝ่าย เพราะอีกฝ่ายนั้นเป็นผู้ชายเหมือนกัน

คนมีความผิดติดตัวแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างประหม่า

“ถามหน่อยได้ไหม?” เอสพยักหน้ารับ “ตะ- ตามใจอะไรอะ?”

คนถูกถามอย่างเอสหรี่ตามองราวกับจะบอกว่ารู้อยู่แล้วยังจะถามอีกนะ เขาเผยยิ้มออกมา ช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์มากสำหรับตี๋ แต่ด้วยเพราะยังรู้สึกผิดไม่หายเลยทำให้ไม่กล้าโวยวายเหมือนปกติออกมา และอาจเพราะน้ำเมาที่ดื่มไปนั้นมันกระตุ้นสัญชาตญาณของเพศชายให้อยากรู้อยากลองขึ้นมา

ตี๋กลืนน้ำลายเมื่อใบหน้าของอีกฝ่ายค่อย ๆ โน้มเข้ามาใกล้จนริมฝีปากของทั้งคู่ทาบทับกัน มันเป็นจูบที่แผ่วเบา แต่น่าแปลกที่มันทำให้เขารู้สึกวาบหวามมากกว่าที่เคยเป็น ก้อนเนื้อที่อยู่ในอกเต้นรัวจนน่ากลัวว่าเขาจะหัวใจวายตายหรือเปล่า

ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้ากลืนกินให้ลึกมากขึ้น ตี๋รู้สึกราวกับว่าตัวเองนั้นกำลังดำน้ำลึก ที่ยิ่งลึกลงไปเท่าไหร่ก็หลงใหลความสวยงามใต้ท้องน้ำจนไม่อยากจะขึ้นมาบนผืนดิน ตี๋โอบแขนขึ้นกอดรอบคอของคนที่เปรียบได้กับผืนน้ำสีน้ำเงินแสนสวยงามของเขา

ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไปตามร่างกายของคนตัวขาวผ่านเนื้อผ้าของชุดนักศึกษา กลิ่นสุราที่มาจากอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจนิดหน่อยจนเผลอกัดปากล่างของตี๋เบา ๆ อีกฝ่ายมองเขาด้วยสายตาคาดโทษเล็กน้อยก่อนจะเป็นฝ่ายจู่โจมกลับบ้าง

ถึงตี๋จะไม่ได้จูบเก่งอะไรมากมาย แต่ก็กระตุ้นให้เขาเกิดอารมณ์ได้ดีทีเดียว ความไม่ประสานี่แหละที่เขาชอบ แค่ได้รู้ว่าครั้งแรกของอีกฝ่ายเป็นของเขา...เท่านี้ก็สุดยอดแล้ว เพราะแบบนี้เขาถึงได้ไม่เร่งรีบที่จะจัดการให้อีกฝ่ายเป็นของเขาไวนัก เขาค่อย ๆ ทำให้ตี๋คุ้นเคยกับสัมผัสจากเขา ค่อย ๆ กระตุ้นความต้องการของอีกฝ่ายอย่างค่อยเป็นค่อยไป และทำทุกอย่างเพื่อให้เด็กคนนี้รู้สึกว่าขาดเขาไม่ได้...โดยไม่รู้ตัว

เอสเป็นฝ่ายผละออกมาก่อน “ไปอาบน้ำด้วยกันนะ”

คนน้องหน้าแดงวาบเมื่อได้ยินแบบนั้น เจ้าตัวครุ่นคิดอยู่ได้สักพัก ในขณะนั้นก็โดนเอสพรมจูบที่ซอกคอราวกับร้องขอไปด้วย ใจหนึ่งเขาเองก็ยังไม่พร้อมกับเรื่องนี้ แต่ทว่าก็ไม่สามารถสู้กับความต้องการของตัวเองได้ สุดท้ายแล้วเขาก็ยอมพยักหน้าแต่โดยดี

สายน้ำอุ่นที่ไหลออกมาจากฝักบัวก็สู้ความร้อนที่มาจากร่างกายของคนทั้งคู่ยามนี้ไม่ได้ ตี๋รู้สึกอายมากเมื่อต้องเปลือยต่อหน้าอีกฝ่าย ไฟในห้องน้ำสว่างมากจนคิดว่าคงจะเห็นทุกสัดส่วนของกันและกัน เขาอายที่ส่วนนั้นตัวเองมีอารมณ์ยามที่โดนอีกคนปลุกเร้าเลยพยายามที่จะหันหลังให้ หวังว่าจะซ่อนมันจากสายตาของอีกฝ่ายไว้ได้ แต่ไม่ว่าจะหันหน้าหรือหันหลังเขาก็โดนลูบไล้ไปหมดทั้งตัว

“จะลูบให้หนังกำพร้าหลุดออกมาเลยหรือไง” เจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะพูดค่อนขอด “แบบนี้ตี๋ก็เสียเปรียบสิวะ”

เอสหัวเราะในลำคอ “งั้นเราก็หันมาฟอกสบู่ให้พี่สิ ตี๋จะได้ไม่เสียเปรียบไง”

ตี๋หันขวับมามองอีกฝ่าย “ไม่ต้องเลย แบบไหนตี๋ก็เสียเปรียบโว้ย”

คนพี่ยิ้มขันที่โดนน้องมันรู้ทัน เขาลงมือล้างตัวของตี๋ให้สะอาดเอี่ยม ก่อนจะบอกให้ออกไปรอข้างนอกก่อน ถึงจะได้ทำความสะอาดตัวเองบ้าง

คนตัวขาวเดินพันผ้าขนหนูออกมาจากห้องน้ำด้วยอาการงง ๆ เบลอ ๆ ยกผ้าในมือเช็ดผม ความร้อนในตัวจากการที่โดนสัมผัสเมื่อครู่ยังติดอยู่ เจ้าตัวก้มมองไอ้นั่นที่ยังคงตั้งอยู่นิดหน่อย เขารู้ว่าปล่อย ๆ มันไปเดี๋ยวมันก็หดกลับไปเอง ริมฝีปากบวมแดงนั่นเม้มเข้าอย่างใช้ความคิด

...แล้วกูควรจะใส่เสื้อผ้าเลยดีไหมวะ เดี๋ยวไอ้คนหื่นจะหาว่าแก้ผ้าอ่อยเหยื่ออีก...

แต่ไม่ทันจะตัดสินใจได้ คนหื่นที่ว่าก็ออกมาจากห้องน้ำ

“ทำไมไม่พันผ้าขนหนูออกมาล่ะวะ!” ตี๋หันกลับแทบไม่ทัน ปากแดงนั่นด่าไม่ได้เสียงดังนัก เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนคนในบ้าน

“พันทำไม? เดี๋ยวก็ต้องถอดอีก” ขายาวเดินเข้าหาอีกฝ่ายที่หันหลังให้เขาก่อนจะดึงเอวบางเข้าหากอดเอาไว้ และกดจูบที่ขมับด้วยความรักใคร่

ตอนนี้คนน้องเริ่มจะไม่กล้าซะแล้วหลังจากที่เห็นอาวุธของอีกคนเต็มตาขนาดนั้น

“วันนี้พอแค่นี้ไม่ได้เหรอ?” ตี๋พยายามถามเสียงอ้อน แต่พอโดนมือเย็น ๆ ลูบไปตามแผ่นอกและสะกิดเข้าที่ยอดอกก็ตัวสั่นด้วยความเสียว

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ” เอสหอมเข้าที่หลังหูจนตี๋ต้องย่นคอหนีสัมผัสจากเขา “พี่ยังไม่ทำถึงขั้นสุดหรอกครับ” ตอนนี้เรียกได้ว่าเขามัวเมากับร่างกายของอีกฝ่ายมาก แต่ก็ยังดีที่มีสติยับยั้งตัวเองได้ว่าครั้งแรกของตี๋เขาจะอ่อนโยนและต้องสร้างความรู้สึกดีในครั้งแรกให้ได้มากที่สุด เพื่อที่น้องจะได้ไม่กลัวในครั้งต่อไป

ตี๋ที่ถึงจะรู้สึกอายอยู่แต่ก็สบายใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น มาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องไปต่อแล้วล่ะนะ แล้วอีกอย่างก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วยว่า...ก็รู้สึกดีเหมือนกัน มันเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เขาไม่เคยเผชิญ และพอได้ลิ้มลองดูแล้วก็ทำให้หยุดได้ยาก

คนเป็นพี่ซุกหน้าเข้ากับซอกคอที่มีกลิ่นสบู่อ่อน ๆ ผิวของตี๋เรียกได้ว่าสวยกว่าผิวผู้ชายทั่วไปมากทั้งขาวและเนียน ตามตัวมีแต่ขนบาง ๆ เลยทำให้ลูบไปตรงไหนก็ติดใจไปเสียหมด เขาปลดผ้าขนหนูที่พันรอบเอวผอมของอีกฝ่ายออกแล้วดันให้ตี๋นอนหงายลงบนที่นอน เจ้าตัวคงจะรู้สึกเขินอายเลยรีบพลิกตัวนอนคว่ำลงเผยให้เห็นแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยสักรูปมังกรสีดำตัดกับผิวขาวชัดเจน สำหรับเขามันดูเซ็กซี่มาก ไม่ว่าจะด้านหน้าหรือด้านหลังของตี๋มันดูยั่วยวนเขาไปทุกส่วน

...แย่ล่ะ เขาดูท่าจะอาการหนักแล้วสิ

คนที่นอนคว่ำหน้าเพราะอายส่วนนั้นของตัวเอง รู้สึกได้ถึงสายตาที่ยืนมองเขาอยู่ทางด้านหลัง เขาเลยหันหน้ากลับไปมองก็เห็นอีกฝ่ายมองมาที่เขา เป็นสายตาที่เหมือนเสือกำลังเห็นอาหารอันโอชะอยู่ตรงหน้าและอยากกินแทบจะทนไม่ไหว

“จะมองอีกนานไหมวะ?” เจ้าตัวถามน้ำเสียงหาเรื่อง เอสยิ้มมุมปากก่อนจะขึ้นมาคร่อมทับเขาบนเตียง

“เรารีบเหรอ?”

“รีบบ้าอะไรล่ะ!”

“วัยรุ่นก็ใจร้อนแบบนี้แหละน้า~” เขาค่อย ๆ พรมจูบตามแนวกระดูกที่สวยงาม และใช้ช่วงจังหวะที่น้องกำลังเพลินนี่แหละพลิกตัวอีกฝ่ายขึ้นหงายแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่งระหว่างขาทั้งสองข้าง ดูท่าตี๋จะตกใจจนพูดไม่เป็นเลยทีเดียว

“เดี๋ยวพี่จัดการเอง ตี๋นอนเฉย ๆ เถอะ”

คนอยู่ด้านใต้ใจเต้นไม่เป็นส่ำ คราวนี้มันแอดวานซ์มากขึ้นกว่าตอนในห้องน้ำด้วยซ้ำ ความอุ่นร้อนที่ครอบครองตรงนั้นของเขา สัมผัสแปลกใหม่ ราวกับโดนคลื่นในทะเลซัดสาดไปมาจนตัวไม่ติดพื้นทำเอาหัวหมุนไปหมด เขาพยายามจะหุบขาแต่ก็ดันติดหัวของอีกฝ่าย รู้สึกดีเสียจนแทบจะร้องคราง แต่ก็ต้องเอามือปิดปากกลั้นเสียงไม่ให้มันดังออกมา เสียงของเหลวเฉอะแฉะฟังดูแล้วน่าอายดังต่อเนื่อง ไม่นานนักมันก็สิ้นสุดลง เขานอนหอบหายใจด้วยความโล่ง

“อย่าเพิ่งหลับสิ” เอสบอกเมื่อเห็นดวงตาของน้องหรี่ลง “พี่ยังไม่เสร็จเลยนะ”

“หา!” ตี๋กะพริบตาปริบ ๆ “อย่าบอกว่าจะให้ตี๋ทำนะ”

เอสหัวเราะในลำคอ “ไม่ใช่แบบนั้น พี่ไม่ทรมานเราหรอก” เขารู้ว่าชายแท้อย่างตี๋แค่ที่ทำมานี่เขาก็นับถือมากแล้ว ไอ้จะให้มาอมของผู้ชายเหมือนกันนี่ดูจะโหดร้ายสำหรับมือใหม่ไปเสียหน่อย

เขายกมือขึ้นเกลี่ยผมชื้นเหงื่อของน้อง “แล้วเรา...รู้สึกดีไหม?”

ตี๋อึกอัก รู้สึกเขินที่โดนถามอะไรแบบนี้ แต่พอมองหน้าของอีกฝ่ายแล้วก็พยักหน้าตอบไปโดยอัตโนมัติ

“งั้นพี่จะสอนอะไรให้อีกนะ”

พอเห็นสายตาสงสัยของตี๋  เขาก็ก้มลงไปจูบด้วยความรักใคร่ เริ่มจู่โจมคนข้างใต้อีกครั้งฝ่ามือใหญ่กอบกุมตัวตนของอีกฝ่ายเอาไว้และปลุกให้มันตื่นอีกครั้ง เขาชอบตอนนี้มากกว่าเมื่อครู่เสียอีก เพราะครั้งนี้มันทำให้เขาได้เห็นหน้าของคนรักในด้านที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

น่าเอาเป็นบ้า...ก็ได้แต่คิด เขาต้องอดทนไว้ อดเปรี้ยวไว้กินหวานดีกว่า ขืนทำอะไรบุ่มบ่ามไปตอนนี้สงสัยอดกินทั้งเปรี้ยวและหวานแน่นอน

เอสรวบตัวตนของเขาเข้ากับอีกฝ่ายรูดรั้งไปพร้อมกัน ที่จริงอยากจะลูบไล้ตัวขาว ๆ ของตี๋ให้มากกว่านี้ แต่ตัวของเขาที่ตั้งรอมานานมันก็จะทนไม่ไหวแล้วน่ะสิ เขาขยับสะโพกเสียดสีตรงนั้นให้มันถูไถไปกับของคนด้านใต้ แรง...เสียจนเสียงเตียงเก่าดังเอี๊ยดอ๊าด แต่เขาก็หยุดไม่ได้แล้วนี่สิ โชคดีที่ห้องของป๊านั้นอยู่ฝั่งตรงข้ามนะ

ให้ตาย...สงสัยคงต้องซื้อเตียงใหม่แล้ว

“เบา ๆ หน่อย เดี๋ยวป๊าได้ยิน” ตี๋บอกเสียงกระท่อนกระแท่นเต็มไปด้วยความรู้สึกวาบหวาม

เอสยิ้มมุมปาก ค่อย ๆ ทำให้ช้าลง “เดี๋ยวพี่ซื้อเตียงใหม่ดีไหม?”

คนด้านใต้สบสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของเอส เขาหันหน้าหนีเพราะรู้ถึงจุดประสงค์ของเตียงใหม่นั่น ก่อนจะด่าออกมาเสียงแผ่ว “อะ- ไอ้บ้าเอ๊ย” ตอนนี้เขาเหนื่อย...แต่ก็รู้สึกดีไปด้วย ความแปลกใหม่ของชีวิตที่เพิ่งเคยลิ้มลองมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด แต่ถ้าจะให้พูดตามตรงกับผู้ชายคนอื่นเขาก็คงจะทำไม่ได้หรอก แต่นี่เพราะเอสเป็นคนที่เขารัก...เขาถึงเต็มใจ

เวลาผ่านไปไม่นานนักตี๋ก็ปลดปล่อยออกมาเป็นรอบที่สองและเอสก็ตามไปติด ๆ คนตัวใหญ่กว่าล้มตัวนอนทับน้อง ยิ้มออกมาด้วยความพึงใจ กดจูบขมับชื้นเหงื่อของตี๋ด้วยความรัก

“พี่...รู้สึกดีหรือเปล่า?”

คนเป็นพี่รู้สึกแปลกใจที่ตี๋เป็นฝ่ายถาม เขายันแขนขึ้นมองใบหน้าของน้องที่ตอนนี้แก้มทั้งสองข้างแดงดูน่ารักมาก เอสยิ้มกว้างแนบหน้าผากของตัวเองเข้ากับอีกฝ่าย ก่อนจะตอบ “ดีมากเลย ขอบคุณมาก ๆ เลยนะครับ นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ได้ทำกับคนที่รัก ที่ผ่านมามันเทียบกับครั้งนี้ไม่ได้เลยแม้แต่นิด ขอบคุณจริง ๆ ที่ยอม พี่รักตี๋นะ”

ตี๋กอดหมับเข้าที่คอของอีกฝ่าย “ไม่เป็นไรเนอะ ถ้าไม่ใช่พี่...ตี๋ก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะทำได้หรือเปล่า”

“อย่าไปทำกับใครนะ”

“จะบ้าเหรอ” ตี๋แหวเข้าให้ทุบหลังคนด้านบน เอสหัวเราะเสียงต่ำก่อนจะทิ้งตัวลงนอนตะแคงบนเตียง คว้าผ้าห่มขึ้นมาห่มร่างที่เปลือยเปล่าของทั้งตนและตี๋ ทั้งสองคนหันหน้าเข้าหากัน ปราศจากเสียงพูดคุยอยู่หลายวินาที อีกฝ่ายที่อายุมากกว่ามองเขาด้วยความหวงแหนและรักใคร่ “จะไปทำกับใครได้ยังไงล่ะ ก็...”

เอสตั้งใจรอฟังว่าน้องจะพูดอะไร แต่เจ้าตัวพูดไม่ทันจบก็หน้าแดงขึ้นมาก่อน “ก็อะไรเหรอครับ?” พอเขาถามจบก็ยังไม่มีคำตอบจากอีกคนอยู่ดี ตาตี่มองเขาอย่างลังเลก่อนจะพุ่งตัวเข้ากอดแล้วเอาหน้าซุกอกเขา

“ก็รักพี่ไปแล้วนี่นา” พูดเสียงอู้อี้อยู่กับอกหนา

จนเอสไม่แน่ใจว่าที่เขาได้ยินน่ะมันใช่อย่างที่น้องพูดจริงหรือเปล่า ก้อนเนื้อในอกเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น เขาพยายามดันเจ้าตัวออกแต่มันก็ยากเหลือเกินเพราะตี๋กอดเขาเสียแน่น สุดท้ายคนน้องก็สู้แรงไม่ไหว เอสประคองแก้มของอีกฝ่ายเอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พูดให้พี่ฟังอีกครั้งได้ไหม...ให้พี่แน่ใจว่าพี่ฟังไม่ผิด”

จากที่กำลังเขิน เมื่อเห็นท่าทีลนลานของอีกฝ่ายก็กลับกลายเป็นรู้สึกเอ็นดูอีกคนขึ้นมา ตี๋ยิ้มก่อนจะจูบที่ริมฝีปากของเอสเบา ๆ

“จะไปทำกับใครได้ยังไงกัน...ก็ตี๋รักพี่ไปแล้วนี่”

เอสค่อย ๆ เผยยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ หลังจากที่รอมานานและมีแต่เขาที่เป็นฝ่ายบอกอยู่คนเดียวมาตลอด ในที่สุดเขาก็ได้ยินคำว่ารักจากอีกฝ่าย เขากดจูบที่ปากกลับคืนบ้าง

“ในที่สุดก็ยอมพูดนะ”

“รอนานเลยเหรอ?” ตี๋พูดยิ้ม ๆ ยกมือขึ้นคลึงผมที่ท้ายทอยของอีกฝ่าย “ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไรหรอก นานกว่านี้พี่ก็รอได้”

“อย่ามาทำพูดดีเลย ทีเมื่อกี้มาทำเป็นพูดว่าเด็กดื้อต้องโดนลงโทษ นี่ถ้าตี๋ไม่ไปกินเหล้ามา พี่ก็ยังไม่ได้โอกาสนี้หรอก”

เอสหัวเราะในลำคอแล้วย้อนถาม “แล้วไม่รู้สึกดีหรือไง?”

ตี๋ไหวไหล่ “ก็งั้น ๆ แหละ”

“งั้น ๆ เหรอ” เอสยิ้มมุมปากสายตาเจ้าเล่ห์ “แล้วใครน้า นอนทำหน้าเคลิ้มอยู่ข้างใต้ตัวพี่ แดงไปทั้งเนื้อทั้งตัว แถมยังครา-”

ไม่ทันจะพูดจบก็โดนมือขาวปิดปากเสียก่อน “จะพูดทำไมวะ!”

เอสหัวเราะตาหยี ดึงมือที่ปิดปากตัวเองออก หอมลงที่หลังมือขาว

“อยากแต่งงานจังเลย”

“เพ้อเจ้อ” ตี๋ว่าคิ้วขมวด

“แล้วตี๋ไม่อยากแต่งงานเหรอ?”

คนถูกถามคิดก่อนจะตอบ “ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลย ไม่เคยคิดเรื่องมีแฟน หรือว่าสักวันหนึ่งต้องแต่งงานมีลูก ไม่เคยคิดเรื่องที่ว่าจะต้องมีครอบครัวที่อบอุ่น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”

“พี่ก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน” เอสยิ้มบาง ๆ “จนกระทั่งกลับมาเจอเราอีกครั้ง ความรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องเมื่อก่อนก็ค่อย ๆ หายไป”

ตี๋นอนตะแคงกะพริบตาปริบ ๆ ตั้งใจรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ

“ตอนที่ยังเด็กพี่ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องพวกนั้นถึงเกิดขึ้นกับพี่ ทั้งโกรธและเสียใจ พี่ไม่มีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับความรักอีกเลยนับตั้งแต่ที่ป๊ากับแม่ของพี่เลิกกัน แต่พอมาตอนนี้...พี่กลับคิดว่าดีเหมือนกันนะ เพราะเรื่องที่ผ่านมาได้สอนให้พี่รู้จักรักษาความรักของตัวเอง รู้จักรักและทะนุถนอมคนที่รักอย่างไร ถึงก่อนหน้านี้พี่จะทำเรื่องไม่ดีมามากมาย แต่ตอนนี้พี่จะต้องเป็นคนดีเพื่อที่จะได้เป็นคนรักของเราได้อย่างเต็มภาคภูมิ”

ตี๋ยิ้ม “ขอบคุณนะ” เขารู้สึกขอบคุณที่อีกฝ่ายรักเขามากขนาดนี้ เจ้าตัวขยับขึ้นไปกดจูบที่หน้าผากเกลี้ยงของคนอายุมากกว่าและกอดไว้ด้วยความรัก ที่เขาบอกไปว่าไม่เคยคิดเรื่องมีแฟนนั้นเป็นความจริง แม้กระทั่งในตอนแรกที่ตกปากรับคำว่าจะคบกับอีกฝ่ายก็รับปากไปอย่างนั้น ไม่คิดว่าตนจะจริงจังขนาดนี้ด้วยซ้ำ จากที่เคยรู้สึกว่าเอสเป็นแค่พี่ชายแต่ตอนนี้มันกลับมีความรู้สึกอื่นแทรกซึมเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

“ไปอาบน้ำกันเถอะ เหนียวตัวอะ” ตี๋มองไปที่นาฬิกาที่บอกเวลาตีสองกว่า “ดึกแล้วด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ต้องตื่นมาดูแลป๊าอีก”

ทั้งคู่เข้าไปอาบน้ำล้างตัวพร้อมกัน ไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันอีก เพียงแค่ผลัดกันอาบน้ำฟอกสบู่รอบที่สอง หลังจากที่พวกเขาได้ใกล้ชิดกันขึ้นไปอีกขั้น บรรยากาศของเอสเต็มไปด้วยความอบอุ่น ซึ่งมันทำให้ตี๋รู้สึกสบายใจมากขึ้น ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องระวังตัวเองเหมือนเมื่อก่อน

“พี่นี่เป็นแม่ศรีเรือนดีจัง” คนน้องยืนมองเอสเตรียมชุดนอนให้เขาอย่างดีก็อดปากที่จะแซวไม่ได้ “ใครได้เป็นเมียคงโชคดีเนอะ”

“เราก็โชคดีได้พี่เป็นผัวแล้วนี่” เขาพูดยิ้มมุมปาก จับเสื้อใส่ให้ตี๋ เห็นเจ้าตัวทำหน้าเหม็นเบื่อแบบกูไม่น่าพูดขุดหลุมฝังตัวเองเลย ก็ทำให้เขาหัวเราะออกมา “เอ้า ไปนอนได้แล้ว”

พอตี๋หัวถึงหมอได้ไม่นานก็หลับลงด้วยความเพลียทันที ส่วนเอสก็ดูแลความเรียบร้อยก่อนถึงจะตามลงไปนอน ดึงคนข้าง ๆ ที่หลับไม่รู้เรื่องเข้ามากอดไว้แล้วถึงเข้าสู่ห้วงนิทราด้วยใจเป็นสุข




TBC…
หวานจนมดจะขึ้นจอแล้วค่าคุณขาาาาาาาาาา  :-[
อีก 2 ตอนเรื่องนี้ก็จะจบแล้วนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามและสนับสนุน
ขอบคุณที่ชอบนิยายเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ เรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณค่า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.19 หน้า 4 [up:07/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 07-07-2018 22:31:57
ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.19 หน้า 4 [up:07/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-07-2018 00:38:34
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.19 หน้า 4 [up:07/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 08-07-2018 10:51:46
ทีละนิด ทีละหน่อย ค่อยๆชินนะน้องตี๋
พี่เแสนี่ก็อดทนดีเนอะ :m25:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.19 หน้า 4 [up:07/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 08-07-2018 11:03:46
แค่นี้ก็ฟินได้ ทีละนิดๆ
เด๋วน้องมันก็คุ้นเคย
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.19 หน้า 4 [up:07/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-07-2018 11:47:11
เอส  ตี๋  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.19 หน้า 4 [up:07/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-07-2018 16:25:01
 :L2: :L1: :pig4:

น่ารักทั้งคู่
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.20 หน้า 4 [up:20/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 20-07-2018 22:14:03



20



(ต่อไปนะกูจะไม่ชวนมึงแดงเหล้าแล้ว ไอ้สัด) ภาคว่า
           
“ไมวะ?” ตี๋ขมวดคิ้วถามด้วยไม่เข้าใจ
           
(มึงช่วยดูหน้าพี่มึงด้วย ห่า! กูนี่กลัวขี้หดหมด เห็นท่าทางใจดีแบบนี้ บทจะไม่พอใจก็หน้านิ่งจนกูสยอง) ใจจริงก็อยากจะใช้คำพูดว่า ‘ผัวมึง’  อยู่หรอก แต่ก็ขี้เกียจจะเถียงกับมันยาว นี่เขาอุตส่าห์โทรหามันแต่เช้า เพื่อจะถามว่ามึงโดนฆ่าตายหรือยัง..ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนล้วน ๆ
           
“ไม่มีไรหรอกมึง ทำขู่ไปงั้นแหละ กูกระดิกนิ้วทีเดียวก็หายดีแล้ว”

(หรา เมื่อคืนไม่รู้หมาตัวไหนหน้าหงอยเหมือนโดนเจ้าของดุเลย แม่งยืนหลบอยู่ข้างหลังกูกับไอ้กลอยน้ำตางี้ซึมมม)

“ซึมพ่อมึง!”

ภาคหัวเราะขัน (เออ ๆๆ แค่นี้แหละมึง ไม่เป็นห่าอะไรก็ดีแล้ว)

หลังจากที่วางสายจากเพื่อนรักไปแล้ว ตี๋ก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง วันนี้เขาตื่นสาย คนที่นอนด้วยกันก็ไม่ได้เรียกให้เขาตื่นอย่างเคย แต่กลับเป็นไอ้ภาคโทรมาปลุกแทน และเพราะขี้เกียจลุกไปไหนเขาก็เลยหมกตัวอยู่บนเตียงของเอสต่อไป มือเรียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมไปเรื่อยเปื่อย จนท้องร้องบ่งบอกว่าหิวแล้วนั่นล่ะเขาถึงได้ลุกไปล้างหน้าแปรงฟัน

“อ้าว พี่ว่าจะขึ้นไปเรียกลงมากินข้าวพอดีเลย” เอสบอกทันทีที่เห็นตี๋เดินลงบันไดมา คนน้องได้ยินแบบนั้นก็รีบก้าวขาเร็ว ๆ ลงมายิ้มแป้นให้คนอายุมากกว่า

“หิวแล้ว~” พูดเสียงอ้อนพลางลูบท้องตัวเองป้อย ๆ

“หึหึ” เขาหัวเราะในลำคอเสียงต่ำ ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ผมสีดำขลับราวกับขนของอีกาด้วยความเอ็นดู “ไปกินกัน พี่ตั้งโต๊ะเสร็จแล้ว”

“ไง ไอ้เสือ” ป๊าทัก ตี๋ยกมือขึ้นไหว้ “ไปเมากลับมาหรือไง?”

“ไม่เมาสักหน่อย แค่มึน ๆ เอง”

เอสเหลือบมองเด็กปากดีแล้วส่ายหน้าปลง เขาตักข้าวแจกให้ทุกคน มองป๊ากับตี๋ที่คุยกันอย่างออกรสแล้วก็ได้แต่ยิ้ม รู้สึกอบอุ่นหัวใจเมื่อได้เห็นภาพแบบนี้...ครอบครัวที่แสนอบอุ่นของเขา

หลังกินข้าวเสร็จเขาเดินไปส่งน้องถึงบ้าน ตอนแรกตี๋ก็อิดออดนิดหน่อย แต่เขาก็บอกว่าจะเอากับข้าวที่ทำไปฝากคนที่บ้านนั้นเจ้าตัวถึงได้ยอม ไปถึงก็เจอป๊ากับม๊าของตี๋อยู่ที่หน้าร้านพอดี

เอสยกมือไหว้ “สวัสดีครับ” เขาบอกยิ้มน้อย ๆ ท่านทั้งสองรับไหว้ เขายื่นกล่องใส่กับข้าวให้ “ผมทำอาหารมาเผื่อครับ”

“โธ่ วันหลังไม่ต้องลำบากหรอกนะจ๊ะ” ม๊าของตี๋รับไปพลางพูดด้วยความเกรงใจ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมรบกวนอาเจ๊กกับอาซิ่มไว้เยอะเลย” ทั้งสองท่านคอยช่วยดูแลไปมาหาสู่ป๊าของเขาตลอดตั้งแต่ก่อนที่เขาจะกลับมาอยู่ที่นี่แล้ว

“ทางนี้ต่างหากที่ไปรบกวน” ป๊าเหลือบมองหน้าลูกชายคนเล็กหลังจากที่พูดเสร็จ เป็นเชิงว่าเอ็งนั่นแหละจะใครกัน

“ตี๋ไม่ได้รบกวนซะหน่อย” เจ้าตัวมุ่ยปาก

“ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับที่คอยช่วยดูแลป๊า”

“ไม่เป็นไร ๆ คนกันเองทั้งนั้น” ป๊าของตี๋บอกตบไหล่เอสเบา ๆ “แล้วนี่ทำไมถึงมาด้วยกันได้ล่ะ?” ท่านถามต่อ

“เอ่อ...” ลูกชายคนเล็กไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี

“พอดีผมไปรับน้องตั้งแต่เมื่อคืนแล้วน่ะครับ ตี๋เห็นว่าดึกมากแล้วเลยค้างที่บ้านผมเลยดีกว่า”

“กูบอกแล้วไงว่ามึงน่ะไปรบกวนเขา”

ตี๋พูดไม่ออก ได้แต่ก้มหน้ายอมรับคำของคนเป็นพ่อ แต่ก็แอบพยศโดยการทำปากขมุบขมิบ

เอสยิ้มขำกับท่าทางของตี๋ ก่อนจะบอก “ไม่เป็นไรหรอกครับ สำหรับน้องแล้วลำบากแค่ไหนผมก็เต็มใจ”

หลังจากที่เอสพูดจบก็เกิดความเงียบเข้ามาแทนที่ เริ่มจากตี๋ที่ยืนตาโตมองไปทางคนพูดด้วยความตกใจ ส่วนคนเป็นแม่ก็ยิ้มและมองมาทางคนพูดอย่างรู้ทัน และคนเป็นพ่อที่คิ้วขมวดมองไปที่เอสด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ รู้สึกมีลางสังหรณ์แปลก ๆ กับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

ตี๋รีบใช้จังหวะที่ทุกคนกำลังนิ่งอึ้งอยู่เนี่ยแหละ ลากตัวคนพูดเจ้าปัญหาออกมา “ตี๋พาพี่เอสขึ้นห้องแป๊บนะป๊าม๊า” ไม่รอให้ผู้ใหญ่ได้ตอบอะไร เขาลากคนตัวใหญ่ตรงขึ้นห้องไปเลย

“พี่พูดอะไรของพี่เนี่ย” คนน้องว่าทันทีที่ปิดประตูห้อง

เอสยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะบอก “พี่ลืมตัว” อันที่จริงแล้วเขาตั้งใจต่างหาก เพื่อแสดงให้เห็นว่าลูกชายคนเล็กบ้านนี้มีความสำคัญกับเขามากแค่ไหน และเขาก็รู้ด้วยว่าป๊าของตี๋เป็นคนฉลาด ต้องรู้สึกบางอย่างกับคำพูดของเขาบ้างสักนิด นี่เรียกได้ว่าถ้าอยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือล่ะนะ

“พี่นี่มันน่านัก ฮึ่ม!” เจ้าตัวอยากจะทึ้งหัวไอ้คนพี่ที่ยืนยิ้มอยู่นี่เหลือเกิน “ป๊าต้องสงสัยแล้วแน่ ๆ เลยเนี่ย”

“ไม่เป็นไรน่า” เอสดึงเอวผอมเข้ามากอดในขณะที่ตี๋แยกเขี้ยวใส่แถมยังเอามือดันอกของเขาเพื่อเป็นการขัดขืนไปด้วย “ไม่ต้องกังวลไปนะ”

พอเห็นตัวการที่ทำให้เขาเครียดนั้นพะเน้าพะนอพูดจาให้เขาสบายใจแล้ว เจ้าตัวก็อดที่จะถอนใจออกมาเบา ๆ ไม่ได้ รู้ว่าไม่ควรคิดกังวลเรื่องที่ยังไม่เกิด แต่มันก็อดไม่ได้จริง ๆ เขาวางแก้มลงบนบ่าหนา ยอมให้อีกฝ่ายกอดไว้แต่โดยดี แม้ในใจจะยังไม่คลายกังวลแต่ก็รู้สึกสบายใจเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่นของอีกคน
 


/



หลายวันมานี้อาฮงคิดมากไม่หายเสียที หลังจากวันนั้นที่เขาได้ยินประโยคที่ว่า ‘ลำบากแค่ไหนผมก็ยอม’ ของไอ้หนุ่มลูกชายเฮียโจวแล้ว ก็ทำเอาเขาคิดหนักเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างลูกชายคนเล็กของเขากับเอส

ถ้าจะให้มองโดยละเอียดแล้วก็จะเห็นได้ว่าทั้งคู่ต่างสนิทสนมกันมากจนดูผิดวิสัยไปบ้างเหมือนกัน

เทอมที่แล้วตี๋มันยังไปค้างบ้านโน้นแค่คืนวันศุกร์กับวันเสาร์ แต่ตั้งแต่เปิดภาคการศึกษาใหม่มานี้ลูกชายของเขานอนบ้านในหนึ่งอาทิตย์นี่แทบนับวันได้เลย ถึงจะมีการกลับมากินข้าวเย็นเกือบทุกวันก็ตาม

ตอนแรกเขาคิดว่าตี๋มันก็แค่ติดเพื่อน ซึ่งมันก็ดูเป็นปกติของผู้ชาย แต่พอได้ยินเอสพูดแบบนั้นแล้วก็ทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมา
ผู้ชายด้วยกันจะมาทุ่มเทให้กันและกันได้ขนาดนี้เลยเหรอ?



/
 


“ป๊าหวัดดี” ตี๋ที่เพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัยเดินเข้าบ้านมาเห็นป๊านั่งเหม่อ ๆ ก็ทักทายเสียงดังจนเจ้าตัวสะดุ้งโหยง

“ไอ้ห่านี่” ท่านด่าแบบไม่จริงจังนัก

ลูกชายคนเล็กหัวเราะเสียงใส ก่อนจะถาม  “ม๊าทำกับข้าวเหรอ?”

“เออ” ท่านตอบเหลือบมองลูกชายที่วางของบนโซฟาเตรียมตัวจะเข้าไปหาคนเป็นแม่ในครัวตามปกติ “ไอ้ตี๋” แต่เขาเรียกไว้ก่อนที่มันจะเดินไป เจ้าตัวหันมามองเลิกคิ้วขึ้น

“มีอะไรเหรอป๊า?” พอเห็นว่าคนที่เรียกไม่ได้พูดอะไรตี๋เลยเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้น

“มานั่งนี่ก่อนมา” เขาบอก “กูมีอะไรจะถาม”

ตี๋ชะงักไปก่อนจะค่อย ๆ เดินมานั่งลงบนโซฟาด้วยใจเต้นระส่ำ พยายามทำตัวไม่ให้มีพิรุธ ก่อนถาม “ป๊ามีอะไรเหรอ?”

“มึงกับเอสน่ะ...คบกับแบบไหนเหรอ?”

เหมือนกับโลกหยุดหมุนไปชั่วครู่ เขาพูดอะไรไม่ออกราวกับว่ามีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอ ดวงตาที่มองตรงไปทางคนเป็นพ่อสั่นไหวด้วยความตกตะลึง ใบหน้าของป๊าไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมา นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกกลัวจนพูดไม่ออก

“คบกันอยู่ใช่ไหม?” ท่านถามเสียงเรียบอีกครั้ง

ตี๋หลบตาวูบ เขาไม่ได้ตอบแต่ก็ไม่ปฏิเสธ ในบางครั้งความเงียบก็เป็นคำตอบได้ดีที่สุด อยากจะตอบออกไปว่าใช่ แต่กลับพูดไม่ออกราวกับมีใครมาปิดปากเอาไว้ ใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก

“คบกันจริง ๆ สินะ” คนเป็นพ่อพูดขึ้นมาราวกับพึมพำอยู่กับตนเอง บอกไม่ถูกว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรดี เสียใจ ผิดหวัง หรือไม่รู้สึกอะไรดี

นานนับนาทีกว่าที่ตี๋จะเปิดปากพูดเสียงเบา “ตี๋ขอโทษ”

“ไปหาม๊าในครัวได้แล้ว ไป”

เขามองป๊าที่พูดเสียงเรียบ หน้าตาดูเป็นปกติจนน่าแปลก เขาไม่เข้าใจและงุนงงกับท่าทางแบบนี้ของท่านมาก ท่านหยิบรีโมตเปิดรายการข่าวดูด้วยท่าทีเหมือนดั่งเช่นทุกวัน เขาไม่กล้าขยับตัวไปไหนจนกระทั่งม๊าเรียกเข้าไปช่วยเตรียมกับข้าวในครัวนั่นล่ะ

“เกิดอะไรขึ้นเหรอลูก?” เธอเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของลูกชายจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

คำถามของคนเป็นแม่เหมือนเป็นตัวกระตุ้น มือที่กำลังล้างผักในกะละมังสั่นน้อย ๆ อย่างห้ามไม่ได้ ขอบตาร้อนผ่าว “ป๊ารู้แล้วนะม๊า”

พอได้ยินเสียงสั่นของตี๋ คนเป็นแม่เงยหน้าขึ้นจากหม้อต้มจืด ก่อนจะหรี่ไฟแล้วเดินมาหาลูกที่ก้มหน้าล้างผักอยู่ มือเล็กบางของเธอวางลงที่กลางแผ่นหลังบางของลูกชาย ลูบปลอบแผ่วเบา

“ตี๋...ทำให้ป๊าต้องผิดหวังมากเลยใช่หรือเปล่า”

ยิ่งเห็นลูกชายคนเล็กพูดไปน้ำตาร่วงไปใจเธอก็วูบโหวงด้วยความสงสาร ก่อนจะถามเสียงนุ่ม “ป๊าเขาพูดแบบนั้นเหรอครับ?” ตี๋ส่ายหน้าน้ำตาไหลไม่หยุด คนเป็นแม่ยิ้มบาง “คิดไปเองอีกแล้วลูกม๊า”

เด็กคนนี้จิตใจดีอ่อนไหวง่าย ยิ่งกับคนที่รักแล้วจะกลัวไปหมดว่าตัวเองจะทำไม่ดีกับอีกฝ่าย กลัวว่าตัวเองจะทำให้คนที่รักเสียใจ มองจากภายนอกแล้วอาจจะดูว่าลูกชายคนนี้ของเธออาจจะไม่ใช่คนแบบนั้น เพราะถ้าไม่สนิทหรือรักกันจริง ๆ ตี๋จะไม่แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาให้ได้เห็นเลย

“แล้วป๊าเขาว่ายังไงบ้าง หื้ม?” เมื่อเห็นลูกชายเธอไม่พูดอะไร ก็เลยถามต่อ มือก็เอื้อมไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าขาวของลูก

ตี๋ส่ายหน้า “ตี๋ไม่รู้ ป๊าไม่พูดอะไรเลย ปกติจน...น่ากลัว”

“ม๊าว่าเรื่องนี้หนูต้องให้เวลาป๊าสักหน่อยนะ” ท่านยังคงลูบหลังของลูกชายอย่างแผ่วเบา “ให้เวลาป๊าได้คิดอะไรเองคนเดียวก่อน บางทีเรื่องมันอาจจะไม่แย่อย่างที่หนูกลัวก็ได้นะครับ”

ตี๋สูดน้ำมูก เขาหยุดร้องไห้แล้ว เจ้าตัวยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดคราบน้ำตา พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองให้ได้

“ใจเย็น ๆ ก่อนเนอะ”

เขาพยักหน้า เห็นม๊ายิ้มให้แล้วเขาก็ยิ้มบาง ๆ ตอบไป มือขาวเล็กบางของคนเป็นแม่เอื้อมขึ้นลูบหัวของตี๋ที่ตัวสูงกว่ามากก่อนจะดึงหน้าของลูกชายให้ก้มลงมาหอมแก้มไปหนึ่งฟอด ส่วนตี๋ก็หอมกลับบ้าง

“ช่วยม๊าทำกับข้าวต่อนะ”

“ครับ”

ตี๋ช่วยม๊าล้างผักให้เสร็จ ก่อนจะช่วยเป็นลูกมือตำน้ำพริกกะปิ เรียกว่าเป็นมือเป็นไม้ช่วยออกแรงจะดีกว่า ขนาดว่าเข้าครัวบ่อยแบบนี้แล้ว เรื่องการทำกับข้าวของเขาก็ยังไม่ไปไหนเลย ยังคงทำได้แค่ทอดไข่และต้มมาม่าอยู่ดี

กับข้าววันนี้เป็นแกงจืดตำลึงหมูสับ น้ำพริกกะปิ เต้าหู้ทรงเครื่อง และปลาทอดราดน้ำปลา พอเห็นกับข้าวอร่อยแบบนี้ก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย จะเห็นว่าเห็นแก่กินก็ได้ แต่เขาก็ไม่เคยมีอาการเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับมาก่อนเหมือนกัน

“เดี๋ยวหนูเอากับข้าวไปให้บ้านโน้นด้วยนะ”

ตี๋พยักหน้ายิ้มน้อย ๆ อย่างน่ารัก หยิบกล่องขึ้นมาตักกับข้าวแบ่งให้ป๊าพี่เอสอย่างขยันขันแข็ง ก่อนจะหันไปบอกแม่ว่าขอตัวเอากับข้าวไปส่งก่อน ตอนที่เดินผ่านป๊าที่หน้าโทรทัศน์ก็กลั้นใจก้มหน้าก้มตาเดินผ่านไป พอออกมาจากบ้านได้เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่ง เงยหน้ามองท้องฟ้าสักพัก ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่บอกพี่เอสเรื่องที่เกิดขึ้นนี้

เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงจุดหมาย เขาผลักประตูกระจกที่ลูกชายบ้านนี้เพิ่งจะให้ช่างมากั้นห้องกระจกเพื่อติดแอร์ได้ไม่นาน เข้าไปก็เจอกับเจ้าของบ้านพอดี ท่านหันมายิ้มให้หลังจากที่เขาส่งเสียงเรียกพร้อมกับยกมือไหว้

“ม๊าให้ตี๋เอากับข้าวมาฝาก”

“ขอบใจมาก แล้วเราจะกินข้าวกับป๊ามั้ยล่ะ”

ตี๋ใช้เวลาคิดไม่นานก็ตอบตกลง เหตุผลคือวันนี้พี่เอสกลับดึก ถ้าเขาไม่อยู่กินด้วยอีกฝ่ายก็ต้องกินข้าวคนเดียว

“เดี๋ยวตี๋ขอโทรบอกม๊าก่อนนะครับ”

ท่านพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปหลังบ้านเพื่อเตรียมถ้วยเตรียมจานออกมา ตักข้าวออกมาเตรียมให้ทั้งตัวเองและตี๋เด็กที่เป็นเหมือนกับลูกชายอีกคนของเขา

คนอายุมากกว่าสังเกตถึงความผิดปกติของคนร่วมโต๊ะที่วันนี้ดูเงียบผิดปกติ “มีเรื่องอะไรหรือไง?” ถ่านเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“หา?” ตี๋ทำหน้าเหลอหลา ไม่คิดว่าจะโดนมองออกง่ายดายขนาดนี้

“ทำหน้าเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบแบบนี้ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไง?”

“อ๋อ...” ตี๋หลุบตาลงเขี่ยข้าวในจานอย่างครุ่นคิด เขาไม่อยากพูดเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นหมาด ๆ ไป เพราะบทสรุปที่แท้จริงก็ยังไม่รู้ ยอมรับว่ามันก็อึดอัดมากอยู่เหมือนกัน แต่เขาไม่อยากให้คนอื่นต้องมาคิดมากด้วยกันกับเขา

เมื่อเห็นว่าเด็กตรงหน้าไม่มีท่าทีจะเปิดปากพูดออกมา ท่านเลยบอก “พูดออกมาเถอะ”

“ก็...ไม่อยากให้คนอื่นต้องมาคิดมากกับเรื่องของตี๋นี่นา” เจ้าตัวพูดด้วยความเกรงใจ

“คนอื่นที่ไหนกัน...เราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่เหรอ”

คนอายุมากกว่าบอกพร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน  ตี๋ยิ้มออกมาบาง ๆ ด้วยความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ น้ำตาซึมออกมากับความเมตตาที่อีกคนมอบให้เขา

“อ่าว...ร้องไห้ซะอย่างนั้น” คนอายุมากพูดกลั้วหัวเราะ

อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลออกมาด้วยความตื้นตัน รู้สึกว่าตนเองโชคดีเหลือเกินที่ในชีวิตนี้เกิดมาเจอกับทุกคน...เขารู้สึกขอบคุณมากจริง ๆ

“เล่ามาเถอะว่ามีอะไรเกิดขึ้น”

ตี๋ปาดน้ำตาที่ไหลออกมาทิ้งไป ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเศร้า “ป๊ารู้แล้ว...เรื่องที่ตี๋คบกับพี่เอส”

“แล้วอาฮงว่ายังไงบ้างล่ะ?” ท่านถามต่อ

เจ้าตัวส่ายหน้า “ตี๋ไม่รู้ ป๊าไม่ได้พูดอะไรต่อ”

พอเห็นเด็กตรงหน้าซึมขนาดนี้ก็ทำเอาเขารู้สึกแปลกไปเหมือนกัน ถึงแม้ปกติแล้วตี๋อาจจะไม่ใช่เด็กที่สดใสร่าเริงมากนักก็ตาม แต่ก็มีชีวิตชีวามากกว่านี้...และเขาชอบเด็กคนนี้ที่เป็นแบบนั้นมากกว่า

“ตี๋รู้มั้ยว่านานแค่ไหน..กว่าป๊าจะยอมรับเรื่องที่เอสชอบผู้ชายได้”

คนอายุน้อยกว่าไม่ตอบแต่กลับมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ เพียงแค่ประโยคเดียวที่อีกฝ่ายพูดออกมาก็ทำให้เขาเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างขึ้นมาได้ในทันที แต่ความกลัวก็ไม่ได้หายไปไหน

“ป๊าเชื่อว่าอาฮงน่ะใช้เวลาไม่นานเป็นสิบปีเท่ากับป๊าหรอก” พอนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วท่านก็ยิ้มขำตัวเอง “ตอนนี้ป๊าเราคงกำลังอยู่ในช่วงช็อก เพราะเจอเรื่องที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อนน่ะ ไม่ต้องเครียดไปหรอกนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา เดี๋ยวป๊าช่วยเต็มที่เลย”

ตี๋ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย “ขอบคุณครับ”

“เอาล่ะ กินข้าว ๆ ไม่ต้องเครียดไป”

หลังจากที่คนตรงหน้าพูดเพียงไม่กี่ประโยค ความไม่สบายใจของเขาที่เคยมีอยู่ก็มลายหายไปแทบหมดสิ้น ถึงแม้ว่าเขากับคนตรงหน้าจะมาสนิทกันได้ไม่นาน แต่เขาก็เชื่อใจอีกฝ่ายมาก รักและเคารพเหมือนเป็นพ่อแท้ ๆ อีกคน และก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะรับได้ในทันทีเหมือนกับแม่ของเขา มันต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ ยิ่งเมื่ออีกคนที่เป็นคนรุ่นก่อนแล้ว อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่จะมากหรือน้อยก็ไม่มีใครตอบเรื่องนี้ได้ เขาได้แต่หวังให้เหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเท่านั้นเอง
 


/



วันต่อมาฮงและภรรยาเดินมาหาเฮียโจวเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด เพียงแต่ครั้งนี้มีเรื่องอื่นที่ต้องคุยกัน ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องของตี๋และเอสนั่นเอง

เมื่อคืนนี้เขาได้คุยกับเฟยลูกชายคนโตหลังจากที่มันกลับมาจากทำงานแล้ว เจ้านั่นคงรู้เรื่องจากม๊าของตัวเองเรียบร้อยถึงได้เข้ามาคุยกับเขาเอง

‘เฟยขอโทษที่ปิดบังเรื่องนี้กับป๊านะครับ’

น่าแปลกที่เขาเองไม่ได้รู้สึกโกรธเฟยที่มันไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเขาตั้งแต่แรก เพราะนี่ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก การจะตัดสินใจบอกกับใครก็คงจะต้องใช้ความกล้ามากพอดู

เขายอมรับว่าตกใจกับสิ่งที่ได้รับรู้ และก็ทำเอาเครียดไม่ใช่น้อย อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้รังเกียจเพศที่สามอะไร แต่พอมาเกิดขึ้นกับลูกชายของตนเองแล้วก็ทำเอาไปไม่เป็นเหมือนกัน เขาไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้มันจะใกล้ตัวขนาดนี้มาก่อน

‘ป๊า...เฟยเชื่อนะว่าพี่เอสจะดูแลไอ้ตี๋มันได้ดีมาก แม้ว่าเขาอาจจะไม่ใช่ผู้หญิงเหมือนอย่างที่มันสมควรจะเป็น แต่เฟยเห็นมากับตาแล้วว่าเขารักและดูแลตี๋มันได้ดีในฐานะคนที่รักกัน ป๊าเชื่อที่เฟยพูดหรือเปล่า?’

ที่มาหาเฮียโจววันนี้ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในคำพูดของลูกชาย เขาดูก็รู้ว่าเอสเป็นคนดี  และไม่ว่าจะเป็นตอนไหนเอสก็ดูแลลูกชายคนเล็กของเขาอย่างดีมาตลอด แต่ก็แค่อยากจะคุยกันตามประสาผู้ใหญ่ และ...คนเป็นพ่อ


“สบายดีนะเฮีย?” ฮงถามอย่างเคย

“สบายดี ๆ” คนถูกถามตอบยิ้มอย่างอารมณ์ดี ผิดกับคนถามที่หน้าตาดูเครียดผิดปกติ ซึ่งเขาเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นเพราะอะไร

“วันนี้ฉันทำไก่ดำตุ๋นยาจีนมาฝากเฮียด้วยนะ” ม๊าของตี๋บอกพร้อมกับยื่นสำรับกับข้าวไปให้

“ขอบใจมาก ๆ” คนอายุมากที่สุดรับไว้ ก่อนจะพูดเข้าเรื่องเลย “วันนี้จะมาคุยเรื่องของเด็ก ๆ มันใช่ไหมล่ะ?”

ฮงชะงักไปนิดที่คนตรงหน้ารู้ทันว่าวันนี้เขามาเพื่อจุดประสงค์อะไร “เฮียรู้ได้ยังไงเหรอ?”

“ก็เมื่อวานตี๋มันมานั่งหน้าหงอยอยู่ที่นี่น่ะสิ ข้าวปลาก็กินน้อยกว่าปกติ มันกลัวว่าลื้อจะไม่ยอมรับมัน”

ป๊าของตี๋ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตัดสินใจพูดเข้าเรื่องเลย “เฮียรู้ตอนไหนเหรอว่าเอสมัน…”

“เป็นเกย์น่ะเหรอ?” เขาพูดแทนอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะพูดไม่ออกว่าลูกชายคนเดียวของเขาเป็นอะไร

ฮงพยักหน้ารับ

“มันนานจนอั๊วะจำไม่ค่อยได้แล้วน่ะสิ น่าจะสิบปีได้แล้วมั้ง”

“แล้วตอนนั้นเฮียรู้สึกยังไงบ้างเหรอ?”

พอนึกถึงช่วงเวลานั้นขึ้นมาก็ทำเอาป๊าของเอสรู้สึกวูบโหวงในอกด้วยความรู้สึกผิดกับลูกชายของตนเอง

“ตอนนั้นอั๊วะก็ไล่ให้มันไปอยู่กับแม่มันไงล่ะ แล้วมันก็ทำให้อั๊วะรู้สึกผิดมาจนทุกวันนี้” เขามองอาฮงที่นั่งฟังเขาอย่างตั้งใจ “อย่างน้อยลื้อก็ดีกว่าอั๊วะในตอนนั้นเยอะ มีสติมากกว่าอั๊วะที่ทำอะไรไม่ได้คิดให้ดีก่อน”

“แล้วเฮียทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้ยังไง?”

เขาส่ายหน้าช้า ๆ “ลองถามใจตัวเองดูสิ ว่าเรารักลูกหรือว่ารักตัวเองกันแน่ ถ้าเรารักลูก...ไม่ว่ามันจะเป็นยังไงเราก็รัก ต่อให้มันจะพิกลพิการ หรือหน้าตาไม่ดียังไงเราก็รักใช่ไหมล่ะ แต่นี่มันก็แค่ชอบเพศเดียวกัน มันไม่ใช่ปัญหาเลยด้วยซ้ำ...คนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเราหวังอย่างเดียวก็คือขอให้ลูกมันเป็นคนดี รับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ แค่นั้นก็พอแล้ว”

“นั่นสินะ” ฮงรำพัน

แม่ของตี๋เอื้อมไปจับมือใหญ่ของสามีไว้บีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ  เธอยิ้มให้คู่ชีวิต ก่อนจะบอก “ตอนที่ลูกของเราเกิดมา เฮียรักเขาอย่างไร ตอนนี้มันก็ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงนะ”

เขายิ้มตอบภรรยาแล้วบีบมือกลับ “นั่นสิเนอะ”

“คนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะนะควรจะรักลูกอย่างที่ลูกเป็น ไม่ใช่จะรักลูกอย่างที่เราอยากจะให้มันเป็น ในบางครั้งมันอาจจะทำใจได้ยาก แต่ถ้าเรายอมรับว่านี่คือสิ่งที่ลูกเราเป็น มันคือทางที่มันเลือกเดิน และเราก็คงไปเดินแทนมันไม่ได้ สุดท้ายแล้วเราก็จะเข้าใจได้เอง ...นี่อั๊วะบอกในฐานะคนที่เคยผ่านเรื่องราวนี้มาก่อนนะ”

อาฮงยิ้มให้คนที่เขานับถือเหมือนพี่ชาย ค้อมศรีษะให้ด้วยความเคารพนับถือ “ขอบคุณเฮียมาก ๆ ถ้าไม่ได้เฮีย...อั๊วะคงคิดจนสมองระเบิดไปแล้ว”

“เอาน่า ๆ คนกันเอง”

หลังจากที่ได้ฟังทัศนคติของเฮียโจวแล้ว ป๊าของตี๋เหมือนได้เปิดโลกอีกใบที่เขาไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน ในตอนนี้มันอาจจะยากที่จะยอมรับในสิ่งที่ลูกชายของเขาเป็น แต่เขาคิดว่าอีกไม่นาน...เขาก็จะมีความสุขในสิ่งที่ลูกเลือกได้อย่างเต็มหัวใจ




TBC…
เรื่องนี้เป็นนิยายครอบครัวค่ะ  :laugh:
หลายตอนที่ผ่านมาเราพยายามจะนำเสนอเรื่องมาในแนวทางของครอบครัวมากกว่าเรื่องแนวโลกนี้มีเพียงสองเรา
อยากเขียนแบบนี้มานานแล้ว...ตอนนี้ก็สมใจเสียที  :-[
ตอนหน้าเป็นตอนจบแล้วนะคะ
ขอบคุณที่ชอบและคอยติดตามมาตลอดเลยค่ะ ♥

ปล.เรื่องนี้เรามีโครงการรวมเล่มนะคะ ตอนนี้กำลังทำปกอยู่ รอติดตามกันน้า

 :L2:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.20 หน้า 4 [up:20/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-07-2018 23:58:36
 o13 o13
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.20 หน้า 4 [up:20/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-07-2018 00:38:46
 :L2: :L1: :pig4:

ครอบครัว และการยอมรับ เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.20 หน้า 4 [up:20/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 21-07-2018 16:01:57
ขอบคุณพ่อพี่เอส ที่ช่วยให้พ่อของตี๋เข้าใจมากขึ้น
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.21 (ตอนจบ) หน้า 4 [up:05/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 05-08-2018 13:08:03




21




ตี๋กลับมาถึงบ้านฟ้าก็มืดแล้ว เพราะวันนี้ทำงานที่คณะจนเย็นย่ำ วันนี้เอสไม่ว่างมารับเลยทำให้เขาต้องฝ่ารถติดมหาโหดของเมืองกรุงกลับบ้านเอง และเพราะความเครียดจากเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เขานอนไม่ค่อยหลับ ซึ่งมันก็ส่งผลกับร่างกายโดยตรง วันนี้เขาเลยมีอาการเพลียอย่างเห็นได้ชัด

ถึงแม้ว่าการได้พูดคุยกับป๊าของพี่เอสมันจะทำให้ผ่อนคลายขึ้น แต่ลึก ๆ แล้วใจเขามันก็ยังเครียดอยู่ดีนั่นแหละนะ

เจ้าตัวเดินเข้าบ้านไปก็เจอป๊ากับม๊านั่งอยู่หน้าทีวีเหมือนอย่างทุกวันเป็นปกติ เขายกมือขึ้นไหว้ “ป๊าหวัดดี ม๊าหวัดดี”

“กินข้าวมาหรือยัง?” ป๊าเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน

“ยังเลยครับ” เจ้าตัวตอบด้วยความประหม่า

“งั้นไปกินข้าวก่อนไป แล้วค่อยมาคุยกัน”

มือกำสายกระเป๋าแน่นจนขึ้นข้อขาว ความเครียดที่วิ่งเข้ามาปะทะอีกระลอกทำเอาไม่หิวขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่คิดว่าผ่านไปแค่วันเดียวก็โดนเรียกคุยแล้ว

“ไปกินข้าวกันนะครับคนเก่ง” ม๊าเดินเข้าไปกอดเข้าที่เอวผอมของลูกชายคนเล็ก เธอหยิบอุปกรณ์การเรียนของลูกชายวางลงกับโซฟา แล้วเดินมาดึงมือตี๋ให้เดินตาม

ตี๋มองคนเป็นแม่ที่พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะเดินตามท่านเข้าไปในครัว เจ้าตัวนั่งลงกับโต๊ะมองม๊าเตรียมข้าวให้เขากินเงียบ ๆ ในหัวสมองมันคิดหลายอย่างตีกันวุ่นไปหมด

“กินสักหน่อยก็ยังดีนะลูก” เธอบอกเพราะรู้ว่าตอนนี้ตี๋คงไม่มีความอยากอาหารเท่าไหร่นัก เธอรู้ว่าลูกชายของเธอเครียด แต่เธอก็คงจะปล่อยให้เป็นเรื่องของพ่อลูกที่จะต้องเคลียร์กันเอง หน้าที่ของเธอก็คือคอยซัปพอร์ตทั้งคู่ให้มีกำลังใจเท่านั้น

ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ดูหม่นหมองก้มลงมองจานข้าวตรงหน้า กลิ่นหอมของไก่ทอดกระเทียมตีจมูกจนน้ำลายสอ ตี๋คว้าช้อนขึ้นมาตักมันเข้าปากไป

“กินเยอะ ๆ นะครับ ดูลูกม๊าคนนี้สิ...ผอมจังเลย” มือที่แสนบอบบางของคนเป็นแม่ลูบหัวทุยของลูกชายที่เธอแสนรัก

ตี๋เงยหน้าขึ้นมาอมยิ้มให้กับม๊าแก้มตุ่ยเพราะยังเคี้ยวข้าวไม่เสร็จดี พอได้กินอาหารอร่อย ๆ ฝีมือของม๊าแล้วก็ทำให้เจริญอาหารขึ้นมาบ้าง ไม่นานนักข้าวในจานก็หมดลง

“ไปคุยกับป๊ากันเนอะ”



/



เมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับป๊าก็ทำเอาเครียดจนท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด ตี๋นั่งลงที่โซฟาตัวใกล้ ๆ โดยมีคนเป็นแม่นั่งติดกันและจับมือของเขาไว้ตลอด อย่างน้อยสิ่งนี้ก็ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาบ้าง

“สรุปว่าเราคบกับเอสจริง ๆ ใช่ไหม?” ป๊าถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามปกติอย่างที่เคยเป็น

ตี๋มองหน้าคนถามด้วยความสงสัย เพราะอีกฝ่ายดูผิดจากที่คาดไว้ คิดเอาไว้ว่าอาจจะโดนต่อว่า หรืออย่างร้ายที่สุดก็คือบอกให้เลิกกัน

“ครับ” สุดท้ายเขาก็ยอมรับอย่างที่ลูกผู้ชายสมควรจะทำ

คนเป็นพ่อเงียบไปชั่วครู่ เขาสังเกตว่าลูกชายคนเล็กของเขาเครียดอย่างเห็นได้ชัด และเขาก็ไม่เคยเห็นตี๋มีสภาพแบบนี้มาก่อน นั่นยิ่งทำให้รู้สึกไม่ดี

“เครียดมากเลยเหรอ?”

พอตี๋ได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนโยนจากป๊าแบบนี้แล้วมันก็ทำให้น้ำตาไหลออกมาอย่างบังคับไม่ได้ ทั้งที่เขาตั้งใจว่าจะไม่ร้องไห้ต่อหน้าป๊า แต่เพราะเครียดมากจริง ๆ ในชีวิตนี้เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน

ส่วนคนเป็นพ่อที่เห็นลูกชายร้องไห้แบบนี้ก็ใจอ่อนยวบ ครั้งสุดท้ายที่ตนเห็นลูกคนนี้ร้องไห้ก็คือตอนที่ต้องแยกห่างจากเอสเมื่อสิบปีที่แล้ว หลังจากนั้นก็ไม่เคยเห็นน้ำตาของตี๋อีกเลย เขาขยับตัวเข้าไปนั่งติดกับลูกชายคนเล็กแล้วยกมือขึ้นลูบหัวแผ่วเบา ไม่บ่อยนักหรอกที่จะทำแบบนี้กับลูก ๆ เขามันพวกแสดงความรักไม่เก่ง

“ตี๋ขอโทษที่ทำให้ป๊าต้องผิดหวังนะ”

ท่านส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มบาง “ไม่เลย ตี๋ไม่เคยทำให้ป๊าต้องผิดหวัง เราน่ะเป็นเด็กดีมาตลอด ไม่เคยทำให้ป๊าต้องเป็นห่วงเหมือนไอ้เฟยมันเลยด้วย”

“แต่ตี๋…” เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นสบตาก็เห็นใบหน้าที่เคยเฉยเมยมาตลอดกำลังยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน

“ไม่ว่าตี๋จะเป็นยังไงหรือจะรักใคร ยังไงก็ลูกป๊า...จะเป็นยังไงป๊าก็รัก”

“นี่หมายความว่าป๊า...ไม่ว่าที่ตี๋เป็นแบบนี้เหรอ?” เจ้าตัวถามเพราะไม่แน่ใจว่าตนเองเข้าใจถูกหรือไม่

“อืม” ท่านพยักหน้าเล็กน้อย “ตี๋จะรักใครป๊าไม่ว่า ขอแค่คนนั้นเป็นคนดีและรักลูกป๊าก็เพียงพอแล้ว”

“ขอบคุณนะครับ...ขอบคุณ”

อาฮงชะงักไปเพราะโดนลูกคนเล็กสวมกอด มือใหญ่ตบลงบนหลังบางของตี๋เบา ๆ อย่างปลอบโยน ไม่บ่อยนักที่เขาสองคนพ่อลูกจะแสดงความรักซึ่งกันและกัน และก็นานมากแล้วด้วยที่เขาสองคนได้กอดกัน อาจจะเพราะว่าความที่เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ ก็เลยอายที่จะแสดงความรักต่อกัน

แต่พอมาคิดดูแล้ว...คนเราจะตายจากกันวันไหนก็ไม่มีใครรู้ ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ควรจะแสดงว่าเรารักให้อีกฝ่ายได้รับรู้ จะไปเก๊กหน้าใส่กันทำไม เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้คนแก่อย่างเขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างที่ตั้งแต่เกิดจนแก่หัวหงอกแล้วก็เพิ่งจะได้รู้

หนึ่งคือความรักที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่เห็นแก่ตัว เรารักลูกในครั้งแรกที่รู้ว่ามีเขาอย่างไร เมื่อเขาเติบโตขึ้นมาถึงแม้จะไม่ใช่อย่างที่เราหวัง...ก็ควรจะรักเขาให้เหมือนเดิม

สองคือชีวิตของลูกเขาควรจะเป็นคนเลือกเดินเอง เราไม่ได้จะมีชีวิตอยู่กับเขาไปชั่วนิรันดร เหมือนกับตอนที่ลูกยังเด็ก ตอนที่เขาเริ่มเดินได้เอง เราไม่สามารถไปเดินแทนลูกได้ พ่อกับแม่มีหน้าที่ประคับประคองและปลอบโยนในวันที่เขาล้มเท่านั้น

คราแรกที่รู้เขามีความคิดที่อยากจะให้ทั้งสองคนเลิกกัน ดีที่ยังมีสติยับยั้งตนไว้ได้ทัน ถ้าเขาทำมันลงไป ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขาจะทำร้ายลูกจนเสียใจมากขนาดไหน ถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงจะเสียใจไปจนวันตายแน่ ๆ

“ป๊ากับม๊ารักหนูมาก ๆ เลยนะครับ” คนเป็นแม่โอบกอดทั้งสองคนที่เธอรักเอาไว้ กดจูบเข้าที่แก้มขาวของลูกด้วยความรักที่มี ดีใจที่ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันได้

“ทำไรกันอะ?” เฟยเพิ่งกลับถึงบ้าน ยืนมองทั้งสามคนที่กำลังกอดกันกลม เลยถามขึ้นด้วยความสงสัย

“โถ่ ไอ้นี่...ขัดบรรยากาศฉิบหายเลย” ป๊าว่าอย่างไม่จริงจังนัก เรียกเสียงหัวเราะของม๊าและตี๋ให้ดังขึ้น  ในขณะที่เฟยเดินเกาหัวเข้ามานั่งลงที่โซฟาหน้ามึนเพราะโดนป๊าว่า

“สองพ่อลูกเขาเข้าใจกันแล้วครับ” ม๊าเป็นฝ่ายบอก

ลูกชายคนโตของบ้านตาโตด้วยความตื่นเต้น เพราะไม่คิดว่าป๊าจะยอมรับเร็วขนาดนี้ก่อนจะยิ้มยินดีกับน้องชาย ตอนนี้ก็ถือว่าวิกฤตของครอบครัวได้ผ่านไปแล้ว เท่านี้เขาก็สบายใจได้เสียที



/



หลายวันผ่านไปชีวิตของตี๋กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ยังคงใช้ชีวิตอยู่ระหว่างสองบ้านเหมือนเดิม กับป๊าก็ยังคงเหมือนเดิม ดูจากที่ม๊าเล่าให้ฟังแล้ว ว่าตอนนี้ท่านจะทำใจยอมรับได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว

“วันนี้ป๊าเรียกหาพี่แหนะ” ตี๋บอกเอสในขณะที่อีกฝ่ายกำลังขับรถตรงกลับบ้านด้วยกันในเย็นวันศุกร์ที่รถแสนจะติด นี่ยังไม่ได้บอกกับอีกฝ่ายเลยว่าป๊ารู้เรื่องที่เขาทั้งคู่คบกันแล้ว เพราะท่านขอเอาไว้ว่าขอเป็นฝ่ายพูดกับพี่เอสเอง

“หืม? มีเรื่องอะไรน่ะ?” คนพี่ถามด้วยความสงสัย

“ไม่รู้ดิ” ตี๋ปด ที่จริงเขาไม่ชอบพูดโกหกใครอยู่แล้ว เลยทำให้รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน แต่ในเมื่อรับปากป๊าไว้แล้วว่าจะไม่บอก ก็ต้องทำตาม

“งั้นเหรอ” เอสตอบ ท่าทางสบายแบบไม่ได้คิดอะไรมาก ช่วงนี้เรียกว่าชีวิตค่อนข้างลงตัว ทั้งเรื่องครอบครัว งาน และความรัก เลยไม่มีอะไรให้เจ้าตัวไม่สบายใจ

“วันนี้มีอะไรกินเนอะ”

“เห็นม๊าบอกว่ามีน้ำพริกกะปิ แกงส้มชะอมไข่ทอด แล้วก็หมูทอดกระเทียม ปลากะพงนึ่งซีอิ้ว ผัดฟักทอง”

เอสร้อง “วันนี้กับข้าวเยอะจัง แถมมีของโปรดพี่ด้วย” เจ้าตัวพูดอารมณ์ดีที่จะได้กินของโปรด ทุกวันนี้ต้องบอกว่าทั้งป๊าและเขามีชีวิตรอดด้วยกับข้าวของบ้านตี๋แท้ ๆ

“ช่าย” ตี๋ตอบรับอย่างอารมณ์ดี เมื่อวานม๊าเข้ามาถามเขาเองว่าพี่เอสชอบกินอะไรบ้าง วันนี้กับข้าวเยอะแบบนี้ ต้องมีอะไรพิเศษแน่เลย

“ดีจัง ไม่ได้กินมานานแล้ว” แค่นึกถึงท้องก็ร้องขึ้นมาเบา ๆ ไม่ได้นึกแปลกใจอะไร

กว่าทั้งคู่จะถึงบ้านได้ก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม เอสตรงไปที่บ้านของตี๋เลย ไม่ได้แวะเข้าบ้านตนเองก่อน และโทรบอกป๊าไว้แล้ว  หารู้ไม่ว่าท่านเองก็กำลังรออยู่กับครอบครัวของตี๋อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

เอสเดินตามคนน้องเข้าบ้าน แต่ก็ต้องตกใจเพราะว่านอกจากจะเจอครอบครัวของตี๋แล้ว ก็ยังเจอคนของที่บ้านตัวเองนั่งอยู่ที่โซฟาอีก

“อ้าว” เจ้าตัวร้อง “ป๊ามาได้ไงอะ?”

“กูก็เดินมาสิ” ท่านตอบหน้าตายิ้มแย้ม ชอบใจที่ได้กวนประสาทลูกชาย

“ไม่ใช่ละ” เอสส่ายหน้า “ป๊ามาทำอะไรที่นี่?”

“นั่งก่อน ๆ” ป๊าของตี๋เรียกให้ทั้งคู่นั่งลง “หิวมากไหมเนี่ย?” ท่านถามหลังจากที่ทั้งคู่นั่งลง และก็ได้คำตอบเป็นการพยักหน้าหงึกหงักจากทั้งสองคน

“อดทนไปสักพักแล้วกันนะ” ป๊าพี่เอสพูดต่อ

ทั้งเอสและตี๋หันมามองหน้ากันงง ๆ ถึงตอนนี้คนพี่เริ่มรู้แล้วว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ผู้ใหญ่อยู่กันครบขนาดนี้ เขากวาดสายตามองทุกคนก่อนจะถาม

“มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ?”

“เจ็กรู้แล้วนะว่าเราน่ะคบอยู่กับตี๋มัน”

คนที่เพิ่งรู้ความจริงเกิดอาการใบ้กินขึ้นมาทันที เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปถึงจะเข้าท่า ตาสวยมองสบตากับป๊าของตี๋ เขาไม่ได้กลัวหรอก แต่ก็เกรงใจ เพราะรู้ว่าความรักในลักษณะนี้ของเขากับตี๋ก็ไม่ได้เป็นที่ยอมรับของสังคมอะไรมากนัก

“ครับ” เขาตอบออกไปสั้น ๆ

“ถามตรง ๆ เลยนะ เราจริงจังกับลูกชายของเจ็กมากแค่ไหนกัน?”

“ชีวิตนี้ผมไม่เคยจริงจังกับใครมาก่อน จนกระทั่งได้กลับมาพบตี๋อีกครั้ง” เขาตอบทันทีด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและสายตาที่จริงจัง “ก่อนหน้านี้ผมอาจจะไม่ใช่คนที่ดีนัก แต่กับตี๋แล้วผมจะเป็นคนดีที่สุดครับ”

ป๊าของตี๋รับรู้ได้ถึงความจริงจังที่อีกฝ่ายมีให้กับลูกชายของเขา และตนก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องโกหก ดูได้จากสายตาที่หนักแน่นมั่นคง ท่านยิ้มออกมาบาง ๆ ด้วยความพอใจกับคำตอบและท่าทางของเอส ตอนนี้เขาไม่มีอะไรสงสัยในตัวของอีกฝ่ายแล้ว และพร้อมที่จะยกลูกชายที่เขารักให้เอสดูแลต่อ

“งั้นเจ็กฝากเราดูแลตี๋มันด้วยนะ”

เอสไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนตรงหน้าจะยอมรับได้ง่ายดายแบบนี้ ก่อนหน้าเขาคิดว่าคงไม่ได้ผ่านด่านท่านแบบง่าย ๆ แน่ ก็เลยเตรียมใจเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้คิดวิธีรับมือกับเรื่องที่จะเกิดขึ้น เรียกได้ว่าขอไปตายเอาดาบหน้าเลยจะดีกว่า

พอผลมันออกมาเป็นแบบนี้ ก็ทำเอาเขารู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก  แล้วยิ่งท่านไว้ใจฝากฝังให้เขาได้ดูแลลูกชายคนเล็กของท่านแบบนี้ก็ทำให้ตนรู้สึกซึ้งใจมาก

“ผมรับปากว่าจะดูแลให้ดีที่สุดครับ”

“บางครั้งน้องอาจจะดื้อไปบ้างก็ดุได้เลยนะจ๊ะ” ม๊าพูดยิ้มอ่อนโยน เอสยิ้มขันเหล่มองคนนั่งข้างกาย

“ตี๋ไม่ดื้อสักหน่อย” ลูกชายเถียง

“แถมยังเถียงเก่งอีกต่างหาก”

“ม๊าอะ!”

“ไม่ต้องกังวลไปนะ ตี๋มันเป็นเด็กดี ตอนนี้อั๊วะก็รักมันเหมือนลูกอีกคนไปแล้ว” ป๊าของเอสบอก

“ขอบคุณเฮียที่เอ็นดูนะคะ”

“ต่อไปนี้เอสก็เรียกพวกเราว่าป๊ากับม๊าได้แล้วนะ”

“ครับ” เจ้าตัวตอบรับด้วยความอบอุ่นในหัวใจ ตั้งแต่เด็กแล้วที่เขาโหยหาคำว่าครอบครัวมาตลอด ตอนนี้เหมือนกับส่วนที่ขาดหายไปถูกเติมเต็ม สำหรับคนอื่นครอบครัวที่เขามีตอนนี้มันอาจจะดูไม่เหมือนปกติทั่วไปอย่างที่เขาเป็นกัน แต่สำหรับเขา...แค่นี้ก็ดีที่สุดแล้ว

“ว่าแต่ว่า...อาฮง” ป๊าของเอสเรียก “ลื้อคิดค่าสินสอดเท่าไหร่วะ?”

“ป๊า!” ตี๋ร้อง แก้มขึ้นสี “ตี๋ไม่ใช่ผู้หญิงนะ”

“ไม่ต้องหรอกเฮีย ช่วงนี้มันยังเรียนอยู่ อย่าลืมคุมกำเนิดก็พอ” ทางป๊าของตี๋เองก็เล่นด้วย

“ป๊าาาาา!!!” ตี๋โวยวายเรียกรอยยิ้มจากทุกคน ถึงแม้จะอายแต่ก็รู้สึกดี เพราะถ้าคนพ่อพูดเล่นแบบนี้ได้ก็แสดงว่าในใจไม่ได้คิดอะไรมากแล้ว

“เสียงดัง” คนเป็นพ่อว่า

“ก็ดูป๊าพูดดิ” ตี๋ทำหน้ามุ่ย “ตี๋ไม่ใช้ผู้หญิงนะ”

“กูก็ไม่ได้บอกว่ามึงเป็นผู้หญิง”

เห็นใบหน้ายิ้มยียวนของป๊าแล้วก็ทำให้ตี๋ฮึดฮัด “หิวข้าวโว้ย!” เจ้าตัวพูดขึ้นเสียงดังก่อนจะลุกขึ้นเดินหนีไปเลย ทำเอาทุกคนหัวเราะกับท่าทีบ่ายเบี่ยงของเจ้าตัว

“เอสก็ยังไม่ได้กินข้าวเลยนี่” ม๊าถาม เอสพยักหน้ารับ “งั้นไปกินข้าวด้วยกันเนอะ”

“ทุกคนก็ยังไม่ได้กินเหรอครับ?”

“ใช่จ้ะ วันนี้เป็นวันพิเศษที่เรามีลูกชายเพิ่มอีกคน ก็เลยต้องฉลองกันหน่อย...ใช่ไหมเฮีย?” เธอหันไปถามสามีที่หันมองหน้าเหวอหลังจากที่เธอหันไปถาม

“ใช่จ้ะที่รัก” สุดท้ายก็ตอบไปด้วยความเกรงภรรยาที่ยิ้มหวานให้เขาอยู่ ถึงแม้ว่าจะเห็นเอสมาแต่เล็กแต่น้อยก็รู้สึกประดักประเดิดที่ต้องอยู่ในสถานะนี้อยู่ เขาคิดว่าคงต้องใช้เวลาปรับตัวสักระยะ



/



“นี่พี่รู้เรื่องนี้เป็นคนสุดท้ายเลยเหรอเนี่ย?” เอสถามในขณะที่พวกเขากำลังเดินขึ้นไปชั้นสองของบ้าน

ตี๋หยุดเดิน หันมายิ้มแห้ง ๆ “แฮะ ก็ใช่”

“ไอ้ตัวแสบเอ๊ย” คนพี่ส่ายหน้าปลงก่อนจะดันแผ่นหลังบางของตี๋ให้เดินต่อไป

“ก็ป๊าขอเอาไว้ว่าไม่ให้ตี๋พูดนี่” พอทั้งคู่เข้าไปในห้องตี๋ก็บอกเสียงอ้อน เจ้าตัวเข้าไปกอดเอวอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง เกยคางเข้ากับไหล่หนา

“น่าจะให้พี่ได้เตรียมตัวหน่อย รู้มั้ยว่าหัวใจพี่เกือบวายแหนะ” เอสบอกติดตลก

ตี๋หัวเราะคิกคัก “ก็ไม่เห็นจะตายสักหน่อย”

เอสพลิกตัวกลับมามองใบหน้าขาวของคนรัก “ถ้าพี่ตายเราก็เป็นม่ายสิ”

“โว๊ะ!” คนน้องเบือนหน้าหนีคนที่หมายจะเข้ามาหอมแก้ม “ม่ายบ้าอะไรล่ะวะ” เจ้าตัวโวยวาย

“อ้าว นี่ป๊าเราก็รับพี่เป็นลูกเขยแล้วไม่ใช่เหรอไง”

“ไม่ใช่ ‘ลูกเขย’ โว้ย ‘ลูก’ เฉย ๆ” ตี๋เน้นย้ำทีละคำเอานิ้วจิ้มจมูกโด่งของคนตรงหน้าออกไป

“ก็เหมือนกันนั่นแหละน่า” เขายิ้มขัน “มาให้พี่หอมสักทีสิ”

ตี๋ทำหน้ามุ่ยก่อนจะหยุดดิ้น ยอมให้อีกฝ่ายก้มลงหอมแก้มแต่โดยดี เขาโดนหอมซ้ายหอมขวาเหมือนกับที่ม๊าทำไม่มีผิด พอคิดแบบนี้แล้วก็อดที่จะหลุดขำออกมาไม่ได้

“หัวเราะอะไรหืม?”

“พี่ทำเหมือนเวลาที่ม๊าหอมตี๋เลย”

เอสชะงักไปกับสิ่งที่ตี๋พูด “เดี๋ยวจะทำไอ้สิ่งที่ไม่เหมือนกับม๊าให้ดู”

“เดี๋ยว…!” ตั้งใจจะร้องห้ามเพราะรู้ว่าเอสจะทำอะไร แต่ก็โดนอีกฝ่ายจับคางแล้วบีบเบา ๆ ทำเอาพูดอะไรไม่ออก

“ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธนะครับ” เมื่อเห็นว่าตี๋ไม่มีท่าทีจะขัดขืนอีก เขาก็กดจูบลงที่ริมฝีปากสีสวยของอีกฝ่ายเบา ๆ “กลิ่นน้ำพริกกะปิหึ่งเลยอะ”

“ตี๋จะบอกแล้วแต่พี่ไม่ฟังเองนี่” เจ้าตัวบอกหัวเราะ “ไปอาบน้ำด้วยกันไหม?” ตี๋ชวน แต่ไม่ได้มีความหมายที่ลึกซึ้งอะไรหรอกนะ แต่เพราะเห็นกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เลยทำให้ไม่รู้สึกเคอะเขินในเวลาที่ต้องเปลือยต่อหน้าอีกคนก็เท่านั้นเอง

จากครั้งนั้นที่เขาทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น หลังจากนั้นก็ยังมีครั้งต่อ ๆ มาอีก แต่ก็เป็นแค่การสัมผัสภายนอกเหมือนเดิม เอสยังไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น เพราะเขาอยากให้ครั้งแรกของตี๋เต็มไปด้วยความประทับใจ ไม่อย่างนั้นแล้วน้องคงจะเข็ดไม่กล้าทำอีกแน่

“อาบด้วยกันเฉย ๆ เหรอ?”

ตี๋ถลึงตาใส่คนที่พูดจาด้วยใบหน้าทะเล้น “ทะลึ่ง!”  ถึงแม้ว่าจะไม่เขินเรื่องเปลือยต่อหน้ากันและกัน แต่ใช่ว่าเขาจะคุ้นชินกับเรื่องนั้น

เอสหัวเราะออกมาหลังจากที่โดนอีกฝ่ายแหกตาใส่อย่างอารมณ์ดี เขาปลดกระดุมนักศึกษาของตี๋ออกทีละเม็ด อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้เอื้อมมือมาปลดของเขาออกบ้าง พอเสื้อผ้าอาภรณ์หลุดหมด เขาก็เป็นฝ่ายดึงตัวของตี๋เข้าห้องน้ำไป

“ไม่ได้สระผมมากี่วันแล้วเนี่ย?” ถามพลางจับผมของอีกฝ่ายขึ้นมาดมแล้วก็ได้แต่ย่นจมูก

“สาม”

คนพี่ส่ายหน้า จับไอ้คนซกมกตรงหน้าสระผม เขาชอบผมของตี๋ เพราะมันทั้งหนา ดำขลับราวขนกา และนิ่มมือ ตอนนี้เจ้าตัวไว้ผมตามที่เขาขอเอาไว้ และมันก็ยาวจนเริ่มประบ่าแล้ว

“สบายจัง” ตี๋หลับตาพริ้มยามโดนนวดศีรษะ “ขอบคุณมากนะพี่”

“หืม?”

“ขอบคุณที่ดูแลตี๋อย่างดีมาตลอดเลย”

เอสหัวเราะเสียงเบา “เล็กน้อยน่า” ลงมือเอาน้ำล้างแชมพูออกจากหัวของอีกฝ่าย

“มาตี๋ฟอกสบู่ให้” เขาหมุนตัวกลับมา กดสบู่เหลวถูลงกับตัวของเอสที่มีกล้ามเนื้อมากกว่าเขาที่ผอมแห้งเหลือเกิน “ทำยังไงถึงจะตัวใหญ่แบบพี่เนี่ย?”

“กินให้เยอะ ๆ สิ” เอสบอกติดตลกทั้ง ๆ ที่ก็เห็นอยู่ว่าตี๋กินเก่งมากแค่ไหน

“แค่นี้ยังกินเยอะไม่พอเหรอ” เจ้าตัวพูดหน้ามุ่ย

มือใหญ่เลื่อนไปลูบที่หน้าท้องแบนราบของคนตัวขาว “ต้องกินให้เยอะกว่านี้นะ...ลูกเราจะได้แข็งแรง”

คนอายุน้อยกว่าชกเข้าที่ต้นแขนของคนพูดเต็มแรงจนเจ้าตัวร้อง ‘โอ๊ย’ ด้วยความเจ็บ เพราะยังไงตี๋ก็แรงผู้ชาย ย่อมไม่เบาอยู่แล้ว

“เอาอีกมะ?” ถามพร้อมกับชูกำปั้นขึ้น

“ไม่แล้วจ้า” เอสพูดลูบแขนตัวเองป้อย ๆ เห็นตี๋หน้างอไม่หายสักที เขาก็เลยจุ๊บปากไปหนึ่งที “โกรธพี่เหรอ”

“ไม่ได้โกรธ” ตอบพลางฟอกสบู่ตัวเองไปเรื่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นเอสหน้าตาหมองไปเลย สงสัยคงจะคิดว่าเขาโกรธจริง “บอกว่าไม่โกรธก็ไม่โกรธสิ” ตี๋บอกคว้าฝักบัวขึ้นมาล้างตัวให้ทั้งตัวเองและอีกฝ่าย กลายเป็นว่าต้องมาปลอบอีกคนแทนซะอย่างนั้น

เอสดึงตี๋เข้าไปกอด “พี่ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไร ตี๋ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธ” เขาลูบแผ่นหลังกว้างอีกฝ่ายเป็นการปลอบโยน

คนพี่ถอยออกมามองใบหน้าของคนที่เขารักมาก ประทับจูบลงไป เมื่ออีกฝ่ายเผยอปากรับจูบนั้นตามความเคยชิน เอสก็สอดเรียวลิ้นเข้าไปเกี่ยวพันกัน นานหลายสัปดาห์แล้วที่เขาทั้งคู่ไม่ได้ลึกซึ้งกันแบบนี้ มันเลยทำให้อารมณ์ของเขาจุดติดง่ายมาก

พวกเขาสองคนพากันออกมาจากห้องน้ำ ในนั้นเต็มไปด้วยไอร้อนที่กรุ่นออกมาจากตัวพวกเขา แม้ว่าตี๋จะไม่ใช่พวกที่ชื่นชอบอะไรในเซ็กซ์นัก แต่ยังไงเจ้าตัวก็ยังคงเป็นวัยรุ่นที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน เมื่อโดนกระตุ้นก็ย่อมเกิดความต้องการอยู่ดี

ทั้งคู่ต่างช่วยกันปลดปล่อยอารมณ์ซึ่งกันและกัน อันที่จริงคนที่เคยผ่านประสบการณ์มีเซ็กซ์มาอย่างโชกโชนอย่างเอสก็มีอึดอัดบ้างที่ไม่ได้ปลดปล่อยอย่างที่มันควรจะเป็น แต่เขาจะรอให้อีกฝ่ายพร้อมจริง ๆ แล้วเท่านั้น จะไม่มีการร้องขอหรือเร่งเร้าอีก

ผู้ชายตัวเปียกสองคนกอดรัดกันบนที่นอน เอสเป็นฝ่ายอยู่ด้านบน เขาจับขาเรียวขาวของตี๋อ้าออกเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น คนด้านใต้หน้าแดงคอแดงไปหมด

“เขินเหรอ?” เอสถามเย้า

“ไม่ได้ด้านเหมือนพี่นี่” ตอบเสียงพร่า หันหนีหลบสายตาของอีกฝ่ายที่สื่อออกมาว่าต้องการเขามากแค่ไหน เขารู้...ไม่ใช่ว่าไม่รู้ เพียงแต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้เท่านั้น

เอสหัวเราะในลำคอ จู่ ๆ ก็อยากจะสอนบทเรียนใหม่ให้กับตี๋ ที่ทำทุกวันนี้มันก็แค่ต่างคนต่างช่วยกันปลดปล่อย เขาจะทำไอ้สิ่งที่มันน่าอายกว่านี้มากขึ้นไปอีก เอสจับขายาวของตี๋ให้เข้ามาชิดกันเหมือนเดิม จับวางบนบ่าข้างหนึ่งและกอดเอาไว้ด้วยแขนข้างเดียว

ตี๋ทำหน้างง “ทำไรอะ?”

“ทำให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้นไปอีกขั้นไง” เห็นคนด้านใต้ขมวดคิ้วหน้าตาไม่เข้าใจ เขายิ้มก่อนจะบอก “หุบขาให้ชิดกันไว้นะ” เอสดันความเป็นชายที่ร้อนจนแทบระเบิดเข้าไปที่ระหว่างขาทั้งสองข้าง ขยับเสียดสีกับส่วนสำคัญของตี๋ที่ก็ร้อนไม้แพ้กัน

ตี๋ตกใจจนพูดไม่ออก ยอมรับว่ามันก็รู้สึกวาบหวามและเสียวดี แต่ในใจลึก ๆ แล้วเขายังคงมีความรู้สึกกระดากที่จะต้องทำเรื่องนี้กับผู้ชายอยู่นิดหน่อย แต่เพราะเป็นเอส...คนที่สำคัญ คนที่ทำอะไรหลายอย่างเพื่อเขามากมายขนาดนี้ ไม่เคยมีแม้สักครั้งที่จะปฏิเสธคำขอของเขา เรื่องแค่นี้ทำไมเขาจะให้ไม่ได้

คนเราจะเอาแต่รอรับอย่างเดียวมันไม่ได้ ได้รับแล้วก็ต้องรู้จักให้ตอบแทน และเขาไม่ได้คิดว่าสิ่งนี้เป็นการฝืนใจตนเอง เพราะเวลาที่ได้ทำกับเอสก็รู้สึกดีมาก



/



“รู้สึกดีไหม?” เอสถามหลังจากเสร็จกิจ เขาทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ คนรัก ยกมือขึ้นเกลี่ยผมที่ปรกหน้าตี๋ไปทัดไว้ที่หลังหู

“ดี” เจ้าตัวตอบแก้มแดงไปหมด “แต่โคตรลามกเลยว่ะ”

คนพี่หัวเราะในลำคอเสียงต่ำ “ยังมีเรื่องลามกมากกว่านี้รอเราในวันหน้าอีกเยอะ” พูดจบก็จุ๊บเข้าที่ปลายจมูกโด่งของตี๋

พอนึกถึงเรื่องที่ว่าในวันข้างหน้าเขาจะต้องเป็นของอีกฝ่ายอย่างเต็มตัวแล้วนั้นก็ทำเอาความร้อนขึ้นมากระจุกอยู่บนใบหน้า จากที่แค่แก้มแดงก็กลายเป็นแดงไปหมดทั้งหน้าลามไปที่คอและหูอีก

“ไอ้หื่น”

เอสหัวเราะที่โดนด่า แล้วดึงตัวคนหน้าแดงเข้ามากอดเสียจนแน่น “พี่รักเรามากนะ”

“ตี๋ก็รักพี่” ตี๋หลับตาพริ้ม...เขาพูดมันได้อย่างเต็มปากว่ารักคนคนนี้เหลือเกิน และมันก็ยังคงเป็นอย่างที่เคยพูดเอาไว้ ทุกวันนี้เขาก็ยังตอบไม่ได้ว่ารักอีกฝ่ายแบบไหน

แต่ใครจะสนล่ะ...ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนเขาก็รักของเขา ในชีวิตนี้ก็คงรักใครไม่ได้เท่านี้อีกแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะมีรักแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว

“อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ เลยนะพี่”




จบ.




ขอบคุณที่ชอบและติดตามกันมาตลอดนะคะ
ตอนแรกที่เขียนเรื่องนี้...ความตั้งใจของเราคืออยากจะเขียนนิยายที่ครอบครัวเป็นจุดสำคัญของเรื่อง
"all my LOVE is for you" ชื่อเรื่องนี้สื่อได้หลายอย่าง ทั้งความรักของพี่เอสกับน้องตี๋ที่มีต่อกัน และรวมถึงความรักที่ทุกคนในเรื่องนี้มีต่อกันด้วย เรื่องนี้อาจจะไม่ได้หวือหวา...แต่เราว่าเป็นเรื่องที่อบอุ่นมาก ๆ เลย
เขียนเองยังชอบเองเลย 5555555
เราตั้งใจที่จะเขียนเรื่องนี้มาก ๆ เพราะห่างหายจากการเขียนนิยายไปหลายปี กว่าจะเข้าที่เข้าทางได้ก็ลำบากพอสมควรเลยค่ะ
เรื่องนี้จะมีการรวมเล่ม ถ้าใครสนใจก็กดติตามได้ที่เพจนะคะ https://www.facebook.com/gandastory/
ฝากติดตามนิยายเรื่องต่อไปด้วยนะคะ


หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.21 (ตอนจบ) หน้า 4 [up:05/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-08-2018 13:35:58
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.21 (ตอนจบ) หน้า 4 [up:05/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-08-2018 13:36:28
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.21 (ตอนจบ) หน้า 4 [up:05/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-08-2018 19:07:02
จบแล้ว  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ครอบครัวตี๋ยอมรับได้ก็ผ่านฉลุย
เอส  ตี๋    :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอบคุณไรท์มาก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.21 (ตอนจบ) หน้า 4 [up:05/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 05-08-2018 20:16:08
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.21 (ตอนจบ) หน้า 4 [up:05/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 05-08-2018 20:36:07
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.21 (ตอนจบ) หน้า 4 [up:05/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 06-08-2018 00:59:27
น่ารัก น่ารัก น่ารักมากกกกกก
น่ารักจริง ๆ ค่ะ แล้วก็อบอุ่นอย่างแรง

ชอบความละมุนของเอสที่มีต่อตี๋
ชอบความวางตัวไม่ถูกและปากแข็งของตี๋
ชอบ 2 ป๊า ชอบม๊า ชอบเฟย ชอบภาค ชอบกลอย
แล้วก็ชอบอาอึ้ม อาม่าในซอย

เขียนได้น่ารักจริง ๆ ค่ะ ไม่ต้องมีตัวร้าย ไม่ต้องมีดราม่า ...
อ่านเพลินจริง ๆ ยืนยันอีกครั้ง

ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.21 (ตอนจบ) หน้า 4 [up:05/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 07-08-2018 12:04:25
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.21 (ตอนจบ) หน้า 4 [up:05/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 08-08-2018 00:21:14
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.21 (ตอนจบ) หน้า 4 [up:05/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 09-08-2018 00:18:27
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.21 (ตอนจบ) หน้า 4 [up:05/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Cloudnine ที่ 13-08-2018 22:22:24
สนุกกกกกกกกกก
อยากให้มีอีกเยอะๆ อ่านได้ไม่เบื่อเลย

น้องตี๋น่าขย้ำมาก ชอบเวลาเขิน ตัวขาวๆแก้มแดงๆงี้ น่ารักกกก
ขอฉากที่พี่เอสสมหวังด้วยเถอะค่ะ คนอ่านจะลงแดง
อุตสาห์เอาใจช่วยพี่เขามาทั้งเรื่อง จะได้แค่นี้ไม่ด้ายยยย ฮือๆ

ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ เนื้อเรื่องดี ภาษาดีมากไม่มีคำผิดอ่านลื่นไหล
 :pig4: :L1: :กอด1: :o8: :z1:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.21 (ตอนจบ) หน้า 4 [up:05/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 14-08-2018 17:50:30
ฮื่ออออ ละมุนใจมากๆ เลยค่าาา
อยากขโมยพี่เอสกับน้องตี๋มากอด ทำไมน่ารักกันทั้งคู่แบบนี้ นี่ชอบพี่เอสมากเลย แต่ละคนต่างก็มีอดีตที่ต้องกล้าที่จะก้าวข้าม ดีใจที่พี่เอสให้ยอมน้องช่วย
โอ้ยยยย แล้วอะไรคือแฟมิลี่แมน รักป๊า ทำอาหาร ทำงานบ้าน ทำงานเก่ง เฟยพูดถูกอะ ดีขนาดนี้ไม่เอาได้เหรอ 55555 น้องตี๋น่ารักมาก เป็นเด็กดีอย่างที่ใครๆ ก็ว่าไว้จริงๆ เลยน้าาาา น้องสุขภาพจิตดีมาก พี่เอสเลยอารมณ์ดีตามเลย. ฮื่ออออ ชอบตอนที่น้องมาโอ๋พี่ตอนเด็กๆ ด้วยอะ แง้ จับฟัด
ป๊าของเอส ก็ชอบมาก ประสบการณ์ช่วยให้เข้าใจและยอมรับธรรมดาของโลก ป๊ากับม๊าของตี๋ก็น่ารัก รู้ว่าอะไรสำคัญที่สุด


ชอบทุกคนในเรื่องเลยจริงๆ ค่ะ.
ครอบครัวน่ารักอบอุ่นมาก.
ขอบคุณคนเขียนที่กลับมาน้าาาา
เป็นกำลังใจให้ในเรื่องต่อไปๆ ด้วยค่ะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.21 (ตอนจบ) หน้า 4 [up:05/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 16-08-2018 15:29:38
 :L2: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.21 (ตอนจบ) หน้า 4 [up:05/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-08-2018 23:45:33
ชอบในความมรักของคนในครอบครัวมากๆเลยค่ะ แล้วก็พี่เอสก็อดทนได้ดีมากกก ชอบในการเลี้ยงลูกของสองครอบครัวนี้ คือพูดได้เลยว่าฉลาดในการเลี้ยงลูกจริงๆค่ะ ส่วนอีกฉากที่ชอบคือความแฟมิลี่แมนของพี่เอส  :mew1:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.21 (ตอนจบ) หน้า 4 [up:05/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 26-08-2018 00:38:57
ตามมาจากห้องแนะนำนิยาย คือดี ยินดีกับตัวละครที่มีครอบครัวดี ทั้งนี้ต้องขอบคุณป๊าของพี่เอส ขอบคุณนะคะที่แต่งเรื่องนี้ออกมา
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.21 (ตอนจบ) หน้า 4 [up:05/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 06-09-2018 06:57:51
พล๊อตครอบครัวคือดีค่ะ  อบอุ่นมากมาย :impress2:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 20-09-2018 20:48:01
(https://www.img.live/images/2018/09/20/41815263_1723962701066410_7065813593874235392_n.jpg)



[pre-order] - all my LOVE is for you -
เปิดโอนเงินตั้งแต่วันที่ 15/09 ถึง 14/11

แบบฟอร์มการสั่งซื้อ 
https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSeulUUSCVRHIcAPUrnvrxbqHlqseQPdQISL3UAYbTI-7hFrcQ/viewform

ภาพปกโดย Kiriphantasy
(ขอบคุณสำหรับปกสวย ๆ นะคะ  )

สอบถามข้อสงสัยได้ทาง
inbox ของเพจ (https://www.facebook.com/gandastory)
ทวิตเตอร์ (https://twitter.com/gandabossom)
อีเมล (somsomganda1988อย่าแสดงเมลบนบอร์ด)
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: กานดา. ที่ 20-09-2018 20:52:33
ตัวอย่างตอนพิเศษภายในเล่ม


“วันหยุดเดือนนี้เหรอ?” ตี๋ย้อนถามคนรักเมื่ออีกฝ่ายถามถึงเรื่องวันหยุด นี่เพิ่งจะเข้าเดือนใหม่มาได้ไม่นาน แน่นอนว่าที่ผ่านมาเขางานเขายุ่งมากจนแทบจะไม่ได้หยุดงาน เลยทำให้มีวันหยุดแถมลาพักร้อนเหลืออีกเต็มเลย

“ใช่”

“อืม~” เจ้าตัวที่กำลังนอนคว่ำอ่านหนังสืออยู่บนที่นอน กระดึ๊บไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมานั่งกดดูแพลนงานที่ตนบันทึกไว้ ก่อนจะย้อนถามอีกคน “พี่ถามทำไมเหรอ?”

คนพี่ยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะตอบ “พอดีว่าพี่จะพาไปเที่ยวน่ะ”

“แล้วจะไปกี่วันอะ?” ตี๋ถามซื่อ ๆ ไม่ได้คิดสงสัยในรอยยิ้มนั่นเลย

“ถ้าลาได้ติด ๆ กันสัก 6-7 วันก็ดีนะ”

ตี๋ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรกลับไปอีก เขาก้มหน้ามองปฏิทินในมือถือก็เห็นว่าเดือนนี้ตารางงานของตนค่อนข้างว่างเลยทีเดียว งานทุกอย่างเพิ่งจะเคลียร์หมดไปสิ้นเดือนที่แล้วนี่เอง

“ก็ได้นะ” เจ้าตัวว่า “แล้วพี่..ลาได้งั้นเหรอ?”

“ได้สิ”

“งั้นก็...ลาวันที่ 21-23 เพิ่ม..เป็นเจ็ดวันเนอะ แล้วนี่จะไปไหนยังไม่เห็นบอกเลย-” ปากแดงพูดเจื้อยแจ้วจนเอสอดใจไม่ไหวที่จะก้มลงจูบ

“อื้อ~ ไอ้บ้า!” ตี๋เบือนหน้าหนีก่อนจะด่าอีกคนที่ยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สา “ด่าแล้วยังจะมายิ้มอีก ประสาท!”

“นานแล้วนะ…” คนพี่ที่ยังคลอเคลียอยู่กับริมฝีปากบางของตี๋ เอ่ยเสียงพร่า

ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร..ตี๋เม้มปากแน่นยกมือดันอกหนาของคนรักให้ห่างออกไป “ตี๋ไปอาบน้ำก่อน”

เจ้าตัวลุกขึ้นตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าขนหนูขึ้นมากอดพร้อมกับชุดนอน สายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของอีกฝ่ายยังคงจดจ้องเขาไม่เบี่ยงเบนไปไหน...นานแล้วที่เราสองคนไม่ได้สัมผัสกันและกัน เพราะเขางานยุ่งมากจนแทบไม่มีเวลาให้กับพี่เอส คบกันมาก็จะห้าปีแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมมีเซ็กซ์ด้วยสักที คิด ๆ แล้วก็สงสารอีกคนอยู่เหมือนกัน

ถ้าแค่จับจูบลูบคลำ..ก็ให้ ๆ เขาไปเถอะวะ

ขายาวของตี๋เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องน้ำ กว่าจะเอ่ยออกจากปากได้ช่างยากเย็น “ถ- ถ้าอยากมากนัก..ก็ตามเข้ามาแล้วกัน” พูดจบก็รีบเข้าห้องน้ำไปด้วยความอาย

เอสยิ้มดีใจขายาวรีบก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่กี่วินาทีก็ประชิดตัวคนรักได้ เขาจับตี๋ให้หมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากัน

“หน้าแดงเป็นลูกตำลึงเลย”

ตี๋หน้างอทันทีที่อีกฝ่ายพูดกระเซ้า “เดี๋ยวเหอะ!”

คนพี่หัวเราะในลำคออย่างไม่สำนึก เขาหยิบเอาผ้าขนหนูและชุดนอนที่ตี๋กอดเอาไว้ไปแขวนที่ราว ก่อนจะลงมือปลดเสื้อผ้าของคนรักออกทีละชิ้นจนหมด แล้วถึงถอดของตนเองตาม

ตี๋หันหลังหนีพยายามไม่ให้อีกคนเห็นรูปร่างของตัวเอง ถ้าเป็นเวลาอาบน้ำด้วยกันปกติจะไม่อายเลย แต่เวลาที่อีกฝ่ายแม่งเต็มไปด้วยอารมณ์หื่นกามแบบนี้ เขาก็ต้องรู้สึกอายเป็นเรื่องธรรมดา

ยิ่งระยะหลัง ๆ มานี้..ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอายุที่มากขึ้นหรืออะไร เวลามองอีกฝ่ายตอนที่มีอารมณ์แบบนี้..มันดูเซ็กซี่จนทำให้เขารู้สึกมีอารมณ์ร่วมอย่างมาก

เอสกอดน้องจากทางด้านหลัง หอมลงที่ลาดไหล่ ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไปตามร่างกายที่ดูสมส่วนขึ้นจากตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย ตี๋น้อยของเขาโตเป็นหนุ่มอายุยี่สิบหกแล้ว ร่างกายที่เคยผอมเก้งก้างก็มีกล้ามเนื้อให้จับได้เต็มไม้เต็มมือมากขึ้น แต่รูปร่างก็ยังคงเพรียวบางกว่าเขาอยู่ดี สิ่งที่ยังคงเหมือนเดิมก็คือผิวพรรณขาวละเอียด เป็นเพราะเขาจับอีกฝ่ายทาครีมอยู่ทุกวันไม่ให้ขาด ไม่อย่างนั้นตี๋ที่ออกไซด์งานอยู่บ่อย ๆ ต่อให้ผิวดีมาแต่เกิดขนาดไหนก็คงจะตายเพราะแดดประเทศไทยนี่แหละ

“อย่าบีบแรงสิ!” ตี๋ร้องที่โดนบีบหน้าอก

คนอายุมากกว่าหัวเราะในลำคอ ด้วยความมันเขี้ยวเขาเลยหนักมือไปหน่อย จับตี๋ให้หมุนตัวกลับมาเพื่อที่จะได้มองหน้าให้เต็มตา เห็นน้องมองตาขวางแล้วก็อดที่จะยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้ เขาจูบริมฝีปากนิ่มด้วยความรักใคร่ และอีกฝ่ายก็ตอบรับจูบนี้อย่างดี

เอสเอื้อมมือเปิดฝักบัวให้สายน้ำมันไหลผ่านร่างกายที่ร้อนรุ่มของเขาทั้งคู่ แทนที่สายน้ำเย็นมันจะดับอารมณ์กรุ่นของเขาได้ แต่กลับโดนสายตาที่แสดงถึงความต้องการของตี๋ปลุกเร้าให้สัญชาตญาณในตัวของเขาตื่นขึ้นมา คนอายุมากกว่าดันให้ตี๋หันหลังกลับไป มือขวากดให้แผ่นหลังของตี๋แอ่นลงเล็กน้อยเพื่อให้สะโพกขาวยื่นมาทางด้านหลัง..เพื่อที่จะได้ทำอะไรได้สะดวกหน่อย

ตี๋รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปหลังจากนี้ เขาเองก็ไม่ใช่เด็กแล้ว..ที่ผ่านมาก็มีการสัมผัสแบบนี้มาตลอด ในเมื่อเขายังไม่ยอมให้อีกฝ่ายสอดใส่เข้ามาในตัวก็ต้องยินยอมที่จะทำแบบนี้ แรก ๆ ก็รู้สึกอายมากที่จะต้องทำอะไรที่ไม่ได้แตกต่างจากการมีเซ็กซ์แบบนี้ แต่มันก็รู้สึกดีไม่น้อย เลยกลายเป็นว่าเขาเองก็ต้องการที่จะทำเหมือนกัน

เอสใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างลูบไล้ไปทั่วผิวขาวเนียนสวยของคนรักที่ตอนนี้แดงไปทั้งตัวด้วยความเขินอาย เขาแนบตัวชิดกับด้านหลังของตี๋ ขยับมือไปคลึงเคล้ายอดอกสีสวย..ปลุกเร้าให้ตี๋อารมณ์พุ่งสูงขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่

“รีบ ๆ ทำซะที”

“ทำยังไงดี” เอสพูดเสียงแผ่ว หลับตาลงอย่างอดกลั้น

“อะไรคือทำยังไงดี?” คนอายุน้อยกว่าไม่เข้าใจ

“พี่อยากใส่เข้าไปในตัวเรา...มาก ๆ เลย”

ตี๋หน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาจะมีอารมณ์ร่วมกับอีกฝ่ายมากเพียงใด แต่เขาก็ยังไม่อยากจะไปถึงขั้นนั้น

“พี่..รออีกหน่อยได้ไหม?” คนน้องถามเสียงเบา เริ่มรู้สึกผิดที่ต้องให้อีกฝ่ายรอมานานขนาดนี้

เอสไม่ได้ว่าอะไร ก้มลงจูบที่ต้นคอ ลาดไหล่ผอมที่มีกระดูกโปนออกมาดูเซ็กซี่ ฝ่ามือยังคงลูบไล้ไปตามร่างกาย ก้นเล็ก ๆ โดนขยำจนขึ้นรอยแดง

“บอกตามตรงก็เริ่มจะไม่ไหวแล้วล่ะ”

“...” คนอายุน้อยกว่าพูดไม่ออก ตอนนี้ความคิดในหัวมันตีกันมั่วไปหมด ถ้าจะบอกว่าไม่มันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เขาเองก็โตป่านนี้แล้ว..ความต้องการในเรื่องนี้มันก็มีบ้างอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ แต่มันก็แค่ยังกลัวเจ็บอยู่เท่านั้นแหละ

“หุบขาเข้าสิ”

ถึงจะรู้สึกอายมากเพียงใดแต่ก็สู้ความกำหนัดไม่ได้ ตี๋หุบขาเข้าด้วยกัน ขยับยื่นสะโพกออกไปอย่างรู้หน้าที่ของตัวเองโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องบอก เพราะถ้าบอก..เขาต้องเขินแบบไม่หยุดไม่หย่อนแน่นอน

เอสดันความเป็นชายที่แข็งกร้าวผ่านช่องว่างของขาเข้าไป ขยับกายเข้าออกเสียดสีกับตี๋ด้วยความเร่าร้อน สองมือจับสะโพกเพรียวแล้วดึงเข้ามาพร้อมกับสวนกายเข้าไป เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังเป็นจังหวะ ไม่นานนักทั้งคู่ก็ปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน

คนอายุมากกว่าประคองตี๋ที่เนื้อตัวอ่อนปวกเปียกจากความเหนื่อยของบทรักเมื่อสักครู่ให้ยืนขึ้นตัวตรง พลิกตัวให้หันกลับมา เขาหอมแก้มแดงด้วยความรักและเอ็นดู

“มา..เดี๋ยวพี่อาบน้ำให้”

ร่างกายของตี๋ถูกอีกคนจัดการอาบน้ำให้จนสะอาดเกลี้ยงเกลา แล้วก็โดนผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ห่อไว้ทั้งตัว

“ไปเช็ดตัวเป่าผมให้แห้งเสร็จแล้วก็แต่งตัวนะ” เอสบอกยิ้มๆ ยกมือขึ้นลูบผมน้อง “เดี๋ยวพี่อาบน้ำเสร็จแล้วจะไปตบตูดกล่อมให้นอนหลับ”

“ตี๋โตแล้วนะ” เจ้าตัวว่าหน้าบูดก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำไป ความร้อนจากกิจกรรมเมื่อสักครู่ยังคงไม่จางไป ก้อนเนื้อในอกยังคงเต้นแรง เขาเช็ดผมด้วยท่าทีเหม่อลอย ใบหน้าขาวแดงระเรื่อเมื่อคิดถึงเรื่องที่เพิ่งผ่านไป

ตี๋พยายามจะเลิกคิดเรื่องนี้โดยการเดินไปหยิบไดร์เป่าผมมาเป่าผมที่หมาดอยู่ให้แห้ง แต่คำพูดของอีกฝ่ายก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่ได้ปลิวไปตามแรงลมจากไดร์เป่าผมเลย เจ้าตัวปิดเครื่องก่อนจะเรียกสติตัวเองโดยการเอาหัวโขกกับมันเบา ๆ “หยุดคิดได้แล้วโว้ย”

“ทำอะไรน่ะ?” เอสที่เดินออกมาจากห้องน้ำ พอเห็นว่าคนรักเอาหัวตัวเองโขกกับไดร์เป่าผมแล้วก็ได้แต่สงสัย

“หะ..” ตี๋สะดุ้งหันไปมองพี่เอสที่ยืนเช็ดผมมองมาที่ตนด้วยสายตาสงสัยแล้วก็ส่ายหน้าดิก “เปล่า ไม่มีอะไร”

เอสไหวไหล่อย่างไม่อยากจะเค้นเอาความจริงจากอีกฝ่ายอีก เขานั่งลงบนเตียง “เป่าผมให้พี่หน่อยสิ”

“อื้อ”

ตี๋เดินเอาเครื่องไปเก็บให้เรียบร้อยหลังจากที่เป่าผมคนรักจนแห้ง ร่างเพรียวเดินกลับมาก็เห็นอีกฝ่ายเอนหลังพิงหัวเตียงกดดูอะไรในโทรศัพท์อยู่ ไม่รู้ว่าอะไรเข้าสิงให้ตนเข้าไปนั่งคร่อมตักคนพี่

เอสตกใจที่จู่ ๆ ตี๋ก็ขึ้นมานั่งคร่อมตน ปากบางเม้มจนเป็นเส้นตรง ใบหน้าฉายแววเคอะเขินอย่างปิดไม่มิด นี่ถ้าเป็นคนที่เขาเคยคั่วด้วยมาทำแบบนี้ใส่ละก็...มันคือการยั่วชัด ๆ แต่กับตี๋แล้วเขาไม่กล้าคิดหรอกว่าอีกคนกำลังทำอะไรแบบนั้น อาจจะแค่อยากอ้อนเท่านั้นก็ได้

“มีอะไรเหรอครับ?” เอสเลิกคิ้วถาม

“ก- ก็..” ตี๋อึกอัก “บ- แบบว่า…” เจ้าตัวไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี เหมือนว่าเขาใช้ความกล้าทั้งหมดไปเกลี้ยงแล้ว

คนอายุมากกว่ายิ้มรอว่าตี๋ตั้งใจจะพูดอะไร เขายกมือขึ้นลูบเอวบางผ่านเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งที่อีกฝ่ายใส่นอนประจำ

“หยุดลูบซะที!”

“เอ้า~” เอสหัวเราะที่โดนตวาด “แล้วเราล่ะ..มาอ้อนแบบนี้จะเอาอะไรเหรอไง?”

“ตี๋ไม่ได้อ้อน~ก็แค่…”

“อย่าบอกนะว่านี่ยั่วพี่?”




TBC…
ติดตามต่อภายในเล่มจ้า~~~
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-09-2018 22:08:57
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: - all my LOVE is for you - ch.1 [13/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 16-10-2018 12:49:29
ชอบค่ะ ไม่รู้ทำไมเพิ่งเจอ เสียดายเราเจอกันช้าปาย~
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 16-10-2018 13:25:39
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 16-10-2018 13:55:39
เค้าค่อยเป็นค่อยไปดีค่ะ เรื่องนี้ ชอบๆ
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.7 [up:03/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 16-10-2018 19:09:26
เขิน  :-[
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.12 หน้า 2 [up:29/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 16-10-2018 20:29:58
ลุ้นว่าถ้าเฟยรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเอสกับตี๋แล้วจะเป็นยังไง

คงไม่ม่าหรอกมั้ง..
หัวข้อ: Re: ✿ all my LOVE is for you ✿ ch.17 หน้า 3 [up:19/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 17-10-2018 08:05:38
ดีอะ เป็นแม่ที่ดีมากๆ พี่ก็ด้วย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ ch.19 หน้า 4 [up:07/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 17-10-2018 08:29:01
กุมจมูก  :m25: จินตนาการภาพรอยสักของตี๋ตามละแบบ  :jul1:

ขอเราเป็นจิ้งจก ตุ๊กแก หรือยุงในห้องนั้นจะได้ไหมคะ
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 17-10-2018 09:05:25
ละมุน อบอุ่นในหัวใจมากค่ะ :hao5:  ชอบมาก

แต่ว่านะ เราก็บแอบๆ หวังฉากนั้นเผื่อจะไปเป็นจิ้งจก ตุ๊กแกบ้าง

แต่ไม่มี อดเลย (ฮา)  ขอบคุณมากนะคะ สนุกมาก ม่าดีต่อใจ
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 17-10-2018 09:09:45
กรี๊ดดดด ตอนพิเศษนี่มัน  :pighaun:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 17-10-2018 19:55:24
อบอุ่นมาก มีความนิยายครอบครัว ชอบมากเลยไม่ดราม่าด้วย ขอบคุณคนเขียนมากเลยนะ
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-10-2018 01:52:17
 :katai2-1: o13 :katai2-1:


 :กอด1: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 03-11-2018 14:59:03
แอบน้ำตาซึม ประทับใจความรักของครอบครัวในเรื่องมาก ตัวละครทุกตัวดีหมดเลย คือเป็นคนดีหมดทั้งเรื่อง ไม่มีตัวร้ายเลย น้องตี๋ก็น่ารัก  o13
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: FeRnChOi ที่ 07-11-2018 22:38:32
สนุกมากเลยยยย เราชอบนิยายละมุนไป
เรียบง่ายแบบนี้มากๆ อ่านแล้วไม่เครียด
ขอบคุณที่แต่งนิยายฮีลลิ่งหัวใจแบบนี้มาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 11-11-2018 06:13:25
ละมุนมาก สัมผัสได้ถึงความรักของทั้งสองคน
พี่เอสรักน้องมากกกกๆๆๆ แอบตกใจ 5 ปีแล้วน้องยังไม่ยอมพี่สักที หนูรู้กก :sad4:
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 17-12-2018 20:16:15
น่าร้ากกกกกกกกกกก
เคมีเค้าดีกันมากเหลือเกินเจ้าค่ะ พี่เอสคือเอาน้องอยู่มากเว่อ
น้องก็ไม่ยอมสักที555555555
ยอมใจความอดทนของนังพี่
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 20-01-2019 23:19:01
โอ้โหเอสคือผู้ชายที่สุดยอดมากตี๋โคตรโชคดี
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 17-04-2019 22:06:30
 :-[
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: PoPoe ที่ 21-04-2019 00:59:49
ดีมากก มากกกกก
อ่านแล้วรู็สึกได้ถึงความอบอุ่น
ครอบครัวทั้งสองฝั่งน่ารักมากๆเลยค่ะ ดีจังเลย
 :hao5: ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: นกน้อยน่ารัก ที่ 22-09-2019 10:28:53
 :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: Tonson777 ที่ 29-11-2019 21:37:13
 :mew1:น่ารัก ละมุน ชอบโมเมนท์การนอมรับของครอบครัวมากเพราะมันคือพื้นฐานของคนหนึ่ง ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ▬ all my LOVE is for you ▬ เปิด pre-order หนังสือ + ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม (p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 21:32:02
 :pig4: