-3-
ไม่ชินเลย...
หน้าขาวๆ โล่งโจ้งซึ่งไม่ได้เห็นมานาน พอผนวกรวมกับความเหลวของไขมันที่พุงกับใต้ท้องแขนแล้ว ผมกลายเป็นคนที่ดูเหยาะแหยะสุดๆ แต่ถ้าเอาเฉพาะหน้า หากไม่นับขอบตาดำๆ แถมยังช้ำหนักมากของตัวเองคงพอเรียกได้ว่าหล่อเหมือนเดิม ค่อยสมกับเป็นรองเดือนมหา’ลัยหน่อย
“พอใจยัง” เมื่อส่องหน้าตัวเองเรียบร้อยแล้วผมเลยหันไปหาตัวต้นเรื่องที่ทำให้ผมต้องโกนหนวดที่เลี้ยงไว้มานานออก ดูเหมือนภามจะมองหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว พอหันไปหาเขาเลยพยักหน้าให้หนึ่งครั้งแล้วตอบเป็นเสียงโมโนโทน
“อืม”
“นี่ ขออะไรอย่างได้มะ” ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนพูด “จะบอกว่าเอาแต่ใจก็ได้ แต่ฉันโคตรเกลียดคำว่าอืมเลย ถ้าไม่ได้จะกวนตีนกันช่วยหยุดพูดทีได้ไหม”
คำว่าอืมเป็นคำที่ผมกับเพื่อนชอบใช้เวลาจะกวนตีนกัน ไอ้เก้ากับไอ้โซมันรู้ว่าผมไม่ชอบเลยเอามาล้ออยู่บ่อยๆ ขนาดเป็นเพื่อนเวลาได้ยินยังหงุดหงิดใจจนบางครั้งนึกอยากโมโหออกมาเสียด้วยซ้ำ พอมาได้ยินคนอื่นพูดใส่บ่อยๆ ผมเลยไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ มันทำให้หัวร้อน
“ถ้าไม่ใช่ว่าเรารู้จักกันแล้วฉันคงเดินหนี แต่เพราะเราหลีกเลี่ยงกันไม่ได้ เพราะงั้นเพื่อความสบายของเราทั้งคู่ นายช่วยเลี่ยงคำนั้นได้ไหม”
“ทำไม” เขาเอียงหัวน้อยๆ เป็นเชิงถาม หากเป็นเมื่อก่อนผมคงคิดว่ากำลังโดนกวนตีน แต่ดูจากที่ได้พูดคุยกันมา เจ้านี่น่าจะอยากถามจริงๆ มากกว่า
“มันเหมือนตอบแบบไม่เต็มใจตอบน่ะ หรือไม่ก็เหมือนคนที่ชอบทำตัวหยิ่งๆ ไม่อยากคุยด้วย บางคนเวลาได้ยินแบบนั้นเขาจะไม่ค่อยชอบนะ” นั่นรวมถึงตัวผมเองด้วย
“คุณไม่ชอบให้ผมพูด”
“ใช่ ฉันจะใช้คำนั้นเวลาโมโหหรือเอาไว้ตัดบทกับคนที่ไม่อยากคุย ถ้านายไม่ได้หมายความแบบนั้นอย่าใช้ดีกว่า”
“เข้าใจแล้ว”
“ดีๆ”
เออ...ว่านอนสอนง่ายดี ถึงมันจะพูดคำว่าอืมให้ผมหัวร้อนไปแล้วเกือบสิบรอบก็ตาม
“ผมจะเอาไว้ใช้เวลาโมโหหรืออยากตัดบทกับคนที่ไม่อยากคุย
“อ่า…” ผมยกมือเกาหัวแกรกๆ เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่พูดนี่ควรไหม ทำไมรู้สึกเหมือนเรื่องยุ่งยากจะตามมายังไงก็ไม่รู้ “แล้วนี่ไม่นอนต่อแล้วเหรอ”
“เจ็ดโมงแล้ว”
“จริงดิ” นี่ผมไม่รู้ตัวเลยนะว่าเจ็ดโมงแล้ว คิดว่าตอนตื่นขึ้นมาเพราะโดนปลุกเพิ่งจะตีสามตีสี่ด้วยซ้ำ
“คุณใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำสองชั่วโมง”
เออว่ะ...เพิ่งนึกออกตอนนี้เองว่าใช้เวลาอยู่ในนั้นนานขนาดไหน มิน่าถึงเมื่อยขานิดๆ ตอนเดินออกมา
“ฉันไม่ได้โกนหนวดมานานนี่” ผมตอบทั้งหน้าตึง แม้ความจริงจะโกนเสร็จตั้งแต่สิบห้านาทีแรกแล้ว แต่ใช้เวลาพิจารณาหน้าตัวเองอยู่นานก็ตาม ทำไงได้ล่ะ...ไม่ได้เห็นหน้าชัดๆ มาตั้งนาน แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันนานขนาดนั้นสักหน่อย ไม่ได้ตั้งใจน่ะเข้าใจไหม
“ประหลาด” จู่ๆ คนหน้าตายก็พูดขึ้นมาลอยๆ ผมเลยรีบหันขวับไปมองเพราะรู้ดีว่าเขาหมายถึงใคร
“อะไรประหลาด”
“คุณแสดงอารมณ์ได้เยอะมาก” เขาบอกแล้วเอียงคอเหมือนสงสัย
“ฉันน่ะไม่ประหลาด นายต่างหากที่ประหลาด ไม่มีอารมณ์อะไรเลย เคยยิ้มบ้างไหมเนี่ย” ผมพูดออกไปตามความเป็นจริง หากสิ่งที่คาดไม่ถึงคือใบหน้าผงะค้างไปของภาม เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองพูดอะไรผิดไปทั้งที่สีหน้าของเจ้าตัวไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว
แล้วทำไมผมถึงไปอ่านความรู้สึกลึกๆ ของมันออกได้วะเนี่ย ไหนจะความรู้สึกผิดนี่อีก
“พี่บอกว่าเราจะยิ้มเวลามีความสุข”
“แล้วเวลาอยู่กับพี่นายหรืออยู่กับเก้านายเคยยิ้มบ้างไหม” ผมลองถาม
“เคย” เขาพยักหน้าส่วนผมถอนหายใจโล่งอก เอาวะ...อย่างน้อยมันก็ยิ้มเป็น
“ที่นายชอบจ้องโดยไม่พูดอะไรนี่ ถามจริงๆ เถอะว่าต้องการอะไร” ผมเหลือบตามองคนพูดไม่เก่ง มาถึงตอนนี้เริ่มเดาออกลางๆ ว่าเหตุผลของการที่เขาเอาแต่จ้องผมอาจเป็นเพราะต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เพราะไม่รู้จะพูดยังไงถึงทำได้แค่จ้องนิ่งๆ ดูจากท่าทีในตอนนี้แล้วยิ่งช่วยย้ำความมั่นใจเข้าไปใหญ่
“ผม...พยายามคิด” ภามพูดช้าๆ แล้วนิ่งไปอีก ผมเริ่มจับทางได้เลยยอมปล่อยให้เขานั่งคิดต่อไปโดยไม่เอ่ยแทรก “คิดว่าควรพูดยังไง”
“ปกติเวลาอยู่กับพี่นายก็เป็นแบบนี้เหรอ”
“เปล่า” เขาส่ายหน้า “เวลาพูดกับพี่หรือเก้าผมพูดอะไรก็ได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนโกรธ”
หา...
“หมายความว่าที่นายจ้องฉันนิ่งๆ นานๆ เป็นเพราะนายพยายามคิดคำพูดที่จะไม่ทำให้ฉันโกรธงั้นเหรอ” ผมแทบจะกุมขมับเมื่อเห็นภามพยักหน้าหงึกหงักเป็นคำตอบ
“เมื่อวานคุณก็ทำเหมือนโกรธตอนที่ผมพูดแบบลืมคิด”
“ตอนไหน”
“ตอนที่บอกว่าจะโยนของออกไปข้างนอก”
ที่แท้ไอ้ประโยคน่าฆ่าทิ้งนั่นมันเกิดขึ้นเพราะเขาลืมหยุดคิดคำพูดเหรอเนี่ย แต่เดี๋ยวนะ...อายุตั้งยี่สิบกว่าแล้ว ทำไมถึงยังต้องหยุดคิดอะไรนานๆ อีก ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปสำรวจเจ้าของหน้าปลาตายใกล้ๆ เขาเองก็จ้องมองกลับมานิ่งๆ โดยไม่คิดหลบ ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับการสำรวจอาการเป็นอย่างยิ่ง
“นายก็ดูไม่ได้มีความผิดปกติอะไรนะ หรือเป็นโรคทางจิตเวช” ผมกะพริบตาปริบๆ เมื่อไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้านั้น “ทำไมนายถึงต้องใช้เวลาคิดก่อนจะพูดนานๆ ด้วย”
“ผม...ไม่ค่อยได้คุยกับใคร ถึงจะเที่ยวไปทั่วแต่ก็ไม่ได้พูดกับใครเลย”
“แล้วแบบนั้นจะสนุกเหรอ” ได้ยินคำตอบแล้วผมอดแนะนำไม่ได้ ดูๆ ไปแล้วเจ้านี่ก็น่าสงสารอยู่เหมือนกันนะ ท่าทางเหมือนเด็กเลย “รู้ไหมว่าเที่ยวคนเดียวสบายกว่าก็จริง แต่ถ้านายอยู่กับมันนานเกินไปจะเหงาเอานะ ลองหาเพื่อนเที่ยวดูบ้างสิ เผื่อมันจะสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้ นายอาจจะชอบมากกว่าแบบเดิมก็ได้”
ผมไม่รู้ว่าพื้นฐานครอบครัวของแฟนไอ้เก้าเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าภามต้องเจออะไรมาหรือโดดเดี่ยวขนาดไหน แต่ดูจากอาการที่เขาเป็นแล้วมันน่าเป็นห่วงพอควรเลย ในฐานะของแพทย์แล้วผมอดรู้สึกแย่ไม่ได้ ถ้าแค่ไม่สบายหรือเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับร่างกายคงง่ายกว่านี้เยอะ แต่ถ้าเขาเป็นอะไรที่เกี่ยวกับจิตใจขึ้นมาจริงๆ ผมคงไม่รู้จะช่วยยังไง
“ไม่มีใครอยากเที่ยวกับผมหรอก”
“บ้าเหรอ ต้องมีสิ” ผมตบไหล่ภามเบาๆ แล้วพูดต่อ “เอางี้...ต่อจากนี้นายพูดกับฉันตามสบายเลย ถ้าพูดไม่ถูกหรือไม่ดีฉันจะบอกจะสอนเอง เหมือนตอนนายพูดคำว่าอืม แบบนี้โอเคไหม”
“คุณพูดเหมือนเราจะได้อยู่ด้วยกันต่อ”
ฉิบ...ลืม
“อะ...เออ...หมายถึงถ้าได้เจอกันอีกไง” จู่ๆ ก็เริ่มเหงื่อแตกเมื่อรับรู้ได้ถึงสัญญาณบางอย่าง
“คุณบอกว่าให้หาเพื่อนเที่ยว...”
“…” เอาละ
“เพื่อนคนนั้น...เป็นคุณได้ไหม”
ถ้าเป็นผู้หญิงคงได้มีกรีดร้องจนสลบไปข้างเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น แต่เผอิญว่าผมเป็นผู้ชาย ทั้งยังโดนพูดประโยคดังกล่าวใส่ด้วยน้ำเสียงโมโนโทน ในใจตอนนี้เลยมีเพียงคำว่าฉิบหายๆๆๆ ดังซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
“เพราะไม่อยากให้พี่เป็นห่วงผมถึงพยายามยิ้มและบอกว่าตัวเองมีความสุขต่อหน้าเขา” ภามเริ่มพูดออกมา เขาไม่ได้รั้งตัวผมไว้ แต่กลับใช้ดวงตาคู่นั้นสะกดกันได้จนอยู่หมัด “อันที่จริงผมยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าความสุขคืออะไร”
ดูเหมือนพอผมบอกให้เขาพูดโดยไม่ต้องคิดนานๆ ภามก็ทำตามนั้นจริงๆ เขาพูดประโยคยาวๆ ออกมาได้ แม้จะดูลังเลกับการพูดบางคำอยู่
“ผมแค่รู้สึกว่าถ้าอยู่ใกล้คุณบางทีผมอาจจะได้รับคำตอบ”
“หา…”
“คุณตลก ดูปัญญาอ่อน”
“เดี๋ยวๆ อันนี้จะไม่คิดมากเกินไปละ”
“แต่กลับเหมือนซุกซ่อนอารมณ์ลบๆ อะไรไว้อยู่”
“…” ผมได้แต่เงียบเมื่อเขาพูดตรงจุด เป็นครั้งแรกที่ผมมองเห็นดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นเปล่งแสงเหมือนกำลังพยายามตีความหมายท่าทางของผมอยู่
“ถ้าเราไปด้วยกัน บางทีผมอาจเจอคำตอบของตัวเอง ส่วนคุณก็อาจเจอหนหางแก้ไขความรู้สึกที่เป็นอยู่”
“นายกำลังหว่านล้อมฉัน?”
“ใช่”
“งั้นลองบอกมาสิว่าฉันรู้สึกอะไร” ผมกอดอกมองใบหน้าปลาตายของเขาอย่างท้าทาย หากคนตรงข้ามกลับพูดออกมาได้โดยไม่หยุดคิด
“ผมไม่รู้ว่าคุณรู้สึกอะไร แต่รู้แค่ว่าความรู้สึกของคุณ ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขมันอาจจะหมายถึงชีวิต”
“รู้ดีจังนะ”
“มองตาผม...แล้วคุณจะเข้าใจ”
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำตามคำพูดนั้นอย่างง่ายดาย แต่ผมก็ยังเลือกจ้องมองดวงตาสีดำขลับไร้คลื่นอารมณ์คู่นั้นนิ่งงัน เป็นเวลานานหลายนาทีที่ผมไม่พบว่ามันแปรเปลี่ยนไปเลยสักนิด หากความว่างเปล่านั้นเอง...ที่หมายถึงคำตอบ
เขารู้...เพราะตัวเองเคยผ่านมันมาแล้ว
สองเดือนคือระยะเวลาที่เราจะอยู่ด้วยกัน
สองเดือนก่อนที่ผมจะกลับไปใช้ชีวิตในแบบเดิมๆ และสองเดือนก่อนที่เขาจะเดินทางไปท่องเที่ยวต่อในประเทศอื่น จะว่านานก็นาน จะว่าไวก็ไว นั่นขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกอยู่ร่วมกันแบบไหน และผมหวังว่าความรู้สึกของตัวเองจะคิดว่ามันนานไปจนถึงวันสุดท้าย เพราะเมื่อไหร่ที่คิดว่าไวขึ้นมา เมื่อนั้นความฉิบหายจะบังเกิดแน่
แต่เรื่องนั้นช่างหัวมันไปก่อน เพราะตอนนี้...เรากำลังเถียงกัน
“นายวางแผนเดินทางมาเที่ยวไทยไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่มีโปรแกรมอะไรเลยล่ะ” ผมขมวดคิ้วจ้องหน้าภามขณะที่เรากำลังยืนแบกกระเป๋ากันอยู่ตรงจุดที่รถของโรงแรมพามาส่ง จำได้ว่าผมบอกให้พามาส่งนอกเขตโรงแรมตรงที่ไปไหนมาไหนได้สะดวก แต่ทำไมถูกเอามาทิ้งไว้ตรงริมหาดที่ไม่มีใครเลยสักคนก็ไม่รู้
“ผมวางแผนแค่ว่าจะไปประเทศอะไรต่อ ไม่ได้คิดว่าต้องไปที่ไหนในประเทศนั้น” เขาตอบกลับเสียงเรียบ ไม่เสียเวลายืนคิดนานๆ อีกแล้วหลังจากคุยกันไปเมื่อเช้า ซึ่งบอกตรงๆ ว่า...ความกวนตีนแบบซื่อๆ นั่นทำให้ผมนึกอยากขอให้เขากลับไปเป็นเหมือนเดิมอยู่หลายรอบเลยทีเดียว
“แล้วปกติเวลาไปประเทศอื่นทำไง”
“ไปตายเอาดาบหน้า”
“ไหนว่าไม่ถนัดภาษาไทยไง!” มาเป็นสำนวนเลยเนี่ย แล้วมาอธิบายให้ผมฟังว่าตัวเองพูดจาไม่เหมาะกับสถานการณ์อยู่บ่อยครั้งเป็นเพราะไม่ค่อยได้ใช้ภาษาไทย พอผมถามว่าแล้วทำไมพูดชัดก็บอกแค่ว่าแม่ที่เป็นคนไทยสอน แล้วเก้าก็ชอบพูดไทยด้วย แต่หลังๆ มาเวลาคอลกันเก้ามักอยู่กับพี่ชายตัวเอง ภาษาที่ใช้หลักๆ เลยกลายเป็นภาษาอังกฤษตามไปด้วย เจ้าหนุ่มลูกครึ่งไทยอังกฤษคนนี้เลยไม่ค่อยได้ใช้ภาษาไทยอีก
“เคยได้ยินคำยากๆ บางคำแล้วจำได้” เขาบอกง่ายๆ แล้วยักไหล่ “แค่ผมพูดชัดเข้าใจง่ายก็ดีแล้ว”
“ก็ได้ๆ” พอขี้เกียจเถียงผมเลยได้แต่ถอนหายใจ “แล้วจะเอายังไงดี ไม่รู้จะไปไหนเนี่ย”
“ไปตามลม”
“หา…”
ยังไม่ทันได้สงสัยอะไรมือใหญ่ๆ ที่ผมเคยนึกสงสัยว่าจะแรงเยอะเหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่าก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือผมแล้วออกแรงลากให้เดินตามอย่างรวดเร็ว ภามลากผมให้เดินไปตามหาดจนถึงจุดพักจุดหนึ่งที่มีเก้าอี้นั่ง แต่เพราะขาของเขายาวกว่า...นิดหน่อย ผมเลยต้องจ้ำตามจนหอบไปหมด เพิ่งรู้ว่าร่างกายตัวเองอ่อนแอขนาดไหนหลังจากเลิกออกกำลังกายก็วันนี้เอง
“นายพาฉันมาที่ไหนน่ะ” ผมนั่งลงตามแล้วหันไปหาคนด้านข้างที่ไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเลยสักนิด
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“เอ้า! แล้วที่ลากให้วิ่งมานี่คือต้องเหนื่อยฟรีเหรอ”
“คิดซะว่าออกกำลัง เผื่อกล้ามเนื้อจะเพิ่มขึ้นบ้าง” ภามตอบหน้าตาเฉย แต่ทำเอาผมอยากยกเท้าขึ้นมาถีบ
ไม่ได้ๆ...เราเป็นคนบอกเองให้พูดออกมาตรงๆ แบบไม่ต้องคิดมาก
“ถ้านายไม่บอกว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องการพูด ฉันคงคิดว่าไปติดนิสัยไอ้เก้ามา” ผมบ่นตามความจริง ไอ้เก้ามันยิ่งนิสัยประหลาดๆ อยู่ คิดอะไรก็ไม่เหมือนชาวบ้าน ที่สำคัญคือมันเป็นพวกตรงไปตรงมาจนน่ากระทืบ จะว่าไปภามก็รู้จักมันมานานหลายปีแล้ว หรือจะไปติดมันมาจริงๆ วะ ผมหับขวับไปมองเขาแล้วหรี่ตาจับผิด “อย่าบอกนะว่าเอาลักษณะภายนอกมาจากพี่ชาย แต่ไปเอานิสัยไอ้เก้ามาผสมด้วยน่ะ”
“ไม่แน่ใจ” บางทีก็ตอบตรงไปตรงมาเหลือเกิน
“แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว”
“แต่คุณลืมไปอย่าง” ภามมองผมด้วยดวงตานิ่งๆ ของเขา
“ลืมอะไร”
“ไม่ว่าจะเหมือนใคร...แต่ผมก็คือผมอยู่ดี”
เรามองหน้ากันอยู่นานจนได้ยินเสียงเรือแล่นเข้ามาใกล้ ผมมองตามแผ่นหลังกว้างของคนที่ลุกขึ้นยืนมองออกไปยังเรือลำนั้นนิ่งงัน อดนึกถึงประโยคที่เขาพูดออกมาอยู่ในใจไม่ได้
ผมก็คือผมงั้นเหรอ...
“มาเร็วเข้า” ภามหันมาคว้าข้อมือผมแล้วทำท่าจะดึงให้เดินตามอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมรั้งแขนตัวเองไว้จนเขาหันมามองด้วยสีหน้าปลาตายแบบที่ผมเริ่มมองออกว่ามันหมายถึงเจ้าตัวกำลังสงสัย
“ฉันไม่เคยลืมสักหน่อย” เพราะงั้นอย่ามาพูดให้รู้สึกผิดนะ จำได้แม่นเลยล่ะว่าตอนเจอกันครั้งแรกมาดหมายให้คนคนนี้เป็นถึงศัตรูอันดับหนึ่ง เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยว แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว...เปลี่ยนเป็นเพื่อนร่วมเดินทางแบบงงๆ แทน
ผมแกะมือภามออกแล้วเป็นฝ่ายคว้าแขนเขาก้าวเดินอาดๆ ไปด้านหน้าแทน นาทีไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าแบบไหนและไม่อยากรู้ด้วย แต่พอเดินมาสักพักถึงได้รู้ตัว ผมตบหน้าผากตัวเองแบบเนือยๆ ขณะหันกลับไปจ้องมองคนที่เดินตามอยู่ด้านหลัง
“ว่าแต่...นายจะไปไหนนะ”
สายตาที่จ้องมองแขนของเขาเองซึ่งโดนผมจับอยู่ค่อยๆ เงยขึ้นมาสบกันช้าๆ ผมแอบหงุดหงิดอยู่ในใจเมื่อพบว่าดวงตาคู่นั้นมีอิทธิพลกับตัวเองจนทำให้เผลอมองค้างได้ทุกครั้ง
“ไปที่เรือ”
“ไปทำอะไรที่เรือ” จากที่เห็นไกลๆ เรือลำนั้นน่าจะเป็นเรือสปีดโบ๊ทที่กำลังมุ่งตรงมาที่ขอบฝั่งด้วยความรวดเร็ว
“เดี๋ยวก็รู้เอง”
เหมือนภามจะไม่พอใจเมื่อเห็นผมเดินตามแบบเนือยๆ เพราะเริ่มเหนื่อย ไอ้ถึกเลยจัดการหันกลับมาลากแขนผมเหมือนเดิมให้วิ่งตามเขาไปในทิศทางที่เรือจะเข้ามาจอดเทียบหาด เออดี...ดึงกันไปดึงกันมาอย่างกับกำลังเล่นเครื่องเล่น
เรือที่เพิ่งเข้ามาจอดเทียบหาดเป็นเรือสปีดโบ๊ทขนาดเล็กนั่งได้ไม่กี่คน บนเรือมีคุณลุงคนหนึ่งกำลังเก็บข้าวของทำท่าจะเดินลงมาจากเรือ ผมยืนงงอยู่ข้างภามที่กำลังจ้องเรือเหมือนกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ เห็นสายตาที่จ้องแบบตาไม่กะพริบของเขาแล้วผมแอบเสียวสันหลังหวาดๆ รู้สึกเหมือนจะได้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของพวกผู้ร้ายที่จะทำความผิดยังไงก็ไม่รู้
“นี่...บอกทีว่านายไม่ได้คิดจะขโมยเรือ” ผมกระซิบกระซาบถามเสียงเครียด แต่ภามกลับหันมามองด้วยสีหน้านิ่งๆ เหมือนจะถามว่านี่มึงบ้าหรือเปล่า
เออดี...อ่านหน้ามันออกด้้วยกู
“คุณเป็นหมอจริงๆ ใช่ไหม”
“ถามงี้หมายความว่าไง”
“ผมรู้จักหมอหลายคน ยังไม่เคยเห็นใครเหมือนคุณเลย” เขาว่าแล้วแบกกระเป๋าขึ้นพาดบ่าอีกครั้งเมื่อคุณลุงบนเรือก้าวเท้าลงมาพอดี แต่ผมรีบรั้งแขนเขาไว้แน่น มาทำให้สงสัยแล้วจะจากไปแบบนี้ได้ไง ยอมก็ไม่ใช่ผมแล้ว
“ไม่เหมือนยังไง”
ภามถอนหายใจแล้วหันหน้ากลับมา ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผมหัวแทบไหม้
“ไม่มีหมอคนไหนบ้าบอเหมือนคุณ”
“ไอ้!…”
“คุณภู!”
ผมอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเสียงคนพูดตัดหน้า จากที่คิดจะด่าต้องพับปากเก็บไว้ก่อนแล้วหันไปมองคนมาใหม่แทน คุณลุงที่เพิ่งลงมาจากเรือคือผู้ที่วิ่งเข้ามาหาเรา เขาดูชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเข้ามาใกล้ คงเพราะสังเกตเห็นแล้วว่าคนข้างผมไม่ใช่คุณภูแบบที่เขาเรียกในตอนแรก
“น้องชายคุณภูเหรอครับ” คุณลุงมองหน้าแวบเดียวก็ยิ้มออก บ่งบอกได้ชัดเจนทีเดียวว่าภามกับพี่ชายดูเหมือนกันมากขนาดไหน
“ใช่...คุณรู้จักพี่ผมเหรอ”
เวร ผมคิดว่าภามก็รู้จักลุงแกอยู่ก่อนแล้วเสียอีก
“คุณภูกับคุณเก้าเคยมาเที่ยวด้วยกันแถวนี้แล้วช่วยออกเงินทุนให้พวกลุงทำธุรกิจเรือสปีดโบ๊ทในตอนที่พวกเรากำลังลำบากน่ะครับ ทุกคนที่นี่เลยนับถือพวกแกมาก” คุณลุงยิ้มกว้างแล้วเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิม “แล้วนี่พวกคุณจะข้ามเกาะกันหรือเปล่าครับ ให้ลุงไปส่งไหม”
ผมหันหน้าไปมองภามเพื่อรอฟังคำตอบแม้จะรู้สึกแปลกๆ เมื่อได้ยินคนพูดถึงไอ้เก้าในแง่ดีก็ตาม ลองคิดจะทำอะไรสักอย่างแบบนี้ ผมว่ามันไม่น่าช่วยลุงแกฟรีๆ หรอก คงจะได้ส่วนแบ่งไม่น้อยแน่ๆ
“ผมอยากไปที่นี่” ภามยื่นโทรศัพท์ส่งให้ลุงดู แกมองแค่แวบเดียวแล้วรีบส่งคืนเหมือนกลัวทำหล่น
“สบายมากครับ ขึ้นเรือได้เลย”
เออดี...บทจะง่ายก็ง่ายเหลือเกิน
บอกตามตรงว่าการนั่งสปีดโบ๊ทไม่ใช่เรื่องสนุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผมซึ่งเป็นคุณหมอผู้แบกกล้ามเนื้ออ่อนนุ่มไว้กับตัว เรี่ยวแรงไม่ค่อยจะมี แถมยังไม่ได้ออกกำลังกายมานานเกินห้าปี อาการผะอืดผะอมแล่นพล่านจากท้องขึ้นมาถึงลำคอทั้งที่เรือเพิ่งออกตัวมาได้เพียงสิบนาที ผมพยายามขยับตัวให้สบายขึ้นเผื่ออาการที่มีจะจางหายไป แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล
“คุณ…”
“อะ...อะไร” ผมถามเสียงสั่นเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“เงยหน้าสิ”
“จะอ้วก”
“เงย”
หรือว่าเงยหน้าแล้วจะรู้สึกดีขึ้น อาจเป็นไปได้ คนที่เดินทางมาหลายที่อย่างภามน่าจะรู้ดี เมื่อสรุปได้ดังนั้นผมเลยพยายามยกหัวหนักๆ ของตัวเองขึ้นช้าๆ และในช่วงเวลานั้นเองที่...
แชะ!
“…”
นี่มึงไม่ได้ห่วงกู แต่จะหลอกให้เงยหน้าถ่ายรูปเหรอ ไอ้....
“หน้าตาตลก”
“หะ…อุบ!” ฉิบ...อ้วกจะพุ่ง
“มองออกไปไกลๆ อย่าก้มหน้า” เสียงเรียบๆ ที่เหมือนจะออกคำสั่งอยู่หน่อยๆ ดังขึ้นพร้อมกับที่ผมถูกเชยคางให้เงยหน้า ไม่รู้ว่าภามลุกขึ้นจากที่นั่งจนมาหยุดอยู่ตรงหน้ากันตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่กล้องที่เขาใช้ถ่ายผมเมื่อกี้ห้อยอยู่ที่คอเจ้าตัวเรียบร้อยแล้ว
“นายยืนได้ไง”
ท่ามกลางกระแสน้ำกับแรงกระแทกยามเรือขับเคลื่อนแบบนี้ เขากลับยืนนิ่งได้โดยไม่เซ ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะปวดหัวเหมือนผมเลยสักนิด เห็นแล้วอิจฉาชะมัด
“บอกให้มองไปไกลๆ” ภามนั่งลงข้างผมโดยไม่ตอบคำถาม พอหันไปมองเขาก็ใช้มือเย็นๆ ของตัวเองดันแก้มผมให้หันกลับไปที่เดิม
“นี่ถึงขั้นจับหน้ากันได้แล้วเหรอ” ผมแกล้งถามเล่นๆ เพราะไม่ได้ถืออะไรมากมายอยู่แล้ว
“สิวไม่ขึ้นหรอก”
“จะบอกว่าตัวเองสะอาดว่างั้น”
“เปล่า แต่หน้าคุณ...”
กึก!
เสียงเรือกระทบคลื่นทำให้ผมไม่ได้ยินคำพูดสุดท้ายของภาม แต่ขอโทษเถอะ...ผมอ่านปากมันออก
หน้าคุณด้าน...
“นาย...อุบ!” ตั้งท่าจะด่าไอ้อ้วกในคอนี่ก็ตีตื้นขึ้นมาอยู่ได้ นี่ไปจับมือเป็นเพื่อนกับมันแล้วใช่ไหมถามจริง ช่วยเหลือกันดีเหลือเกิน
ครั้งนี้ผมท่าทางจะอาการหนักจริงจัง ปวดหัวจี๊ดจนเกือบทนไม่ไหว หากไม่ใช่ว่าคนกวนตีนด้านข้างยื่นมือมาเอาชูชีพแบบสวมหัวออกให้แล้วดึงเข้าไปนั่งพิงตัวเขาไว้เสียก่อน พอมีหลักพิงแบบสบายๆ แล้วอาการปวดหัวก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ ผมพิงแขนพิงไหล่ภามไว้ทั้งตัวแบบไม่เกรงอกเกรงใจ ทั้งยังเทน้ำหนักไปหาเต็มที่ด้วย
“ถ้าตกน้ำขึ้นมาฉันตายแน่” ผมพึมพำเบาๆ
“คุณว่ายน้ำไม่เป็นเหรอ”
“เป็น แต่สภาพนี้ว่ายไม่ไหว” เชื่อว่าถ้าตกน้ำจริงผมคงสลบเหมือดเป็นลำดับแรก “ถ้าจมฉันจะลากนายลงไปด้วย”
“ผมช่วยคุณอยู่แล้ว”
“อย่ามาทำซึ้ง ช่วยให้ตายไวขึ้นก็บอกมาเถอะ”
เหอะ...เหลือบมองหน้าทีเดียวก็รู้แล้ว อย่ามาทำเหมือนพระเอกหนังไปหน่อยเลย หมั่นไส้
“จะถึงแล้วครับ” เสียงสวรรค์จากคุณลุงที่กำลังขับเรือทำให้ผมใจชื้นขึ้นเป็นกอง ถึงขนาดลืมความอยากอ้วกแล้วกลับมานั่งตัวตรงเพื่อรักษาภาพพจน์ที่เหลือน้อยนิดได้เลยทีเดียว
หลังจากนั้นไม่นานนักเรือก็เข้าจอดเทียบหาดในที่สุด ผมขอบคุณคุณลุงแล้วเดินลงจากเรือด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งและสดใสแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้านหลังมีภามแบกกระเป๋าของตัวเองเดินตามมา เขาแอบดูเหมือนช่างภาพมืออาชีพอยู่ไม่น้อยในยามที่่ถือกล้องยกขึ้นถ่ายภาพบรรยากาศโดยรอบ แต่ผมไม่มีทางชมออกไปแน่นอน เดี๋ยวเหลิง
“ขอบคุณ”
“อะไร” ผมหันไปถามเสียงเขียว
“เห็นทำหน้าเหมือนชื่นชมผมอยู่” ไอ้คนหลงตัวเองตอบหน้าตายชนิดที่คิ้วปากและตาไม่กระดิกเลยสักองศา
“มั่วละ” มีสัมผัสพิเศษหรือไงถึงได้อ่านใจกันออก ผมหันหน้าหนีแล้วเดินขึ้นไปบนหาดแทน ขืนยืนอยู่กลางทะเลนานกว่านี้คงได้ล้มแน่
จะว่าไปแล้วทำไมกูถึงใส่เสื้อผ้าแบบนี้มาวะเนี้ย เสื้อแขนยาวกางเกงขายาวแถมยังใส่รองเท้าผ้าใบ อ๋อ...เพราะไม่คิดว่าต้องมาลุยทะเลไง โดนลากมา คิดได้ดังนั้นเลยหันไปตวัดตามองไอ้ตัวต้นเหตุอีกที แต่ใครจะไปรู้ว่าเจ้านั่นกำลังถือกล้องเล็งมาทางผมพอดี
แชะ!
“คิดว่าอยู่ในสวนสัตว์หรือไง”
“ก็เหมือนอยู่” เขาตอบสั้นๆ แล้วกดถ่ายภาพอีกรอบ
“นายกลับไปเป็นคนคิดมากเหมือนเดิมได้ไหม” คราวนี้ผมอดถามไม่ได้ ไม่สนความรู้สึกมันแล้ว เพราะมั่นใจว่าคำตอบจะต้อง...
“ไม่ได้”
ต้องเป็นแบบนี้ไง...
ผมมองเมินคนที่กำลังทำตัวเป็นช่างภาพมืออาชีพแล้วหันกลับมาสนใจบรรยากาศโดยรอบแทน น่าแปลกที่เกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่ไม่มีผู้คนอยู่เลย ทั้งยังไม่มีวี่แววของที่อยู่อาศัยใดๆ ให้ได้เห็น อาจเป็นเพราะสิ่งเหล่านั้นตั้งอยู่อีกฝั่งของเกาะหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ แต่ธรรมชาติและทรัพยากรที่ดูสมบูรณ์สวยงามบ่งบอกชัดเจนว่าคงไม่ค่อยมีใครมาเที่ยวบนเกาะนัก
“นายเอาที่อยู่เกาะนี้มาจากไหนกันแน่” ผมหันกลับไปถามภามที่เดินตามอยู่ด้านหลัง เขาชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็ยอมละสายตาออกจากกล้องแล้วเงยหน้าขึ้นตอบผม
“จากเก้า”
ความซวย...ความซวยกำลังมา แค่พูดถึงชื่อเพื่อนเวรผมก็ได้กลิ่นไม่น่าไว้วางใจลอยโชยมาแล้ว
“นาย...คงได้ที่อยู่ของเกาะนี้มาแต่แรกแล้วใช่ไหม”
“เปล่า เก้าส่งให้เมื่อคืน”
“นายคงไม่ได้เล่าเรื่องฉัน...”
“ผมบอกว่าเจอคุณ แล้วเก้าก็บอกให้มาที่นี่”
ให้มันได้อย่างนี้สิ ผมโคตรไม่ไว้ใจเลยเถอะ อย่าบอกนะว่ามันล่อให้มาติดเกาะร้างที่ไม่มีคนกับไอ้บ้าที่สนใจแต่กล้องถ่ายรูปจริงๆ น่ะ ว่าแต่ทำไมคิดไปคิดมาเริ่มกลับมาผะอืดผะอมเหมือนเดิมแล้ววะ
“นั่นคน” เสียงพูดเบาๆ ของภามทำให้ผมได้สติอีกครั้ง
ตรงจุดที่อยู่ไกลจากเราพอสมควรมีเด็กสองคนวิ่งเล่นอยู่ ผมถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นทั้งคู่ใส่เสื้อผ้าปกติ แม้จะดูเก่าไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้ใช้ใบตองมาห่อตัวแบบที่คิด แบบนี้คงพอยืนยันได้ว่าพวกเราไม่ได้โดนไอ้เก้าหลอกให้มาติดเกาะร้าง ค่อยยังชั่วหน่อย
“ภะ...ภาม”
ผมหันไปเกาะแขนคนที่เดินมาอยู่ข้างๆ แน่น เขาคงรับรู้ได้ว่าเสียงผมสั่นแบบแปลกๆ เลยไม่ได้กวนตีนอะไรเหมือนปกติ แค่เอามือมาเชยคางผมให้เงยหน้ามอง
แต่เดี๋ยว...
อย่าทำแบบนั้น...
“อย่า!…อุบ…โอ้กกกก!!”
“…”
อาการที่สะสมมาตั้งแต่ตอนนั่งเรือมาแสดงผลเอาก็ตอนนี้เอง และมันจะไม่มีปัญหาอะไรเลยสักนิด ถ้าหากผมอ้วกลงบนพื้นหรือที่อื่นที่ไม่ใช่...หน้าภาม
นะ...นี่มันข้ามขั้นนางเอกอ้วกใส่พระเอกตอนเมาไปอีกขั้นเลยนะ ปกติเขาต้องอ้วกให้เลอะชุดกันไม่ใช่เหรอวะ ทำไมกูข้ามขั้นไปอ้วกใส่หน้าคนอื่นจนไหลลงมาตามตัวงี้อะ ดีแค่ไหนแล้วที่เขายืดแขนออกไปด้านข้างจนกล้องที่ถืออยู่ไม่เลอะไปด้วย
“ภะ...ภาม” ผมเรียกคนตัวเลอะเสียงสั่น พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะหาหนทางแก้ไข แต่แล้วเมื่อได้มองสบดวงตาว่างเปล่าที่คล้ายจะมีประกายเพลิงลุกโชนจากภาพในจินตนาการของตัวเอง ขาสองข้างคล้ายจะก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
“…”
“ไม่ได้ตั้งใจนะ”
“อืม” กลับไปพูดว่าอืมแสดงว่าโมโหอยู่ใช่ไหม ฉิบหายแล้วไง
“ขอโทษจริงๆ”
“ไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรก็หยุดก้าวเข้ามาหาฉันดีไหม...ละ...แล้วนายวางกล้องลงพื้นทำไม แพงไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวทรายเข้านะ” ผมรัวพูดจนหมดมาด สองมือยกขึ้นเป็นเชิงบอกยอมแพ้ แต่ขายังก้าวหนีไม่หยุด เช่นเดียวกันกับที่อีกฝ่ายเดินตามมาเรื่อยๆ
“ไม่เป็นไร”
“ภาม...นาย...” ผมหยุดเท้าแล้วสบตาภาม เราจ้องกันเหมือนกำลังรอคอยว่าใครจะหมดความอดทนก่อน
“อยู่นิ่งๆ”
คงไม่ต้องถามนะว่าใครหมดก่อน...
ผมกะพริบตาทีเดียวแล้วกลับหลังหันวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต ไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังต้องกำลังวิ่งตามมาแน่นอน
“อย่าตามมาสิโว๊ยยยยย!”
ไม่มีเสียงตอบรับจากคนวิ่งไล่ รู้ตัวอีกทีแขนของผมก็ถูกพันธนาการไว้ด้วยมือใหญ่แข็งแรงของคนที่มีช่วงขายาวกว่า ผมมองภามด้วยความหวาดกลัว ในใจพูดว่าไม่นะซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ และเขาก็ทำ...ในสิ่งที่ทำให้ผมต้องเบิกตากว้างจนสติแทบหลุด
แผละ...
ไม่ใช่เพราะรอยยิ้มเหยียดๆ...แต่เพราะมันดึงผมเข้าไปกอด!
“พอ...พอแล้ว” ผมสะอิดสะเอียนจนแทบกลั้นใจตายเมื่อรับรู้ได้ถึงความสกปรกบนเสื้อผ้า
“ยังไม่พอ”
วินาทีต่อมาหลังจากที่ได้ยินคำนั้น ผมมองไม่เห็นอะไรอีกต่อไป...เพราะมันจับหน้าผมกดลงกับไหล่ตัวเองจนกลิ่นคาวลอยฟุ้ง!
ผมบอกแล้วว่าภามก็คือภาม
คือคนบ้าที่พัฒนามาจากพี่ชายตัวเองกับไอ้เก้าเพื่อนผมอีกขั้น
เลวร้ายกว่าเดิมอีก!
ไอ้*&*&^#$@($!
—————————-
TALK: มีความสุขมากที่เห็นเจไดโดนแกล้ง ตอนต่อไปจะไปติดเกาะกันแล้ววว