┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]  (อ่าน 88803 ครั้ง)

ออฟไลน์ Margarita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
«ตอบ #30 เมื่อ21-05-2018 18:11:26 »

 :ling3: :pig4:

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
«ตอบ #31 เมื่อ21-05-2018 19:39:20 »

-3-


ไม่ชินเลย...

หน้าขาวๆ โล่งโจ้งซึ่งไม่ได้เห็นมานาน พอผนวกรวมกับความเหลวของไขมันที่พุงกับใต้ท้องแขนแล้ว ผมกลายเป็นคนที่ดูเหยาะแหยะสุดๆ แต่ถ้าเอาเฉพาะหน้า หากไม่นับขอบตาดำๆ แถมยังช้ำหนักมากของตัวเองคงพอเรียกได้ว่าหล่อเหมือนเดิม ค่อยสมกับเป็นรองเดือนมหา’ลัยหน่อย

“พอใจยัง” เมื่อส่องหน้าตัวเองเรียบร้อยแล้วผมเลยหันไปหาตัวต้นเรื่องที่ทำให้ผมต้องโกนหนวดที่เลี้ยงไว้มานานออก ดูเหมือนภามจะมองหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว พอหันไปหาเขาเลยพยักหน้าให้หนึ่งครั้งแล้วตอบเป็นเสียงโมโนโทน

“อืม”

“นี่ ขออะไรอย่างได้มะ” ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนพูด “จะบอกว่าเอาแต่ใจก็ได้ แต่ฉันโคตรเกลียดคำว่าอืมเลย ถ้าไม่ได้จะกวนตีนกันช่วยหยุดพูดทีได้ไหม”

คำว่าอืมเป็นคำที่ผมกับเพื่อนชอบใช้เวลาจะกวนตีนกัน ไอ้เก้ากับไอ้โซมันรู้ว่าผมไม่ชอบเลยเอามาล้ออยู่บ่อยๆ ขนาดเป็นเพื่อนเวลาได้ยินยังหงุดหงิดใจจนบางครั้งนึกอยากโมโหออกมาเสียด้วยซ้ำ พอมาได้ยินคนอื่นพูดใส่บ่อยๆ ผมเลยไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ มันทำให้หัวร้อน

“ถ้าไม่ใช่ว่าเรารู้จักกันแล้วฉันคงเดินหนี แต่เพราะเราหลีกเลี่ยงกันไม่ได้ เพราะงั้นเพื่อความสบายของเราทั้งคู่ นายช่วยเลี่ยงคำนั้นได้ไหม”

“ทำไม” เขาเอียงหัวน้อยๆ เป็นเชิงถาม หากเป็นเมื่อก่อนผมคงคิดว่ากำลังโดนกวนตีน แต่ดูจากที่ได้พูดคุยกันมา เจ้านี่น่าจะอยากถามจริงๆ มากกว่า

“มันเหมือนตอบแบบไม่เต็มใจตอบน่ะ หรือไม่ก็เหมือนคนที่ชอบทำตัวหยิ่งๆ ไม่อยากคุยด้วย บางคนเวลาได้ยินแบบนั้นเขาจะไม่ค่อยชอบนะ” นั่นรวมถึงตัวผมเองด้วย

“คุณไม่ชอบให้ผมพูด”

“ใช่ ฉันจะใช้คำนั้นเวลาโมโหหรือเอาไว้ตัดบทกับคนที่ไม่อยากคุย ถ้านายไม่ได้หมายความแบบนั้นอย่าใช้ดีกว่า”

“เข้าใจแล้ว”

“ดีๆ”

เออ...ว่านอนสอนง่ายดี ถึงมันจะพูดคำว่าอืมให้ผมหัวร้อนไปแล้วเกือบสิบรอบก็ตาม

“ผมจะเอาไว้ใช้เวลาโมโหหรืออยากตัดบทกับคนที่ไม่อยากคุย

“อ่า…” ผมยกมือเกาหัวแกรกๆ เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่พูดนี่ควรไหม ทำไมรู้สึกเหมือนเรื่องยุ่งยากจะตามมายังไงก็ไม่รู้ “แล้วนี่ไม่นอนต่อแล้วเหรอ”

“เจ็ดโมงแล้ว”

“จริงดิ” นี่ผมไม่รู้ตัวเลยนะว่าเจ็ดโมงแล้ว คิดว่าตอนตื่นขึ้นมาเพราะโดนปลุกเพิ่งจะตีสามตีสี่ด้วยซ้ำ

“คุณใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำสองชั่วโมง”

เออว่ะ...เพิ่งนึกออกตอนนี้เองว่าใช้เวลาอยู่ในนั้นนานขนาดไหน มิน่าถึงเมื่อยขานิดๆ ตอนเดินออกมา

“ฉันไม่ได้โกนหนวดมานานนี่” ผมตอบทั้งหน้าตึง แม้ความจริงจะโกนเสร็จตั้งแต่สิบห้านาทีแรกแล้ว แต่ใช้เวลาพิจารณาหน้าตัวเองอยู่นานก็ตาม ทำไงได้ล่ะ...ไม่ได้เห็นหน้าชัดๆ มาตั้งนาน แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันนานขนาดนั้นสักหน่อย ไม่ได้ตั้งใจน่ะเข้าใจไหม

“ประหลาด” จู่ๆ คนหน้าตายก็พูดขึ้นมาลอยๆ ผมเลยรีบหันขวับไปมองเพราะรู้ดีว่าเขาหมายถึงใคร

“อะไรประหลาด”

“คุณแสดงอารมณ์ได้เยอะมาก”​ เขาบอกแล้วเอียงคอเหมือนสงสัย

“ฉันน่ะไม่ประหลาด นายต่างหากที่ประหลาด ไม่มีอารมณ์อะไรเลย เคยยิ้มบ้างไหมเนี่ย” ผมพูดออกไปตามความเป็นจริง หากสิ่งที่คาดไม่ถึงคือใบหน้าผงะค้างไปของภาม เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองพูดอะไรผิดไปทั้งที่สีหน้าของเจ้าตัวไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว

แล้วทำไมผมถึงไปอ่านความรู้สึกลึกๆ ของมันออกได้วะเนี่ย ไหนจะความรู้สึกผิดนี่อีก

“พี่บอกว่าเราจะยิ้มเวลามีความสุข”

“แล้วเวลาอยู่กับพี่นายหรืออยู่กับเก้านายเคยยิ้มบ้างไหม” ผมลองถาม

“เคย” เขาพยักหน้าส่วนผมถอนหายใจโล่งอก เอาวะ...อย่างน้อยมันก็ยิ้มเป็น

“ที่นายชอบจ้องโดยไม่พูดอะไรนี่ ถามจริงๆ เถอะว่าต้องการอะไร” ผมเหลือบตามองคนพูดไม่เก่ง มาถึงตอนนี้เริ่มเดาออกลางๆ ว่าเหตุผลของการที่เขาเอาแต่จ้องผมอาจเป็นเพราะต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เพราะไม่รู้จะพูดยังไงถึงทำได้แค่จ้องนิ่งๆ ดูจากท่าทีในตอนนี้แล้วยิ่งช่วยย้ำความมั่นใจเข้าไปใหญ่

“ผม...พยายามคิด” ภามพูดช้าๆ แล้วนิ่งไปอีก ผมเริ่มจับทางได้เลยยอมปล่อยให้เขานั่งคิดต่อไปโดยไม่เอ่ยแทรก “คิดว่าควรพูดยังไง”

“ปกติเวลาอยู่กับพี่นายก็เป็นแบบนี้เหรอ”

“เปล่า” เขาส่ายหน้า “เวลาพูดกับพี่หรือเก้าผมพูดอะไรก็ได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนโกรธ”

หา...

“หมายความว่าที่นายจ้องฉันนิ่งๆ นานๆ เป็นเพราะนายพยายามคิดคำพูดที่จะไม่ทำให้ฉันโกรธงั้นเหรอ” ผมแทบจะกุมขมับเมื่อเห็นภามพยักหน้าหงึกหงักเป็นคำตอบ

“เมื่อวานคุณก็ทำเหมือนโกรธตอนที่ผมพูดแบบลืมคิด”

“ตอนไหน”

“ตอนที่บอกว่าจะโยนของออกไปข้างนอก”

ที่แท้ไอ้ประโยคน่าฆ่าทิ้งนั่นมันเกิดขึ้นเพราะเขาลืมหยุดคิดคำพูดเหรอเนี่ย แต่เดี๋ยวนะ...อายุตั้งยี่สิบกว่าแล้ว ทำไมถึงยังต้องหยุดคิดอะไรนานๆ อีก ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปสำรวจเจ้าของหน้าปลาตายใกล้ๆ เขาเองก็จ้องมองกลับมานิ่งๆ โดยไม่คิดหลบ ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับการสำรวจอาการเป็นอย่างยิ่ง

“นายก็ดูไม่ได้มีความผิดปกติอะไรนะ หรือเป็นโรคทางจิตเวช” ผมกะพริบตาปริบๆ เมื่อไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้านั้น “ทำไมนายถึงต้องใช้เวลาคิดก่อนจะพูดนานๆ ด้วย”

“ผม...ไม่ค่อยได้คุยกับใคร ถึงจะเที่ยวไปทั่วแต่ก็ไม่ได้พูดกับใครเลย”

“แล้วแบบนั้นจะสนุกเหรอ” ได้ยินคำตอบแล้วผมอดแนะนำไม่ได้ ดูๆ ไปแล้วเจ้านี่ก็น่าสงสารอยู่เหมือนกันนะ ท่าทางเหมือนเด็กเลย “รู้ไหมว่าเที่ยวคนเดียวสบายกว่าก็จริง แต่ถ้านายอยู่กับมันนานเกินไปจะเหงาเอานะ ลองหาเพื่อนเที่ยวดูบ้างสิ เผื่อมันจะสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้ นายอาจจะชอบมากกว่าแบบเดิมก็ได้”

ผมไม่รู้ว่าพื้นฐานครอบครัวของแฟนไอ้เก้าเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าภามต้องเจออะไรมาหรือโดดเดี่ยวขนาดไหน แต่ดูจากอาการที่เขาเป็นแล้วมันน่าเป็นห่วงพอควรเลย ในฐานะของแพทย์แล้วผมอดรู้สึกแย่ไม่ได้ ถ้าแค่ไม่สบายหรือเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับร่างกายคงง่ายกว่านี้เยอะ แต่ถ้าเขาเป็นอะไรที่เกี่ยวกับจิตใจขึ้นมาจริงๆ ผมคงไม่รู้จะช่วยยังไง

“ไม่มีใครอยากเที่ยวกับผมหรอก”

“บ้าเหรอ ต้องมีสิ” ผมตบไหล่ภามเบาๆ แล้วพูดต่อ “เอางี้...ต่อจากนี้นายพูดกับฉันตามสบายเลย ถ้าพูดไม่ถูกหรือไม่ดีฉันจะบอกจะสอนเอง เหมือนตอนนายพูดคำว่าอืม แบบนี้โอเคไหม”

“คุณพูดเหมือนเราจะได้อยู่ด้วยกันต่อ”

ฉิบ...ลืม

“อะ...เออ...หมายถึงถ้าได้เจอกันอีกไง” จู่ๆ ก็เริ่มเหงื่อแตกเมื่อรับรู้ได้ถึงสัญญาณบางอย่าง

“คุณบอกว่าให้หาเพื่อนเที่ยว...”

“…” เอาละ

“เพื่อนคนนั้น...เป็นคุณได้ไหม”

ถ้าเป็นผู้หญิงคงได้มีกรีดร้องจนสลบไปข้างเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น แต่เผอิญว่าผมเป็นผู้ชาย ทั้งยังโดนพูดประโยคดังกล่าวใส่ด้วยน้ำเสียงโมโนโทน ในใจตอนนี้เลยมีเพียงคำว่าฉิบหายๆๆๆ ดังซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด

“เพราะไม่อยากให้พี่เป็นห่วงผมถึงพยายามยิ้มและบอกว่าตัวเองมีความสุขต่อหน้าเขา” ภามเริ่มพูดออกมา เขาไม่ได้รั้งตัวผมไว้ แต่กลับใช้ดวงตาคู่นั้นสะกดกันได้จนอยู่หมัด “อันที่จริงผมยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าความสุขคืออะไร”

ดูเหมือนพอผมบอกให้เขาพูดโดยไม่ต้องคิดนานๆ ภามก็ทำตามนั้นจริงๆ เขาพูดประโยคยาวๆ ออกมาได้ แม้จะดูลังเลกับการพูดบางคำอยู่

“ผมแค่รู้สึกว่าถ้าอยู่ใกล้คุณบางทีผมอาจจะได้รับคำตอบ”

“หา…”

“คุณตลก ดูปัญญาอ่อน”

“เดี๋ยวๆ อันนี้จะไม่คิดมากเกินไปละ”

“แต่กลับเหมือนซุกซ่อนอารมณ์ลบๆ อะไรไว้อยู่”

“…” ผมได้แต่เงียบเมื่อเขาพูดตรงจุด เป็นครั้งแรกที่ผมมองเห็นดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นเปล่งแสงเหมือนกำลังพยายามตีความหมายท่าทางของผมอยู่

“ถ้าเราไปด้วยกัน บางทีผมอาจเจอคำตอบของตัวเอง ส่วนคุณก็อาจเจอหนหางแก้ไขความรู้สึกที่เป็นอยู่”

“นายกำลังหว่านล้อมฉัน?”

“ใช่”

“งั้นลองบอกมาสิว่าฉันรู้สึกอะไร” ผมกอดอกมองใบหน้าปลาตายของเขาอย่างท้าทาย หากคนตรงข้ามกลับพูดออกมาได้โดยไม่หยุดคิด

“ผมไม่รู้ว่าคุณรู้สึกอะไร แต่รู้แค่ว่าความรู้สึกของคุณ ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขมันอาจจะหมายถึงชีวิต”

“รู้ดีจังนะ”

“มองตาผม...แล้วคุณจะเข้าใจ”

แม้จะไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำตามคำพูดนั้นอย่างง่ายดาย แต่ผมก็ยังเลือกจ้องมองดวงตาสีดำขลับไร้คลื่นอารมณ์คู่นั้นนิ่งงัน เป็นเวลานานหลายนาทีที่ผมไม่พบว่ามันแปรเปลี่ยนไปเลยสักนิด หากความว่างเปล่านั้นเอง...ที่หมายถึงคำตอบ

เขารู้...เพราะตัวเองเคยผ่านมันมาแล้ว








สองเดือนคือระยะเวลาที่เราจะอยู่ด้วยกัน

สองเดือนก่อนที่ผมจะกลับไปใช้ชีวิตในแบบเดิมๆ และสองเดือนก่อนที่เขาจะเดินทางไปท่องเที่ยวต่อในประเทศอื่น จะว่านานก็นาน จะว่าไวก็ไว นั่นขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกอยู่ร่วมกันแบบไหน และผมหวังว่าความรู้สึกของตัวเองจะคิดว่ามันนานไปจนถึงวันสุดท้าย เพราะเมื่อไหร่ที่คิดว่าไวขึ้นมา เมื่อนั้นความฉิบหายจะบังเกิดแน่

แต่เรื่องนั้นช่างหัวมันไปก่อน เพราะตอนนี้...เรากำลังเถียงกัน

“นายวางแผนเดินทางมาเที่ยวไทยไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่มีโปรแกรมอะไรเลยล่ะ” ผมขมวดคิ้วจ้องหน้าภามขณะที่เรากำลังยืนแบกกระเป๋ากันอยู่ตรงจุดที่รถของโรงแรมพามาส่ง จำได้ว่าผมบอกให้พามาส่งนอกเขตโรงแรมตรงที่ไปไหนมาไหนได้สะดวก แต่ทำไมถูกเอามาทิ้งไว้ตรงริมหาดที่ไม่มีใครเลยสักคนก็ไม่รู้

“ผมวางแผนแค่ว่าจะไปประเทศอะไรต่อ ไม่ได้คิดว่าต้องไปที่ไหนในประเทศนั้น” เขาตอบกลับเสียงเรียบ ไม่เสียเวลายืนคิดนานๆ อีกแล้วหลังจากคุยกันไปเมื่อเช้า ซึ่งบอกตรงๆ ว่า...ความกวนตีนแบบซื่อๆ นั่นทำให้ผมนึกอยากขอให้เขากลับไปเป็นเหมือนเดิมอยู่หลายรอบเลยทีเดียว

“แล้วปกติเวลาไปประเทศอื่นทำไง”

“ไปตายเอาดาบหน้า”

“ไหนว่าไม่ถนัดภาษาไทยไง!” มาเป็นสำนวนเลยเนี่ย แล้วมาอธิบายให้ผมฟังว่าตัวเองพูดจาไม่เหมาะกับสถานการณ์อยู่บ่อยครั้งเป็นเพราะไม่ค่อยได้ใช้ภาษาไทย พอผมถามว่าแล้วทำไมพูดชัดก็บอกแค่ว่าแม่ที่เป็นคนไทยสอน แล้วเก้าก็ชอบพูดไทยด้วย แต่หลังๆ มาเวลาคอลกันเก้ามักอยู่กับพี่ชายตัวเอง ภาษาที่ใช้หลักๆ เลยกลายเป็นภาษาอังกฤษตามไปด้วย เจ้าหนุ่มลูกครึ่งไทยอังกฤษคนนี้เลยไม่ค่อยได้ใช้ภาษาไทยอีก

“เคยได้ยินคำยากๆ บางคำแล้วจำได้” เขาบอกง่ายๆ แล้วยักไหล่ “แค่ผมพูดชัดเข้าใจง่ายก็ดีแล้ว”

“ก็ได้ๆ” พอขี้เกียจเถียงผมเลยได้แต่ถอนหายใจ “แล้วจะเอายังไงดี ไม่รู้จะไปไหนเนี่ย”

 “ไปตามลม”

“หา…”

ยังไม่ทันได้สงสัยอะไรมือใหญ่ๆ ที่ผมเคยนึกสงสัยว่าจะแรงเยอะเหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่าก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือผมแล้วออกแรงลากให้เดินตามอย่างรวดเร็ว ภามลากผมให้เดินไปตามหาดจนถึงจุดพักจุดหนึ่งที่มีเก้าอี้นั่ง แต่เพราะขาของเขายาวกว่า...นิดหน่อย ผมเลยต้องจ้ำตามจนหอบไปหมด เพิ่งรู้ว่าร่างกายตัวเองอ่อนแอขนาดไหนหลังจากเลิกออกกำลังกายก็วันนี้เอง

“นายพาฉันมาที่ไหนน่ะ” ผมนั่งลงตามแล้วหันไปหาคนด้านข้างที่ไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเลยสักนิด

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“เอ้า! แล้วที่ลากให้วิ่งมานี่คือต้องเหนื่อยฟรีเหรอ”

“คิดซะว่าออกกำลัง เผื่อกล้ามเนื้อจะเพิ่มขึ้นบ้าง” ภามตอบหน้าตาเฉย แต่ทำเอาผมอยากยกเท้าขึ้นมาถีบ

ไม่ได้ๆ...เราเป็นคนบอกเองให้พูดออกมาตรงๆ แบบไม่ต้องคิดมาก

“ถ้านายไม่บอกว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องการพูด ฉันคงคิดว่าไปติดนิสัยไอ้เก้ามา” ผมบ่นตามความจริง ไอ้เก้ามันยิ่งนิสัยประหลาดๆ อยู่ คิดอะไรก็ไม่เหมือนชาวบ้าน ที่สำคัญคือมันเป็นพวกตรงไปตรงมาจนน่ากระทืบ จะว่าไปภามก็รู้จักมันมานานหลายปีแล้ว หรือจะไปติดมันมาจริงๆ วะ ผมหับขวับไปมองเขาแล้วหรี่ตาจับผิด “อย่าบอกนะว่าเอาลักษณะภายนอกมาจากพี่ชาย แต่ไปเอานิสัยไอ้เก้ามาผสมด้วยน่ะ”

“ไม่แน่ใจ” บางทีก็ตอบตรงไปตรงมาเหลือเกิน

“แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว”

“แต่คุณลืมไปอย่าง” ภามมองผมด้วยดวงตานิ่งๆ ของเขา

“ลืมอะไร”

“ไม่ว่าจะเหมือนใคร...แต่ผมก็คือผมอยู่ดี”

เรามองหน้ากันอยู่นานจนได้ยินเสียงเรือแล่นเข้ามาใกล้ ผมมองตามแผ่นหลังกว้างของคนที่ลุกขึ้นยืนมองออกไปยังเรือลำนั้นนิ่งงัน อดนึกถึงประโยคที่เขาพูดออกมาอยู่ในใจไม่ได้

ผมก็คือผมงั้นเหรอ...

“มาเร็วเข้า” ภามหันมาคว้าข้อมือผมแล้วทำท่าจะดึงให้เดินตามอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมรั้งแขนตัวเองไว้จนเขาหันมามองด้วยสีหน้าปลาตายแบบที่ผมเริ่มมองออกว่ามันหมายถึงเจ้าตัวกำลังสงสัย

“ฉันไม่เคยลืมสักหน่อย” เพราะงั้นอย่ามาพูดให้รู้สึกผิดนะ จำได้แม่นเลยล่ะว่าตอนเจอกันครั้งแรกมาดหมายให้คนคนนี้เป็นถึงศัตรูอันดับหนึ่ง เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยว แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว...เปลี่ยนเป็นเพื่อนร่วมเดินทางแบบงงๆ แทน

ผมแกะมือภามออกแล้วเป็นฝ่ายคว้าแขนเขาก้าวเดินอาดๆ ไปด้านหน้าแทน นาทีไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าแบบไหนและไม่อยากรู้ด้วย แต่พอเดินมาสักพักถึงได้รู้ตัว ผมตบหน้าผากตัวเองแบบเนือยๆ ขณะหันกลับไปจ้องมองคนที่เดินตามอยู่ด้านหลัง

“ว่าแต่...นายจะไปไหนนะ”

สายตาที่จ้องมองแขนของเขาเองซึ่งโดนผมจับอยู่ค่อยๆ เงยขึ้นมาสบกันช้าๆ ผมแอบหงุดหงิดอยู่ในใจเมื่อพบว่าดวงตาคู่นั้นมีอิทธิพลกับตัวเองจนทำให้เผลอมองค้างได้ทุกครั้ง

“ไปที่เรือ”

“ไปทำอะไรที่เรือ” จากที่เห็นไกลๆ เรือลำนั้นน่าจะเป็นเรือสปีดโบ๊ทที่กำลังมุ่งตรงมาที่ขอบฝั่งด้วยความรวดเร็ว

“เดี๋ยวก็รู้เอง”

เหมือนภามจะไม่พอใจเมื่อเห็นผมเดินตามแบบเนือยๆ เพราะเริ่มเหนื่อย ไอ้ถึกเลยจัดการหันกลับมาลากแขนผมเหมือนเดิมให้วิ่งตามเขาไปในทิศทางที่เรือจะเข้ามาจอดเทียบหาด เออดี...ดึงกันไปดึงกันมาอย่างกับกำลังเล่นเครื่องเล่น

เรือที่เพิ่งเข้ามาจอดเทียบหาดเป็นเรือสปีดโบ๊ทขนาดเล็กนั่งได้ไม่กี่คน บนเรือมีคุณลุงคนหนึ่งกำลังเก็บข้าวของทำท่าจะเดินลงมาจากเรือ ผมยืนงงอยู่ข้างภามที่กำลังจ้องเรือเหมือนกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ เห็นสายตาที่จ้องแบบตาไม่กะพริบของเขาแล้วผมแอบเสียวสันหลังหวาดๆ รู้สึกเหมือนจะได้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของพวกผู้ร้ายที่จะทำความผิดยังไงก็ไม่รู้

“นี่...บอกทีว่านายไม่ได้คิดจะขโมยเรือ” ผมกระซิบกระซาบถามเสียงเครียด แต่ภามกลับหันมามองด้วยสีหน้านิ่งๆ เหมือนจะถามว่านี่มึงบ้าหรือเปล่า

เออดี...อ่านหน้ามันออกด้้วยกู

“คุณเป็นหมอจริงๆ ใช่ไหม”

“ถามงี้หมายความว่าไง”

“ผมรู้จักหมอหลายคน ยังไม่เคยเห็นใครเหมือนคุณเลย” เขาว่าแล้วแบกกระเป๋าขึ้นพาดบ่าอีกครั้งเมื่อคุณลุงบนเรือก้าวเท้าลงมาพอดี แต่ผมรีบรั้งแขนเขาไว้แน่น มาทำให้สงสัยแล้วจะจากไปแบบนี้ได้ไง ยอมก็ไม่ใช่ผมแล้ว

“ไม่เหมือนยังไง”

ภามถอนหายใจแล้วหันหน้ากลับมา ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผมหัวแทบไหม้

“ไม่มีหมอคนไหนบ้าบอเหมือนคุณ”

“ไอ้!…”

“คุณภู!”

ผมอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเสียงคนพูดตัดหน้า จากที่คิดจะด่าต้องพับปากเก็บไว้ก่อนแล้วหันไปมองคนมาใหม่แทน คุณลุงที่เพิ่งลงมาจากเรือคือผู้ที่วิ่งเข้ามาหาเรา เขาดูชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเข้ามาใกล้ คงเพราะสังเกตเห็นแล้วว่าคนข้างผมไม่ใช่คุณภูแบบที่เขาเรียกในตอนแรก

“น้องชายคุณภูเหรอครับ” คุณลุงมองหน้าแวบเดียวก็ยิ้มออก บ่งบอกได้ชัดเจนทีเดียวว่าภามกับพี่ชายดูเหมือนกันมากขนาดไหน

“ใช่...คุณรู้จักพี่ผมเหรอ”

เวร ผมคิดว่าภามก็รู้จักลุงแกอยู่ก่อนแล้วเสียอีก

“คุณภูกับคุณเก้าเคยมาเที่ยวด้วยกันแถวนี้แล้วช่วยออกเงินทุนให้พวกลุงทำธุรกิจเรือสปีดโบ๊ทในตอนที่พวกเรากำลังลำบากน่ะครับ ทุกคนที่นี่เลยนับถือพวกแกมาก” คุณลุงยิ้มกว้างแล้วเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิม “แล้วนี่พวกคุณจะข้ามเกาะกันหรือเปล่าครับ ให้ลุงไปส่งไหม”

ผมหันหน้าไปมองภามเพื่อรอฟังคำตอบแม้จะรู้สึกแปลกๆ เมื่อได้ยินคนพูดถึงไอ้เก้าในแง่ดีก็ตาม ลองคิดจะทำอะไรสักอย่างแบบนี้ ผมว่ามันไม่น่าช่วยลุงแกฟรีๆ หรอก คงจะได้ส่วนแบ่งไม่น้อยแน่ๆ

“ผมอยากไปที่นี่” ภามยื่นโทรศัพท์ส่งให้ลุงดู แกมองแค่แวบเดียวแล้วรีบส่งคืนเหมือนกลัวทำหล่น

“สบายมากครับ ขึ้นเรือได้เลย”

เออดี...บทจะง่ายก็ง่ายเหลือเกิน

บอกตามตรงว่าการนั่งสปีดโบ๊ทไม่ใช่เรื่องสนุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผมซึ่งเป็นคุณหมอผู้แบกกล้ามเนื้ออ่อนนุ่มไว้กับตัว เรี่ยวแรงไม่ค่อยจะมี แถมยังไม่ได้ออกกำลังกายมานานเกินห้าปี อาการผะอืดผะอมแล่นพล่านจากท้องขึ้นมาถึงลำคอทั้งที่เรือเพิ่งออกตัวมาได้เพียงสิบนาที ผมพยายามขยับตัวให้สบายขึ้นเผื่ออาการที่มีจะจางหายไป แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล

“คุณ…”

“อะ...อะไร” ผมถามเสียงสั่นเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“เงยหน้าสิ”

“จะอ้วก”

“เงย”

หรือว่าเงยหน้าแล้วจะรู้สึกดีขึ้น อาจเป็นไปได้ คนที่เดินทางมาหลายที่อย่างภามน่าจะรู้ดี เมื่อสรุปได้ดังนั้นผมเลยพยายามยกหัวหนักๆ ของตัวเองขึ้นช้าๆ และในช่วงเวลานั้นเองที่...

แชะ!

“…”

นี่มึงไม่ได้ห่วงกู แต่จะหลอกให้เงยหน้าถ่ายรูปเหรอ ไอ้....

“หน้าตาตลก”

“หะ…อุบ!” ฉิบ...อ้วกจะพุ่ง

“มองออกไปไกลๆ อย่าก้มหน้า” เสียงเรียบๆ ที่เหมือนจะออกคำสั่งอยู่หน่อยๆ ดังขึ้นพร้อมกับที่ผมถูกเชยคางให้เงยหน้า ไม่รู้ว่าภามลุกขึ้นจากที่นั่งจนมาหยุดอยู่ตรงหน้ากันตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่กล้องที่เขาใช้ถ่ายผมเมื่อกี้ห้อยอยู่ที่คอเจ้าตัวเรียบร้อยแล้ว

“นายยืนได้ไง”

ท่ามกลางกระแสน้ำกับแรงกระแทกยามเรือขับเคลื่อนแบบนี้ เขากลับยืนนิ่งได้โดยไม่เซ ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะปวดหัวเหมือนผมเลยสักนิด เห็นแล้วอิจฉาชะมัด

“บอกให้มองไปไกลๆ” ภามนั่งลงข้างผมโดยไม่ตอบคำถาม พอหันไปมองเขาก็ใช้มือเย็นๆ ของตัวเองดันแก้มผมให้หันกลับไปที่เดิม

“นี่ถึงขั้นจับหน้ากันได้แล้วเหรอ” ผมแกล้งถามเล่นๆ เพราะไม่ได้ถืออะไรมากมายอยู่แล้ว

“สิวไม่ขึ้นหรอก”

“จะบอกว่าตัวเองสะอาดว่างั้น”

“เปล่า แต่หน้าคุณ...”

กึก!

เสียงเรือกระทบคลื่นทำให้ผมไม่ได้ยินคำพูดสุดท้ายของภาม แต่ขอโทษเถอะ...ผมอ่านปากมันออก

หน้าคุณด้าน...

“นาย...อุบ!” ตั้งท่าจะด่าไอ้อ้วกในคอนี่ก็ตีตื้นขึ้นมาอยู่ได้ นี่ไปจับมือเป็นเพื่อนกับมันแล้วใช่ไหมถามจริง ช่วยเหลือกันดีเหลือเกิน

ครั้งนี้ผมท่าทางจะอาการหนักจริงจัง ปวดหัวจี๊ดจนเกือบทนไม่ไหว หากไม่ใช่ว่าคนกวนตีนด้านข้างยื่นมือมาเอาชูชีพแบบสวมหัวออกให้แล้วดึงเข้าไปนั่งพิงตัวเขาไว้เสียก่อน พอมีหลักพิงแบบสบายๆ แล้วอาการปวดหัวก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ ผมพิงแขนพิงไหล่ภามไว้ทั้งตัวแบบไม่เกรงอกเกรงใจ ทั้งยังเทน้ำหนักไปหาเต็มที่ด้วย

“ถ้าตกน้ำขึ้นมาฉันตายแน่” ผมพึมพำเบาๆ

“คุณว่ายน้ำไม่เป็นเหรอ”

“เป็น แต่สภาพนี้ว่ายไม่ไหว” เชื่อว่าถ้าตกน้ำจริงผมคงสลบเหมือดเป็นลำดับแรก “ถ้าจมฉันจะลากนายลงไปด้วย”

“ผมช่วยคุณอยู่แล้ว”

“อย่ามาทำซึ้ง ช่วยให้ตายไวขึ้นก็บอกมาเถอะ”

เหอะ...เหลือบมองหน้าทีเดียวก็รู้แล้ว อย่ามาทำเหมือนพระเอกหนังไปหน่อยเลย หมั่นไส้

“จะถึงแล้วครับ” เสียงสวรรค์จากคุณลุงที่กำลังขับเรือทำให้ผมใจชื้นขึ้นเป็นกอง ถึงขนาดลืมความอยากอ้วกแล้วกลับมานั่งตัวตรงเพื่อรักษาภาพพจน์ที่เหลือน้อยนิดได้เลยทีเดียว

หลังจากนั้นไม่นานนักเรือก็เข้าจอดเทียบหาดในที่สุด ผมขอบคุณคุณลุงแล้วเดินลงจากเรือด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งและสดใสแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้านหลังมีภามแบกกระเป๋าของตัวเองเดินตามมา เขาแอบดูเหมือนช่างภาพมืออาชีพอยู่ไม่น้อยในยามที่่ถือกล้องยกขึ้นถ่ายภาพบรรยากาศโดยรอบ แต่ผมไม่มีทางชมออกไปแน่นอน เดี๋ยวเหลิง

“ขอบคุณ”

“อะไร” ผมหันไปถามเสียงเขียว

“เห็นทำหน้าเหมือนชื่นชมผมอยู่” ไอ้คนหลงตัวเองตอบหน้าตายชนิดที่คิ้วปากและตาไม่กระดิกเลยสักองศา

“มั่วละ” มีสัมผัสพิเศษหรือไงถึงได้อ่านใจกันออก ผมหันหน้าหนีแล้วเดินขึ้นไปบนหาดแทน ขืนยืนอยู่กลางทะเลนานกว่านี้คงได้ล้มแน่

จะว่าไปแล้วทำไมกูถึงใส่เสื้อผ้าแบบนี้มาวะเนี้ย เสื้อแขนยาวกางเกงขายาวแถมยังใส่รองเท้าผ้าใบ อ๋อ...เพราะไม่คิดว่าต้องมาลุยทะเลไง โดนลากมา คิดได้ดังนั้นเลยหันไปตวัดตามองไอ้ตัวต้นเหตุอีกที แต่ใครจะไปรู้ว่าเจ้านั่นกำลังถือกล้องเล็งมาทางผมพอดี

แชะ!

“คิดว่าอยู่ในสวนสัตว์หรือไง”

“ก็เหมือนอยู่” เขาตอบสั้นๆ แล้วกดถ่ายภาพอีกรอบ

“นายกลับไปเป็นคนคิดมากเหมือนเดิมได้ไหม” คราวนี้ผมอดถามไม่ได้ ไม่สนความรู้สึกมันแล้ว เพราะมั่นใจว่าคำตอบจะต้อง...

“ไม่ได้”

ต้องเป็นแบบนี้ไง...

ผมมองเมินคนที่กำลังทำตัวเป็นช่างภาพมืออาชีพแล้วหันกลับมาสนใจบรรยากาศโดยรอบแทน น่าแปลกที่เกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่ไม่มีผู้คนอยู่เลย ทั้งยังไม่มีวี่แววของที่อยู่อาศัยใดๆ ให้ได้เห็น อาจเป็นเพราะสิ่งเหล่านั้นตั้งอยู่อีกฝั่งของเกาะหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ แต่ธรรมชาติและทรัพยากรที่ดูสมบูรณ์สวยงามบ่งบอกชัดเจนว่าคงไม่ค่อยมีใครมาเที่ยวบนเกาะนัก

“นายเอาที่อยู่เกาะนี้มาจากไหนกันแน่” ผมหันกลับไปถามภามที่เดินตามอยู่ด้านหลัง เขาชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็ยอมละสายตาออกจากกล้องแล้วเงยหน้าขึ้นตอบผม

“จากเก้า”

ความซวย...ความซวยกำลังมา แค่พูดถึงชื่อเพื่อนเวรผมก็ได้กลิ่นไม่น่าไว้วางใจลอยโชยมาแล้ว

“นาย...คงได้ที่อยู่ของเกาะนี้มาแต่แรกแล้วใช่ไหม”

“เปล่า เก้าส่งให้เมื่อคืน”

“นายคงไม่ได้เล่าเรื่องฉัน...”

“ผมบอกว่าเจอคุณ แล้วเก้าก็บอกให้มาที่นี่”

ให้มันได้อย่างนี้สิ ผมโคตรไม่ไว้ใจเลยเถอะ อย่าบอกนะว่ามันล่อให้มาติดเกาะร้างที่ไม่มีคนกับไอ้บ้าที่สนใจแต่กล้องถ่ายรูปจริงๆ น่ะ ว่าแต่ทำไมคิดไปคิดมาเริ่มกลับมาผะอืดผะอมเหมือนเดิมแล้ววะ

“นั่นคน” เสียงพูดเบาๆ ของภามทำให้ผมได้สติอีกครั้ง

ตรงจุดที่อยู่ไกลจากเราพอสมควรมีเด็กสองคนวิ่งเล่นอยู่ ผมถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นทั้งคู่ใส่เสื้อผ้าปกติ แม้จะดูเก่าไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้ใช้ใบตองมาห่อตัวแบบที่คิด แบบนี้คงพอยืนยันได้ว่าพวกเราไม่ได้โดนไอ้เก้าหลอกให้มาติดเกาะร้าง ค่อยยังชั่วหน่อย

“ภะ...ภาม”

ผมหันไปเกาะแขนคนที่เดินมาอยู่ข้างๆ แน่น เขาคงรับรู้ได้ว่าเสียงผมสั่นแบบแปลกๆ เลยไม่ได้กวนตีนอะไรเหมือนปกติ แค่เอามือมาเชยคางผมให้เงยหน้ามอง

แต่เดี๋ยว...

อย่าทำแบบนั้น...

“อย่า!…อุบ…โอ้กกกก!!”

“…”

อาการที่สะสมมาตั้งแต่ตอนนั่งเรือมาแสดงผลเอาก็ตอนนี้เอง และมันจะไม่มีปัญหาอะไรเลยสักนิด ถ้าหากผมอ้วกลงบนพื้นหรือที่อื่นที่ไม่ใช่...หน้าภาม

นะ...นี่มันข้ามขั้นนางเอกอ้วกใส่พระเอกตอนเมาไปอีกขั้นเลยนะ ปกติเขาต้องอ้วกให้เลอะชุดกันไม่ใช่เหรอวะ ทำไมกูข้ามขั้นไปอ้วกใส่หน้าคนอื่นจนไหลลงมาตามตัวงี้อะ ดีแค่ไหนแล้วที่เขายืดแขนออกไปด้านข้างจนกล้องที่ถืออยู่ไม่เลอะไปด้วย

“ภะ...ภาม” ผมเรียกคนตัวเลอะเสียงสั่น พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะหาหนทางแก้ไข แต่แล้วเมื่อได้มองสบดวงตาว่างเปล่าที่คล้ายจะมีประกายเพลิงลุกโชนจากภาพในจินตนาการของตัวเอง ขาสองข้างคล้ายจะก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

“…”

“ไม่ได้ตั้งใจนะ”

“อืม” กลับไปพูดว่าอืมแสดงว่าโมโหอยู่ใช่ไหม ฉิบหายแล้วไง

“ขอโทษจริงๆ”

“ไม่เป็นไร”

“ไม่เป็นไรก็หยุดก้าวเข้ามาหาฉันดีไหม...ละ...แล้วนายวางกล้องลงพื้นทำไม แพงไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวทรายเข้านะ” ผมรัวพูดจนหมดมาด สองมือยกขึ้นเป็นเชิงบอกยอมแพ้ แต่ขายังก้าวหนีไม่หยุด เช่นเดียวกันกับที่อีกฝ่ายเดินตามมาเรื่อยๆ

“ไม่เป็นไร”

“ภาม...นาย...” ผมหยุดเท้าแล้วสบตาภาม เราจ้องกันเหมือนกำลังรอคอยว่าใครจะหมดความอดทนก่อน

“อยู่นิ่งๆ”

คงไม่ต้องถามนะว่าใครหมดก่อน...

ผมกะพริบตาทีเดียวแล้วกลับหลังหันวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต ไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังต้องกำลังวิ่งตามมาแน่นอน

“อย่าตามมาสิโว๊ยยยยย!”

ไม่มีเสียงตอบรับจากคนวิ่งไล่ รู้ตัวอีกทีแขนของผมก็ถูกพันธนาการไว้ด้วยมือใหญ่แข็งแรงของคนที่มีช่วงขายาวกว่า ผมมองภามด้วยความหวาดกลัว ในใจพูดว่าไม่นะซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ และเขาก็ทำ...ในสิ่งที่ทำให้ผมต้องเบิกตากว้างจนสติแทบหลุด

แผละ...

ไม่ใช่เพราะรอยยิ้มเหยียดๆ...แต่เพราะมันดึงผมเข้าไปกอด!

“พอ...พอแล้ว” ผมสะอิดสะเอียนจนแทบกลั้นใจตายเมื่อรับรู้ได้ถึงความสกปรกบนเสื้อผ้า

“ยังไม่พอ”

วินาทีต่อมาหลังจากที่ได้ยินคำนั้น ผมมองไม่เห็นอะไรอีกต่อไป...เพราะมันจับหน้าผมกดลงกับไหล่ตัวเองจนกลิ่นคาวลอยฟุ้ง!

ผมบอกแล้วว่าภามก็คือภาม

คือคนบ้าที่พัฒนามาจากพี่ชายตัวเองกับไอ้เก้าเพื่อนผมอีกขั้น

เลวร้ายกว่าเดิมอีก!

ไอ้*&*&^#$@($!


—————————-




TALK: มีความสุขมากที่เห็นเจไดโดนแกล้ง ตอนต่อไปจะไปติดเกาะกันแล้ววว



ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
«ตอบ #32 เมื่อ21-05-2018 20:01:15 »

แค่นึกถาพตามที่เจไดบอกก็ปวดหัวแล้วค่ะ แต่ตลกตรงที่ไปอ้วกใส่หน้าภาม ขำไม่ไหวแล้ว5555555

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
«ตอบ #33 เมื่อ22-05-2018 02:12:31 »

กรรมมันติดจรวด ตามมาติด ๆ เลยเจได  :katai1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
«ตอบ #34 เมื่อ22-05-2018 04:55:41 »

คุณหมอแพ้เด็ก

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
«ตอบ #35 เมื่อ22-05-2018 12:27:50 »

เก้าแผลงศรไปอีกกก :m20:

ออฟไลน์ mayyiyi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
«ตอบ #36 เมื่อ22-05-2018 19:34:07 »

หนักกว่าเก้าก็เจไดนี่แหละ

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
«ตอบ #37 เมื่อ23-05-2018 09:53:16 »

ภามน้องพี่ภูนี่เอง โอ้ยยยยยนี่อ่านมาเพิ่งเข้าใจ 555
ตลกตัวเองชะมัด  คิดอยู่ว่าภามนี่ใคร 5555+

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
«ตอบ #38 เมื่อ23-05-2018 11:20:34 »

5555555555

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1251
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
«ตอบ #39 เมื่อ24-05-2018 00:44:15 »

คิดนานมากภามไหน เหมือนคนจะรู้จักกันดี ตอนเห็นชื่อเก้า ชัดเลยน้องพี่ภู

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
« ตอบ #39 เมื่อ: 24-05-2018 00:44:15 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
«ตอบ #40 เมื่อ24-05-2018 10:48:38 »

โดนจับซุกอ้วกซะแล้วคุณหมอ :laugh:

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3322
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
«ตอบ #41 เมื่อ25-05-2018 13:48:54 »

คงเป็นทริปเที่ยวที่วุ่นน่าดูเลยค่ะ


คิดถึงภามจังเลย ชอบตัวละครตัวนี้ค่ะ ตั้งแต่เรื่องของเก้าแล้ว


ดีใจที่ภามกลับมา อีก

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
«ตอบ #42 เมื่อ28-05-2018 21:19:44 »

-4-


เละเทะไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า...สาบานได้ว่าถ้ามีโอกาสผมจะจับภามโยนลงทะเล เสร็จแล้วจะภาวนาขอให้โดนปลาหมึกกินหัวด้วย แต่ตอนนี้ขออาบน้ำก่อนเถอะได้โปรด เหม็นเน่าและสกปรกไปหมดทั้งตัวแล้ว

“อีกไกลไหม” ผมถามเด็กผู้ชายสองคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้า

“ไม่ไกลจ้ะ จะถึงแล้ว”

พูดแบบนี้มาสามรอบแล้วนะหนู...

หลังจากผ่านเหตุการณ์...น่าขยะแขยงนั่นไป ผมกับภามก็เดินเข้าไปหาเด็กสองคนที่เล่นกันอยู่แล้วถามเกี่ยวกับเกาะนี้ ถึงช่วงแรกทั้งคู่จะดูหวาดกลัวกับความเละเทะของพวกเราพอควร แต่พอบอกว่าเป็นนักท่องเที่ยวก็ดีใจกันยกใหญ่ ทั้งยังอาสาจะพาไปหาพวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน แต่เราเดินกันมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วผมยังไม่เห็นวี่แววของบ้านสักหลัง นี่ขนาดน้องบอกว่าใช้ทางลัดแล้วนะ

“นั่นบ้านพวกหนู” เด็กๆ ชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่งไม่ไกลนัก มันเป็นบ้านไม้หลังไม่ใหญ่โต แต่ก็น่าจะพอดีหากอยู่กันแบบพ่อแม่ลูกสามสี่คน

ผมแทบจะเก็บรอยยิ้มไว้ไม่ไหวเมื่อได้เจอคนสักที ตอนแรกอยากจะลงไปล้างตัวในทะเลเสียด้วยซ้ำ แต่กลัวว่าจะเป็นการทำลายธรรมชาติเลยต้องแบกตัวเหม็นๆ มาถึงที่นี่ เช่นเดียวกันกับภามที่ตั้งแต่เกิดเรื่องยันตอนนี้ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ

เหอะ...ใช่ว่าอยากคุยด้วยเสียหน่อย

“แม่ๆ พวกพี่เขาเป็นนักท่องเที่ยวแหละ” เจ้าแตงซึ่งเป็นพี่คนโตรีบวิ่งเข้าไปเล่าเรื่องของพวกผมให้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่หน้าบ้านไม้ฟัง ผมเห็นเธอเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินมาหาเรา

นั่นไง...พอเข้ามาเห็นกันใกล้ๆ แล้วชะงักจนเกือบจะเดินถอยหลังอยู่แล้ว

“เอ่อ...พวกหนูเป็นนักท่องเที่ยวเหรอจ๊ะ”

“ใช่ครับคุณน้า พอดีผมเมาเรือเลยอ้วกเลอะเทอะไปหมด ต้องขอโทษด้วยนะครับ” ผมอธิบายเรียกคะแนนความสงสาร คงต้องบอกว่าโชคดีที่โกนหนวดไปหมดจนหน้ากลับมาใสเหมือนเดิมแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ทำหน้าเห็นใจผมแบบนี้แน่ แค่คิดว่าเป็นตัวเองตอนมีหนวดก็...เออนั่นแหละ

“งั้นพวกหนูเข้ามาอาบน้ำในบ้านน้าก่อนนะจ๊ะ แล้วเดี๋ยวน้าพาไปหานาย”

นายเหรอ...

ผมสะบัดหัวไล่ความสงสัยออกไป ยังไงตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการอาบน้ำ เรื่องอื่นเอาไว้ว่ากันทีหลัง

“นี่ผ้านุ่งจ้ะ” คุณน้าส่งผ้าขาวม้าให้ผมสองผืนก่อนจะหันหลังเดินออกไป ทิ้งให้เรายืนอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าห้องน้ำกันสองคน

ห้องน้ำที่ว่าคือลานโล่งๆ ยื่นออกมาจากหลังบ้านซึ่งมีไม้กั้นวางเป็นห้องได้ห้องหนึ่ง แต่ด้านบนปลอดโปร่งโล่งสบาย มีท้องฟ้าเป็นสักขีพยานในการแก้ผ้า ต้องขอบพระคุณอย่างยิ่งที่มีผ้านุ่งให้

“อย่าบอกนะว่านุ่งผ้าขาวม้าไม่เป็น” ผมหันไปมองภามหลังจากถอดเสื้อผ้าจนเหลือแค่ผ้าขาวม้าเรียบร้อยแล้ว ถึงจะอับอายหน่อยๆ เมื่อนึกถึงเรื่องทายาเมื่อวานแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกไป

“ทำยังไง” คนนุ่งเองไม่เป็นขมวดคิ้วมุ่น ทำเหมือนจะเอาผ้าไปพันแบบผ้าขนหนูปกติ แต่มันสั้นเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้

“เอาขาเข้าไปก่อน” ถือว่าแก้ตัวเรื่องที่อ้วกใส่หรอกนะ “มานี่เดี๋ยวทำให้ดู”

ผมเดินเข้าไปติดตัวภามหลังจากเขาทำตามที่บอกเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงสอนลูกคุณหนูพันผ้าขาวม้าแบบง่ายๆ เจ้าตัวดูแล้วทำตามเพียงรอบเดียวก็ทำได้ เมื่อเรียบร้อยแล้วเขาถึงถอดเสื้อออก

“คอจะหักไหม” ภามถามเป็นเสียงโมโนโทนเหมือนเคย คงหมายถึงเรื่องที่ผมสะบัดหน้าหนีเมื่อกี้

“ไม่หัก”

ไม่อยากจะบอกเลยว่ากูสะบัดหน้าหนีเพราะหมั่นไส้หุ่นมึงเนี่ย ลอนเป็นลอน กล้ามเป็นกล้าม มันไม่ได้ดูหนาอะไรขนาดนั้น แต่เป็นหุ่นแบบที่พอดีและดูดีเอามากๆ พอผนวกกับความขาวความสูงของมันเข้าไป แล้วยังไม่ได้นับรวมหน้าตานะ... กูอิจฉาตาร้อนไปหมดแล้วเนี่ย

ก้มลงมองดูตัวเอง...

ฮือ ก้อนเนื้อย้วยๆ นุ่มนิ่มนี่มันอะไรกัน ตอนไม่มีใครให้เปรียบเทียบผมยังรู้สึกเฉยๆ เนือยๆ เพิ่งรู้ว่าพอมีตัวเปรียบเทียบแล้วมันจะรู้สึกแย่ขนาดนี้

“ถ้าเศร้าขนาดนั้นทำไมไม่ออกกำลังกาย” คนรู้ทันบวกขี้เสือกระยะเริ่มต้นถามขึ้นมาลอยๆ ขณะที่กำลังยกมือสระหัวตัวเอง ผมเบะปากมองแบบไม่เกรงใจก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบตามความจริง

“ขี้เกียจ”

“…”

ถึงจะรู้ว่าหน้าตานิ่งๆ ของอีกฝ่ายกำลังแสดงออกเหมือนจะบอกว่าสมควร แต่ผมก็เลือกที่จะไม่สนใจแล้วหันกลับมาขัดถูร่างกายอย่างขะมักเขม้นแทน กว่าจะใช้เวลาในการอาบน้ำอาบท่ากับซักเสื้อผ้าเสร็จก็กินเวลาไปนานเกือบครึ่งชั่วโมง คราวนี้ผมเปลี่ยนไปใส่ชุดที่เหมาะสมกับการมาเที่ยวโดยการใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น ปิดท้ายด้วยรองเท้าแตะกากๆ หนึ่งคู่เป็นอันเสร็จเรียบร้อย แต่เมื่อหันไปมองคนด้านข้าง...

มันก็ใส่แค่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นกางเกงขาสั้นแล้วก็รองเท้าแตะเหมือนกัน ทำไมถึงดูดีนักวะ...

เพราะกล้อง ต้องเป็นเพราะกล้องท่าทางแพงระยับนั่นแน่ๆ ที่ทำให้ดูดีขึ้นหลายเท่า

“นี่…" ผมสะกิดแขนภามระหว่างที่เรากำลังเก็บของอยู่ในตัวบ้าน “ขอลองสะพายกล้องหน่อยดิ”

อันที่จริงถ้าเขาจะหวงแล้วไม่ให้ผมก็ไม่ได้คิดมากอะไรหรอกนะ แค่ลองขอดูเผื่อได้ ผมยักไหล่นิดหน่อยก่อนจะหมุนตัวหันกลับไปเก็บของเมื่อเห็นภามจ้องมองมานิ่งๆ โดยไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย เห็นแบบนี้แสดงว่าคงไม่ได้นั่นแหละ

“ระวังด้วย” เสียงพูดในระยะประชิดดังขึ้นพร้อมกับที่เจ้าของเสียงเอาสายสะพายกล้องคล้องหัวผมจากทางด้านหลัง ระยะที่ใกล้เกินความจำเป็นทำให้รู้สึกแปลกๆ จนต้องผละหนี ผมรีบหันหน้ากลับไปหาโดยไม่ลืมใช้มือประคองตัวกล้องไว้อย่างระมัดระวัง

“ไม่งกอย่างที่คิดนี่นา”

“…ผมไม่ใช่คุณ”

เลว มันน่าแกล้งเหวี่ยงให้กล้องฟาดกำแพงดูสักที แต่คิดไปคิดมาไม่เอาดีกว่า กลัวต้องรับผิดชอบ ผมซื้อคืนไม่ไหวแน่ หรือถ้าไหวก็คงหมดตัวแบบไม่เหลือสักบาทเดียว

“ขอดูกระจกแป๊บ” ผมเมินเรื่องที่เขาพูดแล้วเดินไปที่หน้ากระจกบานใหญ่ โอ้โห...

“กล้องดูหมดราคาไปเลย”

“นั่นปากเหรอ!”

ไม่ต้องมาพูดแทนใจ รู้ตัวอยู่แล้วเฟ้ย

ผมรีบเอากล้องออกจากคอแล้วยื่นคืนให้ภามถือไว้เหมือนเดิม เห็นแล้วหงุดหงิดตา ไม่เข้าใจว่าของอย่างนี้มันจะเท่ไม่เท่อยู่ที่อะไรกันแน่ แต่คงไม่ใช่หน้าตาหรอก ไม่งั้นผมคงเท่ไปแล้ว

“ไปเถอะ” เหมือนคนที่ยืนกอดอกรออยู่จะเริ่มทนความอืดอาดของผมไม่ไหว เขาถึงได้หันมาคว้ากระเป๋าผมไปถือไว้เองแล้วใช้มือที่ว่างดึงแขนให้เดินตามออกไปด้านนอก

เออดี...เจอกันไม่ถึงอาทิตย์ทั้งจับมือ ทั้งจับหน้า ทั้งกอด ทั้งอาบน้ำด้วยกัน หนักสุดคือเห็นตูดกันแล้ว

ถ้าบอกว่าผมเริ่มชินกันการลากกันไปลากกันมาแล้วจะแปลกไหมเนี่ย

“มากันแล้วเหรอจ๊ะ ตามมาเลยหนู” คุณน้าที่ยืนรออยู่กับเด็กผู้ชายสองคนยิ้มให้เราก่อนจะเดินนำไปในทิศทางหนึ่ง ผมอาศัยจังหวะที่แกกำลังคุยกับลูกคนโตหันไปกระซิบถามเจ้าตาลที่เดินอยู่ด้านข้าง

“นายคือใครเหรอ”

“เจ้าของเกาะไงจ๊ะ” ตาลตอบอย่างใสซื่อ แต่ทำเอาผมชะงักไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าพวกเกาะส่วนตัวที่มีเจ้าของเป็นตัวเป็นตนเขาต้องขออนุญาตก่อนเข้าเกาะไม่ใช่เหรอ แบบนี้จะเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย

“ไม่เป็นไรหรอก” คนที่เดินอยู่อีกด้านพูดขึ้นมาลอยๆ

“มั่นใจเหรอ” ผมหันไปมองภามที่กำลังแบกกระเป๋าตัวเองไว้ใบหนึ่ง ทั้งยังต้องถือกระเป๋าผมไว้อีกใบ ดูแล้วสงสารอยู่หน่อยๆ แต่ถามว่าทำอะไรไหม ไม่ดีกว่า...ปวดแขนจะตายอยู่แล้วเนี่ย อีกอย่างคือเขาทำเหมือนถือถุงพลาสติกเข้าเซเว่นอยู่ชัดๆ ไม่เห็นมีทีท่าว่าจะหนักหรือลำบากอะไรเลย เพราะงั้นคิดซะว่าไม่เป็นไรแล้วกัน

“ถ้าเข้าเกาะไม่ได้เก้าคงไม่บอกให้มา” ภามพูดแค่นั้นแล้วกลับไปเงียบเหมือนเดิม ผมเลยต้องเม้มปากเงียบตามไปด้วย

หลังจากเดินมาประมาณห้านาทีผมก็เริ่มมองเห็นบ้านไม้และกระท่อมหลายหลังตั้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ มีบางหลังที่มีผู้หญิงนั่งทำงานอะไรบางอย่างอยู่นอกบ้าน พวกเธอเงยหน้ามองเราเหมือนมองตัวประหลาด ทำเอาผมเกร็งปนหวาดๆ จนเผลอขยับเข้าใกล้ตอไม้ด้านข้างโดยตั้งใจ ยิ่งเข้าใกล้ทะเลมากเท่าไหร่คนก็ยิ่งมีเยอะมากขึ้นเท่านั้น และในวินาทีที่เราโผล่ออกมาจากป่า ผมแทบจะร้องโอ้โหออกมาด้วยความตกใจกับภาพตรงหน้า

เรือประมงหลายลำจอดเรียงรายอยู่ริมหาดโดยมีชาวบ้านผู้ชายหลายคนกำลังลำเลียงของลงมาจากเรืออย่างเป็นระบบ ในขณะที่มีพวกผู้หญิงบางส่วนช่วยกันแยกประเภทและจัดเรียงปลาอยู่ด้านล่าง พวกเขาร้องเพลงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนและหัวเราะเฮฮากันอย่างสนุกสนาน

ทั้งที่งานดูหนักหนาขนาดนั้น...ทำไมถึงมีความสุขกันจังนะ

“นั่นพวกคนในหมู่บ้านจ้ะพี่” เจ้าตาลยังทำหน้าที่เป็นไกด์ที่ดีคอยแนะนำสิ่งต่างๆ ให้ผมเข้าใจอย่างต่อเนื่อง ผมลูบหัวน้องเบาๆ เป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะหันกลับไปจ้องมองบรรยากาศรอบด้านต่อ

“พวกเขา...ยิ้มทุกคนเลย” ภามที่ยืนอยู่ข้างกันพึมพำออกมาเบาๆ โดยไม่ละสายตาออกจากภาพตรงหน้า

ดูเหมือนจะไม่ได้มีผมเพียงคนเดียวที่สงสัยและแปลกใจกับภาพที่เห็น เพราะยามนี้เจ้าของใบหน้าปลาตายคล้ายจะแสดงอาการงุนงงและไม่เข้าใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดไม่ต่างจากผมเลย

“ยัยนวล พี่เหมอยู่่แถวนี้ไหม” คุณน้าซึ่งผมเพิ่งรู้จากตาลว่าชื่อต้อยเดินเข้าไปสะกิดไหล่ถามผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งยืนหันหลังให้เราอยู่ เธอกำลังทำท่าจะอ้าปากตอบอยู่แล้วหากไม่ใช่เพราะหันมาเห็นผมกับภามแล้วเปลี่ยนไปยืนบิดไปบิดมาเสียก่อน

“นะ...นั่นใครน่ะพี่ต้อย”

“นักท่องเที่ยวน่ะสิ”

“นักท่องเที่ยว!” เสียงตะโกนของนวลทำให้ผมแอบสะดุ้งเบาๆ ทั้งยังช่วยเรียกสายตาจากผู้คนรอบด้านมาได้จนหมด การทำงานอย่างต่อเนื่องและเสียงร้องเพลงหยุดชะงักเหมือนมีใครมากดหยุดเวลาเอาไว้ พวกผู้ชายบนเรือและพวกผู้หญิงที่แยกปลาอยู่ต่างหันมามองพวกเราอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย

เอาแล้วไงทีนี้...

“พูดอะไรของเอ็งอีนวล จะมีนักท่องเที่ยวได้ยังไงวะ!” ผู้ชายคนหนึ่งจากบนเรือตะโกนถามเสียงติดขบขัน เรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆ ตามไปด้วย

“แต่พี่ต้อยบอกว่าพวกเขาเป็นนักท่องเที่ยวนะ” นวลเถียงทั้งที่เสียงไม่แน่ใจเลยสักนิด

“ข้าว่าพวกมันหลงมามากกว่า ใครจะมาเที่ยวเกาะนี้วะ”

“ไอ้หนู พวกเอ็งจะไปเกาะอะไรกัน ถ้าไม่ไกลมากเดี๋ยวข้าไปส่ง”

“ไม่เอาน่า ให้พวกมันพักที่นี่สักวันสองวันก็ได้”

“มันจะอยู่ได้เหรอวะ ดูผิวพรรณมันสิ ขาวอย่างกับกระดาษ”

“ข้าว่า...”

จากเสียงพูดทีละคนเริ่มกลายเป็นเสียงดังถกเถียงกันเซ็งแซ่ ผมหันไปมองหน้าภามแบบงงๆ อยากปรึกษาว่าจะเอายังไง แต่เห็นหน้านิ่งๆ ของเขาแล้วคงไม่ได้รับคำตอบเลยได้แต่หันกลับมามองภาพความวุ่นวายตรงหน้าเหมือนเดิม

“หยุดได้แล้ว!” เสียงที่ดูมีอำนาจที่สุดดังมาจากชายวัยกลางคนท่าทางใจดีผู้หนึ่ง เขาโบกมือไล่ให้คนอื่นๆ หันกลับไปทำงาน ก่อนจะเดินเข้ามาหาพวกผมที่ยืนอยู่ด้านหลังน้าต้อย วูบหนึ่งผมเห็นเขาชะงักไปเหมือนจะตกใจ แต่แล้วก็เปลี่ยนท่าทีกลับได้อย่างรวดเร็ว

“พี่เหม แตงกับตาลมันพากันไปเล่นหลังเกาะแล้วไปเจอพ่อหนุ่มสองคนนี้เข้า เห็นว่าเป็นนักท่องเที่ยวฉันเลยจะพาไปหานายเสียหน่อย ว่าแต่นายอยู่ไหมล่ะพี่”

“นายออกจากเกาะไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วนังต้อย เอ็งไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก ข้ายังรู้เพราะไปหาแล้วไม่เจอใครอยู่ที่บ้านนาย ตอนขึ้นฝั่งเลยโทรไปถามกลายเป็นว่าบินไปที่อื่นแล้ว” ลุงเหมส่ายหน้าเหมือนอยากจะบ่นอยู่หน่อยๆ แต่ใบหน้าของแกกลับเต็มไปด้วยความเคารพต่อคนที่พูดถึง

เดี๋ยวนะ...หมายความว่าตอนนี้นายไม่อยู่บนเกาะ อย่างงี้พวกผมจะอยู่ต่อได้เหรอวะเนี่ย

“แล้วเอายังไงกับพ่อหนุ่มสองคนนี้ดีล่ะพี่” น้าต้อยหันมามองพวกเราด้วยความเป็นห่วง ผมกำลังจะอ้าปากบอกว่าเราจะกลับกันอยู่แล้ว แต่กลับโดนมือใหญ่ของคนด้านข้างยื่นมาปิดปากเข้าเสียก่อน

“พวกผมอยากอยู่ที่นี่”

เดี๋ยวภาม...กูไปตกลงกับมึงตอนไหน

“อยู่ที่นี่ไม่ได้สบายหรอกนะไอ้หนุ่ม” ลุงเหมยิ้มน้อยๆ เหมือนจะถูกใจขณะกล่าวต่อ “ถ้าไม่นับเรือที่จะเข้าฝั่งวันนี้ เอ็งต้องรอจนถึงเดือนหน้าถึงจะได้กลับออกไปนะ เรือที่หาดไม่มีใครกล้าเข้ามาที่เกาะหรอก มันเป็นเกาะส่วนตัว ต้องขออนุญาตก่อน”

ทำไมผมไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลยวะ หมายความว่าถ้าเราไม่กลับตั้งแต่ตอนนี้ก็ต้องติดแหงกอยู่บนนี้ไปอีกเดือนเลยว่างั้น แล้วทำไมคุณลุงที่มาส่งเราที่นี่ถึงกล้ามาล่ะ

“ภาม…” ผมยิ้มแห้งแล้วดึงแขนคนตัวสูงข้างกายให้หันหลังมาคุยกัน “ถึงเขาจะอนุญาตให้อยู่ต่อแต่เราจะไม่ได้ออกไปไหนเลยนะ ฉันว่ากลับขึ้นฝั่งแล้วไปที่อื่นแทนดีกว่าไหม”

“อยู่ที่นี่เถอะ” เขาตอบคำเดิมและทำท่าจะตอบแค่นั้น แต่คงเห็นผมขมวดคิ้วไม่พอใจเลยพูดต่ออีกประโยค “พวกเขามีความสุข...ผมอยากรู้ว่าทำไม”

“คนเราจะมีความสุขมันแปลกตรงไหน”

“แล้วทำไมคุณไม่มีล่ะ” ภามถามกลับทันควัน และคำถามนั้นทำเอาผมชะงักอยู่นาน สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจแล้วพยักหน้าเงียบๆ เพราะเถียงไม่ออก

“แล้วแต่นายละกัน”

ตั้งแต่ที่เริ่มกลายเป็นพวกเฉื่อยชา ดูเหมือนสกิลปากดีของผมจะจางหายไปไม่มากก็น้อย กลายเป็นว่าหลายครั้งมักยอมอ่อนข้อและทำตามคำพูดคนอื่นง่ายๆ หากตัวเองเถียงไม่ออก อันนี้ไม่นับเรื่องอยากเอาชนะภามนะ ผมแยกแยะออกว่าเรื่องไหนจริงจังเรื่องไหนไม่จริงจัง ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือข้อดีหรือข้อเสีย ได้แต่หวังว่าการตัดสินใจยอมภามในครั้งนี้จะไม่ทำให้ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง

“ถ้างั้นวันนี้ตอนเข้าฝั่งข้าจะไปถามนายให้แล้วกัน ถ้านายอนุญาตพวกเอ็งก็อยู่ได้ แต่ถ้าไม่อนุญาตข้าจะมารับไปส่งที่ฝั่งอีกรอบ ระหว่างนี้เอ็งอยู่ที่บ้านนังต้อยไปก่อนแล้วกัน” ลุงเหมยิ้มให้พวกผมเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับไปที่เรือซึ่งพวกคนอื่นๆ กำลังขนของกัน

ผมได้แต่มองตามด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเข้าฝั่งก่อนถึงจะถามนายได้ แต่เพราะเจ้าแตงกับเจ้าตาลเดินเข้ามาดึงมือผมให้เดินตามแม่ตัวเองไปทางเดิม ผมเลยหมดโอกาสถามลุงเหมไปโดยสิ้นเชิง เอาเถอะ...เดี๋ยวถึงบ้านแล้วค่อยถามน้าต้อยแกอีกที

“เดี๋ยวพวกหนูนอนห้องเจ้าตาลนะ เดี๋ยวให้มันไปนอนกับพี่ชาย” คุณน้าหันมาบอกพวกเราอย่างใจกว้างในทันทีที่เดินกลับมาถึงบ้าน ตอนแรกผมเกรงใจและกลัวสองพี่น้องจะทะเลาะกันอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเห็นเด็กสองคนกอดคอกันพยักหน้าโดยไม่มีปัญหาอะไรเลยได้แต่พยักหน้าตาม

“ขอบคุณมากนะครับ”

“ไม่เป็นไรเลยจ้ะ ทำตัวตามสบายเลยนะ เอาไว้พี่เหมกลับมาแล้วค่อยมาคิดกันอีกทีว่าจะเอายังไงกับเรื่องที่อยู่พวกหนูดี”

“คุณน้าครับ...” ผมเรียกแกด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนักจนน้าต้อยที่กำลังจะเดินขึ้นบ้านต้องหันกลับมามอง “ทำไมลุงเหมต้องไปโทรถามที่ฝั่งด้วยล่ะครับ โทรที่นี่ไม่ได้เหรอ”

“อ๋อ...เป็นเพราะว่าที่นี่ไม่สัญญาณโทรศัพท์จ้ะ ส่วนไฟฟ้าพวกเราจะเริ่มใช้กันก็หลังหกโมงเย็น ไม่เชิงว่าห้ามหรอกนะ แต่มันเป็นเหมือนความเคยชินที่จะใช้แค่เท่าที่จำเป็นกัน...”

“พี่จะไปไหนจ๊ะ”

“หนูจะไปไหนจ๊ะ”

“จะไปไหน”

เสียงประสานจากเด็กๆ คุณน้าและภามทำให้ผมที่เผลอหมุนตัวเดินกลับหลังรู้สึกตัว โอเค...ใช่ว่าผมเป็นพวกรักความสะดวกสบายอะไรขนาดนั้น ก็แค่ตอนทำงานอยู่ในเมืองสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีที่สุดคือการได้นอนแบบสบายๆ ไม่มีอะไรมารบกวน และจะเหมือนสรวงสวรรค์ยิ่งขึ้นไปอีกหากได้นอนในห้องแอร์เย็นๆ กับเตียงนุ่มๆ แต่นี่คือไม่มีสักอย่างเลยไง คนรักเตียงนอนและแอร์ยิ่งชีพก็ต้องลังเลบ้างสิ

“ไปเร็วสิจ๊ะ หนูจะพาไปดูห้อง”

ผมยิ้มแหยแล้วปล่อยตัวให้เดินเนือยๆ ตามหลังแตงไปโดยมีเจ้าตาลจูงมือเหมือนกลัวนักโทษหลบหนี แต่ไม่ต้องห่วงหรอก...ผมจะหนีได้ยังไงกันในเมื่อของทุกอย่างอยู่กับภามหมดเลย ต่อให้ฉวยโอกาสวิ่งไปกระชากข้าวของมาก็ใช่ว่าจะสู้แรงได้ เผลอๆ โดนกระชากกลับทีเดียวผมได้ลงไปกองอยู่ที่พื้นแน่

ห้องนอนชั่วคราวของผมกับภามเป็นห้องเล็กๆ ซึ่งอยู่มุมในสุดของบ้าน หากอยู่คนเดียวก็คงไม่ได้อึดอัดอะไรนัก แต่พอคิดว่าต้องอยู่ร่วมกับผู้ชายตัวสูงเป็นเปรตอีกคน...เอาเถอะ สำรวจห้องต่อดีกว่า

ภายในห้องไม่ได้มีของประดับตกแต่งอะไรมาก มีเพียงฟูกนอน มุ้ง ตู้เสื้อผ้าทำจากไม้ แล้วก็โต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กอีกหนึ่งตัว หน้าต่างเพียงบานเดียวในห้องเปิดอ้ารับลมทะเลจากด้านนอกจนแทบไม่ต้องอาศัยพัดลมตัวเล็กที่ตั้งทิ้งไว้มุมห้อง

“แม่บอกให้พวกพี่เก็บข้าวของให้เรียบร้อยตามสบาย ถ้าหิวแล้วมาบอกพวกหนูนะจ๊ะ”

“ขอบใจมาก” ผมลูบหัวเจ้าตาลด้วยความเอ็นดู พร้อมกับหันไปยิ้มให้พี่ชายอย่างแตงที่ยืนเกาะประตูอยู่ เท่านั้นทั้งคู่ก็ฉีกยิ้มกว้างแล้วรีบวิ่งออกไปโดยไม่ลืมปิดประตูให้ ทิ้งผมกับภามไว้ตามลำพังในห้อง

“นายคิดจะทำอะไรระหว่างที่อยู่บนเกาะ” ผมชวนคุยระหว่างที่รื้อข้าวของออกจากกระเป๋า ส่วนภามกำลังเช็ดกล้องในมืออย่างทะนุถนอม

“ถ่ายรูป”

“ถ่ายรูปอย่างเดียวเนี่ยนะ...ฉันว่าอาทิตย์เดียวก็เดินถ่ายทั่วแล้วมั้ง”

“…ไม่จริงหรอก” เสียงเช็ดกล้องที่เงียบหายไปทำให้ผมต้องเงยหน้าและหันไปสบตากับคนที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว “ต่อให้เป็นสถานที่เดียวกัน แต่รูปที่ถ่ายออกมาไม่มีวันเหมือนกันแน่”

“อา...ฉันไม่เคยเล่นกล้อง ไม่รู้หรอกว่ามันต่างกันยังไง” สำหรับผมภาพถ่ายจากสถานที่เดียวกันล้วนไม่มีความแตกต่าง ต่อให้ถ่ายคนละเวลา คนถ่ายคนละคนอย่างไรก็ไม่เคยนึกสนใจ รู้แค่ว่าเป็นที่ไหนก็เพียงพอ บางทีอาจเป็นเพราะตัวเองไม่มีความสนใจต่อสิ่งสวยงามที่เป็นศิลปะไม่ว่าจะแขนงใดๆ ก็ตามมั้ง

“มันก็เหมือนเวลาคุณถ่ายภาพคนคนเดิมในอารมณ์ที่แตกต่าง เพราะงั้นทั้งสองภาพถึงได้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง” เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงโมโนโทน “ผมไม่เบื่อที่ได้ถ่ายรูปธรรมชาติในแต่ละวัน อากาศที่เปลี่ยนแปลง เวลาที่เปลี่ยนแปลง ทุกอย่างทำให้ภาพถ่ายแตกต่างไปจากเดิม”

“แล้วนายไม่ถ่ายภาพคนเหรอ”

“คนเป็นองค์ประกอบของธรรมชาติ”

ผมเผลอขมวดคิ้วเมื่อฟังแล้วเริ่มปวดหัว ไม่รู้เพราะคนตรงหน้าไม่พูดออกมาทีเดียวให้จบ หรือเพราะสมองไม่ต้องการรับอะไรที่เป็นวิชาการเพิ่มเข้าไปอีกแล้ว

“ของ่ายๆ ฉันโง่”

“ถ้าคนโง่หมายถึงคนที่มีรอยหยักในสมองน้อย นั่นไม่น่าหมายถึงคุณที่เป็นหมอ”

“แค่เปรียบเทียบ...” ชักเริ่มสงสัยแล้วว่ามันกวนตีนหรือซื่อบื้อกันแน่

“ผมไม่ชอบถ่ายรูปแบบที่ต้องคอยบังคับบงการ ไม่ชอบเวลาคนมองกล้องแบบตั้งใจมองจนไม่เป็นธรรมชาติ”

“อ๋อ…” ที่แท้ก็หมายถึงตัวเองไม่ชอบถ่ายรูปแบบที่ต้องมีนายแบบนางแบบว่างั้น ถ้าจะถ่ายคนคือต้องถ่ายแบบเป็นธรรมชาติ ไม่มีคนมาบังคับ เออ...บอกแค่นี้ก็จบแล้ว

“ผมไม่ชอบถ่ายคน...แต่ก็ถ่ายคุณไปแล้ว” ภามสำทับมาอีกประโยค แต่ทำผมถลึงตาใส่แทบจะทันที

“ไอ้รูปตอนฉันทำหน้าเอ๋อๆ เนี่ยนะ”

“คุณเป็นคนแรกที่ผมถ่ายตอนมองกล้อง” เขาพูดเสียงเรียบ

“ควรจะภูมิใจไหมเนี่ย หลอกให้มองกล้องแล้วกดถ่ายหน้ากันตอนน่าเกลียดๆ ดูยังไงก็แกล้งกันชัดๆ” นี่ยังไม่นับเวลาที่ผมหันหลังหรือไม่รู้ตัวอีกนะ ไม่รู้ว่าแอบถ่ายตอนทำท่าทางทุเรศๆ อะไรไปบ้างหรือเปล่า

“คุณไม่ได้น่าเกลียด”

“…”

“โกนหนวดแล้ว ไม่น่าเกลียดแล้ว”

“นี่จะบอกว่าตอนแรกฉันน่าเกลียดเหรอ” ผมเลิกคิ้วถาม เท้ากระดิกยิกๆ คล้ายอยากกระทืบคน

“…”

“การเงียบมันคือการตอบรับนะ”

“…”

ไอ้...ไอ้คนกวนตีน

ผมหมุนตัวกลับไปนั่งหันหลังจัดกระเป๋าเหมือนเดิมเมื่อไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ จะว่าโมโหมันก็ใช่ แต่พอลองนั่งย้อนนึกถึงเวลาคนอื่นมาเจอผมในสภาพหนวดเฟิ้มแล้วมันก็...สงสัยตอนนั้นคงดูไม่ได้จริงๆ สายหนวดคงไม่ใช่ทางเรา คิดได้แบบนี้แล้วจะไปเถียงไปด่าอะไรได้อีก

“แล้วคุณล่ะ”

“อะไร” ผมหันไปมองอีกรอบเมื่อจู่ๆ คนที่อยู่ด้านหลังก็ถามขึ้นมาลอยๆ แบบไม่มีหัวข้อเรื่อง

“จะทำอะไรระหว่างที่อยู่บนเกาะ” ภามวางกล้องในมือลงบนผ้าผืนหนึ่ง ก่อนจะหันมานั่งจ้องผมนิ่งๆ ท่าทีที่ดูจริงจังราวกับต้องการรู้คำตอบที่แท้จริงทำให้ผมนึกอยากกวนตีนอยู่ในใจ แต่คิดไปคิดมาแล้วไม่เอาดีกว่า

การแพ้ซ้ำๆ ทำให้คนขี้เกียจอย่างผมเริ่มไม่อยากเอาชนะแล้ว

“นอน” ตอบไปตามความจริงแล้วแอบหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นคิ้วเข้มของอีกฝ่ายขมวดเล็กน้อยทั้งที่หน้านิ่งเป็นปลาตายอยู่ “การพักผ่อนสำหรับฉันคือการได้นอนนิ่งๆ ทั้งวัน ถึงจะผิดแผนไปหน่อยตรงที่ไม่มีเตียงนุ่มๆ กับแอร์เย็นๆ ก็ไม่เป็นไร”

“วางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วเหรอ”

“เปล่า...ตอนอยู่บนรถไฟยังคิดอยู่เลยว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี แต่สุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นการหาที่สงบๆ นอนนิ่งๆ รอหมดเวลาพักแล้วกลับไปทำงานตามเดิมหรอก”

“เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์” ดูเหมือนภามจะไม่เข้าใจตรรกะของผม เพราะความไม่พอใจจางๆ แผ่ออกมาจากร่างของเขาจนสัมผัสได้ชัดเจนทีเดียว

“สำหรับหมอโลกแคบแบบฉัน มันไม่ได้มีทางเลือกมากนักหรอกนะ” ผมพูดออกไปแบบสบายๆ “ถ้ามีเวลาว่างขอแค่ได้นอนก็สุขใจจะแย่แล้ว”

“คุณไม่เข้าใจที่ผมบอกตอนอยู่บนรถไฟเหรอ” เขาจ้องมองผมด้วยใบหน้าปลาตายที่ดูจริงจังกว่าปกติพอควร “ถ้าคุณไม่หาหนทางแก้ไขความรู้สึกแย่ๆ ในใจนั่น สักวันคุณต้องไม่เหลือความเป็นตัวเองแน่”

“…”

“คุณมีทางเลือก แต่คุณไม่เดินเข้าไปคว้ามันเองต่างหาก เอาแต่นั่งรอแบบนี้มันไม่ช่วยอะไรหรอกนะ”

“ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้น...” ผมเผลอพูดออกไปงงๆ เมื่อจับน้ำเสียงที่ดูดุดันขึ้นหนึ่งระดับของเขาได้

“ถ้าคุณบอกว่าตอนเป็นหมอไม่มีเวลา แล้วทำไมไม่ใช้เวลาที่มีตอนนี้ให้เป็นประโยชน์”

“เอ่อ...”

“สองเดือนที่เราอยู่ด้วยกัน ถ้าคุณนอนนานเกินแปดชั่วโมงผมจะเอากล้องฟาดหัวคุณ”

“เดี๋ยวๆ อันนี้เริ่มเป็นหนังสยองขวัญละนะ”

ในขณะที่ผมกำลังกะพริบตาปริบๆ มองคนหัวร้อนหน้าตายด้วยความงุนงง สัญชาตญาณในกายกลับร้องเตือนดังลั่นว่าฉิบหายแล้วรัวๆ เพราะหน้าตาของภามบ่งบอกชัดเจนว่าเอาจริง คราวนี้ถึงกล้องจะแพงแสนแพงหรือรักแสนรักยังไง แต่มันต้องกลายเป็นอาวุธที่คนตรงหน้าใช้ฆาตกรรมผมจริงๆ แน่

“พูดจริง”

ยังมีหน้ามาย้ำอีก

“รู้ตั้งแต่ปาที่โกนหนวดใส่แล้ว!” ผมตอบด้วยความหัวเสียขณะถอนหายใจออกแรงๆ เพื่อบรรเทาความหงุดหงิด

“เก้าบอกว่าคุณดื้อยิ่งกว่าพี่ผมอีก”

“อย่างมันมีหน้ามาว่าฉันด้วยเหรอ”

ไอ้เก้า...ไอ้เพื่อนเลว ถ้ากูเรียกดื้องั้นมึงก็ไร้ทางเยียวยาแล้ว

“สมแล้วที่เป็นเพื่อนกัน” ภามพูดด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนต้องการให้ได้ยินทั้งที่รูปประโยคควรเป็นการกระซิบกระซาบกับตัวเองคนเดียวมากกว่า

“คนที่ดูดนิสัยมันมาด้วยอย่างนายมีสิทธิ์พูดด้วยเหรอ”

“อย่างน้อยผมก็ไม่ดื้อเหมือนคุณ”

“ไม่เชื่อ”

ผมแลบลิ้นใส่ภามแล้วหันหลังกลับมาจัดของเหมือนเดิม คราวนี้ไม่คิดจะหันกลับไปแล้วด้วย ต่อให้ได้ยินเสียงเขาพูดว่าทำตัวเหมือนเป็นเด็กอยู่ด้านหลังก็ไม่คิดสนใจ บางทีก็นึกเกลียดนิสัยมีมารยาทของตัวเองที่ต้องสบตาผู้พูดตลอดเวลาอยู่เหมือนกัน ไม่งั้นผมคงไม่ต้องหันไปเจอหน้าตาจริงจังของคนด้านหลังจนนำมาสู่ความซวยซ้ำซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อนอย่างนี้

ที่น่าสงสัยหนักสุดคือทำไมผมถึงยอมเชื่อฟังมันเนี่ยแหละ!


—————————

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[4]==[P.2]== [28/05/61]
«ตอบ #43 เมื่อ28-05-2018 21:41:43 »

ที่หนักสุดไม่น่าใช่โชว์ก้นให้กันนะคะคุณหมอ น่าจะเป็นอ้วกใส่หน้าเค้ามากกว่าค่ะ5555555 // ทำไมตอนนี้น่ารักมากเลยล่ะคะ มันมีบางครั้งที่แบบดูจริงจังแต่บางครั้งก็น่ารักน่าหยิกทั้งคู่เลย เจไดอย่าโดนภามเอากล้องฟาดหัวนะคะ :hao7:

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[4]==[P.2]== [28/05/61]
«ตอบ #44 เมื่อ28-05-2018 22:20:46 »

 :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[4]==[P.2]== [28/05/61]
«ตอบ #45 เมื่อ29-05-2018 01:27:20 »

นายเจ้าของเกาะที่ใครเอ่ย ดีหรือร้าย  :hao3:

ออฟไลน์ Fallinlove

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[4]==[P.2]== [28/05/61]
«ตอบ #46 เมื่อ29-05-2018 10:38:41 »

น่ารัก > < 
คู่นี้เข้ากั๊นเข้ากัน
คิดถึงน้องเก้าจัง ผู้วางแผนอยู่เบื้องหลังสินะ 555
นายคือใครเนี่ย อยากรู้แล้ว

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3322
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[4]==[P.2]== [28/05/61]
«ตอบ #47 เมื่อ30-05-2018 11:40:15 »

ขอบคุณคร่า

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[4]==[P.2]== [28/05/61]
«ตอบ #48 เมื่อ01-06-2018 18:26:32 »

-5-


“นายอนุญาตให้อยู่ที่นี่ได้”

“เย้!”

“ขอบคุณมากครับ” ผมตอบลุงเหมพร้อมรอยยิ้ม ด้านข้างคือภามที่พยักหน้าเงียบๆ ไม่มีทีท่าแปลกใจ ส่วนที่ร้องไชโยกันยกใหญ่คือแตงกับตาลที่ดูจะอยากได้เพื่อนใหม่เสียเหลือเกิน

“ถ้ายังไงเอ็งจะพักกันที่บ้านนังต้อยเหมือนเดิมก็ได้นะ”

“ใช่จ้ะ พักกับน้าก็ได้” น้าต้อยยิ้มรับคำด้วยความเต็มใจ

“ผมไม่ค่อยอยากรบกวนเลยครับ ไม่ทราบว่าพอจะมีบ้านหลังอื่นแถวนี้อีกไหม หลังเล็กๆ แค่เอาไว้เก็บของกับนอนได้ก็โอเคแล้ว” ที่สำคัญคือขอให้ไม่ต้องนอนกับไอ้บ้าหน้าปลาตายนี่ก็พอ แยกมุ้งให้ก็ยังดี

“แบบนั้นเห็นทีจะต้องสร้างใหม่นะ” ลุงเหมทำหน้าครุ่นคิดแล้วหันมาตอบผม “ปกติคนที่นี่สร้างบ้านสร้างกระท่อมกันเองทั้งนั้น เรามีไม้ มีอุปกรณ์ พ่อหนุ่มอยากลองทำเองไหมล่ะ”

“ไม่…”

“พวกผมจะทำเอง”

“งั้นก็ดีเลย เดี๋ยวลุงจะไปดูที่ให้ว่าตรงไหนพอจะลงบ้านได้ ส่วนถ้าต้องไหนต้องการความช่วยเหลือก็บอกไอ้พวกผู้ชายได้ทุกคนเลยนะ”

“เดี๋ยว...” ผมอ้าปากค้างมองลุงเหมเดินจากไปด้วยความงุนงง ก่อนจะตวัดสายตาไปมองไอ้ตัวต้นเหตุที่ไปบอกเขาว่าเราจะสร้างบ้านกันเอง “สร้างบ้านนะไม่ใช่ก่อทราย แล้วพวกไฟฟ้าอะไรพวกนี้จะทำยังไง”

“ไม่ได้คิดจะใช้อยู่แล้ว” ภามยักไหล่ตอบหน้าตาย “ที่นี่แทบไม่ต้องใช้พัดลมด้วยซ้ำ”

“แล้วแสงไฟ...”

“ตะเกียง”

“แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว” ผมกุมขมับ อยากจะล้มตัวลงไปนอนแดดิ้นอยู่ที่พื้น ติดอยู่ตรงที่มีน้าต้อยนั่งอยู่ด้วยเลยทำไม่ได้

“มาอยู่เกาะแบบนี้ต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม ทิ้งวิถีคนเมืองไปเถอะ”

“นายพูดเหมือนง่าย”

มันไม่ใช่แค่คนเมืองเดินทางมาอยู่เกาะธรรมดา แต่ผมคือคนเมืองโลกแคบชีวิตติดอยู่ที่โรงพยาบาลกับเตียงนอน ได้ไปเที่ยวในรอบห้าปีก็ตื่นตาตื่นใจพออยู่แล้ว นี่ถึงขนาดข้ามขั้นมากลายเป็นชาวเกาะอย่างแท้จริง แถมยังจะให้ไปก่อสร้างบ้านทั้งที่ร่างกายเหมือนเต้าหู้ไร้เรี่ยวแรง ไม่ใช่ว่าจะดูถูกตัวเองหรอกนะ ผมแค่รู้สมรรถภาพทางกายเป็นอย่างดีเท่านั้นเอง

ขอสิบนาทีพอ...สลบแน่นอน

“ไม่ยากหรอก” ภามจ้องตาผมนิ่งเหมือนจะส่งผ่านความมั่นใจมาให้

“นายเคยทำมาก่อนเหรอ” ถ้าตอบว่าเคยจะตกใจมาก ครอบครัวมหาเศรษฐีอย่างเจ้านี่น่ะเหรอจะเคยทำงานหนักประเภทแบกหามสร้างบ้าน

แล้วก็ตามคาด...ภามส่ายหน้าแทบจะทันที

“ไม่เคย แต่รู้ว่าต้องทำยังไง”

“โคตรไม่น่าไว้ใจเลยเถอะ” ผมกลอกตาใส่เขา

“เชื่อผมสิ”

ไม่...ไม่ต้องมาจ้องเลย

ดวงตาว่างเปล่าที่มองมานิ่งเหมือนพยายามจะสื่อความหมายถึงอะไรบางอย่างเกือบทำให้ผมหลงกลอยู่แล้ว หากไม่ใช่ว่าเขาพูดประโยคต่อไปออกมาอย่างซื่อตรงเสียก่อน

“ผมมั่วเก่ง”

“ไม่ต้องบอกความจริงก็เกือบเท่อยู่แล้วนะ”

“หึ”

“เดี๋ยว...นั่นขำเหรอ” ผมมองหน้าภามแบบเหวอๆ เมื่อได้ยินเสียงหึดังออกมาจากปากเขา คือคนเราสามารถทำเหมือนจะขำทั้งที่หน้าตายได้ขนาดนี้เลยจริงดิ แล้วยังมีหน้ามามองเหมือนจะถามว่าแปลกตรงไหนด้วยนะ

“คุณตลก”

“แบบนั้นมันไม่ได้เรียกว่าขำ”

“แล้วต้องแบบไหน” ภามเอียงคอถามเหมือนนึกสนุก ผมจับสังเกตจากหน้าปลาตายกับน้ำเสียงของเขาได้ ถึงจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากแต่ความกวนตีนที่ได้สัมผัสมาอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ก็พอจะช่วยให้คนขี้สังเกตอย่างผมแยกแยะอารมณ์ของเขาออกได้บ้าง มันเหมือนเวลาผมตรวจคนไข้เด็กแล้วต้องเดาใจตลอดว่าพวกเขาอยู่ในอารมณ์ไหน ต้องการอะไร และจะร้องไห้เมื่อไหร่นั่นแหละ

“ต้องเริ่มจากยิ้มก่อน” เล่นมาก็เล่นกลับ ผมตอบตามความจริงแล้วขยับตัวแบบเนียนๆ เข้าไปหาอีกฝ่าย “ฉันจำได้ว่าตอนวันเกิดไอ้เก้าเมื่อหกเจ็ดปีก่อนที่เราเจอกันครั้งแรก นายยังไม่หน้าตายขนาดนี้เลยนะ”

“พี่บอกว่ายิ่งโตผมก็ยิ่งยิ้มยากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”

“เพราะไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเหมือนแต่ก่อนหรือเปล่า ได้ข่าวว่าพี่นายทำงานตัวเป็นเกลียวตั้งแต่เรียนจบ ไอ้เก้าเองก็ช่วยงานเขาด้วยไม่ใช่เหรอ” ผมสันนิษฐานไปเรื่อยจนมานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าภามได้สำเร็จ แม้เจ้าตัวจะดูสงสัยแต่ก็ไม่ได้ขยับหนีหรือหลบสายตาแต่อย่างใด

“คงใช่...เพราะหลังจากเรียนจบผมก็ออกเดินทางเลย ไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่กับพวกนั้นนานๆ แต่เก้าบอกว่าผมยิ้มและหัวเราะกับพวกเขาแบบกลวงๆ มันเป็นเพราะผมยังหาสิ่งที่เป็นของตัวเองไม่เจอ”

“งั้นมาเริ่มจากฝึกยิ้มเป็นไง”

“แบบนั้นจะต่างอะไรกับยิ้มหรือหัวเราะแบบกลวงๆ”

“ต่างตรงที่ฉันสนุกไง” ไม่ต้องรอให้สงสัยมากไปกว่านี้ผมก็รีบยกมือขึ้นทำตามสิ่งที่คิดไว้ทันที

“…เจ็บ!"

“เสียงดังเป็นด้วย” ผมเหยียดยิ้มมองคนที่โดนหยิกแก้มยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างสะอกสะใจ ใบหน้าปลาตายของเขาพอประกอบกับรอยยิ้มปลอมๆ ที่โดนผมสร้างขึ้นแบบนี้ ดูแล้วโคตรน่าขำ ยังไม่นับคิ้วเข้มที่ขมวดแน่นเหมือนกำลังอดทนกับความเจ็บนั่นอีกนะ....สะใจสุดๆ

ในเมื่อไม่ถือตัวกันดีนัก งั้นต่อไปจะแตะนั่นแตะนี่เตะนั่นเตะนี่ก็คงไม่ต้องเกรงใจอีกต่อไปแล้ว ผมจะหยิกให้แก้มเขียวไปเลย

“เล่นแบบนี้เหรอ”

“เฮ้ย...เดี๋ยว!” ผมร้องลั่นเมื่อภามใช้เวลาแค่สามวินาทีในการดึงมือผมออกจากใบหน้าที่เริ่มกลายเป็นสีแดงของเขา ไอ้บ้าแรงเยอะมันใช้มือเดียวรวบแขนผมไว้ ในขณะที่มืออีกข้างทำท่าจะยื่นมาบิดแก้มคืน “ไม่เอานะ...ภาม...ภาม!”

“ถ้าแก้มเขียวแล้วจะหยุด”

“อย่านะ!” แม้จะถูกรวมมือไว้แต่ผมก็พยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อที่จะยกมือขึ้นมากันไว้ รั้งไปรั้งมาจนเริ่มเจ็บแขนแล้วเบะปากนั่นแหละถึงตัดสินใจพูดความจริงออกไปแบบทนไม่ไหว “ฉันกลัว”

ทุกสิ่งหยุดชะงักเมื่อผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวของแท้ ถึงจะน่าอับอายขนาดไหนที่ต้องเปิดเผยความลับของตัวเองให้คนอื่นรู้ แต่วินาทีนี้ขอแค่ไม่โดนหยิกแก้มเขียวหรือโดนกำแขนแน่นจนช้ำก็พอ

“ผมไม่ได้จะทำร้ายคุณ” ภามขมวดคิ้วแล้วพูดทั้งที่ยังไม่ปล่อยมือ

“ฉันไม่ได้กลัวนาย” ผมบอกความจริงพร้อมทั้งขยับตัวถอยหลังเล็กน้อยให้มือของเขาอยู่ห่างจากหน้าตัวเองให้ได้มากที่สุด “ฉันกลัวเจ็บ”

“…มันไม่ได้เจ็บขนาดนั้น”

“สำหรับฉันแค่หยิกเฉยๆ ก็จะร้องไห้แล้ว” ไม่นับในฝันที่คิดจะหยิกตัวเองให้ตื่นนะ อันนั้นพอตื่นขึ้นมามันก็ไม่รู้สึกอะไรแล้วเลยไม่นับ

“กลัวมากขนาดนั้นเลย?” เหมือนคนพูดจะเริ่มรู้สึกตัวว่าเขากำแขนผมไว้แน่นขนาดไหน มือใหญ่ๆ นั่นถึงได้คลายออกเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ได้ปล่อยให้เป็นอิสระ

“มากขนาดนั้นแหละ...ความเจ็บปวดไม่ว่าจะมากหรือน้อยสำหรับฉันมันคือเจ็บเหมือนกันหมด”

“แล้วเวลาฉีดยาหรือรักษาคนไข้ทำยังไง”

“ไม่เห็นมีปัญหาอะไร อันนั้นคนไข้เจ็บ ฉันไม่ได้เจ็บสักหน่อย” ผมถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าภามหมดอารมณ์จะเอาคืนแล้ว

“…”

“ปล่อยมือได้แล้วก่อนที่นายจะเผลอกำแขนฉันแน่นจนกระดูกหัก”

“มิน่าตอนบอกว่าล้มในห้องน้ำถึงได้ร้องลั่น แถมยังพยายามทายาแล้วทำหน้าตาเหมือนจะโดนเชือด” จู่ๆ เขาก็พึมพำออกมาเสียงเบา แต่เล่นเอาผมเบิกตาโตด้วยความตกใจ สรุปมันทั้งได้ยินทั้งเห็นหมดเลยเหรอวะน่ะ

โอย...ชีวิต หมดแล้วภาพพจน์ที่สั่งสมมา

“รู้แล้วก็ปล่อยมือเถอะนะ” ผมเมินเศษหน้าที่แตกกระจายอยู่ที่พื้น แล้วหันมาให้ความสนใจต่อการแกะมือเหล็กที่จับกุมข้อมือของตัวเองอยู่แทน

“แต่คุณหยิกแก้มผม”

“ฉันแค่ช่วยให้นายรู้ว่าเวลายิ้มต้องเริ่มยังไงเฉยๆ” แก้ตัวน้ำขุ่นๆ และพยายามแกะมือของเขาออกต่อไป

“ถ้าคุณหมายถึงการยกมุมปากขึ้นแบบที่พยายามทำ เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว”

“งั้นเอาคืนวิธีอื่นได้ไหม ไม่เอาเจ็บๆ นะ ฉันกลัว” เมื่อวิธีขอให้เลิกล้มความตั้งใจไม่ได้ผลก็ต้องใช้วิธีประนีประนอมแทน ผมหยุดพยายามแงะมือภามออกเมื่อรู้ว่ามันไร้ประโยชน์หากเขาไม่ยอมปล่อยด้วยตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นเพื่อส่งผ่านความจริงใจไปให้ “เอาเป็นว่าฉันจะช่วยนายสร้างบ้านแต่โดยดีเป็นไง”

“เรื่องนั้นคุณต้องทำอยู่แล้ว เพราะถ้าไม่ทำคุณจะได้นอนกลางป่า”

วางแผนไว้พร้อม...เลวร้ายที่สุด

“แล้วจะให้ทำยังไง” ผมถามเสียงอ่อย นาทีนี้เขาพูดอะไรมาคงต้องรับปากไปก่อน ไม่งั้นได้โดนหยิกแก้มจนร้องไห้โฮหมดสิ้นมาดดีๆ ที่เหลือเพียงน้อยนิดแน่

“ข้าว”

“หา”

“อยากกินไข่เจียว”

“เดี๋ยว...”

“จะทำไม่ทำ” ภามถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ต่างจากเดิม แต่ทำไมผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ จนเผลอขยับตัวถอยหลังก็ไม่รู้ และท่าทางของพวกเราคงไม่อาจเรียกได้ว่าปกตินัก เมื่อคนหนึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้น มีเพียงแขนที่ใช้รับน้ำหนักไม่ให้ทิ้งตัวลงไปนอนราบ ส่วนอีกคนคร่อมตามอยู่ด้านบน แม้จะไม่ได้ใกล้กันมากแต่ก็ไม่ใช่ท่าทางที่ควรทำกับคนรู้จักธรรมดาแน่นอน

มันจะไม่มีอะไรเลยถ้าไม่ใช่...

“ตามสบายเลยนะจ๊ะ น้าไม่กวนแล้วดีกว่า คิกๆ”

น้าต้อยนั่งดูอยู่...ตั้งแต่แรก

ผมหันกลับไปมองหน้าภามที่ไม่ได้มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวแล้วได้แต่ถลึงตาใส่ ก่อนจะพยายามผลักไหล่ไอ้คนดื้อด้านที่จะเอาคืนให้ได้ออกไปให้ไกลจากตัวเอง

“โดนเข้าใจผิดหมดแล้ว ถอยไปเลยนะ”

“ไข่เจียว”

“…”

“ไข่เจียว”

“ก้มลงไปกินเลยมะ” ก่อนจะรู้ตัวว่าพลาดกวนตีนผิดคนก็ตอนที่เห็นดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นเลื่อนลงมองต่ำตามที่ผมว่าจริงๆ แต่ประเด็นคือมันไม่ได้มองของตัวเองไง “มองอะไร!”

“จะให้กินจริงๆ เหรอ”

“…”

“ถอดกางเกงสิ”

“จะไปทอดไข่ให้เดี๋ยวนี้เลยครับ” ผมกลิ้งตัวออกจากการกักขังของภามได้อย่างง่ายดายเมื่อเขาไม่ได้รั้งไว้ บางทีอาจเป็นเพราะได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการแล้ว แต่กูเนี่ยจะบ้าตาย ขอมอบตำแหน่งสิ่งมีชีวิตที่ต่อกรยากที่สุดในโลกให้คนคนนี้เลย กวนตีนหน้าตายยิ่งกว่าไอ้โซเพื่อนผมอีก

เอาเถอะ...ในเมื่อรับปากมาแล้วก็คงต้องทำ ไม่งั้นโดนลากไปเอาคืนต่อแน่

ห้องครัวของบ้านหลังนี้คือบริเวณใต้ถุนบ้าน ผมเดินไปขออนุญาตน้าต้อยที่นั่งหัวเราะคิกคักอยู่หน้าบ้านก่อน ท่านถามแค่ว่าอยากให้ช่วยไหม ด้วยความมั่นใจในฝีมือตัวเองผมเลยตอบไปว่าทำเองได้ แต่พอมาเห็นสภาพครัวเต็มๆ แล้ว...

เตาถ่าน...

“ไข่ไหม้จะมาโทษกันไม่ได้นะ”

ต่อให้เก่งยังไง ถ้าต้องมาจุดไฟจุดถ่านเป็นครั้งแรกต้องมีไหม้กันบ้างแหละวะ เพราะฉะนั้นไข่ดำนิดๆ นี่ไม่ใช่ความผิดผมเลยนะ

“หิวแล้ว” เสียงเนือยๆ แบบคนไร้วิญญาณดังขึ้นข้างใบหูในระยะเผาขน ทำเอาขนคอผมลุกชันจนเกือบทำไข่คว่ำลงพื้นระหว่างเทลงจาน

“อย่ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงได้ไหมเนี่ย”

“หน้าตลก”

มันคือการปฏิเสธกันทางอ้อมถูกไหม

“เอานี่ไป” ผมยื่นจานข้าวให้ภาม เรียกได้ว่ายื่นแบบประชิดถึงเนื้อถึงตัว ถ้าเป็นคนปกติตามสัญชาตญาณคงยกมือขึ้นมารับไปแล้ว แต่เพราะคนคนนี้ไม่ปกติเขาถึงได้ก้มลงมองทั้งหน้าตาย

“ไข่เจียว...ไหม้”

“กินๆ ไปเถอะน่า”

“เป็นหมอแต่บอกให้ผมกินไข่เจียวไหม้”

ผมกลอกตามองภาม ก่อนจะถอนหายใจแรงๆ ใส่หน้าเขา ใจจริงอยากจะเอาจานข้าวคว่ำใส่หัวอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่ติดว่ากลัวโดนเอาคืนแบบเจ็บๆ นะ คิดแล้วก็อยากจะบ้าตายที่ดันไปบอกความลับให้เขารู้ ทั้งที่อุตส่าห์ปิดบังมาได้ตั้งนาน แม้แต่เพื่อนสนิทยังไม่มีใครรู้เลย

“นานๆ ทีไม่เป็นไรหรอก ครั้งต่อไปจะไม่ให้ไหม้อีก โอเคยัง”

“ครั้งต่อไป” คนพูดรับจานข้าวไปแต่โดยดี

เออ...กูพลาดเอง

“กินไปเลย ฉันจะไปอาบน้ำนอนแล้ว” ผมตัดบทแล้วตั้งท่าจะเดินกลับขึ้นบ้าน แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าภามก็รั้งแขนผมเอาไว้ก่อน เขาไม่พูดอะไรแม้กระทั่งตอนที่ลากกันไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวที่ทำจากไม้ไผ่ ไม่ห่างจากส่วนที่ทำกับข้าวนัก หลังจากนั้นข้าวช้อนหนึ่งจึงถูกยื่นมาตรงหน้าผม

“คุณยังไม่ได้กินข้าวเย็น”

“ขอบคุณที่ห่วง แต่ปกติฉันก็ไม่ค่อยได้กินอยู่แล้ว” อันนี้เรื่องจริง บางครั้งก็ทำงานหนักจนลืม หรือบางครั้งถ้าอยู่บ้านก็เอาเวลาไปนอนมากกว่า ไม่แปลกที่ผมจะลืมกินข้าวเย็นอยู่บ่อยๆ

“ทำไมหมอชอบบอกให้คนไข้กินอาหารให้ครบห้าหมู่หรือกินอาหารให้ตรงเวลาทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ยอมทำ” ใบหน้าของคนถามแลดูสงสัยปนหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย ผมเลยยักไหล่แล้วตอบกลับไปตามความจริง

“คนไข้มาหาหมอเพราะไม่สบาย หมอก็ต้องแนะนำในสิ่งที่ถูกสิ”

ภามขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยิน ผมลอบยิ้มอยู่ในใจ ไม่รู้เจ้าหน้าปลาตายจะรู้ตัวไหมว่าตัวเองเริ่มแสดงออกทางสีหน้ามากขึ้นแล้ว ถึงจะแค่ขมวดคิ้วหรือหรี่ตานิดๆ หน่อยๆ ก็เถอะ

“กินเข้าไป”

“นายก็กินไปดิ ฉันจะไปอาบน้ำนอนแล้ว”

“ฟ้าเพิ่งจะมืดเนี่ยนะ” เขาถามทั้งที่ยังไม่ละความพยายามในการเอาช้อนยัดปากผม

“ง่วงแล้ว”

“จะกินดีๆ หรือจะให้ยัด ช้อนบาดปากผมไม่รับผิดชอบนะ”

คนเลว! ทำไมต้องเอาความเจ็บปวดมาขู่กันด้วย ได้แต่คิดอย่างแค้นเคืองก่อนจะงับข้าวกับไข่ไหม้ๆ เข้ามาในปากแต่โดยดี แหม...ห่วงกูจังเนอะ จงใจเลือกไข่ส่วนที่ไหม้ล้วนๆ ให้เนี่ย แล้วยังมีหน้ามาทำหน้าตาเหมือนพออกพอใจใส่อีก

กว่าจะจัดการอาหารการกินกันเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง ผมกลับขึ้นบ้านเพื่อหยิบข้าวของเตรียมตัวไปอาบน้ำ ใจนึกถึงแต่เตียงนอนจนไม่รู้ตัวเลยว่าในขณะที่กำลังอาบน้ำอยู่มีไอ้บ้าคนหนึ่งมันเปิดประตูเข้ามาแบบไม่บอกไม่กล่าว กำลังคิดอยู่เลยว่าขันหายไปไหน หันไปมองอีกทีก็เห็นคนตัวสูงแก้ผ้าโชว์หุ่นน่าอิจฉายืนมองอยู่ก่อนแล้ว

“เข้ามาได้ไงเนี่ย”

“คุณไม่ได้ล็อกกลอน” เขาตอบหน้าตาย

“อยู่บ้านไม่ค่อยล็อกเลยชินมั้ง” ผมตอบแบบสบายๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไร ทั้งที่ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ต้องขอบคุณใช่ไหมที่ต่างฝ่ายต่างใส่ผ้าขาวม้ากันทั้งคู่ ขืนโป๊อาบน้ำเหมือนตอนอยู่บ้าน เจ้านี่คงเห็นอะไรต่อมิอะไรของผมจนหมด

ลืมไป...มันเห็นหมดแล้ว

“ผมเห็นคุณอาบนานแล้วเลยลองมาดู พอรู้ว่าไม่ได้ล็อกก็เข้ามาเลย”

“มีมารยาทสุดๆ”

“ขอบคุณ”

กูประชด

ปกติเวลาก่อนนอนผมมักจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหนึ่งครั้งเพื่อตอบข้อความของบรรดาเพื่อนที่ขยันหาเรื่องมาคุยกันทุกวัน หลังจากนั้นก็จะปิดเครื่องแล้วหลับไป มาตอบอีกรอบคือก่อนจะนอนของวันถัดไป ทำไปทำมาจนเริ่มเป็นเหมือนวงจรชีวิตของตัวเองที่ถ้าขาดไปจะรู้สึกไม่ชิน แต่ในเมื่อบนเกาะนี้ไม่มีแม้แต่สัญญาณโทรศัพท์ โทรศัพท์ไร้ประโยชน์ของผมเลยถูกโยนทิ้งไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าไปในที่สุด

ฟูกนอนสามฟุตครึ่งทำให้ผมกับภามต้องนอนเบียดกันอย่างช่วยไม่ได้ โชคดีที่ภามใช้เวลาอยู่เกือบสองชั่วโมงในการนั่งเช็คกล้องของเขา นั่นหมายความว่าถ้าผมสามารถหลับก่อนได้ ต่อให้ต้องเบียดกันก็คงไม่ลำบากใจมากนัก แต่โชคร้าย...โชคร้ายที่คนรักการนอนยิ่งชีพอย่างผมดันนอนไม่หลับขึ้นมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

“คุณนอนไม่หลับ” คนที่กำลังคลานเข้ามาในมุ้งเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ผมที่กำลังหันหน้าเข้าหาผนังห้องเลยได้แต่พลิกตัวกลับไปนอนหงายแล้วตอบตามตรง

“ใช่ คงเพราะไม่ได้นอนกับคนอื่นมานานมั้ง”

“ผมก็เหมือนกัน เจ็ดปีแล้วมั้ง”

“หือ” ผมขยับตัวนอนตะแคงข้างหันไปทางภามอย่างสนอกสนใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาล้มตัวลงนอนพอดี “นายเคยนอนกับคนอื่นด้วยเหรอ”

“ถ้าหมายถึงนอนในความหมายว่านอนจริงๆ...เคย”

“หมายความว่าถ้านอนในความหมายไม่จริงนายไม่เคยเหรอ”

สาบานได้ว่าผมเห็นภามเหลือบตามองกันเหมือนอยากจะด่าทั้งที่ยังนอนหงายอยู่ และสิ่งนั้นทำให้ผมหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า หัวเราะจนเกือบจะสำลักลมหายใจตัวเอง แม้อีกฝ่ายจะหมุนตัวมานอนตะแคงมองกันกลับแบบตรงๆ ก็ไม่สนใจ

“จะหัวเราะอีกนานไหม” ภามถามเสียงเรียบ แต่ผมจับความหงุดหงิดในน้ำเสียงนั้นได้ จากที่กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานเลยต้องกลั้นไว้ เหลือแค่ปากที่กำลังยิ้มกว้างแทน

“โทษทีๆ”

“…”

“พูดต่อสิ นายบอกว่าไม่ได้นอนกับใครมาเจ็ดปีแล้วเหรอ” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องเผื่อเขาจะหยุดทำท่าเหมือนอยากเข้ามาบีบคอกันเสียที ซึ่งภามก็เปลี่ยนเรื่องตามง่ายๆ คล้ายไม่อยากจะคุยเรื่องเดิมอยู่แล้ว

“มีช่วงหนึ่งเก้ากับพี่เคยเข้ามานอนกับผม นั่นเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่ผมได้นอนในห้องที่มีคนอื่นอยู่ด้วย”

เจ็ดปีก่อน...น่าจะเป็นช่วงที่ไอ้เก้ามันบินไปหาแฟนที่อังกฤษมั้ง ผมไม่ได้รู้ดีเท่าไอ้โซเพราะไม่ค่อยมีเวลาคุยกับเพื่อนมากเท่าไหร่ รู้แค่เรื่องที่มันไปชอบใครคนหนึ่งเข้าจนต้องรีบเรียนให้จบแล้วบินตามไปหาเขาที่อังกฤษ มารู้เรื่องอีกทีก็ตอนที่เป็นแฟนกันแล้ว

“แล้วทำไมมันถึงไปนอนห้องนายล่ะ”

“เห็นว่าแอร์เสีย”

“อ๋อ”

“หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้นอนกับใครเลย แต่อันที่จริง...ถึงตอนนั้นจะนอนห้องเดียวกัน แต่ผมก็นอนแยกเตียง”

“นายจะบอกว่า...”

“นี่เป็นครั้งแรกที่ผมนอนร่วมเตียงกับคนอื่น”

ผมไม่รู้จะพูดอะไรเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาบอก เริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่หันมานอนตะแคงข้างมองหน้ากันเอาก็ตอนนี้ คงเพราะฟูกมันเล็กเราถึงได้อยู่ใกล้ชิดกันมากเกินความจำเป็น ผมนึกขอบคุณที่ภามปิดไฟไปตั้งแต่ก่อนล้มตัวลงนอน ไม่งั้นเขาคงมองเห็นใบหน้าสับสนของผมเข้าแน่ๆ

“คุณสั่น”

เวร...ลืมไปเลยว่าถ้าผมเห็นเขาชัด เขาก็ต้องเห็นผมชัดเหมือนกัน

“หยุด”

“คุณดูสับสน”

“ไม่ต้องพูด”

“นี่เป็นครั้งแรกที่คุณนอนร่วมเตียงกับคนอื่นเหมือนกัน”

“หยุดพูดนะ!”

“ทำไมคุณถึงขำที่ผมไม่เคยนอนในความหมายไม่จริงกับคนอื่น ทั้งที่คุณก็ไม่เคยเหมือนกัน” น้ำเสียงโมโนโทนในครั้งนี้ดูเหมือนจะมีความงุนงงปนมาด้วย แต่ผมไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิดที่สังเกตเห็นมัน เพราะตอนนี้อับอายขายขี้หน้าจนไม่อยากพูดอะไรแล้ว

“ฉันจะนอน”

“ตอบคำถามก่อน” คำพูดดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือหยาบกร้านที่ยื่นมาจับแขนกันไว้ไม่ให้พลิกตัวหนี

“ก็แค่ลืมนึกถึงตัวเองไง” ผมกัดฟันตอบแล้วดึงแขนตัวเองออกมา “ไม่เคยขำเพื่อนเวลามันทำอะไรน่าอายแล้วลืมนึกว่าตัวเองก็เคยทำหรือไง”

ไม่บอกแล้วใครจะเชื่อ คุณหมอเจไดที่สมัยเรียนเคยมีแฟนมาแล้วหลายคนยังซิง แม้แต่นอนร่วมเตียงกับผู้หญิงยังไม่เคย ตอนเรียนเวลาเพื่อนถามยังมีโกหกบ้าง แถมผมยังเนียนเกินกว่าจะโดนจับได้ แต่พอมาเป็นเวลานี้ อายุที่มากขึ้นกับเหตุผลหลายๆ อย่างทำให้โกหกไม่ออก ถ้าเนียนไม่พูดไปก็จบแล้ว แต่ดันมีพวกฉลาดช่างสังเกตจ้องจับผิดอยู่เลยโป๊ะแตก

“ไม่เคย” ภามตอบง่ายๆ จนผมเกือบจะอ้าปากด่าอยู่แล้ว หากไม่ได้มองเห็นแววตาว่างเปล่าท่ามกลางความมืดมิดคู่นั้นเข้าเสียก่อน “เพื่อนคนเดียวของผมคือเก้า”

เพื่อนคนเดียว...

“…ฉันไง”

“…”

“ฉันเป็นเพื่อนร่วมเดินทางของนายไม่ใช่หรือไง มันก็เพื่อนเหมือนกันนั่นแหละ”

ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้พูดออกไปแบบนั้น บางทีอาจเป็นเพราะความเศร้าที่ปะปนอยู่ในน้ำเสียงของเขา หรืออาจเป็นเพราะดวงตาที่จ้องมองมานิ่งงันเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง แม้จะไม่รู้ว่าเขาต้องพบเจอกับอะไรมาบ้าง แต่หากคำพูดเหล่านั้นช่วยให้คนหน้าตายคนนี้รู้สึกดีขึ้นได้สักนิดก็คงดี...

และดวงตาว่างเปล่าที่ดูราวกับมีชีวิตขึ้นมาวูบหนึ่งคือสิ่งที่บ่งบอกว่าผมทำถูกแล้ว

“คุณคิดว่าผมจะตามหาเจอไหม” ใช้เวลาอยู่นานหลายนาทีกว่าภามจะพูดประโยคนี้ขึ้นมา ผมไม่รู้ว่าทำไมคนตรงไปตรงมาอย่างเขาถึงเปลี่ยนเรื่องเอง แต่ก็ไม่คิดถามอะไรในเมื่อมันเป็นความต้องการของเจ้าตัว

“ตามหาอะไร ความสุขที่นายบอกน่ะเหรอ”

“ใช่”

“เจอสิ” ผมพูดจากใจพร้อมส่งยิ้มจางไปให้ “นายบอกว่าตัวเองไม่รู้ความหมายของมันด้วยซ้ำ แต่ก็ยังตามหาไม่เคยย่อท้อ ต่างจากฉันที่เอาแต่นั่งรอใช้ชีวิตไปวันๆ ท้ังที่รู้ว่าตัวเองยังขาดอะไรบางอย่างไป ต้องให้พ่อกับแม่บังคับถึงได้ออกเดินทางมาจนถึงที่นี่ เพราะงั้นความพยายามของนายต้องได้รับการตอบแทนแน่”

“งั้นเหรอ” น้ำเสียงราบเรียบหากแฝงความโดดเดี่ยวเอาไว้หลายส่วนทำให้ผมต้องขมวดคิ้วมุ่น ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าผมจะตัดสินใจได้ว่าควรพูดอะไรต่อ

“เอาแบบนั้นก็ได้”

“…” ภามกะพริบตาปริบๆ เป็นเชิงสงสัย เขานิ่งเงียบไม่ตอบอะไรเหมือนกำลังรอให้ผมพูดต่อ แต่ต้องเข้าใจหน่อยนะว่าคำพูดเป็นนายเรา พูดไปแล้วเอาคืนไม่ได้ เพราะงั้นขอคิดอีกแป๊บ

“เรามาช่วยกันตามหาไง” ผมยกมือเกาหัวแล้วหลบสายตาด้วยความลำบากใจ เกือบจะเปลี่ยนใจไม่พูดออกไปแล้ว หากไม่โดนคนข้างกายดันหน้าให้หันกลับไปสบตากันเหมือนเดิมเสียก่อน

“เราต่างออกเดินทางเพื่อตามหาอะไรบางอย่าง” เขาเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนเมื่อผมเงียบไปนาน “เรามาช่วยกันตามหาได้ไหม ผมจะตามหาความหมายของคำว่าความสุข...ความสุขที่เป็นของตัวเอง”

“ส่วนฉันจะตามหาความหมายของชีวิต หาหนทางแก้ไขความรู้สึกแย่ๆ ที่เป็นอยู่” ผมเสริมต่อโดยไม่รู้ตัว ราวกับถูกดวงตาคู่นั้นดึงดูดให้หลงทางเข้าไปด้านในจนหาทางออกไม่เจอ

“คนขี้เกียจอย่างคุณไม่ทำหรอก”

“นี่!” บรรยากาศกำลังดีๆ อยู่แล้วเชียว ไอ้บ้านี่ดันเปลี่ยนมันให้กลับจากหน้ามือเป็นหลังตีนซะงั้น

“ถ้าเหนื่อยมาก...คุณจะอยู่เฉยๆ รอให้คำตอบเหล่านั้นมันวิ่งเข้ามาหาเองเหมือนเดิมก็ได้” ภามส่ายหน้าแล้วใช้นิ้วแข็งๆ ของตัวเองกดทับลงบนริมฝีปากของผมไม่ให้พูดอะไรต่อ ท่าทีที่ไม่เคยได้รับจากใครทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจและเบิกตากว้างโดยไม่รู้ตัว “ผมจะช่วยเอง”

“…”

“ผมจะช่วยพยายาม...ในส่วนที่คุณขาด”

“ฉัน…” ความร้อนที่แล่นเข้าสู่ร่างกายผ่านปลายนิ้วซึ่งกำลังสัมผัสริมฝีปากของผมอยู่ทำให้เลือดในกายสูบฉีดจนใจเต้นแรง ผมยกมือกุมอกแล้วบอกตัวเองว่าทุกสิ่งมันเกิดขึ้นเพราะอากาศร้อนๆ หนาวๆ ท้ายที่สุดเมื่อใจปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ถูกมอบให้ ร่างกายที่ยังพอควบคุมได้เลยพลิกตัวหมุนไปอีกทางเพื่อหลบเลี่ยงทุกสิ่ง “ฉันจะนอนแล้ว”

ไม่ดีเลย...ความรู้สึกแปลกๆ พวกนี้

“ฝันดี”

ผมเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้เผลอส่งเสียงตอบกลับไปว่าฝันดี เพราะหากพูดอะไรออกไปตอนนี้เขาต้องจับได้แน่ๆ ว่าเสียงของผมสั่นเทาอยู่ ถึงเวลานั้นคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

เวลาผ่านไปนานขนาดไหนก็ไม่รู้ แต่เมื่อผมพลิกตัวกลับไปดูด้านหลังเพราะนอนไม่หลับ ก็พบว่าภามหลับตานอนนิ่งไปก่อนแล้ว สายตาที่เคยชินกับความมืดและระยะที่ใกล้เกินจำเป็น เมื่อผนวกรวมเข้ากับแสงจันทร์จากด้านนอกที่ส่องผ่านมาทางหน้าต่าง มันทำให้ผมสามารถมองเห็นรายละเอียดบนใบหน้านั้นได้อย่างชัดเจน

ทั้งที่เวลาตื่นดูกวนตีนหน้าตายขนาดนั้น เวลานอนคนคนนี้กลับดูเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่ซุกซ่อนบางอย่างเอาไว้ในใจ

“เปล่านะ!” มือที่กำลังจะยื่นไปสัมผัสแก้มขาวๆ นั่นชะงักกึก ผมเผลอพูดแก้ตัวเมื่อเห็นเปลือกตาของอีกฝ่ายขยับขยุกขยิก คิดว่ายังไงก็ต้องตื่นมาเห็นว่าแก้มตัวเองกำลังจะถูกรุกรานแน่ แต่เปล่า...เขาแค่ทำหน้ายุ่ง ขยับตัวไปมาแล้วนิ่งไปเหมือนเดิม

ให้ตายเถอะ...ใจแทบหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

เมื่อแน่ใจแล้วว่านอนโดยหันมาทางนี้คงไม่ปลอดภัยแน่ ผมจึงหมุนตัวกลับไปนอนหันหน้าเข้าหากำแพงเหมือนเดิมแล้วนับแกะในใจ ยังไงคราวนี้ก็ต้องหลับให้ได้ หากสัมผัสแปลกประหลาดที่แนบชิดอยู่ที่ขากลับดึงเอาความง่วงที่เริ่มคืบคลานออกไปจนหมด

ยิ่งขยับมากเท่าไหร่...สัมผัสประหลาดก็ยิ่งแนบชิดตัวมากขึ้นเท่านั้น

ผมกลั้นหายใจก่อนจะพลิกตัวหันไปมองแล้วก็ได้พบความจริง...

“ภะ...ภาม...”

มันถีบผม!

นอกจากกวนตีนหน้าตายแล้วมึงยังนอนดิ้นหน้าตายอีกเหรอหา!!!


———————-




ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[5]==[P.2]== [01/06/61]
«ตอบ #49 เมื่อ01-06-2018 19:14:41 »

ตอนสุดท้ายนึกว่าจะกอดจากข้างหลังอะไรอย่างงี้ ทำไมน้องภามถึงทำกับเจไดแบบนี้ล่ะคะ555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[5]==[P.2]== [01/06/61]
« ตอบ #49 เมื่อ: 01-06-2018 19:14:41 »





ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[5]==[P.2]== [01/06/61]
«ตอบ #50 เมื่อ02-06-2018 03:43:53 »

ท่าทางไม่น่าเป็นคนนอนดิ้นเลยนะภาม  :hao3:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[5]==[P.2]== [01/06/61]
«ตอบ #51 เมื่อ02-06-2018 08:16:50 »

ภามแกทำอะไร 555555


คิดถึงช่วงตอนภามอยู่อังกฤษ ด้วยความไม่คุยกับคนแปลกหน้า เก็บตัวเงียบ จนเก้าเข้ามาภามเริ่มเปิดใจมากขึ้น เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แถมกวนตีนอีกต่างหาก5555 เจ้าเก้าสอนมาใช่ไหม? ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-06-2018 08:21:45 โดย Mura_saki »

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[5]==[P.2]== [01/06/61]
«ตอบ #52 เมื่อ02-06-2018 15:33:03 »

 :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ uyong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[5]==[P.2]== [01/06/61]
«ตอบ #53 เมื่อ02-06-2018 16:30:25 »

ตอนท้ายถือว่าพีคุ :m20: :laugh: :a5:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[5]==[P.2]== [01/06/61]
«ตอบ #54 เมื่อ02-06-2018 21:42:31 »

ลุกขึ้นไปกระชากเลย

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[5]==[P.2]== [01/06/61]
«ตอบ #55 เมื่อ10-06-2018 16:05:51 »

-6-


“หมอเจได ทำไมเดินแปลกๆ แบบนั้นล่ะจ๊ะ”

“พี่หมอเดินแปลกจริงๆ ด้วยแม่”

“อย่าไปแซวเขาสิเจ้าแตง”

ไม่ทันแล้วครับคุณน้า...คุณน้าเริ่มคนแรกเลย

“ไหวหรือเปล่า” คนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องหันมาถามผมด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ของตัวเอง เห็นแล้วอยากจะผลักให้ตูดกระแทกบันไดแล้วเตะซ้ำอีกที เผื่อจะเข้าใจว่าผมรู้สึกยังไง

เมื่อคืนไอ้คนนอนดิ้นมันเตะผมจนน่วมไปทั้งตัว ไอ้เรามันก็คนดี เห็นแก่ที่วันก่อนทำเขานอนไม่หลับเลยพยายามอดทน ทนไปทนมามันดันมาถีบตูดผม! ทั้งยังถีบซ้ำจุดเดิมที่เพิ่งกระแทกพื้นจนบอบช้ำมา ผมต้องนอนกัดผ้าห่มร้องไห้กระซิกๆ อยู่คนเดียวเกือบชั่วโมง ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้นะว่ามันทรมานขนาดไหน

“ไม่ไหว” เดินลงบันไดแล้วน้ำตาจะไหล ผมเบะปากแล้วหันไปเกาะภามแน่นเพราะไม่อยากเดินต่อแล้ว “เกิดเป็นคนใจเสาะมันลำบากชะมัด”

“ว่าตัวเองก็ได้ด้วย”

“ฉันแค่ยอมรับความจริง” ตอแหลไปนั่น...ที่กล้ายอมรับเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายรู้อยู่แล้วต่างหาก

“จะกินข้างบนหรือเปล่า ผมจะไปเอาข้าวมาให้”

“ลงไปเลยดีกว่า เดี๋ยวยังไงก็ต้องลงอยู่ดี”

“แล้วจะลงยังไง จะบอกให้ทนเดินลงไปคุณก็คงไม่ทำ” ภามเอียงหัวเหมือนจะสงสัย ก่อนสายตาจะเบนไปมองมือผมที่เกาะแขนเขาไว้อยู่

“พาลงไปหน่อย”

“พาลงไป?”

“ขี่หลังไง” ผมขมวดคิ้วตอบแล้วอ้าแขนออกกว้างเป็นการย้ำ คล้ายวูบหนึ่งมองเห็นสีหน้าเหนื่อยหน่ายของคนตรงหน้า หากไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็แค่ถอนหายใจแล้วขยับเข้ามาใกล้โดยไม่ได้หันหลังให้ผมขี่แบบที่คิด

“นี่ถ้าคุณเจ็บเท้าผมคงต้องอุ้มเดินไปไหนมาไหนทั้งวันเลยใช่ไหม” เสียงโมโนโทนดังขึ้นเหมือนจะบ่น และในทันทีที่พูดจบร่างสูงของคนแรงเยอะก็ย่อตัวลงช้อนตัวผมขึ้นอุ้มอย่างรวดเร็วจนไม่มีเวลาให้ตั้งตัว

ผมแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอุ้มลงมาจากบันไดแล้วปล่อยลงพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะตอนที่ได้สติก็เห็นแผ่นหลังกว้างเดินนำไปนั่งลงบนแคร่ไม้ร่วมกับน้าต้อยและเด็กๆ ที่กำลังหัวเราะคิกคักอยู่ก่อนแล้ว

เดี๋ยวนะ...

ภามอุ้มผม..อุ้ม!?

เออ...อุ้มตัวลอยเลยด้วย!!

ศักดิ์ศรีของกูอยู่ไหน หรือหายไปตั้งแต่เปิดตูดโชว์มันแล้ว ทำไมเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ ถึงได้ประดังประเดเข้ามานักวะเนี่ย

“พี่หมอๆ มากินข้าวเร็ว”

ผมกระแอมแล้วยิ้มจางให้เจ้าแตงที่หันมาเรียกโดยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ยามเดินไปนั่งลงข้างภามก็ยังนิ่งเหมือนลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่เขาทำอะไรไว้

“คู่รักคู่นี้น่ารักจริงๆ เลย” น้าต้อยหัวเราะคิกคักแล้วตักกับข้าวให้ผมยกใหญ่ เดี๋ยวๆ น้าเข้าใจผิดไปไกลแล้วครับ ผมยิ้มแห้งแล้วหันไปหา ตั้งใจจะแก้ไขความเข้าใจผิดก่อนจะเลยเถิดไปไกล

“ผมกับภามเราไม่…”

“ไม่ต้องปิดบังหรอกจ้ะ น้าเข้าใจ”

“แต่ผม...”

“ทานเยอะๆ นะจ๊ะ”

พอตั้งท่าจะอ้าปากอธิบายน้าแกก็พูดแทรกขึ้นมาทุกทีไป ผมถอนหายใจแล้วเหลือบตาไปมองคนด้านข้างที่ไม่คิดจะช่วยแก้ต่างเลยสักนิด ดี...อยากให้เขาเข้าใจผิดก็เชิญ ช่างมัน ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว

“นายว่าคุณน้าเขาแกล้งหรือเขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” ผมแอบกระซิบถามภามระหว่างที่น้าต้อยหันไปคุยกับลูกตัวเอง งงเหมือนกันที่เห็นน้าแกไม่ฟังอะไรเลย หรือว่าน้าต้อยจะเป็นคนประเภทที่เห็นผู้ชายเป็นแฟนกันแล้วมันฟินแบบที่เพื่อนสมัยเรียนของผมเป็น

“ปล่อยให้เขาคิดไปเถอะ” คนไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับอะไรสักอย่างตอบกลับเนือยๆ ทั้งยังชักชวนเปลี่ยนเรื่องด้วยการยื่นกับข้าวในจานมาให้ดู “อันนี้อะไร”

“กินเข้าไปแล้วเหรอ” ผมแสร้งทำหน้านิ่งทั้งที่ในใจเหยียดยิ้มสมใจ ในที่สุดก็หาโอกาสแกล้งคืนได้

“รสแปลกๆ”

“นายคงไม่ชิน มันเป็นเนื้องู” หน้าตามึนๆ ของผมคงดูน่าเชื่อถือไม่น้อย เพราะแม้คนฟังจะไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า แต่อาการแข็งค้างไปทั้งตัวนั่นก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่พูดไปได้ผลเพียงใด “ชาวบ้านบนเกาะเขากินแบบนี้กันเป็นปกติแหละ”

“…”

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า...อุบ!” ผมแทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเมื่อได้ยื่นหน้าไปมองคนหน้าตายชัดๆ “หน้า...หน้านายเขียวว่ะ ฮ่าๆ”

สุดท้ายได้แต่ระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยการขำจนตัวงอ ภามคงรู้แล้วว่าตัวเองโดนหลอก ใบหน้าราบเรียบที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวจนดูน่าขันถึงได้เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยจนกลายเป็นปกติ ดวงตาว่างเปล่าจ้องผมนิ่งโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่ผมกลับอ่านออกว่าเขากำลังด่าอยู่ในใจ

“เห็นแก่ที่คุณขำ” เขาพูดแบบนั้นแล้วตักข้าวกินต่อ แต่กลายเป็นผมเองที่ต้องงุนงงเพราะไม่เข้าใจว่าจะสื่ออะไร

“ฉันขำแล้วทำไม”

“เห็นปกติชอบทำหน้าเหมือนโลกจะแตก ถึงจะดูเหมือนบ่นอะไรอยู่ในใจตลอดเวลาก็เถอะ”

อารมณ์ดีๆ ที่ได้แกล้งคืนกลายเป็นถูกดูดหายไปจนหมดเมื่อพบว่าคนคนนี้มองผมออกจนทะลุจริงๆ อาจเพราะสะสมความเบื่อหน่ายมานานจนเกินไปเลย หน้าตาเบื่อโลกนี่เลยช่วยปกปิดอะไรในใจไว้ได้มากพอสมควร และถึงจะไม่อยากยอมรับก็คงต้องยอมรับ...ว่าจริงๆ แล้วผมไม่เคยบ่นอะไรในใจมากมายมาก่อนจนได้เจอภามเนี่ยแหละ ปกติภายนอกเฉื่อยชายังไงภายในก็เป็นแบบนั้น แต่พอเจอคนบ้าหน้าปลาตาย กลายเป็นต้องเก็บความหัวร้อนไว้ในใจและพยายามไม่เผยมันออกมาแทน

“ก็ดีกว่านายที่เอาแต่ทำหน้าเป็นปลาตายแล้วกัน” ผมหันไปแขวะหนึ่งที ในเมื่อรู้ทันหมดแล้วก็ช่างหัวมันแล้วกัน จะปล่อยอารมณ์ใส่ให้ยับเลยคอยดู

“ปลาตาย...หน้ายังไง” ภามหันหน้ามาถามแบบงงๆ

ลืมสนิทเลยว่าผมเรียกเขาแบบนั้นแค่ในใจ ไม่เคยพูดออกไปให้ได้ยิน

“ก็ปลาตายไง ไม่เคยเห็นเหรอ”

“แล้วมันหน้ายังไง”

“ไม่เคยวาดรูปปลาตายตอนเด็กๆ หรือไง” ผมมองภามกลับด้วยแววตางุนงงยิ่งกว่า “นี่นายเติบโตมายังไงถึงไม่เคยวาดรูปปลาตาย”

“…”

“มองงั้นคืออะไร”

“ไม่เข้าใจว่าคุณเป็นหมอได้ยังไง” เขาถามด้วยหน้าตานิ่งๆ ที่ผมรู้สึกว่ามันกวนตีนจนอยากจะต่อยให้หน้าหงาย ติดตรงที่สู้ไม่ได้เลยทำได้เพียงขมวดคิ้วมุ่นอย่างเดียว “บอกแล้วว่าปัญญาอ่อน”

“ที่พูดมาคือรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่ามันเป็นคำด่า”

“รู้”

“หมายความว่าตั้งใจด่าฉันเหรอ”

“ใช่”

“ทนไม่ไหวแล้ว ขอบีบคอทีเหอะวะ!” ผมวางจานข้าวแล้วพุ่งเข้าหาภามท่ามกลางเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของน้าต้อยกับเสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่คิดว่าเรากำลังเล่นกัน ลำคอขาวๆ ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายถูกมือผมกอบกุมไว้แล้ว แต่เพราะไอ้บ้าภามมันแรงเยอะแถมยังตั้งสติได้เร็วจนน่ากลัว แค่สามวินาทีผมก็ถูกพลิกตัวลงนอนอยู่บนแคร่ไม้โดยมีอีกฝ่ายคร่อมอยู่ด้านบน

“จะทำร้ายผม คิดดีแล้วใช่ไหม”

“ทำไม...” จากที่กำลังจะถามกลับกลายเป็นเริ่มหน้าซีดเมื่อนึกได้ว่าคนตรงหน้ามันรู้ความลับของผมแล้วนี่หว่า “เดี๋ยว...คุยกันดีๆ ก่อน”

ไอ้หน้าปลาตายส่งเสียงหึออกมาจากลำคอเบาๆ เหมือนจะอารมณ์ดีที่เห็นผมทำหน้าตาหวาดกลัว แต่กลับไม่คิดผละออกหรือหันไปสนใจคนรอบด้านที่จงใจเงียบโดยเจตนาเลยสักนิด

อาการแบบนี้มัน...มันกำลังจะเอาคืนผมแน่ๆ!

“อย่านะภะ...!”

“ตายแล้ว!” น้าต้อยอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก แต่ผมไม่มีอารมณ์หันไปสนใจ เมื่อความเจ็บปวดแล่นพล่านจากส่วนล่างลามขึ้นมายังส่วนบนได้อย่างรวดเร็ว

เจ็บ...เจ็บจนจะร้องไห้ แต่กลัวเสียมาดเพราะมีคนอื่นอยู่ด้วย

“ถ้าคุณร้องไห้ผมจะปลอบเอง”

แล้วมึงจะทำให้กูร้องไห้ทำไมล่ะโว้ยยยยย

ผมคิดว่าหน้าตัวเองในเวลานี้คงบิดเบี้ยวเต็มทน ปากสั่นหน้าชาไปหมดแล้วเพราะต้องอดทนฝืนกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้

“ปะ...ปล่อย”

“ไม่ร้องเหรอ” ภามเอียงหัวคล้ายจะสงสัย แต่ยังไม่ปล่อยมือที่กำลังทำร้ายผมอยู่ออก

“ปล่อย...” ผมเบะปาก ใกล้ร้องไห้เต็มทน “ปล่อยตูดกูเถอะ”

คือกูเจ็บจนจะพูดไม่ออกอยู่แล้วนะ...



บาดแผลแห่งความอัปยศอดสูยังคงตามติดผมเป็นเงาตามตัว ถึงอย่างนั้นเมื่อต้องออกไปดูที่ปลูกบ้านซึ่งลุงเหมหาไว้ให้ ผมก็ยังลุกขึ้นอย่างง่ายดายโดยไม่อิดออด แม้จะมีสายตาแปลกๆ ของน้าต้อยมองตามหลังอยู่ตลอดก็ไม่คิดสนใจ ดูท่าเหตุการณ์ตอนกินข้าวคงฝังลึกลงในความทรงจำของน้าเรียบร้อยแล้ว เวลามองผมกับภามอยู่ด้วยกันถึงได้หัวเราะคิกคักทุกที

บรรยากาศระหว่างผมกับภามยังคงเงียบสงบ ไม่มีพายุอารมณ์โหมใส่กันแบบที่คิด ฝั่งเขาคงไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แต่ผมที่เป็นผู้ถูกกระทำขอยอมรับตามตรงว่า...กลัว กลัวมันจะนึกคึกมาจับตูดให้ปวดเล่นอีกรอบเนี่ยแหละ!

ผมให้ภามอุ้มขึ้นลงบันไดบ้านโดยไม่มีทีท่าเขินอายอะไรอีก มันกลายเป็นความเคยชินเมื่อไม่อาจปฏิเสธความช่วยเหลือ ให้เลือกระหว่างเสียศักดิ์ศรีโดนผู้ชายอุ้ม กับทนปวดตูดแล้วเดินขึ้นลงเอง บอกเลยว่าความใจเสาะของผมมันเกินระดับไปไกล ดังนั้นต้องเลือกข้อแรกอยู่แล้ว

“ลุงให้คนช่วยเอาพวกอุปกรณ์ที่มีมาวางกองให้แล้ว อยากจะทำอะไรก็ตามใจพวกเอ็งเลย” ลุงเหมพยักพเยิดไปทางกองไม้ที่วางสุมกันอยู่ด้านข้าง นอกจากนั้นยังมีพวกบันได ตะปู และอื่นๆ อีกมากมาย เห็นแล้วผมปวดหัวจนอยากจะล้มลงไปนอนกับพื้นให้รู้แล้วรู้รอด แต่เหมือนคนที่ยืนอยู่ด้านข้างจะรู้ทันถึงได้คว้าแขนกันไว้แน่น

“แล้วทีนี้จะเอายังไง” ผมเริ่มเอ่ยปากถามตัวต้นเรื่องหลังจากที่ลุงเหมเดินจากไปแล้วและเหลือเพียงเราสองคน

“ลงมือทำสิ”

“พูดง่ายเชียว เอาเถอะ...จะให้ทำอะไรก็บอกแล้วกัน” ไม้ใหญ่ๆ แผ่นหนึ่งถูกวางแนบลงกับพื้นก่อนผมจะขึ้นไปนั่งเท้าคางมองภามอยู่บนนั้น แม้จะบอกว่ามาสร้างบ้านแต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมทิ้งกล้องไว้ที่ห้อง ดันทุรังถือมาที่นี่โดยไม่มีที่ให้วาง แล้วสุดท้ายต้องวางไว้ไหนล่ะ

“ฝากหน่อย”

ตอบ...บนหัวผมนี่ไง

ผมหยิบกล้องที่ถูกหย่อนลงบนหัวตัวเองลงมาวางไว้ที่ตักอย่างระมัดระวัง กลัวเหลือเกินว่าจะเผลอทำตกจนเจ้าของมันมาแหกอกเข้า เมื่อหาที่วางให้ของราคาแพงเรียบร้อยแล้วผมเลยเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังยืนมองข้าวของอย่างพิจารณาอีกครั้ง

จุดที่ลุงเหมให้พวกเรามาสร้างบ้าน จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นพื้นที่เปล่าๆ โล่งๆ แต่เป็นเหมือนบ้านที่กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างแล้วถูกทิ้งไว้กลางคัน มีการขึ้นโครงต่างๆ ด้วยไม้เรียบร้อยแล้ว ทั้งยังมีการต่อท่อน้ำปะปาไว้แล้วด้วย เห็นลุงแกบอกว่าเคยมีคนบนเกาะจะแยกตัวออกมาสร้างครอบครัว เลยกะจะทำบ้านขึ้นมาใหม่ แต่พอเมียหนีไปบ้านหลังนี้เลยถูกทิ้งจนมีสภาพอย่างที่เห็น

“ผมจะทำกระท่อม คุณโอเคใช่ไหม” ภามที่ยืนเงียบอยู่นานหันหน้ามาถาม

“รู้จักคำว่ากระท่อมด้วยเหรอ” ผมแกล้งทำตาโตใส่ ก่อนจะโคลงหัวไปมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นเขาแอบถอนหายใจ “แบบไหนก็ได้ ทำไปเถอะ”

หลังจากนั่งมองอยู่นานสองนาน ผมพบว่าภามเป็นลูกคุณหนูที่ติดดินเอามากๆ เขาใช้เวลามองและตรวจสอบโครงสร้างเก่าอยู่เพียงครู่เดียวก็สามารถเริ่มงานได้ทันที กางเกงราคาแพงที่ใส่อยู่เลอะเทอะไปหมดยามเมื่อเจ้าตัวนั่งลงบนดินเพื่อต่อไม้โดยไม่กลัวเลอะ ส่วนเสื้อเหรอ...

แขวนอยู่บนหัวผมนี่ไง

เพราะงั้นถึงบอกว่าเขาติดดินมากๆ นอกจากจะทำทุกอย่างได้อย่างคล่องแคล่วแล้วยังถอดเสื้ออวดหุ่นที่ผมนึกอิจฉาให้ดูเล่นอีกต่างหาก โชคดีที่แถวนี้มีต้นไม้เยอะเลยบังแดดไปได้หลายส่วน ไม่งั้นผิวขาวๆ นั่นคงไหม้แน่ๆ

กล้องถ่ายรูปที่อยู่ในมือแลดูจะเป็นสิ่งเดียวที่มีประโยชน์ต่อผมในเวลานี้ เป็นเพราะภามไม่ได้เรียกให้เข้าไปช่วยเสียทีผมเลยไม่รู้ว่าต้องทำอะไร ครั้นจะอาสาไปช่วยเองก็โดนมองแบบกดดันเป็นเชิงบอกให้นั่งเฝ้ากล้องเขาไว้ดีๆ อีก แบบนี้จะกล้าเสนอหน้าไปถ่วงได้ยังไง

“ภาม เงยหน้าหน่อย” ผมร้องเรียกคนที่กำลังตั้งใจทำงาน ขณะที่สายตาจับจ้องเขาผ่านทางหลังกล้องราคาแพง เพียงครู่เดียวคนตรงหน้าก็เงยหน้ามองแล้วหันมาหา

แชะ!

“ทำไมทีเผลอยังดูดีได้อีกวะ” ด่าคนในภาพแล้วตั้งท่าจะกดลบรูปด้วยความหมั่นไส้ แต่ความดูดีมันดันแยงตาจนกดไม่ลง สุดท้ายได้แต่ร้องจิ๊จ๊ะในลำคออย่างขัดใจแล้วปรับกลับไปหน้าถ่ายรูปเหมือนเดิม

“บ่นอะไร” ไอ้คนดูดีผิดมนุษย์หันมาถามผมโดยไม่ได้ว่าอะไรเรื่องที่เอากล้องมาเล่น

“ไม่มีอะไร” ว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตาลงดูรูปต่อ ภามคงขี้เกียจคุยกับผมเหมือนกัน เขาถึงไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาอีก แต่ยังมีเสียงตอกตะปูดังขึ้นเป็นระยะ แสดงให้เห็นว่าเขาหันกลับไปให้ความสนใจกับการสร้างบ้านแล้ว

จากที่เคยคิดว่าจะแค่แกล้งก้มลงมองภาพเพื่อตัดบท กลับกลายเป็นผมดันไปสนใจรูปถ่ายในกล้องเข้าจริงๆ เสียอย่างนั้น ทั้งแสง สี องค์ประกอบของภาพ ขนาดคนไม่เล่นกล้องอย่างผมยังรู้เลยว่ามันสวยงามขนาดไหน แต่เมื่อได้ไล่กลับไปดูรูปเก่าๆ ผมกลับต้องขมวดคิ้วมุ่น เมื่อพบว่ามันไม่มีภาพคนอยู่เลยแม้แต่ภาพเดียว อย่างมากก็แค่รูปวิวที่มีฝูงชนจำนวนมากติดอยู่เท่านั้น ดูท่าเรื่องที่เคยบอกว่าผมเป็นคนแรกที่เขาถ่ายโดยตั้งใจคงจะเป็นเรื่องจริง

เหอะ...ไม่เห็นมีอะไรน่าดีใจ

“เอาเสื้อผมคลุมกล้องไว้แล้วมาช่วยกันหน่อย”

ในที่สุดก็ร้องขอความช่วยเหลือเสียที ผมทำตามที่ภามบอกแล้วลุกขึ้นบิดขี้เกียจหลังนั่งมานานจนเมื่อยไปหมด ใจจริงนึกอยากถอดเสื้อออกอยู่เหมือนกัน เวลายกแขนหรือทำอะไรมันจะได้สะดวก แต่พอมองสภาพตัวเองแล้ว...ไม่มีทางที่ผมจะเหงื่อโซกแล้วดูดีแบบมันแน่ๆ เพราะงั้นใส่เสื้อเนี่ยแหละดีแล้ว

“ถือไหวหรือเปล่า” ภามส่งไม้แผ่นใหญ่ที่ต่อเรียบร้อยแล้วมาให้ แต่ก็ยังไม่วายรั้งมือไว้เหมือนกลัวว่าผมจะถือไม่ไหว

“ไหวดิ”

“งั้นถือไว้ดีๆ เดี๋ยวผมบอกแล้วส่งมา”

“ครับ เจ้านาย” ผมแอบตัวเซเมื่อภามปล่อยมือแล้วส่งไม้แผ่นใหญ่มาให้ถือคนเดียว เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงถามก่อนว่าไหวหรือเปล่า หนักฉิบหาย

“หึ”

“บอกว่าไหวไง”

“ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ”

“ก็หน้าตานายมันบอกว่ากำลังดูถูกกันอยู่ชัดๆ” อีกอย่างคือเสียงหัวเราะในลำคอนั่น ไม่ได้หูหนวกเถอะ

“ทำตัวเป็นแมวไปได้” ภามหยุดมือที่กำลังทำงานแล้วหันมาส่ายหน้าหน่ายใส่ผม “พยายามทำตัวให้ดูน่ากลัว แต่ทำยังไงก็ไม่น่ากลัว”

“อย่าเอาฉันไปเปรียบเทียบกับแมวนะ เดี๋ยวโดน” ผมขมวดคิ้วขู่ ลองทำหน้าเท่ๆ ให้ดูน่ากลัวแบบที่เคยทำเมื่อก่อน แต่เหมือนจะไม่ได้ผล เพราะโดนมองกลับแบบเหยียดหยามหนักมากจนอยากเอาหัวโขกกำแพงตาย

“แรงยกไม้ยังไม่มี จะทำอะไรผมได้” ภามถามด้วยน้ำเสียงติดจะท้าทายและดูถูก ทำเอาคนโดนสบประมาทอย่างผมต้องเถียงกลับหน้าตั้งทั้งที่ไม่รู้หรอกว่ายกไหวหรือเปล่า

“ใครไม่มีแรงยกวะ”

“งั้นยกสิ”

“แป๊บดิ”

ทำไมไอ้ไม้บ้านี่มันหนักจังวะ

“…รออยู่”

“…”

ผมกัดริมฝีปากอย่างอดทน ขณะที่พยายามเรียกแรงทั้งหมดของร่างกายมาใช้เพื่อยกไม้แผ่นใหญ่ขึ้น แต่เหมือนผมจะดูถูกความอ่อนแอของตัวเองมากเกินไปนิด จากที่คิดว่าจะยกไปวางพาดบนโครงให้ถึงที่ กลับกลายเป็นเกือบจะล้มตอนยกถึงเอวจนภามต้องเข้ามาช่วยเอาออกไป

“ผมจะไม่พูดอะไร” เขาพูดแค่นั้นแล้วหันหน้ากลับไป แต่ผมสาบานได้ว่าเห็นมุมปากมันยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหยียด ถึงจะนิดเดียวก็เถอะ

“นั่นนายยิ้มเหรอ!”

“ผม?” ภามกะพริบตา ดูเหมือนเขาจะงุนงงอยู่พอสมควรแม้สีหน้าจะไม่เปลี่ยน ผ่านไปสักพักถึงได้ยกปลายนิ้วขึ้นแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเบาๆ เหมือนจะถามผมซ้ำว่าเมื่อกี้เขายิ้มเหรอ

“เมื่อกี้นายยิ้มจริงๆ” ผมพยักหน้ายืนยัน

“ผม...เพิ่งเคยยิ้มโดยที่ไม่รู้ตัว”

“ตลกดีเหมือนกัน จะยิ้มจากใจทั้งทีดันยิ้มแบบไม่มีเหตุผล” จู่ๆ นึกอยากยิ้มก็ยิ้มออกมาซะงั้น ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้เลยนะ “ฉันคิดว่านายต้องเจอคนที่ถูกใจสักคนถึงจะยอมแสดงอารมณ์อะไรสักอย่างออกมาเสียอีก”

“ยิ้มไม่มีิเหตุผล...คนที่ถูกใจ”

“เอาเป็นว่ายิ้มได้แล้วก็ยิ้มบ่อยๆ ละกัน เผื่อฉันจะยอมเลิกเรียกนายว่าไอ้หน้าปลาตายในใจ” ผมหัวเราะอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปช่วยยกไอ้ไม้หนักๆ ที่ภามถือไว้ขึ้น ตั้งใจจะช่วยเอาไปวางแนบกับโครงบ้าน “ทำงานๆ”

“…”

“ภาม…” เพราะลำพังแค่แรงตัวเองคงไม่อาจยกมันขึ้นได้ ผมเลยจำเป็นต้องหันไปหาคนด้านข้างที่ยังยื่นนิ่งไม่ขยับ ทั้งยังมองหน้ากันนิ่งค้างเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง “นายมองหน้าฉันทำไม”

เขายังคงเงียบไม่ตอบ ผมเลยลองเอียงหัวไปมา ปรากฎว่าดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นเบนสายตาตามเหมือนกับว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรที่เกี่ยวข้องกับผมอยู่ และแม้เจไดคนนี้จะเป็นคนไม่แคร์โลกเพียงใด แต่พอโดนจ้องกันมากๆ เข้ามันคงไม่แปลกหากผมจะรู้สึกประหม่าจนเผลอหลบสายตา

“แบบนี้นี่เอง” ภามพูดขึ้นมาลอยๆ แล้วละสายตาออก หันกลับไปช่วยผมยกไม้เหมือนเดิม

“อะไรของนาย”

ความเงียบครอบคลุมไปทั่วบริเวณอีกครั้งเมื่อภามไม่ยอมพูดอะไรเพื่อไขข้อข้องใจให้ผมเลย ผมลองถามอีกรอบสองรอบ เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาไม่ตอบแน่ๆ เลยยอมแพ้แล้วหันไปช่วยงานเหมือนเดิม ใจคิดแค่ว่าช่างมันเถอะ

“เดี๋ยวผมทำเอง คุณลองไปดูว่าพอจะทำอะไรอย่างอื่นได้บ้าง”

นั่นมันไล่กันชัดๆ...

ดูเหมือนภามจะเล็งเห็นถึงความไร้ประโยชน์ของผมแล้ว เขาถึงได้ไล่ให้ไปทำอย่างอื่น ผมหมุนตัวเดินไปนั่งลงบนไม้ที่เดิม พร้อมกับเอากล้องและเสื้อของเจ้าตัวมาถือไว้แบบตอนแรก แต่มองไปมองมาก็ยังหาไม่เจอว่ามีอะไรที่พอจะทำได้บ้าง หลังนั่งโง่อยู่นานผมเลยตัดสินใจลุกขึ้นยืนในที่สุด

“เดี๋ยวมาแป๊บนะ”

“อา”

ผมรีบเดินตรงไปในทิศทางที่คิดไว้โดยไม่ลืมถือเสื้อกับกล้องสุดที่รักของภามติดมาด้วย จุดที่ภามสร้างบ้านอยู่เป็นจุดที่อยู่ห่างไกลจากตัวบ้านของคนอื่นๆ พอสมควร แต่ก็ไม่ได้มากมายถึงขนาดต้องเดินจนเหนื่อย ใช้เวลาไม่นานนักผมก็กลับมาถึงบ้านน้าต้อย เวลานี้คนอื่นๆ น่าจะไปรวมกันอยู่ที่หาด เห็นน้าแกบอกว่าต้องไปช่วยคัดปลา แตงกับตาลคงตามติดไปด้วย ตัวบ้านถึงได้เงียบขนาดนี้

“อยู่ไหนวะ” กระเป๋าเดินทางใบกลางที่พกพาสะดวกกลายเป็นอุปสรรคเมื่อผมคุ้ยหาของที่ต้องการไม่เจอเสียที ถึงตอนจัดกระเป๋าจะไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก นึกถึงอะไรก็จับยัดลงมา แต่ผมมั่นใจว่าสิ่งที่กำลังหาอยู่ต้องเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่พกมาด้วยแน่นอน

อยู่ก้นกระเป๋าจริงๆ ด้วย...

หลังจากหยิบของทุกอย่างจนครบ ผมก็รีบเดินกลับไปหาภามในทันที ปรากฎว่าเขานั่งพักอยู่ก่อนแล้ว ดูเหมือนกำลังเหม่อมองผลงานตัวเองอย่างตั้งใจ ถึงระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงยังไม่อาจทำให้กระท่อมที่เขาบอกเสร็จสมบูรณ์ได้ แต่ก็มองดูเป็นรูปเป็นร่างมากกว่าเดิมพอสมควร

“หันมาดิ” ผมจัดเตรียมอุปกรณ์ ก่อนจะส่งเสียงเรียกให้คนที่กำลังเหม่อหันมาหา พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาขมวดคิ้วไม่เข้าใจเลยพูดซ้ำไปอีกรอบ “หันมาตรงๆ”

ภามไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็ยอมหมุนตัวมาหา เขาก้มลงมองอุปกรณ์ในมือผมอย่างพิจารณา และในวินาทีถัดมา คล้ายดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นจะเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เมื่อผมเอาผ้าชุบน้ำในมือแตะลงบนโหนกแก้มของเขา

“ทำอะไร” ฝ่ามือหยาบกร้านแข็งแรงกำข้อมือผมไว้แน่นจนเผลอนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมภามถึงทำสีหน้าสับสนออกมาแบบนั้น แต่ก็เลือกที่จะตอบกลับไปตามตรง

“เช็ดหน้าให้นายไง”

“…”

“ปล่อยมือก่อนได้ไหม ฉันเจ็บ อีกนิดเดียวจะร้องไห้แล้วเนี่ย”

เขาปล่อยมือผมราวกับต้องของร้อน คล้ายจะแสดงอาการตกใจและรู้สึกผิดออกมาอยู่ในที

“ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“อย่าคิดมากเลย” ผมโบกมือไปมา “ฉันเป็นพวกใจเสาะ ลืมแล้วเหรอ ถ้าเป็นคนทั่วไปโดนจับแค่นั้นไม่เจ็บหรอก”

“แต่คุณเจ็บ”

“หยุดเถียงแล้วนั่งนิ่งๆ” ขืนยังปล่อยให้พูดต่ออีกคงโต้กันไปมาจนกว่าจะมีใครยอมแพ้ ผมกลับไปตั้งสมาธิอยู่กับการเช็ดหน้าเช็ดตาให้คนที่เหงื่อท่วมตัวแทน ถึงจะรู้สึกแปลกๆ อยู่นิดหน่อยเมื่อโดนจ้องหน้าตาไม่กะพริบ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“คุณ...กลับไปเอาผ้ากับขันน้ำมาเช็ดหน้าให้ผมเหรอ”

“ใช่” ผมตอบตามตรง “นายบอกให้ฉันหาอะไรทำ แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องทำอะไร เลยเลือกทำในสิ่งที่ทำได้ นี่ก็เหมือนเช็ดตัวให้คนไข้ที่เป็นเด็กเลยเนี่ย...อ๊ะ!”

“…”

“นายยิ้มอีกแล้ว!” ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกโยนลงขันน้ำอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผมเบิกตามองใบหน้าของคนแอบยิ้มที่กลับไปทำหน้าตายเหมือนเดิมแล้วอย่างตกใจ “วันนี้นายยิ้มสองรอบแล้วนะเนี่ย เหลือเชื่อ”

“เช็ดตัวให้ด้วยสิ” ภามเปลี่ยนสีหน้าได้ไวยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสี เขาทำราวกับเมื่อครู่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ผมว่าครั้งนี้เขาต้องรู้ตัวแน่ๆ เลยว่าเผลอยิ้มออกมา ถึงได้ทำเป็นเปลี่ยนเรื่องแบบนี้

“เห็นแก่ที่นายเหนื่อยทำบ้านของเราหรอกนะ” ผมพูดพึมพำแล้วบิดผ้าอีกฝืนขึ้นมาเช็ดตัวให้เขาต่อ แม้จะมีเบะปากบ้างตอนที่ลากมือผ่านหน้าท้องเป็นลอนน่าอิจฉา แต่การเช็ดตัวก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่น จวบจนเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ผมถึงได้พบว่าคนที่นั่งนิ่งให้เช็ดตัวกำลังมองมาก่อนแล้วด้วยแววตาที่ดู...ไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนทุกที

ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ผมบอกตัวเองว่าเป็นเพราะตื่นเต้นที่ได้เห็นเขาแสดงอารมณ์ หากความรู้สึกลึกๆ กลับบอกว่าไม่ใช่

“คุณพูดว่า...บ้านของเรา”

“ก็ต้องบ้านของเราดิ” ผมเก็บความรู้สึกแปลกๆ ในใจลงไปแล้วตอบเขา “ฉันกับนายจะอยู่ที่นี่ด้วยกัน มันก็ต้องเป็นบ้านของเรา...หรือนายคิดจะฮุบบ้านไว้คนเดียว”

“เปล่า” ดวงตาคู่นั้นทอประกายเจิดจ้า “บ้านของเรา... ถูกแล้ว”

อะไรของมันวะ

ผมกะพริบตาเมื่อไม่แน่ใจนักว่าแสงอาทิตย์มันส่องลงมาพอดีจนสะท้อนเข้าไปในดวงตาคู่นั้นหรืออะไร แต่เพียงแค่เอียงหัวไปบังแสง แววตาของเขาก็กลับไปดูว่างเปล่าเหมือนเดิมแล้ว

มีแค่ความรู้สึก...ที่บอกให้รู้ว่าคนตรงหน้าผมดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“คุณแค่จะเช็ดตัวซับเหงื่อให้ผม หรือจะถูหาหวยกันแน่”

ที่คิดเมื่อกี้ ลืมๆ มันไปเถอะนะ

“เห็นหนังหนาๆ คิดว่าต้องออกแรงเยอะๆ” ผมตอบกลับแล้วเอาผ้าหย่อนลงขันน้ำ “เสร็จแล้ว”

“คิดว่าจะได้เลขก่อนเสร็จ”

“สามห้าแปด สามตัวตรงแน่นอน...เดี๋ยวนะ นายรู้จักหวยด้วยเหรอ” จากที่ไม่ได้เอะใจอะไรกลายเป็นผมเริ่มกวาดตามองภามอย่างพิจารณา ไหนบอกไม่ถนัดภาษาไทยไง ทำไมมันรู้เยอะนัก

“เก้าเล่น”

โอเค...งั้นเข้าใจละ

“อย่าไปเชื่อถืออะไรมันนักเลย ไอ้เก้าน่ะ” ผมเตือนด้วยความหวังดีอย่างอดไม่ได้ “ปวดหัวเปล่าๆ"

“ถ้าไม่ให้เชื่อเก้า แล้วผมเชื่อคุณแทนได้หรือเปล่า”

“ฉันก็ต้องน่าเชื่อถือกว่ามันอยู่แล้ว”

บอกเลยว่าผมพูดจาน่าเชื่อถือกว่ามันหลายเท่า อย่างน้อยก็ไม่เคยไปหลอกใครให้มาติดเกาะแน่ๆ

“ถ้าอย่างนั้น...ต่อไปผมจะเชื่อคุณ”

“เชื่อฉันไม่มีผิดหวังอยู่แล้ว”

“งั้นเหรอ...” ภามเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่มุมปากออกมาให้ผมเห็นจังๆ โดยไม่ปิดบัง

ผมกะพริบตาปริบๆ เมื่อโดนโจมตีอย่างหนักจนตาแทบพร่า แม้ยามนี้รอยยิ้มหายากบนใบหน้าปลาตายจะค่อยๆ จางหายไปแล้ว หากมันกลับยังส่งผลกระทบต่อเป็นระลอกคลื่น ผมหลุบตาลงต่ำโดยไร้เหตุผล แล้วทำใจกล้ายื่นมือไปตบไหล่กว้างของเขาดังแปะๆ

“แน่นอนดิ ไปทำงานต่อได้แล้ว”

“ผมจะเชื่อคุณ”

.

.

เอ่อ...

นี่กูกับมึงคุยเรื่องเดียวกันอยู่แน่นะ


———————


ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[6]==[P.2]== [10/06/61]
«ตอบ #56 เมื่อ10-06-2018 16:35:52 »

น้องภามแอคแทคแรงมากค่ะ คุณหมอจะทนไหวหรอคะเนี่ย เขินแทน :hao7:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[6]==[P.2]== [10/06/61]
«ตอบ #57 เมื่อ10-06-2018 18:09:28 »

358  จดๆ  :katai4:

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[6]==[P.2]== [10/06/61]
«ตอบ #58 เมื่อ10-06-2018 18:22:52 »

อยู่ๆเราก็คิดขึ้นมาว่าเจไดกลัวเจ็บมากๆงี้ใช่มั้ย แล้วถ้าถึงเวลา...กันขึ้นมาไม่ร้องไห้น้ำตาแตกเลยเหรอออ
เป็นแค่ความสงสัย 5555


น้องงงงงง เริ่มรู้สึกอะไรแล้วใช่มั้ยยยย ฮือ รักค่ะ

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[6]==[P.2]== [10/06/61]
«ตอบ #59 เมื่อ11-06-2018 00:19:23 »

อิตาหมอเมื่อไหร่จะถอดรูปเนี่ยย
จากอดีตเดือนแพทย์มาเป็นอิตาลุงอ้วนพุงย้วยๆเนี่ย  :angry2:
ส่วนน้องภามทำไมน้องน่าเอ็นดูขนาดนี้ช่วยทำให้อิตาลุงหมอกลับมาเป็นพี่หมอได้ไหมลูกกก  :hao7:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด