ตอนที่ 14 หลอกล่อ "มึงอำกูใช่ไหม ต้องใช่แน่ๆ เดี๋ยวจะต้องมีพิธีกรโผล่มาพร้อมไมค์บอกว่า 'นี่คือรายการ...เราล้อคุณเล่น~!' แล้วไหนละกล้อง ซ่อนอยู่ที่ไหน? ไหน?"
หลังจากอึ้งรับประทานไปนานหลายนาทีคนปากดีก็ยังไม่ยอมแพ้ แถมยังทำท่าหันมองซ้ายขวารอบห้อง เหลือเพียงทิศเดียวที่ไม่ยอมหันมา ก็คือข้างกายที่มีผมนั่งเป็นหัวหลักหัวตออยู่
ดูมันพูดแต่ละคำ ได้ใช้สมองกลั่นกรองบ้างหรือเปล่า
ถ้าขืนมีใครโผล่เข้ามาตอนนี้ ภาพที่จะได้เห็นก็คือร่างเปลือยเปล่าของผู้ชายสองคน นั่งอยู่บนเตียงในสภาพที่ไม่ต้องเดาให้เเสียเวลาว่าเพิ่งจะเกิดอะไรขึ้น พร้อมหลักฐานเป็นเสื้อผ้ายับยู่ที่หล่นกองอยู่รอบๆ และถ้ามีกล้องซ่อนอยู่ในห้องจริง สิ่งที่ถ่ายได้ก็คงเป็นหนังสดเรทยี่สิบบวก แถมด้วยซาวด์เอฟเฟ็คเป็นเสียงครางกระเส่าของใครบางคน
เสียดายที่ผมไม่ได้มีรสนิยมชอบโชว์หรือชอบถ่ายเก็บไว้ ไม่งั้นก็จะได้รู้กันไปเลยว่าถ้าตกเป็นดาราจำเป็นจริงมันจะยังกล้าปากเก่งอย่างนี้อีกหรือเปล่า
"อย่านอกเรื่อง มึงก็รู้ว่ากูจริงจัง"
ทำก็แล้ว พูดก็แล้ว รุกแบบหน้าด้านๆ ก็แล้ว กลับยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ แต่ในเมื่อด้านแล้วก็คงต้องด้านต่อไปให้ถึงที่สุด ผมจึงเอื้อมฝ่ามือที่ใหญ่กว่าไปจับปลายคางของอีกฝ่ายเพื่อดึงให้หันกลับมามองกัน มันขมวดคิ้วยุ่งโดยอัตโนมัติและตั้งท่าจะปัดมือออก แต่อาจจะสะดุดในจังหวะที่สายตาของพวกเราสบประสานกัน
ผมยังคงจ้องมองแจ็คนิ่งๆ เหมือนกับตอนที่พูดว่า
'กูรักมึง... เราคบกันนะ'
คนที่ดีแต่ปากจึงนิ่งเงียบไปอีกครั้ง ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะเงียบได้นานกี่นาที ผมจึงชิงตัดหน้ากล่าวตัดบทก่อน
"ถ้าไม่ปฏิเสธก็แปลว่าตกลง" ประโยคที่มันชอบใช้กับผมอยู่บ่อยๆ คราวนี้ได้ทีผมเอามาใช้บ้าง
"สรุปว่าเราเป็นแฟนกันแล้วนะ" อาศัยจังหวะที่มันยังอ้าปากค้างด้วยความเหวอ จรดจูบลงไปเพื่อปิดคำคัดค้าน จนเสียงโวยวายว่า "เฮ่ย!? กูยังมะ..." กลายเป็นแค่เสียงร้องอู้อี้ในลำคอ
แต่ประสบการณ์ก็สอนผมว่าเขี้ยวคมๆ อาจจะบาดลิ้น และถ้าไม่ระวังอาจจะถูกหมาบ้ากัดเอาได้ ผมจึงตัดใจหยุดการรุกรานไว้เพียงเท่านั้น กดจูบหนักๆ บนริมฝีปากเป็นครั้งสุดท้ายอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะผละออกมา
"กูหิวแล้ว ไปหาไรกินกัน" ก่อนที่คนกำลังเบลอจะตั้งสติกลับมาโวยวาย ผมจึงหยิบยืมมุกที่มันชอบใช้ขึ้นมาอีกครั้ง และโชคดีที่เสียงท้องของมันร้องขึ้นมาได้จังหวะตรงเผง แต่ก็เลยไม่รู้ว่าสีแดงอ่อนๆ ที่เรื่ออยู่บนในหน้าเกิดจากความโกรธหรือความอาย เกิดจากเหตุการณ์เมื่อครู่หรือจากเสียงท้องร้องเมื่อกี้
แต่เท่าที่รู้ คนหน้าด้านอย่างมันไม่ได้หน้าแดงง่ายๆ
"ลุกเร็วๆ มื้อนี้เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง" ผมจึงแอบเก็บรอยยิ้มเอาไว้ ยันตัวลุกจากเตียงพร้อมฉุดแขนของอีกร่างให้ลุกขึ้นตาม
"มึงเห็นกูเป็นตัวอะไร คิดว่าเอาข้าวมื้อเดียวมาล่อแล้วกูจะติดกับงั้นเหรอ กูไม่ได้เห็นแก่กินขนาดนั้นนะเว่ย!" มันโวยวาย แต่อาจจะสู้แรงดึงไม่ไหวถึงได้ยอมลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ระหว่างนั้นก็ก้มคว้ากางเกงที่อยู่บนพื้นขึ้นมาสวม
ผมจึงเลิกคิ้วเล็กน้อย เพราะปรกติเห็นมันเดินเปลือยโล่งโจ้งโทงๆ ไม่เคยแคร์สายตาใคร แต่จะว่าไปมันก็คิดถูกแล้วที่ทำแบบนั้น ไม่อย่างนั้นผมอาจจะเปลี่ยนใจจากการออกไปหาอะไรกินข้างนอก มาเป็นการกินอะไรๆ ในห้องแทน
"แล้วเย็นนี้อยากกินอะไรล่ะ ไปกินซูชิกันไหม เดี๋ยวกูเลี้ยง หรือจะให้เลี้ยงทุกมื้อก็ยังได้" ผมรู้ว่าเดือนนี้มันจนกรอบถึงขีดสุด ข้อเสนอนี้จึงน่าจะล่อตาล่อใจอยู่ไม่มากก็น้อย แต่แจ็คกลับทำหน้าปั้นยาก
อาจเป็นเพราะประโยคสุดท้าย แต่ผมหมายความตามที่พูด
'ทุกมื้อ' ที่อาจแปลว่า จากนี้และตลอดไป
ผมยอมรับว่ายังไม่ได้คิดไกลถึงขั้นนั้น แม้ในใจลึกๆ อยากจะให้เป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้น และมันก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากยอมรับเลยด้วยซ้ำ
"มึงพูดเองนะ ถ้างั้นก็เตรียมตัวกระเป๋าฉีกได้เลย กูอยากกินซูชิ ชาบู หมูกระทะ เนื้อย่างวากิว กุ้งเผา ปูเผา เป่าฮื้อ หมูหัน หูฉลาม ไข่ปลาคาร์เวีย ฟัวกราส์"
ผมได้แต่ส่ายหน้าและเหล่มองมันด้วยสายตาที่ว่า แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าเห็นแก่กินแล้วจะให้เรียกว่าอะไรวะ
"มื้อนี้กินก๋วยจั๊บเจ้าเดิมไปก่อนก็แล้วกัน"
พอผมพูดอย่างนั้นหมาทั้งฟาร์มจึงพร้อมใจกันเห่าประท้วง บ่นด่าไม่หยุดจนผมต้องดันแผ่นหลังให้แจ็คเดินเข้าห้องน้ำเพื่อตัดรำคาญ แต่มันกลับรู้ทันปิดประตูใส่หน้าก่อนที่ผมจะได้เดินตามเข้าไปข้างใน
ระหว่างยืนฟังเสียงน้ำจากฝักบัวดังลอดผ่านแผ่นไม้บางๆ ผมจึงแอบระบายยิ้มออกมาอีกครั้ง เพราะอย่างน้อยมันก็ร่ายเมนูอาหารยาวเป็นหางว่าว แปลว่าพวกเราจะได้ไปกินข้าวด้วยกันอีกหลายมื้อ และที่สำคัญ
'ถ้าไม่ปฏิเสธก็แปลว่าตกลง'
มันไม่ได้ปฏิเสธ
"ยินดีด้วยนะครับ" เอิร์ธกล่าวพร้อมคลี่ยิ้มบางอย่างจริงใจ
"ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ก็แค่เปลี่ยนแผน" ผมตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
เพราะหลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ ฉวยโอกาสระหว่างที่ผมเดินไปจ่ายเงินบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ไอ้ตัวดีก็กินแล้วชักดาบ เผ่นหนีหายเข้ากลีบเมฆ โทรไปก็ไม่รับ ส่งข้อความไปก็อ่านแต่ไม่ยอมตอบ ผมจึงได้แต่ถอนหายใจ เพราะรู้ตัวอยู่เหมือนกันว่าเดินหน้ารุกหนักมากเกินไป ครั้งนี้จะถือว่าปล่อยนกปล่อยกา จะยอมปล่อยให้ไอ้ลูกหมาได้พักหายใจชั่วคราว
ผมจึงโทรนัดเอิร์ธออกมาพบกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เพื่ออัพเดทข่าวคราวความคืบหน้าตามประสาผู้สมรู้ร่วมคิด มีหลายเรื่องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆ ทั้งเรื่องที่แจ็คอกหักจากโซระ เรื่องที่ผมสารภาพความจริงว่าไม่ได้คบกับเอิร์ธ ซ้ำยังบอกรักและมัดมือชกให้มันยอมเป็นแฟนด้วย
"อย่างน้อยก็ถือว่าแผนการแยกสองคนนั้นออกจากกันประสบความสำเร็จ" เอิร์ธยิ้มด้วยสีหน้าที่สดชื่นมากกว่าเดิม ต่างจากตอนแรกที่ผมถามว่าเมื่อวานโซระโทรมามีอะไรหรือเปล่า แต่กลับได้รับคำตอบว่า 'แค่โทรมาถามการบ้านครับ...'
"แล้วนายไม่คิดจะบอกความในใจกับโซระบ้างเหรอ" ผมลองถาม เพราะต่อให้ครั้งนี้จะสามารถกันแจ็คออกไปได้สำเร็จ ก็ใช่ว่าต่อไปจะไม่มีใครคนอื่นเข้ามาอีก หรือต่อให้คอยกันท่าทุกๆ คน ก็ใช่ว่าจะสำเร็จทุกครั้ง และที่สำคัญ ใช่ว่าทำแบบนี้แล้วความรักจะสมหวัง
"ถ้าโซระได้เจอคนที่ดี... ผมอาจจะตัดใจได้..."
หากคำตอบที่ได้รับ กลับทำให้ผมต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่
"นายเป็นคนดีนะเอิร์ธ"
ผมวางมือบนบ่าของร่างเล็กตรงหน้าเบาๆ อีกฝ่ายจึงเงยขึ้นมองกลับมา และไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด เอิร์ธก็คงเข้าใจสิ่งที่ผมอยากบอก
'ให้โอกาสตัวเองบ้าง... นายดีพอที่จะเป็นใครคนนั้น'
แน่นอนว่า 'คนที่ดี' อาจจะไม่ใช่ 'คนที่ใช่' แต่เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใช่หรือไม่ ถ้าหากไม่ลองค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง ผมเองก็เคยกลัว... กลัวว่าผลลัพธ์จะไม่เป็นอย่างที่หวัง แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังคงกลัวอยู่
"พี่ก็กลัวเหมือนกับนาย" ยิ่งคาดหวังก็ยิ่งกลัวผิดหวัง
"แต่รู้ไหม... พี่ไม่เสียใจเลยกับสิ่งที่กำลังทำอยู่"
ต่อให้เห็นโอกาสแค่เพียงริบหรี่ ผมก็อยากจะคว้าเอาไว้ จะเรียกว่าฉวยโอกาสก็ได้ แต่ผมรู้ดีว่าถ้าไม่อาศัยจังหวะนี้ทำอะไรสักอย่าง จะต้องกลายเป็นตัวเองที่ต้องเสียใจในภายหลัง
เอิร์ธยังคงมีสีหน้าลังเลและไม่แน่ใจ ผมจึงไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น เพราะจะว่าไปแล้วสถานการณ์ของพวกเราสองคนก็อาจจะไม่เหมือนกัน จึงได้แต่กระชับมือบนบ่าเล็กเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
ตีเหล็ก ต้องตีตอนร้อน
อุตส่าห์คั่นเวลาให้พักหายใจตั้งหลายชั่วโมง คราวนี้ก็ถึงเวลารุกของผมบ้าง โชคดีที่กระเป๋าสตางค์แบนๆ ของมันคงจะแห้งกรอบไปจนถึงสิ้นเดือน ผมเลยไม่ต้องกังวลว่ามันจะออกไปแรดจีบเด็กที่ไหน ปรกติแล้วพอไม่มีที่ไปมันก็มักจะไปสิงอยู่ที่ห้องของผม ซึ่งตอนนี้กลายเป็นสถานที่สุ่มเสี่ยง เพราะฉะนั้นก็คงเหลือแค่ไม่กี่ที่ที่มันจะหนีไปซุกหัวอยู่ได้
"สวัสดีครับแม่" ผมยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วมเล็กน้อยที่เดินออกมาเปิดประตูรั้วให้
"อ้าวตึก ไปยังไงมายังไงล่ะลูก มาหาแจ็คเหรอ" เธอยิ้มแย้มยกมือขึ้นรับไหว้ พลางเชื้อเชิญให้เข้าบ้านด้วยอัธยาศัยอันดี
ผมเคยมาที่บ้านของแจ็คหลายครั้ง แม้พักหลังจะไม่ค่อยได้มาเพราะส่วนใหญ่มันมักจะเป็นฝ่ายไปสิงอยู่ที่หอของผมมากกว่า แต่อาจเป็นเพราะฉายาที่สอดคล้องกับรูปร่างสูงใหญ่ ทำให้จดจำได้ง่าย หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะมันมีเพื่อนสนิทถึงขั้นพามาเที่ยวบ้านอยู่แค่ไม่กี่คน แม่ของแจ็คจึงจำผมได้
"แม่กำลังทำกับข้าวพอดีเลย กินข้าวกินปลามาแล้วหรือยัง อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันนะ แจ็คอยู่บนห้องน่ะ เห็นบ่นว่าต้องทำรายงานแต่ก็ยังนั่งเล่นเกมอยู่ได้ทั้งวัน เมื่อคืนก็ไม่รู้หายหัวไปไหนมา นี่กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่อนบ่าย ไม่รู้ว่าไปทำรายงานหรือเที่ยวเล่นเถลไถลที่ไหนกันแน่ ไอ้ลูกคนนี้ละเหลวไหลเป็นที่หนึ่ง แจ็คเอ๊ย~ มีเพื่อนมาหาน่ะลูก~ แจ็ค~! ไอ้ลูกแจ็คโว้ย~!"
แม่ของแจ็คตะโกนเรียกจากด้านล่าง ปลายเสียงเพิ่มดีกรีความดังมากขึ้นเรื่อยๆ บทสนทนายิงยาวแบบไม่เว้นจังหวะให้ตอบ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าแจ็คได้เชื้อช่างเจรจามาจากใคร มันยังชอบนินทาอยู่เป็นประจำว่าอย่าทำให้ท่านแม่พิโรธ โดนด่าทีไรไฟแล่บหูชาไปสามวันสามคืน
"ผมขอขึ้นไปหาแจ็คข้างบนนะครับ" ผมหาจังหวะเอ่ยขึ้นมาเมื่อยังไม่มีเสียงขานรับจากผู้ที่ถูกเรียก ทั้งๆ ที่เสียงตะโกนดังลั่นจนน่ากลัวว่าคนข้างบ้านจะช่วยขานแทน
"ตามสบายเถอะจ้ะ ถ้าอย่างนั้นแม่ขอตัวไปทำกับข้าวต่อก่อนนะ อุ๊ยตาย ป่านนี้น้ำแกงไม่เดือดจนแห้งหมดแล้วเหรอเนี่ย!" ร่างท้วมอุทานพลางเดินหายไปทางหลังบ้าน ผมจึงถือโอกาสเดินขึ้นบันได ก้าวตรงไปยังห้องที่เคยมา
ลองเคาะประตูเรียกตามมารยาท แต่กลับไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ มีเพียงเสียงจากโทรทัศน์หลุดรอดออกมาแผ่วเบา ผมลองบิดลูกหมุนดู พบว่าประตูไม่ได้ล็อก จึงตัดสินใจเปิดเข้าไปด้านใน
ในที่สุดก็ได้เจอตัวคนที่หนีหายไปตั้งแต่เช้านอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ปลายเท้ามีเครื่องเพลย์รุ่นเก่าและแผ่นเกมวางระเกะระกะ เพราะเครื่องรุ่นใหม่มันหอบเอาไปเล่นที่ห้องของผม โทรทัศน์ยังคงเปิดทิ้งไว้ เหมือนเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น อาจจะเพลียจัดเพราะเมื่อคืนก็ได้นอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง มิน่าแม่เรียกถึงไม่ได้ไม่ขาน
ผมเดินเข้าไปนั่งลงบนเตียง ทอดมองคนที่ยังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ร่างสมส่วนอยู่ในชุดเสื้อยืดย้วยๆ กับกางเกงบอลขาสั้น แบบที่ชอบใส่เป็นประจำเวลาอยู่บ้าน ต่างจากภาพลักษณ์หนุ่มหล่อใสสไตล์เกาหลีที่เอาไว้ใช้หลอกเด็กลิบลับ
แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้ผมนึกถึงสุภาษิตที่ว่า 'ความรักทำให้คนตาบอด' เพราะตอนนี้ไม่ว่ามันจะอยู่ในสภาพไหน ผมก็ดันหน้ามืดตามัว มองว่าน่ารักเข้าไปได้
น่าเสียดายที่เตียงนี้เป็นเตียงเดี่ยวขนาดมาตรฐาน ทำให้ผมนั่งได้เพียงครึ่งสะโพกก็เกือบจะทับแขนของคนที่นอนอยู่ก่อนแล้ว ถ้าอยากจะดันทุรังขึ้นไปนอนด้วย คงต้องใช้วิธีรวมร่างแบบแนบสนิทไม่เหลือช่องว่าง
แต่จะว่าไป ก็เป็นไอเดียที่ดี
ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่คิด แค่เอื้อมปลายนิ้วออกไปเกลี่ยเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าผาก คนที่นอนอยู่ก็พลิกตัวกลับมา ขยับปรือตาขึ้นมองมือของผม ย่นหัวคิ้วแบบยังงัวเงียและงงๆ แต่พอมองไล่ขึ้นมาเห็นว่าเป็นมือของใคร เท่านั้นแหละ คนขี้เซาก็ตาสว่างทันที
"เฮ่ย!? มาได้ไง!?" ร่างที่นอนอยู่กระเด้งลุกขึ้นนั่ง ถอยหลังไปจนชนกำแพง
"นั่งรถเมล์มาต่อมอเตอร์ไซค์" ผมจึงตอบด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบพอกับสีหน้า จงใจกวนตีนหน้าตายนั่นแหละ ก็ใครใช้ให้มันทำท่าอย่างนั้น เห็นหน้าผมแล้วทำหน้าอย่างกับเห็นผี ต่อให้ไม่ได้คาดหวังการต้อนรับ แต่เจอแบบนี้เข้าไปก็อดน้อยใจไม่ได้เหมือนกัน
"มาทำไม แล้วมึงเข้ามาอยู่ในห้องกูได้ยังไง ใครอนุญาต แม่งไร้มารยาทว่ะ" ปากด่ากึ่งไล่ แต่ตัวตั้งท่าจะลุกหนี ผมจึงรั้งแขนของอีกฝ่ายให้ทรุดกลับมานั่งข้างกันอย่างเก่า
"แม่มึงอนุญาตเอง แถมชวนกูกินข้าวเย็นด้วย" ผมตอบตามตรง แต่มันกลับหันขวับมาถลึงตาโต อ้าปากค้าง ยกนิ้วขึ้นชี้หน้า
"อย่าบอกนะ ว่ามึง... มึงพูดอะไรกับแม่กูบ้าง!?"
แล้วมันจะโวยวายทำไม ผมเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
กลัวว่าผมจะพูดอะไร? เพราะมันก็ไม่เคยปิดบังที่บ้านเรื่องที่เป็นเกย์ แถมยังเป็นท่านแม่ของมันเองด้วยซ้ำที่ต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไชให้ลูกชายยืดอกพกถุง เพราะรู้ว่าคงไม่มีทางล่ามโซ่หมาแรดเอาไว้ได้ หรืออย่างสมัยที่มีแฟนเด็ก มีรักหวานชื่นปานจะกลืนกิน มันยังเคยโม้เลยว่าจะให้แม่ยกขันหมากไปสู่ขอลูกสะใภ้
อ้อ... หรือกลัวแม่จะรู้ว่าคราวนี้ได้ 'ลูกเขย' แทน
"เออ! ถ้ามึงไม่ได้พูดอะไรก็แล้วไป" มันอาจแปลความหมายจากสีหน้าของผมเป็นอย่างนั้นจึงกล่าวตัดบทพร้อมตั้งท่าจะลุกหนีไปอีกครั้ง ทำให้ผมต้องเหนื่อยออกแรงดึงแขนให้มันนั่งกลับลงมาอีกรอบ
"เล่นเกมกันไหม" สายตาของผมเหลือบไปเห็นแผ่นเกมที่กองอยู่บนปลายเตียง หนึ่งในนั้นมีเกมต่อสู้แบบตัวต่อตัวที่เคยฮิตมากในอดีต ผมจึงหยิบขึ้นมาใช้เป็นหัวข้อเบี่ยงเบนความสนใจ ก่อนจะฉุกคิดอะไรบางอย่าง
"มาประลองกันไหม" ผมเกริ่นหยั่งเชิง ก่อนตามด้วยประโยคยั่วยุ
"ถ้ากูแพ้ กูสัญญาว่าจะเลิกตามตื้อ แต่ถ้ากูชนะ มึงต้องสัญญาว่าจะเลิกหนี"
"ใครหนี!?" มันเถียงทันควันอย่างที่คิด
"หรือมึงกลัวแพ้" ผมจึงจงใจราดน้ำมันซ้ำลงบนกองไฟ และก็ได้ผล เพราะคนที่มองตาขวางดึงแผ่นเกมจากมือของผมไปเสียบเข้าเครื่องเล่น ก่อนจะคว้าจอยสติ๊กขึ้นมาตั้งหน้าตั้งตาพร้อมรบ
"มึงเตรียมตัวแพ้ได้เลย!" มันหันกลับมาแสยะยิ้ม ผมจึงหยิบจอยสติ๊กขึ้นมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยตามปรกติธรรมดา
ผมรู้ว่ามันเป็นนักเล่นเกมมือฉมัง
แต่มันคงไม่รู้หรอกว่า... ผมเคยเป็นเซียนเกมนี้
เริ่มต้นด้วยการเลือกตัวละคร เลือกฉาก ลงสนาม นับถอยหลัง สาม สอง หนึ่ง เปิดเกมฟาดฟันกันในทันที
มันปล่อยหมัดทั้งต่อยและเตะเป็นชุด ผมกระโดดหลบก่อนหาจังหวะม้วนตัวตีลังกาเตะกลับหลัง โดนจังๆ จนมันกระเด็นถอยออกไปตั้งหลัก แต่ด้วยความใจร้อนจึงพุ่งกลับเข้ามาโดยเร็ว ผมเสียทีโดนปล่อยอาวุธใส่หลายครั้ง จนพลังชีวิตลดฮวบฮาบ แต่งานนี้จะแพ้ไม่ได้! ไม่มีการออมมือใดๆ ทั้งสิ้น ผมเล็งโอกาสพิฆาตคู่ต่อสู้ ตั้งรับรอจังหวะ เมื่อสบโอกาสก็ซัดท่าไม้ตายพ่วงคอมโบเข้าไปทั้งเซ็ต
K.O.
"เหี้ย!" เสียงสบถดังลั่นพร้อมเขวี้ยงจอยสติ๊กทิ้งลงบนเตียง
ผมลอบถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ก่อนจะพยายามเก็บกลั้นรอยยิ้มเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เพราะถ้าหันมาเห็น มันจะต้องแพ้แล้วพาลแน่ๆ
"เออ ก็ได้! ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ! กูจะไม่...ไม่ดิ คนอย่างกูไม่เคยหนีอยู่แล้ว!" เหรอ? งั้นไอ้ที่ผ่านมาคงไม่ใช่มึงแต่เป็นหมาสินะที่หนี
ผมส่ายหน้าอย่างระอาอีกครั้ง แต่ตอนนี้กำลังอารมณ์ดีจนขี้เกียจจะฟื้นฝอยหาตะเข็บ ผมจึงเอนหลังนั่งพิงกำแพงอย่างสบายใจ
ด้วยความที่เตียงมีขนาดไม่กว้างนัก ต้นแขนของผมจึงชนเข้ากับแขนของอีกคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง มันทำท่าจะกระเถิบหนีโดยอัตโนมัติ แต่อาจติดที่ศักดิ์ศรีค้ำคอ เพิ่งพ่นออกไปหยกๆ จะกลืนน้ำลายทันทีก็เสียเชิงชาย เลยได้แต่บ่นพึมพำด่าแบบไร้เสียง แต่ก็ไม่ได้ขยับหนีไปไหน
ผมจึงกระแซะใกล้เข้าไปอีกนิด และเมื่อมันไม่โต้ตอบจึงยิ่งได้ใจเบียดชิดเข้าไปอีกหน่อย จนต้นขาแทบจะเกยกลายเป็นการนั่งซ้อนตักกัน
"มึงจะเบียดอะไรนักหนา!? ถ้าจะเบียดขนาดนี้มึงปล้ำกูเลยดีกว่า!"
มันสบถออกมาอย่างหัวเสีย แต่คงไม่ทันคิดว่าความปากเสียของตัวเองจะกลายเป็นการ 'ชี้โพรงให้กระรอก'
"ไอ้เหี้ย...! กูประชด! เข้าใจไหมว่ากูประชด!? ไอ้ถึก! อื้อ..."
มันแหกปากลั่นเมื่อผมเอี้ยวตัวไปซุกจมูกลงบนบ่าพร้อมพลิกกลับขึ้นมาคร่อมทับ ก่อนจัดการปิดเสียงประท้วงด้วยการกลืนเข้าไปในลำคอ เสียงอู้อี้จึงร้องดังไม่หยุด เดาได้เลยว่าถ้าหลุดเป็นอิสระเมื่อไหร่ มันคงจะด่าเป็นชุด
มันบอกว่าจะไม่หนี แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่ดิ้น ผมจึงต้องกันไว้ก่อนแก้ด้วยการแทรกตัวเข้าไปตรงกลางระหว่างต้นขา ดันเบียดเข่าเข้าไปชิด เพื่อให้พ้นรัศมีฝ่าเท้าที่อาจยกขึ้นมาถีบได้ กลายเป็นการสร้างกรงขังขนาดย่อม ข้างหลังเป็นกำแพง ข้างหน้าเป็นตัวผม พอหมดทางดิ้นก็คงเหลือวิธีต่อต้านอีกหนึ่งทางคือการ 'กัด'
"มึงบอกเองนะว่าให้ 'ปล้ำ'"
ผมถอยใบหน้าออกมาอย่างรู้ทัน คนที่ได้แต่กัดลมจึงจิ๊ปากอย่างขัดใจ และพอไม่มีอะไรปิดปาก เสียงอื้ออึ้งขึ้นจมูกจึงหลุดรอดออกมาอย่างชัดเจน
ชุดที่มันใส่อยู่ก็ช่างเป็นใจ ทั้งเสื้อยืดหลวมๆ ที่แค่ดึงรั้งขึ้นไปก็ไม่เหลืออะไรปกปิดผิวกาย ทั้งกางเกงบอลขอบยางยืดเก่าๆ ที่สามารถสอดมือบุกรุกเข้าไปได้ง่ายๆ
"อื้อ" เมื่อผมโน้มตัวกลับลงไปจูบอีกครั้ง คราวนี้มันจึงไม่ได้ต่อต้านหรือพยายามกัดอีก อาจเป็นเพราะตัวประกันที่อยู่ในมือของผม หรือไม่มันก็ไม่อยากได้ยินเสียงน่าอายของตัวเอง
อุณหภูมิบนเตียงเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามความร้อนที่ประทุขึ้นในร่างกาย เมื่อมันเริ่มให้ความร่วมมือ ผมเองก็เริ่มหยุดตัวเองไม่อยู่ เกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีเสียงหนึ่งตะโกนดังลั่น
"แจ็คเอ๊ย~! เลิกเล่นเกมได้แล้วลูก! ลงมากินข้าวก่อน!"
ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นราวกับทุกอย่างรอบตัวสะดุดกึก เหมือนใครเอาถังน้ำแข็งเย็นเฉียบมาสาดใส่ดังโครม ผมกับแจ็คได้แต่หยุดชะงักมองหน้ากัน
โชคดีที่เสียงนั้นดังขึ้นมาจากด้านล่าง ตามด้วยเสียงบีบแตรรถยนต์ พ่อของแจ็คคงจะกลับมาถึงบ้านพอดี แม่เลยออกไปเปิดประตูรั้วให้ ยังดีที่ไม่ได้เดินขึ้นมาเรียกถึงหน้าห้อง
"แม่งเอ๊ย หัวใจจะวาย เพราะมึงเลย! หื่นไม่เลือกที่!" พอตั้งสติได้มันก็เริ่มด่า ดูเหมือนว่าอารมณ์ก่อนหน้านี้จะหดหายไปหมดเกลี้ยง
ผมไม่อยากเถียงจึงค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น พลางมองคนที่ก้มหน้าก้มตาจัดการแต่งตัวให้เข้าที่ ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าจะยับยู่ ทรงผมจะยุ่งเหยิง แต่ดูเผินๆ ก็เหมือนกับคนเพิ่งตื่นนอน
ก่อนจะผละออกมาผมจึงแตะจูบแผ่วเบาลงบนปากของมันอีกครั้ง
"งั้นคืนนี้ไปนอนห้องกูนะ"
"...เหอะ! ไปให้โง่ดิ"
"ไหนว่าจะไม่หนี"
"...ไม่ได้หนีเว่ย! ก็... กูมีบ้านก็ต้องอยู่บ้านดิ... เออ แม่เรียกไปกินข้าวแล้ว ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวคุณนายจะพิโรธ"
มันก็ยังดิ้นแถไปได้เรื่อยๆ จนผมแอบถอนหายใจ แต่เอาเถอะ ถือซะว่าก้าวหน้าไปอีกหนึ่งขั้น ถ้ามันยังไม่ยอมหลงกล ผมก็จะหาวิธีมาหลอกล่อต่อไป เอาให้มันตกหลุมแบบปีนไม่ขึ้นเข้าสักวัน
-----