{OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10  (อ่าน 46795 ครั้ง)

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
Share This Topic To FaceBook
Share This Topic To FaceBook แก้ไขข้อความ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-03-2020 22:43:34 โดย Foggy Time »

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ : บทนำ p.1
«ตอบ #1 เมื่อ08-03-2018 10:05:13 »


'ไม่มีใครอยากตกเป็นเหยื่อของใครบางคน'

INTRO



เสียงดนตรีดังกระหึ่มในห้องโถงที่บรรจุผู้คนไว้นับพัน ทุกคนในที่นั้นล้วนจับจ้องไปยังจุดเดียวและเปล่งเสียงร้องเพลงออกมาดังลั่น พวกเขาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นแฟนคลับของวง 'MOONLIGHT' วงดนตรีวัยรุ่นชื่อดังที่สุดในประเทศไทยตอนนี้


"เอ้า! เพลงสุดท้ายแล้ว ขอดังๆ เลยนะครับ" เสียงทุ้มนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์หาได้ยากที่เอ่ยขึ้นมานั้นเป็นเสียงของจ้าว นักร้องนำวงมูนไลท์ ผู้ที่นับได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาของวงเพราะหน้าตาตามแบบสมัยนิยมแต่ที่โดดเด่นจริงๆ ก็คงจะเป็นตาที่ตี่ อย่างลูกคนจีนและผมสีดำที่ถูกย้อมเป็นสีเทา ซึ่งจ้าวมักจะถูกหยิบยืมตัวไปเป็นหน้าปกนิตยสารอยู่บ่อยๆ


แน่นอนว่าเหล่าแฟนคลับกรีดร้องเสียงดังลั่นตอบรับอย่างเต็มที่ พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้คนที่ยอมเสียเงินซื้อตั๋วราคาแพงเพื่อให้ได้อยู่ในสถานที่เดียวกับวงดนตรีในดวงใจ


จ้าวเปล่งเสียงร้องเพลงด้วยรอยยิ้มจนตาหยี ถึงแม้ว่าตอนนี้ร่างกายจะเหนื่อยและหอบจนแทบยืนไม่อยู่แต่เขาก็มีความสุขกับอาชีพนี้มากจนตั้งใจจะร้องเพลงไปตลอดชีวิต


"บอกไปเขาเลยว่า!! " จ้าวตะโกนเสียงดังลั่นพร้อมกับยื่นไมค์ไปทางแฟนคลับ


"รำคาญโว้ย!!! "


จ้าวผวาเฮือกรีบยันตัวลงขึ้นนั่งจนเตียงส่งเสียงลั่นดังเอี๊ยดอ๊าดบาดหูบ่งบอกถึงคุณภาพที่ย่ำแย่เกินทนของมัน จ้าวหันมองซ้ายมองขวาตัวเองเห็นกำแพงสีขาวที่หมองจนราดำขึ้น ชักโครกกับอ่างล่างหน้าเก่าและซี่กรงสนิมเหล็ก


ซึ่งเมื่อก้มมองมือตัวเองก็พบว่าถูกตรวนด้วยโซ่หนักๆ ทั้งสองข้าง อีกทั้งบนข้อมือยังเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและบาดแผลมากมายจนแทบหาเนื้อเดิมไม่เจอ


น้ำตาอันไร้ที่มาพรั่งพรูเต็มตาก่อนที่จะสะอื้นจนตัวโยน


เขาฝันอีกแล้วสินะ...


"มึงจะร้องอะไรนักหนาวะ? คนอื่นเขานอนห้องโสโครกกว่ามึงอีกยังไม่ร้องเลย มึงเป็นตุ๊ดไงวะ! " ผู้คุมวัยกลางคนซึ่งนั่งไขว่ห้างติดริมประตูกล่าวแดกดันด้วยสีหน้าสมเพช "หุบปากสักที!! รำคาญ ถ้ามึงอยากร้องมากก็ร้องเพลงมึงสิ เพลงอะไรนะ? ขอรักอะไรของมึงที่เคยดังๆ น่ะ ร้องเลย"


คนโดนแดกดันกัดปากพยายามไม่หลุดสะอื้นยกมือที่ถูกตรวนกอดตัวเองแน่น


"เอ้า! พอให้ร้องก็ไม่ร้อง ประสาทว่ะ" ผู้คุมบ่นอย่างฉุนเฉียวและคว้ากาแฟกระป๋องที่ถูกดื่มจนหมดแล้วมาขยำจนผิดรูป "ทีนี้มึงช่วยหุบปากด้วยนะ กูรำคาญ อย่าคิดว่าเงินมึงเยอะมันจะทำให้กูไม่กล้าซ้อมมึงนะ"


"ผม..ไม่ได้ทำ"


เสียงที่เคยถูกยอมรับว่ามีสเน่ห์ที่สุดตอนนี้กลับแตกพร่าและสั่นจนน่าตกใจ


"มึงว่าไงนะ? " ผู้คุมวัยกลายคนเลิกคิ้วและยิ้มเยาะ "หลักฐานมีอยู่ทนโท่ขนาดนั้น เลือดก็เลือดมึง มีดก็มีดมึง มึงจะบอกว่ามึงไม่ฆ่าเขากูว่ามันฟังไม่ขึ้นว่ะ"


จ้าวตัวสั่นสะท้านหนักกว่าเดิมแต่ไร้เสียงสะอื้นมีเพียงกลิ่นคาวเลือดจางๆ ที่อวลในอากาศ


"ผม ..ฮึก ไม่ได้ทำ"


เคร๊ง!!!


กระป๋องเหล็กถูกขว้างเข้าไปในห้องขังของจ้าวซึ่งถ้าจะให้นับจริงๆ ก็คงจะเป็นกระป๋องที่ร้อยแล้ว เพราะจ้าวไม่ได้มาอยู่ที่นี่เป็นปีแรกแต่เป็นปีที่สี่ของการถูกคุมขังนับจากการวันนั้น


วันที่ทุกอย่างในชีวิตของจ้าวพลังทลายลงในพริบตา


"ผม.. ไม่ได้ทำ"


จ้าวพูดซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนบ้า พึมพำเสียงเบาด้วยน้ำเสียงอันร้าวราน


"โอ๊ย ปวดประสาทกับมึง" ผู้คุมบ่นเซ็งๆ ยกมือขยี้หัวล้านเลี่ยนของตัวเอง ถึงงานคุมขังนักโทษระดับสูงอย่างพวกอัลฟ่าเงินเยอะจะเป็นงานสบายก็จริง แต่ใครจะไปรู้ว่าอัลฟ่าคนนี้มันน่ารำคาญเป็นบ้า หลังจากที่ถูกฉีดยาทำให้ฮอร์โมนอัลฟ่าในร่างกายเป็นบีต้ามันก็กลายเป็นคนละคน ตื่นมาก็เอาแต่ร้องไห้แล้วก็เหม่อลอย ยิ่งวันที่มันถูกจับไปประทับตราโอเมก้าที่หลังคอ วันนั้นมันอาละวาดจนคุกแทบแตก เอาแต่ร้องไห้จะเป็นจะตายจนหมดมาดนักร้องดังชื่อดังที่คนส่วนใหญ่รู้จัก


ซึ่งเหตุผลที่มันถูกพาตัวมาอยู่ในคุกนรกนี่ก็คือไปฆ่าผู้หญิงที่เป็นถึงคู่หมั้นตาย ลุงอย่างเขามันไม่เข้าใจสักนิดว่ามันจะทำไปทำไม เงินก็มีชื่อเสียงก็มีกลับมาคิดสั้นทำอะไรแบบนี้


"คนรวยแม่งเข้าใจยากว่ะ" ร่างวัยกลางคนพูดไม่จริงจังนักแล้วเอื้อมมือไปเปิดวิทยุและปรับหาคลื่นเพลงลูกทุ่งหรือสู้ชีวิตที่ตัวเองชอบ


'ขอเชิญชวนร่วมทำบุญบริจาคโลหิตกับนายแพทย์จันทร์ นฤภัทร ในวันที่สิบสองเนื่องในโอกาสวันแม่'


เคร๊ง!!


"อะไรของมึงอีกวะ! " ร่างสูงวัยสะดุ้งและตวาดดังลั่นก่อนที่จะตวัดสายตาไปมองร่างเจ้าปัญหาซึ่งตอนนี้กุมหัวตัวเองแน่นส่งเสียงสะอื้นออกมาไม่หยุดราวกับเสียสติไปแล้วโดยสมบูรณ์


"ฮึก"


จ้าวพยายามกระชากตรวนที่คล้องมือตัวเองออกจนเลือดออกซึ่งจ้าวก็เคยทำแบบนี้มาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนข้อมือเกรอะไปด้วยเลือดแห้งกรังที่จะถูกทำความสะอาดอีกทีตอนที่หมอมาตรวจและให้ยาระงับฮอร์โมนอัลฟ่า


"ทำไม" ร่างที่เคยสูงโปร่งตอนนี้เหลือเพียงเนื้อติดกระดูกตรวญเสียงเบา


การติดคุกนอกจากจะบั่นทอนความรู้สึกนึกคิดแล้วสำหรับจ้าวนั้นมันยังฉีกกระชากตัวตนให้ไม่เป็นชิ้นดีด้วย จ้าวนั้นเป็นคนที่เกิดในตระกูลแพทย์ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศและมีเชื้อสายอัลฟ่าที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพลเมืองชั้นสูงอย่างเต็มเปี่ยม เรียกได้ว่าใช้ชีวิตอยู่บนกองเงินกองทองมาตลอด ไม่เคยมีสักครั้งที่เงินขาดมือ ถึงแม้ว่าจ้าวจะไม่ยึดติดกับฐานะแต่การถูกทำลายตัวตนจากอัลฟ่าให้กลายเป็นโอเมก้า ชนชั้นที่ต่ำที่สุดในสังคมก็ชวนให้สะเทือนใจอยู่เหมือนกัน


แต่โชคยังดีของจ้าวที่เทคนิคการแพทย์ในยุคสมัยนี้นั้นไม่สูงเกินไปนัก ทำได้แค่ทำให้อัลฟ่ากลายเป็นเบต้ายังไม่ถึงขั้นทำให้กลายเป็นโอเมก้าอย่างที่กฎหมายว่าไว้ได้ จ้าวจึงแค่ถูกประทับตราที่คอราวกับสัตว์เดียรัจฉานเท่านั้น


'อย่าลืมมาร่วมกันบริจาคเยอะๆ นะครับ เพียงแค่คุณบริจาคเลือดของคุณ เชื่อผมเถอะ คุณก็สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้ประสบอุบัติเหตุได้มากมายอย่างแน่นอน'


วิทยุของลุงยังคงทำงานได้ดี มันส่งเสียงโฆษณาเชิญชวนตามสายสักพักก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อเพลงสู้ชีวิตที่ลุงต้องการ


"ทำไมล่ะ.. ฮึก..."


จ้าวจิกเนื้อตัวเองแรงจนเลือดออกแต่กระนั้นนัยน์ตาสีดำที่เคยเป็นประกายด้วยความมีชีวิตชีวาก็ยังเหม่อลอย มองกำแพงราดำตรงหน้าราวกับว่ามันมีใครบางคนยืนอยู่


"ฮึก ตอบสิ.."


อดีตนักร้องนำที่ตอนนี้กลายสภาพเป็นนักโทษที่ถูกคดีฆ่าคนตายโดยเจตนาคร่ำครวญเสียงแผ่ว


"ทำไม.."


จ้าวสะอื้นฮักก่อนที่จะคู้ตัวกอดตัวเองแน่น รู้ดีว่าต่อให้ถามให้ตายก็คงไม่มีคำตอบกลับมา


นอกเสียว่าเจ้าตัวจะมาตอบด้วยตัวเอง


ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 1



เวลาห้าปีสำหรับคนทั่วไปแล้วอาจจะไม่นานนักแต่สำหรับนักโทษนั้นราวกับนานชั่วกัลป์และจ้าวก็เป็นหนึ่งในคนที่คิดอย่างนั้น จึงเอาแต่ยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิมจดจ้องไปยังห้องขังของตัวเองที่ประตูเปิดอ้าราวกับว่าเรียกร้องให้เขากลับเข้าไปยังห้องขังแสนสุขที่อาศัยอยู่มาตลอดห้าปีนี้


"เอ้า มีอะไรจะสั่งเสียไหม จะกลับคืนสู่สังคมแล้วนี่ พ่อนักร้อง" ลุงผู้คุมที่มีหน้าที่ดูแลจ้าวมาตลอดพูดด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรอย่างผิดวิสัย เอาเข้าจริงเขาดีใจมากกว่าที่อัลฟ่าน่ารำคาญนี่ไปๆ สักที


จ้าวหันไปมองลุงที่อยู่ด้วยกันมากว่าห้าปีแล้วก็ยังไม่รู้ชื่อนิ่งๆ แล้วก็นิ่งอยู่อย่างนั้น คล้ายกับว่าจิตใจจิตใต้สำนึกหรือสมองที่สั่งการถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์แบบ มีเพียงหัวใจที่ยังคงเต้นอยู่ในอกที่ทำงาน


"..ฮึก"


"เฮ้ย เดี๋ยวๆ ให้ลาเว้ยไม่ใช่ให้ร้อง" จากอารมณ์ดีๆ เริ่มจะบูด ลุงวัยกลางคนกระชับหมวกตัวเองให้เข้าที่แล้วเดินไปแตะไหล่จ้าวเบาๆ "กูเชื่อมึงนะที่มึงไม่ได้ฆ่าเขา เอาเหอะ ไหนๆ มึงก็ได้ออกก่อนกำหนดตั้งเยอะ มึงก็กลับไปหางานทำดีๆ ละกัน กูเชื่อว่ามึงต้องมีความสุขหลังจากออกจากนรกอย่างที่นี่ไปแล้ว"


"...อือ" จ้าวส่งเสียงในลำคอรับรู้เบาๆ แต่จิตใจยังคงล่องลอยไปไกล หลังคอยังรู้สึกร้อนฉ่าจากการประทับตราของโอเมก้าที่ป่าเถื่อนราวกับว่าโอมาก้านั้นเป็นสัตว์ป่าไม่ต่างจากวัวที่ถูกประทับตราหมายเลขที่สะโพก คิดถึงเรื่องนี้จ้าวก็รู้สึกเบาโหวงในอก หายใจฮักพยายามเอาอากาศเติมในนั้น


"ลุง.. ดูแลตัวเอง.. ด้วย"


นี่คงจะเป็นประโยคที่ดูเป็นประโยคมากที่สุดตั้งแต่ที่จ้าวถูกพาตัวมาคุมขังที่นี่ตลอดห้าปีเพราะหลังจากนั้นเจ้าตัวก็เอาแต่พูดคำสั้นๆ ไม่เป็นประโยค เป็นแค่คำกริยาลอยๆ หรือไม่ก็คำว่าทำไมที่พูดซ้ำไปซ้ำมาราวกับเทปที่ถูกกรอเอาไว้


"เออ มึงก็ด้วย ที่ผ่านมากูก็ขอโทษแล้วกัน" ลุงแกหัวเราะฮ่าๆ ตบหลังตั้งใจะจะตบไหล่ซ้ำอีกรอบแต่ก็โดนเพียงอากาศเพราะจ้าวผวาถอยหนีกอดตัวเองแน่น


คราแรกลุงตั้งใจจะเอ็ดใส่ด้วยความหงุดหงิดแต่พอเห็นสีหน้าของนักโทษในการปกครองของตัวเองก็เลือกที่จะเก็บปากเงียบและปล่อยให้อีกฝ่ายก้มหน้างุดเดินออกจากห้องขังไปโดยมีหัวหน้าผู้คุมคอยดูแลอีกที


ผู้คุมวัยกลางคนถอดหมวกตัวเองออกแล้วมองกระป๋องกาแฟยี่ห้อโปรดของตัวเองที่ยังคงวางอยู่บนโต๊ะด้วยความรู้สึกผิดเล็กๆ ใบหน้าของดารานักร้องดังนั้นที่เขาเห็นนั้นว่างเปล่า หวาดกลัว ไม่ต่างอะไรจากวันแรกที่เขามาอยู่ในการดูแลของเขา ผิดแค่ว่าสภาพของจ้าวในตอนนั้นยังพอมีชีวิตชีวามีความหวังอยู่บ้าง แต่ตอนนี้นั้นไม่ต่างอะไรจากร่างไร้วิญญาณที่มีความทุกข์ระทมสุมอยู่เต็มอก


"แต่กูก็ไม่ได้ทำให้มันติดคุกนี่หว่า"


ลุงบ่นพึมพำก่อนที่จะเอื้อมมือไปเปิดวิทยุเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดในใจเพราะตัวเองก็คงจะมีส่วนในการทำให้จ้าวเป็นแบบนี้ไม่มากก็น้อย




มีผู้คนมากมายเรียกร้องหาอิสรภาพให้กับตัวเองโดยเฉพาะผู้ต้องหาที่ติดอยู่ในคุก หลายสายตาจับจ้องร่างผ่ายผอมติดกระดูกที่เดินช้าๆ ด้วยความรู้สึกอิจฉาจนมีบางคนที่ส่งเสียงตะโกนแดกดันและด่าทอ


จ้าวตัวสั่นหนักกว่าเดิมยกมือขึ้นปิดหลังคอตามความเคยชินหากแต่มันกลับไม่ช่วยอะไร เสียงด่าทอดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับอารมณ์หงุดหงิดของผู้คุมหนุ่มที่รับหน้าที่ส่งตัวนักโทษในวันนี้


"ให้มันเร็วๆ หน่อย!! " ผู้คุ้มหนุ่มวัยฉกรรจ์เอ็ดเสียงเข้ม


แต่มันกลับทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงกว่าเดิม จ้าวผวารีบวิ่งไปข้างหน้าไปยังประตูที่แง้มเปิดนิดๆ ถึงแม้จะไม่รู้ว่ามันเป็นทางออกรึเปล่าแต่สัญชาตญาณลึกๆ กำลังบอกว่ามันคงจะสามารถพาเขาออกจากสถานที่นี้ได้


ขาสองข้างแทบจะกระโจนเข้าใส่แสงสว่างนั้น จ้าวยิ้มกว้างเมื่อสามารถหลุดออกมาจากนรกที่ขังตัวเองมาตลอดห้าปีได้หากแต่รอยยิ้มปรากฎได้ไม่นาน จ้าวก็ผงะยืนตัวแข็งเบิกตากว้างหนำซ้ำยังเผลอก้าวถอยหลังกลับเข้าไปในคุกอย่างผวา


"เฮ้ย จ้าว" ร่างสูงหน้าตาคมเข้มอย่างคนใต้ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีในการมารับจ้าวออกจากคุกเอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม


จ้าวไม่ตอบรับจับมือที่สั่นเทาของตัวเองแน่นก้มหน้ามองต่ำ


"เอ้า ไรของมึงวะ" เมื่อคำทักทายถูกเมินเฉยคนพูดจึงเริ่มรู้สึกงุนงงแล้วหันไปหาอีกคนที่น่าจะทำหน้าที่สื่อสารได้ดีกว่าตัวเอง "จันทร์ ลองไปคุยกับพี่มึงดิ้"


"ครับ"


จันทร์รับคำด้วยรอยยิ้มสุภาพและสาวเท้าไปหาพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง ที่ดูแปลกตากว่าที่เห็นครั้งล่าสุดไปมาก จากคนที่ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้าตอนนี้กลายเป็นคนละคน ผมที่เคยถูกกัดเป็นสีเทาตอนนี้เป็นสีดำกระด่างยาวถึงบ่าดูสกปรก ร่างกายผอมแห้งโดยเฉพาะที่ข้อมือนั้นมีรอยแผลเต็มไปหมด


ตึก


"..ไม่" อดีตนักร้องดังครวญเสียงเบากับตัวเอง


เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังสม่ำเสมอทำให้จ้าวรู้สึกเครียดจนจิกเล็บใส่มือตัวเอง เคราะห์ดีที่จ้าวตัดเล็บจนมันสั้นกุดแล้วไม่เช่นนั้นมือของจ้าวอาจจะเป็นรอยแผลฉีกลึกตามแรงที่เจ้าตัวกดลงไป


และมันก็หนักขึ้นทุกครั้งเมื่อร่างนั้นใกล้เข้ามา


จ้าวพยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองสั่น ไม่ให้ตัวเองร้องไห้ สิ่งเดียวที่เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ร่างไร้วิญญาณของจ้าวกลับมาปฏิกิริยาตอบรับรุนแรงก็คือร่างของคนตรงหน้า


"พี่จ้าวเป็นอะไรรึเปล่าครับ? "


น้ำเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกถึงความเป็นห่วงเป็นใยแต่สำหรับจ้าวแล้วมันกลับแช่แข็งเลือดจนเย็นเยียบ อากาศที่อยู่ในอากาศดูจะไม่เพียงพอต่อการหายใจอีกต่อไป


"..เปล่า" จ้าวแค่นเสียงตอบหอบหายใจหนักและเบี่ยงสายตาไปทางอื่นเมื่อเห็นชายเสื้อกาวน์คุ้นตา "ไม่สบายนิดหน่อย"


หมับ!!!


จ้าวเบิกตากว้างเมื่อจู่ๆ โดนจู่โจมด้วยกอด เกือบจะร้องเสียงดังลั่นถ้าไม่รู้สึกถึงกลิ่นน้ำหอมเย็นสะอาดที่คุ้นเคยเมื่อประมาณห้าปีแล้วซะก่อน


น้ำตาจู่โจมดวงตาอีกครั้ง จ้าวน้ำตาคลอแต่ไม่ได้กอดตอบปล่อยให้ตัวเองโดนกอดไปทั้งอย่างนั้นและจมลงไปภวังก์ของเรื่องราวในอดีตที่แสนจะหอมหวานซึ่งเกิดขึ้นมานานมาแล้ว


"คิง.."


คิง เป็นมือเบสรูปหล่อของวงมูนไลท์ ด้วยบุคลิกนิ่งๆ หยิ่งๆ ดูน่าค้นหาทำให้คิงค่อนข้างเป็นที่สนใจของสาวๆ แต่ถึงกระนั้นคิงก็ไม่มีได้คบใครเป็นตัวตนเป็นสักที ทำให้นักร้องวงมูนไลท์ครองโสดกันหมดและทำเพลงเกี่ยวกับโสดๆ เหงาๆ ซะส่วนใหญ่


เจ้าของชื่อครางรับในลำคอออกแรงกอดแน่นยิ่งกว่าเดิม ถึงแม้จะกลัวจ้าวกระดูกหักแต่ความคิดถึงก็ไม่เคยปราณีใคร มันทำให้เขายิ่งกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้นไปอีก


"คิดถึง"


ระยะเวลาห้าปีแทบจะฆ่าคิงตายทั้งเป็น มันช่างยาวนานและเจ็บปวด คิงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการรอหัวหน้าวงไปกับการเป็นนักดนตรีในกับร้านเหล้าของรุ่นน้องคนนึงในคณะ ใช้เวลาวันทั้งวันไปกับการจิบเหล้าเกากีตาร์และร้องเพลงของวงตัวเองที่ดูจะไม่เป็นที่ต้องการสำหรับใครต่อใครอีกต่อไปแล้ว


"..กลับมาเล่นกัน" คิงพูดเสียงพร่าสั่นเทา


แสงจันทร์ที่ดูน่าหลงใหลบนฟากฟ้าในเดือนแรมก็ยังมีวันดับ


เฉกเช่นเดียวกับวงมูนไลท์ที่ตอนนี้เหลือเพียงชื่อเสียงในกาลก่อน ไม่มีใครอีกแล้วที่อยากสนใจฟังเสียงของฆาตกรที่สามารถออกอัลบั้มใหม่ๆ มาได้อย่างน่าไม่อาย ยอดขายที่เคยสูงลิ่บลิ่วตอนนี้อัลบั้มเดียวยังขายยาก


คิงคิดถึงสิ่งเหล่านั้นและตั้งใจจะสร้างมันใหม่อีกครั้งด้วยความหวังเล็กๆ ว่ามันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น คิงยอมไม่ไปเข้าร่วมกับวงอื่นที่มาชักชวนให้เข้าด้วยซ้ำเพื่อรอจ้าว


จ้าวที่เป็นทุกอย่างให้กับทุกคนในวงมูนไลท์


ความเป็นผู้นำ ความหวัง ความกระตือรือร้น รอยยิ้มและความรัก


นัยน์ตาของคิงฉายประกายบางอย่างเมื่อมองจ้าวเสมอโดยที่จ้าวไม่เคยรู้ตัวแม้แต่น้อย


"…"


จ้าวไม่ได้ตอบแต่น้ำตาไหลออกจากดวงตาช้าๆ


น่าเสียดายที่คุณสมบัติเหล่านั้นนัั้นอยู่ในจ้าวคนก่อน ไม่ใช่กับจ้าวคนนี้


"...ไม่"


จ้าวที่ถูกทำลายตัวตนไปแล้วโดยสิ้นเชิง ความฝันอะไรทั้งเพที่จ้าวทุ่มเทกับวงมูนไลท์ทุกอย่างพังไปหมดแล้วตั้งแต่วันแรกที่มีนักข่าวมาทำข่าวเกี่ยวกับคดีฆ่าคนตายของเขา เหล่าแฟนคลับที่เขารักต่างพากันมองเขาด้วยสายตาที่ต่างออกไปจากเดิมแต่ที่แน่ๆ มันทำให้เขาเผลอยืนสะอื้นต่อหน้านักข่าวด้วยซ้ำ


มันเป็นครั้งแรกที่จ้าวเข้าใจความเจ็บปวดเจียนตาย


เสียงเยาะเย้ยจากในเรือนจำคล้ายกับดังแว่วในหูจนจ้าวผวายกมือขึ้นมาปิดหู จ้าวผลักคิงออกแล้วกอดตัวเองแน่นตัวสั่นเทา พยายามกักขังตัวเองในโลกดำมืดอันเงียบงันที่อย่างน้อยก็ไม่มีใครนอกจากตัวเอง แต่สมองกลับไม่ยินยอมให้เป็นเช่นนั้น


จากบรรยากาศรอบตัวที่เป็นห้องส่วนกลางสำหรับทำเอกสารนำตัวนักโทษเข้าออกจากเรือนจำกลายเป็นโถงกว้างๆ สำหรับให้นักโทษมาฝึกงานเพื่อเตรียมตัวกลับเข้าไปในสังคมต่อไป


จ้าวตัวสั่นหนักกว่าเดิมกัดปากแน่นจนกลิ่นคาวอวล


เหตุการณ์ที่เขาเกลียดกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง


'โหย ดังก็ดัง ถามจริง เอาไม่มันรึไงถึงได้ฆ่าเขานะ' นักโทษคนหนึ่งที่ถือว่าเป็นอันธพาลใหญ่ในหมู่นักโทษตะโกนแซวนักร้องดังที่นั่งคนเดียวอย่างคะนองปากและผลตอบรับก็คือเสียงหัวเราะครืนราวกับเรื่องตลก


ทั้งๆ ที่สำหรับจ้าวแล้วมันไม่ตลกสักนิด


จ้าวพยายามไม่ตอบรับไม่โต้ตอบหวังว่าพวกเขาจะเบื่อและเลิกไปเอง


'เห้ย! ถามก็ตอบดิวะ!! '


อันธพาลใหญ่ที่โดนเมินซึ่งๆ หน้าเริ่มเดือดจึงเหลือบมองลูกน้องคนสนิท 'มันเก๋าว่ะ ใหญ่ มึงไปทำให้มันรู้หน่อยว่ามันต้องคุยกับกูต่อให้แม่งไม่อยากคุยถ้าก็อยากคุยแม่งก็ต้องคุย'


'ครับ' ลูกน้องร่างใหญ่ที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผลและรอยสักเหลือบมองจ้าวที่นั่งอยู่อย่างไม่เป็นมิตรและย่างสามขุมเข้าไปหาอย่างดุดัน


บรรยากาศเสียงตะโกนคุยกันของเหล่านักโทษชายพลันเงียบกริบอย่างผิดวิสัยเพราะเรื่องสนุกๆ กำลังจะเกิดขึ้น สิ่งที่นักโทษชายเหล่านี้โปรดปรานก็คือการต่อสู้ ไม่มีอะไรสนุกไปกว่าการลงเงินพนันแล้วฝั่งที่ตัวเองเชียร์แล้วมันชนะไปอีกแล้ว


นัยน์ตาของอันธพาลใหญ่เป็นประกายวาวโรจน์มองจ้าวก่อนที่แววตานั้นจะเปลี่ยนเป็นสนุกสนาน


'เอ๊ะ ดูเหมือนว่าจะลืมอะไรไป' คนเป็นอันธพาลทำเสียงเล็กเสียงน้อย 'มึงกลายเป็นโอเมก้าไปแล้วนี่หว่า ว้า งี้ก็อดมีเมียแล้วสิ ถ้าอยากได้ผัวกูแนะนำเลยนะ เอาไอ้เหยินนั่นเลยเหมาะสำหรับมึง' พูดจบก็ชี้ไปยังนักโทษสติไม่ค่อยดีที่กำลังนั่งนับนิ้วและพูดอยู่คนเดียว


เหล่านักโทษยังคงหัวเราะครืนไม่หยุดจนผู้คุมที่นั่งกินข้าวอยู่ตวาดครั้งหนึ่งเสียงจึงค่อยซาลง


'มึงอย่าทำตัวมีปัญหาให้มันมากนัก'


เสียงขู่กรรชากจากฆาตกรตัวจริงดังแว่วออกมาจากร่างที่ยืนตรงหน้าจ้าว


จ้าวขนลุกซู่พยักหน้าไม่คิดชีวิตก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือของตัวเองต่อด้วยมืออันสั่นเทา โดยที่ไม่รู้ตัวจ้าวนั้นเผลอลูบหลังคอตัวเองตามความเคยชินและต้องเบิกตาโพลงเมื่อถูกมือหยาบเย็นเฉียบลูบเบาๆ ที่หลังคอตรงบริเวณที่มีตราประทับรูปโอเมก้า


'แล้วถ้าอยากก็บอก' นักโทษร่างใหญ่ยิ้มนัยน์ตาส่อแววสนใจ 'กูจะช่วยสงเคราะห์ให้'


ครั้งนี้จ้าวไม่พยักหน้าเพราะนั่งตัวแข็งปล่อยให้ร่างใหญ่เดินหัวเราะหึๆ เดินกลับไปหาลูกพี่ใหญ่ของตัวเอง


'...'


จ้าวจับมือตัวเองแน่นไม่ให้มันสั่นไปมากกว่านี้


มันเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่จ้าวได้ตระหนักถึงความต่ำต้อยของโอเมก้าในสังคม ไม่ว่าจะสังคมนักโทษหรือสังคมภายนอกก็คงไม่ต่างกันเพราะเมื่อก่อนเขาก็ค่อนข้างมีอคติกับโอเมก้าอยู่เหมือนกัน มีข่าวหลายสำนักที่ชอบประโคมข่าวที่ว่าด้วยโอเมก้ากระทำผิดเกี่ยวกับเรื่องทางเพศหรือความส่ำส่อนทางเพศจนคนส่วนใหญ่ในสังคมระอาไปตามๆ กัน


ถึงแม้ว่าโอเมก้าจะมีอยู่จำนวนไม่มากนักแต่สำหรับทุกคนแล้วโอเมก้าคงจะถือเป็นสิ่งที่น่าน่ารังเกียจและน่าขยะแขยงที่สุดในสังคม


'..ทำไม'


สุดท้ายจ้าวก็กลั้นน้ำตาไม่ได้สะอื้นเสียงเบา


ทำไมเขาต้องมาโดนอะไรแบบนี้ด้วย




คลิ๊ก!


"!!! "




จ้าวสะดุ้งเฮือกกับเสียงที่คล้ายกับโลหะเข้าล็อกพอดี


"พวกนักโทษโอเมก้าก็อย่างนี้แหละครับ" หัวหน้าผู้คุมขังคนเดิมพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยใช้มือลูบเบาๆ บนปลอกคอโลหะพิเศษที่ผลิตขึ้นมาเพื่อนักโทษโอเมก้าโดยเฉพาะ "อาจจะดูรุนแรงไปบ้าง แต่นี่ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วที่เราจะควบคุมพวกมันได้"


ความรู้สึกเย็นเยียบที่คุ้นเคยทำเอาจ้าวนั่งตัวสั่นเทา มันร้ายแรงยิ่งกว่าถูกตรวนข้อมือข้อเท้าซะอีก เขาเคยเห็นพวกโอเมก้าที่ใส่ปลอกคอเหล็กแบบนี้อยู่สองสามครั้งในที่สาธารณะ พวกนั้นใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ ราวกับหนูในท่อ ไม่ว่าใครเห็นก็ต่างผงะหนี ไม่คิดจริงๆ ว่าจะมีสักวันที่ตัวเองจะมีสภาพแบบนั้นบ้าง


จ้าวลูบสิ่งแปลกปลอมบนต้นคอตัวเองแล้วหลับตาลง


แม้แต่การกลับออกไปใช้ชีวิตแบบเดิม เขายังไม่สามารถทำได้ด้วยซ้ำ


มันจบแล้ว... วงมูนไลท์ ไม่สิ มันจบไปตั้งนานแล้ว


"คิง ไนท์" อดีตนักร้องนำวงมูนไลท์ส่งยิ้มให้คิงและอีกคนที่มารับตัวเอง "..ไปหาวงอื่นเถอะ มันไม่มีวงมูนไลท์อีกต่อไปแล้วล่ะ"


สิ่งที่เจ็บปวดกว่าการกลับไปร้องเพลงไม่ได้ก็คือการบอกลาคนในวง จ้าวพยายามยิ้มให้คิงแต่ก็เป็นยิ้มที่ฝืนเกินทน เพราะจ้าวเป็นคนชวนคิงเข้าวงและสอนเล่นเบสด้วยตัวเอง จ้าวเล่นเบสเป็นและเก่งมากแต่เพราะชอบร้องเพลงมากกว่าเลยเลือกที่จะเป็นนักร้องนำแทนที่จะเป็นมือเบสให้กับวง ส่วนคิงนั้นหลังจากได้ลองเล่นเบสก็ติดงอมแงมเล่นทั้งวี่ทั้งวัน


ทุกอย่างรอบกายจ้าวนั้นตกลงในความเงียบเพราะแต่ละคนต่างคิดว่าจ้าวจะกลับมาทำวง ไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่เต็มไปด้วยพลังอันล้นเหลืออย่างจ้าวจะกลายเป็นคนขี้แพ้ยอมจำนนต่ออุปสรรคง่ายๆ


แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้วและจ้าวไม่ลังเลกับการตัดสินใจของตัวเองสักนิด


มีแค่เขาก็พอที่ถูกทำลาย..


สำหรับจ้าวตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากนกที่ถูกหักปีกและขักเอาไว้ในกรง ทำอะไรไม่ได้นอกจากเกาะอยู่บนกิ่งไม้หรือไม่ก็กระโดดเหยาะๆ ตามพื้นและส่งเสียงร้องที่มีแค่ตัวเองได้ยิน ไม่มีใครอีกแล้วที่อยากฟังนกปีกหักอย่างเขา


หัวใจของร่างผอมบีบรัดแน่นจนเจ็บไปหมด จ้าวลอบมองร่างในชุดกาวน์แพทย์พบว่าอีกฝ่ายนั้นมองมาที่ตนเองเหมือนกันอีกทั้งยังส่งยิ้มบางๆ มาให้ด้วย ถ้าคนอื่นที่เห็นอาจจะคิดว่ามันคือยิ้มให้กำลังใจแต่จ้าวรู้ดีว่ามันไม่ใช่


คงจะพอใจแล้วใช่ไหม?


จ้าวยิ้มระทมให้อีกฝ่าย ความเจ็บปวดอันร้ายกาจกัดกินจิตใจของเขาจนแหลกแหลวไปนานแล้ว ตอนนี้จ้าวรู้ตัวเองดีว่าใกล้จะบ้าเต็มทน เขาอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ร้องไห้สลับกับหวาดกลัวเป็นอย่างนี้ตลาดห้าปี ตอนนี้เขาก็ยังคงเป็นอยู่และมีแต่จะหนักขึ้นเรื่อยๆ


"จ้าวพอแล้วล่ะกับการร้องเพลงน่ะ" จ้าวพูดเสียงเบาแต่สายตาจับจ้องที่น้องชายฝาแฝดตัวเอง ไม่มีความโกรธเคืองแฝงอยู่ในนั้นแต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจเลยสักนิด ชักสายตากลับไปมองอย่างอื่นที่ดูจะน่าสนใจกว่าพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง


"เฮ้ย จ้าว" ไนท์หรือมือกลองหนุ่มใต้ประจำวงมูนไลท์เรียกจ้าวเสียงเข้มและขยับตัวเข้าไปหาจ้าว "กูกับคิงเชื่อนะว่ามึงไม่ได้ทำ คนอย่างมึงไม่ทำอะไรเหี้ยๆ แบบนั้นหรอก กูมั่นใจ" ไม่ว่าเปล่าไนท์ตั้งใจจะดึงหัวหน้าวงมากอดแต่ก็คว้าได้แค่อากาศเมื่อเจ้าตัวถอยหลังจนเกือบจะชนกับโต๊ะเอกสารของเจ้าพนักงาน


เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่ทำงานอยู่ข้างในเริ่มขมวดคิ้วส่งสายตาหงุดหงิดให้กับอาคันตุกะที่มาพาตัวนักโทษกลับแต่ก็ไม่ยึกยักไม่พาตัวออกไปสักที พวกเขามีงานให้ทำอีกมากจนท่วมหัว นักโทษเป็นร้อยเป็นพันในเรือนจำนี้ที่พวกเขาดูแล ปัญหาครอบครัวหรือปัญหาชีวิตเล็กๆ ไร้สาระของคนนอกจึงทำให้พวกเขารำคาญมากที่สุด ถึงแม้ว่าคนๆ นั้นจะเคยเป็นถึงนักร้องดังของประเทศไทยก็ตาม แต่แล้วยังไงล่ะ เมื่อต้องโทษคดีอาญาไม่ว่าจะดังแค่ไหนก็ถูกฉุดกระชากลงมาในขุมนรกที่ไม่มีวันกลับไปยังสถานที่เดิมได้อีก ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ผู้คนก็ยังติดตากับภาพโดนเจ้าพนักงานจับกุมอยู่ดี


สุดท้ายก็เป็นหน้าที่ของผู้คุมขังหนุ่มที่ทนสายตาเพื่อนร่วมงานไม่ไหว "มีอะไรคุยกันข้างนอกดีกว่าไหมครับ? " พูดเสียงเรียบๆ ก่อนที่จะพยักเพยิดไปยังประตูทางออกจริงๆ ของเรือนจำแห่งนี้ "พวกผมไม่ได้ว่างดูพวกคุณเล่นละครกันหรอกนะ"


"งั้นต้องขอโทษด้วยนะครับ" จันทร์ที่ยืนเงียบๆ มาตลอดพูดด้วยสีหน้าสำนึกผิดและเดินเข้าไปประคองตัวจ้าว "ไปกันเถอะครับ ผมว่าเราพาพี่จ้าวกลับบ้านก่อนดีกว่า อย่างอื่นค่อยว่ากันอีกที"


ความจริงแล้วจ้าวอยากกระชากตัวออกจากตัวจันทร์ใจแทบขาดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะร่างกายของจันทร์ที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปีดูจะแข็งแรงกว่าเดิมมาก จากนิสิตแพทย์ตัวผอมและเล็กกว่าเขากลายเป็นนายแพทย์ร่างสูงกว่าเขามีกล้ามและมีดีกรีเป็นถึงเจ้าของโรงพยาบาลที่รับมาจากพ่ออีกที


จ้าวแค่นหัวเราะเยาะสมเพชตัวเอง ปล่อยให้ตัวเองถูกน้องชายฝาแฝดประคองออกจากเรือนจำโดยไม่สนใจจะตอบคำถามของเพื่อนในวงสักนิด สมองจดจ่อกับความเศร้าจนแม้กระทั่งถูกพาตัวมาอยู่บนรถก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ


"เฮ้ย จ้าว"


"...จ้าว"


ไนท์กับคิงพยายามเรียกจ้าวที่เอาแต่นั่งเหม่อนิ่งๆ แต่ทั้งสองก็ไม่กล้าแตะต้องตัวจ้าวเพราะกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวจนตัวสั่นแบบเมื่อกี้ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสักนิดถ้ามันเกิดขึ้น


"..."


แปลกทั้งๆ ที่นั่งอยู่บนรถ จ้าวกลับรู้สึกว่าตัวเองยังนั่งอยู่บนเตียงสนิมเหล็กที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่ารำคาญ หูสองข้างได้ยินเสียงเพลงสู้ชีวิตมาจากไกลๆ หากแต่มือและข้อเท้ากลับไม่ถูกตรวนเหมือนทุกครั้งซึ่งมันก็ทำให้จ้าวนึกได้ว่าตัวเองรอดพ้นจากสถานที่นั้นมาแล้ว


ใบหน้าซีดขาวจึงเผยยิ้มบางๆ ออกมาบ้าง


กริ๊ก


เสียงประหลาดดังขึ้นพร้อมกับกระแสไฟฟ้าที่จู่โจมจ้าวจากบริเวณลำคอและลามไปบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย


"อึก..!! " จ้าวสะดุ้งสุดตัวกับความเจ็บปวดที่มาโดยไม่ทันตั้งตัวและตะปบลำคอของตัวเองแทบจะทันที สัมผัสเย็นเฉียบและดุดันทำเอาจ้าวน้ำตาคลอเบ้า


ไนท์ตะโกนดังลั่นรถอย่างตื่นตระหนกเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองตัวกระตุกแรงจนน่ากลัว "เฮ้ย จ้าวเป็นอะไรวะ! " ซึ่งคิงก็ไม่ต่างกันแทบจะกระโจนเข้าไปหาจ้าวแล้วถ้าไม่ถูกเสียงเรียบๆ เสียงหนึ่งดังขัดขึ้นมาซะก่อน


"อ้ะ ขอโทษครับ พี่จ้าว" จันทร์ที่กำลังขับรถอยู่หันมาขอโทษขอโพยผู้โดยสารที่นั่งหลังรถด้วยสีหน้าสำนึกผิด "ผมเผลอไปกดปุ่มผิดน่ะครับพี่จ้าว ผมจะหยิบโทรศัพท์ผมแต่ดันไปโดน PSE (Poisoner Electronic) ของพี่จ้าวเฉยเลย" โชคดีที่ติดไฟแดงพอดี จันทร์จึงพอมีเวลาเรียกร้องความถูกต้องให้ตัวเองด้วยการชูอุปกรณ์ที่หน้าตาคล้ายๆ สมารท์โฟนแต่ปุ่มแอพพลิเคชั่นส่วนใหญ่กลับเป็นข้อมูลเกี่ยวกับนักโทษที่ชื่อว่าจ้าว นฤภัทร และมีฟังก์ชันต่างๆ ในการควบคุมนักโทษโอเมก้า สิ่งที่จันทร์เพิ่งเผลอกดโดนไปก็คือปุ่มรูปกระแสไฟฟ้าที่สามารถปรับปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้สำหรับปล่อยได้ สิ่งนี้มีเพื่อควบคุมตัวนักโทษโอเมก้าให้อยู่ในอาการสงบไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะใดๆ ก็ตาม


"ระวังหน่อยสิ" คิงหันไปตำหนิเสียงเข้มเย็นชา นัยน์ตาสีดำเป็นประกายกร้าวเคืองๆ สำหรับคิงแล้วจ้าวคือที่หนึ่งสำหรับทุกอย่าง มีครั้งหนึ่งที่แฟนคลับหยิกแขนจ้าวเป็นรอยช้ำม่วงน่ากลัว ถ้าไนท์กับจ้าวไม่รั้งตัวเอาไว้ คิงคงไม่วายไปเอาเรื่องแฟนคลับคนนั้น


สีหน้าของจันทร์ไม่เปลี่ยนก็จริงแต่น้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด "ขอโทษจริงๆ ครับ"


คิงขมวดคิ้วมองอย่างเอาเรื่อง "มีปัญญาอะไรไหมวะ"


"..ไม่เป็นไร คิง" จ้าวพูดเสียงพร่านึกขอบคุณจันทร์ด้วยซ้ำที่กดมันเพราะมันทำให้เขาตระหนักได้ว่าตัวเองอยู่ในสถานะไหนของสังคมในตอนนี้ ความทุกข์ระทมดูจะมากเกินไปจนทำให้จ้าวหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของจ้าวนั้นฝาดเฝื่อนและเจ็บปวด "..ไม่เป็นไร" จ้าวพูดเสียงเบาวางหน้าบนฝ่ามือของตัวเองและปล่อยให้รถตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง


มือเบสกับมือกลองมองหน้ากันเลิกลั่กไม่กล้าพูดอะไร จ้าวตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้เหมือนกับคนแปลกหน้าจริงๆ ราวกับว่าพวกเขาได้สูญเสียจ้าวหัวหน้าวงมูนไลท์ไปแล้วซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่พวกเขายอมรับไม่ได้ การที่พวกเขาตัดสินใจมารับจ้าวก็เพื่อที่จะดึงเพื่อนคนเดิมของตัวเองกลับมาทำวงต่อ อาจจะไม่ใช่วงมูนไลท์แต่เป็นวงอะไรก็ได้ที่พวกเขาร่วมกันสร้างด้วยกันใหม่อีกครั้ง คิงวาดฝันว่าจะให้จ้าวเปลี่ยนแนวร้อง ส่วนไนท์วาดฝันว่าจะถ่ายเอ็มวีเท่ๆ สักเอ็มวีเพราะตอนเป็นวงมูนไลท์จะออกแนวหวานๆ วัยรุ่นซะส่วนใหญ่ พวกเขาสองคนล้วนมีฝันและอยากให้จ้าวมีส่วนร่วมกับมัน คงไม่มีใครในโลกนี้ที่รู้จักจ้าวแล้วไม่หลงใหลในรอยยิ้มความกระตือรือร้นหรือความใจดี


เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงไม่เชื่อว่าจ้าวเป็นคนฆ่าถึงแม้จะมีหลักฐานคาตาก็ตาม คนที่ใกล้ชิดจ้าวจะรู้ดีว่าคนอย่างจ้าวไม่น่าจะทำอะไรแบบนั้นได้ แต่ต่อให้ไม่เชื่อยังไงก็ตาม การดำเนินคดีก็ต้องเป็นไปตามหลักฐานและข้อเท็จจริง จ้าวปรากฎตัวอยู่ในที่เกิดเหตุในมือถือมีดมีร่องรอยการต่อสู้อยู่บนร่างกายอันเป็นหลักฐานชั้นดีที่ทำให้ตำรวจสามารถจบคดีได้ง่ายๆ และจับยัดเข้าตารางกฎหมาย


"..ไม่เป็นไร"


จ้าวพึมพำเสียงแผ่วกับตัวเอง


ไม่เป็นไรนะจ้าว.. ไม่เป็นไร


แปลกที่คำง่ายๆ พวกนี้จ้าวกลับรู้สึกว่าเป็นไปได้ยากซะเหลือเกิน


ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
อ่านแล้วหดหู่เลยค่ะ ชีวิตจ้าวหลังจากนี้คงโดนกลั่นแกล้งอีกเยอะแน่ๆเลย

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
น้องชายแปลกๆ นะ

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 2

คฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวโพลนสไตล์โมเดิร์นซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครนั้นเป็นที่อยู่ของอดีตนักร้องดังที่เมื่อก่อนมักจะมีแฟนคลับลอบเข้ามาติดตามชีวิตของเขาคนนั้นอย่างล้นหลามจนผู้จัดการของนักร้องดังคนนั้นต้องจ้างบอดี้การ์ดกับยามตรวจตรารอบบ้านเป็นพิเศษ ซึ่งจ้าวมักจะส่งยิ้มทะเล้นและโบกมือให้กับแฟนคลับที่สามารถฝ่าทั้งดงยามและดงบอดี้การ์ดมาได้เสมอ เรียกได้ว่าเป็นความนับถือส่วนตัวเลยก็ว่าได้


ถึงแม้ว่าจะเป็นการถูกคุกคามความเป็นส่วนตัวก็จริงแต่จ้าวกลับรู้สึกว่ามีความสุขอย่างบอกไม่ถูก มันทำให้เขารู้ว่ายังมีคนที่รักและหลงใหลวงของเขาแทบคลั่งอยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้เขาทำวงต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย


จ้าวมองบ้านตัวเองตรงหน้าแล้วเหม่อ ทุกอย่างของบ้านยังคงเหมือนเดิมก็จริงแต่ยามและบอดี้การ์ดส่วนตัวพวกนั้นหายไปหมดแล้วทำให้หน้าบ้านกว้างๆ ของเขาได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะรอยทาสีทับบนกำแพงเต็มไปหมดเหมือนกับทาเพื่อปกปิดบางอย่างเอาไว้ ซึ่งจ้าวก็พอจะเดาๆ ได้ว่ามันซ่อนอะไรไว้บ้าง


อดีตนักร้องดังหลับตาลงหายใจช้าๆ อย่างเจ็บปวด


สิ่งที่อยู่บนกำแพงก็คงไม่พ้นคำด่าทอที่เขาเคยเห็นพวกแฟนคลับในต่างประเทศทำกับดารานักร้องที่กระทำผิด ไม่คิดว่าจะมีวันที่เขาโดนแบบนั้นเหมือนกัน


"ลงไป"


"…"


เสียงที่คล้ายคลึงกับจ้าวแทบจะเป็นเสียงเดียวกันพูดเสียงเย็นเยียบ


"จะลงเองหรือจะให้โยนลง? "


"…"


จ้าวได้ยินสิ่งที่น้องชายฝาแฝดพูดแต่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาหลุบมองพื้นที่เบาะข้างกายที่ว่างเปล่าไปแล้ว นึกเสียใจเล็กๆ ที่เอ่ยปากไล่เพื่อนร่วมวงของตัวเองให้กลับบ้านไปก่อนเพราะตอนนี้ก็ล่วงเลยเข้าไปเที่ยงคืนแล้ว


"จ้าว! " ร่างนายแพทย์ชื่อดังกระชากคอเสื้อเจ้าของชื่ออย่างฉุนเฉียว ใบหน้าพิมพ์เดียวกันเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและชิงชัง "หูหนวกไงวะ!! "


จ้าวยังคงไม่ตอบมองหน้าน้องชายฝาแฝดตัวเองแล้วฉีกยิ้มเล็กๆ ให้ ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้จันทร์โมโหมากขึ้นไปอีกจนแทบจะรั้งหมัดตัวเองไว้ไม่อยู่หากแต่พอนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเตรียมไว้ให้จ้าวก็อารมณ์เย็นลงถนัดตา


"รีบลงไปสิครับ พี่จ้าว" จันทร์ฉีกยิ้มหวานหยาดเยิ้มยิ่งกว่าพี่ชายตัวเอง "ผมเก็บกวาดห้องของพี่ไว้ให้แล้ว พี่รีบไปพักผ่อนดีกว่านะครับ" น้ำเสียงประชดประชัน


"อือ" จ้าวพยักหน้าช้าๆ "ขอบคุณที่มาส่ง"


จันทร์ปล่อยมือจากคอเสื้อจ้าวและเริ่มต้นหัวเราะ "ก็แค่อยากดูหน้าคนใกล้ตายเฉยๆ ว่ะ เสียดายที่ไม่ยอมช็อคตายตั้งแต่วันที่โดนฉีดยาระงับฮอร์โมน"


"พี่โชคดีไง" อดีตนักร้องนำยังคงยิ้มให้น้องตัวเองถึงแม้จะฝาดเฝื่อนมากก็ตาม "จันทร์ก็รีบๆ นอนล่ะ พวกหมอนอนน้อยนี่ รีบนอนเถอะ พี่ดูแลตัวเองได้" จ้าวไม่รอให้น้องตัวเองตอบรีบลงจากรถและก้าวฉับๆ เข้าบ้านไปจนขาแทบขวิดกัน


ช่วยไม่ได้ในเมื่อคำพูดของน้องเมื่อกี้แทบทำเขาร้องไห้ออกมาแล้ว จ้าวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากระพริบตาถี่ๆ พยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมาและเผลอหยุดชะงักฝีเท้าที่ก้าวเมื่อมองเห็นพระจันทร์สีขาวนวลบนท้องฟ้าพอดี


วันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวงเหมือนกับวันที่แฝดสองพี่น้องเกิดขึ้นมาพอดี สีขาวนวลที่ส่องออกมาในให้ความรู้สึกนุ่มนวล ส่วนรอยดำกระด่างเล็กๆ ก็ถูกเปรียบเป็นกระต่ายที่กำลังตำข้าว จ้าวมองมันแล้วหัวเราะออกมา ชื่อของพวกเขาก็มาจากพระจันทร์นี่แหละเพราะเขาเกิดตอนกลางคืนและแม่ก็อยากได้ชื่อที่คล้องจองกันแบบที่ฝาแฝดหลายคู่ๆ เป็น ก็กลายเป็นจันทร์กับจ้าว


จันทร์ที่หมายถึงดวงจันทร์ที่ส่งแสงสีนวลในยามค่ำคืนคอยให้แสงสว่างและความอ่อนโยนต่อเหล่าสิ่งมีชีวิตที่ตกอยู่ในความมืดมิด ส่วนจ้าวของเขาก็เพี้ยนมาจากคำว่าเจ้า ความหมายมันอาจจะไม่ดีนิดหน่อยเพราะส่วนใหญ่แล้วจ้าวมันใช้กับพวกปิศาจหรือไม่ก็วิญญาณ


ไม่สิ มันอาจจะถูกแล้วก็ได้เพราะเขาในสายตาน้องก็ไม่คงไม่ต่างอะไรจากความหมายจริงๆ ของมันนัก


จ้าวเหยียดยิ้มแล้วพาตัวเองขึ้นห้องนอนที่ไม่ได้เหยียบมานานหลายปี อาจจะเพราะยังคงคิดถึงเรื่องจันทร์อยู่จึงลืมไปเสียสนิทว่าในห้องตัวเองมีอะไรบ้าง จ้าวเปิดประตูออกโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรนักกับป้ายหน้าประตูที่เขียนว่าจ้าว (มูนไลท์) เพราะความไม่สังเกตจ้าวจึงไม่เห็นรอยขีดค่าที่ทั้งเน้นทั้งย้ำตรงคำว่ามูนไลท์ที่เพิ่งโดนขูดไปสดๆ ร้อนๆ


"...ฮื่อ" จ้าวครางเสียงแผ่วยกมือนวดขมับตัวเองและถอยกลับออกมาหนึ่งก้าว


พอเปิดไฟเขาก็พบว่าบนพื้นห้องของเขาเต็มไปด้วยของขวัญจากแฟนคลับที่เขาบรรจงเก็บรักษาดีวางอยู่เต็มไปหมดทั้งตุ๊กตา เสื้อผ้า ดอกไม้ ไดอารี่ จดหมาย ภาพวาด ทุกอย่างที่แฟนคลับให้เขาตอนนี้มากองอยู่บนพื้นเกลื่อนกลาดส่วนสิ่งที่อยู่บนพวกนั้นก็คือจดหมายที่จ่าหัวถึงเขาแต่หัวข้อเป็นคำด่าหยาบคาย รูปภาพของเขาที่ถูกตัดต่อไปอยู่ในตัวสุนัข หนังสือพิมพ์ที่มีรูปเขาถูกจับกุมในข่าวหน้าหนึ่ง แต่ที่ทำให้จ้าวเจ็บจริงๆ ก็คือภาพถ่ายรวมวงมูนไลท์ที่ถูกเผาเฉพาะตัวเขาแต่คนที่เหลือในวงอยู่กันครบและยิ้มกว้างให้กับกล้อง


"...ไม่เป็นไร จ้าว ไม่เป็นไร" จ้าวหลับตาท่องกับตัวเองที่ตัวสั่นจนน่ากลัว ก่อนที่จะบังคับตัวเองให้เข้าไปในห้องและปิดล็อกแน่นไม่ให้ใครเข้ามาได้ จ้าวก้มมองภาพที่ถูกเผาอีกครั้งแล้วน้ำตานองหน้า ใช้มือสั่นๆ หยิบมันขึ้นมาและทิ้งมันลงในถังขยะ


"นี่สินะ ที่เรียกว่าเก็บห้องให้? " จ้าวหัวเราะเสียงแผ่วในลำคอ มันเป็นของขวัญรับการกลับบ้านที่ประทับใจจนอยากร้องไห้เลยทีเดียว มือผอมค่อยๆ กวาดทุกอย่างในห้องลงถังขยะโดยที่น้ำตาไหลไม่หยุด จ้าวรักของพวกนี้มากและก็ยังคงรักอยู่แต่เพราะต้องการที่จะตัดขาดกับวงมูนไลท์จึงต้องทำแบบนี้


บางทีการรักอะไรมากๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นักยิ่งต้องทำลายมันด้วยมือตัวเองยิ่งเป็นสิ่งที่เจ็บปวด ของบางชิ้นจ้าวเผลอกอดมันแน่นแล้วสะอื้นไปพักใหญ่ถึงจะทำใจทิ้งลงถังขยะ.. ถังขยะที่ยัดอะไรลงไปก็ล้นออกมาอยู่ดีเพราะมันเต็มไปตั้งนานแล้ว แต่สติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนักทำให้จ้าวทิ้งของลงถังขยะซ้ำๆ โดยที่ของไถลกลับลงมากองที่พื้นเหมือนเดิม


"..แม่ง" จ้าวสบถแล้วทิ้งตัวลงบนของพวกนั้นแทน มันมีเยอะมากจนมองไม่เห็นพื้นด้วยซ้ำ จ้าวหนุนหัวบนตุ๊กตาหมีที่ถูกปรินท์หน้าตัวเองเมื่อห้าปีที่แล้วมาแปะ สองมือกอดจดหมายที่มีทั้งคำด่าและคำชมเอาไว้ หลับตาได้ไม่นานเท่าไหร่ก็เผลอหลับไปจริงๆ ด้วยความอ่อนเพลีย







จ้าวตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนตีสี่เพราะปวดฉี่ จึงพาร่างอันง่วงงุนของตัวเองไปเข้าห้องน้ำโดยพยายามระมัดระวังไม่ให้เหยียบข้าวของบนพื้นมากที่สุด จ้าวหลุดหาวหวอดซ้ำเมื่อสามารถพาตัวเองมาทำธุระส่วนตัวได้สำเร็จ


ระหว่างที่กำลังยืนตาปรือกำลังจะกลับไปนอนก็เห็นบางอย่างข้างกระจก จ้าวหลุดยิ้มเศร้าๆ ออกมา


กุหลาบสีขาวแห้งกรอบที่ถูกวางไว้ในแจกันอย่างดี ดูเหมือนว่าน้องของเขาคงจะไม่คิดว่า เขาจะเอาขวัญแฟนคลับมาไว้ในห้องน้ำด้วยล่ะมั้ง มันถึงยังอยู่ในสภาพดีอยู่ จ้าวหยิบมันออกมาจากแจกันแล้วยิ้มให้มันราวกับคนที่ให้เขาอยู่ตรงนั้น

มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาได้รับในฐานะ จ้าว นักร้องนำวงมูนไลท์ คืนนั้นเขาไปร้องเพลงในร้านอาหารชื่อดังเลิกเกือบตีสอง ในตอนที่เขากำลังจะก้าวขึ้นรถ บอดี้การ์ดก็ยื่นดอกไม้ดอกหนึ่งมาให้เขาซะก่อน จ้าวงุนงงสักพักแต่พอเห็นว่าเป็นดอกกุหลาบสีขาวก็ยิ้มกว้างรับมันมาทัดอกอย่างใส่ใจ ถึงมันจะมีดอกเดียวก็จริงแต่เขาจะได้รับดอกไม้นี้ทุกครั้งที่ออกงาน ตั้งแต่ครั้งแรกที่ออกสู่สายตาสาธรณชนด้วยซ้ำ


จ้าววางมันกลับในแจกันแล้วถอนหายใจยาวๆ ออกมา


น่าเสียดายที่ไม่มีครั้งไหนเลยทีเขาเคยเห็นเจ้าของดอกกุหลาบพวกนี้ พอถามบอดี้การ์ดพวกเขาก็ไม่รู้เพราะอยู่ดีๆ ก็มักจะมีกุหลาบยัดใส่มือพอจะมองว่าใครเป็นคนมาให้ก็เห็นแค่หลังไวๆ ที่เดินจากไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาเห็นจึงรู้แค่ว่าเป็นคนตัวสูงๆ ร่างใหญ่และที่สำคัญเลยก็คือสัญลักษณ์สีทองตรงข้อมือ


แฟนคลับคนนี้ของเขาเป็นถึงอัลฟ่าเลยทีเดียว ทำให้บอดี้การ์ดหรือคนใกล้ชิดเขาที่มีฐานะแค่เบต้าไม่กล้าเข้าไปทักถามหรือซักไซร้อะไรนัก อัลฟ่าในโลกนี้ก็เปรียบเสมือนชนชั้นปกครอง มีโอกาสเข้าถึงการศึกษา สาธรณูปโภค ทุกสิ่งทุกอย่างมากกว่าเบต้าและโอเมก้า เพราะเป็นชนชั้นที่คอยกำกับดูแลสังคมมาตั้งแต่สมัยโบราณ แม้แต่นายกรัฐมนตรีและคนส่วนใหญ่ในสภาก็เป็นอัลฟ่า


จ้าวก้มมองข้อมือตัวเองที่ตอนนี้ถูกสักทับเป็นสีดำสัญลักษณ์ของโอเมก้าและหัวเราะเฝื่อนๆ แฟนคลับอัลฟ่าคนนั้นของเขาคนจะผิดหวังในตัวเขาน่าดูเพราะหลังจากวันนั้นวันเดียวก็เกิดเรื่องยุ่งๆ ขึ้นและเขาก็ถูกจับ กลายเป็นข่าวดังเป็นเดือน งานของวงมูนไลท์ถูกแคนเซิลหมด แม้แต่ต้นสังกัดที่เอ็นดูวงมูนไลท์มาตลอดก็จัดการตัดหางปล่อยวัด ฉีกสัญญาทิ้ง วงมูนไลท์เลยไร้ต้นสังกัดก่อนที่ทุกคนในวงจะกระจัดกระจายกันไป เอาเข้าจริงจ้าวไม่หวังว่าจะเห็นคิงกับไนท์ในวันปล่อยตัวของตัวเองด้วยซ้ำ


เพราะไม่ว่าใครก็ไม่เชื่อคำของเขากันทั้งนั้น


จ้าวมองตัวเองในกระจก เห็นภาพชายวัยยี่สิบกว่าที่ดูหน้าตาจะแก่กว่าวัยไปสิบปี ผมที่เคยถูกกัดเป็นสีเทากลายเป็นสีด่างๆ ด่วงๆ เพราะเขาพยายามจะย้อมมันอีกครั้งในคุกแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จสักเท่าไหร่ จ้าวเลิกเสื้อนักโทษสีส้มตัวเองขึ้นจนถึงหน้าอก ซึ่งก็เห็นซี่โครงได้ง่ายเกือบจะชัดเจน


"โห.." ร่างนักโทษเก่าอุทานเบาๆ นี่เป็นการส่องกระจกครั้งแรกในรอบห้าปีเลยทีเดียว "ผอมลงเยอะเลยว่ะ" จ้าวยิ้มให้ตัวเองในกระจก จะให้ไม่ผอมได้ไงในเมื่อข้าวก็แทบจะไม่กิน อาหารในนั้นรสชาติห่วยแตกสิ้นดี ไหนจะความเศร้าที่จุกอยู่ในอกจนกินอะไรแทบไม่ลง นี่ก็ถือว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่เขารอดออกมาได้โดยไม่อดตายซะก่อน


ยืนชื่นชมตัวเองสักพักจ้าวก็เดินสะโหลสะเหลกลับไปนอนที่เดิม ไม่แม้แต่จะชายตามองเตียงนุ่มของตัวเองด้วยซ้ำ จ้าวเอาหัวหนุนตัวหมีเหมือนเดิมแล้วหลับตาลงเพียงไม่นานลมหายใจก็สม่ำเสมอ


หากแต่มือนั้นเผลอกุมปลอกคอตัวเองแน่น


ในตอนที่รู้สึกตัวจ้าวอาจจะทำเป็นลืมมันได้หากแต่เมื่อหลุดเข้าไปอยู่ในห้วงนิทราที่ไร้ซึ่งสติควบคุม เมื่อนั้นความจริงทุกอย่างที่จ้าวพยายามลืมนั้นก็จะปรากฎ


สีหน้าเรียบเฉยของจ้าวค่อยๆ แปรเป็นเจ็บปวด


น่าเสียดายที่แม้แต่ในฝันจ้าวก็ไม่อาจหลุดพ้นจากมัน


ภายในห้องนั่งเล่นปรากฎร่างสามร่างซึ่งทั้งหมดก็เป็นสมาชิกของวงมูนไลท์ แต่ละคนจับจองโซฟาเดี่ยวคนละตัว บนโต๊ะมีกองอาหารและน้ำที่คิงขนมาขุนจ้าวโดยเฉพาะ หากแต่ร่างของเจ้าของบ้านกลับเอาแต่นั่งเหม่อในมือกอดหมอนแน่นราวกับว่ามันเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของตัวเอง


"จ้าว กินสิ ของชอบมึง" คิงขยับโซฟาตัวเองไปชิดกับจ้าวแล้วหยิบข้าวผัดหมูเจ้าโปรดของจ้าวให้


เจ้าของชื่อส่ายหัวก่อนที่จะหลุบตามองพื้น "กลับไปเถอะ.. ถ้าจะคุยเรื่องวง"


"ไม่ได้มาคุยเรื่องวง" มือเบสประจำวงเริ่มร้อนร้น "กูแค่อยากมาหามึง" ในอกของคิงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายแต่กลับไม่กล้าที่จะพูดมันออกไปเพราะรู้ดีมาตลอดว่าจ้าวนั้นไม่เคยมองมาที่ตัวเองในฐานะที่เกินเพื่อนสักครั้ง เขาหวาดกลัวว่าเมื่อพูดมันออกไปแล้วจ้าวจะไม่เหมือนเดิม แค่ตอนนี้ที่มีสภาพเหมือนคนไร้วิญญาณก็แทบจะทำเขาคลุ้มคลั่งตายแล้ว


จ้าววางคางบนหมอนแล้วแค่นยิ้ม "พวกมึงไปเหอะ กูไม่มีปัญญาสร้างวงขึ้นมาใหม่หรอก อย่ามาคาดหวังอะไรกับกูเลย" นัยน์ตาของจ้าวสั่นระริก "จะวงมูนไลท์ วงอะไร กูก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น แทนที่พวกมึงจะมีเสียเวลากับกู สู้เอาเวลาไปหาคนอื่นมาทำดีกว่า" เขาหยุดหายใจพักหนึ่งถึงค่อยกล้าพูดชื่อหนึ่งออกมา "เหมือนอย่างพายไง ตอนนี้ก็ออกจากวงไปแล้ว ได้ข่าวว่าวงใหม่ที่อยู่จะไปได้สวยด้วย"


ในขณะที่พูดนั้นจ้าวไม่รู้ตัวสักนิดว่าตัวเองน้ำตาไหลเพราะมัวแต่ยิ้มปลอมๆ จนลืมไปว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้


ไนท์เป็นคนนึงที่สนิทกับจ้าวที่สุดเพราะสนิทกันตั้งแต่ม. ปลาย เรียกได้ว่ารู้ไส้รู้พุงกันเลยทีเดียวแต่กับเรื่องนี้ไนท์กลับรู้สึกว่าตัวเองไม่มั่นใจในตัวจ้าวร้อยเปอร์เซ็นเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด ทุกอย่างที่ออกในข่าวนั้นชัดเจนจนเกินไป ถึงปากจะบอกว่ามั่นใจในตัวจ้าวแต่ลึกๆ ก็ยังมีส่วนที่กังขาอยู่ดี หนุ่มปักษ์ใต้หันซ้ายหันขวาสำรวจคร่าวๆ พอเห็นว่าไม่มีคนอื่นอีกจึงตัดสินใจกระซิบถามจ้าวเสียงเบาด้วยคำถามที่ข้องใจมาตลอด


"จ้าวกูถามมึงตรงๆ นะ" ไนท์ถามเสียงเบาที่ให้ได้ยินกันเพียงแค่สามคนพอเห็นว่าจ้าวพยักหน้าเชิงรับรู้จึงพูดต่อ "มึงเป็นคนฆ่าพริมจริงเหรอวะ"


ฟังคำถามของไนท์ไม่ทันจบคิงก็แทบจะถลาเข้าไปต่อยไนท์เพราะตกลงกันแล้วว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกหลังจากวันที่พายลาออกจากวงไป แต่ความอยากรู้ที่ซ่อนอยู่เบื้องลึกของจิตใจคิงก็รั้งเอาไว้ เอาเข้าจริงแล้วคิงก็ไม่มั่นใจในตัวจ้าวเหมือนกันว่าได้ทำมันจริงๆ รึปล่าว


เพราะจ้าวดูจะซ่อนตัวตนจริงๆ ของตัวเองไว้ลึกซะเหลือเกิน บ่อยครั้งที่วงมูนไลท์ถูกด่าหรือมีกระแสต่อต้านจนถูกแคนเซิลงาน ในขณะที่ทุกคนเริ่มวิตกทำอะไรไม่ถูกหรือแม้กระทั่งไนท์ที่เป็นคนเฮฮาที่สุดยังนั่งซึมและตอนนั้นเองจ้าวจะเป็นคนยิ้มรับกับปัญหาและกระโจนออกไปแก้ข่าวด้วยตัวเอง ซึ่งพอกระแสแอนตี้เริ่มซาลงทุกอย่างก็กลับคืนสู่สถานการณ์ปกติ จ้าวก็จะหัวเราะแล้วพาไปกินเลี้ยงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ไม่มีใครสักคนที่เคยเห็นน้ำตาของจ้าวจริงๆ จังๆ สักครั้ง มีแค่รอยยิ้มร่าเริงที่ติดตา การเห็นน้ำตาของจ้าวเมื่อวานจึงทำให้ทั้งไนท์และคิงตระหนักได้ว่าเรื่องคราวนี้ของหัวหน้าวงเป็นเรื่องที่หนักหนาเอาการ พวกเขาไม่ได้ไปหาจ้าวในวันที่จ้าวโดนจับกุมเพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ มีแค่โดนไปให้ปากคำเกี่ยวกับนิสัยของจ้าวหรือสถานที่ี่่อยู่สุดท้ายก่อนเกิดเหตุของจ้าวซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าที่ไหน


คิงสบตากับไนท์อย่างสื่อความหมายเมื่อจ้าวทิ้งระยะเวลาในการตอบนานเกินไป สิ่งที่พอจะคาดเดาได้จึงมึอยู่สองอย่างคือจ้าวเป็นคนทำจริงๆ แต่ไม่กล้ารับหรืออีกอย่างก็คือไม่ได้เป็นคนทำแต่ไม่รู้จะพูดแก้ตัวอะไรให้ตัวเองเพราะหลักฐานก็ชัดซะขนาดนั้น ซึ่งทั้งสองไนท์ก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างหลัง


"อือ" จ้าวพยักหน้าช้าๆ กลืนน้ำลายที่เหนียวลงคออย่างยากเย็น หัวปวดตุบพร้อมๆ กับกระบอกตาที่ร้อนผ่าว มันเป็นการโกหกที่ทำร้ายคนพูดเป็นบ้า ถึงแม้ว่าจ้าวจะรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองควรพูดอะไรหรือทำอะไรเพื่อที่จะเรียกร้องทุกอย่างกลับมาหาตัวเองแต่ก็เลือกที่จะไม่ทำ


เหตุผลนั้นก็คือสิ่งเดียวกับที่จ้าวยึดถือมาตลอด เหมือนกับวันที่แรกที่โดนจับ วันที่คิดชื่อวงหรือแม้กระทั่งวันเกิดตัวเอง จ้าวก็ยังคิดถึงเรื่องนี้เสมอ แม้ว่ามันจะไม่เคยส่งผลดีต่อตัวเองเลยก็ตาม


"...จ้าว กูจริงจัง" ไนท์ครางในลำคอ รู้สึกใจหวิวแปลกๆ เมื่อได้ยินคำตอบแบบเดียวกับจ้าวให้สัมภาษณ์กับตำรวจ ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมาห้าปีแล้วแต่ก็ยังจำได้อย่างแม่นยำเพราะจ้าวเอาแต่พยักหน้ารับและรับสารภาพแต่โดยดีไม่มีอิดออดสักนิดราวกับว่าได้ลงมือกระทำมันลงไปจริงๆ


"ใช่" จ้าวเงยหน้าสบตาคนถามแล้วยิ้ม "กูทำเอง กูฆ่าพริมเอง"


และจ้าวก็ยังคงเป็นจ้าวที่แสดงละครได้อย่างเก่งกาจ รอยยิ้มร้ายที่ปรากฎบนริมฝีปากนั้นสมจริงจนแม้แต่คนสนิทยังดูไม่ออกเว้นเพียงแต่คนๆ นั้นที่จ้าวไม่เคยปิดบังอะไรได้สักอย่าง เพียงแค่สบตากันก็สามารถก็แทบจะรู้ทุกอย่างที่ซุกซ่อนในหัวจ้าวแล้ว


"...โกหก" คิงพึมพำเสียงแผ่ว ร่างกายที่สูงใหญ่สั่นเทา


ความเชื่อมั่นที่มีมาตลอดสูญสลายคล้ายกับแก้วใบหนึ่งที่มีรอยร้าวมาตลอด วันนี้เองที่เป็นวันที่แก้วใบนี้แตกเป็นเสี่ยง ความผิดหวังโหมใหญ่ที่เกาะกุมทั่วร่างทำให้ทั้งคิงและไนท์พูดอะไรไม่ออก ซึ่งไนท์ก็ตกอยู่ในอาการเครียดระคนเศร้า นึกเสียใจที่ตัวเองถามออกไปเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นในชั่วเวลาสั้นๆ


ความจริงเป็นสิ่งที่โหดร้ายและเจ็บปวดเสมอ วันนี้เองที่ไนท์กับคิงได้รับความรู้สึกนั้นอย่างชัดเจน


"ส่วนเรื่องวง" จ้าวพูดเสียงเรียบกลอกตาไปทางอื่นไม่กล้ามองสายตาผิดหวังของเพื่อนตัวเอง "...กูจะออกไปเล่นคนเดียว"


ทุกอย่างในโลกใบนี้มีมุมมืดเช่นเดียวกับธุรกิจวงเพลงที่ฉากหน้าดูดีก็จริงแต่สิ่งที่ซุกซ่อนใต้พรมนั้นมีมากจนนับไม่หวาดไม่ไหว วงโอเมก้าก็คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้พรมเหล่านั้น เหล่าโอเมก้าที่ขายเพลงตัวเองพร้อมกับเรือนร่าง พวกเขาอาจจะไม่อยากทำแบบนั้น แต่ทางเลือกของโอเมก้าก็ไม่ได้มีให้เลือกมากนัก คนส่วนใหญ่แค่ได้ยินคำว่าโอเมก้าก็เบือนหน้าหนีแล้ว ถึงแม้จะอยากเป็นแบบวงเบต้าหรือวงอัลฟ่ายังไงพวกเขาก็ทำไม่ได้เพราะอคติที่บังตา


ไม่มีใครยอมรับให้โอเมก้าขึ้นมาอยู่บนชั้นเดียวกับตัวเอง มนุษย์ส่วนใหญ่นั้นก็คล้ายกับเด็กที่กำลังหาที่ระบายของตัวเองเมื่อไม่ได้ดั่งใจและโอเมก้าก็รับมันไว้ทั้งหมด ความเน่าเฟะของสังคม ความผิดของอัลฟ่า การอุ้มท้องแทน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เลวร้ายหรือคนส่วนใหญ่ไม่ต้องการล้วนมีโอเมก้าแบกรับไว้


หากจะเปรียบก็คงคล้ายกับสังคมฝั่งยุโรปในสมัยก่อน ที่คนขาวเหยียดพวกคนดำและเรียกว่านิโกร ซึ่งตอนนี้ฐานะของโอเมก้าก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่นัก เผลอๆ อาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำไป


แต่เพราะทำอย่างอื่นไม่เป็นนอกจากร้องเพลงกับเต้น จ้าวก็คงมีทางเลือกไม่มากนักสำหรับชีวิตใหม่ของตัวเอง จ้าวเหลือบมองเพื่อนตัวเองที่ยังคงช็อคอยู่แล้วผลุดลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเรียบเฉย พยายามตีตัวออกห่างให้มากที่สุด นี่คงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับวงมูนไลท์


วงที่หัวหน้าวงเป็นโอเมก้า


จ้าวยิ้มเยาะตัวเองแล้วสาวเท้าออกจากห้อง ตั้งใจจะไปสถานที่หนึ่งที่นึกอยากไปมาตลอดตั้งแต่ที่ถูกตรองจำไว้ในเรือนจำ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อถูกเรียกด้วยเสียงแผ่วๆ ของมือเบสที่มักจะมองมาที่ตัวเองด้วยสายตาเทิดทูนอยู่เสมอ


ความจริงก็ใช่ว่าจ้าวจะโง่ไม่รู้เพียงแต่ไม่ได้พูดมันออกมาเท่านั้น จ้าวล้วงมือเข้ากระเป๋าเสื้อกันหนาวฮู้ดสีดำที่ตั้งใจใส่มาปกปิดตัวตนโดยเฉพาะ เมื่อนิ้วมือสัมผัสกุญแจโลหะเย็นเฉียบก็เผลอยิ้มออกมานิดๆ อย่างน้อยสิ่งนี้ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้เขาไม่เป็นบ้าตายซะก่อน


"..จ้าวมึงจะไปไหน" เพราะไม่เห็นสีหน้าจ้าว คิงจึงไม่รู้สึกนิดว่าเจ้าของแผ่นหลังผอมๆ นั่นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่


"...ที่สักที่ที่แสงจันทร์ส่องไม่ถึง"


พูดจบจ้าวก็ออกจากห้องทันทีโดยไม่พูดอะไรอีก


สิ่งที่จ้าวพูดไปนั้นคือเนื้อเพลงท่อนนึงของวงมูนไลท์ ไม่แน่ใจเพราะอะไรเหมือนกันที่ทำให้หลุดพูดประโยคนั้นออกไป อาจจะเป็นเพราะสถานที่ที่เขาจะไปนั้นคงจะมืดจริงๆ ล่ะมั้งถึงได้พูดออกไป จ้าวหัวเราะนิดๆ และส่ายหัวให้กับความขี้ยึดติดไร้สาระของตัวเอง ยังไงซะพวกมันก็คืออดีตไปแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะพูดถึงมันอีก


ร่างผอมค่อยๆ เดินเลาะไปหลังบ้านเพื่อที่จะออกประตูหลังที่เป็นซอยที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่ เมื่อเดินมาถึงที่ก็หลุดยิ้มกว้างออกมาเพราะลูกรักของตัวเองจอดสนิทอยู่ที่เดิม นัยน์ตาสีดำเป็นประกายระยับเพราะพอดึงผ้าคลุมกันฝุ่นออก มันก็ยังคงเหมือนเดิม เป็นสีดำน่าเกรงขามขนาดใหญ่พอประมาณและน่าหลงใหลเอามากๆ ซึ่งถ้ามันเป็นมนุษย์จ้าวคงยอมพลีกายให้มันอย่างง่ายดาย


หมวกกันน็อกสีดำรูปทรงทันสมัยก็ยังคงอยู่ดี จ้าวยิ้มจนตาหยีกับตัวเองแล้วหยิบมันมาสวมและกระโจนขึ้นคร่อมลูกรักที่ให้ชื่อเล่นๆ ว่าชาโคล พอลองสตารท์เครื่องดูก็ส่งเสียงกระหึ่มตอบรับเป็นอย่างดี อีกทั้งน้ำมันยังถูกเติมจนเต็มถัง แสดงให้เห็นชัดถึงการดูแลเอาใจใส่อย่างดีมาตลอด ซึ่งจ้าวก็เดาว่าน่าจะเป็นฝีมือของป้าหมวยที่เป็นแม่บ้านประจำบ้านซึ่งเข้ามาทำเป็นรายอาทิตย์เพราะครอบครัวนี่หวงแหนความเป็นส่วนตัวมาก


แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ นี้กลับทำให้จ้าวรู้สึกดีขึ้นนิดๆ จากเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่ประสบอยู่ตอนนี้ ถึงแม้โลกของเขา ตอนนี้จะมืดจนมองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเองแต่ขอเพียงแค่มีเทียนเล่มเล็กๆ สักเล่มก็ทำเขาอุ่นใจแล้ว


"ขอบคุณนะครับสำหรับคำตอบแบบพี่ที่ีดี"


แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในมือวูบดับ จ้าวตกลงอยู่ในความมืดอีกครั้ง แม้แต่เทียนสักเล่มในมือเขาคนนั้นยังไม่ยินยอม


"...ไม่ไปทำงานเหรอ" จ้าวเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนกและพึมพำถามเสียงแผ่วเบาไม่เต็มเสียง มือสั่นเทาหวาดกลัวว่าจะถูกกักบริเวณเพราะนักโทษโอเมก้าระดับสูงอย่างเขา ผู้ดูแลมีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้เพื่อควบคุมพฤติกรรม


"ก็จะไปอยู่ครับ แต่เผลอไปได้ยินอะไรเลี่ยนๆ เข้าซะก่อน" นายแพทย์หนุ่มยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นร่างผอมสั่นเทาจนน่ากลัว ก่อนที่จะเดินไปอ้อมไปลูบหลังเบาๆ เหมือนเอ็นดูนักหนา


"...อือ" จ้าวครางรับหลับตาแน่นหัวใจเต้นโครมคราม เหงื่ออันที่ไร้ที่มาหยดซึมจนชุ่มหลัง


"บอกเลยนะครับ" แฝดน้องที่ร่างใหญ่กว่าเท่านึงน้อมหัวลงมากระซิบข้างหูจ้าว "ว่าผมไม่ซึ้ง"


อดีตนักร้องนำตัวสั่นเทาเป็นลูกนกแทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อได้ยินชัดๆ ข้างหูแบบนั้น


จันทร์ไหวไหล่หัวเราะเหอะแล้วเดินกลับไปหารถตัวเองที่จอดหน้าบ้าน "แต่เอาเถอะ จะไสหัวไปไหนก็ไป ผมอนุญาต ถือซะว่าทำบุญทำทาน ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องมาเจอกันอีก"


จ้าวพูดอะไรไม่ออกขณะที่มองตามแผ่นหลังแกร่งที่ประกอบอาชีพที่ได้ชื่อว่าเป็นอาชีพที่ช่วยเหลือผู้อื่นแต่กลับเลือดเย็นกับพี่ชายแท้ๆ อย่างเขาซะเหลือเกิน


เขาไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับน้องกลายเป็นรอยร้าวตอนไหนด้วยซ้ำ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขารักน้องมากๆ ทุกลมหายใจเข้าออกนั้นมีเรื่องของจันทร์ในหัวเขาเสมอ บ่อยครั้งในวัยเด็กที่เขายอมทำอะไรๆ แทนจันทร์ที่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอกว่า มีหลายเหตุผลที่เขายอมอะไรมากมายให้กับน้องชายฝาแฝดของตัวเองโดยไม่หวังผลตอบแทนอะไร เขาเคยได้ยินว่าฝาแฝดจะมีสายใยบางๆ ที่เชื่อมกันไว้ด้วยซ้ำ แต่สำหรับระหว่างเขากับน้องคงจะไม่มีสายใยที่ว่าล่ะมั้ง ทุกอย่างเลยกลายเป็นแบบนี้


จ้าวถอนหายใจและจัดแจงตัวเองให้พร้อมกับการออกไปเผชิญกับโลกภายนอก มือผอมดึงแขนเสื้อกันหนาวตัวเองให้ยาวจนถึงข้อมือเพื่อปกปิดสัญลักษณ์และใส่แมสปิดปากสีดำป้องกันคนจำได้ ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยการดึงหมวกฮู้ดขึ้นคลุมทั้งหัวตัวเอง


ใช่ว่าจ้าวจะไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่เรื่องบางเรื่องมันก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ นอกจากปล่อยให้มันเป็นไปตามครรลองของมัน ทุกอย่างตอนนี้มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วและเขาที่ต้องใช้ชีวิตต่อไป ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันจะยาวนานแค่ไหน อาจจะปีสองปีหรือแค่สัปดาห์เดียว


จ้าวยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนที่เข้มแข็งขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นจ้าวเมื่อก่อนหรือจ้าวตอนนี้ก็ล้วนแต่เป็นเขาเหมือนกัน เพียงแต่ว่าจ้าวคนก่อนนั้นสามารถปิดบังความอ่อนแอของตัวเองได้มิดชิดกว่าก็เท่านั้น ทุกคนจึงมองว่าเขาเข้มแข็ง ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เลยสักนิด ทุกๆ ครั้งที่เกิดปัญหาถึงแม้จ้าวจะยิ้มรับและให้กำลังใจคนอื่นแต่ลึกๆ แล้วก็มักจะเผลอแสดงความอ่อนแอออกมาอยู่บ้างและเขาก็คาดหวังว่าจะมีใครสังเกตเห็นมัน แต่ก็น่าเสียดายที่นอกจากตัวจ้าวเองและน้องชายฝาแฝดแล้วคงจะไม่มีใครสังเกตเห็นมันแม้แต่ครั้งเดียว


ร่างผอมสำรวจตัวเองซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าไม่เห็นทั้งตรงข้อมือและปลอกคอแน่ๆ จึงค่อยออกจากบ้านด้วยความทุลักทุเลเพราะไม่ได้จับลูกรักมานาน แต่ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็สามารถชินกับมัน


และวิ่งสู่โลกภายนอกที่ไม่ได้เจอมาตลอดห้าปี

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
จันทร์เป็นคนทำหรือเปล่า  :ling1:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อ่านแล้วก็สงสารจ้าว ต้องมาเป็นแพะรับบาปแทนจันทร์รึป่าว แล้วแฟนคลับผู้ชายเจ้าของกุหลาบขาวคนนั้นจะมีบทเด่นๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยไหม

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
น่าสนใจ :กอด1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ดูซับซ้อนน่าดู

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 3 : Sin of Lion p.1
«ตอบ #10 เมื่อ23-03-2018 16:18:16 »

ตอนที่ 3



ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น การจราจรที่แออัด อากาศที่ร้อนระอุตลอดวันทั้งๆ ที่เป็นฤดูหนาว ผู้คนมากมายที่เดินสวนกันไปมาตามท้องถนนเพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง

หัวใจของจ้าวบีบรัดแน่นเมื่อมาหยุดที่ไฟแดงและข้างๆ ตัวเองเป็นอัลฟ่าที่ใช้มอเตอร์ไซต์รุ่นเดียวกันและสีเดียวกันพอดี เรียกได้ว่าโคตรบังเอิญมากๆ ซึ่งฝ่ายเจ้าของรถก็เห็นความคล้ายนี้พอดีก็ฉีกยิ้มชวนคุยอย่างเป็นมิตรเพราะมีแต่คนที่รวยระดับอัลฟ่าเท่านั้นที่สามารถครอบครองมอเตอร์ไซต์ที่ราคาแพงขนาดนี้ได้

"บังเอิญจังนะครับ เหมือนกันหมดเลย" ถึงแม้ใบหน้าอีกฝ่ายจะซ่อนไว้หลังหมวกกันน็อกสีดำทึบแต่จ้าวก็สัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรและกลิ่นเฉพาะตัวของอัลฟ่าอ่อนๆ ชวนให้รู้สึกแปลกๆ

จ้าวขบกรามแน่นเพราะเมื่อก่อนเขาไม่เคยมีอาการบ้าๆ นี้สักนิด อาการคล้ายกับพวกโอเมก้าที่เข้าใกล้พวกอัลฟ่าในช่วงฮีท ซึ่งอาการพวกนี้มันเพิ่งเกิดขึ้นตอนที่เขาได้รับยาต่อต้านฮอร์โมนอัลฟ่าจนตอนนี้เขากลายเป็นเบต้าเต็มตัวแล้ว แต่กลับมีอาการแปลกๆ ไม่หยุด ราวกับว่าฮอร์โมนในร่างกายจะเปลี่ยนไปเป็นโอเมก้าจริงๆ ตามที่ตรากฎหมายว่าไว้

ซึ่งเขาไม่มีวันบอกเรื่องนี้ให้น้องรู้เด็ดขาดเพราะคนที่พัฒนาตัวยามาฉีดเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกลเลยสักนิด เป็นน้องเขาเองที่เป็นเจ้าของโครงการนี้และใช้รูปเขาในการโปรโมทอีกด้วย มันเป็นเรื่องที่จ้าวอยากจะบ้า อยากจะตายๆ ให้จบไป เพราะยานี่ผลข้างเคียงเยอะมาก

ฮอร์โมนในร่างกายเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันจะแปรปรวนคล้ายกับผู้หญิงในวันนั้นของเดือน มันเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาควบคุมอารมณ์ได้ยากอย่างที่ควรเป็น ไหนจะร่างกายที่ต่อต้านยานี่อีก มีบางวันที่เขาลงไปกรีดร้องบนพื้นด้วยซ้ำกับความร้อนจนแทบแผดเผาร่างของเลือดในกาย มันร้อนไปหมดราวกับเตือนเขาว่ามีอะไรเปลี่ยนไปในร่างกายเขา ซึ่งช่วงหลังนี้ดีหน่อยที่ไม่มีอาการน่ากลัวอะไรโผล่ออกมาอีกแล้ว

ซึ่งจ้าวก็หวังลึกๆ ว่าตัวเองจะยังคงเหมือนเดิม เขาโอเคกับการเป็นเบต้า ชนชั้นปกติในสังคมหรือแม้กระทั่งโอเมก้าก็ได้ แต่ขออย่าให้ร่างกายเขาเปลี่ยนไปเป็นโอเมก้าอย่างสมบูรณ์เลย มันไม่ใช่เรื่องดีสักนิดที่จะฮีททุกเดือนและต้องระวังพวกอัลฟ่าที่อยู่ในช่วงฮีทพอดี

"ฮัลโหลๆ ยังอยู่รึเปล่าครับ" อีกฝ่ายยังคงยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีแม้คู่สนทนาจะเงียบไปนานมาก "เอาเถอะ คุณไม่พูดงั้นผมพูดแทนก็ได้" ใบหน้าที่ซ่อนไว้ใต้หมวกกันน็อกยิ้มเอ็นดูร่างผอมตรงหน้าที่ขับรถไม่เข้ากับขนาดตัวเอาซะเลย "ผมซื้อมอไซต์คันนี้ตามนักร้องคนนึงครับ คนที่คุณน่าจะรู้นะครับว่าใคร"

มือผอมสั่นเทาและกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากเย็น หูอื้ออึงจนไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายพูด ได้ยินแค่เสียงแว่วๆ ที่ให้เดาก็คงจะเป็นคำด่าทอหรืออะไรสักอย่างที่ผู้คนทั้งหลายตราหน้าเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ฆาตกร



ปิ้น!!!



จ้าวสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกกระชากสติกลับมาด้วยเสียงแตรยาวเหยียด รีบตั้งสติขับต่อไป ใช้เวลาพักใหญ่จ้าวก็พาตัวเองมายังจุดหมายได้ ซึ่งก่อนที่จะเข้าไปจ้าวก็เลือกที่จะฝากรถในห้างใกล้ๆ แล้วจึงเดินเท้าค่อยเข้าไปเพราะสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่น่าพิสมัยอะไรนัก

ภายใต้ความเจริญย่อมมีสิ่งที่ซุกซ่อนไว้หลังฉาก สถานที่นี้ก็คือสถานที่ที่ว่า แหล่งรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้คนปฏิเสธการมีอยู่หากแต่ก็มักจะเป็นผู้ที่เข้ามาใช้บริการหรือจับจ่ายใช้สอยอยู่เสมอ สำหรับคนทั่วไปแล้วจะเรียกที่นี่ว่า 'ซ่องนกพิราบ' แต่ถ้าเป็นพวกโอเมก้าหรือคนในเรียกกันเองจะเรียกว่า 'ร้านของชำ'

สาเหตุที่เรียกแบบนี้เพราะร้านของชำนั้นมีทุกอย่างที่ทุกคนต้องการจริงๆ ตั้งแต่มนุษย์ยันยารักษาโรค อาวุธปืน ของเถื่อนทุกชนิด ซึ่งแทบทุกตารางนิ้วของสถานที่นี้นั้นก็มีนกพิราบเกาะอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้ทรุดโทรมอย่างที่คนส่วนใหญ่คิดกัน มันก็เหมือนตลาดทั่วไปเพียงแต่ว่าของครบครันกว่าเท่านั้น อาคารพาณิชย์เก่าๆ ที่เปิดอยู่ก็มีร้านดอกไม้ ร้านขายเหล้า ตามที่มันพึงมี

หากแต่ขณะนี้เวลาบ่ายกว่าๆ แดดกำลังแรงได้ที่ คนที่เดินอยู่ตามถนนจึงไม่ชุกชุมมากนัก

จ้าวกระชับเสื้อฮู้ดดำตัวเองครั้งนึงแล้วเดินช้าๆ เข้าไปตามถนน สายตาสอดส่ายหาร้านที่ตัวเองต้องการโดยนึกถึงคำพูดติดจะขี้เล่นของเจ้าของร้านในหัว

'เนี่ย ถ้าจะมานะ เดินตรงไปเลย เดินไปเรื่อยๆ หาร้านไหนป้ายใหญ่ๆ มีคำว่า TATTOO กับรูปสิงโต นั่นแหละ ร้านกู'

ทั้งๆ ที่คำบอกทางฟังดูง่ายแต่พอมาทำจริงมันกลับไม่ง่ายสักนิด อดีตนักร้องดังแทบจะตาลายและเป็นลมแดดตายคาถนนเมื่อเห็นจำนวนร้านรวงมหาศาลที่เปิดเต็มข้างทาง ไหนจะสายตาแปลกๆ ของพวกเจ้าของร้านกับพวกคนที่เดินอีก มันทำให้จ้าวรู้สึกตัวหดเล็กลงกว่าเดิมเท่าตัว

หลังของจ้าวลู่ลงอย่างเสียความมั่นใจเมื่อมีอัลฟ่าเดินผ่านตัวเองด้วยท่าทางรังเกียจนิดๆ

"...เฮ้ย! น้อง"

จ้าวสะดุ้งเฮือกหันตามเสียงหวาดๆ พบว่าเสียงนั่นไม่ได้คุยกับตนแต่ไปคุยกับโอเมก้าชายร่างเล็กซึ่งมีโชคเกอร์สีดำอันเป็นสัญลักษณ์ของโอเมก้าอยู่ที่คอในมือถือกีตาร์เก่าๆ ด้วยสีหน้าหวาดกลัว

"กีตาร์นั้นกูขอได้ไหมวะ? " คนที่พูดอยู่นั้นเป็นเบต้าที่มาเที่ยวร้านของชำแล้วเกิดบังเอิญเห็นโอเมก้าพอดี ซึ่งเขาก็อดไม่ได้ที่จะกดขี่อีกฝ่ายให้ต่ำลงอย่างนึกสนุก

"ไม่ได้ครับ" โอเมก้าหนุ่มตัวสั่นเทากอดกีตาร์ตัวเองแน่น

"ทำไมวะ? ให้กูมึงก็ซื้อใหม่ดิ จะยากอะไร" ไม่ว่าเปล่าสาวเท้าเข้าไปหาอย่างเอาเรื่องเล่นเอาคนโดนหาเรื่องตกใจลนลานถอยหลังจนสะดุดล้มหงายหลังเกิดเป็นเสียงหัวเราะดังลั่นทั่วบริเวณสำหรับคนที่เห็นเหตุการณ์ ส่วนเจ้าหนุ่มต้นเรื่องหลังจากแกล้งจนพอใจก็ไหวไหล่แล้วเดินจากไปด้วยอารมณ์ที่ดียิ่งกว่าเดิม

แน่นอนว่าทั้งสองคนไม่รู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ

จ้าวพูดอะไรไม่ออกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่กล้าแม้แต่ที่จะออกตัวไปช่วยด้วยซ้ำเพราะสถานภาพของตัวเองก็ไม่ได้ต่างกันเท่าใดนัก จ้าวมองร่างเล็กที่ค่อยๆ ยืนแล้วเดินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยความรู้สึกเหมือนจะร้องไห้

เพราะมันตีความหมายได้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเขานับไม่ถ้วนแล้ว ครั้งนี้ก็คงจะเป็นอีกครั้งที่เกิดขึ้นกับเขาและคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้น

จ้าวเม้มปากแน่นรีบสาวเท้าเดินต่อไวๆ พยายามหาร้านของเพื่อนเขาให้ไวที่สุด การอยู่ที่นี่นานๆ คงไม่ใช่เรื่องที่ปลอดภัยกับเขาเท่าไหร่นัก เขาไม่แน่ใจเลยว่าถ้าเกิดตัวเองโดนยำขึ้นมาจะมีใครหิ้วส่งโรงพยาบาลรึเปล่า

ปลายเท้าเผลอหยุดไปครู่หนึ่งแต่ก็ก้าวต่อ

ตลกดีที่หน้าของคนๆ นั้นปรากฎขึ้นมาในหัว แต่เชื่อเถอะว่าแค่เห็นหน้าเขาแถวหน้าโรงพยาบาลก็คงใช้ยามสักคนมาลากตัวเขาไปโยนไว้แถวกองขยะสักที่ เหมือนจะเวอร์? ไม่หรอกมันเคยเกิดขึ้นแล้ว ตอนนั้นพอตื่นขึ้นมาได้ก็สติแตกจนมีคนมาเจอตัวก็โดนเฉดหัวกลับเข้าไปในคุกต่อ

มันเป็นอิสรภาพช่วงสั้นๆ ที่ห่วยแตกสิ้นดี นกปีกหักอย่างเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งเสียงร้องดังลั่นตะเกียกตะกายจะเอาชีวิตรอด คาดหวังให้ปีกของตัวเองกลับมาแข็งแรงดังเดิมสักทีแต่ก็ทำได้แค่เพียงคิดเพราะกระดูกภายในแหลกละเอียด แม้แต่แรงที่ยกปีกเขายังไม่มีด้วยซ้ำ

'น่าสมเพช คนอย่างมึงควรจะตายๆ ไปสักที'

เสียงเย้ยหยันของตัวเองดังก้องในหัว ซึ่งจ้าวก็เห็นด้วยกับมัน

ทำไมเขาๆ ไม่ตายไปสักที หากการมีอยู่ของเขามันทำให้คนอื่นเกลียดชังซะขนาดนั้น ทำไมไม่มีใครสักคนเอาปืนมายิงเขา ทำไมน้องเขาถึงไม่ยอมฉีดยาให้เขาตายๆ ไปในตอนที่เขาอ้อนวอนขอความตาย

นกที่ไม่สามารถบินได้แล้วอย่างเขามันไม่สมควรมีชีวิตอยู่หรอก แต่จะให้เขาปลิดชีวิตด้วยตัวเองเขาก็ไม่กล้าพอเหมือนกัน ทุกครั้งที่หยิบมีดขึ้นมามือของเขาสั่นเทาเป็นเจ้าเข้า ร้องไห้สะอื้นจะเป็นจะตาย ไม่รู้ว่าจะเศร้าอะไรนักหนา สุดท้ายการฆ่าตัวตายของเขาก็ไม่สำเร็จสักที

นกพิกลพิการอย่างเขาจึงยังอยู่ดีในกรงเหล็กสนิมเขรอะ

"พี่ครับ"

"..."

"พี่ๆ "

แรงกระตุกชายเสื้อแรงๆ ทำให้จ้าวรู้ตัวว่าอีกฝ่ายกำลังคุยกับตัวเองอยู่ จ้าวปาดน้ำตาทิ้งลวกๆ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอหยุดเดินและร้องไห้ตอนไหน จ้าวสูดหายใจฮึกๆ กลืนก้อนสะอื้นแล้วถามเด็กชายซึ่งสวมโชคเกอร์สีดำบนคออย่างสุภาพ

"มีอะไรเหรอครับ? "

แปลกที่จ้าวรู้สึกว่านัยน์ตาสีดำกลมโตของเด็กชายนั่นดูบริสุทธิ์เหลือเกิน เขาไม่อยากคิดเลยว่าวันไหนที่แววตาแบบนี้จะถูกทำลายไม่มีชิ้นดี

เด็กชายยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยว รู้สึกชอบพี่ชายตรงหน้าแปลกๆ ที่ยอมคุยด้วยกับตัวเองอย่างสุภาพต่างจากผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่มักจะมองมาอย่างแดกดันและหยาบโลน หากแต่เมื่อเงยหน้ามองต้นคอของพี่ชายดีๆ ก็พบว่าสวมปลอกคอเหล็ก ซึ่งมันก็ทำให้เด็กชายเข้าใจว่าพี่ชายเป็นโอเมก้าเหมือนตัวเอง แต่อย่างไรก็ตามความสุภาพของพี่ชายตรงหน้าก็ชนะทุกอย่าง

"นี่! " เด็กชายยื่นดอกกุหลาบที่ซ่อนไว้ด้านหลังตัวเองให้พี่ชายแล้วยิ้มจนตาหยี "มีคนฝากมาให้พี่ชายแหละ! "

"ขอบคุณครับ" จ้าวยิ้มนุ่มนวลให้เด็กชายถึงแม้ว่าจะรู้ว่ามันถูกปิดบังไว้ใต้ผ้าปิดปาก มือผอมรับกุหลาบขาวมาถือด้วยความรู้สึกแปลกๆ เพราะสีของกุหลาบดูจะคุ้นหน้าคุ้นตาซะเหลือเกิน

กุหลาบสีขาว..

"ใครให้พี่เหรอครับ" จ้าวยกกุหลาบขึ้นมาดมได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีขึ้นมานิดๆ

ความเจ็บปวดที่เกาะกุมในอกมาตลอดห้าปีคล้ายจะบรรเทาลงชั่วขณะ

เด็กชายยิ้มแล้ววาดแขนเหนือหัวตัวเองลงมายังพื้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าพี่ชายตัวใหญ่มาก "เป็นพี่ชายตัวใหญ่มากก หล่อมากด้วย ผมว่าเขาต้องชอบพี่ชายแน่ๆ! " ว่าจบก็หัวเราะคิกคัก

จ้าวอยากจะยิ้มตามเด็กชายแต่ก็ทำไม่ได้ "แล้วเขายังอยู่แถวนี้ไหมครับ? " มองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวงซึ่งก็เห็นเข้ากับร้านดอกไม้ใกล้ๆ พอดี โดยหน้าร้านนั้นมีตะกร้าดอกไม้ต่างๆ วางเรียงเต็มไปหมดแต่ไม่มีดอกกุหลาบสีขาวปะปนอยู่ในนั้น

"งืออ ผมไม่รู้อ่ะ" เด็กชายส่ายหัวดิกแรงๆ "ผมไปละ! บ๊ายบาย พี่ชาย" แล้วโบกมือหยอยๆ ให้จ้าวก่อนที่จะวิ่งหนีหายเข้าไปในซอยใกล้ๆ

จ้าวก้มมองดอกกุหลาบในมือ ใจนึงก็อยากทิ้งแต่อีกใจก็ทำไม่ลง

มันทำให้นึกถึงเจ้าของดอกกุหลาบสีขาวคนนั้นอย่างประหลาด แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้อีกนั่นแหละ ไม่มีใครรู้หรือแม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำว่าเขาออกจากคุกแล้ว พวกนักข่าวที่เคยญาติดีกับเขาก็แปรพักตร์กันไปเป็นพวกน้องเขาหมดแล้ว ไม่มีใครคิดจะสนใจเขาจริงๆ หรอก

สุดท้ายจ้าวเก็บมันเข้ากระเป๋าแล้วเดินหาร้านที่ว่าต่อและเคราะห์ดีที่มันอยู่ใกล้ๆ พอดี จ้าวดีใจจนเนื้อเต้นรีบเดินไปหยุดยืนหน้าร้านและพิจารณาร้านตามข้อมูลที่ตัวเองได้ยินมา

ป้ายแท็กทู.... มี

รูปสิงโต... มี

จ้าวยิ้มออกมาเพราะร้านของเพื่อนเขาสวยและดูหรูหราผิดจากที่คาดไว้เยอะ มันเป็นร้านเล็กๆ สไตล์โมเดิรน์เน้นโทนดำมีรูปตัวอย่างลายสักเท่ๆ ประดับหน้าร้านซึ่งเป็นกระจกใสสีเทาทั้งหมดอยู่ประปราย

หากแต่เมื่อมองไปเรื่อยๆ จ้าวก็ยิ้มไม่ออกเพราะป้ายที่แขวนตรงลูกบิดประตูมันแขวนว่าปิด จ้าวยืนคิดอยู่สักพักก่อนที่จะผลักบานประตูเข้าไปทันทีและต้องเผลอหลุดยิ้มออกมาเพราะมันเป็นตามที่เขาว่าไว้จริงๆ

'ไม่รู้เป็นอะไรว่ะ กูถึงชอบลืมล็อกประตูร้าน เวลามันมาทีไร หนีไม่ทันทุกที'

จ้าวไม่แน่ใจนักว่ามันที่ว่าคือใครกันแน่เพราะสีหน้าของคนพูดดูจะหงุดหงิดและไม่พอใจเอามากๆ ตอนนั้นเลยทำแค่นั่งฟังเงียบๆ อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวซึ่งตอนนี้เขาก็สวมบทที่ว่าพอดี ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่โดนโกรธเอา

ร่างผอมเดินเข้าไปในร้านที่มืดสลัวด้วยความรู้สึกกลัวนิดๆ สายตาพยายามสอดส่องหาคนที่ต้องการจะเจอแต่ก็ไม่เจอสักที มีแต่ขนมที่วางกองอยู่เต็มพื้นไปหมด จ้าวจึงเดินเลาะไปหาบันไดที่อยู่ตรงมุมห้องเพื่อที่จะไปหาอีกฝ่ายที่ชั้นสองซึ่งน่าจะเป็นห้องนอนอะไรทำนองนั้น

"ใครวะ!! "

แรงกระชากมหาศาลทุ่มตัวผู้บุกรุกลงบนเบาะในชั่วพริบตา ก่อนที่จะใช้มือกุมลำคอเหนือปลอกคอเหล็กและตะคอกเสียงดังลั่นอย่างเอาเรื่อง "มึงต้องการอะไร!! "

จ้าวตกอยู่ในความอึ้งเพราะเหตุการณ์เมื่อกี้นี้สิริรวมๆ แล้วไม่ถึงห้าวินาทีด้วยซ้ำ เขายังไม่ทันตกใจก็มาอยู่ในสภาพแบบนี้แล้ว จ้าวกระพริบตาปริบแต่พอสติกลับมาก็ยิ้มกว้างลืมความเจ็บปวดจากแรงกระแทกรุนแรงและแรงบีบรัดที่ลำคอ

"..ซิน" จ้าวครางชื่อในลำคอยิ้มจนตาหยีเมื่อพบคนที่ต้องการสักที

โอเมก้าหน้าสวยที่เขารู้จักครั้งแรกในคุก เป็นผู้ชายร่างโปร่งตัวเล็กกว่าและเด็กกว่าเขาแต่กลับเก่งไปหมดซะทุกอย่างเท่าที่คนๆ นึงจะเก่งได้ ทั้งฉลาดเป็นกรด เก่งด้านการสักมากจนสามารถเปิดร้านสัก 'Sin of Lion' ร้านสักชื่อดังที่อัลฟ่ายอมสักแม้ว่าคนสักจะเป็นโอเมก้าที่น่ารังเกียจก็ตาม

อีกทั้งซินยังเป็นคนเดียวที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยนในคุกที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายและเห็นแก่ตัว

"เดี๋ยวนะ" เจ้าของชื่อคลายมือออกและผลที่ได้คือจ้าวไอค่อกแค่ก "..เสียงนี้? อย่าบอกว่ามึงคือจ้าว มูนไลท์"

"อือ" จ้าวพยักหน้ารับด้วยความยินดี "คิดถึงไหม" และหลุดขำก็สีหน้าช็อคของซิน

"มึงไม่ได้ติดคุกยี่สิบเหรอวะ"

จ้าวยิ้มเฝื่อน "พ่อกับแม่ช่วยน่ะ โทษเลยเหลือแค่ห้าปี"

ซินทำหน้าเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดและเดินไปเปิดไฟเพื่อให้ห้องกลับมาอยู่ในความสว่างอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อแค่เขาเดินไปเข้าห้องน้ำแปปเดียวแล้วกลับมาจะเจอคนน่าสงสารที่เขาเคยอุปการะในคุกซะได้ "จ้าว ตอนนี้มึงหนักเท่าไหร่"

"อืมม จำไม่ได้" จ้าวหัวเราะแห้งๆ "ไม่เคยได้ยินเหรอ เวลาเจอกันเขาห้ามทักเรื่องน้ำหนัก"

"เออ เขาใช้กันทั้งประเทศยกเว้นกับมึง" ซินหน้ามุ่ยแล้วเดินเข้าไปถอดเสื้อจ้าวที่นั่งเจี่ยมเจี๊ยมบนโซฟา ถอดไปถอดมาพอเจอซี่โครงแบบชัดๆ ก็โวยวายดังลั่น "จ้าวมึงแดกอะไรมั้งไหมเนี่ย โอ้ย กูว่ากูสั่งให้มึงกินข้าวแล้วนะ"

"ก็มันไม่อร่อย"

"เออ ไม่อร่อยก็ต้องกิน หันหลังมา" ซินออกคำสั่งซึ่งจ้าวก็ทำตามคำสั่งอย่างรู้งานด้วยการเลิกเสื้อตัวเองขึ้นด้วยให้เห็นรอยสักอีกาสีดำที่ถูกหอกแทกเข้าที่ปีกจนพิการ

"สวย" ซินยิ้มอย่างพอใจแล้วนั่งลงข้างๆ จ้าวและพิจารณาอีกฝ่ายด้วยสีหน้านิ่งๆ จ้าวผอมลงกว่าเดิมเยอะมาก ยิ่งรอยแผลเป็นจางๆ กับรอยสดใหม่บนข้อมือบางยิ่งทำให้ซินรู้สึกเศร้ามากกว่าดีใจที่จ้าวมาหาตัวเอง "คิดยังไงมาหากู? คิดถึงเหรอ"

จ้าวทิ้งตัวใส่พนักพิงและหลับตา "อือ ก็ส่วนนึงแล้วก็มาหางานด้วย"

"แล้ววงมึง? "

"…"

โอเมก้าหน้าสวยรู้สึกอยากตบปากตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดเพราะดูเหมือนเขาจะพลาดพูดเรื่องแทงใจดำเกินไป จ้าวถึงได้มีสีหน้าเจ็บปวดถึงเพียงนั้น สำหรับเขาแล้ว จ้าวก็คือคนที่ถูกชะตาด้วย เป็นอัลฟ่าที่น่าสงสารที่ถูกสังคมตีตราว่าเป็นฆาตกร ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำ เขารู้เพราะจ้าวเล่าให้ฟังคร่าวๆ ถึงสาเหตุที่ถูกจับโยนเข้าคุก

แต่จ้าวกลับไม่เคยปริปากบอกเขาสักคำว่าใครกันแน่ที่เป็นคนฆ่าพริม คู่หมั้นสาวคนนั้นกันแน่

"ก็วงแตกไง ฮ่าๆ " จ้าวหัวเราะเหมือนขำนักหนา "แถวนี้พอจะมีร้านที่รับสมัครนักร้องหรือนักดนตรีที่เป็นโอเมก้าไหม? ว่าจะลองสมัครดู"

ถึงแม้จ้าวจะมีเงินเก็บอยู่เป็นจำนวนมากแต่การอยู่เฉยๆ กินเงินเก่าก็ไม่ใช่สิ่งที่จ้าวต้องการสักเท่าไหร่ การได้ร้องเพลงคือความสุขของนกปีกหักอย่างจ้าว ถึงแม้จะไม่ใช่ในนาม จ้าว วงมูนไลท์ แต่แค่ได้ร้องหรือเป็นนักดนตรีก็ยังดี

"มึงก็รู้ว่าแถวนี้มันมีแต่อะไร"

ซินพูดเสียงเรียบรู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นแววตาของเจ้าสั่นพร่าทั้งๆ ที่บนใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"...ก็คงต้องทำล่ะมั้ง" จ้าวหัวเราะเสียงแผ่วตัวสั่นเทาจนต้องกอดตัวเองพยายามปลอบประโลมตัวเองว่าไม่เป็นไรกับเรื่องทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาก็ต้องยอมรับมันให้ได้ ต่อให้เจ็บปวดเจียนตายเขาก็ต้องพยายามยืนหยัดเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

"มาทำร้านกูก็ได้นะจ้าว" ซินรีบร้อนยื่นข้อเสนอใหม่ สมองที่ปกติมักจะคิดวิเคราะห์ไตร่ตรองอย่างรวดเร็วพอมาเจอจ้าวแล้วมักจะเอ๋อและคิดอะไรไม่ออก "มาเล่นดนตรีที่ร้านกูก็ได้ กูจะได้ไม่ต้องเปลืองไฟเปิดเพลงจากยูทูป"

"ขอบใจแต่ไม่เป็นไร" จ้าวสูดหายใจลึกลูบหน้าตัวเอง "เราคงจะหางานแถวนี้ทำ"

ทั้งๆ ที่พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวแต่กลับทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ทำให้ซินอดไม่ไหวที่จะดึงตัวจ้าวมากอดแล้วลูบหัวเบาๆ

แน่นอนว่าครั้งนี้จ้าวไม่ปฏิเสธอีกทั้งยังมุดหัวเข้าอกเล็กๆ ของซิน

"ขอคำตอบได้ไหม ทำไมถึงไม่ยอมอยู่ร้านกับกู"

แม้แต่ผมที่กำลังลูบอยู่ก็หยาบกร้านคล้ายกับไม้กวาด ยิ่งทำให้ซินเป็นห่วงคนในอ้อมกอดมากขึ้นไปอีก ไม่รู้ว่าระหว่างที่อยู่ในคุกจ้าวต้องเจอกับอะไรบ้าง แค่ตอนที่เขาเจอล่าสุดตอนนั้นก็น่าสงสารมากพอแล้ว คนบ้าอะไรนั่งหัวเราะอยู่คนเดียวใต้ต้นไม้ไม่ก็เขี่ยข้าวไปร้องไห้ไป ดูน่าสงสารจนพวกเจ้าถิ่นหลังๆ เริ่มไม่ยุ่งด้วยเพราะคิดว่าบ้า

สำหรับซินแล้วจ้าวก็เหมือนน้องชาย ต่อให้อายุมากกว่าก็จริงแต่เทียบกันด้านประสบการณ์จ้าวด้อยกว่าเขาเยอะ ในสังคมโอเมก้านั้นคนที่ถีบตัวเองขึ้นมาจนเป็นที่ยอมรับแบบเขาได้นั้นมีไม่มากนัก ซึ่งกว่าจะถึงจุดนี้เขาก็ต้องประสบอะไรมามากเหมือนกัน

แต่ก็นะ สิ่งที่เขาเผชิญกับที่จ้าวเผชิญมันไม่เหมือนกัน ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้เพราะแต่ละคนเข้มแข็งไม่เท่ากัน จ้าวอาจจะเคยเข้มแข็งมากๆ มาก่อนแต่พอโดนเรื่องนี้เข้าไปก็แตกสลายจนไม่เหลืออะไรที่จะยืนหยัดต่อไปได้อีก

"จันทร์คงอยากให้เราเป็นทำแบบนั้นมากกว่า"

คำตอบที่มีตัวแปรแปลกประหลาดอย่างชื่อน้องชายสุดรักสุดหวงของจ้าวทำให้ซินเผลอชะงักมือที่ลูบ

"เกี่ยวอะไรกับจันทร์"

"..."

"จ้าว" ซินกดเสียงเข้ม

"เราไม่อยากรบกวนซิน" จ้าวผละตัวออกห่างแล้วคลี่ยิ้มบางๆ "แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ สำหรับคนอย่างเราน่ะ"

"แล้วมึงคิดว่ามึงออกไปหางานเองแล้วคิดว่าเขาจะจำมึงไม่ได้เหรอ จ้าว" โอเมก้าหน้าสวยเริ่มมีน้ำโหกอดอกถลึงตามองจ้าวอย่างเอาเรื่อง "อีกอย่างนะ มึงไปสภาพนี้ไม่มีใครเอามึงหรอก ผอมกะหร่อง แห้ง โอเมก้าที่มาสายร้องเพลงน่ะ มันต้องสวยว่ะ เขาถึงจะเอา"

"...มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว" จ้าวหัวเราะเสียงแผ่วขณะเดียวกันก็จัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม "จะไปสมัครงานหรือทำอะไรไงเขาก็ดูบัตรประชาชนอยู่ดี ยังไงก็ต้องโป๊ะแตก แต่นักข่าวคงไม่มายุ่มย่ามกับเราหรอก สนุกกันไปตั้งสองปีกว่าจะเลิกเล่นข่าวเรา"

"ก็มาทำงานกับกูก็จบ ง่าย กูให้มึงค่าจ้างขั้นต่ำอัลฟ่าเลยก็ได้ถ้ามึงกลัวไม่พอกิน ยังไงร้านกูวันปกติคนก็แน่นทั้งวันอยู่แล้ว"

ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมัวของเขาดูเหมือนจะมีสิ่งดีๆ อยู่บ้าง

จ้าวรู้สึกอย่างนั้นจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้ซินอย่างจริงใจไม่ได้ ซินเป็นคนที่ดีกับเขาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ดีเกินไปด้วยซ้ำ..

"งั้นเราก็คงจะเลิกร้องเพลง"

จ้าวหลุบตามองพื้นลูบโลหะเย็นเฉียบบนคอตัวเอง

ถ้าเขาจมลงในโคลมตมมีแค่เขาก็พอที่จะต้องอยู่ในนั้น

"เฮ้ย จ้าว มึงอย่างี่เง่าดิ้" ซินโถมตัวเข้าไปกระชากตัวจ้าว "อยู่กับกู จบไหม กูรวย กูมีคนเลี้ยง กูสามารถเลี้ยงมึงได้อีกสิบคนโดยที่ขนหน้าแข้งกูไม่ร่วง"

"เรารู้" จ้าวหลับตา "แต่ช่างเหอะ เราไม่ร้องเพลงก็--- ฮื่ออ"

ซินสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ จ้าวดิ้นทุรนทุรายเนื้อตัวร้อนผ่าวอีกทั้งยังมีกลิ่นจมูกฟุ้งออกมา

"ชะ.. เชี่ย" ซินตัวสั่น "จ้าว อย่าบอกนะว่ามึงฮีท!!!! "

ซินตะโกนลั่นสติแตก

ไม่ต้องเชื่อก็ต้องเชื่อเพราะกลิ่นที่ฟุ้งและรุนแรงออกมาจากจ้าวนี้เป็นกลิ่นแบบเดียวที่เขาเป็น!!




ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 4



คนๆ หนึ่งสามารถเกลียดกันได้มากถึงระดับไหนกัน?

เกลียดมาก เกลียดน้อย เกลียดนิดๆ หรือว่าโคตรเกลียด

กับป้าขี้เมาท์ข้างบ้านอาจจะคำว่าเกลียดนิดๆ

กับหัวหน้าที่ทำงานที่ชอบหาเรื่องพนักงานใหม่อาจจะใช้คำว่าเกลียดมาก

แต่สำหรับจันทร์แล้วคำตอบเดียวที่มีต่อพี่ชายตนเองคงจะเป็นคำว่า 'เกลียดเข้าไส้'







'นายแพทย์จันทร์ นฤภัทร'

คือสิ่งที่จันทร์ในวัยเด็กฝันถึงอยู่ทุกค่ำคืนแทบจะทุกลมหายใจตั้งแต่จำความได้

ช่วงเวลาที่เด็กทั่วไปเล่นในสนามเด็กเล่นคือช่วงเวลาเดียวกับที่สองพี่น้องจันทร์จ้าวกำลังนั่งเรียนพิเศษอยู่ที่บ้านโดยจัดจ้างอาจารย์ชื่อดังหลายๆ ที่ผลัดเวียนกันมาสอนเพื่อเตรียมตัวสำหรับตำแหน่งทายาทของโรงพยาบาลนฤภัทร

ทั้งๆ ที่การเรียนบริหารอาจจะตรงสายกว่าแต่สิ่งที่ตระกูลนฤภทัรต้องการคือคำว่าแพทย์ คำๆ เดียวที่แสนจะทรงพลังที่แค่เห็นคำนี้ก็รู้สึกหวั่นเกรงสุภาพขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ตระกูลนฤภัทรต้องการจุดนี้เพื่อเบิกทางหลายๆ อย่างในอนาคตและรางวัลสำหรับผู้ที่สามารถทำตามแผนได้สำเร็จก็คือการได้นั่งแท่นบริหารสูงสุดของโรงพยาบาล

แปลกที่ตำแหน่งนั้นช่างยั่วยวนอย่างประหลาด เด็กในวัยเพียงเจ็ดขวบอย่างจันทร์มองพ่อตัวเองที่กำลังพูดอยู่บนสุนทรพจน์อยู่บนเวที ดวงตาที่โศกนิดๆ คล้ายกับคนพี่เบิกกว้างอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงปรบมือดังเกรียวกราวจนรู้สึกขนลุก สีหน้าของบุคคลรอบๆ ทั้งอัลฟ่า เบต้า โอเมก้า ทุกคน ทุกชนชั้นที่มาฟังสุนทรพจน์ในวันนี้นั้นล้วนแต่มีแต่ความชื่นชมไม่มีใครสักคนที่มองด้วยสายตาดูแคลน

ชั่ววินาทีนั่นความปรารถนาในตำแหน่งนั้นก็แรงกล้าขึ้นมา หลังจากนั้นจันทร์ก็เรียนอย่างเอาเป็นเอาตายมาตลอดผิดกับแฝดพี่ที่เรียนเรื่อยๆ อย่างเอ้อละเหยลอยชาย มักจะนั่งเหม่อลอย มองนั่นมองนี้ หรือไม่ก็ฮัมเพลงในลำคอเบาๆ และเฝ้ารอเวลาพักเพื่อที่จะได้ไปเล่นเบสและร้องเพลง

สิ่งที่จ้าวทำคือสิ่งที่จันทร์ไม่ทำ

จันทร์ในตอนนั้นมองจ้าวที่ร้องเพลงด้วยสีหน้ามีความสุขคนเดียวหน้ากระจกด้วยสายตาไม่พอใจนัก เพราะมัวแต่เอาเวลาไปทำเรื่องไร้สาระแทนที่จะตั้งใจอ่านหนังสือ แค่นเสียงใส่เหยียดๆ ก่อนที่จะเข้าไปในห้องนอนเพื่อทบทวนบทเรียน

'จันทร์ ตั้งใจมากกว่านี้นะลูก คะแนนไม่ดีเลย ดูพี่จ้าวสิ ได้คะแนนเต็มอีกแล้ว'

'ครับแม่ ผมจะพยายามมากกว่านี้'

แต่แปลกนักที่โลกใบนี้ชอบเล่นตลก ทั้งๆ ที่จันทร์ทุ่มเทกับการเรียนจนไม่ได้ไปเที่ยวเล่นที่ไหนกับเพื่อนก็เทียบไม่ได้กับจ้าวที่นั่งเรียนสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็สามารถทำโจทย์ที่อาจารย์ให้ทำได้คล่องปรื๋อ อีกทั้งยังคะแนนดีด้วย

'แม่อย่าดุน้องสิ ผมกับน้องไม่เหมือนกันสักหน่อย'

จันทร์เหลือบมองพี่ชายตัวเองที่เดินเขามาขวางตัวเองกับแม่ เหมือนพยายามจะปกป้องทั้งๆ ที่ขนาดตัวก็ไม่ได้ต่างกันนัก เขารู้ว่าตัวเองควรรู้สึกดีใจที่พี่ชายมาปกป้องตัวเอง แต่จิตใจของมนุษย์มันก็ยากจะพรรณนานัก เขารู้สึกเกลียดพี่ตัวเองมากกว่าจะดีใจ มันเป็นสิ่งที่ปรากฎขึ้นและเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนเขาไม่แน่ใจนักว่าตัวเองสามารถลดความเกลียดในตัวพี่ตัวเองได้

รู้เพียงว่ามันเพิ่มขึ้นทุกวินาทีที่หายใจ

เขาโกรธโลกใบนี้ที่ไร้ความยุติธรรม ทั้งๆ ที่เป็นแฝดกันแต่กลับสติปัญญาไม่เท่ากัน เขาหัวช้ากว่าพี่ชายที่วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากเล่นดนตรีอยู่ในห้อง ส่วนเรียนพิเศษพี่ชายเขาเอ่ยปากขอพ่อเลิกเรียนไปแล้วแต่กลับยังได้คะแนนมากกว่าเขาที่ยังเรียนทุกครั้งที่สอบ

'พี่จ้าวนี่เก่งจังเนอะ'

'ครับ เก่งมากเลย'

จันทร์พยายามฉีกยิ้มกว้างตอนที่พูดขณะที่มองแม่ตัวเองชื่นชมใบเกรดของจ้าวที่ยังคงดีเสมอต้นเสมอปลาย อีกทั้งปีนี้ยังได้เป็นทั้งนักร้องนำของโรงเรียนอีก

แปลกนะ ทุกอย่างในชีวิตจ้าวดูจะสมบูรณ์แบบไร้ที่ติแต่กับเขากลับดูจะบิดๆ เบี้ยวๆ ซะเหลือเกิน เขาร้องเพลงไม่เป็น ไม่แม้แต่จะฟังเพลงด้วยซ้ำ กิจกรรมก็ไม่คิดจะทำ สิ่งที่จันทร์ยึดมั่นที่สุดในชีวิตก็ยังคงเป็นการเรียนอย่างเอาเป็นเอาตาย

จนในที่สุดวันนั้นก็มาถึง

'แม่ผมสอบติดที่แม่อยากได้แล้วนะ'

จันทร์พูดด้วยสีหน้ายินดีหัวใจพองฟูสองเท้าแทบเดินไม่ติดพื้น ในใจจินตนาการถึงคำชื่นชมมากมายที่พรั่งพรูออกมาจากแม่และเหล่าบรรดาเครือญาติที่สนับสนุนเขามานาน

เขาทำสำเร็จแล้ว... ชนะจ้าวแล้ว...

ใบหน้าพิมพ์เดียวกับจ้าวยิ้มอย่างเป็นสุขหลังจากไม่ได้ยิ้มแบบนี้มานานจนจำแทบไม่ได้

จ้าวบอกกับเขาว่าไม่ได้ลงสอบที่นี่ฉะนั้น ครั้งนี้เขาต้องเป็นฝ่ายชนะ!

'อ้าว! จันทร์มาก็ดีแล้ว มาดูนี่เร็ว! พี่เราติดรอบสามคนสุดท้าย! โอ๊ย แม่ต้องโทรบอกพ่อแล้วๆ "

แม่ของจ้าวพอเห็นแฝดน้องมาก็ยิ้มจนแก้มปริยื่นไอแพดที่เป็นไลฟ์สดในรายการแข่งขันร้องเพลงที่จ้าวไปลงสมัครซึ่งตอนนี้ก็เป็นตอนที่จ้าวกำลังยิ้มกว้างอย่างดีใจที่ติดรอบสามคนสุดท้าย

'ดีใจเลยนะครับ'

นัยน์ตาโศกดูโศกมากขึ้นไปอีกโดยที่คนเป็นแม่ไม่รู้สึกนิด ริมฝีปากบางเฉียบเม้มแน่นก่อนที่จะตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว

ซุกซ่อนน้ำตาที่ไหลบ่าออกมาไม่หยุด

เขาแพ้มันอีกแล้ว





[ครับ เดี๋ยวผมเข้าไปครับ ขอบคุณมากๆ ครับ]

ร่างสูงในชุดกาวน์กรอกเสียงลงในโทรศัพท์ขณะที่ง่วนอยู่กับการชงกาแฟ พอปลายสายวางสายก็ชงกาแฟเสร็จพอดี จันทร์เดินไปนั่งโซฟาหนังหรูหรากลางห้อง ยกขาขึ้นไขว่ห้างและจิบกาแฟรสเข้มด้วยสีหน้าที่ปิดไม่มิดว่ามีความสุขมากๆ

"ขอโทษทีนะ ที่ครั้งนี้ผมชนะขาดเลยว่ะ"

จันทร์หัวเราะใส่ภาพที่แขวนอยู่บนผนัง มันเป็นภาพที่จ้าวยิ้มกว้างอย่างดีใจเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองชนะการประกวดร้องเพลงในรายการดังระดับประเทศ ถึงแม้ข้างๆ รูปนั้นจะเป็นภาพที่เขาใส่ชุดกาวน์วันแรกแต่จันทร์ก็รู้ดีว่าทั้งแม่และพ่อให้ความสำคัญกับรูปไหนมากกว่า

คิดถึงตรงนี้รอยยิ้มบางๆ ที่ประดับอยู่ใบหน้าคล้ายจะเฝื่อนไปชั่วขณะหนึ่ง

แต่แล้วยังไงล่ะ ตอนนี้มันกลายเป็นเศษสวะที่เน่าเฟะไปแล้ว นั่นก็หมายถึงเขาชนะ และมันไม่มีทางตีปีกขึ้นจากโคลนตมได้อีก เขายอมอดหลับอดนอนหลายปีสร้างนรกขึ้นมาเพื่อรองรับมันโดยเฉพาะ การเปลี่ยนอัลฟ่าให้กลายเป็นโอเมก้าไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มนุษย์ มันแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำแต่ในที่สุดเขาก็ทำมันได้และได้รับเสียงยกย่องชมเชยมากมาย

และสิ่งนี้ก็มากเพียงพอที่จะทำลายชีวิตคนๆ นึงได้ทั้งเป็น!

นัยน์ตาโศกเป็นประกายเปี่ยมสุขพลางหยิบเครื่อง PSE เพื่อมาตรวจสอบความเป็นไปของชัยชนะ

"ซ่องนกพิราบ? "

รู้สึกงุนงงนิดๆ เมื่อไฟสีแดงกระพริบเป็นจังหวะไปโผล่ที่สถานที่อโคจรซะได้ แต่พอลองพยายามคิดถึงเหตุผลที่ไปที่นั้นก็ต้องหลุดหัวเราะจนตัวโยน

สถานที่แห่งนั้นสำหรับพวกโอเมก้านอกจากขายตัวก็ไม่มีอะไรที่ได้เงินดีไปกว่านี้แล้ว

"..ขอให้สนุกครับพี่จ้าว"







ในอีกมุมหนึ่งของร้านของชำก็สนุกอย่างที่ใครบางคนภาวนาให้เป็นจริงๆ

"โอ๊ย ยาฉีดเสือกหมดอีก!!! ชิบหายแล้วๆ ๆ "

ซินร้องลั่นเมื่อไปค้นกระเป๋าสะพายตัวเองที่ปกติจะพกยาฉีดระงับเวลาฮีทอยู่เสมอแต่พอค้นไปค้นมากลับพบว่าเขาได้ใช้ยาหมดไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแล้วเพราะไอ้เวรนั่นจะมา! ด้วยความที่ไม่อยากหมดสภาพตายคาเตียงเลยกัดฟันยอมฉีดยาระงับราคาแพงระยับเพื่อระงับอาการบ้าๆ ของร่างกาย

"อือ.."

จ้าวครางฮือเสียงแผ่วความรู้สึกร้อนรุ่มกระหายอยากนั้นรุนแรงจนเขาขยับตัวแทบไม่ได้

น่าแปลกทั้งๆ ที่ร่างกายกำลังคลุ้มคลั่งต้องการการถูกรักถูกสัมผัสแทบบ้าแต่จ้าวกลับรู้สึกสิ้นหวังในตัวเองเหลือเกิน สิ่งที่น้องของเขาเพียรพยายามทำมานานน่าจะสำเร็จไปอีกระดับและคงจะสามารถเปลี่ยนให้เขาเป็นโอเมก้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เขากำลังจะกลายเป็นโอเมก้าแล้วจริงๆ

"ฮึก"

จู่ๆ ในอกก็เจ็บปวดจนเก็บไม่อยู่ จ้าวสะอื้นจนตัวโยน กอดร่างกายที่ร้อนผ่าวของตัวเองแน่น

"...พี่ทำผิดอะไร ฮึก"

สติปัญญาคล้ายกับพร่่าเลือนชั่วขณะ ร่างผอมบางที่แทบจะเหลือแต่กระดูกหอบหายใจถี่ กระดูกไหปลาร้าที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อคล้ายจะแทงออกมาจากผิวหนังบางๆ เมื่อจ้าวคู้ตัวส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญออกมาราวกับหัวใจแหลกสลาย

"..ทำไมถึง ฮึก เกลียดพี่นัก ฮือ"

ความต้องการที่มากจนน่ารังเกียจจากตรงหว่างขาทำให้จ้าวรู้สึกขยะแขยงตัวเองจนแทบทนไม่ได้ เขาไม่ได้รังเกียจโอเมก้าก็จริง แต่ก็รับไม่ได้ถ้าหากมีอัลฟ่าหรือเบต้าสักคนผ่านมาแล้วได้กลิ่นเขาพอดี

เหตุการณ์หลังจากนั้นเขาแทบไม่อยากจะคาดคิด เขารู้ถึงความน่ากลัวของเหล่าอัลฟ่าดี

พวกมันดิบเถื่อนราวกับสัตว์ป่า คล้ายกับพยัคฆ์หิวที่หลุดจากกรง มันพร้อมจะฉุดกระชากออกแรงขบกรามใช้กรงเล็บฉีกเนื้อของเหยื่อให้เป็นชิ้นๆ โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

"ฮึก..จันทร์"

กลิ่นเลือดคาวคละคลุ้งเมื่ออดีตหัวหน้าวงมูนไลท์ยกแขนตัวเองขึ้นมากัดจนจมเขี้ยว

ใช้ความเจ็บปวดทำลายความกระหายอยาก ดึงสติที่มอมมัวในราคะด้วยเลือดที่ไหลบ่าออกจากบาดแผล รสชาติประหลาดที่ฟุ้งอยู่ในปากทำให้จ้าวเผยรอยยิ้มเหยียดหยันออกมาเล็กๆ นัยน์ตาโศกหม่นลงจนแทบไม่เหลือประกายของการมีชีวิต มีเพียงน้ำตาที่ไหลอาบใบน้ำที่ยังเป็นเครื่องยืนยันว่าจ้าวยังไม่บ้าไปซะก่อน

"ไอ้จ้าว!!! "

มือที่เล็กกว่ากระชากแขนจ้าวออกจากคมเขี้ยวอย่างแรง พยายามใช้ทิชชู่ที่อยู่ใกล้ๆ เช็ดเลือดออกอย่างลุกลีลุกล้นแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรนักเพราะเพียงไม่นานทิชชู่ก็กลายเป็นสีแดงฉาน

"มึงทำบ้าอะไรวะ! "

ซินรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะบ้าตามจ้าวไปอีกคน แค่ยาหมดเขาก็ปวดหัวมากพอแล้วไหนจะจ้าวที่ทำท่าเหมือนจะแตกสลายไปได้ทุกเมื่อถ้าไม่มีใครประคองเอาไว้ สภาพของจ้าวในตอนนี้อ่อนแอจนเขาไม่ไว้ใจที่จะให้ใครดูแลจ้าวนอกจากตัวเอง

แววตาเหม่อลอยไร้ซึ่งความหวังในการมีชีวิตอยู่ทำให้เขากลัว... จ้าวเคยมีแววตาแบบนี้มาครั้งนึงแล้วในคุก ตอนที่ถูกพาตัวขึ้นจากบ่อน้ำหลังจากพยายามฆ่าตัวตายครั้งล่าสุด มีเสียงก่นด่าทั้งจากเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ถึงความเขลาขลาดของจ้าวหรือเหล่านักโทษที่ต่างพากันหัวเราะเยาะในความพยายามโง่ๆ ของจ้าว

มีเพียงเขาที่วิ่งเข้าไปสวมกอดจ้าว พยายามปลอบโยนปลอบขวัญแม้จะเพิ่งได้รู้จักกันได้ไม่นานนักแต่ก็พอจะรู้ว่าอดีตนักร้องดังคนนี้ช่างเปราะบาง เหมือนกับแก้วบางๆ ที่พร้อมจะแตกตลอดเวลา ความจริงเขาควรจะเอะใจตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่เห็นจ้าวร่าเริงเป็นพิเศษ เหมือนปล่อยวางอะไรบางอย่างได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าอีกวันนึงจ้าวจะกระโดดบ่อน้ำ

เขาแทบไม่เคยรู้เลยว่าในหัวของจ้าวคิดอะไรอยู่บ้าง ใบหน้าที่มักจะฝืนยิ้มนักเดาออกง่ายก็จริง แต่ในใจของจ้าวกลับไม่มีใครล่วงรู้อย่างแท้จริง ที่เขาพอจะทำได้ก็แค่เพียงสังเกตและเชื่อตามเซนส์ของตัวเอง

และเซนส์ของเขาก็กำลังกู่ร้องอย่างน่ากลัว

น้ำตาอยู่ๆ ไม่รู้ว่ามีที่มาจากอะไรก็คลอหน่วง ซินตัวสั่นเทาดึงมือของจ้าวที่ร้อนเหมือนถูกไฟลนขึ้นมาจับ

"ไอ้จ้าว! "

ซินตะคอกซ้ำแต่จ้าวก็ยังไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบ นัยน์ตายังเลื่อนลอยคลอหน่วงไปด้วยน้ำตาของความทุกข์ตรมแสนสาหัส ก่อนจะเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมา

เลือดที่ไหลเวียนในกายคล้ายจะเย็นเฉียบ ซินเม้มปากแน่นกลั้นสะอื้น

เขากลัว..

"ไม่นะ..จ้าว"

ซินกระซิบเสียงเครือ

"มึงยังมีกูนะ.."

เสียงของซินคล้ายจะส่งไปไม่ถึงแต่มันก็ส่งถึง

"...ถ้าเราไม่อยู่สักคน"

จ้าวฉีกยิ้มให้ซินหัวเราะแผ่วเบา

"อะไรๆ คงจะดีขึ้นเยอะ"

"พูดบ้าๆ! " ซินตะคอกแล้วกระชากคอเสื้อของจ้าวขึ้นมาอย่างเดือดดาล เขารู้ว่าตัวเองไม่ควรโกรธแต่ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธ เขารู้ดีว่าจ้าวต้องเผชิญกับอะไรมาตลอดห้าปีนี้ เขารู้ว่าร่างตรงหน้าเปราะบางแค่ไหน เขารู้ทุกอย่าง

เขารู้..

"ฮึก จ้าวกูขอนะ มึงอย่าไปเลย" สุดท้ายจากมือที่กระชากคอเสื้อก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นรวบตัวผอมแห้งติดกระดูกมากอดแน่น สัมผัสร้อนฉ่ากับลมหายใจถี่รัวข้างหูของจ้าว ทำให้ซินรู้สึกว่าหัวใจในอกเต้นช้าลงอย่าเจ็บปวด

ถ้าเขาแบ่งความเจ็บปวดของจ้าวมาไว้ที่ตัวเองได้บ้างก็คงจะดี

"..อือ"

น่าเสียดายที่คำๆ นั้นจ้าวกลับไม่ได้ยิน ใบหน้าขาวซีดขึ้นริ้วสีแดงครางฮือตัวสั่นเทาก่อนที่จะรวบรวมเรี่ยวแรงอันน้อยนิดผลักซินออกและกอดตัวเองแน่นโดยหวังว่ามันจะช่วยให้หัวใจที่แหลกสลายดีขึ้นมาบ้าง

แต่มันก็ไม่เคยช่วยอะไรเหมือนทุกครั้ง มีเพียงเขาที่เจ็บปวดโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรผิด ทุกอย่างราวกับฝันร้ายที่เขาเฝ้าภาวนาทุกครั้งที่นอน เขาขอให้เป็นแค่ฝัน เขาไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว แค่เรื่องที่น้องเกลียดเขาก็มากเกินกว่าที่เขาจะรับไหวแล้ว

จ้าวหลับตาลงซ่อนความเจ็บปวดไว้หลังเปลือกตา

อย่างไรก็ตามความจริงก็เป็นเรื่องโหดร้ายเสมอ ความเจ็บปวดที่บรรเทาลงทำให้ความกระหายอยากปะทุขึ้นอีกครั้ง สติที่เดี๋ยวพร่าเลือนเดี๋ยวแจ่มชัดกระตุ้นให้จ้าวหัวเราะออกมาจนตัวโยน

ต่อให้พยายามแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์

ชีวิตของเขามันจบไปตั้งนานแล้ว ที่ยังคงเหลืออยู่ก็คือลมหายใจที่เขานึกอยากให้ตัวเองตายๆ ไปสักที

"พี่ซินนน ผมพาน้องลีโอมาแล้ว! "

เสียงที่แฝงไปด้วยความกระตือรือร้นสุดขีดดังมาจากหน้าร้านก่อนที่จะมีร่างเล็กๆ วิ่งดุ๊กดิ๊กสี่คูณร้อยแทรกผ่านร่างคนพูดแลโผกอดใส่คนเป็นเจ้าของร้านโดยไม่สนใจอะไรที่กำลังเกิดขึ้นทั้งนั้น

"หม่าม๊า"

ใบหน้าจิ้มลิ้มพูดนิ่งๆ ก่อนจะเริ่มเบะปากเมื่อเห็นแม่ของตัวเองตาแดงอีกทั้งยังมีน้ำตาไหลอาบแก้ม "ร้องไห้ทำไม"

ซินสะดุ้งเฮือกพอเห็นลีโอก็ตกใจมากกว่าเดิมและเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นอาทิตย์ของเขาที่ต้องดูแลพอดี เมื่อสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ซินให้ความสำคัญแทบจะที่สุดชีวิตเข้ามาอยู่ในหัว สติที่แตกกระเจิงก็เริ่มกลับมาเข้าร่องเข้ารอย นัยน์ตาคมกริบตวัดมองชายโอเมก้าร่างโปร่งที่เข้าร้านมาอีกคนทันที

"ฝุ่น! เอายาระงับมายืมก่อน"

เจ้าของชื่อสะดุ้งและยิ่งเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่ามีอันคันตุกะแปลกหน้าอยู่ในร้านของเขาด้วย แต่ก่อนที่จะอ้าปากถามอะไรเจ้านายก็รีบล้วงยาระงับที่พกไว้ติดตัวเสมอของพวกโอเมก้าให้ซินอย่างไม่นึกเสียดาย ตาสีอ่อนกวาดตามองร่างที่คุ้นหน้าคุ้นตาแปลกๆ ซึ่งนอนหายใจถี่บนพื้นแสดงอาการฮีทที่โอเมก้าทุกคนคุ้นเคยดี

ซินดันลีโอออกจากห่างจากตัวแล้วเปิดฝาขวดยาและใช้สลิ้งดูดยาระงับอย่างชำนาญ เมื่อได้ยาจนเต็มสลิ้งก็ดึงแขนของจ้าวออกมาและแทงเข้าไปทันที

"ฮื่ออออ" จ้าวครางฮืออย่างเจ็บปวดและดิ้นพล่านมากกว่าเดิมเมื่อซินฉีดยาระงับเข้าไปในเส้นเลือด

"แปปเดียว จ้าว แค่แปปเดียว"

เพียงไม่นานยาทั้งหมดก็ไหลเข้าในเส้นเลือด ซินค่อยๆ ดึงสลิ้งออกและเก็บเข้าปลอก

จ้าวซึ่งเจ็บแขนจนน้ำตาไหลสะอื้นในลำคอกอดตัวเองแน่น แต่ก็รู้สึกดีขึ้นมานิดๆ เมื่อความต้องการรุนแรงในร่างค่อยๆ น้อยลง ราวกับสิ่งที่ฉีดเข้ามาในร่างคือน้ำเย็นจัดปริมาณมหาศาลที่สาดใส่กองไฟที่ร้อนฉ่า

"..ชู่ว"

ซินยกนิ้วชี้ขึ้นแนบริมฝีปากเมื่อลูกชายตัวดีทำท่าจะพูดมาก อีกมือหนึ่งลูบหัวจ้าวเบาๆ ชั่วครู่ต่อมาจ้าวก็หลับตายด้วยความอ่อนเพลีย

"ผมขอถามคำนึงนะพี่ซิน" ฝุ่นป้องปากกระซิบกระซาบ นัยน์ตาสีอ่อนเป็นประกายวาววับยามที่มองร่างที่นอนบนพื้น "คนนี้ใช่จ้าว วงมูนไลท์ป่ะ! " ร่างโปร่งแทบจะเก็บความตื่นเต้นดีใจของตัวเองแทบไม่อยู่เกือบจะเผลอตะโกนออกมาถ้าไม่โดนมองด้วยสายตาดุๆ ซะก่อน

"ใช่"

เพียงเท่านั้นฝุ่นยกมือปิดแก้มตัวเองกรีดร้องไร้เสียงตามประสาทเอฟซีที่ติดตามแต่ไม่เคยเปิดเผยตัวตนสักที

ซินมองเมินท่าทางนั้นแล้วดึงตัวลีโอเข้ามากอดและหอมแก้มด้วยความเอ็นดู ใบหน้าที่มักจะเรียบเฉยอยู่เป็นนิจยิ้มน้อยๆ ให้กับเด็กชายที่มองตัวเองตาแป๋ว

"...หม่าม๊า ป๊ะป๊าบอกว่า วันอาทิตย์จะพาหม่าม๊าไปกินข้าว" เด็กชายลีโอตอบเสียงฉะฉานตามที่ท่องสคริปท์์เอาไว้กับปะป๊าและของรางวัลสำหรับความทุ่มเทก็คือไอติมยามดึก

"งั้นก็ฝากไปบอกป๊า ด้วยว่าไม่"

ซินคำรามในลำคอ เขายังเคืองรอบที่แล้วไม่หาย

"แต่ว่าลี ลีโออยากให้หม่าม๊าไป" ลีโอเบะปากทำท่าจะร้องไห้

"...ฮื่อ! " ซินพยายามฉีกยิ้มให้ลีโอทั้งๆ ที่ในใจหงุดหงิดแทบบ้า ไอ้เวรนั่นโคตรจะเจ้าเล่ห์เลย "โอเคๆ ม๊า ยอมแล้ว ไปก็ไป" ก่อนที่จะหันไปมองฝุ่นที่ดูเหมือนจะสังเกตเห็นความผิดปกติของอดีตนักร้องดังแล้ว

"พี่ซิน.." ฝุ่นเรียกเสียงเบาแววตาสั่นไหวเหมือนจะตั้งคำถามอยู่กลายๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจ้าว

เจ้าของชื่อระบายยิ้มเศร้า

"เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ตอนนี้ช่วยกันแบกจ้าวไปที่ห้องนอนก่อน"



ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 5 : อิสระ p.1
«ตอบ #12 เมื่อ23-03-2018 16:19:56 »

ตอนที่ 5



น้ำเสียงทุ้มนุ่มหูอันเป็นเอกลักษณ์ดังแว่วออกมาจากจอแอลอีดีกลางกรุงเทพมหานคร บนจอปรากฎภาพนักร้องชายสี่คนกำลังเล่นดนตรีอยู่กลางทุ่งดอกไม้ คนที่โดดเด่นที่สุดย่อมเป็นนักร้องนำที่ร้องพร้อมกับเต้นด้วยดวงตาเป็นประกาย จนหลายๆ คนที่กำลังเดินกันวุ่นวายเพื่อทำหน้าที่ของตนเองก็เผลอก้าวช้าลงจนเผลอหยุดเพื่อดูภาพบนจอ

'อย่าลืมมาร่วมสนุกกันเยอะๆ นะครับ! ผมเชื่อว่าครั้งนี้มันต้องเป็นคอนเสิร์ตที่สนุกยิ่งกว่าครั้งที่แล้วแน่'

นักร้องนำพูดด้วยน้ำเสียงเริงร่า ใบหน้าประดับรอยยิ้มเต็มใบหน้า มีความสุขจนคล้ายกับว่าขโมยความสุขของคนทั้งโลกไว้เพียงผู้เดียว

หลังจากนั้นก็ขึ้นรายละเอียดเกี่ยวกับงานคอนเสิร์ตประมาณเจ็ดวินาทีก่อนที่ภาพบนจอจะเปลี่ยนไปเป็นโฆษณาอื่นต่อ

และนั่นก็คือจ้าวคนที่ฝุ่นรู้จัก



นายจ้าว นฤภัทรหรือนักร้องนำวงมูนไลท์ที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตอันล้นเหลือและพร้อมจะแบ่งปันมันให้กับทุกคน เพลงหลายๆ เพลงของวงมูนไลท์มีเนื้อหาดีมากทั้งในเรื่องความรักและในแง่ของการให้กำลังใจพวกโอเมก้าหรือคนที่กำลังท้อแท้ในชีวิต ขอเพียงได้ฟังเสียงเพราะๆ ของจ้าวและดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์ของวงมูนไลท์ย่อมรู้สึกดีขึ้นอย่างแน่นอน

ในช่วงที่วงมูนไลท์ปีนขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของวงดนตรีในเมืองไทย ฝุ่นคลั่งจ้าวมาก หลงใหลแววตา ใบหน้า รอยยิ้ม นิสัยที่ขี้เล่นร่าเริงยิ้มง่ายอีกทั้งยังเป็นมิตรกับแฟนคลับสุดๆ แต่เพราะหลายๆ อย่างที่ไม่ลงตัวนักในชีวิตโอเมก้า ทำให้ฝุ่นพลาดที่จะไปเข้าร่วมคอนเสิรต์ครั้งใหญ่ของจ้าวหรือที่นักข่าวกล่าวขานกันว่าเป็นแสงจันทร์สุดท้ายของวงมูนไลท์

น่าแปลกที่เพียงชั่วพริบตา วงดนตรีที่ดังจนเกือบจะได้โกอินเตอร์ก็กลายเป็นวงที่ถูกฝังกลบให้อยู่ลึกที่สุดของวงการ มันยิ่งกว่าการฝังกลบธรรมดาเสียอีกเมื่อทุกคนพร้อมใจกันใช้เท้ากวาดดินและกระทืบให้ดินอัดแน่นยิ่งกว่าเดิม ไม่เปิดโอกาสหรือฟังข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งนั้น

เพราะการฆ่าอัลฟ่าด้วยกันนั้นคือความผิดร้ายแรงที่สุด

ภาพหลุดของอดีตคู่หมั้นของนักร้องนำที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นอย่างน่าสยดสยองสร้างบาดแผลทางจิตใจให้ผู้พบเห็นและเพิ่มพูนความเกลียดชังในตัวผู้ที่กระทำ ภาพของนักร้องวงดังที่ถูกคาดตาด้วยสีดำไม่ได้ทำให้คนจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร หนำซ้ำยังจำได้แม่นยิ่งกว่าเก่า พากันด่าทอสาปแช่งในความเลวอัปลักษณ์ของจิตใจที่สามารถฆ่าผู้หญิงดีๆ คนนึงซะได้

ทุกคนที่อยู่รอบกายฝุ่นต่างพากันกล่าวส่อเสียดและสมเพชในตัวจ้าวกันทั้งนั้น แม้แต่โอเมก้าด้วยกันก็เองก็มักจะนำประเด็นนี้ขึ้นมาพูดกันกลางวงเหล้าและกล่าวมันออกมาราวกับเป็นเรื่องขบขัน พยายามคาดเดาเจตนาของจ้าวกันต่างๆ นานาและจบลงที่ผู้หญิงคงไม่เด็ดพอ

แต่ฝุ่นไม่เคยเชื่อเนื้อหาข่าวที่ว่าด้วยเรื่องที่จ้าวสติฟั่นเฟือนกลายเป็นโรคจิต เขายังคงเชื่อในจ้าวอยู่เสมอ เขาเชื่อคนที่ยิ้มกว้างให้กับทุกคนอย่างมีความสุข เขาเชื่อในตัวจ้าวที่มักจะคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ เขาชื่อทุกอย่างที่จ้าวพูดขอเพียงจ้าวพูดมันออกมาเขาก็พร้อมที่จะสนับสนุน

น่าเสียดายที่สุดท้ายความมุ่งมั่นของฝุ่นก็กลายเป็นของไร้ค่า เมื่อจ้าวยอมจำนนต่อหลักฐานข้อหาทุกอย่าง ใบหน้าที่เคยถูกยอมรับว่าน่าหลงใหลมากไม่มีรอยยิ้มอีกแล้ว มีเพียงแววตาทุกข์ระทมอันซื่อตรงที่เหมือนจะบอกทุกคนถึงความจริงอยู่กลายๆ

แต่แววตาก็คือเป็นเพียงแววตา เมื่อไม่มีข้อแก้ตัวคดีก็ต้องเป็นไปตามระเบียบ ภาพสุดท้ายที่ฝุ่นเห็นคือภาพที่จ้าวถูกล็อกด้วยกุญแจมือในชุดนักโทษสีอิฐ

กับรอยยิ้มฝืนและใบหน้าที่ราวกับโลกทั้งใบสูญสลายไปแล้ว

ฝุ่นเห็นรูปนั้นในเฟสก็ร้องไห้ เขาไม่รู้หรอกว่าอะไรอยู่ในหัวจ้าวแต่เขารู้สึกแย่ชะมัดที่ต้องเห็นคนที่เขาติดตามมาตั้งแต่สมัยประกวดเวทีร้องเพลงและมีอนาคตอันรุ่งโรจน์กลายเป็นไอ้ขี้คุกตั้งแต่อายุน้อยๆ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังเชื่อว่าจ้าวยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่เหมือนเดิมแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานอะไรก็ตาม

แต่พอมาวันนี้เขากลับรู้สึกไม่แน่ใจซะแล้วว่าคนๆ นี้ยังเป็นจ้าว นักร้องนำวงมูนไลท์รึเปล่า

เพราะสภาพของชายที่นอนหายใจอย่างสงบนิ่งบนเตียงนั้นช่างต่างจากความทรงจำล่าสุดของเขาซะเหลือเกิน ใบหน้าซูบผอมเต็มไปด้วยรอยดำอย่างคนนอนไม่พอและสุมความทุกข์ไว้เต็มอก ตามร่างกายที่ซูบจนเห็นซี่โครงมีร่องรอยของการถูกทำร้ายเป็นรอยช้ำสีม่วงเขียวใกล้หายและบาดแผลใหม่ในบางจุด โดยเฉพาะข้อมือที่มีแผลขีดข่วนมากเป็นพิเศษที่เขาพอจะเดาๆ ได้ว่าเกิดจากอะไร

ฝุ่นยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองพยายามกลั้นสะอื้นเมื่อเผลอนึกถึงแววตาหมดอาลัยตายอยากของจ้าว

แววตาที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตนั้นไม่มีอีกแล้วเหลือเพียงความสิ้นหวังที่อยู่ในนั้น จ้าวในตอนนี้ไม่ใช่จ้าวคนเดิมอีกต่อไปแล้ว เป็นเพียงนักโทษชายที่ถูกโทษทัณฑ์ร้ายแรงให้กลายเป็นโอเมก้า เป็นชายที่สิ้นหวังในการมีชีวิต

และเป็นเพียงอดีตของผู้ที่มีความสุขที่สุดที่ฝุ่นเคยเห็น

"พี่ซิน"

ฝุ่นถามขณะเดียวกันก็พยายามใช้มือสั่นๆ ที่ถือผ้าหมาดเช็ดตัวให้จ้าวอย่างบรรจงด้วยความกลัวที่แฝงลึกในใจว่าถ้าออกแรงมากกว่านี้จะทำให้อีกฝ่ายสูญสลายคามือประหนึ่งดูแลลูกนกอ่อนแอที่นอกจากจะพลักพรากจากอกพ่อแม่แล้วยังใกล้ตายเต็มทน

"ว่า"

ซินถามเสียงกระซิบมือลูบหัวลีโอที่นอนหนุนตักอ่านนิทานสำหรับเด็กคนเดียวเงียบๆ

"พี่จ้าวเขาเป็นแบบนี้นานแค่ไหนแล้ว"

"ก็สี่ห้าปีมั้ง ถ้านับตอนที่เจอกันครั้งแรก"

เพียงคำตอบแรกฝุ่นก็รู้สึกเหมือนจะร้องไห้โฮออกมา ระยะเวลาห้าปีนั้นคือระยะเวลาที่จ้าวทนทุกข์ทรมานในสภาพนี้แต่ระยะเวลาสามปีคือระยะเวลาที่เขาหลงลืมจ้าวในบางครั้ง เขารู้สึกแย่เอามากๆ ที่ตัวเองมักจะทำได้เพียงแค่ยืนอยู่รอบนอกคอยให้กำลังใจศิลปินในดวงใจอยู่ไกลๆ ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าไปให้กำลังใจอย่างที่อยากทำเหมือนพวกชนชั้นอื่น เขารู้ดีว่าในโลกสาธารณะพยายามจะเปิดใจกว้างกับโอเมก้า แต่เขาก็สำเหนียกตัวเองดีว่าควรยืนหรือหายใจตรงไหนถึงจะไม่โดนคนเหยียบหัวเอา

แต่ใครจะไปรู้ว่าเมื่อผ่านไปหลายปี เขาจะเข้าถึงศิลปินคนนั้นได้ง่ายราวกับความฝัน ก่อนจะเช็ดตัวจ้าว ฝุ่นก็พยายามหยิกตัวเองหลายครั้งพอรู้สึกเจ็บก็รู้ว่ามันเป็นความจริงๆ ที่ว่าเขาได้เจอจ้าวหรือศิลปินในดวงใจแล้ว แต่ถ้าเป็นไปได้จริงๆ เขาก็ไม่อยากเจอจ้าวในสภาพนี้นัก

"พี่ซิน พี่จ้าวเขาโอเคไหม"

ฝุ่นถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบ แผลเสียดสีที่ข้อมือของจ้าวดูจะยังไม่แตกสะเก็ดดีนักเพราะทันทีที่ผ้าหมาดแตะร่างที่หลับอยู่ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเจ็บปวด ที่หางตาข้างซ้ายมีน้ำตาคลอ

"ก็อย่างที่แกเห็น" ซินถอนหายใจยาวเหยียดมองร่างฟกช้ำที่ยักคงนอนด้วยสีหน้าทุกข์ระทมเหมือนโลกใบแตกสลายและไม่มีที่ยืนสำหรับตัวเอง "...แกต้องช่วยพี่ดูแล จ้าว"

"..จ้าว จ้าว"

ลีโอพูดตามงึมงำ

"จ้าว! "

เพราะเป็นวัยที่กำลังหัดพูดชัดๆ และถูกครูที่โรงเรียนกำชับให้กลับมาฝึกพูดฝึกอ่านที่บ้าน ลีโอจึงตั้งใจพูดเป็นพิเศษหวังว่าแม่ซินจะชมเยอะๆ เหมือนที่ปะป๊าชม

แต่น่าเสียดาย..

ซินขมวดคิ้วมุ่นกระซิบ "ชู่ว อย่าเสียงดังสิ เสือน้อย พี่จ้าวเขานอนอยู่"

ลีโอหน้ายู่รู้สึกเหมือนถูกทำร้ายจิตใจร้ายแรง "แง้ ลีโอจะฟ้องป๊า"

"จะฟ้องป๊าทำไม" ยิ่งพูดถึงไอ้เวรนั่นซินก็ยิ่งหงุดหงิด ใบหน้าสวยบูดบึ้งไม่ต่างจากเด็กชายที่เบะปากทำท่าจะร้องไห้ "ห้ามร้องนะ ลีโอ ไม่งั้นคืนนี้จะไม่เล่านิทานให้ฟังก่อนนอน"

"ฮึก" ลีโออมมะนาวทันใด ในใจลิงโลดเพราะชอบเวลาที่หม่าม๊าอ่านนิทานก่อนนอนให้ฟังเป็นที่สุด!

"ฮึก"

ซินกำลังจะดุลีโออีกรอบว่าร้องไห้ทำไมแต่พอคิดดีๆ ก็รู้ว่าคนที่ร้องไม่ใช่ลีโอแต่เป็นคนที่นอนอยู่บนเตียงต่างหาก ซินถอนหายใจเหนื่อยๆ รู้สึกหม่นหมองที่แม้แต่เวลานอนจ้าวก็ดูจะทรมานเหลือเกิน บอกตามตรงว่าตอนนี้เขาจำภาพที่จ้าวยิ้มอย่างมีความสุขจากใจจริงไม่ได้แล้ว

"ฝุ่น พาลีโอขึ้นไปนอนก่อนไป"

"..ครับ"

ฝุ่นพูดเสียงเบาวางผ้าหมาดลงข้างโต๊ะและพาลีโอขึ้นไปบนห้องนอนของซินซึ่งอยู่ชั้นสามเงียบๆ โดยไม่ตั้งคำถามอะไรมากมายนักเพราะทุกคนตอนนี้ก็คงไม่อยู่ในสภาวะที่ต้องตอบคำถามอะไรเท่าไหร่

ซินหลุดยิ้มนิดๆ ให้ลีโอที่ส่งสายตาตัดพ้อใส่แบบสุดๆ "เดี๋ยวม๊าตอนขึ้นไปนอนด้วย"

"สัญญาแย้วนะ! " ลีโอยิ้มจนตาหยีจนเผยให้เห็นลักยิ้มที่ตกทอดมาจากคนเป็นพ่อ

"อืม"

ซินพยักหน้าขำๆ และคาดว่าตัวเองก็คงจะเล่ากระต่ายกับเต่าเหมือนเดิมเพราะขึ้เกียจหาเรื่องใหม่ไปเล่า อย่างไรก็ตามไอ้คนที่อยู่บ้านอีกหลังยังไงก็ต้องสรรหาสมุดนิทานมีเสียงล้านแปดให้ลีโออ่านอยู่แล้ว

เมื่อทั้งห้องเหลือเพียงสองคน ซินก็พาตัวเองไปนั่งบนเตียงและลูบหัวจ้าวเบาๆ

"ฮึก"

ใบหน้าซูบเผยความเจ็บปวดอีกครั้งพร้อมกับสะอื้น

หัวใจของซินปวดหนึบ เขาไม่แน่ใจนักว่าจ้าวเจ็บปวดเรื่องอะไรกันแน่เพราะเรื่องราวแย่ๆ ในชีวิตจ้าวดูจะเยอะเหลือเกิน เขารู้ดีว่าชีวิตในเรือนจำแห่งนั้นไม่ใช่ความทรงจำที่ดีนัก เหล่านักโทษชายฉกรรจ์ที่ปกครองกันด้วยชนชั้นที่นับจากอายุการติดคุก ใครมีมากสุดและสามารถสร้างขุมอำนาจได้คนๆ นั้นก็ถือว่าเป็นใหญ่ เขาจำได้ถึงตอนที่จ้าวถูกรังแกหลายๆ ครั้งจากกลุ่มนั้น ในครั้งแรกๆ จ้าวดูจะนิ่งเงียบไม่ตอบรับแกมหวาดกลัวแต่ภายหลังเมื่อโดนมากๆ ก็เหมือนจะแตกสลาย

เขาจำได้ดีประมาณปีที่แล้วที่เขาไปเยี่ยมจ้าวแบบที่ไม่ได้เรียกจ้าวออกมาพบตัวเพราะเขาไม่ใช่ญาติของจ้าวเลยได้แต่มองอีกฝ่ายอยู่ห่างๆ ผ่านจอมอนิเตอร์ที่รับสัญญาณจากกล้องวงจรปิดภายในคุก เขาเห็นจ้าวนั่งอยู่คนเดียวกลางลานตากแดดแล้วหัวเราะคนเดียว ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเป็นช่วงฤดูร้อนประมาณเดือนเมษายนอากาศร้อนจนแทบเผาต้นไม้ให้แห้งเกรียมแต่จ้าวกลับไม่ทีท่าเหมือนจะร้อนสักนิด เพลิดเพลินกับการนั่งเหม่อมองกำแพงนิ่งๆ เป็นระยะเวลานาน

ผิวสีขาวซีดอย่างลูกคนจีนขึ้นสีแดงก่ำเช่นเดียวกับนัยน์ตาของจ้าวที่เลื่อนลอยขึ้นทุกวัน

พวกนักโทษพวกนั้นพอเห็นจ้าวเป็นแบบนั้นก็คิดว่าสติฟั่นเฟือนแบบไอ้บ้าอีกคนในคุกที่ชอบคลุ้มคลั่งบางทีก็เลยปล่อยให้กลายเป็นธาตุอากาศและรู้กันเองว่าหลังจากนี้อย่าไปยุ่งกับจ้าวอีก เพราะไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของคนที่มีสติไม่ประกอบได้ ใครจะไปรู้วันๆ นึงระหว่างที่พวกเขานั่งกินข้าวกันอยู่จ้าวอาจจะพุ่งเข้ามาพร้อมกับมีดแล้วไล่แทงพวกเขาจนตาย ถึงแม้พวกเขาจะมีพวกเยอะกว่าแรงเยอะกว่าก็จริงแต่ของแบบคงไม่มีใครกล้าเสี่ยง สู้ปล่อยให้มันตายเงียบๆ เลยจะดีกว่า

ซินทนเห็นภาพนั้นไม่ได้เลยขัดขืนข้อห้ามในคุกเรื่องการฝากสิ่งของต่างๆ ให้นักโทษตามอำเภอใจด้วยการให้สินบนกับผู้คุมของจ้าวด้วยเงินห้าหลักกับเพียงแค่ฝากจดหมายเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเองเข้าไปให้จ้าวได้อ่านเพียงห้านาทีก่อนจะถูกใช้ไฟเผาทำลายทิ้ง

เขายังคงเชื่อว่าจ้าวยังคงมีอะไรบางอย่างเหนี่ยวรั้งเอาไว้อยู่ ไม่เช่นนั้นจ้าวก็คงจะกลายเป็นบ้าไปตั้งนานแล้ว ภายใต้แววตาทุกข์ระทมที่เหมือนจะไม่มีประกายของความหวัง เขาคิดว่าตัวเองเห็นความหวังเล็กๆ ที่ซ่อนไว้อยู่โดยที่จ้าวตัวไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามี

"มึงไม่ได้อยู่คนเดียวนะ จ้าว"

ซินใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาที่หางตาของจ้าว สัมผัสเปียกชื้นไม่ได้ช่วยให้ซินรู้สึกว่าคนตรงหน้ามีชีวิตขึ้นมาสักนิด

"... ต่อให้ไม่อยู่คนเดียวก็เหมือนอยู่คนเดียวอยู่ดี"

ซินรู้สึกประหลาดใจนิดๆ เมื่อคนที่ว่าหลับแต่กลับไม่ได้หลับอย่างที่คิด นัยน์ตาทุกข์ระทมที่ซ่อนหลังเปลือกตาปรากฎขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มฝืดเฝื่อนส่งยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ

"ขอบคุณที่ช่วยนะ ซิน"

จ้าวค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งรู้สึกตาพร่ามัวจนต้องนั่งนวดขมับอยู่ครู่หนึ่งจึงจะมองเห็นรอบข้างได้ชัดเจนเหมือนเดิม เรี่ยวแรงที่เดิมทีก็น้อยอยู่แล้วตอนนี้แทบจะไม่เพียงพอต่อการหายใจธรรมด้วยซ้ำเพราะถูกผลาญกับการฮีทของร่างกาย คิดถึงตรงนี้จ้าวก็หันไปมองซิน พรั่งพรูสิ่งที่อยู่ในใจออกมาก่อนที่จะไม่มีโอกาสอีก

"ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตเรานะ"

"ไม่เป็นไร" ซินตอบเสียงสงบมองจ้าวด้วยสีหน้าเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบัง "มึงโอเคนะสีหน้ามึงไม่ดีเลยว่ะ"

ใบหน้าที่ดูเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้วทำให้ซินรู้สึกกลัวอย่างประหลาด

"โอเค เราโอเคตลอดนั่นแหละ" จ้าวหัวเราะฉีกยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงสิ่งดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นถ้าเขาทำมันสำเร็จจริงๆ "ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงมาตลอดหลังจากนี้ซินก็ไม่ต้องห่วงเราแล้ว"

คำพูดวกวนทำซินงุนงง

"มึงหมายความว่าไง"

จ้าวหลุดหัวเราะนิดๆ เมื่อตัวสามารถทำให้คนที่ฉลาดเป็นกรดทำหน้างงได้

"ทรัพย์สินทั้งหมดของเราคงจะตกเป็นของครอบครัว น่าเสียดายนิดหน่อยเนอะ ที่เราไม่ได้แบ่งให้คนดีๆ อย่างซินเลย" จ้าวยกมือขึ้นมานับทรัพย์สินที่ตัวเองมีทั้งหมดคร่าวๆ ก่อนจะนึกได้ว่ามีของอย่างนึงที่พอจะมอบให้ซินได้ จึงล้วงกุญแจออกมาจากกระเป๋า ดึงมือซินเข้ามาใกล้และวางมันบนฝ่ามือซินอย่างนุ่มนวล

โลหะรูปพระจันทร์เสี้ยวสลักคำว่า 'Moon Light' สะท้อนแสงเป็นประกายวับโดยข้างๆ กันนั้นมีตัวอักษรไม้เขียนคำว่า CHARCOAL ซึ่งเป็นชื่อของรถที่จ้าวรักมากที่สุด

"เราจอดชาโคลไว้ตรงหน้าห้าง ใกล้ๆ ต้นโพธิ์ใหญ่ที่คนไปไหว้กัน ถ้าเอาไปขายก็น่าจะได้เยอะอยู่"

"เดี๋ยวนะ จ้าว" ซินมองกุญแจรถในมือตัวเองงงๆ "มึงให้กูทำไม"

คนเป็นเป็นเจ้าของรถหัวเราะอีกรอบ "ก็มอบให้เป็นทุนทรัพย์ในการเลี้ยงลูกไง ไม่เห็นบอกเลยนะว่ามีลูกแล้ว" ไม่ว่าเปล่ามองซินด้วยสายตารู้ทันเชิงหยอกจนซินหน้าแดง

"ไม่ มันไม่ใช่ประเด็น" ซินกระแอมในลำคอมองจ้าวอย่างคาดคั้น "กูถามว่ามึงให้กูทำไม รถคนนี้มึงรักมากไม่ใช่เหรอ"

"อือ ก็รักมากแต่ถ้าไม่ได้ขับก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเก็บมันไว้นี่"

ยิ่งนึกถึงภาพที่ซินขับชาโคลแทนตัวเอง จ้าวก็หลุดยิ้ม มันใหญ่กว่าตัวซินเอามากๆ จนถ้าซินขับจริงก็คงเหมือนกระรอกที่ขี่หลังหมีดำ ทั้งประหลาดทั้งไม่เข้ากัน มันคงจะดีมากๆ ถ้าเขาได้เห็นภาพนั้น

แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นอะไรขนาดนั้น

"ขอบคุณมากจริงๆ "

จ้าวกล่าวขอบคุณเสียงแผ่วอีกครั้งแล้วออกแรงทั้งหมดผลักซินให้ล้มกระแทกพื้นซึ่งก็สำเร็จเพราะซินไม่ได้ตั้งตัวและไม่คาดคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะโดนจ้าวผลัก ซินล้มหน้าหงายและนั่นก็เป็นจังหวะให้จ้าววิ่งออกไปตรงหน้าระเบียงที่ซินเผลอเปิดเอาไว้เพราะเพิ่งพาลีโอไปดูวิวตรงระเบียงเล่น

แต่ทันทีที่ปลายเท้าข้างนึงสัมผัสกับเหล็กเย็นเยียบของราวก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว เมื่อก้มลงพื้นเบื้องล่างซึ่งมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ก็เกิดความรู้สึกลังเลขึ้นมากะทันหัน ความสูงที่ไม่คุ้นชินทำเอาจ้าวกลัวจนก้าวขาไม่ออก ทั้งๆ ที่เบื้องลึกในจิตใจกำลังเรียกร้องขอการปลดปล่อยจากความเจ็บปวด

อิสรภาพจากความตาย

นั่นคือสิ่งที่ใจของจ้าวกำลังเรียกร้องอย่างดุดัน ข้อมือขาวซีดกำราวระเบียงแน่น จ้าวกัดฟันกรอดๆ เคร่งเครียดจนร้องไห้ออกมา คิดไม่ตกถึงสิ่งที่ตัวเองควรจะตัดสินใจ

"ไอ้จ้าว!!! "

ซินตะโกนเสียงดังลั่นตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาจ้าวอย่างกราดเกรี้ยว ควบคุมตัวเองแทบไม่อยู่เมื่อจ้าวได้กระทำในสิ่งที่เขากลัวที่สุด

"อย่า อย่าเข้ามา!!! "

จ้าวตะคอกกลับเสียงแข็ง นัยน์ตาขึ้นสีแดงก่ำ ความสับสนมึนงงกับความรู้สึกหลายๆ อย่างตีกันในหัวซึ่งมันก็มากจนมันระเบิดออกมา

ซินชะงักกึกพูดเสียงสั่น "ไอ้จ้าว มึงกลับมานี่"

"ไม่!!! "

จ้าวคำรามรู้สึกถึงขุมพลังแปลกประหลาดในร่าง สติคล้ายจะจางลงชั่วขณะ ปลายเท้าอีกข้างออกแรงส่งตัวจนร่างซูบผอมลอยขึ้นในอากาศ

"จ้าว!!! " ซินร้องเสียงหลงสะอื้น "กูขอร้อง จ้าว กูขอร้อง"

เคราะห์ดีที่เรี่ยวแรงของจ้าวนั้นน้อยเกินไปจึงพาร่างตัวเองไปเหยียบบนราวไม่สำเร็จ ปลายเท้าข้างเดิมสัมผัสพื้นอีกครั้ง สิ่งที่กำลังปะทุในอกของจ้าวมีเพียงจิตใจที่เจ็บปวดจนคลุ้มคลั่ง รู้สึกเพียงอย่างพาตัวเองไปให้พ้นจากสภาวะนี้สักที

"ไม่ไหวแล้ว ฮึก เจ็บจนทนไม่ไหวแล้ว"

จ้าวสะอื้นฮักจนหายใจไม่ทัน

เขาเจ็บปวด เจ็บปวดเหลือเกิน โลกทั้งใบของเขามันแหลกสลายไปตั้งนานแล้วทำไมเขาถึงไม่ตายสักที เขาจะหวังอะไรอยู่อีกในเมื่อการฝืนดันทุรังไปข้างหน้า มีแต่จะทำให้เขาเจ็บปวดมากกว่าเดิม มันไม่มีเหตุผลด้วยซ้ำที่เขาสมควรอยู่ การดำรงอยู่ของเขามีแต่ทำให้คนอื่นทุกข์ใจ

คนอย่างเขาตายไปก็ไม่มีใครเสียใจหรอก..

จ้าวค่อยๆ ออกแรงส่งตัวอีกครั้ง

ความรู้สึกลอยในอากาศให้ความรู้สึกเบาโหวงแต่ก็เป็นอิสระอย่างประหลาด...

"ไอ้จ้าว!! กูรู้ว่ามึงกำลังรอใครสักคนอยู่!! "

ซินตะโกนมั่วซัวพยายามชวนจ้าวคุยขณะเดียวกันก็หาของที่จ้าวพกติดตัวมาด้วย เขาจำได้ว่าฝุ่นบอกอยู่แต่จำไม่ได้ว่าคืออะไรเพราะลีโอร้องแว้กๆ ตะโกนตัดเสียงจนไม่ได้ยิน รู้แค่วางอยู่แถวนี้

ได้ผล อดีตนักร้องนำวงมูนไลท์ชะงักชะงันยืนนิ่งงัน นัยน์ตาที่ร้องไห้จนเป็นสีแดงก่ำมองพระจันทร์เสี้ยวที่โดนเมฆดำปกคลุม

"...ใคร"

ผ่านไปชั่วครู่จ้าวก็พึมพำเสียงแผ่ว เสียงตะโกนชักจูงให้เป็นอิสระจากความเจ็บปวดคล้ายกับเบาลงชั่วขณะแทนที่ด้วยความสงสัยแทน เพราะจ้าวก็รู้สึกเหมือนกันว่าตัวเองกำลังรอใครสักคนอยู่จริงๆ

ใครที่แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร

จ้าวขมวดคิ้วมุ่นอยู่ไม่นานก่อนที่จะผ่อนคลายลง

"จะใครก็ช่างเถอะ"

ยังไงซะ ความตายของเขาก็ไม่มีทางทำให้ใครต้องเจ็บปวดอยู่แล้ว นี่เป็นทางแก้ที่ดีที่สุด เขาไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป ใครคนนั้นที่เขารออยู่อาจจะไม่สงสัยด้วยซ้ำว่าเขาหายไปไหน ดีไม่ดีอาจจะคิดว่าเขาติดคุกจนตายก็ได้

รอยยิ้มจางปรากฎ จ้าวสูดหายใจลึกแล้วออกแรงถีบตัวและครั้งนี้ก็สำเร็จ

สองเท้าวางอยู่บนราวระเบียง ลมที่ตีหน้าให้ความรู้สึกเย็นสบาย นี่อาจจะเป็นความรู้สึกของนกตัวน้อยที่โผบินในอากาศทุกชั่ววัน มันเป็นความรู้สึกที่ดีจนจ้าวอยากจะรู้สึกโบยบินมากกว่านี้

แขนสองข้างกางออกราวกับอีกาที่กำลังเหยียดปีกเตรียมโผบินเข้าสู่ความเป็นอิสระ แผ่นหลังเปลือยเปล่าทำให้เห็นรอยสักของอีกาที่ถูกหอกแทงตายได้อย่างชัดเจน

"...ลาก่อน"

จ้าวเอ่ยเสียงกระซิบหลับตาลง

ความหวาดกลัวทั้งหมดในจิตใจหายไปแล้วเหลือเพียงความสงบอย่างประหลาด

"เจอแล้ว!!! " ซินร้องว้ากแล้วชูของสิ่งนั้นขึ้นมา "มึงไม่อยากเจอคนที่ให้ดอกกุหลาบมึงงั้นเหรอ จ้าว!! "

อีกาปีกหักชะงักตัวที่กำลังจะโผบินเมื่อหันมาเจอดอกกุหลาบสีขาวก็เบิกตากว้าง

พบกับคำตอบของคำถามที่คิดมาตลอดว่าไม่มีทางรู้ว่าคืออะไร

ขาสองข้างสั่นเทาและทรุดฮวบ!

"จ้าว!!! "

ซินร้องลั่นอย่างขวัญเสียก่อนที่จะผวาเข้าไปรับร่างที่ล้มกลับมายังฝั่งของพื้นไม่ใช่อากาศ

"ฮึก"

จ้าวสะอื้นฮักแล้วกอดตัวเองแน่น หัวใจในอกเต้นรัว ร่างกายกรีดร้อง

เขาอยากเจอเจ้าของดอกกุหลาบเหลือเกิน


ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 6



ค่ำคืนผ่านไปอย่างเงียบสงบ ไม่มีร่างอีกาที่แหลกสลายอยู่บนพื้น ไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ จากสมารท์โฟนที่แสดงท่าทีของอาการเป็นห่วงเกี่ยวกับอดีตนักร้องนำวงมูนไลท์ที่กำลังนั่งซึมกะทือรื่ออยู่หน้ากระจกในห้องนอน ใบหน้าอมทุกข์มองใบหน้าตัวเองตัวเองสักพักก็ก้มมองกุหลาบขาวในมือด้วยความหวงแหน

มือไล้สัมผัสกลีบกุหลาบบอบบางด้วยหัวใจที่สั่นไหวทีละกลีบ

หัวใจที่เย็นเยียบคล้ายกับอุ่นขึ้นทีละนิดเมื่อรู้สึกถึงความห่วงใยที่สม่ำเสมอจากเจ้าของดอกกุหลาบ ถึงจ้าวจะไม่แน่ใจนักว่าจะใช่คนๆ นั้นรึเปล่าที่ให้ แต่การจินตนาการว่าเขาคนนั้นเป็นคนให้กลับทำให้จ้าวรู้สึกดีขึ้นมากๆ

"…? "

จ้าวขมวดคิ้วมุ่นเมื่อสิ่งปลายนิ้วสัมผัสนั้นไม่ใช่กลีบดอกไม้สีขาวแต่เป็นกระดาษแผ่นนึงที่ถูกตัดเป็นรูปกลีบกุหลาบอย่างแนบเนียน สีของมันเนียนมาก ทั้งรอยช้ำทั้งเส้นใบ จนถ้าไม่สัมผัสก็คงดูไม่ออกว่ามันไม่ใช่กลีบกุหลาบ จ้าวค่อยๆ บรรจงดึงมันออกเพราะเห็นรอยหมึกปากกาอยู่จางๆ

'รอ'

มันเป็นตัวอักษรตัวบรรจงหัวเหลี่ยมเป็นองศาที่เหมาะเจาะจนคล้ายกับฟอนต์ของคอมพิวเตอร์

น่าแปลกที่แค่เห็นตัวอักษรที่เขียนจ้าวก็พอจะอนุมานถึงอุปนิสัยของคนเขียนได้

"..ฮื่อ"

จ้าวกุมหัวใจตัวเองที่เต้นรัวอย่างหนักรู้สึกปิติยินดี เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองดีใจเรื่องอะไร แต่เขากลับมีความสุขเหลือเกิน ถ้าเจ้าของดอกกุหลาบดอกนี้เป็นคนเดียวกับที่เขาคิดจริง เขาคงจะดีใจจนร้องไห้

เพราะเขาคนนั้นเป็นคนเดียวที่เฝ้ามองเขามาตลอด ไม่ว่าเขาจะขึ้นไปสู่จึงสูงสุดเป็นดาวประกายพร่างแพรวบนท้องฟ้าหรือกลายเป็นอีกาปีกหักโสมมที่เต็มไปด้วยความอัปลักษณ์ทั้งกายและจิตใจอยู่ใต้โคลนตม เขาคนนั้นก็ยังอยู่ที่เดิมอยู่เสมอราวกับเสาหลักมั่นคงที่ไม่มีวันเอียงเอนกับสิ่งใด

จ้าวกดจมูกกับกลีบกุหลาบ

นอกจากกลิ่นกุหลาบแล้วยังมีกลิ่นน้ำหอมผู้ชายอ่อนๆ ให้ความรู้สึกสะอาด สุขุมและเร่าร้อนแผ่ออกมาจางๆ ชวนให้รู้สึกหน้าแดง

"จ้าว เสร็จรึยัง"

ซินโผล่หน้าออกจากผนังแล้วพอเห็นว่าจ้าวยังนั่งชื่นชมดอกไม้อยู่ก็เดินฟึดฟัดเข้ามาหาอย่างหงุดหงิด จัดการสวมเสื้อฮู้ดสีดำสนิทให้จ้าวอย่างเร่งรีบเพราะอีกไม่นานร้านก็จะเปิด แต่นักดนตรีร้านที่เขาจ้างยังไม่พร้อมด้วยซ้ำ ดีที่ช่วงล่างเรียบร้อยแล้วเหลือเพียงช่วงบนที่สวมเพียงเสื้อยืดสีขาวไม่มีลายบางๆ

"กูบอกให้รีบไง จ้าววว"

จ้าวหัวเราะแผ่วเบา "ก็รีบอยู่" ดึงมือซินออกจากตัวก่อนที่จะใส่เสื้อด้วยตัวเองโดยไม่ลืมเก็บดอกกุหลาบที่เริ่มจะช้ำใส่กระเป๋าเสื้อและกระดาษแผ่นบางในกระเป๋าเงิน ร่างผอมผลุดลุกขึ้นยืนจัดระเบียบตัวเองต่อจนมั่นใจว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าถูกปิดบังมากพอแล้วก็สวมแมสสีดำทับเหลือเพียงนัยน์ตาสีดำปรากฎ

"ไม่เวิร์คว่ะ กูว่าคนจำได้ ต่อให้เห็นแค่ตามึงก็เถอะ"

"..มันก็ตั้งห้าปีแล้วนะ คงไม่มีใครจำได้หรอก"

จ้าวยังคงยิ้มแย้มแม้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดคือความเจ็บปวดแต่อย่างไรซะมันก็คือความจริง ปฏิเสธให้ตายยังไงมันก็ยังคงเป็นความจริงอยู่ดี อย่างไรก็ตามขอแค่เขาคนนั้นที่รออยู่ จ้าวก็พร้อมจะยอมรับทุกอย่างแล้ว

"แต่ถ้าเป็นไปได้ กูก็ไม่อยากเสี่ยงว่ะ"

ซินส่ายหัวไม่เห็นด้วย เขาไม่ยอมให้จ้าวต้องเผชิญกับอะไรแย่ๆ หรอก อย่างที่เห็น ตอนข่าวจ้าวดังมีแต่คนรุมด่ามีแค่ส่วนน้อยจริงๆ ที่ยังให้กำลังใจจ้าวอยู่และในที่สุดกลุ่มนั้นก็กลืนหายไปเพราะไม่มีใครอยากได้ชื่อว่าสนับสนุนฆาตกรเลือดเย็นหรอก

"แล้วจะทำยังไง" จ้าวทิ้งตัวกับพนักเก้าอี้นั่งย้วยเหมือนไร้กระดูกและหลับตา "ไม่ให้เราเล่นก็จบแล้ว ซิน ง่ายๆ เดี๋ยวเราไปหาร้านอื่นเล่นแทน"

"มึงอย่างี่เง่า จ้าว" ซินพูดเสียงดุ "กูบอกแล้วไง ว่ามึงห้ามทำงานร้านอื่นนอกจากกู ไม่งั้นกูกับมึงตัดเพื่อนกัน"

จ้าวลืมตาข้างนึงเหลือบมองซิน

ชั่วขณะหนึ่งที่ซินเผลอสบกับนัยน์ตานั้นกลับรู้สึกพรั่นพรึง ราวกับว่าตัวเองเป็นเพียงเด็กไม่รู้จักโลกที่กำลังคุยกับคนเจนโลกคนนึง มันเป็นความรู้สึกที่น่ากลัวเพราะมันทำให้ซินรู้สึกว่าตัวเองแทบไม่รู้จักจ้าวเลย จนไม่แน่ใจว่าจ้าวที่แสนอ่อนแอร้องไห้จะเป็นจะตายคนนั้นเป็นคนเดียวที่มองเขาด้วยนัยน์ตาว่างเปล่ารึเปล่า

"อือ ถ้ามีคนจับได้ก็ตัดเพื่อนเลย"

จ้าวหลับตาลงอีกครั้ง

"ไม่จำเป็นต้องมาตายด้วยกันหรอก"

"…"

ซินจนคำพูดและรู้ตัวดีว่าตัวเองคงไม่สามารถบังคับจ้าวได้อีก เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่จ้าวสามารถชนะใจตัวเองในการไม่ฆ่าตัวตายได้กลับทำให้จ้าวเหมือนกลายเป็นอีกคน ลึกๆ ในใจจ้าวยังคงอ่อนแอก็จริงแต่สิ่งที่แสดงออกกลับไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรที่เปลี่ยนแต่มันก็ทำให้เข้าระลึกได้ว่าจ้าวอายุมากกว่าตัวเองหลายปีเลยทีเดียว

"มาแล้วว ผมหาของให้พี่ได้แล้ว! รู้ไหมร้านเฮียท็อปขายโคตรแพงเลย พี่ซิน วันหลังผมว่าให้เจ้านายของแฟนพี่ไปเคลียร์ก็ดีนะ ขายโก่งราคาแบบนี้"

ฝุ่นที่ไม่รู้สถานการณ์อะไรสักอย่างโผเข้ามาในห้องและบ่นกระปอดกระแปด ไอ้เขาก็ตื่นตั้งแต่ตีห้าไปหาของให้พี่ซินที่อยู่ดีๆ นึกครึ้มอะไรไม่รู้มาสั่งให้ไปหาของ กว่าจะหาให้ได้ก่อนเวลาร้านเปิดก็แทบตาย

"ขอบใจ" ซินกล่าวสั้นๆ เดินไปหยิบของที่ต้องการและยื่นมันให้กับจ้าวที่ยอมลืมตามองนิ่งๆ

ไม่รู้ว่ามันเป็นความคิดที่แย่รึเปล่าที่ซินนึกภาวนาให้จ้าวกลับไปอ่อนแอแบบเดิมเพราะจ้าวในตอนนี้กลายเป็นคนที่คาดเดาอะไรไม่ได้จริงๆ แววตาที่มักแสดงออกอย่างซื่อตรงว่าเจ็บปวดว่าดีใจกลายเป็นแววตาหม่นมัวไม่แสดงถึงความรู้สึกอะไรทั้งนั้น

"..อีกา? "

จ้าวถามขณะที่ไล้มือไปกับขนนกสีดำนุ่มมือ มันเป็นหน้ากากอีกาที่มีจงอยปากสีดำไม่ยาวนักยื่นออกมา ส่วนรอบนอกซึ่งเป็นกรอบหน้าถูกปกคลุมด้วยขนปีกที่จัดเรียงคล้ายกับเป็นหัวของอีกาจริงๆ และบริเวณดวงตาที่ถูกทำจนคล้ายกับดวงตาของอีกาจริงๆ แต่เป็นสีแดงก่ำ

"ตรงนั้นทำจากเลนส์พิเศษครับ" ฝุ่นพูดขึ้นมาเมื่อเห็นจ้าวใช้มือถูๆ บริเวณดวงตา "สบายใจได้ครับ พอใส่แล้วก็ยังมองเห็นได้สบาย"

เพื่อยืนยืนคำพูดจ้าวถอดแมสออกแล้วสวมหน้ากากทับ ง่วนอยู่กับการติดอยู่ครู่หนึ่งก็เสร็จสมบูรณ์

จ้าวสบมองนัยน์ตาสีแดงก่ำของตัวเองในกระจก มองเห็นชายโง่เง่าคนหนึ่งที่พยายามปกปิดตัวตนด้วยหน้ากากอีกาที่ทำเหมือนจริงมาก จนแทบจะรู้สึกว่าชายคนนี้มีใบหน้าเป็นอีกาจริงๆ

อีกาที่แสนกักขฬะและแสนโสมม..

อีกาที่ใครบางคนไม่อนุญาตให้มีสิทธิ์แม้แต่จะหายใจ...

อีกาที่ถูกตราหน้าว่าชั่วร้ายทั้งๆ ที่มันก็เป็นสัตว์ปีกเช่นเดียวกับนกตัวอื่นๆ เพียงแค่ว่ามันมีสีดำสนิทที่มนุษย์ไม่ชอบก็เท่านั้น

"…? "

จ้าวจับจงอยปากอีกาที่ปกปิดรอยยิ้มกว้างของตัวเองไว้

แปลกที่เขารู้สึกว่าตัวเองช่างเหมาะกับอีกาเหลือเกิน

"..ไปเถอะ ซิน แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว"

จ้าวดึงฮู้ดตัวเองขึ้นคลุมหัว รูดซิปเสื้อจนถึงสุดเพื่อปกปิดปลอกคอเหล็กที่แสดงสถานะอันต่ำต้อย ส่วนที่เหลือตามร่างกายก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องปกปิดแล้ว แต่ยังไม่ทันเดินก็ถูกแขนเจ้าของร้านกั้นเอาไว้ให้หยุดชะงัก จ้าวเอียงคอเชิงถามเพราะรู้ดีว่าทำหน้าสงสัยยังไงซินก็ไม่เห็นอยู่ดี

"มึงไม่ไหว ออกไปได้เลยนะ ไม่ต้องถามกู"

ซินพูดเสียงเข้มพยายามทำให้ดูน่าขึงขังที่สุดแต่ก็ทำไม่สำเร็จเพราะมันดูเหมือนแมวที่ขู่ฟ่อใส่อีกาซะมากกว่า

จ้าวหลุดขำ "แค่เล่นกีตาร์เอง ไม่มีปัญหาหรอก"

"กูก็หวังว่าอย่างงั้น บอกไว้ก่อนเลยนะว่า กูปลีกตัวมาช่วยมึงไม่ได้เพราะกูต้องรับลูกค้าอัลฟ่า"

"เราโอเคน่า"

ซินกอดอกมองหน้าจ้าวอยู่สักพักก็ถอนหายใจแรงๆ แล้วเข้าไปกอดจ้าว

"สัญญากับกู ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มึงจะไม่คิดสั้นอีก"

"...แค่ครั้งเดียวก็พอแล้วล่ะ"

ซินขมวดคิ้วมุ่นกับประโยคที่เหมือนคุยกับตัวเองมากกว่าตอบเขาแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะต้องรีบลงไปเตรียมของเพื่อรับลูกค้าอัลฟ่าคนแรกของวันที่จะมาตอนสิบโมงเช้า ซินมองจ้าวอย่างเป็นห่วงเพราะจ้าวไม่ได้กอดเขาตอบเหมือนเคยอีกแล้วและถ้าให้เดาก็คงจะยิ้มน้อยๆ กับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเอง

"ฝากจ้าวด้วย"

"ครับ"

ฝุ่นรับคำแล้วเดินเข้าไปหาจ้าวที่ยังยืนนิ่ง "ไปกันเถอะครับ พี่จ้าว พี่ซินเตรียมทุกอย่างให้พี่แล้ว"

"อือ"

จ้าวพยักหน้าลอยๆ เดินตามหลังฝุ่นอย่างว่าง่ายและเกือบจะชนหลังฝุ่นเมื่อเดินถึง นัยน์ตาเลื่อนลอยเป็นประกายตื่นตระหนกวูบหนึ่งเมื่อเห็นเวทีเตี้ยๆ ที่เคยเป็นตู้แกลอรี่เล็กๆ สำหรับโชว์งานสักของซินถูกแทนที่ด้วยเก้าอี้ไม้มีพนักบนเก้าอี้มีกีตาร์คลาสสิกสีดำวางอยู่ เยื้องไปข้างหน้านั้นมีไมค์และขาตั้งไมค์ที่ยื่นหัวลงมาเพื่อขยายเสียงกีตาร์ ส่วนกระจกหน้าร้านพวกรูปภาพถูกเคลียร์ออกหมดแล้วเหลือเพียงกระจกใสที่พร้อมจะเป็นสิ่งกีดขวางบางๆ เพียงหนึ่งเดียวระหว่างผู้ชมและนักดนตรี

"..ไม่ชอบเหรอครับ พี่จ้าว" ฝุ่นถามเมื่อจ้าวยืนนิ่งไปไม่พูดอะไร

"..เปล่า"

จ้าวตอบแล้วไปนั่งที่เก้าอี้ มือไล้สัมผัสกับผิวเส้นเอ็นของกีตาร์แล้วลองดีดเพื่อเช็คเสียง

"ฮึก"

เสียงสะอื้นของอดีตนักร้องนำนั้นแผ่วเบาจนฝุ่นไม่ทันสังเกต ยืนยิ้มภูมิใจที่พี่จ้าวดูจะพอใจกับสิ่งที่เขากับซินพยายามจัดแจงให้ตั้งแต่เช้า

"ฮึก"

จ้าวมือสั่นเทาเมื่อปรับเสียงกีตาร์แล้วลองเล่นเพลงออกมา

"เพลงนี้เหรอ! " ฝุ่นอุทานนัยน์ตาเป็นประกายวาววับ "ผมชอบเพลงนี้ของพี่จ้าวมากๆ เลย! ยิ่งเสียงคีย์บอร์ดของพี่พายงี้ผมยิ่งโคตรชอบ"

น่าเสียดายที่สิ่งที่ฝุ่นพูดนั้นไม่ได้เข้าหูจ้าวเลยแม้แต่น้อย นิ้วมือขาวซีดที่ซุกซ่อนบาดแผลทั้งภายนอกและภายในพรมนิ้วเล่นจนเกิดเป็นเสียงเพลงออกมาอย่างคล่องแคล่วราวกับว่าสิ่งที่ทำนั้นคือระบบหนึ่งของร่างกายไม่ต่างอะไรกับการหายใจเข้าออกในแต่ละครั้ง

ความปิติยินดีในสายเลือดนักดนตรีคล้ายกับกรีดร้องเมื่อได้กลับมาทำในสิ่งที่รัก

แปะๆ

เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อจ้าวเล่นจนจบเพลง จ้าวเงยหน้ามองเจ้าของเสียงปรบมือก็ชะงักครู่หนึ่ง

'ตุลย์ เตชภณ'

เจ้าของใบหน้าคมดุและแข็งกร้าวที่มาพร้อมกับเพลงร็อคสะใจคนฟัง

นักร้องนำเจ้าของวง 'STRAIGTH' ที่จัดว่าเป็นคู่แข่งและไม้เบื่อไม้เมาเขาวงมูนไลท์มาตลอดหลายปี เรียกได้ว่าถ้ามูนไลท์คือเบอร์หนึ่ง สเตรทก็คือเบอร์สองที่คนจะนึกถึง

แต่ตอนนี้ก็คงไม่เป็นแบบนั้นเพราะตอนนี้ไม่มีวงมูนไลท์แล้ว

จ้าวเหยียดยิ้มเยาะตัวเองเมื่อนึกถึงเรื่องนี้

"เพราะมาก"

เสียงทุ้มที่แม้แต่ตอนพูดปกติยังฟังดูขัดหูเอ่ยชม ตุลย์ซึ่งเปลือยร่างท่อนบนโชว์ผิวสีแทนและรอยสักเสือโคร่งที่พาดจากอกเยื้องไปบนแผ่นผลัง เดินเข้าไปใกล้จ้าวอย่างดุดัน จนฝุ่นที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กลืนน้ำลายเอือกด้วยความกลัวเพราะแค่เดินหรือยืนเฉยๆ คนๆ นี้ก็น่ากลัวเป็นบ้าแล้ว

"…"

จ้าวไม่ตอบนั่งนิ่งงันไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวหรือวิตกใดๆ ก้มหน้าก้มตาเล่นเพลงอื่นต่อ ไม่ใช่เพลงของวงมูนไลท์ แต่เป็นเพลงของวงสเตรท

ดนตรีโทนร็อคจ๋าเมื่อถูกนำมาเล่นในรูปแบบของกีตาร์คลาสสิก เสียงของมันจึงนุ่มนวลอย่างประหลาด นิ้วเรียวพรมบนเอ็นด้วยความคล่องแคล่วจนคล้ายกับการเริงระบำ คอร์ดและคีย์ที่จ้าวเล่นนั้นถูกถอดออกมาจากต้นฉบับไม่มีผิดเพี้ยนคนฟังอย่างตุลย์รู้สึกประหลาดใจ

มีไม่กี่คนที่สามารถแกะเพลงของวงเขามาเล่นโดยคอร์ดตรงกับต้นฉบับขนาดนี้

ความสงสัยในตัวนักดนตรีที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีของร้านนี้ ทำให้ตุลย์สงสัยมากขึ้นไปอีกเพราะนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาสักและทุกครั้งที่มาสักก็มักจะมีเพลงของวงมูนไลท์เพลงคู่แข่งที่ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดเปิดอยู่เสมอ เขาไม่แน่ใจว่าเจ้าของร้านตั้งใจกวนเขารึเปล่าหรือเป็นรสนิยมการเลือกเพลงที่เอาแต่เปิดเพลงของวงที่ล่มสลายไปแล้ว

อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่เขานั่งเหม่อน้ำเสียงกระจ่างใสน่าฟังก็จะดังคล้อยเข้ามาในหู ความร่าเริงที่พร้อมจะเป็นกำลังใจให้ทุกคนบนโลกทำให้เขารู้สึกดีจนน่าหงุดหงิด

แววตาดุร้ายหม่นลงกะทันหัน

แต่เขาคนนั้นก็เปรียบเสมือนตายทั้งเป็นไปแล้วและเขาไม่รู้สึกดีสักนิดที่เห็นอีกฝ่ายกลายเป็นแบบนั้น การมีคู่แข่งและคอยแก่งแย่งแฟนคลับสนุกกว่าเป็นไหนๆ มีครั้งนึงที่เขากับจ้าวได้เล่นคอนเสิร์ตเดียวกันแล้วเล่นธีมนรกสวรรค์ แน่นอนว่าวงเขาได้ฝ่ายนรกส่วนฝ่ายนั้นก็ได้สวรรค์ เขายังจำได้ดีถึงความสนุกที่ได้ร้องเพลงกับจ้าว พลังชีวิตของจ้าวมันล้นเหลือจนเหมือนจะเติมเต็มให้คนทุกคนจริงๆ จนเขารู้สึกได้

"คุณเล่นดีมาก"

ตุลย์ชมอีกครั้งโดยไม่นึกสงสัยอีกว่าใครเป็นเล่นเพลงเพราะๆ พวกนี้ มือหนาล้วงควักเงินออกมาจำนวนนึงและวางลงบนหมวกดำซึ่งวางตรงหน้าของผู้เล่นอีกทีอย่างไม่นึกเสียดาย

"…ขอบคุณ"

ใบหน้าคมขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินเสียงตอบ

มันคุ้นหูจนคล้ายกับเสียงของเขาคนนั้น

ตุลย์มองสำรวจนักดนตรีใหม่คร่าวๆ อีกครั้งและส่ายหัวให้กับความคิดไร้สาระของตัวเอง

จ้าวที่เขารู้จักไม่ใช่คนที่เล่นดนตรีในที่แบบนี้แน่นอน ที่สำหรับคนอย่างจ้าวคือเวทีระดับประเทศที่เปรียบเสมือนท้องฟ้าอันยิ่งใหญ่เท่านั้น เรื่องการเล่นดนตรีเปิดหมวกใน้ร้านสักย่านซ่องนกพิราบคือเรื่องที่โยนออกจากหัวได้เลย มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอก

ร่างสูงหัวเราะในลำคอแล้วเดินไปนั่งที่ประจำเมื่อเห็นเจ้าของร้านมาเตรียมของรอแล้ว

จ้าวเหลือบมองเงินในหมวกที่มีมูลค่ามากพอที่จะเลี้ยงเขาได้เป็นเดือนแล้วนึกถึงสมัยที่ตัวเองเล่นเปิดหมวกใหม่ๆ ได้เงินไม่กี่ร้อยต่อวัน

เขาในตอนนั้นมีความสุขมากจนน่า..อิจฉา

มีชีวิตที่มีความสุข ได้ร้องได้เล่นดนตรีทุกวันกับวงของตัวเอง ได้เงินค่าขนมนิดๆ หน่อยๆ ก็ดีใจแทบตาย เป็นความสุขในวัยเยาว์ที่มากจนจ้าวรู้สึกว่าชีวิตตัวเองแม่งโคตรจะดีและอยากแบ่งปันความสุขของตัวเองให้คนอื่นบ้าง

แต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลานั้นมันจบลงไปนานแล้ว

ผลของการเป็นคนที่มีความสุขมากเกินไปก็คือโลกที่ล่มสลายจนไม่มีที่ยืน และเขาก็ต้องชดใช้กรรมที่ช่วงชิงความสุขจากคนทั้งโลกมาไว้กับตัวด้วยการแบกรับความเจ็บปวดที่ทำเอาการหายใจยังทำได้ไม่เต็มที่

น้ำตาหยดหนึ่งไหลหยดผ่านริมฝีปาก

ความเค็มปะแล่มทำให้หัวใจด้านชา

ร่างโปร่งก้มหน้าต่ำเล่นเพลงต่อไปตามหน้าที่ของตัวเองโดยไม่สนใจที่จะมองอะไรอีก แค่การได้เด่นดนตรีอีกครั้งสำหรับจ้าวก็ถือเป็นโชคที่มากพอแล้ว ขอเพียงได้เล่นดนตรีก็สามารถทำให้หัวใจเต้นรัว ทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากขึ้นสักนิดก่อนที่จะต้องจมไปในความทุกข์ตรมอีกครั้ง

"ฮึก"

จังหวะการหายใจของจ้าวไม่สม่ำเสมอ ไม่แม้แต่จะรู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองเล่นแต่เพลงของวงมูนไลท์ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เพลงเปิดตัววงไล่เรียงไปเรื่อยๆ ตามปีของเพลงที่ออก

เงินในหมวกก็มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเสียงเพลงไม่ได้ดังเพียงในร้าน มันยังดังคลอแว่วออกจากลำโพงนอกร้าน ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพลงของวงมูนไลท์นั้นเพราะและความหมายดีมากแต่ก็เพราะหัวหน้าวงที่ต้องโทษร้ายแรง คนถึงไม่นิยมเหมือนเมื่อก่อน

ตุลย์ซึ่งสักเสร็จประมาณบ่ายสองมองนักดนตรีอย่างนึกสงสัยนิดๆ เพราะแต่ละเพลงที่เล่นนั้นเป็นของวงมูนไลท์ทั้งนั้น แต่สายเรียกเข้าที่มาจากผู้จัดการวงนั้นก็น่ารำคาญเกินทนเลยได้แต่กดรับสายและเดินหน้าหงิกออกไป

ซึ่งมันก็เป็นเวลาเดียวกับที่ใครบางคนที่ซินนัดไว้มาพอดี

ร่างโปร่งขนาดตัวพอๆ กับจ้าวซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อฮู้ดมิดชิดสีขาวและหน้ากากรูปกระต่ายวิ่งเร็วๆ เข้ามาในร้าน ส่งยิ้มให้ซินที่พยักหน้าให้เชิงอนุญาตก่อนที่จะกระโจนไปยืนหน้าจ้าวและคว้าไมค์อีกตัวที่วางไว้บนโต๊ะใกล้ๆ มาร้องเพลงต่อ

ทันทีที่เปล่งเสียงร้องทุกคนก็ราวกับต้องมนต์สะกด เหล่าผู้คนที่เดินขวักไขว่หยุดชะงัก ร่างที่มีลักษณะคล้ายกับจ้าวหลับหูหลับตาร้องเพลงออกมาด้วยความสุขสุดขีดโดยไม่สนใจรอบข้าง มีความสุขมากจนคำแต่ละคำที่เปล่งออกมาเป็นเสียงเพลงนั้นทำให้คนฟังรู้สึกได้

น้ำเสียงกระจ่างใสมีความสุขที่เสียดแทงเข้ามาในหัว กระตุ้นให้จ้าวลืมตาขึ้นมามองและพบว่าข้างหน้าของตัวเองนั้นมีร่างของนักดนตรีเจ้าของเสียงทรงพลังที่สามารถเรียกคนให้มายืนออกันเต็มหน้าร้านได้ แววตาของทุกคนภายนอกนั้นมีแต่ความชื่นชมเทิดทูนและสนุกไปกับเพลงที่เขาร้อง

เฉกเช่นเดียวกับตอนที่เขาเคยยืนอยู่ตรงนั้น

"...ฮึก"

จ้าวจ้องมองร่างตรงหน้าขณะเดียวกันก็พรมนิ้วเล่นเพลงต่อไปเรื่อยๆ

อาการร่าเริงสุดขีดพร้อมแบ่งพลังชีวิตให้คนอื่นๆ ของคนๆ นี้คล้ายกับเขามาก..

ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นช้าๆ ทั้งๆ ที่จ้าวรู้ว่ามันไม่ควรเกิดขึ้นสักนิด

"ฮือ"

จ้าวหลุดสะอื้นแต่เสียงรอบกายดังมากกว่านั้นมันจึงกลบอย่างรวดเร็ว

ร่างโปร่งร้องเพลงตามจังหวะของเสียงดนตรี หัวใจฟูฟ่องที่ตัวเองได้ร้องเพลงของวงที่รักและชื่นชอบมาตลอดหลายปี ยิ่งรู้ว่าร่างที่กำลังดีดกีตาร์อยู่คือจ้าว วงมูนไลท์ ก็ยิ่งดีใจจนตัวสั่นเพราะเขานั้นรักจ้าวที่สุดในวงแล้ว!

ข้อมือชูขึ้นเหนือหัวเลียนแบบจ้าวในงานคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งสุดท้าย

จ้าวเบิกตากว้างเห็นภาพตัวเองซ้อนทับ

"บอกกับเขาไปเลยว่า!! "

"ฮื่ออ"

จ้าวกัดปากกลั้นสะอื้น ความมืออาชีพที่ฝังในสายเลือดทำให้เขาเล่นกีตาร์ต่อได้อย่างปกติสุข

เสียงตะโกนภายนอกที่ดังราวกับวันนั้นที่เขาเล่นทำให้จ้าวรู้สึกอิจฉา รู้สึกราวกับถูกแย่งของที่รัก เหมือนถูกแย่งที่ยืนของตัวเองที่เคยยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งๆ ที่เป็นเพลงของเขาแต่ตัวเองเขากลับไม่มีสิทธิ์ที่จะปริปากร้องมันออกมาด้วยซ้ำทั้งๆ ที่อยากร้องแทบตาย

เขาอิจฉามาก...

จ้าวก้มมองพื้นขยะแขยงตัวเอง

"อ้ะ ขอบคุณมากๆ ครับ ดอกไม้สวยมากเลยครับ"

คำพูดประหลาดดังแว่ว เซนส์ในหัวกู่ร้องอย่างรุนแรง จ้าวเงยหน้าขึ้นมาเห็นดอกกุหลาบสีขาวคุ้นตาในมือของคนที่ช่วงชิงทุกอย่างไปจากเขา

ชั่ววินาทีนั้นเหมือนโลกกลายถล่มลงมา

จ้าวทิ้งกีตาร์ในมือแล้ววิ่งขึ้นไปหลบในห้องน้ำ

กรีดร้องออกมา

ด้วยหัวใจอันแหลกสลาย




ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 7 : prey p.1
«ตอบ #14 เมื่อ23-03-2018 16:22:10 »

ตอนที่ 7



ปัง!!

"จ้าว เป็นอะไร ออกมาคุยกับกูหน่อย! "

"จ้าว!! "



วันนี้เป็นวันที่ร้าน Sin of Lion ปิดไวกว่าปกติเนื่องด้วยลูกค้าคนที่คิวต่อจากตุลย์แคนเซิลพอดี ซินเลยถือโอกาสปิดร้านเพราะคงจะรับลูกค้าวอร์คอินไม่ไหวแน่ๆ

"จ้าว!! "

ใบหน้าสวยฉายแววเคร่งเครียด ซินขบเคี้ยวฟันอย่างหงุดหงิดแล้วออกแล้วทุบประตูใหม่เพื่อเรียกคนที่อยู่ข้างในมานานนับชั่วโมงให้ออกมา ถึงเขาจะมีกุญแจก็เถอะแต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงไขเข้าไปอยู่ดีเพราะกลัวว่ามันจะไปล้ำเส้นของจ้าวเข้าอีก

"..พี่ซิน พี่ว่าพี่จ้าวเขาโกรธอะไรผมรึเปล่า? "

คนมาใหม่ถามเสียงกล้าๆ กลัวๆ สีหน้าซีดเผือดขณะที่มองประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท ไม่มีวี่แววการตอบรับของคนด้านในแม้แต่ประโยคเดียวหลังสิ้นเสียงกรีดร้องดังลั่นเหมือนสัตว์ที่บาดเจ็บ

เสียงของจ้าวนั้น เจ็บปวดจนคนฟังแทบทนไม่ได้

"จ้าวจะโกรธมึงทำไม ข้าว" ซินหันไปเอ็ดอดีตรุ่นน้องในโรงเรียนที่ผันตัวไปเป็นนักร้องตามร้านอาหารเสียงดุ "ช่วงนี้มันไม่โอเคนิดหน่อย ทางที่ดีมึงอย่าพูดเรื่องวงมันมาก มึงก็รู้นี่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับจ้าวบ้าง"

"ผมรู้พี่" ข้าวยังคงหน้าซีดเช่นเดิม "แต่พอผมรับกุหลาบ พี่จ้าวก็วิ่งไปเลย"

"เดี๋ยวนะ กุหลาบ" ซินขมวดคิ้ว "มึงอย่าบอกว่ากุหลาบสีขาว"

"พี่รู้ได้ไง" ข้าวอ้าปากค้างแสดงสีหน้าว่าช็อคมากแล้ววางบนมือซินที่ยืนมือออกมารอรับ ซินรับมันไปพิจารณาดูสักพักแล้วถอนหายใจยาว นวดขมับตัวเอง

"อะไรของเขาวะเนี่ย"

เขาไม่เข้าใจไอ้คนให้กุหลาบจ้าวเลยสักนิดว่าคิดอะไรอยู่? หรือว่าจำผิดคิดว่าข้าวมันเป็นจ้าวเพราะข้าวกับจ้าวมันก็คล้ายกันมากจริงๆ

"จ้าว"

ซินใช้หลังมือเคาะประตูพยายามเรียกคนข้างในที่ไม่ยอมพูดอะไรสักที

คนที่ให้กุหลาบจ้าว มันจะรู้บ้างไหมนะว่ามันเป็นคนที่ดึงเพื่อนเขากลับมาจากความตายได้และตอนนี้มันก็กำลังผลักให้เพื่อนเขากลับไปทางเดิมอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว

"พอเหอะ พี่ซิน มือพี่ช้ำหมดแล้ว"

ฝุ่นดึงมือซินที่เคาะจนช้ำไปทั้งมือออกแล้วหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตูโดยไม่รอคำอนุญาตอะไรทั้งนั้น ทันทีที่ประตูเปิดแสงสว่างภายนอกก็สาดเข้าไปในห้องน้ำที่มืดสนิทจนมองไม่เห็นแม้กระทั่งมือของตัวเอง

"…"

แสงสว่างสาดลงบนใบหน้าของจ้าวอย่างอ่อนโยน จ้าวซึ่งนั่งเหยียดขาบนพื้นยิ้มน้อยๆ ให้ซินและลามไปให้ข้าวกับฝุ่น

"โทษที เราไม่มีแรงลุกน่ะ"

จ้าวว่างั้นแต่ก็พยุงตัวเองลุกขึ้นมาช้าๆ และเดินตัดผ่านกลางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"เดี๋ยว.."

ซินพึมพำรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลเลยลองเปิดไฟดูและพบกับเศษซากกุหลาบสีขาวที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น กลีบดอกสีขาวถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ไม่เป็นชิ้นดี ก้านสีเขียวถูกหักและเหยียบเละจนมีสีเขียวขุ่นติดพื้น

"… พี่เขาไม่ชอบกุหลาบเหรอ"

ข้าวถามเสียงแผ่วกลืนน้ำลายเอือกเมื่อเห็นสภาพกุหลาบที่เหมือนผ่านสงครามมาสิบรอบ

"ไม่รู้ว่ะ"

ซินพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ยกมือขึ้นปิดหน้า "ฝุ่น พี่ฝากจัดการที ขอพี่ไปดูจ้าวก่อน"

"ครับ"

ไหล่ที่มักจะตั้งเหยียดตรงอยู่เสมอตกลงอย่างสิ้นหวัง

ดอกกุหลาบสีขาวคือสิ่งเดียวที่จ้าวยึดมั่น ถ้าจ้าวเลือกที่จะทำลายมันนั่นก็หมายความว่าตอนนี้จ้าวไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวเอาไว้อีก ถ้าเกิดเรื่องแบบเมื่อคืนอีกครั้ง คราวนี้ซินไม่มั่นใจอีกแล้วว่าตัวเองจะสามารถรั้งจ้าวจากความตายได้อีก

"พี่ว่า ผมเอาไปทิ้งดีไหมอ่ะ เผื่อพี่เขาเห็นแล้วจะหงุดหงิดอีก"

"ไม่ต้อง มึงเก็บไว้นั่นแหละ"

ซินพูดเหนื่อยๆ รู้สึกคิดถึงคนบางคนอย่างประหลาด คนๆ นั้นต่อให้โลกถล่มลงมายังยิ้มและกวนประสาทเขาได้หน้าตาเฉย หนำซ้ำยังมองว่าเรื่องโลกแตกยังเป็นเรื่องตลกด้วยซ้ำ

"สู้ๆ ซิน"

ซินงึมงำให้กำลังใจตัวเองที่แผ่วลงไปทุกที





บรรยากาศในห้องนอนนั้นเย็นยะเยือกจนหายใจไม่ทั่วท้อง สาเหตุไม่ใช่มาจากแอร์แต่เป็นจ้าวที่นั่งกอดเข่าพิงเก้าอี้จ้องรายการตลกในทีวีโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงสักนิดแม้ว่ามุขในทีวีจะตลกมากแค่ไหนก็ตาม ไม่มีรอยยิ้ม มีเพียงแววตาที่ทอดมองไปไกลมากๆ คล้ายกับคนที่วางแผนอะไรสักอย่างอยู่

"จ้าว"

ซินเอ่ยทักเมื่อเข้ามาในห้อง ทิ้งตัวนั่งตรงโซฟาใกล้ๆ เช่นเดียวกับข้าวและฝุ่นที่นั่งกันคนละมุมแต่สายตาจับจ้องไปยังอดีตนักร้องนำวงมูนไลท์ผู้เคยมีอนาคตอันรุ่งโรจน์ด้วยแววตาเป็นกังวล

"ว่า"

จ้าวตอบทั้งๆ ที่ไม่ละสายตาสายตาจากจอ ดูสุขุมไร้อารมณ์จนเหมือนคนที่ถูกทำร้ายซ้ำๆ จนไม่หลงเหลืออารมณ์ใดอยู่อีก

"มึงเป็นอะไร"

แต่ซินรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น จ้าวตอนนี้ก็เหมือนน้ำที่ข้างบนเหมือนนิ่งก็จริงแต่ต่ำลงไปกว่านั้นกลับเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกราดปั่นป่วนไปหมด

"เปล่า"

จ้าวหันมาฉีกยิ้มให้ซินและเผื่อแผ่ให้อีกสองคนที่เป็นห่วง "เราแค่นึกถึงอะไรแย่ๆ ตอนอยู่ในคุกน่ะ มาน่ากลัวนิดหน่อยเลยเล่นต่อไม่ไหว"

รอยยิ้มปั้นและเรื่องราวถูกปั้นแต่งขึ้นมาอย่างเชี่ยวชาญ สิ่งที่จ้าวถนัดพอๆ กับการร้องเพลงคือการแสดงละครและมันก็สำเร็จมีสองคนเชื่อสนิทใจและอีกหนึ่งคนที่เคลือบแคลง

"มึงแน่ใจนะว่าเรื่องนั้นจริงๆ " ซินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ้ง แววตาที่ทุกข์ตรมกับสีหน้าของจ้าวมันดูสมจริงเหลือเกิน "อย่าโกหกกูนะ ไม่งั้นกูจะโกรธ"

"จริงๆ "

จ้าวว่างั้นก่อนที่จะซุกหน้าลงกับเข่า

".. แล้วพี่จ้าวโกรธอะไรผมรึเปล่า"

เสียงทุ้มนุ่มคล้ายกับจ้าวเอ่ยขึ้น

นัยน์ตาหมองมัวสิ้นหวังเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง เคราะห์ดีที่ไม่มีใครสังเกตเห็น จ้าวเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายชัดๆ และพบว่ามีหลายอย่างที่คนๆ นี้เหมือนเขา

ราวกับฝาแฝดของเขาอีกคน

ผมสีเทาที่ถูกย้อม ต่างหูสีดำ โชคเกอร์ของโอเมก้าสีดำสนิทที่มีลักษณะคล้ายกับของเขาที่เป็นของจำลองขึ้นเพื่อใส่เป็นแฟชั่น ตามข้อมือมีแหวนและสายรัดข้อมือแบบที่เขาชอบ

"..เปล่า"

จ้าวฉีกยิ้มจริงใจจนตาหยี อารมณ์บางอย่างก่อตัวอย่างเงียบเชียบ

"โล่งอกไปที ผมนึกว่าพี่ไม่พอใจผม" ข้าวถอนหายใจฟู่ๆ อย่างร่าเริง นัยน์ตากลับมาเป็นประกายเมื่อเห็นไอดอลของตัวเองในระยะประชิดและจับต้องได้ "พี่จ้าว พี่รู้ไหม ว่าผมโคตรชอบพี่เลย! ชอบทั้งเพลงของพี่ วงของพี่ ชอบทุกอย่าง โดยเฉพาะพี่เท่สุดๆ ไปเลย"

"เหรอ" จ้าวหัวเราะนวดมือตัวเองแก้เขิน "ดีใจที่ชอบ"

ทั้งๆ ที่พูดแบบนั้นแต่แววตาที่กลับไม่เป็นเช่นนั้น

"ตอนคอนเสิร์ตใหญ่ของพี่ ผมก็ไปนะ! " ยิ่งพูดข้าวก็ยิ่งสนุกเมื่อเห็นจ้าวดูพึงพอใจกับสิ่งที่ตัวเองพูด "ผมตะโกนคอแทบแตก วันนั้นโคตรมันเลยพี่ ใครๆ ก็ตะโกนเรียกพี่กันทั้งนั้น"

ข้าวเผลอเดินเข้าไปใกล้จ้าวมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว

"แล้วยิ่งวันนี้ผมลองทำแบบพี่นะ"

มือบอบช้ำข้างที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อกันหนาวกำหมัดแน่น ความเดือดดาลไหลผ่านเลือดไปอย่างรวดเร็วราวกับสะเก็ดไฟที่ต้องน้ำมัน นัยน์ตาสั่นระริก ในอกสุมไปด้วยควันจนหายใจติดขัด

"ทุกคนก็ตะโกนเหมือนวันนั้น แม่งโคตรสนุกเลยพี่จ้าว! ผมโคตรอยากเป็นพี่เลย! "

ข้าวเผลอตะโกนเพราะเก็บความตื่นเต้นของตัวเองไว้ไม่อยู่ การได้ร้องเพลงแบบพี่จ้าวในวันนี้สำหรับข้าวแล้วก็เหมือนฝัน ทุกครั้งที่เขาไปร้องเพลงตามร้านส่วนใหญ่ก็ได้แต่ร้องเพลงยอดนิยมติดอันดับชาร์ตเพลงไปเพราะไม่มีนักดนตรีคนไหนอยากจะเล่นเพลงมูนไลท์ที่เต็มไปด้วยชื่อเสียสักที วันนี้จึงเป็นวันแรกและครั้งแรกจริงๆ ที่ข้าวได้ร้องเพลงที่ตัวเองรักและสนุกกับมันมาก

เพียงชั่วพริบตาก็ไฟโหมไหม้ไปทั้งตัวจ้าว

"...เหรอ"

จ้าวหัวเราะหากแต่สิ่งที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อนั้นกลับชุ่มเลือด เล็บจิกเข้าไปในท้องแขนจนเกิดความเจ็บปวดและหยุดยั้งเปลวเพลิงที่เกือบจะแผดเผาคนตรงหน้าให้ตายได้ทัน

ใบหน้าของจ้าวมีรอยยิ้มนุ่มนวลแม้ว่าจะเจ็บปวดเหลือแสน

คนที่เขายอมให้ทุกอย่างมีแค่จันทร์เท่านั้น กับคนบางคนที่ต่อให้เหมือนเขามากขนาดไหน..

"แต่พี่คงไม่เล่นเพลงวงมูนไลท์แล้วล่ะ"

เขาก็ไม่มีวันยอมให้ใครหน้าไหนมาช่วงชิงที่ของเขาทั้งนั้น!

"อ้าว ทำไมล่ะ พี่จ้าว" ข้าวทำหน้าหงอยเพราะชอบเพลงของวงมูนไลท์ทุกเพลงและอยากมีโอกาสได้ทำเหมือนวันนี้อีก

จ้าวเหลือบมองซินเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองตัวเองอยู่จึงเปิดปากพูดเพราะขี้เกียจพูดอธิบายหลายๆ รอบ

"พี่จะตั้งวงใหม่ชื่อว่าวง 'PREY' ที่แปลว่าเหยื่อ"

อดีตนักโทษหลับตาลงซ่อนแววตาซับซ้อนของตัวเอง

ภาพตอนที่ตัวเองถูกกระทำมากมายปรากฎในหัว ทั้งตอนที่อยู่ในคุกและนอกคุก โดยรวมแล้วไม่ว่าที่ไหนก็ล้วนแต่โหดร้ายกับเขาทั้งนั้น เหล่านักโทษเปรียบเหมือนฝูงหมาป่าที่พร้อมจะรุมขย้ำสัตว์อ่อนแอที่หลงเข้ามาและเขาก็เป็นสัตว์ที่ว่าพอดี อีกาหน้าโง่ที่ถูกสาปส่งจากโลกภายนอกว่าเป็นฆาตกรและต้องมากลายเป็นอาหารให้พวกมันต่อ พอรอดจากฝูงหมาป่าได้เขาก็ต้องเผชิญกับสังคมภายนอก เจอกับน้องชายที่ไม่รู้จงเกลียดจงชังอะไรกับเขานักหนา

และถ้าโลกใบนี้มันโหดร้ายกับเขานัก เขาก็จะตีแผ่มันออกมาผ่านเสียงเพลงที่เขารัก

"เพลงจะไม่ใช่แนวเดิมอีกแล้ว แต่เป็นแนวเล่าความจริง ไม่มีมาโลกสวยเหมือนเพลงวงมูนไลท์"

โลกที่แสนสวยงามที่เขาเคยอยู่ มันจบลงไปนานแล้ว ในโลกใบนั้นไม่มีที่สำหรับเขา มีเพียงโลกความเป็นจริงเท่านั้นที่มีที่ให้สำหรับทุกคนและบอกกล่าวความจริงอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่สนใจว่าคนฟังจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม

แต่ความจริงก็ยังดีกว่าความลวง ไม่ต้องหลอกไม่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ ทันทีที่ฟังก็เข้าใจได้ทันที เพราะมันเป็นความจริงที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้

"...อ้าว"

ข้าวเอ่ยเสียงเบา "แล้ววงมูนไลท์ล่ะ พี่จ้าว"

ครั้งนี้จ้าวไม่ปิดบังแววตาแข็งกร้าวของตัวเอง "มันจบไปตั้งแต่ห้าปีที่แล้วแล้ว ไม่มีใครอยากฟังเพลงของฆาตกรหรอก" จ้าวพูดหน้าตาเฉยไม่มีสีหน้าเจ็บปวด

ความจริงใช่ว่าเขาจะอยากทิ้งวงมูนไลท์แต่ในเมื่อมีคนที่จะมาขโมยที่ของเขาไป จ้าวก็เลือกที่จะสร้างวงขึ้นมาใหม่แทน อย่างน้อยก็มั่นใจได้แน่ๆ ว่าที่นักร้องนำวงมูนไลท์ยังคงเป็นของเขา

ไม่ใช่ของ 'ข้าว' ที่เหมือนกับเขาจนน่ากลัว

"แต่เมื่อกี้มีคนชอบเยอะแยะเลยนะ พี่" ข้าวพยายามพูดให้กำลังพี่จ้าวที่เหมือนจะไม่อยากทำวงตัวเองต่อ "ต่อให้พี่ไม่ได้ร้องแต่พี่ก็ยังแต่งเพลงได้นะ พี่จ้าว"

"ไม่! "

จ้าวตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด จิกเล็บลงไปในท้องแขนอีกครั้งเพื่อกดความเดือดดาลเมื่อเผลอไปเห็นดอกกุหลาบที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อพอดี

"จ้าว!! "

ซินที่นั่งเงียบมานานตวาดกร้าวขึ้นมาและเดินเข้าไปจับไหล่จ้าวที่สั่นไม่หยุดเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้

"มึงเป็นอะไร"

เขามั่นใจมากๆ ว่าจ้าวแปลกไป ถึงสีหน้าจะเหมือนปกติก็เถอะ

ซินพยายามสบตาจ้าวที่สั่นระริกอย่างอ่อนแอ

"..เปล่า"

จ้าวตอบปัดแล้วดึงแขนซินออก ปฏิเสธความห่วงใยและใช้แขนข้างที่ไม่มีอะไรซุกซ่อนโอบกอดตัวเองไว้ทั้งๆ ที่ตัวยังคงสั่นเทา จ้าวก้มหน้าต่ำกัดปาก ไม่มีเสียงสะอื้นหรือน้ำตาแต่ตัวกลับสั่นเทาหนักกว่าเดิม

"มึงแน่ใจเหรอ จ้าว"

ซินกอดอกมองร่างที่ผอมจนแทบจะเหลือแต่ซี่โครง พยายามปกป้องตัวเองทั้งๆ ที่ไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงในการหายใจด้วยซ้ำไป จ้าวในตอนนี้อ่อนแอกว่าตอนที่กำลังจะโผบินเมื่อคืนนี้อีก เหมือนคนที่เสียศูนย์และกำลังจะกลายเป็นบ้า

"แน่ใจ"

จ้าวตอบเสียงเบา ทั้งๆ ที่ไม่สักนิด และอยู่ๆ หัวใจในอกเจ็บแปลบจนชาไปทั้งอก หูอื้ออึงจนไม่ได้ยินอะไร ในหัวนึกถึงภาพที่ดอกกุหลาบสีขาวถูกยื่นให้ตัวเองและแทนที่ด้วยภาพที่มันถูกยื่นให้กับข้าวแทนที่จะเป็นตัวเอง

"ทำไม.."

นัยน์ตาของจ้าวเหม่อลอย

"ทำไมไม่ใช่...จ้าว"

คิดถึงตรงนี้ตัวก็สั่นเทาหนักกว่าเดิม ทั้งๆ ที่อยากร้องไห้แต่กลับร้องไม่ออก รู้สึกผิดหวังจนแทบทนไม่ได้

"จ้าว! จ้าว! "

ซินผวาเฮือกรีบเขย่าตัวจ้าวที่กำลังจะกลายเป็นบ้า! "ทำไงดีวะเนี่ย แม่งเอ้ย!! " พยายามใช้สมองใคร่ครวญอย่างหนักว่าจะพอใช้อะไรในการดึงจ้าวกลับมาอีกครั้งได้

อะไรที่สำคัญมากพอสำหรับจ้าว..

"จันทร์..? ไม่ล่ะ ยากๆ "

ซินส่ายหัวให้กับความคิดตัวเอง ไอ้น้องชายที่ฉีดยาระงับฮอร์โมนอัลฟ่าให้พี่ตัวเองต่อหน้าสื่อมวลชนนี่คงไม่ใช่คนที่จะเป็นเดือดเป็นร้อนตอนที่จ้าวกำลังจะกลายเป็นบ้าหรอก

"พี่ซิน กุหลาบไง! กุหลาบสีขาวที่ข้าวได้น่ะ! "

ฝุ่นตะโกนเมื่อนึกขึ้นได้ว่าจ้าวนั่งเล่นกุหลาบด้วยสีหน้ามีความสุขมากๆ ตอนเช้า กุหลาบคงจะเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งที่น่าจะมีอิทธิพลมากพอที่กระชากให้จ้าวกลับมาได้ และตอนที่เขาเก็บกวาดซากกุหลาบก็เจอเข้ากับอะไรพอดี

"พี่ผมว่ามันอาจจะมีกระดาษเขียนไว้อยู่ เพราะที่พี่จ้าวฉีกไป ผมก็เจอคำว่ารอ"

"ไอ้ข้าว! ดูเร็ว! กุหลาบมึงมีอะไรเขียนไว้ไหม เร็วๆ "

ซินดึงตัวจ้าวเข้ามากอดพอเห็นเลือดบนแขนก็ตกใจมากกว่าเดิมจนทำอะไรไม่ถูก น้ำตาเริ่มคลอเบ้าด้วยความเครียดที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้สักอย่างทั้งๆ ที่อีกฝ่ายยังอยู่ในอ้อมกอดตัวเองแต่กลับรู้สึกว่าจ้าวนั้นอยู่ห่างออกไปจากตัวเองราวกับอยู่คนละโลก

กุหลาบสีขาวที่ช้ำนิดๆ จากการเก็บอย่างไม่ใส่ใจนักของข้าวถูกนำมากระทำชำเราอย่างเร่งรีบ ข้าวรีบใช้มือกรีดตามก้านและกลีบกุหลาบอย่างเร่งรีบเพื่อหาเศษกระดาษที่ไม่รู้แม้แต่หน้าค่าตาของมัน

"อ้ะ เจอแล้วพี่! "

ข้าวอุทานแล้วดึงกระดาษสีกุหลาบขาวออกมาและยื่นมันให้ซินทันทีโดยไม่แม้แต่จะอ่าน

เพราะเวลาที่พวกเขาจะสามารถดึงจ้าวกลับมาได้นั้นน้อยเต็มทีแล้ว!

ซินหลุดสะอื้นออกมาอย่างหมดมาด เมื่อเห็นว่าจ้าวเลิกสั่นแล้วนั่งเหม่อนิ่งๆ

"ไอ้จ้าว! มึงอ่านสิ เขาให้กุหลาบมึง! ไม่ใช่ข้าว! "

บนกระดาษแผ่นบางที่แทบจะขาดนั้นเขียนว่า

'ฝากให้จ้าว'

ด้วยตัวอักษรบรรจงและคล้ายกับฟอนต์คอมพิวเตอร์แบบเดิม

"มึงดูสิ จ้าว ฮึก มึงดูดิวะ! "

ซินยื่นเข้าไปใกล้ตาจ้าวจนแทบจะดวงตาแต่ก็ไม่เป็นผล ดวงตาของจ้าวยังคงเลื่อนลอย รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏ ทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่องให้ยินดีสักนิด

"เฮียสาม มาหาจ้าวเหรอ"

คำพูดของจ้าวทำเอาซินตัวแข็งค้าง

เพราะเฮียสามที่จ้าวว่านั้นตายไปแล้ว! เฮียสามก็คือคนที่คนทั้งวงการรู้ว่าจ้าวนับถือมากเพราะเป็นทั้งรุ่นพี่และนักร้องที่จ้าวสนิทด้วยมากๆ แต่ชีวิตก็คือความไม่แน่นอน ช่วงที่จ้าวติดคุกคือช่วงที่เฮียสามถูกรถชนเสียชีวิตคาที่

"ไม่จ้าว ไม่"

ซินร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด

"มึงต้องอยู่กับกูดิวะ จ้าว"

เขาไม่เข้าใจทำไมโลกใบนี้ถึงได้โหดร้ายกับคนๆ นึงมากถึงขนาดนี้กัน

เพี๊ยะ!!

รอยแดงปรากฎบนใบหน้าจ้าวแต่จ้าวก็ยังเหม่อลอย

เพี๊ยะ!!!!!

ความรุนแรงมากกว่าเดิมทำเอาจ้าวหน้าชาแต่ก็ได้ผล ภาพหลอนที่เห็นเฮียสามมายืนเรียกจางๆ หายไปแล้ว จ้าวลูบแก้มตัวเองกระพริบตาถี่ๆ แล้วมองกระดาษที่ยื่นมาจนแทบจะกระแทกหน้าตัวเอง

"..ฝากให้จ้าว"

โลกบิดๆ เบี้ยวๆ ใบเดิมที่ไร้สีสันของจ้าวค่อยๆ กลับมามีสีสันอีกครั้ง

น้ำตาของจ้าวคลอหน่วง

คนๆ นั้นยังเป็นของเขา



ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 8 : 21: 00 p.1
«ตอบ #15 เมื่อ23-03-2018 16:23:18 »

ตอนที่ 8

21 : 00 PM



"...อืม เดี๋ยวพี่กลับไป อยู่กับแม่ไปก่อน"

ร่างสูงในชุดสูทดำราคาเหยียบแสนเดินแทรกผ่านผู้คนอย่างเร่งรีบ เพราะบรรยากาศที่ค่อยข้างมืดสลัวของย่านร้านของชำจึงไม่มีความจำเป็นต้องซุกซ่อนใบหน้าจากผู้คนเหมือนในตอนกลางวัน จำนวนคนที่มากกว่าปกติทำให้ร่างสูงรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าพอใจเพราะมันทำให้เขาต้องเสียเวลาในการเบียดเสียดกับผู้คนที่มากมายจนน่ารำคาญ

เสียงตะโกนเรียกลูกค้าดังลั่นชวนปวดหูจากร้านขายอาหารสลับกับร้านค้าต่างๆ ที่ตั้งแผงกันอย่างเสรีมากกว่าตอนกลางวันเพราะอากาศที่ค่อนข้างเป็นมิตรกว่า

และการตลาดแต่ละร้านก็แตกต่างกันไปตามประสบการณ์ของคนขาย

"พี่ๆ สนใจไหม? "

มือเรียวของโอเมก้าหน้าสวยที่ช่ำชองไปด้วยประสบการณ์เอื้อมไปรั้งแขนของชายที่น่าจะเป็นอัลฟ่าและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน พยายามขยับเข้าไปใกล้เพื่อให้อีกฝ่ายได้กลิ่นฟีโรโมนที่เพิ่งฉีดไป เพราะถ้าอีกฝ่ายได้กลิ่นมันชัดๆ ก็จะสามารถเปลี่ยนสถานะจากคนแปลกหน้ากลายเป็นลูกค้าได้อย่างง่ายดาย

"ไม่ล่ะ ขอบคุณ"

กล่าวปฏิเสธอย่างสุภาพแต่ปัดมือที่เกาะเกี่ยวแขนอย่างอุกอาจออกอย่างไม่ถนอมแรงและสาวเท้ายาวมากกว่าเดิม อารมณ์บูดจนใบหน้าคมคายเริ่มบึ้งตึง ในหัวเริ่มคิดคำนวณวางแผนการจัดระเบียบร้านของชำครั้งใหม่ให้ปลอดภัยมากกว่าเดิม

เพราะถึงแม้สถานที่แห่งนี้จะเสรีกับการค้าขายทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอนุญาตให้คนขายนั้นเล่นสกปรกกับคนซื้อ กลิ่นน้ำหอมฟีโรโมนเถื่อนที่ฉุนจัดจนปวดหัวเมื่อกี้เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เขาอยากจะกำจัดมันให้ไวที่สุด เพราะผู้หลักผู้ใหญ่ที่เขาติดต่องานด้วยก็เริ่มกดดันเขาแล้วถึงเรื่องนี้

"...ฮื่อ"

ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นในอกจนอดไม่ได้ที่จะคำรามในลำคออย่างดุดัน เขาพอจะรู้เรื่องน้ำหอมฟีโรโมนบ้าบอคอแตกนี่มาสักพักแล้วแต่ไม่คิดว่าจะมาเจอด้วยตัวเอง หากไม่ใ่ชเพราะเขาที่มีภูมิต้านทานสูงกว่าคนทั่วไปคงจะโดนโอเมก้าเมื่อกี้ล่อลวงไปแล้ว เผลอๆ ของในกระเป๋าทั้งเงินทั้งบัตรคงโดนมันขโมยหมดจนเหี้ยนไม่เหลืออะไรสักอย่าง และวันต่อมาที่เขาฟื้นก็คงจะสั่งให้คนไปล่ามันมาและไปขังในคุกสักร้อยปีตามความผิดที่โดนคูณเข้าไปอีกสิบจากความแค้นของเขา

แต่ในเรื่องร้ายก็ดูเหมือนจะมีเรื่องดีอยู่บ้าง อารมณ์คุกรุ่นของมันคงจะดูมากเกินไป พวกคนอื่นๆ ที่เดินกันอยู่ต่างหลบออกข้างให้อย่างหวาดผวาเชิงเกรงใจเพราะบางคนก็จำหน้าและฐานะเขาได้

และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเหยียบเข้าในร้านดอกไม้ที่ไม่รู้สรรหาดอกไม้จากไหนมาเยอะแยะ

"รับอะไรดีครับ"

ชายเจ้าของร้านพูดตามความเคยชินเมื่อได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งซึ่งจะดังขึ้นเมื่อมีคนเดินเข้ามาและเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับสักทีเลยต้องยอมเงยหน้าจากการจัดชุดดอกไม้สำหรับวันเกิดอย่างเสียไม่ได้

"..! "

ใบหน้ามีสีค่อยๆ ซีดเผือดเมื่อรู้ว่าเป็นใครที่มาร้าน

"วะ วันนี้มาเองเลยเหรอครับ"

น้ำเสียงสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้เพราะถ้าจะให้เปรียบ คนๆ นี้ก็คือป๋าใหญ่สุดของร้านของชำ ผู้กุมบังเหียนควบคุมทุกอย่างของซ่องนกพิราบขนาดพื้นที่ยี่สิบไร่ไม่รวมธุรกิจอื่นมากมายที่ตระกูลนี้มีเป็นคนจัดการ

และเขาก็จำได้ด้วยว่าวันนี้ ป๋าใหญ่ให้ลูกน้องคนสนิทมาเอาดอกกุหลาบแล้วครั้งหนึ่ง ไม่คิดว่าจะมาอีกครั้งเลยไม่ได้เตรียมใส่ห่ออย่างดีเอาไว้

"อืม เอามาช่อนึงเลย"

ตอบกลับอย่างไม่ยี่หระล้วงหยิบเงินในกระเป๋าพอดีกับราคามาวางไว้บนโต๊ะและเคาะนิ้วเป็นจังหวะเชิงรอ แต่คนที่สนิทกับป๋าใหญ่ย่อมรู้ว่านั่นคือการบอกว่ารีบๆ หน่อย ป๋ามีงานอีกเยอะที่ต้องทำ

"ครับ"

คนเป็นเจ้าของร้านกลืนน้ำลายเอือกทิ้งดอกไม้ในมือเข้าไปในหลังร้านเพื่อเอาดอกกุหลาบสีขาวที่เก็บสต็อกเอาไว้ให้คนตรงหน้าโดยเฉพาะคนเดียว คัดเลือกเอาดอกที่ดีที่สุดและช้ำน้อยที่สุดมาคร่าวๆ จำนวนนึงและวิ่งกลับมาที่โต๊ะทำงาน วางมันบนโต๊ะและจัดเรียงทำเป็นห่อช่ออย่างคล่องแคล่ว

"เร็ว"

คนจัดสะดุ้งเฮือก "คะ ครับ" เร่งมือในการจัดช่อจนเสร็จ ยังไม่ทันยื่นให้ก็ถูกคว้าช่อดอกไม้และก้าวเร็วๆ ออกจากร้านไป

"ขอบใจ"

"..ยินดีครับ"

เมื่อลับหลังป๋าใหญ่ เจ้าของร้านก็ลูบอกตัวเองที่หัวใจเต้นแรงแทบเด้งออกมาอย่างตื่นกลัว ถึงป๋าใหญ่จะขึ้นชื่อเรื่องเป็นคนดีก็จริง แต่เขาก็ไม่เคยชินสักทีเวลาที่ป๋าใหญ่มาที่ร้านด้วยตัวเอง ทุกทีจะส่งลูกน้องมาเอากุหลาบให้เหมือนสมัยก่อนเมื่อหลายปีที่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมที่ช่วงนี้อยู่ๆ ถึงได้กลับมาสั่งกุหลาบอีกครั้งหลังจากหายไปพักใหญ่

"..ไม่ยุ่งดีกว่า"

ตัวอย่างเขาการส่อรู้เรื่องของป๋ามากเกินไปก็ร้านเหล้าข้างๆ เขาเนี่ยแหละ พยายามสืบเรื่องป๋าเกี่ยวกับดอกไม้ว่าเอาไปให้ใครพอป๋ารู้ตัวก็สั่งเก็บ โดนดีดออกจากร้านของชำจนถึงตอนนี้เขาก็ติดต่อไม่ได้ ไม่รู้ว่าโดนไปร่อนเร่ที่ไหนแล้ว

ส่วนป๋าใหญ่ของร้านของชำตอนนี้ก็ยืนปะปนกับกลุ่มมวลประชาที่ยืนออกันเต็มหน้าร้าน 'Sin of Lion' ที่ยืนกันไม่ใช่เพราะมีการแจกเงินเกิดขึ้นแต่เพราะมีงานคอนเสิร์ตย่อมๆ เกิดขึ้นมา หน้าร้านถูกเคลียร์ของออกแทนที่ด้วยกลองชุด เบส นักร้อง สามชีวิตที่ยืนหยัดกันท่ามกลางอากาศที่เย็นกว่าทุกวัน

เสียงทุ้มนุ่มตะโกนร้องเพลงแหบห้าวออกมาอย่างดุดัน เคล้ากับเสียงตีกลองและเบสที่เล่นอย่างดุเดือด เป็นจังหวะดนตรีที่รุนแรงชวนให้คนลุกขึ้นมาดิ้นแทนการนั่งฟังเฉยๆ อย่างสบายอารมณ์

มีหลายคนที่ออกลวดลายท่าเต้นเพราะสิ่งของเมามายที่ดื่มมาก่อนแต่ก็มีอีกหลายชีวิตเช่นกันที่โยกหัวตามจังหวะเพลงอย่างเมามัน

"ถ้าคนมันชั่วมันเลวนัก เราก็คงต้องปล่อย! "

นักร้องนำซึ่งสวมหน้ากากกระต่ายร้องว้ากๆ พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเบสก็กรีดเสียงยาวเหยียดน่ากลัวราวกับกำลังดุด่าถ้อยคำหยาบคายผ่านเสียงเบส นิ้วซึ่งมีรอยเลือดติดขยับไปมาอย่างรวดเร็วยิ่งทำให้เสียงเบสนั้นโหยหวนมากขึ้นไปอีก

แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันทำให้เพลงนั้นมันส์เป็นบ้า!

คราวนี้ไมค์ถูกส่งต่อจากหน้ากากกระต่ายให้มือเบสที่ต้องร้องท่อนแร็ปที่นักร้องนำจำไม่ได้และยิ่งเป็นจังหวะที่เร็ว การอ่านเนื้อเพลงเพื่อแร็พจึงเป็นเรื่องที่ลืมไปได้เลย

"เธอทำเรารักแต่เธอก็ทำเราตาย อยากจะรู้นึกว่าเธอนั้นคิดอะไร--"

ร่างสูงซึ่งยืนอยู่กลมกลืนอยู่ข้างหลังผิวปากหวิวและคลี่ยิ้มอย่างพอใจหลังจากพิมพ์บอกคนสนิทให้พาน้องเข้านอนไปเลยเพราะเขาคงจะอยู่อีกนาน

มือหนาไล้กลีบกุหลาบด้วยรอยยิ้มนุ่มนวลโดยที่ไม่รู้ตัว กลิ่นน้ำหอมที่ฉีดตรงข้อมือนั้นได้เคล้ากับกุหลาบกลายเป็นสะอาดตามที่ติดบนร่างตัวเองก่อนที่รอยยิ้มจะหายไปเมื่อมีมือเล็กๆ ที่สามทำท่าจะขย้ำกุหลาบ

"ระวังมือลูกคุณด้วย"

ชักกุหลาบเข้าหาตัวเพื่อหลบและพูดเสียงกร้าวจนเด็กที่ทำตัวมือบอนทำหน้าจะร้องไห้

"นี่คุณ เด็กมันก็ไม่รู้ป่ะ" หญิงสาวผู้เป็นแม่รีบกอดโอ๋ลูกที่ซุกหน้ากับอกอย่างหวาดกลัว ใบหน้าสะสวยที่แต่งเติมด้วยเครื่องสำอางจัดพูดอย่างหงุดหงิด รู้สึกเสียดายที่ชายตรงหน้าไม่ใช่โอเมก้าไม่เช่นนั้นเธอคงจะให้บอดี้การ์ดที่พามาด้วยพาไปสั่งสอนให้รู้ซะบ้างว่าเธอเป็นใคร

"ผมก็แค่บอกให้ลูกคุณระวัง"

ป๋าใหญ่กดยิ้มมุมปากเชิงว่าตัวเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน

"อยากมีปัญหาเหรอ" เธอเริ่มมีน้ำโหฝากลูกกับสาวใช้ที่พามาด้วยและเท้าเอวชี้หน้าชายอัลฟ่าตรงหน้าอย่างเอาเรื่องเพราะทิฐิและฐานะที่มากและเหนือเกินใคร

และเธอก็มั่นใจมากๆ ว่าฐานะที่เป็นถึง 'ภริยาผู้ว่าราชการประจำจังหวัด' จะทำให้เธอสามารถเอาชนะอัลฟ่าตรงหน้าได้

"ถ้าลูกคุณขยำโดนกุหลาบผมเมื่อกี้ ผมมีแน่แต่เพราะมันไม่โดน มันเลยไม่มี"

อารมณ์ที่ดีจัดเริ่มขุ่นมัว ผู้คนรอบๆ เริ่มรู้ถึงสถานการณ์คนตีกันเริ่มสนใจฝั่งนี้มากกว่าวงดนตรี เพราะการการตีกันระหว่างอัลฟ่าเป็นเรื่องที่สนุกและบันเทิงพอๆ กับมวยคู่เอกระดับประเทศเลยทีเดียว

แม้แต่นักดนตรีก็เริ่มรู้ตัวเลยเลิกเล่นชั่วคราวเพื่อพักคอและร่วมดูมวยคู่เอกที่นักสู้แต่ละฝั่งเริ่มออกลวดลาย

"แล้วคุณคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงมาตะคอกใส่ลูกฉัน! " หญิงสาวพูดอย่างเดือดดาล เธอเลี้ยงลูกมาอย่างประคบประหงมมาตลอดหลายปี นี่คงเป็นครั้งแรกของลูกที่ต้องมาตกใจกับเสียงตะคอกอย่างไม่รู้กาลเทศะของใครก็ไม่รู้

"คุณมากกว่าที่คิดว่าตัวเองเป็นใคร"

นัยน์ตาสีเทาเป็นประกายกร้าว ด้วยความที่เป็นคนร่างใหญ่อยู่แล้วจึงขับกล่อมให้คำพูดดูน่ากลัวกว่าปกติจนเด็กชายที่ตอนแรกทำท่าจะร้องไห้ตอนนี้ร้องไห้สะอึกสะอื้นพยายามดึงชายเสื้อแม่แล้วบอกว่ากลับบ้าน

หมัดแรกเป็นของหญิงสาวสีแดงแต่ฝั่งป๋าใหญ่สามารถหลบได้และสวนกลับด้วยหมัดฮุกที่ไม่ได้ตัวแม่แต่ไปโดนเด็กชายแทน

"เป็นใครก็ช่าง แต่ฉันสามารถทำให้คุณอยู่ไม่สุขได้แน่ๆ " เธอพูดอย่างทระนงตน มองเหยียดชายหนุ่มตรงหน้าที่ไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เธอเคยเจออัลฟ่าตำแหน่งสูงแทบทุกคนแล้วที่อยู่ในจังหวัดนี้ ถ้าให้เดาชายคนนี้ก็คงเป็นพวกลูกผ่าเหล่าเกิดมาท่ามกลางพ่อแม่ที่เป็นเบต้า

"แน่ใจใช่ไหมครับ"

นักมวยสองฝั่งยื่นนิ่งต่างฝ่ายต่างดูเชิงกัน ก่อนที่ฝั่งน้ำเงินจะโบกมือเรียกกรรมการให้เดินเข้ามาใกล้และประกาศบางอย่างที่สามารถตัดสินผลได้ในคราวเดียว

"แน่ใจ..สิ" จากแน่ใจมากเริ่มไม่แน่ใจ หญิงสาวมองอัลฟ่าตรงหน้าอย่างกังวลเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มกดโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้มร้ายแล้วโทรออก ยืนถือสายครู่หนึ่งก็พูดในสิ่งที่เธอต้องตัวชาวาบ

"สวัสดีครับ คุณปรีดา"

[สะ สวัสดีครับ ท่านเหมันต์]

ป๋าใหญ่จงใจเปิดลำโพงเพื่อให้รับรู้โดยทั่วกันว่าเขากำลังพูดและคุยกับใคร พอเห็นสีหน้าซีดเผือดของหญิงสาวก็หัวเราะ

"เปล่าครับ ผมแค่อยากให้คุณปรีดาดูแลภรรยาให้ดีๆ หน่อย ออกมาเพ่นพ่านเวลากลางคืนในที่ของผม มันน่ารำคาญน่ะครับ"

แต่น่าเสียดายที่การเป็นผู้หญิงหรืออะไรที่อ่อนแอไม่เคยทำให้ร่างสูงเห็นใจมากขึ้น

"อ้อ แล้วผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เรื่องพาลูกมาเที่ยวในที่อโคจรก็ได้ครับ ผมเข้าใจว่าอยู่แต่ในบ้านใช้เงินไปวันๆ มันน่าเบื่อ"

[ขอโทษครับ ขอโทษ ผม ผมจะทำโทษให้เองครับ อย่าถือสาเธอเลยนะครับ ท่าน--]

หญิงสาวหน้าซีดทำท่าจะเป็นลมจนสาวใช้ต้องประคองเมื่อได้ยินเสียงของสามีตัวเองในโทรศัพท์ แต่เธอก็ยังคงมั่นใจว่าตัวเองไม่เคยเห็นหน้าและได้ยินชื่ออีกฝ่ายด้วยซ้ำ แต่เพราะท่าทีของสามีเธอที่ถือทิฐิมากพอๆ กับเธอ หญิงสาวจึงรู้ตัวแล้วว่าตัวเองได้ไปเหยียบหางเสือเข้าแล้ว

นักมวยฝั่งแดงล้มลงกองกับพื้น น็อคทั้งๆ ที่ฝั่งน้ำเงินไม่ได้ออกหมัดอะไรด้วยซ้ำ

เหมันต์กดวางสายทั้งๆ ที่คนปลายสายยังพูดไม่จบประโยค หันมาแย้มยิ้มเย็นชาให้หญิงสาวที่ดมยาดมที่สาวใช้ยืนให้อย่างวุ่นวาย

“ว่าไงดีครับ จะกลับบ้านดีๆ ไหม”

หญิงสาวหน้าขึ้นสีอย่างอับอายแต็ไม่กล้าสู้ต่อ “กลับ!” เธอพูดเสียงแข็งใช้แขนโอบลูกชายยอมล่าถอยไปแต่โดยดี

"หึ"

ป๋าใหญ่แค่นเสียงหัวเราะไล่หลังแล้วหันไปมองสาเหตุหลักที่ตัวเองมาที่นี่ต่อ ก่อนจะพบว่าวงดนตรีนั้นเลิกเล่นไปสักพักแล้วและคนรอบๆ ตัวก็มองมาที่เขาอย่างสอดรู้ ร่างสูงกลอกตาหน่ายๆ คาดโทษสองแม่ลูกหนักกว่าเดิม โทษฐานทำให้เขาเป็นจุดสนใจ

ทั้งๆ ที่เขาตั้งใจจะมาดูคนนั้นเงียบๆ แท้ๆ

"..ไม่มีอะไรแล้ว เล่นต่อสิ" เหมันต์ตัดสินใจพูดออกมาท่ามกลางความเงียบกริบ ทุกคนดูจะสงสัยในตัวเขาไม่น้อยเพราะมีไม่มีกี่คนนักที่สามารถตอกกลับภรรยาท่านผู้ว่าที่ชอบออกงานสังคมและใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำอะไรต่อมิอะไรตามอำเภอใจด้วยอำนาจที่เหมือนจะมากล้นของสามีเธอ

แต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อเขาไม่พูดไม่ยอมรับซะอย่าง พวกเขาก็ไม่มีวันรู้และอีกไม่นานก็คงลืมกันไปเอง

รอบข้างกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง ไทยมุงสลายตัวส่วนเหมันต์ยืนขมวดคิ้วมองวงดนตรีที่ตอนนี้เหมือนจะมีคนๆ นึงหายไป มือหนาที่กำกุหลาบเผลอกำแน่นกว่าเดิม

หมับ!

ป๋าใหญ่แห่งร้านของชำเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนกเมื่อมีแขนปริศนาสวมกอดเข้าทีหลังอย่างแรง เกือบจะกระชากออกจากร่างตามสัญชาตญาณป้องกันตัว แต่พอเห็นข้อมือบอบช้ำที่สั่นระริกก็จำได้ทันทีว่าเป็นใคร

"..ปล่อยก่อน"

เหมันต์พูดเสียงสั่นหัวใจในอกเต้นถี่ยิบ โชคดีที่จ้าวว่าง่ายยอมปล่อยมือ ร่างสูงเลยถือโอกาสดึงตัวจ้าวเข้าหาตัวเองแล้วถอดสูทออกมาคลุมหัวจ้าวที่ตอนนี้ไม่สวมหน้ากากอีกาแล้ว ซึ่งเหมันต์ก็เกรงว่าจะมีคนจำได้เลยรีบพาตัวจ้าวกลับเข้าไปในร้านที่จ้าวน่าจะทำงานอยู่

และพอดึกเสื้อสูทออกตั้งใจจะคุยด้วยก็ต้องชะงักเมื่อใบหน้าคุ้นตาน้ำตาไหลพรากๆ แล้วยังสะอื้นจนตัวโยน

"..ฮึก"

"..เอ่อ"

จากคนที่สามารถพูดไล่ต้อนคนได้เป็นฉากๆ ตอนนี้เป็นคนน้ำท่วมปาก เหมันต์อึกอักพูดอะไรไม่ออกแกมจะรู้สึกประหม่านิดๆ

จะว่ายังไงดีถ้าจะเปรียบความรู้สึกของเขาที่มีต่อจ้าว ก็คงเป็นพวก...

"ร้องไห้ทำไม จ้าว"

เหมันต์ถามเสียงนุ่มรู้สึกปวดร้าวจนอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปเกลี่ยน้ำตาของจ้าวออก หัวใจแทบแตกเป็นเสี่ยงเมื่อเห็นคนนักร้องคนโปรดของตัวเองร้องไห้งอแงไม่ต่างจากเด็ก

ใช่.. ยอมรับอย่างน่าไม่อาย ว่าเขาเป็นเอฟซีของจ้าว!

ใบหน้าคมคายขมวดคิ้วมุ่นงุ่นง่านทำอะไรไม่ถูก เพราะยิ่งเกลี่ยน้ำตาของจ้าวก็ยิ่งไหลเหมือนนิ้วเขาไปทำก็อกน้ำตาของจ้าวแตก แน่นอนมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีสักนิด

"..คุณ"

จ้าวพึมพำเสียงแผ่ว ยกมือขึ้นจับมือหนาที่สัมผัสใบหน้าตัวเองแน่น

กลิ่นหอมสะอาดคุ้นเคยกับอุณหภูมิร้อนผ่าวทำให้จ้าวรู้สึกดีใจมากกว่าเดิมจนสะอื้นหนัก

"มีตัวตนจริงๆ "

จ้าวพูดเสียงเครือก่อนจะผวากอดร่างสูงอย่างแรง ซุกใบหน้ากับเสื้อเชิ้ตขาวจนยับยู่ยี่ แขนสองโอบรอบเอวสอบตัวสั่นระริก ไม่สนใจอะไรใดๆ รอบข้างอีก ทิ้งให้ร่างสูงยืนตัวแข็งลังเลว่าตัวเองจะกอดตอบดีหรือว่าลูบหัว ช่วยไม่ได้ เหมันต์ไม่เคยชินกับสิ่งพวกนี้สักเท่าไหร่ การมีน้องชายก็ไม่ได้ช่วยให้เหมันต์อ่อนโยนขึ้นแต่อย่างใด

"...สวัสดีครับ ป๋า"

ซินเป็นคนทักก่อนที่คนอื่นๆ จะยกมือไหว้ตามกันเป็นพัลวัน

ฉับพลันใบหน้าที่ท่าทีลังเลก็กลายเป็นดุดันอย่างฉุนจัด นัยน์ตาสีเทาวาวโรจน์แทบจะเผาซินที่ยืนลอยหน้าลอยตาทั้งเป็น "บอกกี่ทีว่าอยากเรียกป๋าไง! ฉันเพิ่งอายุสามสิบสองเอง! "

คนโดนเอ็ดจิ้ปากไม่พอใจ "ก็คนเขาเรียกป๋ากันนี่ แล้วจะให้เรียกอะไร จะให้เรียกพี่เหมันต์ก็กระดากปากป่ะ"

เหมันต์ขบกรามกรอด "คุณ-เห-มันต์ เรียกคุณเหมันต์""

ซินหน้าตูมกว่าเดิม "เรียกป๋าง่ายกว่า" แต่พอเห็นแววตาเย็นเยียบของอีกฝ่ายก็ถอนหายใจเบื่อๆ "ครับ คุณเหมันต์ ว่าแต่คุณเหมันต์ รู้จักจ้าวด้วยเหรอครับ" ใบหน้าน่ามองพยักเพยิดไปทางจ้าวที่เลิกสะอื้นแล้วแต่ซุกหน้ากับอกของป๋าใหญ่อย่างอาจหาญ

เอาจริงๆ นะ ป๋าใหญ่คือคนสุดท้ายที่เขาจะคิดว่าเป็นคนให้กุหลาบจ้าว เขาไม่เคยแม้แต่จะคาดคิดแม้เพียงเสี้ยวด้วยซ้ำว่าจะเป็นป๋า แต่มันก็เป็นไปแล้ว นี่จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดคาดมากๆ

"อืม รู้จักสิ"

เหมันต์ยอมรับอย่างว่าง่าย ตัดสินใจลูบหัวจ้าวเบาๆ และพบว่าผมของจ้าวหยาบกว่าที่คิดซะอีก นัยน์ตากระตุกวูบอย่างเย็นชาเมื่อนึกถึงสาเหตุที่ผมของจ้าวกลายเป็นแบบนี้

น่าเสียที่เขาออกตัวมากไม่ได้...

"รู้จักตั้งแต่ตอนมัธยมเลยด้วยซ้ำ"

"... น่ากลัวแล้วนะ คุณเหมันต์"

ซินถอยกรูดพูดด้วยสีหน้าแหยงๆ

เหมันต์หน้าบูด "เข้าใจนิยามของคำว่าแฟนคลับไหม? ฉันก็แค่ชอบตอนจ้าวร้องเพลงแค่นั้นเอง มันผิดมากนักรึไง" ก่อนจะรู้สึกเขินนิดๆ เพราะนี่คงจะเป็นการยอมรับอย่างตรงไปตรงมากับคนอื่นครั้งแรก ไม่นับคนสนิทของเขาที่รู้อยู่แล้วและคอยเป็นหูเป็นตาเรื่องเกี่ยวกับจ้าวให้ตลอดที่ผ่านมา

"..ป๋า มีโมเมนต์นี้กับเขาด้วยเหรอ"

ซินทำหน้าช็อคหมดมาดเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ไม่พูดอะไรแต่ก็ช็อคไปตามๆ กัน

ใครจะไปเชื่อว่าป๋าใหญ่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้หัวใจ ไร้ความสุนทรีย์ ไร้คนรัก ไร้ความอ่อนโยน ไร้ทุกอย่างที่มนุษย์พึงมีนอกจากคุณธรรม จะมีอารมณ์นี้กับเขาด้วย!

"เออ"

เหมันต์กลอกตาหน่ายๆ

ว่างๆ เขาก็ใส่หูฟัง ฟังเพลงของจ้าวตลอดนั่นแหละ

"...ฮึก"

"..ร้องทำไม หืม..? "

ร่างสูงถามซ้ำเสียงนุ่มลูบหลังจ้าวที่สั่นระริก

จ้าวเปราะบางมากอย่างที่เขาคาดคิด.. ไหนจะปลอกคอเหล็กเย็นเยียบที่ลดทอนค่าความเป็นมนุษย์อย่างโหดร้ายนี้อีก เขาเกลียดมันมากพอๆ กับระบบชนชั้นบ้าๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา มันน่ารังเกียจและควรจะหมดไปสักที

"..คุณเป็นของผมใช่ไหม" จ้าวพูดเสียงเครือยอมผละออกจากอกหนาเพื่อมองหน้าเหมันต์ "เป็นคนเดียวกับคนที่ให้กุหลาบผมมาตลอดใช่ไหม"

"ก็ใช่" เหมันต์เดาะลิ้นยิ้มบางๆ ให้จ้าวอย่างจริงใจ "แต่บางทีผมก็ฝากคนอื่นเข้าไปให้คุณ"

"..ขอบคุณมากจริงๆ "

จ้าวยอมผละออกปาดน้ำตาตัวเองด้วยรอยยิ้มมีความสุข หัวใจในอกที่ทั้งขาดวิ่นทั้งบอบช้ำมานับร้อยครั้งจนเป็นแผลเหวอะแหวะที่จ้าวไม่คิดว่ามันจะมีวันสมานได้ตอนนี้รู้สึกเหมือนมันสมานขึ้นมานิดๆ อุณหภูมิอุ่นร้อนที่ร่างสูงถ่ายทอดมาให้ทำให้เนื้อตัวที่เย็นเฉียบของจ้าวร้อนขึ้นมาเป็นอุณหภูมิร่างกายปกติ

เขารู้สึกเหมือนตัวเองสามารถกลับมาหายใจเต็มปอดได้อีกครั้ง

บนโลกใบนี้ยังคงหลงเหลือพื้นที่เล็กๆ ให้เขาได้ยืนบ้าง

อีกาปีกหักเงยหน้ามองนัยน์ตาสีเทาของเหมันต์ รู้สึกถึงความเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างแรงกล้า ไม่มีคำถามอย่างที่คนอื่นมักจะถามทุกครั้งที่เจอเขาเหมือนคิดว่ามันเป็นประโยคทักทาย ทั้งๆ ที่มันเป็นคำถามที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุด

"..ขอบคุณ"

ไม่มีคำไหนที่สามารถแทนความรู้สึกจ้าวได้แล้วนอกจากคำๆ นี้

เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ยังหลงเหลือคนที่เชื่อมั่นในตัวเขามากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยพูดแก้ต่างให้ตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียวเลยถึงเรื่องนั้น เพราะเขารู้ดีว่าถ้าคนๆ นั้นกล้าทำ นั่นหมายความว่าทุกอย่างผ่านคิดไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบมานับร้อยรอบแล้ว

และพอได้ลงมือ เขาก็ตกลงไปในหลุมนั้น ฟื้นขึ้นมาอีกทีท่ามกลางตำรวจและกุญแจมือ กับหลักฐานมัดตัวที่เขาเพิ่งรู้ตัวตอนนั้นด้วยซ้ำว่ามี

ทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตาและเขาก็ตายทั้งเป็นตั้งแต่ตอนนั้น

สังคมตั้งคำถามกับจ้าว นฤภัทร

เขาตอบคำถามทุกคำถามด้วยสีหน้านิ่งเฉยทั้งๆ ที่ภายในนั้นหลั่งน้ำตา

ครืดดดด

เสียงมือถือที่ถูกตั้งห้ามรบกวนดังอืดๆ จากบนโต๊ะเรียกความสนใจจากจ้าวได้เป็นอย่างดี จ้าวลืมทุกอย่างรีบเข้าไปหยิบเพราะคนที่จะโทรหาตนเองในเวลานี้คงมีไม่กี่คนและยิ่งไม่ใช่คนที่คิด จ้าวยิ่งหน้าซีด

'พ่อ'

ใบหน้าคมละม้ายกับจ้าวในชุดกาวน์แพทย์ปรากฎขึ้น

มือของจ้าวสั่นเทาอย่างหนักจนต้องใช้อีกมือประคอง จ้าววิ่งหลบเข้าไปในห้องน้ำแล้วล็อกประตู

ผลั่ก!!

ประตูกระแทกเข้ากับแขนหนาๆ ของใครบางคนที่ไหวตัวทันและตามมาติดๆ

"ขอผมเข้าไปด้วยได้ไหม"

จ้าวเม้มปากแน่นลังเลก่อนจะยอมพยักหน้าปล่อยให้เหมันต์เข้ามาในห้องน้ำด้วยและล็อกประตู เพื่อคุยอย่างเป็นส่วนตัวเพราะจ้าวมั่นใจมากๆ ว่าตัวเองคงควบคุมตัวเองให้ปกติต่อหน้าคนอื่นไม่ได้แน่ๆ

ยิ่งกับคนที่วิ่งรุดเข้ามาในที่เกิดเหตุคนแรกๆ อย่างพ่อ..

[ฮัลโหล จ้าว]

แววตาของจ้าวสั่นระริก

นี่เป็นครั้งแรกในรอบห้าปีหลังจากวันนั้นที่พ่อยอมปริปากพูดกับเขา แต่ถ้าให้เลือก เขาจะเลือกให้พ่อเมินเขาต่อไปยังดีเสียกว่า มันไม่ใช่เรื่องดีหรอกที่พ่อที่เคร่งในกฎระเบียบและศีลธรรมยอมลดทิฐิลงมาคุยกับเขา

[อยู่ไหน?]

จ้าวตัวสั่น "อยู่บ้านเพื่อนครับ" แต่น้ำเสียงที่ตอบนั้นหนักแน่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อย่าลืมว่าสิ่งที่จ้าวถนัดพอๆ กับการร้องเพลงก็คือการแสดง ยิ่งคนๆ นั้นสำคัญเท่าไหร่การแสดงของจ้าวก็สมจริงมากขึ้นเท่านั้น

[เพื่อนคนไหน อย่าโกหกพ่อ พ่อโทรไปเช็คกับพวกไนท์แล้ว]

น้ำตาของจ้าวคลอเบ้า

คนที่เกลียดโอเมก้าเข้าไส้มากคนนึงที่จ้าวรู้จักก็คือพ่อของเขาเอง ทั้งๆ ที่เป็นหมอก็จริงแต่คนไข้ที่พ่อรับมีแค่พวกอัลฟ่าด้วยกันเองทั้งนั้น พวกเบต้าหรือโอเมก้าที่รักษาในกรณีพิเศษก็เพื่อรักษาภาพลักษณ์เท่านั้น ถ้าเป็นไปได้พ่อเขาแทบจะไม่อยากหายใจร่วมกับโอเมก้าด้วยซ้ำ

[คงไม่ใช่เพื่อนในคุกใช่ไหม]

น้ำเสียงแข็งกระด้างทำให้จ้าวรีบโกหกคำโต

"...ไม่ใช่ครับ"

จ้าวจิกเล็บเข้าเนื้อตัวเอง พยายามกลั้นสะอื้น

เขาไม่รู้สึกดีใจสักนิดที่พ่อคุยกับตัวเอง พ่อไม่แม้แต่จะถามด้วยซ้ำว่าเขาเป็นยังไงบ้าง ไม่สิ ไม่ชายตามองเขาด้วยซ้ำตั้งแต่วันนั้น แต่เขาก็ไม่คิดจะโกรธเพราะตระกูลนฤภัทรรักเกียรติยิ่งชีพ เขาคือจุดด่างพร้อย ไม่แปลกที่พ่อจะโกรธเขามากจนแทบตัดพ่อตัดลูกกัน

[รีบกลับบ้าน พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย]

"ครับ"

พอปลายสายวางไป จ้าวก็ร้องไห้จนตัวโยน

เวลาของเขาหมดแล้วสินะ







ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 9 : ขังกรง p.1
«ตอบ #16 เมื่อ23-03-2018 16:24:27 »

ตอนที่ 9



รถยนต์คันหรูสีดำจอดเทียบเข้าที่หน้าบ้านของอดีตนักร้องดัง แสงไฟที่เปิดสว่างจ้าบริเวณหน้าบ้านสาดโดนชายวัยกลางคนในชุทสูทลำลองธรรมดาแต่เนียนกริบจนเป็นเงาสีดำลางๆ ให้เห็นคนที่อยู่ในรถเห็นว่ามีคนยืนรออยู่หน้าบ้านแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนก็ตาม

คนเป็นเจ้าของรถขมวดคิ้วอย่างเป็นห่วงเมื่อคนที่พามาด้วยนั่งตัวสั่นกึกๆ ตาที่มองไปทางเงานั้นมีประกายของความหวาดกลัวไม่มีท่าทีที่แสดงถึงความดีใจสักนิดที่จะได้เจอพ่อตัวเองอย่างที่เจ้าตัวว่า

"จ้าว"

เหมันต์เรียกน้ำเสียงปกติแต่จ้าวสะดุ้งสุดตัว

จ้าวเบิกตากว้างนัยน์ตาหลุกหลิกไม่อยู่นิ่งราวกับสัตว์ป่าที่ถูกพรานป่าจับเข้ามาในขายในเมือง ใช้เวลาอยู่ประมาณสักพัก จ้าวถึงควบคุมตัวเองได้

"ครับ ขอบคุณมากนะครับ ที่มาส่งผม" จ้าวยกมือไหว้ รู้สึกเกรงใจเอามากๆ ที่ต้องให้คนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกมาส่งที่บ้าน ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ธุระสำคัญอะไรของอีกคนแท้ๆ หนำซ้ำเขายังรุกล้ำเวลาส่วนตัวของอีกฝ่ายอีก แค่คิดถึงเรื่องนี้จ้าวก็รู้สึกเหมือนจะร้องไห้ เขาดีใจที่ได้เจอเหมันต์ก็จริงแต่มันก็คนละเรื่องกับที่เขาเป็นภาระให้อีกคน

ปลายนิ้วจิกลงกับฝ่ามืออีกครั้ง ความรู้สึกผิดที่ราวกับหมอกดำค่อยๆ ปกคลุมทั่วตัว

"ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ผมจะรบกวนคุณ ขอบคุณมากๆ นะครับ"

จ้าวฉีกยิ้มจริงใจให้แม้ว่าในใจจะเศร้ามากๆ ก็ตามและก้าวลงจากรถ แต่กลับพบว่าเปิดประตูลงจากรถไม่ได้เพราะประตูล็อค ใบหน้าซีดเซียวหันกลับไปมองเจ้าของรถที่มองมาด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดาอารมณ์

"เอาโทรศัพท์คุณมา"

เหมันต์แบมือและออกคำสั่งตามความเคยชิน

จ้าวกระพริบตาปริบๆ งุนงงแต่ก็รีบลนลานหยิบโทรศัพท์ออกมาปลดล็อครหัสและยื่นมันให้อย่างว่าง่ายโดยไม่กล้าถามอะไรและนั่งก้มหน้าต่ำเงียบไม่พูดอะไร

"..."

ร่างสูงที่ตั้งใจจะกดเพิ่มเบอร์ตัวเองในโทรศัพท์ชะงักเมื่อเห็นภาพพื้นหลังโทรศัพท์ที่เป็นรูปจ้าวที่โดนนักข่าวรุมถามเกี่ยวกับการฆาตกรรมก่อนจะถูกตำรวจพาเข้าไปในคุก เขาจำได้ว่าคลิปวีดีโอนั้นเป็นทุกคนในครอบครัวไปร่วมงานแถลงข่าว เขาเห็นจ้าวคุยกับครอบครัวอยู่สักพักด้วยรอยยิ้มเจื่อนและเมื่อมาโดนนักข่าวรุมตอมถามเกี่ยวกับเหตุจูงใจต่อมากๆ หลายชั่วโมงก็ปล่อยโฮออกมาราวกับควบคุมตัวเองไม่ได้

เสียงของจ้าวในข่าวนั้นช่างร้าวราน เขาแค่ฟังยังรับรู้ถึงความเจ็บปวดของจ้าวจนรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย แต่จ้าวร้องไม่ถึงห้านาทีก็กลับมาควบคุมตัวเองได้ หากแต่หลังจากนั้นก็ไม่ปริปากพูดอะไรอีก ทำเพียงก้มต่ำมองพื้นยินยอมให้ถูกเจ้าพนักงานพาตัวไปยังสถานที่รับโทษโดยทิ้งคำถามในใจให้สื่อมวลชนมากมาย

ใบหน้าอาบน้ำตาที่ถูกรายล้อมไปด้วยไมค์ของนักข่าวนั้นราวกับแกะที่อยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่าหิวโซ ซึ่งแกะตัวนั้นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้เนื้อของตัวเองถูกตัดแบ่งให้นักข่าวแต่ละสำนักไปรายงานเพื่อเรตติ้งของช่องตัวเองต่อไปอย่างตะกละตะกลาม

"..ทำไมใช้รูปนี้"

เหมันต์อดที่จะถามไม่ได้เพราะคงไม่มีคนบ้าที่ไหนเอารูปที่ทำให้ตัวเองเจ็บปวดมาตั้งเป็นรูปที่เห็นได้ทุกครั้งที่เปิดโทรศัพท์แบบนี้

"...รูปอะไรเหรอครับ"

จ้าวนั่งขดตัวอย่างประหม่านวดมือตัวเอง ความกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับพ่อตัวเองคอยกระตุ้นให้จ้าวสติหลุดอยู่เป็นพักๆ

"ภาพพื้นหลัง"

ใช้เวลาสักพักกว่าคำพูดจะประมวลผลในหัวจ้าว

ภาพพื้นหลังที่เป็นภาพความอัปยศของตัวเองค่อยปรากฎขึ้นในหัวช้าๆ

"...ผมไม่ได้อยากใช้"

ใบหน้าหลุบต่ำนวดมือตัวเองแรงกว่าเดิม จ้าวหลับตาพยายามกล้ำกลืนความเกลียดชังที่สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนจากใครบางคนที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่างรอบตัวเขาในตอนนี้

ดีไม่ดี ที่พ่อเรียกตัวเขาก็อาจจะเพราะคนๆ นั้นก็ได้...

เหมันต์ไม่ได้ถามต่อและเมมเบอร์ตัวเองให้จ้าวอย่างคล่องแคล่ว แม้ว่าตัวเองจะไม่ได้แจกเบอร์ให้ใครบ่อยนักเพราะมักจะให้คนอื่นติดต่อมาผ่านทางคนสนิทหรือไม่ก็นามบัตรซะมากกว่า

"จะตั้งชื่อว่าผมอะไร"

นัยน์ตาสีเทาเหลือบมองอดีตนักร้องดัง

"...อะไรนะครับ"

จ้าวทวนคำถามเบลอๆ

"..อยากตั้งชื่อผมว่าอะไร"

เหมันต์ถามซ้ำอย่างใจเย็น

"อะไรก็ได้ครับ" จ้าวไม่เต็มเสียง แค่มาส่งเขาก็เกรงใจจะแย่แล้ว จ้าวก้มหน้างุดเมื่อเห็นใบหน้าคมจ้องตัวเองนิ่งด้วยสีหน้าที่เดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ หากจ้าวมีหูกระต่ายคงจะไม่วายลู่ลงอย่างหวาดกลัวเพราะคุณเหมันต์ที่ว่านี่น่ากลัวไม่ต่างอะไรจากราชสีห์สักนิด!

"งั้นผมเมมไว้ว่าเหมันต์แล้วกัน ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมาได้ตลอด ไม่ต้องเกรงใจ"

"..ครับ"

จ้าวตอบรับตามมารยาทเพราะรู้ว่ายังไงตัวเองก็คงไม่มีวันโทรไปหาคุณเหมันต์แน่ๆ ถึงเจ้าตัวจะอนุญาตก็เถอะ เขาไม่คิดจะเอาปัญหาของตัวเองไปให้คนอื่นหรอก

เมื่อได้รับโทรศัพท์คืนจ้าวก็ลูบอกตัวเองและตบมันเบาๆ เชิงให้กำลังใจตัวเอง

เงาสีดำที่ทอดยาวอยู่หน้าบ้านนั้นสำหรับจ้าวและน่ากลัวราวกับมัจจุราช หากเปรียบคำพูดของคนๆ นั้นเป็นเคียวคงจะสามารถฟันคอของเขาให้ขาดได้ในพริบตา แล้วยิ่งถูกเรียกตัวฉุกละหุกแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าใดนัก

และถ้าให้เดาก็คงจะเป็นชีวิตต่อจากนี้ของเขานั่นแหละ

นัยน์ตาสีอ่อนสั่นระริก นึกเสียใจที่ตัวเองไม่กอบโกยความสุขมากกว่านี้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่มากนั้นแต่มันก็น่าจะเพียงพอให้เขานึกถึงบ้างในยามที่เจ็บปวดจนแทบสูญสิ้นสติจากหลายๆ เรื่อง

"จ้าว"

เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัวหันมองคนเรียกหวาดๆ

"ผมเชื่อคุณนะ"

เหมันต์ไม่ได้พูดขยายความมากกว่านั้นแต่จ้าวกลับเข้าใจมันดี

น้ำตาอันไร้ที่มาคลอหน่วง รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในอกจนแทบอยากละทิ้งทุกอย่างแล้วหนีไปอยู่กับร่างสูงตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอด ซึ่งจ้าวก็มั่นใจเอามากๆ ด้วยว่าคุณเหมันต์จะอนุญาตแม้ว่าจะยังไม่ได้ถามก็ตาม

จะให้เขาอยู่ในฐานะหรือทำงานอะไรก็ได้ ขอเพียงให้เขาได้อยู่กับคนที่เชื่อมั่นในตัวเขาจริงๆ โดยไม่ตั้งคำถามอะไร

ขอเพียงแค่นั้น..

แต่เขาก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้

"..ขอบคุณนะครับ"

จ้าวฉีกยิ้มบางๆ ให้เหมันต์ก่อนจะรีบหันหลังลงจากรถ

ขาสองข้างที่แสนหนักอึ้งลากเท้าไปข้างหน้าด้วยจังหวะสม่ำเสมอ สีหน้าเจ็บปวดค่อยๆ ถูกปรับเป็นสีหน้าปกติเมื่อประตูบ้านที่ไม่ได้ล็อคแล้วเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับคนที่โทรมาหาตั้งแต่ประมาณสองชั่วโมงที่แล้ว

"ไปไหนมา"

น้ำเสียงที่มักจะดุอย่างคนเจ้าระเบียบเสมอตอนนี้ดุเป็นพิเศษ นายแพทย์วัยกลางคนหรือนาย 'นพวิทย์' ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาระดับสายตาของจ้าวและใช้ปลายนิ้วชี้เคาะมันอย่างแข็งกร้าว ทำให้จ้าวต้องก้มหน้าต่ำอย่างสำนึกผิด

"ไปบ้านเพื่อนครับ"

จ้าวตอบอย่างคล่องแคล่วเพราะเตรียมคำตอบเอาไว้หมดแล้ว

"แล้วเมื่อกี้ใครมาส่ง" นัยน์ตาคมกริบมองจ้าวสลับกับรถแบรนด์หรูที่เพิ่งขับออกไป "พ่อจำได้ว่าแก ไม่มีเพื่อนที่ไหนนอกจากพวกไนท์นะ"

"...เพื่อนตอนเรียนม. ปลายครับ พอดีผมไปเดินหาซื้อของกินเจอมันพอดีเลยแวะไปเที่ยวบ้านมันครับ"

สีหน้าของจ้าวยังคงเหมือนเดิมแม้ว่าในใจจะรู้สึกคนละอย่างโดยสิ้นเชิง

เป็นอย่างที่พ่อว่าจริงๆ เขาไม่มีเพื่อนคนอื่นเลยนอกจากพวกไนท์.. เขาเป็นคนเฟรนด์ลี่ก็จริงแต่ส่วนใหญ่ที่รู้จักและสนิทกันติดต่อกันบ่อยๆ ก็มีแต่พวกนักดนตรีด้วยกันเอง แต่พอเกิดเรื่องนั้นขึ้นมาทุกคนก็หายไปหมด

เหลือเพียงแค่เขาตรงนั้น..

"..ช่างเถอะ" นพวิทย์กล่าวตัดบทเมื่อก้มมองนาฬิกา "ตามมา"

ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับก็ก้าวนำทันที จ้าวรีบสาวเท้าตามทั้งๆ ที่รู้สึกถึงน้ำตาของตัวเองที่คลอเบ้าและไหลออกมา จ้าวพยายามใช้ปกเสื้อเช็ดมันลวกๆ พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ร้องไห้

ลางสังหรณ์รุนแรงที่มักจะแม่นยำเสมอกำลังบอกเขาว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาได้ตีปีกหักๆ ของตัวเองออกไปข้างนอกกรง

ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีระยะเวลาที่จำกัด

"เร็ว"

"คะ ครับ"

จ้าวสะดุ้งสุดตัวแล้วรีบสาวเท้าตามไป รู้สึกถึงหัวใจในอกเต้นช้าลงกับความรู้สึกที่ด้านชาลงทุกที

นัยน์ตาโศกหลับซ่อนไว้ใต้เปลือกตา

สองขาย่างก้าวกลับเข้าสู่กรงขังอันเป็นนิรันดร์





เป็นดังที่คาด การเรียกตัวกลับมาอย่างเร่งด่วนไม่ได้เพื่อต้อนรับการออกจากคุกอย่างอบอุ่นแต่เป็นการจับอีกปีกหักมาขึงไว้บนเขียง เตรียมใช้ขวานสักเล่มจามไปตามร่างกายก่อนที่จะกอบโกยเศษซากกระดูกและขนมาเทใส่เครื่องปั่นและบดละเอียดจนไม่สามารถจำเค้ารูปเดิมได้อีก

จ้าวนั่งพับขาอย่างเรียบร้อยก้มหน้าต่ำไม่กล้ามองหน้าใคร เฝ้ารอการถูกลงอาญาจากศาลเตี้ยในบ้านที่ดูจะน่ากลัวกว่าศาลยุติธรรมในประเทศหลายร้อยเท่า เพราะผู้พิพากษาคือคนในครอบครัวกันเองไม่ใช่คนนอกที่ทำหน้าว่าความไปตามหลักฐาน

"พ่อจะส่งแกไปโครงการ HGP โครงการจีโนมมนุษย์เพื่อพัฒนามนุษย์ของอเมริกา"

นายแพทย์นพวิทย์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นภรรยาของตัวเองที่นั่งอยู่บนโซฟาพยักพเยิดเชิงให้พูด

"...ครับ"

จ้าวรับคำน้ำเสียงปกติแต่น้ำตาคลอเบ้า

โครงการ HGP หรือโครงการพัฒนาศักยภาพและศึกษามนุษย์ เป็นโครงการที่เขาเคยได้ยินมาตั้งแต่สมัยเรียนเพราะมันดังมาก แต่ก็ไม่ใช่ในแง่ดีนักเพราะสิ่งที่โครงการนี้ทำคือการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างการเอามนุษย์เป็นๆ อย่างพวกโอเมก้ามาทำการทดลองตัดต่อพันธุกรรม มีหลายร้อยคนแล้วที่ตายไปกับการทดลองนี้แต่ก็ถูกปิดข่าวเอาไว้ด้วยข่าวสวยหรูของหัวหน้าโครงการที่มักจะนำเสนอความคืบหน้าในรูปแบบขายฝัน ความจริงสิบส่วนความลวงเก้าสิบส่วน แต่แปลกนักที่คนทั่วไปก็เชื่ออย่างสนิทใจ ทำให้โครงการบ้าๆ นี่ดำเนินต่อมาเรื่อยๆ มาหลายสิบปี

"ทางนั้นเขาสนใจแกมาก อย่าทำตัวสร้างปัญหาตอนที่ไปที่นู้นแล้วกัน"

นพวิทย์เอ่ยต่ออย่างไม่ยี่หระ แววตาเฉยชาจดจ้องลูกชายตัวเองที่ถูกลบความดีความชอบทุกอย่างในความทรงจำไปแล้วเหลือเพียงคำว่าฆาตกรและความอับอายขายขี้หน้าที่สร้างให้แก่วงศ์ตระกูล

"อย่าคิดจะกลับมา"

นัยน์ตาโศกที่เป็นต้นแบบให้กับลูกทั้งสองมองจ้าวอย่างสมเพช

"เพราะฉันไม่ให้กลับ"

ไม่มีที่สำหรับจ้าว นฤภัทรในตระกูลนฤภัทรอีกต่อไปแล้ว!

ลมหายใจของจ้าวสะดุดและหยุดไปพักใหญ่กว่าจะกลับมาหายใจได้ปกติ จ้าวกัดฟันแน่นพยายามกล้ำกลืนน้ำตาของตัวเองลงและเงยหน้าสั่นๆ ของตัวเองขึ้นมามองคนบางคนที่นั่งเยื้องกับพ่อเขา

"ตอนนี้จันทร์เป็นเจ้าของแกอย่างเป็นทางการ แกไม่มีสิทธิพื้นฐานของพวกอัลฟ่าแล้ว ฉะนั้นสิ่งที่แกต้องทำหลังจากนี้คือเชื่อฟังจันทร์เพราะจันทร์จะเป็นคนพาแกไปส่งที่นั่น"

ความฝัน

ความหวัง

ความรัก

ความสัมพันธ์

ทุกอย่างพังทลายลงในชั่วพริบตา

จ้าวตัวสั่นหูอื้ออึงไม่ได้ยินสิ่งใดนอกจากเสียงร้องไห้คร่ำครวญของตัวเองปล่อยออกมาดังลั่น น้ำตาไหลบ่าออกจากดวงตาเมื่อสติสัมปะชัญญะถูกทำลายลงด้วยคำว่าสมน้ำหน้าของน้องชายแท้ๆ ของตัวเอง!!!

"ทำไม!!! "

ร่างผ่ายผอมกระโจนเข้าใส่จันทร์คว้าคอเสื้อเข้ามากใกล้ตะคอกใส่เสียงแตกแหบแห้งราวกับสัตว์ป่าที่กำลังกรีดร้องอย่างกราดเกรี้ยวและเศร้าโศก

"พี่ทำอะไรผิด จันทร์ พี่ทำอะไรผิด!!! "

จ้าวมือสั่นเทาเมื่อเห็นแววตาที่เหมือนยิ้มเยาะของจันทร์

"พะ พี่จ้าวอย่าทำผม"

มือที่จับมีดผ่าตัดจนหยาบและออกกำลังกายจนมีมัดกล้ามแสร้งทำท่าโอนอ่อนให้จ้าวราวกับแรงของนักโทษที่เพิ่งถูกปล่อยออกจากกรงขังแรงนักหนา

"..."

จ้าวพูดอะไรไม่ออก น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลออกจากดวงตา

"ผมเจ็บพี่จ้าว พี่จ้าวปล่อยผมเถอะ"

"จ้าวปล่อยน้อง!!!! "

เสียงที่ดังดั่งอสุนีบาตตะคอกดังลั่นพร้อมกับแรงกระชากคอเสื้อให้ล้มกับไปกระแทกบนพื้น

"อั่ก"

จ้าวครวญหลับตาร้องซี๊ดเหมือนรู้ถึงหยดเลือดที่ไหลซึมจากบริเวณศรีษะ ยิ่งพอรู้ว่าใครเป็นคนทำก็ยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นไปอีก

"อย่าทำร้ายคนอื่นอีก! "

นายแพทย์นพวิทย์กล่าวตักเตือกเสียงเข้มดุดัน

"ให้หนูพริมเป็นคนสุดท้ายก็พอแล้ว! "

"อ้าก!!! "

กระแสไฟฟ้าโวลต์ไม่สูงนักแต่มากเพียงพอให้รู้เจ็บ ไหลช็อตร่างกายของจ้าวจนกระตุกไม่หยุด

มันเจ็บ... เจ็บจนแทบทนไม่ได้

จ้าวสะอื้นจนตัวโยนบนพื้น

ตั้งแต่มันเกิดมาพ่อไม่เคยแม้แต่จะตีเขาด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว

และมันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาสักนิด!

ชั่ววินาทีนั้นจ้าวก็ตัดสินใจบางอย่างได้

"พ่อ ผมไม่---"

หากแต่ยังไม่ทันได้กล่าวจนจบประโยคปลอกคอก็เคลื่อนเข้าหาคอแน่นจนหลอดลมตีบพูดอะไรไม่ออก ยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อกระแสไฟฟ้าแรงสูงก็ถูกปล่อยออกมาอีกครั้งจนตัวจ้าวกระตุกแรงๆ และสลบไป

"จันทร์ เอามันไปเก็บในห้องได้แล้ว พรุ่งนี้รถของสถานทูตจะมารับ"

นายแพทย์นพวิทย์มองร่างบนพื้นด้วยหางตา ไม่แม้แต่คิดจะสงสัยว่าอีกฝ่ายพยายามจะพูดอะไร

สิ่งที่เขาเกลียดชังที่สุดคือคนที่ทำร้ายพี่น้องตัวเองและฆ่าคนอื่นอย่างเลือดเย็น การมีลูกเป็นฆาตกรทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากตัดพ่อตัดลูกให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าเป็นไปได้อยากลบนามสกุลนฤภัทรออกจากจ้าวด้วยซ้ำไป

แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น

"คุณ ไปเข้านอนกันเถอะ พรุ่งนี้เราต้องไปร่วมประชุมที่โรงพยาบาลนะ"

นอกจากบทบาทพ่อสุดเนี๊ยบสิ่งที่นายแพทย์นฤภัทรพึงมีอีกอย่างก็คือบทบาทสามีที่ดี ร่างสูงมองภรรยาตัวเองที่นั่งกำผ้าเช็ดแน่นไม่พูดอะไรด้วยสายตาเป็นห่วง

"ค่ะ"

เสียงหวานพูดเสียงเบาในลำคอก่อนจะลุกและเดินช้าๆ ออกไปเหมือนทำใจไม่ได้

"พ่อไปดูแม่แกก่อนนะ ที่เหลือก็แล้วแต่แกจะจัดการแล้วกัน"

นายแพทย์นพวิทย์ตบบ่าจันทร์เบาๆ เชิงเอ็นดูและภาคภูมิใจก่อนที่จะรีบสาวเท้าไวๆ ตอนหลังภรรยาตัวเองที่คาดว่าจะไปร้องไห้ในห้องต่อ

เมื่อเหลือเพียงสองคน จันทร์ก็ไม่ปิดบังสีหน้ายินดีของตัวเอง เดินเข้าไปใกล้ร่างที่สลบไสลและนั่งยองๆ ข้างพี่ชายตัวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและพูดด้วยน้ำเสียกลั้วหัวเราะ

"ไม่เคยได้ยินเหรอ พี่จ้าว"

นัยน์ตาโศกหรี่ขึ้นจนแทบจะเป็นรูปยิ้มตามอารมณ์

"ว่าแฝดน่ะ สามารถรับรู้ถึงกันได้"


ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 10



“อืม…”

เสียงครางแผ่วเบาในลำคอเรียกความสนใจจากคนบางคนที่กำลังนั่งไขว่ห้างรอเวลา ‘เอาคืน’ อย่างใจจดใจจ่อ ร่างสูงโปร่งซึ่งสวมชุดสูทขาวเรียบร้อยเส้นผมถูกเซ็ตอย่างดีจนขับให้รูปลักษณ์นั้นดูหล่อเหลาจนคล้ายกับเจ้าชายสักประเทศหนึ่ง สิ่งที่สร้างความแตกต่างให้กับร่างนี้กับร่างที่เพิ่งรู้สึกตัวไม่ได้มีเพียงแค่รูปลักษณ์เท่านั้น ยังมีแว่นตากรอบบางเฉียบที่ไม่ได้มีเพื่อถนอมสายตา

แต่มีเพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างเขากับมัน!

“ตื่นแล้วเหรอครับ พี่ชาย”

จันทร์ฉีกยิ้มหวานหยอดย้อยให้กับจ้าวที่นอนอยู่บนเตียงแข็งพร้อมกับอะไรบางอย่างที่เขาตั้งใจเซอร์ไพรส์จ้าวเต็มที่

“..จันทร์?”

จ้าวพูดเสียงแหบพร่าพยายามลืมตาขึ้นและมันก็พร่ามัวจนต้องกระพริบตาถี่ๆ ถึงจะเห็นภาพรอบกายได้ชัดขึ้น แต่น่าเสียดายที่ประสาทรับรู้ที่ฟื้นตัวขึ้นนั้นก็ต้องแลกกับความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเขาในเวลานี้

“ฮื่ออ”

ยังไม่ทันได้สำรวจอะไรดีก็ต้องหลับตาหยี ครางออกมาอย่างเจ็บปวด ร่างกายแทบทุกส่วนบอบช้ำจากการถูกกระแสไฟฟ้าแรงสูงช็อตจนตอนนี้ปวดระบมไปทั้งตัว

และนั่นก็ทำให้จ้าวนึกอะไรออก

“จันทร์!!!!”

ลืมสิ้นความเจ็บปวดตะคอกออกมาอย่างกราดเกรี้ยว

แกร๊ง!!!!!

จ้าวเบิกตากว้างเมื่อรู้สึกถึงสิ่งที่พันธนาการตัวเองชัดๆ

“ชอบไหมครับ พี่จ้าว”

คนเป็นน้องชายหัวเราะแผ่วเบาในลำคออย่างสุขใจเมื่อเห็นน้ำตาค่อยๆ หยดจากดวงตาข้างนึงของจ้าว สีหน้าเหมือนทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำเอาจันทร์อยากถ่ายรูปนี้ไปอัดกรอบให้รู้แล้วรู้รอด

“ฮึก แม่ง!!”

จ้าวสบถอย่างอดไม่ได้ สิ่งที่เขาเกลียดแสนเกลียดกลับมาอีกครั้ง โซ่ตรวนพันธนาการทั้งข้อมือข้อเท้าราวกับสัตว์สักตัวที่จะถูกเชือด เขาดีใจที่พ้นๆ จากมันได้สักทีแต่เมื่อต้องมาเจออีกครั้งก็อดโกรธไม่ได้

“สนุกมากไหม จันทร์ สนุกไหม!!!”

จนถึงตอนนี้จ้าวก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองผิดอะไร เขามั่นใจว่าตัวเองทำหน้าที่พี่ที่ดีได้ไม่ขาดตกบกพร่องแต่ก็เหมือนจะไม่เพียงพอให้จันทร์พอใจ

“ไม่สนุกแต่ผมมีความสุข”

จันทร์หัวเราะลำคอ

คำตอบตรงๆ ทำให้จ้าวนิ่งไปสักพัก พยายามทำใจยอมรับความจริงทั้งหมดทั้งความรู้สึกของน้องและความเป็นอยู่ของเขาตอนนี้ที่เกิดจากความเกลียดชังของน้องที่ดูจะมากพอจนสามารถทำร้ายคนทั้งโลก ถ้าน้องของเขาต้องการ

“พี่ขอเหตุผลได้ไหม ว่าทำไม”

แต่แปลกนักที่ความโกรธของเขามันมากก็จริงแต่น้ำเสียงที่พูดออกไปกลับนิ่งสงบกว่าที่ควรจะเป็น

“ไม่”

จันทร์ไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ ยืนขึ้นเต็มความสูงและใช้นัยน์ตาโศกที่ถูกประสบการณ์ความเจ็บปวดมากมายลับให้คมกริบ มองเหยียดจ้าวที่นอนทอดกายไร้ค่าบนเตียงอย่างสะใจ

ถ้าหากจะเปรียบจริงๆ เขาในตอนนี้ก็คงจะเปรียบได้กับพระราชาที่ครอบครองทุกอย่าง เขาในตอนนี้มีทั้งชื่อเสียง เงินตรา เกียรติยศ ความรู้ ทุกอย่างรวมๆ กันแล้วเขามีมากกว่าจ้าวในตอนนี้เป็นพันล้านเท่า ส่วนจ้าวก็เป็นแค่ขอทานพิกลพิการไร้เพื่อน ไร้เงินตรา ไร้ความสามารถและไร้ประโยชน์ แม้แต่การหายใจตอนนี้ยังถือว่าเป็นภาระของโลกด้วยซ้ำ

“…เหรอ”

จ้าวนิ่งไปสักพักก่อนจะฮัมเพลงออกมาเสียงแผ่วเจือสะอื้น

“จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า”

“คิดว่าร้องเพลงโง่ๆ นี่แล้วผมจะซึ้งเหรอ?”

จันทร์ยิ้มเยาะแม้จะรู้สึกถึงหัวใจที่กระตุกไปวูบหนึ่งก็ตาม

เพราะมันเป็นเพลงที่จ้าวร้องไห้เขาฟังตอนที่เขาบ่นงอแงคิดถึงพ่อกับแม่ ท่านทั้งสองนอกจากจะเป็นแพทย์และยังดำรงตำแหน่งผู้บริหารกิจการโรงพยาบาลแล้วยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในหลายๆ อย่างอีกด้วย ทำให้มีเวลาในการเลี้ยงลูกน้อยเอามากๆ หน้าที่การเลี้ยงดูจึงตกเป็นของพี่เลี้ยงที่มีดีกรีเป็นถึงนักเรียนแพทย์เกียรตินิยมซึ่งติดหนี้บุญคุณของตระกูลนฤภัทรคอยมาดูแลให้ตั้งแต่เด็กจนอายุเข้าวัยรุ่นถึงได้รับกลายปล่อยตัวกลับไปทำในสิ่งที่อยากทำ

“ขอข้าวขอแกง”

ภาพที่จ้าวประคองเขาที่อดข้าวมาทั้งวันเพื่อประท้วงพ่อแม่ที่ผิดสัญญาไม่มาฉลองวันเกิดปรากฎขึ้นในหัว มือเล็กๆ ตักข้าวต้ม พยายามป้อนให้เขาจนถึงปาก

“ขอแหวนทองแดง ผูกมือน้องข้า”

ในตอนที่เขาทำกำไลเงินที่สลักชื่อตระกูลนฤภัทรหาย เขาร้องไห้ไม่หยุดและจ้าวก็ยกของตัวเองให้เขา เขาถึงจะยอมหยุดร้อง

จันทร์กัดปากแน่นตัวสั่นเทา

“ขอช้างขอม้า ให้น้อง ฮึก ข้าขี่”

เสียงของจ้าวยังคงกระจ่างใสแม้น้ำเสียงจะเศร้าเต็มทน

น้ำตาไหลท่วมหน้าจ้าวเมื่อเผลอไปนึกถึงตอนที่ตัวเองดันหลังจันทร์ที่ขี่จักรยานแล้วตัวเองคอยจับหลังให้

…ทั้งๆ ที่เรามีกันแค่สองพี่น้อง

“ขอเก้าอี้.. ให้น้องข้านั่ง”

“พอ!!! หุบปากได้แล้ว ก่อนที่จะทำให้พี่สลบไปอีก!!!”

จันทร์ตะคอกเสียงแข็งกัดฟันกรอดๆ เมื่อรู้สึกถึงตาที่เริ่มจะแดงของตัวเอง และนั่นก็คือสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้!

“ขอเตียงตั้ง ให้น้องข้านอน”

จ้าวยังคงร้องแม้ตัวเองจะสะอื้นไม่หยุด

มันเกิดอะไรขึ้นนะ สายสัมพันธ์ของเขากับจันทร์ถึงได้ยุ่งเหยิงแบบนี้

เราเคยนอนเตียงเดียวใช้หมอนข้างเดียวกัน เคยฟังนิทานด้วยกัน เคยอาบน้ำด้วยกัน เคยเล่นสนุกด้วยกัน พวกเราเคยทุกอย่างด้วยกัน

“ขอละคร.. .ให้น้องข้าดู”

“ผมบอกให้หุบปากไง!!!!”

กระแสไฟฟ้าระดับกลางช็อตไปที่ร่างของจ้าวจนตัวกระตุกกึกๆ แต่จ้าวก็ยังไม่หยุดร้อง ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเพราะภาพในหัวที่กำลังนึกตอนที่ตัวเองยอมดูเบ็นเทนที่น้องอยากดู ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองนั้นอยากดูโดเรม่อนมากกว่า แต่การดูกับน้องก็สนุกไปอีกแบบ มันทำให้เขากับน้อง มีเรื่องคุยกันเพิ่มขึ้นและสนุกเอามากๆ

“อึก”

จ้าวสูดหายใจลึกกลืนสะอื้น

“ขอคุณพ่อคุณแม่ เลี้ยงน้องข้าเถิด”

เนื้อเพลงจบลงตรงนี้

เพราะเขาต้องการพ่อแม่ให้มาดูแลน้องมากกว่าตัวเอง…

“กูบอกพอ!!!”

เปรี๊ยะ!!!!

กระแสไฟฟ้าแรงสูงไหลช็อตร่างของจ้าวจนสลบลงไป



การขนย้าย ‘สัตว์ทดลอง’ นั้นเป็นไปอย่างเงียบเชียบเมื่อทางคณะทูตที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายสัตว์ทดลองจำพวกโอเมก้าโดยตรงมาเป็นผู้ดูแลการเดินทางครั้งนี้ด้วยตนเอง

รถตู้คันหรูฟิลม์ดำสนิทที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะปกปิดสิ่งที่ต้องการจะซ่อนจอดอยู่ที่อู่รถหลังบ้าน จันทร์ นฤภัทรที่สวมชุดแพทย์เต็มยศยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตรต้อนรับบุคคลสำคัญที่ก้าวลงมาจากรถ

“ยินดีที่ได้พบคุณ มิสเตอร์จันทร์ ผมชื่นชมผลการวิจัยของคุณมากจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเราจะสามารถเปลี่ยนพวกอัลฟ่าที่ทำตัวน่ารังเกียจให้กลายเป็นพวกโอเมก้าได้”

ชายร่างบึกบึนในชุดสูทดำเรียบร้อยบนอกประดับด้วยตราสัญลักษณ์นกอินทรีย์กางปีกอันเป็นสัตว์ประชาติของสหรัฐอเมริกา พูดด้วยสำเนียงอเมริกันและยื่นมือออกไปทักทายนายแพทย์จันทร์ นฤภัทรอย่างเป็นมิตร ดวงตาสีฟ้าอ่อนที่ดูเงียบขรึมแฝงความชื่นชมอยู่

“ยินดีที่ได้พบคุณเช่นกันครับ มิสเตอร์วิลเลียม” จันทร์กระชับมือกลับและยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตรให้กับ ‘หัวหน้า’ ฝ่ายการทูตที่มักจะเป็นตัวกลางในการลักลอบขนส่งโอเมก้าของไทยไปอเมริกาเพื่อทดลองอยู่บ่อยๆ

ทั้งสองฝ่ายต่างรู้จักกันและกันผ่านทางสื่ออยู่แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ได้พูดคุยกันอย่างจริงจังโดยมีตัวเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีเป็นร่างในชุดคลุมดำที่กำลังตัวสั่นเทาจนน่ากลัว

วิลเลียมเหลือบมองสัตว์ทดลองที่ตัวเองมารับอย่างรังเกียจเพราะความเขลาขลาดของมันดูจะมันจากจนได้ยินเสียงกุญแจมือสั่นกึกๆ กระทบกัน

“แต่ผมก็ต้องชื่นชมคุณอีกนะครับคุณจันทร์” หัวหน้าคณะทูตสบตาใบหน้าที่ดูละอ่อนจะไม่น่าจะเป็นคนเด็ดขาดถึงเพียงนั้น “ทั้งๆ ที่เขาเป็นพี่คุณ แต่คุณก็ไม่สนใจเพราะคุณให้ความสำคัญกับระบบความถูกต้องมากกว่า”

“..แน่นอนครับ”

จันทร์ชะงักไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็กลับมาเป็นปกติ ใช้ความเกลียดชังปกปิดทุกอย่าง แม้แต่ความจริงที่เขารู้อยู่แก่ใจ

วิลเลียมหัวเราะอย่างพอใจ “นี่สิ โลกเราต้องการคนแบบคุณ โลกใบนี้บอบช้ำมามากเกินพอแล้วกับการกระทำของคนชั่วร้าย ยิ่งพวกโอเมก้าพวกนี้ยิ่งต้องลงโทษมันให้สาสม ผมน่ะ ตั้งใจทำงานนี้เพื่อให้ลูกหลานอัลฟ่าของผมได้อยู่ในโลกที่ดี ถ้าเรามีบทลงโทษที่รุนแรงพอ เราก็สามารถควบคุมผู้คนได้ และในที่สุดโลกในอุดมคติอย่างพวกยูโทเปียก็จะเกิดขึ้น”

หัวหน้าหน่วยการทูตพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจโดยไม่ปิดบังเพราะนี่คือสิ่งที่เขาและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการโครงการวิจัยจีโนมมนุษย์ต้องการให้เกิดขึ้นในอนาคต

พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้

พวกเขาเชื่ออย่างนั้นและยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา ยิ่งถ้าได้ผลการวิจัยของจันทร์มา ยูโทเปียก็จะเข้าใกล้พวกเขายิ่งขึ้น ดีไม่ดี สิ่งที่พวกเขาฝันหามานานตั้งแต่เริ่มทำงานก็อาจจะเริ่มดำเนินการในช่วงชีวิตของพวกเขาก็ได้

“ผมอยากให้มันเกิดขึ้นไวๆ ชะมัด” จันทร์หัวเราะผสมโรงแสร้งมองไปบนท้องฟ้า “และผมก็อยากให้มันเกิดในประเทศไทยด้วย ถ้าคุณไม่ลืม ตอนนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงวิกฤตเอามากๆ พวกโอเมก้าบางคนพากันออกมาอาละวาดทำตัวน่ารำคาญอย่างการปล่อยให้ตัวเองฮีทในที่สาธารณะเพื่อประท้วงอะไรสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจเลยว่าจะทำไปทำไม”

“นั่นแหละอีกเหตุผลที่ผมอยากให้พวกโอเมก้าทั้งหมดตายๆ ไปสักที”

รอยยิ้มบนใบหน้าหัวหน้านักการทูตหายไปเหลือเพียงความชิงชังในใจ

“นอกจากไอคิวต่ำแล้วยังชอบสร้างปัญหา ผมไม่เข้าใจเลยว่าธรรมชาติจะสร้างพวกเขามาทำไม น่าจะคัดเลือกออกจากระบบไปสักที”

“ผมก็คิดอย่างนั้น” จันทร์ยิ้มแม้จะไม่ได้รู้สึกตามที่วิลเลียมพูดอะไรมากมายเพราะเขาก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังโอเมก้าอะไรขนาดนั้น ที่เกลียดก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น

“..พวกเขาไม่ผิด”

เสียงแหบแห้งดังแผ่วมาจากร่างที่เลิกสั่นเทาแล้วเงยหน้ามองวิลเลียมด้วยสีหน้านิ่งสงบ

“ผมไม่ได้ถาม!”

แววตาสีฟ้าอ่อนแทบเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเมื่อได้ยินเสียงของโอเมก้าน่ารังเกียจ

“สตีฟ พาตัวมันขึ้นรถ”

บอกตามตรงว่าแค่ได้ยินเสียงก็ทำเอาวิลเลียมสะอิดสะเอียนแล้ว หากเขากับโอเมก้าตัวนี้อยู่ที่อเมริกา เขาคงจะไม่ลังเลที่จะตบปากมันหรือไม่ก็ใช้ปืนยิงมันให้ล้มลง ส่วนเรื่องขึ้นศาลไม่ต้องห่วงเพราะที่นั่นให้ค่ากับอัลฟ่ามากกว่าโอเมก้าพวกนี้

ไม่มีเสียงตอบรับแต่ผลที่เกิดขึ้นคือจ้าวถูกแขนแกร่งกระชากตัวขึ้นรถตู้ฟิลม์ดำที่จอดรออยู่แล้วอย่างอุกอาจ

“งั้นผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ คุณจันทร์” วิลเลียมผงกหัวให้จันทร์เชิงลา ก่อนจะแปลกใจเมื่อเห็นจันทร์ยืนเหม่อไม่ตอบตนเอง “คุณจันทร์ครับ ผมไปแล้วนะครับ” กล่าวซ้ำอีกครั้งเพื่อลาอีกฝ่ายตามมารยาท

“..ออ ครับ ขอโทษครับ ผมเผลอนึกถึงสัตว์ทดลองอีกตัวพอดี” นายแพทย์หนุ่มกระพริบตาปริบเพิ่งได้สติ แก้ตัวอย่างลื่นไหลและเชี่ยวชาญ แม้ว่าความจริงแล้วคือตัวเองกำลังนึกถึงสิ่งที่จ้าวพูดเมื่อกี้

ตอนนี้เหมือนกับเขาส่งจ้าวที่เปรียบเสมือนสัตว์เป็นๆ สักตัวไปยังห้องทดลองวิจัยจีโนมของสหรัฐอเมริกาที่ว่ากันว่า ‘โหด’ และ ‘อันตราย’ ที่สุดสำหรับพวกโอเมก้า

ฉะนั้นนี่อาจจะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้ายระหว่างเขากับจ้าว เพราะพ่อกับแม่เปลี่ยนแผนจากที่ให้เขาตามไปอเมริกาด้วยเป็นมาดูงานบริหารโรงพยาบาลแทน ซึ่งครั้งนี้ถ้าเขาสามารถทำให้พ่อแม่ยอมรับในความสามารถได้หุ้นทั้งหมดที่พ่อแม่จะถือครองอยู่ก็จะโอนมาที่เขา

และเขาก็จะกลายเป็นบุคคลที่น่าอิจฉาที่สุดในประเทศไทย!

จบแพทย์คณะดังด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ทายาทเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง เจ้าของผลงานวิจัยระดับโลกที่ไม่มีใครเคยทำได้ รูปลักษณ์ที่ดีจนนิตยสารทั้งแฟชั่นและสุขภาพมาขอถ่ายไปลงปกบ่อยๆ

นี่เป็นชีวิตที่เขาฝันมาตลอดและมันก็กำลังจะเป็นจริงในอีกไม่นาน

จันทร์ระบายยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

“ถ้าทางนั้นสงสัยผลการวิจัยของผมตรงไหน ติดต่อมาได้เสมอนะครับ ผมพร้อมตอบหรือจะให้ผมไปหาที่นั่นก็ได้ถ้าพวกคุณต้องการ”

“อ่า น่าเสียดายจริงๆ นะครับ ที่คุณไม่ได้ไปรอบนี้ ผมเชื่อว่าถ้าคุณไปด้วย การวิจัยของเราจะเป็นไปอย่างรวดเร็วมากแน่ๆ”

“ผมก็เสียดายเหมือนกันครับ”

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

วิลเลียมระบายยิ้มบ้างก่อนจะโหนตัวขึ้นรถตู้ที่นั่งข้างคนขับก่อนที่ลูกน้องอีกสี่คนที่ตามมาอารักขาจะขึ้นรถบ้างจนครบคนและปิดประตู

รถตู้ฟิลม์ดำเคลื่อนตัวออกจากบ้านไปอย่างเงียบเชียบและแนบเนียน เพราะคงไม่มีใครคิดว่าจะมีการขนส่งตัวนักโทษอัลฟ่าชื่อดังอย่างจ้าวไปอเมริกา โทษสูงสุดอย่างมากถ้าไม่ประหารก็จำคุกตลอดชีวิต ทางเลือกของจ้าวไม่มีมากกว่านั้นเพราะโทษการฆ่าอัลฟ่าตายนั้นหนักหนาเอาควร

การพาตัวออกจากคุกที่จ้าวคิดว่าได้รับอิสรภาพนั้นคือความลวงหลอก

อีกาปีกหักมีโอกาสได้โผบินเล่นนอกกรงเพียงวันเดียวก็ต้องกลับเข้ากรง

และนำพาไปสู่ความจริงที่ว่า ตนเองได้ถูกส่งไปที่ๆ ทุกข์ทรมานกว่าคุกเสียอีก

“กูโคตรมีความสุขเลยว่ะ จ้าว”

จันทร์พึมพำออกมาอย่างอดไม่อยู่ หัวใจฟูฟ่องเหมือนลอยได้

“รู้งี้น่าจะแบบนี้ได้ตั้งนานแล้ว”

ใครจะไปรู้ว่าพอเขากำจัดจ้าวได้สำเร็จ เขาจะมีความสุขมากขนาดนี้ ความทุกข์ทรมานทั้งหมดทั้งมวลที่จุกในอกเขามานานนับสิบปีสลายหายไปเหมือนไม่เคยมีมาก่อน

เขากำลังได้ครอบครองทุกอย่างที่จ้าวเคยครอบครองและเขาทำครอบครองมากกว่าด้วย!

ทุกคนรู้จักเขา ทุกคนชื่นชมเขา ทุกคนอิจฉาเขา ทุกคนอยากเป็นเขา!

“อยากให้พี่ตายจริงๆ ผมอาจจะยิ่งมีความสุขมากกว่านี้อีก”

ความรู้สึกผิดบาปที่เหมือนจะมีอยู่ในส่วนลึกของจิตใจถูกกลบหมดด้วยความสุขที่เกิดจากวิธีการประหลาด

การฆ่าคนอื่นทั้งเป็นเพื่อความสุขของตนเอง





“สวัสดีครับ ท่าน”

พนักงานรักษาความปลอดภัยระดับสูงไหว้และค้อมหัวอย่างนอบน้อมเมื่อเห็นบัตรผ่านประตูที่คนขับรถยื่นให้ดู

“อืม” วิลเลียมแค่นเสียงอืมในลำคออย่างขอไปทีและใช้สายตาเร่งรัดให้คนของตัวเองรีบออกรถไปปล่อยเขาไว้ข้างในสักที แค่หายใจร่วมกับโอเมก้าที่นอนซุกตัวอยู่หลังรถเขาก็สะอิดสะเอียนจนแทบอ้วกแล้ว ดีหน่อยที่มันไม่แสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องกับเขามาก ไม่งั้นมันคงจะไม่มีชีวิตรอดไปถึงศูนย์วิจัยจริงๆ

“ถึงแล้วครับ”

คนขับรถคนสนิทพูดขึ้นมาเมื่อหัวหน้าใหญ่นั่งกดโทรศัพท์ยิกๆ ด้วยสีหน้าหงุดหงิดไม่ยอมลงสักที

“เอาตัวมันไปเตรียมขึ้นเครื่องเลยนะ เดี๋ยวฉันต้องแวะไปโอนเงินให้แม่สะใภ้ก่อน”

“ครับ”

วิลเลียมส่งเสียงฮื่อใส่โทรศัพท์ซ้ำอย่างควบคุมไม่ได้ เขาเพิ่งจะโอนไปแสนนึงแท้ๆ ตอนนี้หมดอีกแล้ว ร่างหนาโยนตัวเองลงจากรถแล้วก้าวฉับๆ เข้าไปในส่วนของล็อบบี้สนามบินโดยไม่มีใครกล้าตรวจตราทั้งนั้นเพราะจำใบหน้าและเกรงใจสัญลักษณ์อัลฟ่าที่สักเอาไว้ที่แก้มอย่างภาคภูมิ

“…”

จ้าวซึ่งคู้ตัวนอนอยู่บนหลังสุดลืมตาโพลงเนื้อตัวเย็นเฉียบ รู้สึกราวกับว่าเป็นหมูที่กำลังอยู่บนรถขนหมูที่มีจุดหมายปลายทางเป็นโรงเชือด

“ลุก!”

เสียงตะคอกภาษาไทยชัดเจนดังก้องในรถจนจ้าวแทบหูอื้อมาพร้อมกับแรงกระชากตัวขึ้นมา

จ้าวมองใบหน้าดุดันที่จดจ้องมาที่ตัวเองอย่างดุร้ายด้วยความหวาดกลัว ทุกคนอยู่ในชุดสูทสีดำเรียบร้อยให้อารมณ์คล้ายกับนักธุรกิจที่มีแผนจะขยายกิจการให้กว้างไกลในต่างประเทศ

“ถ้าคิดจะเล่นตุกติกคิดจะหนีหรือสร้างความสงสัย” คนซึ่งเป็นคนกระชากจ้าวขึ้นมาจดจ้องลำคอขาวผุดผ่องที่ถึงแม้จะดูซีดเซียวแต่ก็น่ามอง เลียริมฝีปากและแสยะยิ้ม “มึงได้ลูกแฝดแน่”

“…อืม”

อดีตนักร้องดังพยักหน้าเร็วๆ ก้มหน้างุดตัดบทไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ด้วยซ้ำ สองมือผอมบางกอบกุมหน้าท้องตัวเองอย่างเผลอไผล

เมื่อก่อนเขามั่นใจว่าตัวเองไม่สามารถท้องได้แน่ๆ เพราะเป็นอัลฟ่าผู้ชาย แต่ตอนนี้เขากลับไม่แน่ใจซะแล้ว ว่ามันจะยังคงเป็นแบบนั้น การฮีทครั้งนั้นทำให้เขากลัวจนแทบบ้า ไม่อยากจะคิดเลยถ้าตอนนั้นไม่ได้ยาฉีดของซิน จะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีพวกอัลฟ่าที่อยู่นอกร้านได้กลิ่นคงไม่วายพากันกระโจนเข้ามาในร้านและข่มเหงเขาอย่างทารุณ

“รู้ตัวก็ดี ฉะนั้นมึงช่วยหุบปากให้เงียบด้วย”

ลูกน้องอีกคนของวิลเลียมหัวเราะในลำคออย่างลำพองใจแล้วจัดการกระชากตัวจ้าวลงจากรถและพาตัวเข้าไปในล็อบบี้ด้วยท่าทีเหมือนคนที่พาเพื่อนมาเที่ยว

มือแกร่งที่กระชากชกต่อยโอเมก้าให้ช้ำในตายมานัดต่อนัดเกาะแน่ที่ไหล่ของจ้าว แขนที่สัมผัสกับลำคอทำให้จ้าวรู้สึกอึดอัดคล้ายกับบีบคออยู่กลายๆ

ส่วนคนอื่นๆ ที่ตามมาด้านหลังพากันพูดคุยกันอย่างสนุกปาก พยายามทำให้แนบเนียนที่สุด ไม่เช่นนั้นหัวหน้าของพวกเขาจะมาลงโทษได้ถ้าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา ซึ่งพวกเขาก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นสักนิดเพราะนอกจากจะโดนด่าแล้วเงินเดือนยังถูกหักไปครึ่งด้วย!

สาเหตุนั้นเนื่องจากทุกอย่างเกิดจากการลงทุนไม่เว้นแม้แต่โครงการนี้เช่นกัน เม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ไหลเวียนในโครงการนั้นมีมากก็จริงแต่ก็ไม่ได้มีมากพอให้ใช้ฟุ่มเฟือยหรือตามอำเภอใจ ทำให้พวกเขาต้องใช้เครื่องบินร่วมกับผู้โดยสารคนอื่น แต่ก็ดีหน่อยที่ยังได้ที่นั่งเฟิร์สคลาส

“นั่งตรงนี้”

พูดเสียงแข็งและกดไหล่จ้าวให้นั่งลงในที่มุมอับสายตา ก่อนที่จะใช้ร่างของตัวเองบังจ้าวอีกทีเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ

“เอ่อ.. ขอ ขอผมไปห้องน้ำได้ไหม”

จ้าวพูดเสียงเบาก้มหน้าต่ำ

สองมือที่ซ่อนไว้ใต้กระเป๋าเสื้อเย็นเฉียบ

เขากำลังโกหก..

“บัดซบ!” อีกฝ่ายขบฟันกรอดๆ คล้ายกับพยายามระงับโทสะของตัวเอง “ทำไมไม่รีบบอกตั้งแต่ตอนที่เดินผ่านห้องน้ำวะ”

“ฮึก ผม ผมเพิ่งปวด”

จ้าวแสร้งบีบน้ำตาที่มาจากความจริงกึ่งหนึ่งความลวงกึ่งหนึ่งและใช้ใบหน้าเศร้าจัดที่เคยใช้ตอนแสดงโฆษณา

“เออ!” กดเสียงตอบอย่างดุดันแต่ก็ยอมลุกขึ้นและดึงให้จ้าวลุกตาม “เดี๋ยวกูพามันไปห้องน้ำก่อน พวกมึงรอตรงนี้แหละ มันไม่มีปัญญาหนีกูหรอก”

หากแต่คนที่ถูกบอกว่าไม่มีปัญญาหนีกลับยิ้มกับตัวเองเงียบๆ ด้วยมุมก้มที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

จ้าวแสร้งเดินตัวสั่นเทานำหน้า พยายามสร้างภาพลักษณ์ลูกไก่ในกำมือของอีกฝ่ายเพื่อที่จะทำให้อีกคนตายใจว่าเขาไม่หนีจริงๆ เพราะกลัวมาก

“รีบเข้า”

“คะ ครับ”

จ้าวรับคำพยักหน้าหงึกๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำพลางสวดภาวนาในใจให้เจอใครสักคนที่พอจะเป็นประโยชน์กับตัวเองบ้าง

“!!!!”

จ้าวเบิกตากว้างตกใจจนเข่าแทบทรุด

“…”

แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่เห็นเขาซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว จ้าวรีบพาตัวเองไปหลบในห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดก่อนที่พายจะเห็นตัวเองเข้าจริงๆ

“เฮ้ออออ”

ถอนหายใจออกมาแทบหมดปอดอย่างโล่งอก

จะไม่ให้เขาตกใจได้ไงเพราะพายคือน้องชายแท้ๆ ของพริม อดีตคู่หมั้นที่เขาโดนกล่าวหาว่าฆ่า!

สายตาเชิดชูราวกับเขาเป็นพระเจ้าของพายแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังที่มากพอจะฆ่าเขาซ้ำๆ เป็นหลายร้อยครั้งถึงจะสาแก่ใจ

พายเกลียดเขามากเพราะเคยรักเขาเหมือนพี่ชายแท้ๆ อีกทั้งเขายังเป็นพี่ใหญ่ในวงมูนไลท์เลยต้องดูแลพายซึ่งเข้ามาในวงทีหลังและเป็นมือเบส อายุที่น้อยกว่าทำให้เขาเอ็นดูพายและคอยดูแลมาตลอดหลายปี

ถึงแม้เขาจะต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นแค่ไหนแต่ถ้าอีกคนเป็นพาย ก็คงต้องยอมถอย เขาทนเห็นสายตาผิดหวังและโกรธจนแทบฆ่ากันทั้งเป็นไม่ไหวหรอก

“พี่คิง เสร็จยัง! นี่มันจะนานเกินไปแล้วนะ ผมล้างมือรอจนจะเปื่อยแล้วเนี่ย”

“ออกไปก่อนไป! พี่ท้องเสีย คงอีกนานว่ะ”

เสียงคิงตะโกนที่ใกล้หูและชัดเจนจนหัวใจของจ้าวแทบหยุดเต้น

“โอเคๆ งั้นผมไปนั่งรอข้างนอกแล้วกัน”

จ้าวค่อยๆ เบือนหน้าหันไปมองข้างหลังก็มองเห็นร่างคุ้นหน้าคุ้นตาของใครบางคน

“จ้าว”

ใบหน้าที่ปกติมักจะทำหน้าเฉยชาเบื่อโลกฉีกยิ้มเมื่อคนที่ดีใจที่สุดในโลก

“คิงมาช่วยแล้ว”


ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1

ตอนที่ 11



"ทำไมมันเข้าไปนานนักวะ" ร่างในมาดนักธุรกิจสบถอย่างไม่สบอารมณ์นักเมื่อก้มมองนาฬิกาข้อมือและพบว่าปาไปสิบห้านาทีแล้ว ไอ้โอเมก้าเวรยังไม่ออกมาสักที ไม่แน่ใจว่าตกส้วมตายไปแล้วหรืออะไร

ด้วยความหงุดหงิดและหมดความอดทนจึงกระแทกเท้าเข้าไปในห้องน้ำดังปึงปัง อย่างไรก็ตามเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่กว่าคนทั่วไปทำให้เขาไม่จำเป็นต้องมียางอายหรือมารยาทมากนัก

พลั่ก

และบังเอิญชนไหล่เข้าไปกับร่างโปรงที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำชายพอดี

"หึ! " คนชนแค่นเสียงหึอย่างรังเกียจ เพราะไอ้คนที่เขาชนนั้นสวมชุดกระโปรงสีชมพูลายจุดหวานแหววผมสีดำถูกปล่อยสยายเต็มหลังถึงแม้จะมองไม่เห็นใบหน้าแต่ก็พอจะรู้ว่าคนๆ นี้ไม่ใช้ผู้ชาย

และไม่ใช่ผู้หญิงเสียด้วย!

ร่างสูงกลอกตาหน่ายๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำชาย

ทำให้คนที่โดนกลับชนมาหายใจหายคอได้อีกครั้ง แต่ก็ทำใจได้ไม่นานนักก็รีบสาวเท้าเร็วๆ เดินออกจากห้องน้ำไปยังสถานที่นัดพบที่อีกคนในห้องน้ำนัดแนะเอาไว้

“…!”

จากหนึ่งคนเป็นทั้งแก็งค์ ดูเหมือนว่าเขาจะใช้เวลาเตรียมตัวนานไปหน่อย ทุกคนในทีมเลยแห่กันมาเข้าห้องน้ำด้วยสีหน้าหงุดหงิดเต็มทน

จ้าวพยายามอย่างยิ่งในการเดินต่อไปข้างหน้าด้วยท่าทางก้มหน้าเหนียมอายและเล่นโทรศัพท์

“แค่ก!”

อยู่ๆ หนึ่งในพวกมันก็ไอค่อกแค่กเหมือนอะไรติดคอ มันคนนั้นหยุดกุมปากตัวเองและเหลือบมองเห็นร่างในชุดกระโปรงพอดี หากแต่มันก็มองแล้วเมินเฉยเช่นกันเพราะไม่ใช่รสนิยมของมัน

นัยน์ตาโศกที่ซ่อนหลังผมหน้าม้าเเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนกแต่ก็ยังคงก้าวต่อ ไม่ปล่อยโอกาสในการตีปีกเอาชีวีตรอดแม้แต่วินาทีเดียว เมื่อพ้นรัศมีพวกมันอย่างรอดปลอดภัย จ้าวก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังร้านเบอร์เกอร์ร้านนึงที่เมื่อก่อนเป็นร้านประจำของวงมูนไลท์ ถึงแม้มันจะผ่านไปหลายปีแต่จ้าวก็ยังจำได้ดีว่าร้านที่ว่าอยู่ไหน

หากแต่ขาสองข้างที่ก้าวไปข้างหน้ากลับช้าเต็มทน ฝูงชนมนุษย์ทั้งไทยทั้งเทศเดินผ่านเขากันอย่างวุ่นวาย การแบ่งชนชั้นที่นับวันจะชัดเจนขึ้น ทำให้พวกมนุษย์อัลฟ่ามีรถกอล์ฟสำหรับสนามบินคอยรับส่งแทนที่จะมาเดินร่วมกับพวกเบต้าธรรมดาๆ หรืออาจจะโชคร้ายเดินเฉียดจนต้องมีช่วงวินาทีที่ต้องใช้อากาศหายใจร่วมกับพวกโอเมก้า

“…หึ”

จ้าวแค่นเสียงหัวเราะในลำคอเมื่อผู้ปกครองของเด็กคนนึงกระชากเด็กออกห่างจากเขาอย่างรังเกียจเมื่อเห็นปลอกคอโอเมก้าเข็มขัดหนังปลอมๆ ที่เขาจงใจใส่ข้างนอกให้เห็นได้ชัดเพื่อปกปิดของจริงที่เป็นเหล็กข้างใน

ไม่สิ เรียกว่าเศษเหล็กจะถูกต้องกว่าเพราะตอนนี้มันถูกทำให้ไร้สัญญาณอินเตอร์เน็ตไปชั่วคราวอีกทั้งยังถูกตัดระบบไฟฟ้าด้วยเครื่องอะไรสักอย่างที่คิงเอามาติดให้เขา

เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าโอเมก้าจะมีชีวิตที่ยากลำบากขนาดนี้ เมื่อก่อนเขาคิดว่าคงยากกว่าเบต้าทั่วไปสักสองสามเท่า แต่เรื่องจริงๆ คือเป็นร้อยเท่า พวกเบต้าอาจจะแค่รังเกียจไม่ชอบอยากรังแกแต่พวกอัลฟ่านั้นไม่อยากเห็นอยู่ในสายตาเลย

ทั้งๆ ที่ระบบการสืบพันธุ์แบบนี้ถูกคัดเลือกมาพร้อมกับมนุษย์แท้ๆ เขาไม่เข้าใจสักนิดว่าจะแบ่งแยกกันทำไม ในสมัยก่อนอาจจะเพราะโลกภายนอกเต็มไปด้วยภัยอันตรายจนมนุษย์เพศหญิงที่อ่อนแอมีลูกได้ยาก มนุษย์เลยต้องพัฒนาระบบเพศให้มีความหลากหลายมากขึ้นเพื่อไม่ให้สูญสิ้นเผ่าพันธุ์

แต่เมื่อมาถึงสมัยปัจจุบันกลับรังเกียจมนุษย์ที่เป็นพวกโอเมก้า ซึ่งเขาก็ไม่มั่นใจนักว่ามาเริ่มขึ้นตอนไหนแต่ที่รู้ๆ มันทำให้พวกโอเมก้าที่เป็นมนุษย์เหมือนกันใช้ชีวิตยากมากทีเดียว

ทุกอย่างที่เป็นไปในโลกล้วนเล่นตลก

เขาที่เคยมีชีวิตที่มีความสุขมากยังกลายเป็นแค่ฝันกลางวันเลย

จ้าวหัวเราะแล้วเดินต่อด้วยไหล่ที่มั่นคงขึ้น ไม่สนใจสายตาคนอื่นมองมาที่ตัวเองอย่างรังเกียจหรือใครก็ตามที่สนใจตัวเอง เขาสนใจ ใส่ใจคนอื่นแล้วเป็นไงล่ะ ไม่เห็นจะมีใครใส่ใจเขาบ้างเลย มีแต่เขาที่เจ็บปวดแทบตาย เจ็บจนแทบทนไม่ได้แต่ก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป

“ทางนี้”

จ้าวชะงักขาที่กำลังจะก้าวเข้าไปในร้านเมื่อเห็นว่าใครโบกมือเรียกตัวเอง

“..พาย?”

ครางในลำคออย่างไม่แน่ใจนักเพราะตั้งแต่วันนั้นพายก็ไม่มองหน้าเขาตรงๆ อีกเลย มีแต่ความโกรธความเกลียดชังที่ปะทุขึ้นมาทุกครั้งที่เขาเผลอไปสบตาอีกฝ่ายเข้า

“ทางนี้!”

เสียงเรียกเน้นหนักซ้ำสองทำให้จ้าวรีบจ้วงไปนั่งตรงข้ามพายด้วยสภาพเกร็งจัด ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำเพราะกลัวความโกรธที่คาดเดาไม่ได้

“พี่จ้าว”

จ้าวกระพริบตาปริบอย่างไม่เชื่อหู เงยหน้ามองพายที่ยิ้มน้อยๆ ให้ตัวเองเหมือนเมื่อก่อน ถึงสายตาจะไม่เทิดทูนเขาเอาไว้เหนือสิ่งใดแต่ก็นั่งก็เพียงพอแล้วที่ทำให้จ้าวน้ำตาคลอ

“ไม่โกรธพี่แล้วเหรอ ฮึก”

อดีตนักร้องดังที่โดนป้ายสีว่าเป็นฆาตกรอดหลั่งน้ำตาไม่ได้ เขาถูกเกลียดมามากมายจนชาชิน นี่เป็นไม่กี่ครั้งที่ถูกทำดีด้วยโดยที่เขายังไม่ทันทำอะไรเพื่อแก้ตัว

“ตอนนั้นผมไม่ได้ถามพี่ ว่าพี่ทำรึเปล่า”

พายยิ้มเศร้าๆ เมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาหลายปีแต่ยังคงเด่นชัดราวกับเกิดขึ้นเมื่อวานในใจจ้าว

“ผมเอาแต่โกรธ โทษพี่ที่ทำพี่พริมตาย ผมไม่รู้ว่าใครทำแต่ก็ผมก็ยังโกรธมากๆ อยู่ดี”

น้ำตาที่คลอเล็กๆ ทำให้จ้าวรู้ว่าความเคียดแค้นของพายยังคงอยู่แต่มันไม่ได้มีเพื่อเขาอีกต่อไป

“ผมถามพี่ตรงๆ นะ พี่จ้าว”

พายสบตาจ้าว เช่นเดียวกับจ้าวที่สบตาไม่วอกแวก

“พี่ฆ่าพี่พริมรึเปล่า”

“พี่สาบานได้เลยว่าพี่ไม่ได้ฆ่า”

ทันทีที่คำนี้หลุดออกจากปาก จ้าวก็รู้สึกเหมือนบ่วงแน่นที่รัดคอไม่ให้พูดมาตลอดค่อยๆ คลายออก

“แล้วถ้าพี่ไม่ได้ทำแล้วใครทำ”

พายถามต่อ นัยน์ตาเริ่มสุมด้วยไฟแห่งความโกรธ พี่สาวคนเดียวที่ห่างกันเพียงแค่ห้าปี จากไปด้วยการฆาตกรรมของใครบางคน นั่นไม่ใช่เรื่องที่พายจะยอมรับได้

“…”

แปลกที่เขาพูดไม่ออกอีกแล้ว ทั้งๆ ที่อยากตะโกนแทบตายว่า ‘จันทร์เป็นคนฆ่า! และเรื่องทั้งหมดก็เกิดจากจันทร์ทั้งนั้น เขาไม่ผิดอะไรสักนิด’

เขารู้เรื่องพวกนี้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังพูดไม่ออก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะปกป้องคนที่กระทำผิดทำไมในเมื่อเขาคนนั้นไม่คิดจะสงสารเขาด้วยซ้ำ มีแต่ผลักไสให้ไปตายให้พ้นๆ หน้าเสียที

สายสัมพันธ์ฝาแฝดที่เขาคิดว่ามีก็ตัดขาดไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน เขาร้องเพลงนั้นทุกครั้งที่จันทร์ร้องไห้และมันก็ได้ผลเสมอมา แต่เมื่อวานมันได้ผลกลับกัน จันทร์ไม่ได้ร้องไห้แต่เป็นเขาเองที่ร้องไห้แทบขาดใจในตอนที่น้องออกไปจากห้อง เขารู้อยู่แล้วล่ะว่าน้องเกลียดเขา แต่ก็ไม่คิดว่าจะมันจะมากขนาดนั้น เขารักน้องมาก หลายอย่างในชีวิตเขาก็มีผลมาจากน้องทั้งนั้น

‘จ้าว จ้าวร้องเพราะมากเลย’

เสียงทุ้มนุ่มนิ่มคล้ายกับเขายกนิ้วโป้งให้พร้อมกับยิ้มจนตาหยี ทั้งๆ ที่มีใบหน้าเหมือนกันแต่จ้าวกลับรู้สึกว่าจันทร์นั้นน่ารักที่สุดในโลกจนอดไม่ได้ที่จะโผกอดกลับแล้วตอบ

‘ถ้าจันทร์ชอบจ้าวร้อง จ้าวก็จะร้องเพลงตลอดไปเลย!’

เหตุผลง่ายๆ ของการมาเป็นนักร้องของเขาส่วนหนึ่งก็เพราะจันทร์ แต่เขาไม่เคยบอกใครแม้แต่เพื่อนในวงเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเก็บเป็นความลับสนุกๆ ระหว่างฝาแฝดมากกว่า แต่ดูเหมือนจันทร์จะไม่คิดอย่างงั้น น่าแปลกที่เขาไม่เคยดูออกเลยว่าใบหน้ายิ้มแย้มที่มีให้เขามาตลอดของจันทร์นั้นไม่ใช่ของจริง แต่ถ้าเป็นไปได้เขาก็ยังอยากให้ตัวเองโง่ดูยิ้มนั่นของจันทร์ไม่ออกเหมือนกัน ไม่อย่างงั้นเขาก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้

“พี่จ้าว”

เสียงของพายเรียกสติที่ลอยไปไกลของจ้าวกลับมาอีกครั้งหนึ่ง จ้าวกระพริบตาปริบแล้วยิ้มให้พายบางๆ

“พี่ไม่รู้”

จ้าวส่ายหัวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

สุดท้ายเขาก็หักใจพูดออกไปไม่ได้อยู่ดี นึกเกลียดตัวเองเหมือนกันที่จะมาทำตัวเป็นคนดีทำไมในเมื่อมันไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นสักนิด

“ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยคุย” พายตัดบทแล้วหยิบกระเป๋าสะพายที่ใส่ชุดเก่าผมไปถือ “เรารีบไปรอที่รถเถอะ ผมว่าตอนนี้มันเริ่มรู้ตัวแล้ว”

จ้าวเหลือบมองไปข้างหลังที่เริ่มมีเสียงเอะอะโวยวาย ดูเหมือนพวกนั้นจะเลิกทำตัวเนียนๆ เหมือนส่งยาเสพติดแล้ว ตอนนี้พวกมันไล่กระชากแต่ละคนมาเช็คปลอกคอเหล็กที่คออย่างวุ่นวาย เจ้าหน้าที่ที่น่าจะเป็นพวกของพวกมันถือบัตรประจำตัวไล่ตรวจพวกเบต้ากับโอเมก้าไปทั่ว

“ไปเร็ว! รถเรามาแล้ว”

พายลากตัวจ้าวแล้วโยนขึ้นไปบนรถกอล์ฟสีดำที่มีกระจกฟิล์มดำปิดมิดชิดดูหรูหรากว่าพวกอัลฟ่าทั่วไปไปอีกขั้นทันทีประตูปิดรถก็ขับผ่านพวกมันไปอย่างแนบเนียนโดยที่พวกมันต้องหลีกทางให้เป็นเมตร เพราะนี่เป็นรถกอล์ฟของพวกอัลฟ่าพิเศษซึ่งมีนัยน์ตาสีทองและมีความสามารถพ่วงมาอย่างพละกำลังมากเอย ทักษะบางอย่างที่เป็นเลิศเอามากๆ เอย หรือไม่ก็สติปัญญาที่เฉลียวฉลาดกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายเท่า ระดับไอคิวโดยเฉลี่ยของพวกอัลฟ่าพิเศษคือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปด ทำให้พวกนี้มักจะอยู่ในวงการวิทยาศาสตร์ชั้นนำคอยพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์และควบคุมมนุษย์ที่มีสายเลือดด้อยกว่าตนเอง

แต่อย่างไรเสียเพราะความโดดเด่นของพันธุกรรมทำให้อัลฟ่าประเภทนี้ค่อนข้างหายาก โอกาสพบในมนุษย์มีเพียง 0.01% และในประเทศไทยก็มีเพียงไม่กี่คนและหนึ่งในนั้นก็คือ ‘พาย’

“เดี๋ยวแวะจอดรับคิงด้วยนะครับ ลุง”

พายยังทำตัวดุ๊กดิ๊กเหมือนที่เคยเป็นด้วยการเกาะเบาะหน้าแล้วพูดงุ้งงิ้งข้างหูคนขับ

“ลุงบ้านแกสิ ไอ้เด็กเปรต”

คนโดนเรียกลุงคำรามในลำคอ “และประเด็นคือวันนี้ฉันมีสอน ทำไมฉันต้องมาขับรถให้เด็กกินนมไม่เคยหมดขวดอย่างแกวะ”

“ก็ลุงชอบผมไง ฮิฮิ”

“…”

จ้าวนั่งตัวเกร็งทำหน้าไม่ถูกเพราะเพิ่งเคยเห็นพายโหมดนี้ เมื่อก่อนตอนอยู่กับเขาก็ดุ๊กดิ๊กๆ เหมือนหมาพันธุ์ปอมแหละแต่ไม่เคยเห็นตอนที่อ้อนจนแทบจะปีนขึ้นไปบนตักแล้วเลียหน้าคนขนาดนี้

ไม่น่าเชื่อว่าแค่ห้าปีทุกอย่างรอบตัวเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว พายที่เขาคิดไม่ตกและเคยนั่งพนันกับคนในวงว่าคงมีแฟนเป็นหมาปั๊กยังได้แฟนเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาหน้ากลัวมากกว่าคุณเหมันต์ซะอีก นี่ไม่ใช่ปั๊กแล้วแต่เป็นร็อตไวเลอร์ชัดๆ

ขับไปได้สักพักจนคิงขึ้นมาในรถ บทสนทนาจึงวกกลับมาที่จ้าวอีกครั้งอย่างที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก

“สรุปพี่จันทร์จะส่งพี่จ้าวไปโครงการจีโนมจริงๆ ใช่ไหม”

พายซึ่งเป็นคนรู้เรื่องนี้คนแรกกอดอกถามจ้าวด้วยสีหน้าเป็นห่วง ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนของเขาที่ทำงานในโครงการนั้นแอบส่งข่าวมาบอก เขาก็คงไม่มีทางรู้เรื่องนี้แน่

“ก็อย่างที่พายรู้นั่นแหละ”

จ้าวยิ้มเจื่อนแล้วเหลือบมองข้อมือตัวเองที่ถูกประทับเป็นสัญลักษณ์โอเมก้า

“ทางนั้นสนใจพี่มากเพราะพี่เป็นอัลฟ่าคนแรกที่กลายเป็นโอเมก้าจริงๆ ”

ไม่แน่ถ้าเขารักวงการวิทยาศาสตร์มากกว่านี้ก็คงจะยอมเสนอตัวไปเองอย่างว่าง่าย แต่น่าเสียที่เขาไม่ได้รักวงการนี้และไม่อยากเป็นหนูตัวทดลองตัวที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่ต้องตายในการทดลองที่ไม่ยอมเปิดเผยต่อสาธาณชนถึงวิธีการทดลอง ที่ไม่รู้ว่าโหดร้ายหรือไม่ พวกโอเมก้าที่ถูกจับมาทดลองถึงได้ตายเอาๆ เหมือนผักเหมือนปลา

“ไปอยู่กับกูไหม จ้าว” คิงรวบมือจ้าวไปจับแน่นด้วยสีหน้าจริงจัง “กูปกป้องมึงได้ ไอ้เครื่องนั่นกูยังหามาให้มึงได้เลย แค่ซ่อนมึงจากพวกนั้นมันไม่ยากหรอก”

มือของคิงเย็นเฉียบต่างจากมือของใครอีกคนอุ่นร้อนขัดกับชื่อ จ้าวมองใบหน้าที่เห็นเหล่าแฟนคลับกรี๊ดนักกรี๊ดหนาถึงความเท่ความคูลของคิงแล้วหลุดยิ้มเล็กๆ

ตอนนี้คิงที่ว่าในสายตาเขา เหมือนกับเด็กที่กำลังกุมมือเด็กสาวแล้วบอกฉันจะปกป้องเธอเองซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่อยากเป็นสาวน้อยคนนั้นแน่ๆ

จ้าวไม่ได้ดึงมือตัวเองออกปล่อยให้มือเย็นเฉียบเกาะกุมตัวเองจนรู้สึกว่ามือตัวเองค่อยๆ เย็นตาม

“มึงซ่อนกูไม่ได้ตลอดหรอก คิง” อดีตนักร้องนำยิ้มให้คิงที่ทำหน้านิ่งแต่เขาก็เห็นได้ชัดเจนถึงความผิดหวังที่ฉายชัดอย่างตรงไปตรงมาในแววตา “ตอนนี้กูไม่ใช่จ้าวคนเดิมแล้ว คิง จ้าวที่มึงเห็นตอนนั้นมันตายไปแล้ว”

ในแง่ของจิตใจจ้าวที่โลกสวยคิดบวกคนนั้นได้แต่ไปแล้วจริงๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเรือนจำ จนในที่สุดก็ไม่หลงเหลืออะไรอยู่อีกนอกจากตัวตนที่ยอมรับต่อความเป็นจริงและหมดสิ้นความหวังที่จะนำพาคนอื่นไปสู่ความหวังอีกต่อไป

จ้าวค่อยๆ ดึงมือตัวเองออกแม้ว่าคิงจะพยายามดึงเอาไว้แค่ไหนก็ตาม

“กูขอบคุณที่มึงมาช่วยกูวันนี้นะ แต่ถ้ามึงอยากได้กูกลับไปเล่นวงเดียวกับมึง กูทำไม่ได้ว่ะ กูไม่อยากร้องเพลงของวงมูนไลท์แล้ว ไม่อยากให้กำลังใจใครทั้งนั้น กูยังเอาตัวเองไม่รอดเลยจะมีปัญญาไปช่วยใครล่ะ วันดีคืนดีกูอาจจะแพ้ยาบ้าๆ ที่น้องให้กูกินแล้วชักตายไปเลยก็ได้ ใครจะไปรู้”

“กูชอบมึงนะ จ้าว”

แววตาของคิงสั่นระริกพยายามจะจับมือผมอีกครั้งแต่ผมชักมือหลบไว้ข้างหลัง ซึ่งท่าทีการตอบรับของจ้าวมันก็ชัดเจนจนคิงอดพูดเสียงครือไม่ได้

“ทำไมมึงไม่ให้โอกาสกูล่ะ จ้าว ถ้าไม่ใช่กู ใครจะช่วยมึงได้วะ”

ความผิดหวังเริ่มแปรเป็นความโกรธ

“พี่คิง ใจเย็นๆ “พายใช้มือแตะๆ คิงเชิงเตือน อารมณ์คล้ายกับหมาปอมที่ใช้อุ้งเท้าสั้นของมันแตะหางเสือที่กำลังโกรธจัดได้ที่เพราะเหยื่อที่มันควรจะได้กินกลับหนีจากมัน

“รู้ไหม” คิงหัวเราะเสียงต่ำ “ตั้งแต่ที่ไอ้ไนท์รู้ว่ามึงยอมรับว่าฆ่าพริม มันก็ไปเข้าวงอื่นเลย มันเชื่อว่ามึงฆ่าจริงๆ ทั้งๆ ที่มันบอกว่ามันเชื่อว่ามึงไม่ได้ฆ่า ซึ่งกูก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกันว่าทำไมต้องโกหกกูถึงห้าปี อ้างว่าไปช่วยวงนั้นเล่น ทั้งๆ ที่มันบอกจะรอมึงกลับมา แต่ก็นะ มันไม่รอและมันก็ไปแล้ว มันทิ้งมึง ตอนนี้มึงเหลือแค่กู”

คิงชี้หน้าตัวเองที่ดวงตาขึ้นสีแดงก่ำ

“กูเป็นคนไปคุยกับพายเอง พายถึงได้ยอมมาช่วยมึงวันนี้ มึงไม่คิดเหรอ จ้าว ว่าทำไมอยู่ๆ พายก็เลิกโกรธมึงทั้งๆ ที่ตอนนั้นแทบจะกระโจนเข้าไปบีบคอมึงให้ตายตรงนั้นเลยด้วยซ้ำ”

มือเบสรูปหล่อประจำวงมูนไลท์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้จ้าวแล้วคำรามใส่

“เพราะกูไงจ้าว! เพราะกูรักมึงไง กูถึงยอมช่วยมึงขนาดนี้ กูยอมเล่นเพลงของวงเราที่แม่งไม่มีใครกล้าเล่น กูยอมโดนพ่อด่าเรื่องไม่กลับไปทำธุรกิจครอบครัวก็เพราะกูรอมึงไง กูรอมึงกลับมาและสิ่งที่กูต้องการก็คือโอกาสในการพิสูจน์ตัวเองของกู นี่ไง กูขอแค่นี้เอง มึงให้กูไม่ได้เหรอ จ้าว”

หากแต่คนที่ถูกทั้งคำรามใส่กลับนิ่งกว่าที่ควร ใบหน้านั้นยังคงรอยยิ้มน้อยๆ อย่างที่ควรจะเป็นแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีอะไรน่ายินดี

“…พี่คิง” พายพูดเสียงแผ่วเจี๋ยมเจี๊ยมเพราะสิ่งที่พี่คิงพูดก็จริงทั้งนั้น ตอนนั้นเขาเอาแต่โกรธไม่ยอมฟังหรือรอเหตุผลอะไรทั้งนั้น ขนาดแม่พยายามพูดเขายังไม่ฟังเลย

เขาก็แค่เศร้า เศร้าที่ต้องเสียพี่สาวที่ตัวเองรักมากๆ และเพิ่งจะวางแผนไปเที่ยวด้วยกันสองพี่น้องพร้อมกับซื้อของขวัญให้เขาเนื่องในวันเกิด

และสิ่งที่เขารับรู้คือมันจะไม่มีวันเกิดขึ้น เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้เขาแทบกลายเป็นบ้าได้แล้ว ประมาณห้าชั่วโมงที่แล้วเขายังได้ยินเจื้อยแจ้วของพี่สาวแต่ห้าชั่วโมงถัดจากนั้นก็ได้ยินข่าวร้ายจากปากพี่จันทร์

ชั่ววินาทีนั้นเหมือนโลกทั้งใบของเขาถล่มลงมาเลยทีเดียว แต่เวลาก็คือเครื่องเยียวยาที่ดีที่สุด ตอนนี้เขาอาการดีขึ้นแล้วและพอจะคิดได้ว่าตัวเองได้ทำอะไรร้ายแรงลงไปบ้าง

“คิง”

จ้าวเรียกเสียงเย็นแววตาว่างเปล่าจนคิงชะงักกึก ความโกรธที่เป็นเพลิงไหม้รุนแรงดับทันควัน สีหน้าของจ้าวทำเอาคิงรู้สึกกลัวเพราะนั่นไม่ใช่สีหน้าที่คิงเคยเห็นและคุ้นเคยสักนิด

“กูขอบคุณนะที่มึงช่วยและรอกูนานขนาดนี้ แต่สิ่งที่มึงกำลังทำคือลำเลิกบุญคุณจากกู”

ใบหน้าที่คิงเคยคิดว่าเป็นใบหน้าที่ตนเองจำได้ขึ้นใจกลับเป็นใบหน้าเดียวกับที่รู้สึกเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

สีหน้าเย็นชาและนัยน์ตาที่มองมาอย่างเย็นชา

จ้าวไม่เคยทำแบบนี้กับเขา… ไม่เคยทำแม้แต่ครั้งเดียว!

คิงเผลอถอยชนกับประตูรถดังปึงแต่ตัวก็ยังสั่นเทาอย่างยอมรับไม่ได้

“มึงยอมรับเถอะว่ากูไม่ได้ชอบมึง กูว่ากูเคยบอกมึงแล้วนะว่ากูมองมึงเป็นแค่เพื่อนและมันจะไม่มีวันมากไปกว่านั้นด้วย กูรู้จักมึงตั้งแต่มึงหัวเกรียนนะ คิง กูรู้เพื่อนชอบเพื่อนมันเกิดขึ้นได้ มึงชอบกู กูไม่ว่า แต่ก็ไม่ได้ชอบมึง โอเคนะ แล้วตอนนี้กูก็ไม่ได้ชอบใครด้วย เรื่องนี้ไม่มีใครผิด กูก็แค่ไม่ได้ชอบมึงเฉยๆ และมึงก็หยุดทำเหมือนกูผิดมากซะทีที่ปฏิเสธมึง”

นานพักนึงกว่าคิงจะประมวลผลคำพูดของจ้าวได้

“กูก็เลย… ขอแค่โอกาสไง จ้าว”

จ้าวแค่นเสียงหัวเราะเล่นเอาทั้งคิงทั้งพายอึ้ง

“ขอโทษที่กูใจร้ายว่ะ คิง”

ภาพคนๆ นึงปรากฎในหัวจ้าวจนจ้าวอดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้

คนที่น่าจะใหญ่พอที่จะคุ้มครองเขาได้สบายๆ ไปจนตายเลยล่ะมั้ง

“แล้วพี่จ้าวจะอยู่ยังไง ถ้าไม่ให้พี่คิงช่วย” พายถามด้วยสีหน้ากังวล ไม่ว่าคิดยังไงการไปอยู่กับคิงก็คือทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ถึงที่บ้านคิงจะไม่ใช่พวกทหารตำรวจหรือพวกของทางการ แต่ธุรกิจอสังหาในมือก็มีเงินไหลเวียนอยู่จำนวนไม่น้อยเช่นกันซึ่งมันก็น่าจะมีเพียงพอในการลบตัวตนของใครสักคนให้หายไปจากสารบบ

“คนอย่างจันทร์ไม่ใช่คนโง่”

ครั้งนี้กลับเป็นคนขับรถที่จ้าวให้ฉายาว่าร็อตไวเลอร์เป็นคนพูด ใบหน้าที่ถูกกาลเวลากัดกร่อนให้มีริ้วรอยมีความเครียดเขม็งแฝงอยู่ “การหาตัวคนในประเทศไทยสำหรับเขาคงไม่ใช่เรื่องยากหรอก อย่าลืมสิว่าตระกูลนฤภัทรมีเงินมากกว่านายตั้งเท่าไหร่”

คิงขบเคี้ยวฟันเมื่อตระหนักถึงความไร้ความสามารถของตัวเอง “แล้วจะทำยังไงล่ะ ในเมื่อหนทางที่ดีที่สุดคือมาอยู่กับผม”

“อย่าออกความเห็นที่มีแต่ความคิดของตัวเองสิ”

คนอายุมากสุดในรถเอ็ดด้วยสีหน้าเหมือนเดิมราบเรียบและหมุนพวงมาลัยพารถออกไปจอดเทียบกับรถสปอร์ตสีดำทองคันยาวที่ไว้สำหรับรับส่งพวกอัลฟ่าพิเศษโดยเฉพาะ

บทสนทนาจำต้องหยุดชั่วคราวเพราะต้องเปลี่ยนรถพอทุกคนประจำที่จ้าวก็เอ่ยขอทันที

“… ผมขอยืมมือถือได้ไหม ผมว่าผมมีวิธีรอดของผมอยู่”

จ้าวหันไปหาคนที่ดูจะพึ่งพาได้มากที่สุดในตอนนี้ด้วยท่าทีนอบน้อม พออีกฝ่ายยื่นให้ก็กดเบอร์โทรที่จำได้ขึ้นใจเพราะตัวเลขเหมือนกันซะเจ็ดตัว เลขสวยมากคาดว่าน่าจะประมูลมาแพง

[ฮื่อ.. ฮัล..โหล]

จ้าวหลุดยิ้มนิดๆ กับเสียงพูดงัวเงียของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าเขาจะไปขัดจังหวะเวลานอนพักกลางวันของใครบางคนเข้าซะแล้ว

“ผมจ้าวนะ”

[ฮื่อออ จ้าวไหนวะ]

“จ้าว นฤภัทรครับ”

[อะไรนะ]

จ้าวพยายามอย่างยิ่งในการไม่หลุดยิ้มกว้างกับเสียงของคนที่ไม่ตื่นดี สติสตังค์เหมือนจะยังอยู่ในความฝันไม่ยอมออกมาด้วย

“จ้าว วงมูนไลท์ครับ”

[สปอรต์ไลท์? ฉันว่าฉันไม่ได้สั่งนะ ไปคุยกับเลขาฉันไป]

“จ้าวที่คุณเป็นแฟนคลับน่ะครับ”

[คลับแซนด์วิช ฮื่อ ฉันไม่ได้อยากกิน]

“คุณเหมันต์ตื่นสักทีเถอะครับ!”

ในที่สุดจ้าวก็ทนไม่ไหวตะโกนใส่โทรศัพท์จนปลายสายสะดุ้งตื่น ได้สติกลับมาเต็มร้อยจนแทบเกิน

[มีอะไรให้ช่วย?]

น้ำเสียงนุ่มนวลจากปลายสายทำให้จ้าวรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาแปลกๆ

“ผมขอไปหลบบ้านคุณได้ไหม ให้ผมไปเป็นคนใช้ก็ได้ ตอนนี้จันทร์จะส่งผมไปอเมริกาแล้ว”

ถึงความรู้สึกเกรงใจจะอึดอัดอยู่เต็มอกก็เถอะ แต่เขาสบายใจที่สุดแล้วกับความช่วยเหลือของคุณเหมันต์ เพราะคุณเหมันต์เป็นคนๆ เดียวที่ยังอยู่ตรงนั้นเพื่อเขามาตลอดและสม่ำเสมอ

ดอกกุหลาบขาวนั่นคุณเหมันต์อาจจะให้ตามมารยาทหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ที่แน่ๆ มันมีความหมายกับจ้าวมากเพราะมันคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวไม่ให้ตีปีกโผบินเข้าสู่อิสระอันเป็นนิรันดร์

เขาอยากหนีให้พ้นจากความเจ็บปวดแต่ไม่รู้จักวิธีอื่นนอกจากความตาย

แต่กุหลาบของคุณเหมันต์ทำให้เขารู้สึกมีความสุข ถึงแม้มันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทำให้เขารู้สึกมีคุณค่า ซึ่งนั่นก็เพียงพอให้อยากอยู่ต่อ

เขาไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไงแต่อย่างน้อยๆ ได้อยู่ภายใต้เงาของคนที่ทำให้เขายอมไม่ตายเพื่ออยู่ต่อ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้

ไม่สิ ต่อให้เขาไปอยู่กับคิง ก็คงประคองชีวิตได้ไม่นานนัก ดีไม่ดีอาจจะตายวันตายพรุ่งเลยก็เป็นได้

[มาสิ ฉันจะสั่งเลขาไว้แล้วกัน ฮื่อ ขอฉันนอนก่อนนะจ้าว ฉันเพิ่งได้นอนตอนนี้เอง]

“ครับ ฝันดีครับ”

[อืม.. รีบมาล่ะ]

จ้าวเงยหน้าสบตากับคุณร็อตไวเลอร์ที่มองมาอย่างรอคำตอบ

“ไปลงที่คฤหาสน์ตระกูลกิลลาสครับ”

พายกระพริบตาถี่ๆ “เอ่อ คงไม่ใช่ที่อยู่ข้างซ่องนกพิราบใช่ไหม พี่จ้าว”

“อือ ตรงนั้นแหละ”

“เดี๋ยวจ้าว มึงรู้จักคนที่นั่นด้วยเหรอ” คิงถามสีหน้าเคร่งเครียดไม่ละความพยามยามของตัวเองที่เริ่มจะสั่นคลอน “กูไม่สนหรอกว่ามึงจะชอบหรือไม่ชอบกู แต่กูช่วยมึงได้นะจ้าว ต่อให้กูช่วยมึงไม่ได้เท่าที่มึงอยากได้แต่กูก็จะพยายามให้ได้มากที่สุด”

“กูรู้จักมิสเตอร์เหมันต์”

จ้าวเอนหลังพิงเบาะแล้วหลับตา รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งๆ ที่วันนี้ยังไม่ได้ทำอะไรมากมาย

“แล้วกูล่ะ จ้าว มึงเอาไปไว้ตรงไหน”

“มึงเป็นเพื่อนกูนะ คิง กูพูดไปแล้วและกูจะไม่พูดซ้ำอีก”

“ตั้งแต่กูคบมึงมากูยังไม่เคยเห็นมึงจะรู้จักมิสเตอร์เหมันต์อะไรนั่นเลย มึงคิดว่าเขาไว้ใจได้มากกว่ากูเหรอวะ!”

บรรยากาศในรถค่อยๆ ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าแอร์จะเย็นเฉียบบาดผิว

“…”

“ตอบกูสิจ้าว มึงเงียบทำไม!”

“…”

“ตอบกูไอ้จ้าว!!!”

คิงกระชากคอเสื้อจ้าวเข้ามาใกล้ถลึงตามองอย่างเดือดดาลและได้ผล จ้าวค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้าที่คิงเริ่มกลัวหนักกว่าเก่าและริมฝีปากบางเฉียบนั้นก็คำรามใส่เขาจนเผลอปล่อยมืออกจากคอเสื้อ

“กูไม่อยากเป็นภาระใครเข้าใจไหมวะ!!!!”

จ้าวตะคอกตาขึ้นสีแดงก่ำ

“กูไปอยู่กับมึง ถ้าเกิดมีคนจับได้ ธุรกิจมึงเละแน่ พวกมันไม่เอามึงไว้หรอก มึงคิดเหรอลำพังเงินพ่อแม่จะคุ้มครองกูได้ตลอดไป มึงโลกสวยเกินไปรึเปล่า คิง กูไปอยู่กับคุณเหมันต์เพราะเขามีอำนาจมากกว่ามึงและพวกมันคงต้องเกรงใจบ้างถ้าคิดจะทำอะไร”

มือของคิงสั่นพอๆ กับแววตาที่สั่นระริก

นี่ไม่ใช่จ้าว… ไม่ใช่จ้าว ที่เขาหลงรักแทบตาย

“ถ้าอยากจะช่วยกูจริงๆ เดี๋ยวกูจะติดต่อไปเอง แบบนี้จะปลอดภัยกับทุกฝ่ายที่สุด”

จ้าวพูดสรุปก่อนที่จะหยิบผ้าปิดตาสำหรับนอนที่น่าจะเป็นของพายมาปิดตาและหนีเข้าสู่ห้วงนิทราไม่ยอมพูดอะไรอีก

เพราะนี่เป็นทางออกที่สุดที่สุดเท่าที่สมองเล็กๆ ชองเขาจะคิดออกแล้ว…



===============

หายไปนาน  :katai5:


ออฟไลน์ Aomlove^^1412

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :pig4: อ่านแล้วเจ็บมากเลยค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
สงสารจ้าวมาก

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
อ่านจบแล้วก็แบบ :เฮ้อ:
คิดไม่ออกเลยว่าจะมีวิธีไหนหรือเหตุการณ์อะไรที่จะสอนให้จันทร์คิดได้

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สงสารจ้าว  :hao5:

ออฟไลน์ Minzero

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

อยากโดดตบจันทร์มาก! :katai1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
พระเอกไหวนะคะ 5555

ออฟไลน์ tungz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบเรื่องนี้อ่ะ มาต่อเร็วๆน้าา

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ทำไมเราไม่เคยอ่านเรื่องนี้ รู้สึกพลาด มีความดิ่งสุดทำไมเราร้องตามได้ขนาดเน้

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ่านเรื่องนี้แล้วน้ำตาไหล :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
                                                                                            ตอนที่ 12                     

               

“เชิญนั่งรอตรงนี้เลยครับ เดี๋ยวอีกสักพักคุณเหมันต์จะลงมาพบคุณจ้าวครับ”

พ่อบ้านอาวุโสเก่าแก่ประจำตระกูลกิลลาสกล่าวจบก็โค้งตัวและขอตัวออกไป

‘กิลลาส’ เป็นตระกูลอันดับต้นๆ ในเมืองไทยตอนนี้เพราะแต่ละคนมักจะโลดแล่นอยู่ในวงการการเมือง มีทั้งอดีตทูตที่เกษียณตัวเองไปแล้ว เพื่อนคู่คิดนายกรัฐมนตรี หรือจะคนใหญ่คนโตในชั้นปกครอง ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนแต่มีเลือดอัลฟ่าไหลเวียนอยู่ในตัวและที่โดดเด่นที่สุดก็คงจะเป็นบิดาของเหมันต์ที่เป็นอัลฟ่าพิเศษแบบเดียวกับพาย ความสามารถที่โดดเด่นที่สุดก็คือสมองที่ฉับไวและปราดเปรื่องมาก สมองคิดโจทย์เลขยากๆ ในพริบตาอีกทั้งยังมีความสามารถในการเล่นหุ้น จนได้ฉายาว่าพ่อมดตลาดหุ้น เพราะมักจะจับจะซื้อขายหุ้นได้ในเวลาที่ประจวบเหมาะพอดีจนได้กำไรมหาศาล

บิดาของเหมันต์จึงเป็นที่ยอมรับในสังคมอย่างมาก ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งสำคัญในชนชั้นปกครองเหมือนเครือญาติคนอื่นๆ แต่ความสามารถก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาก็เป็นใครอีกคนที่ไม่สามารถมองข้ามได้ง่ายๆ เงินจำนวนมากมายในบัญชีทั้งไทยทั้งเทศทำให้คนพากันเข้าหากันอย่างประจบประแจง หวังสักนิดที่เศษเงินพวกนั้นจะหลุดเข้ากระเป๋าตัวเองบ้าง

แต่น่าเสียดายที่บิดาของเหมันต์ไม่ใช่คนบ้ายอ พอลูกชายคนโตมารับตำแหน่งแทนตัวเองก็วางมือจากวงการไปใช้ชีวิตบั้นปลายได้สองสามปีก็จากไปด้วยโรคมะเร็ง เหลือเพียงบุตรชายคนโตที่ต้องบริหารดูแลทุกอย่างในวัยเพิ่งเรียบจบหมาดๆ จนหัวปั่น ถึงแม้จะฝึกงานมาตั้งแต่เด็กแต่พอทุกอย่างมาอยู่ในมือก็เล่นเอาถือแทบไม่ไหว

เหมันต์กลายเป็นคนขึ้นเหยียบแท่นประธานบริษัทตระกูลกิลลาสแทนแต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เหมันต์นั้นไม่เปิดเผยตัวต่อสังคมภายนอก มีเพียงคนไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่เคยเห็นหน้าค่าตาท่านประธานบริษัทกิลลาสในตอนนี้

และจ้าวก็อยู่ในกลุ่มคนผู้โชคดีนั่นพอดี

“จ้าว”

เจ้าของชื่อพรูลมหายใจออกแทบหมดปอด เหลือบมองคนที่ตามลงมาจากรถ ทั้งๆ ที่เขาก็พูดชัดเจนแล้วถึงสาเหตุที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใครนอกจากคุณเหมันต์

แต่ใครบางคนก็ยังคงดึงดันตามมาให้ได้ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นห่วงเขาและไม่ไว้ใจคุณเหมันต์

ซึ่งเอาเข้าจริงถ้าคุณเหมันต์คิดจะยิงเขา เขาก็คงปล่อยให้ยิงตายไปเลย ไม่โกรธด้วยซ้ำ ชีวิตทุกวันนี้ที่เขายังอยู่ต่อมาได้ก็เพราะคุณเหมันต์ ถ้าคุณเหมันต์เบื่อเขาแล้วจะฆ่าเขาทิ้ง ก็ไม่เป็นไร เขาก็เหนื่อยเต็มทีแล้วเหมือนกันกับชีวิตบ้าๆ บอๆ ตอนนี้

แต่เขาก็มั่นใจอีกนั่นแหละ ว่าเขาคนนั้นไม่ฆ่าเขาหรอก ไม่แน่ใจเหมือนกันทำไมคิดแบบนั้น แต่คนที่มีอ้อมกอดอุ่นๆ และใจดีแบบนั้นคงไม่โกหกใครหรอก

“โอเค คิง” จ้าวนั่งลงกับโซฟานุ่มแล้วสบตาคิง “กูเข้าใจมึงคิดยังไงกับกู”

คิงหน้าขึ้นสีนิดๆ เมื่อถูกชักเข้าประเด็นนี้ แต่ใจนึงก็กลัวเพราะจ้าวเอาแต่ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนหัวใจที่เต้นอยู่ในอกแทบจะขาดเป็นชิ้นๆ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่มีรอยยิ้มร่าเริงให้คนอื่นตลอดเวลาแบบนั้นจะสามารถพูดเรื่องโหดร้ายกับเขาได้มากขนาดนี้

“แต่มึงก็ต้องเข้าใจกูว่ากูไม่ใช่จ้าวคนเดิมอีกต่อไปแล้ว” จ้าวหัวเราะนิดๆ ใช้ปากกาที่วางอยู่บนโต๊ะมาเคาะปลอกคอเหล็กตัวเองดังแก๊งๆ “ตอนนี้จะว่ากูบ้าไปแล้วก็ถูก เพราะกูเปลี่ยนไปแล้ว กูไม่อยากจะมานั่งคิดเผื่อคนทั้งโลกอีก กูเบื่อแล้ว กูเจ็บมามากเกินพอแล้ว ถ้ามึงอยากให้กูกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนก็ฆ่ากูเถอะ กูทำไม่ได้หรอก”

“…”

มือเบสแห่งวงมูนไลท์พูดอะไรไม่ออก รู้สึกเหมือนคนที่ตัวเองหลงรักมาตลอดนั้นได้หายไปแล้วจริงๆ หายสาบสูญ ไม่มีทางตามกลับมาได้อีก แววตาของจ้าวที่มองเขามันช่างว่างเปล่าเหมือนตอนนั่งบนรถ

แต่มันกลับดูน่าสงสาร แววตานั่นราวกับสัตว์ที่ถูกมนุษย์ทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่หลงเหลือศรัทธาอะไรอยู่อีก

คิงสูดน้ำมูกฟึดๆ เขาแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว “มีอะไรอยากให้กูช่วย บอกกูแล้วกัน กูจะพยายามเท่าที่ทำได้ กูยังใช้เบอร์เดิมที่มึงสมัครให้”

ได้ยินดังนั้นจ้าวก็ยิ้มออกผลุดลุกขึ้นไปกอดคิงเต็มแรงและแน่นอนว่าคิงก็กอดกลับเต็มแรงเช่นกัน

“ขอบคุณนะ ที่มึงยังเชื่อใจกู”

นอกจากมิตรภาพแล้วอ้อมกอดนี้ก็ไม่ได้ความคิดอื่นแฝงอยู่อีก

“เพราะคนอย่างมึงไม่มีวันฆ่าใคร”

คิงกระซิบหลุดสะอื้นพอรู้สึกว่าตัวเองร้องไห้ก็รีบผละออกมาเพราะกลัวเสียฟอร์ม ยิ่งเห็นจ้าวยิ้มให้ตัวเองก็เหมือนจะร้องไห้ออกมา

คนบ้าอะไร ทั้งๆ ที่ยิ้มอยู่แต่ทำหน้าเหมือนโลกจะถล่มลงมา

“กูจะพยายามตัดใจจากมึงนะ จ้าว”

คิงพยายามปั้นหน้าตัวเองให้ดูดีที่สุด พยายามยิ้มถึงแม้จะยิ้มไม่ออกก็ตาม “มีอะไรโทรหากู อย่าลืม”

“อืม”

จ้าวโบกมือให้มือเบสที่ตัวเองเคยใช้เวลาหลายปีอยู่ร่วมกันอย่างใจหาย แผ่นหลังหนาที่พยายามจ้ำหนีเขาไวๆ สั่นเทาหนักเหมือนสะอื้น แน่สิ ใครบ้างล่ะ ที่โดนปฎิเสธแล้วจะไม่ร้องไห้ แต่จะให้เขามองคิงมากกว่าน้องชายก็คงเป็นเรื่องยากเกินไป เขารุ่นเดียวกันก็จริงแต่คิงอ่อนกว่าสองปีเพราะเข้าเรียนก่อนเกณฑ์ และเขาก็เป็นคนสอนเบส สอนการเข้าสังคม สอนทำอาหาร สอนแทบทุกอย่างเพราะครอบครัวคิงไม่ค่อยมีเวลาให้คิงเท่าไหร่ คิงถึงได้ตัวติดและคิดกับเขาเกินเลยขนาดนั้น แต่มันก็ผิดที่เขาเหมือนกันนั่นแหละที่ไม่เคยชัดเจน เอาแต่ให้โอกาสลมๆ แล้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่มีวันคิดเป็นแบบอื่น

เอาจริงๆ เรื่องเขาก็ผิดอีกนั่นแหละ

จ้าวฮัมเพลงในลำคอ น้ำตาหยดช้าๆ อย่างไม่รู้ตัว

เพลงแอบรัก

เพลงที่คิงที่ปกติเอาแต่เล่นเบสทั้งวี่ทั้งวัน อยู่ดีๆ ก็เอาไปให้โปรดิวเซอร์และในที่สุดมันก็กลายเป็นเพลงใหม่ในวง โดยมีชื่อคนแต่งเด่นหราเป็นมือเบส เอาจริงๆ ตอนนั้นก็เอะใจอยู่ว่าแต่งให้ผมรึเปล่า แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก ภาพที่คิงพยายามดูแลผม เอาขนมนมเนยหาน้ำหาเก้าอี้ให้ปรากฎขึ้นในหัวช้าๆ

“ใจร้ายชะมัด”

จ้าวแค่นเสียงหัวเราะ นึกตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมเขาถึงได้มีข้อผิดพลาดมากมายนัก ทำไมเขาถึงได้เก่งแต่ทำเรื่องแย่ๆ ให้คนอื่นรู้สึกไม่ดีนะ

“ร้องไห้อีกแล้ว”

เสียงทุ้มหูดังข้างหูพร้อมกับเบาะข้างๆ ที่ยวบลงเยอะมาก

“ร้องไห้ทำไม? หืม”

เหมันต์ขมวดคิ้วมุ่นไม่พอใจนักมองจ้าวที่พอโดนทักก็ยังไม่หยุดร้องอีก แล้วคนบ้าอะไรยิ้มให้คนอื่นทั้งน้ำตาแบบนี้ “จะยิ้มก็หยุดร้องไห้ก่อน เลือกเอาสักอารมณ์”

จ้าวหัวเราะใช้หลังมือปาดน้ำตาตัวเองป้อยๆ “ก็ผมดีใจนี่นาที่ได้เจอคุณ”

“ดีใจจนร้องไห้นี่ก็ไม่ไหวนะ”

ร่างหนาทิ้งตัวเอนหลังลงกับพนักพิงอย่างเหนื่อยล้า นัยน์ตาสีเทาปรือปรอยมองจ้าวด้วยความง่วงงุนเพราะยังนอนหลับไม่เต็มอิ่ม

“ว่าแต่คุณเถอะได้นอนบ้างรึยัง”

ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ที่ทำใหจ้าวรู้สึกเหมือนเรื่องร้ายๆ ทั้งหมดเหมือนไม่ได้เกิดขึ้น ตอนนี้มีเพียงแค่เขากับคุณเหมันต์ เขาที่เป็นอีกาบาดเจ็บที่ไปซุกซ่อนใต้เงาที่ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งอย่างคุณเหมันต์

“ฮึก”

“ร้องอะไรอีก”

จ้าวหัวเราะทั้งๆ ที่น้ำตายังไหลไม่หยุด “ขอบคุณที่คุณเหมันต์ช่วยผมนะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะคงตายไปตั้งนานแล้ว”

สุดท้ายเหมันต์ก็ต้องทิ้งความง่วงของตัวเองมานั่งดีๆ จ้องอดีตนักร้องที่ตัวเองเคยชอบเขม็ง ลอบสำรวจร่างกายอีกฝ่าย พอเห็นชัดๆ ก็รู้สึกแย่กับรอยช้ำตามตัวเต็มไปหมด จ้าวไม่คิดจะดูแลตัวเองเลย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเป็นคนดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้าแท้ๆ แบรนด์ดังหลายแบรนด์ก็ดึงตัวไปเป็นพรีเซนเตอร์ได้ใช้ของฟรีๆ ไปตั้งหลายปี

“ถอดเสื้อ”

“เอ๋” จ้าวทำหน้าเหรอหรา “อะไรนะครับ”

“ถอดเสื้อ” เหมันต์กล่าวย้ำด้วยสีหน้านิ่งสงบเหมือนกับว่าตัวเองพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ

“…แต่”

“ไม่มีแต่ ถอดเสื้อสักที หรือจะให้ฉันถอดให้”

ร่างสูงกว่ากอดอกพูดด้วยสีหน้าทะมึนขึ้น การนอนน้อยทำให้ความอดทนของเหมันต์ต่ำมาก ถ้าหากจ้าวยังดื้ออีก เขาเนี่ยแหละที่จะถอดให้เอง

“…ก็ได้ครับ” จ้าวหดคอหวาดๆ หน้าขึ้นสีแต่ก็ยอมถอดเสื้อยืดไม่มีลายที่เพิ่งเปลี่ยนเมื่อกี้ออก เผยให้เห็นร่างกายซูบผอมที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำที่ยังไม่หายดี โดยเฉพาะบริเวณข้อมือที่เป็นรอยช้ำม่วงอย่างน่ากลัว เรียกได้ว่าดูรวมๆ แล้วไม่ได้ทำให้เหมันต์อารมณ์ดีขึ้นสักนิด

“หันหลัง”

น้ำเสียงของประธานบริษัทกิลลาสตอนนี้น่ากลัวจนจ้าวรีบทำตามอย่างเคร่งครัด

“สักด้วยเหรอ?”

จ้าวสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกมืออุ่นร้อนลูบบริเวณรอยสักตัวเอง

“ครับ”

ร่างซูบผอมหลับตาลงรู้สึกผ่อนคลายลงอย่างประหลาดกับมือที่กดบริเวณช่วงเอวที่มีขี้แมลงวันอยู่สองเม็ด

“อีกาที่ถูกแทง? สวยดีนะ”

“…”

จ้าวไม่ได้ตอบเพียงพยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วย

“แล้วรอยช้ำนี่ได้มาได้ยังไง? โดนพวกคนในคุกทำร้ายมางั้นเหรอ” เหมันต์หลุดถามไปอย่างหงุดหงิด ทำไมคนที่ดีและสมควรยืนอยู่บนจุดสูงสุดอย่างจ้าวถึงต้องโดนฉุดกระชากทำร้ายให้มาอยู่ในสภาพนี้นะ

มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย..

สิ่งที่ท่านประธานบริหารสูงสุดไม่ได้สังเกตคือสีหน้าของจ้าวที่กลับไปนิ่งสงบว่างเปล่า

“เปล่า ผมทำตัวเอง”

คำพูดของเหมันต์กำลังขุดคุ้ยอดีตอันเลวร้ายของจ้าวในคุกขึ้นมาพร้อมกับตัวตนอีกตัวตนที่จ้าวพยายามกดมันไว้ตลอดแต่มันก็หลุดออกมาแทบจะทุกครั้งที่มีคนไปสะกิดเรียกมัน

“ผมอยากตาย ผมก็เลยพยายามทำร้ายตัวเอง”

จ้าวพูดน้ำเสียงเรียบนิ่งหันมาสบตากับนัยน์ตาสีเทาที่แฝงความประหลาดใจ รอยยิ้มร้ายปรากฎบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว

“ผมทรมาน ผมไม่อยากอยู่ ผมทนไม่ได้กับการเจ็บปวดซ้ำๆ ทุกครั้งที่ผมนอน ผมจะฝันถึงอดีตของผมที่มันไม่วันเกิดขึ้นอีก ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย ผมไม่เข้าใจ”

ใบหน้าของจ้าวเริ่มมีเค้าความเจ็บปวด มือข้างนึงเผลอจับแขนตัวเองและบีบแน่นจนเกิดเป็นรอยช้ำม่วงเช่นเดียวกับบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย

“แต่ความเจ็บปวดก็ทำให้ผมรู้สึกดี มันทำให้ผมมีความหวังว่าผมอาจจะตายและรอดพ้นจากนรกแห่งนี้สักที แต่ผมก็ไม่ตาย… ไม่ตายสักที ทั้งๆ ที่ผมอยากตายจะตาย แต่ผมก็ไม่ตาย ผมไม่เคยอยากอยู่ คุกที่นั่นยังกับนรก ทุกคนเอาแต่รังเกียจผม หาว่าผมบ้า ถ้าพวกเขาโดนเหมือนผม เขาก็บ้าเหมือนกันนั่นแหละ ฮึก ผมไม่ได้ทำอะไรผิด พวกเขามาติดคุกส่วนใหญ่ก็ทำตัวเองกันทั้งนั้น แล้วผมล่ะ ผมทำอะไร ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนี้”

สติของจ้าวเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความคลุ้มคลั่งที่ซุกซ่อนในใจเริ่มปรากฎ นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครรู้ว่าจ้าวเป็น ความเจ็บปวดทางจิตใจที่มากพอจนทำให้คนเสียสติ ไม่ใช่คำกล่าวลอยๆ แต่มันเกิดขึ้นแล้วกับจ้าว

เพียงแต่ทุกครั้งจ้าวจะกดมันลงไปได้ก่อนที่ทุกคนจะเอะใจและโยนจ้าวเข้าไปในโรงพยาบาลจิตเวช

“จ้าว”

เสียงทุ้มเรียกพร้อมกับดึงมือของจ้าวมากุม

แต่ก็ไม่ได้ผลเพราะจ้าวจิกเล็บเข้าไปในมือเหมันต์แน่นจนเลือดซึม

“ผมไม่ได้บ้า”

จ้าวพึมพำแววตาหม่นหมองจนคนมองทนแทบไม่ได้

“จ้าว”

เหมันต์ดึงตัวจ้าวเข้ามากอดอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ ตัวของจ้าวในตอนนี้นั่นดูเปราะบางจนแทบจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ ถึงจะพยายามแสดงความเข้มแข็งมากขนาดไหนแต่ก็ไม่อาจปกปิดความเป็นจริงที่จ้าวเคยแตกสลายไปแล้วได้

“อยู่ที่นี่ปลอดภัย ไม่ต้องห่วง”

พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับกำลังปลอบสัตว์ที่กำลังบาดเจ็บและหวาดกลัวกับทุกอย่างในโลกอันโหดร้ายนี้ มือหนาดึงหัวจ้าวมาซุกกับอก พยายามถ่ายเทความอบอุ่นให้กับร่างเย็นเฉียบที่ตัวสั่นเทาจนน่ากลัว

  “ฮึก ผมไม่ได้บ้า”

จ้าวคร่ำครวญสะอื้นจนตัวโยน กอดร่างอุ่นๆ แน่นแต่ก็ยังคงไม่ได้สติ

“จะทำยังไงดี ฮึก ไม่ยอมตายสักที”

“ก็อยู่ต่อไปสิ”

“ฮึก ไม่อยาก”

“อยู่เถอะ ถือว่าฉันขอ” เหมันต์ลูบหัวจ้าวและกดจูบเบาๆ ที่หน้าผากแล้วยิ้มละมุนให้กับจ้าวที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “พี่เหมันต์อยู่ตรงนี้กับน้องจ้าวแล้ว ไม่มีใครทำอะไรจ้าวได้แล้ว”

ว่ากันตามตรงเหมันต์กำลังใช้วิธีปลอบเดียวกับน้องชายวัยเจ็ดขวบของตัวเองตอนที่ไล่น้องให้ไปนอนแต่น้องไม่กล้าไปนอนเพราะกลัวผี (เพิ่งดูสกูปปี้ดู ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่ามันน่ากลัวตรงไหน)

แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ผล น้องร้องว้ากใส่หน้าเขาแล้วก็วิ่งเข้าห้องนอนเขาเสียอย่างงั้น

ตอนนี้เขาก็ได้แต่หวังว่าน้องจ้าวจะเชื่อวิธีการหลอกเด็กที่แม่เขาสอนมาบ้าง

“ฮึก จริงเหรอ”

ราวกับว่าจ้าวคนที่เหมันต์รู้จักนั้นหายไปเหลือเพียงเด็กที่ถูกทำร้ายจนไม่กล้าเชื่อใครอีก นัยน์ตาโศกคู่สวยนั้นมองเขาตาแป๋วเหมือนเด็กๆ

“จริงสิ” เหมันต์พยายามเล่นต่อ “พี่เหมันต์เก่งและรวยมาก มันไม่กล้าเข้ามาหาจ้าวถึงในบ้านหรอก”

“แล้ว แล้วพี่เหมันต์จะทิ้งผมเหมือนคนอื่นไหม”

พูดถึงตรงนี้จ้าวก็สะอื้นจนตัวโยนเล่นเอาเหมันต์ตั้งรับแทบไม่ทันเพราะไม่คิดว่าจ้าวจะมีปมอื่นซ่อนไว้ในใจเพิ่มอีก นอกจากตัวตนที่แสนบ้าคลั่งนี่แล้วยังจะมีเรื่องโดนทิ้งอีก

ให้ตาย..

“ไม่ทิ้งแน่นอนครับ”

เหมันต์ลูบหัวจ้าวที่ตอนนี้เริ่มยิ้มออกทำให้ท่านประธานบริษัทกิลลาสลอบสาบานในใจ

ต่อให้คนทั้งโลกทอดทิ้งจ้าว เขาเนี่ยแหละที่จะเป็นคนปกป้องจ้าวเอง ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรก็ตาม

เพราะเขาเชื่อว่าจ้าวไม่ ‘ฆ่า’ ใครอย่างแน่นอน



ผ่านช่วงบ่ายไปอย่างโชกโชนในที่สุดจ้าวก็ตื่นขึ้นมาในห้องทำงานของเหมันต์ สติเริ่มกลับมาชัดเจนพร้อมกับความทรงจำที่ชัดเจนในหัวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ทั้งเรื่องที่เขาเผลอทำให้ตัวตนที่ซ่อนไว้ส่วนลึกของจิตใจโผล่ออกมา

กับจูบ..

หน้าจ้าวขึ้นสีแดงก่ำรู้สึกเขินจนทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าลืมตาเพราะได้ยินคุณเหมันต์คุยโทรศัพท์เสียงเบาอยู่ใกล้ๆ ถึงจูบนั่นจะแค่หน้าผากก็เถอะ แต่เชื่อไหมว่าเขายังไม่เคยมีแฟนและโดนใครจูบเลยนะ!

ช่วยไม่ได้ดนตรีมันน่าหลงใหลเกินไป เขารักเสียเพลง แฟนคลับ มากกว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวที่เวลาเกิดปัญหาทีอาจจะกระทบถึงงานที่เขารัก อีกทั้งทางค่ายก็ห้ามวงเขามีแฟนด้วยถ้ามีก็ต้องมีลับๆ ปิดข่าวอย่างแน่นหนา ไม่อย่างนั้นจะโดนดีดออกจากค่ายหรือไม่ก็โดนพักงานยาวๆ ฉะนั้นเขาจึงตัดปัญหาตั้งแต่ต้นลมด้วยการไม่มีแฟนซะ

ไม่สิ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องมาคิด สิ่งที่เขาต้องกังวลจริงๆ คือคุณเหมันต์ต่างหาก

“ตื่นแล้วก็มานี่ ไม่ต้องแกล้งหลับ”

เป็นครั้งแรกที่จ้าวอยากร้องไห้เพราะโดนเรียกตัว แต่ก็ยอมลุกขึ้นจากโซฟานุ่มนิ่มไปนั่งเก้าอี้ที่ตั้งหน้าโต๊ะทำงานขนาดใหญ่โดยมีคุณเหมันต์นั่งไขว่ห้างอ่านเอกสารบางอย่างที่ดูจะเข้าใจยาก

“เป็นไงบ้าง”

เหมันต์ถามเสียงราบเรียบไม่ละสายตาจากเอกสารสัญญาว่าด้วยการยืมตัวพนักงานจากสาขาประเทศไทยไปประจำชั่วคราวในสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็ไม่รู้ตัวสักนิดว่าสร้างความประหม่าให้กับใครบางคนอยู่

“ก็ดีครับ”

จ้าวก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา

“ดีนี่หมายความว่าไง”

“ก็.. ก็สบายดีครับ ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่แล้ว”
   
เสียงตอบกระอึกกระอักทำให้เหมันต์ขมวดคิ้ววางเอกสารลงแล้วมองจ้าวก็พบว่าอีกฝ่ายหน้าแดงจนถึงหูเลยทีเดียว
   
“เป็นไข้เหรอ”
   
น่าเสียดายที่สมองอันปราดเปรื่องแบบเดียวกับบิดาของเหมันต์นั่นกลับโง่งมเรื่องง่ายๆ ความสัมพันธ์ทั่วไปซะเหลือเกิน แต่ในทางกลับกัน เหมันต์กลับจับโกหกกับอารมณ์ของคนได้เก่งมาก แทบไม่มีใครสามารถโกงหรือเล่นตุกติกกับเหมันต์ได้สักครั้ง จนถ้าบิดาของเหมันต์เป็นพ่อมดตลาดหุ้น เหมันต์ก็คงเป็นพ่อมดอีกคนที่เก่งกาจเอาเรื่อง
   
“เปล่าครับ”
   
จ้าวกำมือแน่น รู้สึกไม่เข้าใจคุณเหมันต์เท่าไหร่ ทั้งๆ ที่เพิ่งทำอะไรแบบนั้นไปแต่กลับไม่มีท่าทีเขินอายหรือจะจำได้สักนิด อะไรกัน นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนเพิ่งรู้จักกันทำกันหรอกนะ
   
“แล้วเป็นอะไร”
   
“..ก็คุณเหมันต์เอ่อ จูบผม”
   
เหมันต์ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมก่อนจะคิ้วจะคลายออกเมื่อนึกออก “อ๋อ จูบหน้าผากนั่นน่ะเหรอ ฉันใช้หลอกน้องชายฉันบ่อยๆ นะ เลยคิดว่าน่าจะใช้กับจ้าวได้เหมือนกัน”
   
“..ฮื่อ คราวหลังไม่ต้องนะครับ”
   
จ้าวหายเขินลงมานิดหน่อย แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องอยู่ดี
   
“คุณเหมันต์เคยทำแบบนี้กับคนอื่นไหมครับ”
   
“ไม่ ฉันไม่ค่อยได้คุยกับใครเท่าไหร่”
   
เหมันต์ยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นจ้าวยังคงหน้าแดง ดูน่าเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก แต่เขากับจ้าวก็ห่างกันคราวลูกพี่ลูกน้องเลยทีเดียว นึกถึงตอนจ้าวอยู่ม. หนึ่ง จับไมค์แล้วร้องเพลงเจื้อยแจ้วบนเวทีก็ทำให้เขาคิดถึงตอนนั้นเป็นบ้า จ้าวตอนนั้นเสียงใสกว่าตอนนี้อีก ร้องเพลงแบบร่าเริงสุดๆ มีสาวๆ แฟนคลับติดกันเป็นพรวน
   
จ้าวกระแอมเบาๆ เรียกความสนใจคุณเหมันต์ที่ไม่รู้ว่าเหม่อไปไหน “แล้วคุณเหมันต์จะให้ผมทำอะไรครับ ผมไม่อยู่เฉยๆ แบบงอมืองอเท้าหรอกนะ”
   
พอเข้าประเด็นนี้เหมันต์ก็ยิ้มมากกว่าเดิมอย่างพึงพอใจเพราะเป็นสิ่งที่ต้องการจะพูดพอดี
   
“ฉันจะทวงคืนความยุติธรรมให้เธอ”
   
“หมายความว่ายังไงครับ” อดีตนักโทษเอามือแตะปลอกคอตัวเองอย่างเผลอไผล ความหวาดกลัวสังคมภายนอกถาโถมเข้ามาจนหน้าซีด
   
“ก็ตามที่ฉันพูด”
   
เหมันต์พูดนิ่งๆ หยิบภาพหนึ่งจากเก๊ะขึ้นมาวางบนโต๊ะและเลื่อนมันให้จ้าว
ซึ่งจ้าวก็หยิบมันขึ้นมาดูทันที
   
“…ผมไม่เข้าใจ”
   
ภาพที่อยู่ในมือจ้าวเป็นภาพที่จ้าวตอนสวมหน้ากากอีกาเล่นเบสอยู่นอกร้าน Sin of Lion
   
ท่านประธานบริษัทฉีกยิ้มเย็นเยียบ นัยน์ตาสีเทาฉายชัดถึงความโกรธที่ปะทุขึ้นมาจากความไม่พอใจ
   
“ฉันจะไม่ยอมให้เธอต้องตกเป็นเหยื่อของใคร”
   
“ผม..”
   
หัวใจของจ้าวอุ่นวาบขึ้นมานิดๆ ที่จะมีคนทวงที่ยืนในสังคมตัวเองกลับมาให้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังกลัวมากๆ อยู่ดี ทุกคนสำหรับเขากลายเป็นคนแปลกหน้าและน่ากลัวไปแล้ว ใครล่ะจะอยากฟังคำแก้ตัวของฆาตกรอย่างเขา
   
ยิ่งกับหลักฐานครบครันนั่นอีก เรียกได้ว่าพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
   
“ไม่ต้องกลัว ไม่มีใครหาเธอเจอหรอก”
   
เหมันต์ยิ้มมั่นใจ
   
“คุณเชื่อผมเหรอว่าผมไม่ได้ฆ่า”
   
จ้าวถามเสียงแผ่วเผลอกำปลอกคอตัวเองแน่น
   
“อืม จ้าวไม่ฆ่าใครหรอก พี่เชื่อ”
   
“แล้วพี่อยากรู้รึเปล่าว่า…ใครทำ”
   
แววตาของจ้าวสั่นไหว ลังเลอีกครั้งทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองพูดมันออกไปได้ แต่ก็ยังลังเล ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเหลือเยื่อใยไว้ทำไมในเมื่อเขาคนนั้นไม่เคยเห็นค่าของมันสักครั้ง
   
“ถ้าอยากบอกก็บอก พี่ไม่บังคับ”
   
เหมันต์ยังคงยิ้มเย็นเยียบ
   
“แต่ถ้าบอก พี่จะช่วยลากคอมันออกมาเอง”

--------------------------

หลังจากนี้น้องจ้าวจะเป็นฝ่ายล่าบ้างแล้ว  :katai5:

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-04-2018 15:42:27 โดย Foggy Time »

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่เหมันต์ช่วยน้องจ้าวด้วยนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด