(ต่อ)
เชษฐ์ไชยพาวิริยะอ้อมเดินจากหลังบ้านไปยังหอพักเลย เพราะขี้เกียจตอบคำถามของทั้งแม่ต้อยและรตรีว่าไปทำอะไรกันมา เมื่อไปถึงหน้าห้อง เห็นเด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาควานหากุญแจในกระเป๋า บนแก้มยังคงไม่หายแดงแม้ว่าบนตัวจะเปียกไปด้วยน้ำทั้งคู่ ชายหนุ่มไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายกำลังร้อน เพราะเจ้าตัวไม่กล้าแม้กระทั่งสบตาเขาด้วยซ้ำ
สงสัยยังอาย เห็นแล้วคนตัวโตกว่าก็เพียงยิ้ม ยกมือสางผมเปียกยุ่ง ๆ ของเด็กหนุ่มให้
ผู้ถูกกระทำเงยมามองแวบหนึ่ง แล้วหลุบมองมือของตัวเองที่กำลังตั้งใจไขกุญแจ
“ไม่รู้เลยนะว่าจะขี้อายได้ขนาดนี้” ชายหนุ่มพูด
คนฟังย่นคิ้ว
“ใครจะไปหน้าด้านหน้าทนอย่างอาเชษฐ์ล่ะ ไม่รู้จักอาย เกิดใครมาเห็นเข้าจะทำยังไง”
“ก็...ขอโทษ บอกแล้วไงว่าจะไม่ทำอีก สัญญาเลย” ว่าพลางจะฉวยโอกาสจับมือ หากทว่าเด็กหนุ่มรู้ทัน รีบสะบัดออกแล้วหันมาโวยวาย “ไม่ต้องมาเนียนเลย แล้วอย่างนี้ใครมันจะไปเชื่อวะ นี่ขนาดกำลังพูดอยู่แท้ ๆ ยังจะตีหน้ามึนไม่รู้ร้อนรู้หนาวอีก”
“ย้ายไปอยู่ด้วยกันที่บ้านสิ”
เมื่อได้ยินเชษฐ์ไชยเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาเสียดื้อ ๆ วิริยะถอนหายใจเหนื่อย “อาเชษฐ์...”
“ทำไม รึว่าไม่อยากอยู่กับพี่”
“อย่าแทนตัวเองว่าพี่สิ เดี๋ยวคนอื่นมาได้ยินเข้า”
“ไม่ต้องมาเฉไฉเลยนะ” เชษฐ์ไชยยังคงไม่ยอม ขยับเข้าหาเด็กหนุ่มที่ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ “ก็คุยกันเข้าใจตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่ เราใจตรงกันไม่ใช่เหรอวิว ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องยากด้วยล่ะ”
“ก็เพราะอาเชษฐ์ใจร้อนเกินไปไง ทุกอย่างไม่ต้องให้มันง่ายไปซะหมดก็ได้นี่นา”
“ก็เพราะรู้ไง ต่อจากนี้มันจะไม่มีอะไรง่ายอีกต่อไปแล้ววิว เธอมาอยู่ข้างพี่ แล้วเป็นกำลังใจให้พี่ผจญเรื่องยากข้างหน้าเสียตอนนี้ไม่ได้เหรอ บอกมาซิ...อะไรทำให้เธอกังวลใจ พี่จะแก้ไขให้” ได้ฟังน้ำเสียงทุ้มนุ่มของเชษฐ์ไชยแล้ว เด็กหนุ่มทำได้เพียงสบตา ปล่อยให้มือหนาของอีกฝ่ายเคลื่อนมากุมจับประสานในความเงียบ สื่อความหมายของประโยคที่ผ่านมา
พูดไม่ออกเลย
“ที่พูดมาเวิ่นเว้อทั้งหมดเนี่ย คือพี่อยากจะครอบครองเธอ ป่าวประกาศว่าเธอเป็นของของพี่ให้ใครต่อใครรู้ เรื่องเมื่อคืนพี่ไม่ได้พูดเล่น ๆ นะวิว เธอคือคนของไร่รุ่งอรุณีไปแล้ว แล้วใครต่อใครก็ต้องได้รู้ในเร็ววันนี้ว่าวิวเป็นอะไรกับพี่”
ไม่ได้! วิริยะส่ายหน้าระรัวแต่ก็พูดไม่ออก เขาจะให้เชษฐ์ไชยทำอย่างนั้นไม่ได้ เท่ากับว่าตั้งระเบิดเวลาทำลายตัวเองเพื่อเขา แต่เมื่อเห็นความตั้งใจของอีกฝ่ายแล้ว วิริยะก็ไม่อาจหาญพอที่จะเอ่ยปฏิเสธไปในทันที
ในขณะที่ทั้งสองเถียงกันด้วยสายตา ก้อนน้ำภายในลูกโป่งสีสันสดใสหลายลูกก็ถูกปามาทิศนี้ โดนตัวใหญ่ของเชษฐ์ไชยแล้วแตกกระจายจนวิริยะสะดุ้งโหยงตกใจ
“อะไรอีกวะเนี่ย!” เชษฐ์ไชยบ่น ทั้งสองหันไปตามที่มาของมัน เป็นกลุ่มชายหนุ่มทั้งเจ็ดที่ยืนอยู่หลังรถกระบะของไร่ กำลังถอดเสื้อ สวมใส่เพียงกางเกงขาสั้น บ้างก็ถือปืนฉีดน้ำอันใหญ่ บ้างก็ถือขันพลาสติกยืนยิ้มเเฉ่งให้อยู่
เจ็ดหนุ่มบอยแบนด์
“แอบไปเล่นน้ำไม่ชวนพวกเราเหรอครับนายเชษฐ์!” ไทตะโกน
วิริยะหน้าเริ่มแดง มองเชษฐ์ไชยสลับกับพวกพี่ ๆ เพราะรู้สึกว่ามีบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ หากทว่าดำกระโดดลงจากรถ สภาพแขนเดียวอย่างนี้ยังไม่สน แถมเอาอะไรไม่รู้พันแขนไว้ราวกับเป็นมัมมี่ วิ่งมาหาพวกเขาด้วยใบหน้าอย่างเดิม ไม่ได้มีทีท่าแปลกไปจากเมื่อก่อน “นายเซษฐ์ วิว ไปเล่นน้ำที่เขื่อนกันครับ มื้อนี้คนเล่นหลาย ไปเถอะ ไหน ๆ กะเปียกกันมาแล้ว”
“ไม่ไป” เชษฐ์ไชยหน้าบึ้ง อารมณ์เสียที่คุยกันยังไม่จบ
“ผมไป รอแป๊บนะ ไปเอาหมวกกับเสื้อแขนยาวก่อน” พูดจบ วิริยะก็รีบหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องพัก ไม่ถงไม่ถามสุขภาพของคนพี่สักคำ ปล่อยให้เชษฐ์ไชยอึ้ง อดจะหันไปมองหน้าของดำที่กำลังกลั้นขำไม่ได้ มันคงรู้ว่าเขาอยากจะเปลี่ยนใจตามวิริยะไปแน่
“ไปบ่ครับ เปลี่ยนใจยังทันเด้” ดำล้อ
“เออ!” เชษฐ์ไชยมุ่นคิ้ว ผละไปมองไอ้พวกลิงที่กำลังสนุกสนานแกล้งกันบนรถแล้วทอดถอนใจ “แล้วยกโขยงไปกันเนี่ย ขออนุญาตกูกันรึยัง รถกูก็พาขโมยกันมาเสร็จสรรพ ไอ้พวกโจรห้าร้อย”
ดำยิ้มเผล่ “พวกมันว่าบ่ต้องขอ จั่งใด๋นายเซษฐ์กะให้ไปอยู่แล้ว”
“หน็อย ไอ้พวกเวร ได้คืบแล้วจะเอาศอก” เชษฐ์ไชยบ่น
“แต่นายเชษฐ์บ่ต้องห่วงเรื่องพวกเฮาสิเอาเรื่องของนายเซษฐ์ไปเว้าเด้อ พวกดำอยู่ข้างนายเซษฐ์ ฮู้ว่านายเซษฐ์สิบ่เก็บไว้เป็นความลับแน่นอน” หนุ่มอีสานบอกด้วยความยินดีที่จะเล่า เมื่อพวกเขาเจอกันอีกครั้งตอนเช้า หลังได้นอนขบคิดไตร่ตรอง ทั้งหมดก็ได้ปรึกษาหารือกันแล้วว่าเชษฐ์ไชยไม่ผิดที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ พวกเขาเต็มใจที่จะสนับสนุนให้เชษฐ์ไชยมีความรัก แม้ว่าใครจะไม่เห็นด้วยก็ตาม
“ขอบใจ...” มือหนาของเจ้านายตบเปาะบนบ่าของดำ แล้วเดินออกไปรอที่รถโดยไม่พูดอะไรต่อให้มากความ ปล่อยให้ลูกน้องที่อายุน้อยกว่าอยู่มุมนี้ยิ้มด้วยความดีใจ แม้จะไม่เอ่ยอะไรมาก แต่ดำรู้ว่าเชษฐ์ไชยรู้สึกดีที่ตัวเองไม่ได้เดียวดายอย่างที่คิด
“คั่นพ่อแม่วิวเอาเรื่องมื้อใด๋ เดี๋ยวดำสิเอาโอเลี้ยงไปฝากที่คุกเด้อ!”
คนฟังหันมาชูนิ้วกลางให้ พร้อมกับดำที่หัวเราะคิกหลังจากแซวเสร็จ เชษฐ์ไชยยังคงเป็นเชษฐ์ไชย แม้จะมีความรัก แม้จะแพ้ให้กับเด็กอายุแค่สิบเจ็ดหน้าตาน่าเอ็นดู ก็ยังคงดิบเถื่อนเหมือนเดิม เป็นเจ้านายคนเดิม แค่แสดงออกต่อเขาเท่านี้มันก็ดูเลี่ยนเกินไปแล้ว สำหรับผู้ชายด้วยกัน
เมื่อวิริยะเสร็จธุระแล้วก็ตามมาขึ้นรถ เจ้าตัวหน้างอเล็กน้อยเมื่อเชษฐ์ไชยบังคับให้มานั่งข้างหน้าด้วยกัน คงอยากจะไปสนุกอยู่กับพวกพี่ด้านหลังมากกว่า นายใหญ่ของไร่ลงจอดที่หน้าบ้านตัวเองเพื่อหยิบของใช้ส่วนตัว และอะไรจิปาถะด้วยเช่นกัน เพราะเห็นว่าวิริยะไม่รอบคอบนักก็เลยหยิบผ้าขนหนู และเสื้อผ้ามาเผื่อ เผื่อว่าอีกฝ่ายจะเล่นน้ำจนหนาวแล้วอยากเปลี่ยนผ้าขึ้นมา
เดินกลับมาที่รถ เห็นวิริยะไปอยู่ข้างหลังรวมกับพวกลิงรุ่นพี่เรียบร้อยแล้ว เชษฐ์ไชยถอนหายใจ สรุปชวนให้เขาไปเป็นคนขับรถให้พวกมันหรอกหรือ นี่ถ้าวิริยะไม่อยู่ด้วย เขาจะแกล้งขับเร็ว ๆ แล้วเทกระจาดพวกมันให้สมกับความหมั่นไส้ แต่ความเป็นจริงน่ะหรือ เสียงบ่นด้านหลังได้ยินแว่ว ๆ ว่าขับรถหรือขับเต่า ช้าเหลือเกิน เมื่อไรจะไปถึงที่หมายกัน
ผิดด้วยหรือไงที่เขาเป็นห่วงเมีย กลัววิริยะเป็นอันตราย
ตลอดทางเชษฐ์ไชยเหลือบมองวิริยะตลอด ครั้นเห็นเด็กหนุ่มสนุกสนานยามอยู่ร่วมกับเจ็ดหนุ่มบอยแบนด์แล้วก็พลอยทำให้คนในรถยิ้มตามไปด้วย สองข้างทางมีเด็กและกลุ่มคนตั้งถังน้ำรออยู่หน้าบ้าน ชายหนุ่มชะลอให้ได้เล่นน้ำกัน แต่เมื่อไรถึงบริเวณที่มีกลุ่มวัยรุ่น ไม่ว่าจะชายหรือหญิง เชษฐ์ไชยเหยียบขับผ่านฉิวโดยไม่สนว่าคนด้านหลังรถจะโวยวายกันขนาดไหน เป็นคนขับมันก็ดีอย่างนี้
มาถึงอ่างเก็บน้ำสมใจอยากของเจ็ดหนุ่ม วิริยะอ้าปากหวอกับบรรยากาศเบื้องหน้าที่มีเขาลูกใหญ่ บริเวณสันเขื่อนที่ใช้เป็นตำแหน่งกักเก็บน้ำเป็นถนนลาดยางผ่านยาวเป็นกิโลเมตร น้ำในเขื่อนไม่ได้แห้ง มีคนกำลังเล่นกันอยู่ ด้านบนสันมีรถจอดกันอยู่หลายคัน บริเวณถนนนั้นเริ่มมีผู้คนเดินเล่นน้ำกันบ้างแล้ว เชษฐ์ไชยพาทุกคนขับขึ้นสันเขื่อนไปจอดที่ริมถนนแถวนั้นบ้าง จะได้ปล่อยพวกลิง ๆ ลงไปเล่นน้ำกัน
ขอบถนนจะมีเสาขาวดำขนาดเอวตั้งเรียงกันไปจนสุด ข้างล่างจะเป็นทางเบี่ยง ต่ำกว่าสันเขื่อนราวสิบห้าเมตรได้ สำหรับคนที่ต้องการไปยังอีกฝั่งของเขื่อน เพราะด้านบนมีกิจกรรมสำหรับเล่นน้ำกัน จะเดินทางผ่านคงไม่สะดวกเท่าด้านล่าง ด้านฝั่งที่มีน้ำ จะเป็นหินก้อนใหญ่เรียงกันสวยงามไปจนสุดทาง เป็นที่สำหรับคนแวะมาตกปลา และให้ใครนั่งพักผ่อนหย่อนใจ
ดูเหมือนเจ็ดหนุ่มจะฮอตเป็นพิเศษ เมื่อรถจอดก็มีสาว ๆ มารุมขอปะแป้งกันยกใหญ่ เป็นใครก็คงชอบ ขนาดวิริยะเองยังรู้สึกเลยว่าพวกพี่ ๆ ของเขาดูหล่อเหลาเป็นพิเศษเมื่อถอดเสื้อ ไม่แปลกเมื่อใครเห็นแล้วพากันกรี๊ด พลอยให้นึกถึงพี่สาวทั้งสามที่กลับบ้านเกิดกัน
ทั้งหมดไม่ได้ไปไหน นอกจากวิ่งเล่นแถว ๆ รถจอด ยิ่งนานไปคนยิ่งเยอะมากขึ้นจนถนนแน่นขนัดไปด้วยผู้คนผู้ปอนเปียกไปด้วยน้ำ ไม่ต่างจากตรอกใดตรอกหนึ่งในเมืองใหญ่นัก เห็นแล้ววิริยะรู้สึกตื่นตาตื่นใจ
“ขอปะแป้งหน่อยได้ไหมครับ” หนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า ยิ้มแป้นแล้นให้วิริยะ
“ได้ครับพี่”
วิริยะเตรียมแป้งในมือจะทาให้อีกฝ่ายคืนบ้าง หากทว่าผู้มาขอปะแป้งที่ยิ้มอยู่นั้น หน้าเจื่อนลง เมื่อเหลือบไปเจอะอะไรอยู่ด้านหลัง เด็กหนุ่มมองตามสายตานั้น เห็นคนตัวยักษ์ยืนพิงรถยนต์หน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับต้องการกินเลือดกินเนื้อ แถมสวมแว่นดำอย่างกับพวกมาเฟียจ้องพวกเขาเขม็งคล้ายว่าทำอะไรผิดไป “พะ พี่ว่าพี่ไปดีกว่า”
“เอ้า...” วิริยะเกาหัว หน้ายุ่ง เดินไปหาเชษฐ์ไชยที่ยังคงไม่เลิกวางท่าเป็นคนดุ “อาเชษฐ์ ยิ้มหน่อยสิ”
เชษฐ์ไชยส่ายหน้า “เกี่ยวอะไรละ จะเล่นน้ำก็เล่นไปสิ”
“ก็อาเชษฐ์ทำหน้าดุ คนเขากลัวกันหมดแล้ว” วิริยะอธิบาย เมื่อเห็นพ่อคนหน้าโหดยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้ เด็กหนุ่มก็ดึงให้มาหยุดยืนข้าง แล้วยื่นปืนฉีดน้ำให้ “เอ้า มาเล่นด้วยกันนี่แหละ”
“อะไร ไม่เล่น พี่ไม่ใช่เด็กแล้วนะ” เชษฐ์ไชยส่ายหน้า
“งั้นก็ทำหน้าดี ๆ สิ”
“ก็มันดีได้แค่นี้นี่ จะเอาอะไรอีก” เชษฐ์ไชยยังคงเถียง เห็นแล้ววิริยะก็เพียงแค่มุ่นคิ้วเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตามใจ หน้าจ๋อยลงไปพักหนึ่งเท่านั้นก็ผุดยิ้มกวน วิ่งไปขอขันดินสอพองของพี่ ๆ มา แล้วทำท่าจะป้ายหน้าให้ เชษฐ์ไชยรู้ทันรีบเบี่ยงหน้าหลบ ไม่ยอมให้วิริยะทำตามใจ แต่พอเห็นเด็กหนุ่มหน้างออีกรอบ ก็จำต้องยอมหยุดยืนนิ่ง ๆ ปล่อยให้เจ้าตัวละเลงหน้าจนกว่าจะพอใจ
ให้ตายซี สงสัยได้เข้าอีหรอบเดิมแน่ รักใครก็หลงตามใจตลอด
“เสร็จแล้ว” เสียงของวิริยะสดใสขึ้น “คราวนี้คนจะได้ไม่กลัว”
เชษฐ์ไชยเข้าใจผิดไปว่าอีกฝ่ายจะละเลงหน้า แต่ไม่เลย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิริยะทำอะไรลงไปบ้าง กระทั่งไอ้พวกลิงทั้งเจ็ดหันมาเห็น พากันสะกิดดูแล้วหัวเราะกันก๊ากใหญ่ เขาถึงรำลึกได้ว่ามันคงน่าอายมากแน่ ไม่น่าไปยอมตามใจไอ้เด็กตรงหน้าเลย คิดแล้วชายหนุ่มก็หมุนตัวกลับมาส่องที่กระจกรถ ชะงักกึกไปพักหนึ่งเมื่อเห็นสภาพตัวเอง
วิระยะวาดตายิ้มเป็นสระอิใส่บนแว่นตาดำทั้งสองข้างให้ เพื่อภาพลักษณ์ที่ดูเป็นมิตรขึ้น แถมหนวดสามเส้นเป็นแมวเหมียวให้ด้วยทั้งสองข้าง กับจุกกลมที่ปลายจมูกอีกหนึ่งที่ เปลี่ยนจากเสือตัวใหญ่กลายเป็นโหมดมุ้งมิ้งได้ฉับพลันจนไอ้ลิงทั้งเจ็ดนอนกลิ้งขำกันยกใหญ่ เชษฐ์ไชยส่ายหน้า จะลบก็เห็นวิริยะยืนกอดอกมองอยู่ แม้ไม่ได้พูด ชายหนุ่มก็รู้ว่าเขาไม่ควรลบมันออก
เออ ให้พวกมันขำกันได้ตามสบายใจ เขาไม่สนแล้ว
เล่นน้ำกันพักใหญ่ เชษฐ์ไชยเห็นท่าทางของวิริยะแปลกไป กระทั่งตัวผอมโปร่งเริ่มซวนเซจะล้ม ดีหน่อยที่ชายหนุ่มรีบไปรับตัวได้ทัน ถึงแม้วิริยะจะบอกว่าไม่เป็นไรแล้วยิ้มให้ แต่รอยยิ้มก็แห้งเหือดเหลือเกิน ดูไม่มีแรงเอาเสียเลย
“นายเชษฐ์ พาวิวไปนั่งหลบแดดอยู่ฝั่งโน้นกันเถอะครับ หลังรถแดดไปไม่ถึง” หมอกบอกพลางช่วยพยุงตัววิริยะ พาเดินอ้อมรถมาทรุดตัวนั่งที่ขอบถนน มองลงไปเป็นเนินหินที่เรียงตัวกัน และผืนน้ำของเขื่อนที่กว้างขวางไปจนถึงตีนเขา ลมเย็นก็พัดเข้ามาช่วยให้หายใจได้สะดวกมากขึ้น
หมอกเห็นเสื่อในรถก็เอื้อมไปหยิบมาปูให้
“อย่าบอกพี่นะว่าวิวไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า นี่จะเย็นแล้วนะ”
ได้ฟังเชษฐ์ไชยที่พยุงให้นั่งก็หันขวับมองหน้าซีด ๆ ของเด็กหนุ่ม “จริงเหรอวิว ยังไม่ได้กินอะไรเลยเหรอ”
“ครับ ยังไม่ได้กิน” วิริยะยอมรับ
“ทำไมไม่บอกกันเล่า!”
“ก็ไม่เห็นต้องดุขนาดนี้เลยนี่” วิริยะบุ้ยปาก
เชษฐ์ไชยส่ายหน้าระอา “งั้นรออยู่นี่ เดี๋ยวไปซื้ออะไรมาให้กิน”
“พวกมึง เอาอะไรกันไหม นายเชษฐ์จะออกไปซื้อของ!”
“ไอ้หมอก กูไม่ใช่เบ๊พวกมึงนะเว้ย!” เชษฐ์ไชยเสียงดัง
“เอาน่า ทางผ่านไม่ใช่เหรอครับ นายเชษฐ์จะสองมาตรฐานซื้อให้วิวคนเดียวได้ไง เดี๋ยวผมอยู่ดูวิวมันให้” หมอกทำเสียงอ้อน
วิริยะหัวเราะเมื่อเห็นคนตัวโตทำหน้าไม่ค่อยชอบใจ แต่ก็ไม่เถียง เสียงของพี่ ๆ ตะโกนบอกว่าอยากได้อะไรระนาวแทบฟังไม่ได้ศัพท์ เชษฐ์ไชยก็ไม่สนว่าใครต้องการสิ่งไหน ก้มหยิบกระเป๋าสตางค์ในรถแล้วเดินหน้ายักษ์แหวกผู้คนไปอีกฝั่ง ไกลจากบริเวณนี้ราวห้าร้อยเมตร เพราะรู้ว่าตรงนั้นมีร้านค้าและร้านสะดวกซื้อตั้งอยู่
หมอกคลี่ยิ้ม ทรุดตัวลงนั่งข้างเด็กหนุ่มมองทอดออกไปยังวิวสวย ๆ เบื้องหน้า “แล้วได้คุยอะไรกับนายเชษฐ์บ้างไหม”
วิริยะที่นั่งกอดตัวเองบนเสื่อผละมามองพี่ชายข้างกาย “เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องทั้งคู่นั่นแหละ ที่นายเชษฐ์ออกตัวแรงขนาดนี้คงไม่สนอะไรแล้วจริง ๆ”
“ผมไม่อยากให้อาเชษฐ์ทำแบบนี้ อาเชษฐ์ไม่ควรทำลายชื่อเสียงตัวเอง” เด็กหนุ่มก้มลงมองพื้น
“อย่าพูดแบบนี้ให้นายเชษฐ์ได้ยินเด็ดขาดเลยรู้ไหม ไม่ได้ชอบนายเชษฐ์รึไง”
“ก็...ก็ชอบ” วิริยะพูดเสียงเบา รู้สึกกระดากอายที่จะกล่าวให้ใครฟัง “อาเชษฐ์ก็มีมุมน่ารักอยู่เยอะเหมือนกัน แต่ แค่ชอบ กับความน่าจะเป็นไปได้มันไม่ค่อยเข้ากันเลย ก็เลยคิดว่าควรหยุดซะตั้งแต่ตอนนี้ไหม หยุดตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มมันคงดีกว่า”
“เอาอะไรมาคิดว่ามันดีกว่า” หมอกทำเสียงดุ ทำให้เด็กหนุ่มหน้าหงอยลงเหลือสองนิ้ว “จากผู้ชายที่เคยแต่งงานมีลูกมีเมีย แถมมีชื่อเสียง วิวคิดว่ามันง่ายนักเหรอที่จะยอมรับตัวเองได้อย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ไม่คิดบ้างเหรอ ว่าคนอย่างนายเชษฐ์ยอมสละทุกอย่างให้ขนาดนี้เพราะอะไร เพราะนายเชษฐ์เลือกวิวไง ถ้านายเชษฐ์มาได้ยินพูดแบบนี้คงเสียศูนย์แน่” หมอกส่ายหน้า
“ผม...” ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี “ผมควรเชื่อในตัวอาเชษฐ์มากกว่านี้ใช่ไหม”
คนฟังยกยิ้ม “พวกพี่เชื่อกันเต็มร้อยเลย”
ถึงจะพูดกันอย่างนั้น ไม่เป็นวิริยะก็ไม่มีใครเข้าใจ
“ครับ”
การรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะทำลายทั้งชีวิตของคนอื่น มันไม่ได้ทำให้จิตใจของเขารู้สึกสงบลงได้เลย ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจ จะให้มองผ่านแล้วเมินเฉยไป นั่นไม่ใช่นิสัยของวิริยะเลยสิพับผ่า คิดแล้วเด็กหนุ่มก็มองทอดออกไปยังเบื้องหน้า ดวงอาทิตย์ลูกกลมโตสีแดงฉานกำลังจะตกลงจากฟากฟ้า เผาไหม้ความรู้สึกภายในใจของเด็กหนุ่มจนร้อนรุมไปหมด
โดยเฉพาะชีวิตของคนคนนั้น คือคนที่สำคัญต่อเขา
ทั้งสองเงียบไปพักใหญ่ ไม่ทันได้พูดอะไรกันต่อ เชษฐ์ไชยก็หอบหิ้วถุงขนาดเบิ้มกลับมาสองใบ สภาพสะบักสะบอมไม่เหลือเค้านายใหญ่ของไร่รุ่งอรุณีให้เห็นสักนิด ตัวขาวโพลนไปด้วยแป้ง ผมเผ้ารุงรัง บนใบหน้าไม่มีที่ว่างให้เห็นผิวจริงได้เลย คงเป็นเพราะภาพลักษณ์อันเป็นมิตรที่เด็กหนุ่มแกล้งเชษฐ์ไชยไว้ เลยมีคนกล้าเข้ามาขอปะแป้งมากขึ้นกระมัง เห็นแล้ววิริยะยิ้มหน้าบานปนขำ ไม่สนว่าเชษฐ์ไชยจะอารมณ์ไม่ดี
“โอ้โห นายเชษฐ์ซื้อของมาได้เป๊ะทุกอย่างเลย!” หมอกร้อง
“ไหน ๆ เออ! จริงด้วย แถมมีแต่ของที่ผมชอบติดมาด้วย” ไทวิ่งมาดูของในถุง
“น่ารักอะ!”
“น่ารักพ่อมึงสิ เอาไปแบ่งกัน” เชษฐ์ไชยยื่นถุงใบหนึ่งให้พวกมัน ท่ามกลางรอยยิ้มของเพื่อนคนอื่น แล้วเสร็จคนตัวใหญ่ก็เดินอ้อมมาด้านหลังหาเด็กหนุ่มอีกที วางถุงไว้ให้แล้วก็เปิดประตูรถกั้นทางเดินไม่ให้ไอ้พวกลิงวิ่งมาก่อกวน เมื่อเห็นแล้ววิริยะก็ค้นของในถุง ทำเป็นเบิกตาตื่นเต้น เลียนแบบพวกพี่ ๆ
“โอ้โห้ มีแซนด์วิชทูน่าของโปรดผมด้วย อาเชษฐ์นี่รู้ใจผมจริง ๆ เลย”
คนฟังยังคงทำเป็นเก๊กท่า ปล่อยให้วิริยะทาน ตัวเองก็ลุกขึ้นถอดเสื้อ ควานหาข้าวของที่ตระเตรียมไว้ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้หายเปียกแล้วจึงทรุดตัวนั่งข้างเด็กหนุ่ม มองดูคนเจริญอาหารท่าทางชอบของที่ซื้อมาให้ ไม่ได้รู้สึกดีใจปลื้มปริ่มสักนิดเล๊ย
“ดูสิ แถมซื้อชาที่ผมชอบมาอีกต่างหาก” วิริยะทำเสียงตื่นเต้น
คนฟังส่ายหน้า เก็บงำรอยยิ้มของตัวเอง รู้อยู่ว่าเด็กหนุ่มต้องการพูดล้อเลียน
“ไม่เห็นดีใจเลย”
วิริยะยิ้ม “อ้อ เหรอ ไม่ดีใจเลยเหรอ กิ๊ว ๆ” นิ้วชี้เรียวยกมาจิ้มแก้มล้ออีกที เชษฐ์ไชยถึงขั้นอดทนไม่ไหวหลุดยิ้มออกมาในที่สุด ชายหนุ่มหันไปอีกฝั่งแล้วส่ายหน้าให้กับความน่าเอ็นดูของเด็กข้างกาย แพ้ทางอย่างนี้ตลอด เสียภาพพจน์นายใหญ่ของไร่รุ่งอรุณีหมด
เริ่มค่ำแล้ว คนที่เล่นน้ำในเขื่อนต่างพากันกลับบ้าน ต่างจากบริเวณสันเขื่อนที่ยังมีผู้คนเดินฉีดน้ำเล่นหนาตา แม้จะลดลงจากช่วงกลางวันไปเยอะพอสมควร เชษฐ์ไชยให้วิริยะเปลี่ยนผ้า สวมเสื้อแขนยาวตัวโคร่งที่เขาหยิบติดรถมา ไม่ต้องเปลี่ยนกางเกง เพราะดูท่าใกล้จะแห้งคาตัวแล้ว ระหว่างนั้นก็นั่งรอให้สมุนตัวใหญ่ทั้งเจ็ดกลับมาที่รถ ก็พากันดูพระอาทิตย์ตกไปพลาง
“ขอบคุณนะครับ”
วิริยะที่นั่งอยู่ข้างกายพูดขึ้น ฝ่าเสียงดังด้านหลัง ยังหยิบของกินเล่นเข้าปากไปพลาง ก่อนจะเอื้อมมากุมจับมือของชายหนุ่ม เชษฐ์ไชยหันมามองคนกระทำด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำ ผุดรอยยิ้มขึ้นมาประดับบนใบหน้าโหดอย่างไม่อาจทานไหว มือใหญ่ผละขึ้นมาลูบผมของเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดูจับใจ รำลึกได้ว่าความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อวิริยะนั้น เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนล้นออกมาจากอก ต่อให้ใจแข็งขนาดไหนก็ละลายได้
วิริยะฉีกยิ้มกว้าง
แทนที่จะคิดว่าตัวเองกำลังทำลายชีวิตของเชษฐ์ไชย
เขาควรมองทุกอย่างในมุมใหม่ วิริยะควรมองว่าเขาทำอะไรเพื่อคนข้างกายได้บ้าง ดูอย่างตอนนี้ซี เมื่อก่อนเชษฐ์ไชยไม่เคยยิ้มอย่างนี้ได้ ฉะนั้นแล้ว วิริยะควรจะเชื่อใจ ควรวางใจว่าอีกฝ่ายจะสามารถทำให้ทั้งสองรักกันได้โดยไม่มีใครกล้าห้าม อย่างน้อยเชษฐ์ไชยก็ได้มีความสุขเมื่ออยู่กับเขา
ต่อให้ต้องฟันฝ่ากับอะไรแย่ ๆ ก็ตาม เชษฐ์ไชยอาจมีความสุขกว่าเมื่อก่อนก็ได้
วิริยะก็เช่นกัน
เพราะรถติดมาก กว่าจะค่อย ๆ ขยับเขยื้อนออกจากตรงนั้นก็กินเวลานานเหลือเกิน และครั้นกลับมาถึงบ้านได้ เล่นเอาวิริยะหลับคอพับเพราะความเหนื่อย เชษฐ์ไชยถือโอกาสแวะพาวิริยะเข้าไปพักด้วยเลย โดยไม่ถามความเต็มใจของคนหลับ แล้วให้หนุ่ม ๆ บอยแบนด์จัดการที่เหลือกันเอาเอง
กว่าจะหิ้วเด็กหนุ่มเข้ามาในบ้านได้ เขาฝ่ามรสุมคำแซวของไอ้พวกนั้นจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เชษฐ์ไชยถอนหายใจ พาวิริยะเดินผ่านหน้ารตรีและแม่บ้านคนอื่นไป แวบหนึ่งที่หล่อนเห็นวิริยะก็ลุกขึ้นยืน มองตามชายหนุ่มเขม็งคล้ายมีคำถาม แต่เมื่อเห็นสายตาของเขา ก็เก็บทุกอย่างไว้ในใจ แล้วหน้างอ ทรุดนั่งลงดูทีวีเช่นเดิม
จะหน้าด้านหน้าทนอยู่ก็อยู่ไป แต่อย่าหวังว่าเขาจะใจอ่อน
“อาเชษฐ์ ปล่อย ผมตื่นแล้ว” วิริยะดิ้น ซึ่งเขาก็ยอมตามใจ วางวิริยะลงให้ยืนบนพื้น เด็กหนุ่มยังงัวเงียเมาขี้ตา มองซ้ายแลขวาเห็นว่าเป็นบ้านพักของเขาแต่ก็ไม่โวยวายขอกลับ ไม่ปฏิเสธ แถมเดินนำเขาไปที่ห้องอีกด้วย เห็นแล้วคนพี่ก็ยิ่งหลงไปกันใหญ่
ไปถึงวิริยะก็อยู่ในสภาวะทิ้งตัว หงายเงิบลงนอนบนเตียงไปเลย
“เดี๋ยว เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” เชษฐ์ไชยคลี่ยิ้ม ดึงแขนยาว ๆ ให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วหยิบผ้าคลุมตัวอีกมุมโยนให้ใส่ คนขี้เซาทำเสียงอู้อี้อิดออดแต่ก็ยอมทำตามโดยง่าย เห็นแล้วคนมองก็นึกอยากจับฟัดให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ต้องห้ามใจทำตามสัญญาที่ให้ไว้
คิดแล้วก็เดินดุ่มเข้าไปอาบน้ำผลัดผ้า ออกมาอีกทีก็เห็นวิริยะนอนตะแคงหลับปุ๋ยไม่เกรงใจเจ้าของห้องและชุดที่ตัวเองสวม ผ้าคลุมแหวกจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน
เชษฐ์ไชยส่ายหน้า “วิว ไข่ออกแล้วเว้ย”
ดูเหมือนวิริยะจะหลับลึกเพราะเหน็ดเหนื่อยจริง ๆ เห็นแล้วเชษฐ์ไชยไม่ได้ตั้งใจจะปลุกให้เด็กหนุ่มตื่นหรือรบกวนอะไร ก้มลงไปจัดชายผ้าคลุมให้ดี ๆ แล้วเลิกผ้าห่มนวมขึ้นทับบนตัว คนหลับพลิกตัวเปลี่ยนท่า หันมายังทิศนี้เพื่อรับความอบอุ่นให้มากขึ้น เชษฐ์ไชยยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าบนใบหน้าใสยังมีเศษแป้งติดอยู่เลย
แสบก็แสบ กวนประสาทก็ที่หนึ่ง ไม่รู้รักลงได้ยังไง
คิดแล้วชายหนุ่มก็โน้มลง แนบริมฝีปากมอบจูบให้เพราะหาคำตอบแก่ตนเองไม่ได้ เขาพ่ายแพ้ให้เด็กคนนี้ราบคาบไม่ว่าเรื่องไหน แต่ คำตอบส่วนหนึ่งที่รู้มาแต่ต้น คือวิริยะทำให้เขาเป็นตัวของตัวเองเสมอเมื่ออยู่ด้วยกัน เขาไม่ต้องเหนื่อยสวมหน้ากากทำเป็นคนเก่งเหมือนอยู่กับใคร และสบายใจยามอยู่ด้วยอย่างน่าประหลาด
อย่างที่อัฐษไชยบอกไว้เลย
ในขณะที่จมอยู่กับความอิ่มเอมใจแม้เพียงแค่ได้นั่งมองวิริยะยามหลับ เสียงใครสักคนเคาะประตูเรียก แล้วเฉลยว่าเป็นแม่ต้อย เชษฐ์ไชยจัดแจงผ้าคลุมบนตัววิริยะอยู่เพียงครู่เดียวก็ลุกขึ้นไปเปิดประตู เห็นนางถือโทรศัพท์บ้านไว้ในมือ บอกเขาว่า “มีคนต้องการคุยกับนายเชษฐ์ค่ะ เรื่องด่วน บอกว่าพยายามโทรเข้ามือถือแต่นายเชษฐ์ไม่รับเลย น้ำเสียงดูเหมือนกำลังโกรธมาก”
เชษฐ์ไชยมุ่นคิ้ว “ใคร”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ กำชับว่าต้องเรียกให้นายเชษฐ์มาคุยสายให้ได้ ไม่ยอมรอถึงพรุ่งนี้” นางเอามือปิดโทรศัพท์ แล้วพูดกับเจ้านายเสียงเบา สีหน้าเป็นกังวล เห็นเช่นนั้นเชษฐ์ไชยก็พยักหน้าเข้าใจ รับมาแนบกับหูแล้วให้นางไปพักผ่อนได้
“ฮัลโหล ผมเชษฐ์ไชยพูดอยู่”
มือใหญ่ปิดประตูห้องพักแล้วหมุนตัวเดินไปทรุดนั่งลงบนเตียง ข้างวิริยะ
“กว่าผมจะติดต่อคุณได้นี่ยากเย็นเหลือเกินนะ ผมเกือบจะบุกไปที่รังของคุณอยู่แล้วเชียว” เสียงทุ้มนุ่มของปลายสายห้วนและเต็มไปด้วยอารมณ์กล่าวกลับมา เมื่อได้ยิน ใบหน้าสุขุมของเชษฐ์ไชยเปลี่ยนสี จากที่จะทิ้งตัวลงนอนกอดไอ้ตัวเล็กข้างกาย กลับต้องกระเด้งตัวนั่งหลังตรงด้วยความแปลกใจ “คุณเป็นใคร!”
ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง แล้วตอบกลับมาว่า
“พ่อของวิว”
--๑๐๐--
------------------------------------------------------------
เฮือกกกก คุณพ่อมาจัดการนายเชษฐ์แล้ว เกือบจะบุกมาที่ไร่แล้วด้วย
จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ใกล้จะถึงบทสรุปความรักของทั้งสองแล้วค่ะ ตอนหน้าวิวก็กลับบ้านไปเจอะพ่อกับแม่เลี้ยง น้องจะโดนอะไรบ้าง แล้วอาเชษฐ์จะโดนอะไรบ้าง ระยะห่างของทั้งคู่ก็พิสูจน์ความรักของทั้งคู่ไปด้วยว่าจะจบแบบไหน ต่อจากนี้ก็อัพให้อ่านถี่ขึ้นนะคะ
เจอกันตอนหน้านะคะ