**{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast  (อ่าน 37548 ครั้ง)

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ตอนนี้สงสารดำมากกว่า ไม่รู้ตัวว่าถูกเขม่น คนอะไรอยู่ๆ โชคร้ายมาหาซะงั้น
แต่แอบกรี๊ดๆ ไปกับสาวๆ ด้วย
 :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
วิวไปไหน ขอตามไปด้วยคนซิ  :m7:

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
ตามหึงวิวขนาดนี้
ยังจะทำเปนดุอีกน้า
 :laugh:

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa

ตอนที่ ๘

อย่างที่ดำพูดจริง ๆ หากรีบเดินรีบโปรยปุ๋ยลงใส่ต้นผลไม้ไปเรื่อย น้ำหนักของที่แบกก็จะลดลงตามไปด้วย วิริยะเดินเซแค่ช่วงแรกเพราะความหนัก ประกอบกับพื้นไม่สม่ำเสมอด้วย ครั้นมันเหลือแค่ครึ่งถังก็ดีขึ้น แต่จะไม่มีความสุขก็ตอนที่มีลิงตัวใหญ่เดินตามหลังมาคุมนี่น่ะซี

“โยนให้มันถึงต้นหน่อย ใส่ปุ๋ยบำรุงผลไม้ไม่ใช่บำรุงต้นหญ้า จะให้หญ้างามกว่าต้นที่ปลูกมันใช่เรื่องที่ไหน” คนด้านหลังพูดไล่ วิริยะมุ่นคิ้วถอนใจ แต่ก็เถียงอะไรไม่ได้นอกจากขานรับ “ครับ…”

แล้วก็จ้ำอ้าวเดินให้ห่างอย่างนึกรำคาญ

เดินได้สองสามรอบวิริยะก็หอบ ไร่ก็กว้างสุดลูกหูลูกตา ไม่รู้จะรวยอะไรนักหนา

แต่ทำงานมันก็เหนื่อยเช่นนี้แหละ เด็กหนุ่มบอกตัวเอง คนอื่นเขาก็เหนื่อยเหมือนกัน

สักพักแดดก็ออกจนสว่างจ้าแสบตา ความร้อนลุกลามไล่จนเด็กหนุ่มต้องสะบัดเสื้อให้เกิดลมใส่ตัว พี่ชายคนอื่นสวมเสื้อแขนยาวและใส่หมวกกันหมดทุกคนแล้ว วิริยะยกมือปาดเหงื่อบนแก้มตัวเองขณะรอให้ดำเติมปุ๋ยให้ไปพลาง นึกตกใจที่แก้มตัวเองร้อนเพราะแดดราวกับเป็นไข้ สงสัยพรุ่งนี้ต้องหาหมวกใส่แล้ว

“เอ้า นี่หมวก”

วิริยะเงยมองดำที่โยนหมวกสานมาให้ แล้วเด็กหนุ่มจึงขยับจับมันสวมให้ดี “ขอบคุณครับพี่ดำ”

“ของนายเซษฐ์เพิ่น เห็นแกลืมถิ่มไว้ม่องเติมปุ๋ย ใส่ไปก่อนแล้วจั่งเอาไปคืน”

เด็กหนุ่มชะงัก ยิ่งไม่อยากคุยด้วยก็ยิ่งมีเหตุผลให้เข้าไปคุยอีก หากทว่าวิริยะก็เพียงยิ้มรับพี่ชายจากอีสานแล้วทำงานต่อไปโดยไม่ปริปากพูดอะไร แรก ๆ ก็สู้ความหนักของมันได้ แต่หลัง ๆ วิริยะไม่ไหว ยอมเดินหลายรอบเอาดีกว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกหนักอยู่ดี ไม่รู้ว่าบ่าพังไปแล้วหรือยัง ยิ่งตอนกลางวันยิ่งรู้สึกราวตกอยู่ในนรกเพราะความร้อนของแดด วิริยะรู้สึกนับถือลุง ๆ ป้า ๆ เกษตรกรที่ตากแดดกันทั้งวันจริง ๆ

วิริยะไม่เคยรู้สึกว่าได้กินข้าวเที่ยงแสนอร่อยเท่านี้มาก่อน เด็กหนุ่มเจริญอาหารเพราะพลังงานที่เสียไปช่วงทำงาน พลอยให้คนมองรู้สึกเอ็นดูยิ่งขึ้นไปอีก ผ่านไปครึ่งวัน จากหนุ่มกรุงหน้าขาวกลายเป็นหนุ่มคนงานหน้าแดงเพราะแดดเลีย แต่ก็ไม่ได้ลดความน่าเอ็นดูลงไปได้เลย ยิ่งวิริยะทนงานที่นี่ได้อย่างไร ทุกคนก็ยิ่งรักเด็กหนุ่มมากขึ้น

ความเหนื่อยนั้น เมื่อได้พักสักสองสามนาทีก็หายไป วิริยะรู้สึกว่าการทำงานที่ไร่มันก็ไม่ได้แย่ เพียงแต่เพราะความร้อนของแดดทำให้คนเพลียมากขึ้นไปอีกระดับ เด็กหนุ่มยกน้ำดื่มอย่างกระหายหลังเสร็จงาน ท่ามกลางเหล่าหนุ่มบอยแบนด์ภูธรที่นั่งพักอยู่ข้าง ๆ บางคนก็ถอดเสื้อ บางคนก็ถอดหมวกแล้วเสยผมเปียกเหงื่อขึ้นเปิดหน้า แม้จะไม่ขาวสะอ้านกัน แต่ก็มีสเน่ห์ที่ผู้ชายด้วยกันอิจฉา ทุกคนต่างเป็นมิตรและคอยถามเด็กหนุ่มเสมอว่าไหวหรือไม่

ห้าโมงแล้ว แดดสาดมาใส่ต้นไม้ทำให้เกิดร่มเงา บริเวณพวกเขานั่งรอเจ้านายก็มีลมเบา ๆ สาดใส่อยู่เสมอ เพราะร่างกายเปียกไปด้วยเหงื่อ เมื่อถูกลมแล้วจึงรู้สึกสดชื่น

“ได้ตังค์แล้วไปอาบน้ำที่น้ำตกกันไหม วันนี้ร้อนฉิบหาย กูขี้เกียจต่อคิว”

“วันนี้ไปไม่ได้” หมอกรีบปราม “อาบที่หอนี่แหละ แล้วมาแดกเหล้ากัน”

“เออ เป็นความคิดที่ดี แต่ห้ามให้นายเชษฐ์รู้นะมึง”

“ไอ้ห่า รอบที่แล้วนายเชษฐ์เล่นกูซะเพลีย ลุกไม่ขึ้นเลย” หมอกส่ายหน้าพูด ในกลุ่มนี้หมอกเป็นผู้ชายที่ขาวที่สุด ตัวบางที่สุดแต่ก็ดูซ่อนรูป นับจากที่เขาเห็นเมื่อวาน หน้าตาดูหล่อสำอางสไตล์ที่สาว ๆ ชอบ วิริยะเห็นพี่ชายตรงหน้าพูดถึงเรื่องที่ถูกเชษฐ์ไชยกระทำตอนเมาแล้วหน้าร้อน หรือพวกพี่ ๆ เองก็เคยโดนอีตากอริลล่านั่นเจาะไข่แดงเพราะความเมากันมาแล้ว

“พี่หมอกเองก็โดนเหรอ” เด็กหนุ่มเบิกตา

ทุกคนเหลียวมามองเด็กหนุ่มผู้นั่งฟังมาตลอดนิ่ง ทำหน้าตกใจ “บักหมอกนี่โดนดุเลยน้องวิว พวกอ้ายบ่รู้จะห้ามนายเซษฐ์จั่งใด๋ ว่าแต่น้องวิวกะโดนนายเซษฐ์เล่นคือกันเบาะ”

เด็กหนุ่มอึกอัก แล้วนิ่งไป มองพี่ ๆ พูดกันต่ออีกว่า

“กูบอกแล้วให้มึงเฮ็ดโตให้ใหญ่ ๆ เข้าไว้ นายเซษฐ์จะได้บ่มายุ่งกับมึง”

“ทำตัวให้มันแมน ๆ กว่านี้น่ะ เข้าใจไหมไอ้หมอก” เหนือพูดปนยิ้ม ตบบ่าหมอกกระเซ้า

“กูไม่แมนตรงไหนวะ”

“ถ้าเทียบกับนายเชษฐ์มึงก็ไม่แมนล่ะวะ แต่หลังจากนี้มีตัวตายตัวแทนละเว้ย” พูดจบพี่ชายที่ถอดเสื้ออวดกล้ามเนื้อชัดเจนก็ชายตามายังวิริยะส่งซิกให้กัน เด็กหนุ่มหน้าเหวอเมื่อเห็นทุกคนทำทีรู้ทัน รีบส่ายหน้าระรัวปฏิเสธ หน้าที่มีสีอยู่แล้วก็แดงมากขึ้นไปอีก

“เออ พวกมึงไม่ต้องโบ้ยให้น้องมัน แค่กูโดนก็ถือว่าหนักแล้วนะ ห้ามบอกนายเชษฐ์เด็ดขาดเลย เดี๋ยวเมาแล้วบ้าอำนาจสั่งให้กูวิดพื้นท่าเตรียม วิ่งรอบไร่อีก ไม่รู้กูผอมแล้วไปทำให้ไร่แกเจ๊งรึไง เอาแต่บ่นว่ากูไม่แมนพออยู่นั่น ไอ้เพื่อนห่า…กูก็ต้องทำตามไง ไม่ทำตามก็โดนตีนนายเชษฐ์อีก” หมอกบ่นไปพร้อมกับเสียงหัวเราะก๊ากสะใจของเพื่อนในกลุ่ม

ท่ามกลางสีหน้าตกใจของวิริยะ ที่เด็กหนุ่มพยายามปกปิดที่สุด

เกือบไปแล้ว เกือบเผยไต๋ให้คนอื่นรู้ไปเสียแล้ว

ที่นี่เข้าคิวรับเงินเป็นรายวัน เพราะหากรอเป็นเดือนก็คงจะอดตายกันก่อน หลังวิริยะได้เงินก็เดินกลับมาที่ห้องพักพร้อมกับกลุ่มของส้ม ร่างกายรู้สึกล้าแต่พอพักก็มีแรงขึ้น วันนี้เด็กหนุ่มรู้สึกเหนื่อย ขี้เกียจรอต่อคิวอาบน้ำ อยากรีบอาบรีบไปพักผ่อน จึงจัดแจงข้าวของส่วนตัวถือไปขอยืมจักรยานของกุ้งเพื่อไปอาบน้ำที่น้ำตกแทน ครั้นไปถึงก็ไม่มีรถมอเตอร์ไซค์ของพวกดำ คาดว่าจะไม่มีใครมาอาบ

เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มพอใจ ไม่รู้ทางเข้าจึงเดินไปบริเวณที่สามสาวพามา แหวกใบไม้ใบหญ้าเดินไปยังตลิ่งน้ำ ทว่าไปถึงเห็นน้ำตกสาดกระทบผืนน้ำและก้อนหินด้านใต้เสียงดังสะท้อนก้อง แต่มีใครสักคนกำลังใช้มันอยู่ ใครสักคนที่แผ่นหลังกว้างนั้นเต็มไปด้วยรอยสัก กล้ามเนื้อ ดำผุดดำว่ายแล้วโผล่ขึ้นเหนือน้ำสางผมที่ปรกหน้า

วิริยะชะงักขาแล้วรีบหลบอยู่หลังต้นไม้ ยกมือกุมหน้าอกตัวเองอย่างนึกตกใจ

ใครวะ

เมื่อครู่เด็กหนุ่มเห็นเพียงแวบเดียวเท่านั้น จึงตัดสินใจชะโงกหน้าออกไปอีกครั้งอย่างต้องการทราบ หรือนี่จะเป็นอสูรที่แก๊งสาวหื่นบอกวิริยะกันหนอ คิดแล้วใบหน้าแดงคร้ามเพราะแดดเลียก็ขยับออกไปจากต้นไม้ เห็นผู้ชายตัวใหญ่ผมเปียกยาวระบ่าจากด้านหลัง กำลังว่ายน้ำขึ้นไปยังโขดหินบริเวณใกล้น้ำตก อาจเป็นเพราะรูปร่างที่น่าอิจฉานั้นทำให้วิริยะหยุดดูจนลืมไปว่าตัวเองมาที่นี่ทำไม

ร่างกายสมบูรณ์แบบ บวกกับสถานที่ตรงนี้สวยงามทำให้บรรยากาศดูขลังอย่างน่าประหลาด ใครกันที่ว่าคนคนนี้เป็นอสูรร้าย มองจากมุมนี้แล้ว วิริยะขอเถียงจริง ๆ เลยว่าไม่ใช่ เขาคิดว่าเป็นเทวดาเสียอีก

กระทั่งชายคนนั้นหันมาทิศนี้ ทำเอาเด็กหนุ่มขนลุกซู่ “เชี่ย!”

นั่นมันอีตาเชษฐ์ไชยหน้ากอริลล่านี่ วิริยะตาเหลือกตกใจ ยกมือตบปากและศีรษะตัวเองให้ลบเลือนความคิดเมื่อครู่ไปเสียให้หมด มองตามร่างสูงใหญ่ที่เดินขึ้นไปยังโขดหินจนเห็นร่างกายที่ปกปิดด้วยผ้าน้อยชิน หนำซ้ำมันยังแนบติดตัวราวกับไม่ได้ใส่อะไร ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเสร็จแล้ว ขอรอตรงนี้ไปจนกว่าเชษฐ์ไชยจะกลับ แล้วค่อยไปอาบต่อดีกว่า

คิดแล้วก็ขยับตัวจะกลับเข้ามาหลังต้นไม้ เหยียบโดนอะไรสักอย่าง คาดว่าจะเป็นกิ่งไม้แก่ ๆ แถวนั้นจนเกิดเสียง เรียกให้คนอีกฝั่งที่ไม่รู้จะหูดีอะไรนักหนาหันมา เด็กหนุ่มรีบขยับตัวซ่อนหลบ หอบหายใจด้วยกลัวอีกฝ่ายจะรู้ว่าเป็นเขา

“นั่นใคร ออกมา ไม่งั้นกูยิงนะ”

วิริยะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เข้าใจคำเตือนของส้มอย่างถ่องแท้ว่าอสูรที่กล่าวถึงเป็นยังไง แต่ก็ไม่ขยับออกไปและรอให้เชษฐ์ไชยตายใจคิดว่าตัวเองหูฝาดไป ซึ่งก็จริง อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่งจนคิดว่าอาจอ้อมมาอีกทางเพื่อจับเขาให้ได้คาหนังคาเขา หากเป็นเช่นนั้นโดนยิงตายแน่ คิดแล้ววิริยะรีบชะโงกออกไปดูให้แน่ใจ

ดีที่เชษฐ์ไชยไม่ได้ร้ายหรือฉลาดอย่างที่เขาคิด พูดง่าย ๆ ว่าโง่ อีกฝ่ายเชื่อว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและปล่อยผ่านไป

แต่สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มเบิกตาจนเหลือก คือคนตัวใหญ่กำลังเปลื้องกางเกงในที่ใส่ภายใต้ผ้าขนหนูสีขาวโดยไม่อายผีสางนางไม้แถวนี้ ถึงจะเคยเห็นแบบชัดระดับแอชดีมาแล้วก็เถอะ วิริยะยังรู้สึกว่ามันโคตรอุจาดตาเลย!

คิดว่าจะล่าถอยกลับบ้าน ดูอย่างนี้ไม่ไหวแน่ วิริยะตรองแล้วตั้งใจจะหมุนตัวกลับ แต่รู้สึกว่าผีสางนางไม้คงไม่ชอบเด็กหนุ่มกระมัง ไม่รู้สะดุดอะไร วิริยะร้องเหวอเพราะร่างของเขาเอนไปด้านหลังอย่างไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อีกแล้ว เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความฉิบหายกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า

ตูม!

ร่างของวิริยะร่วงลงไปในน้ำจนเสียงดัง เรียกสายตาของเชษฐ์ไชยที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หันมองเด็กหนุ่ม จะทำอย่างไรดี มีหวังเขาได้โดนอีกฝ่ายฆ่าหมกป่าเพราะมาแอบดูแน่ คิดแล้ววิริยะก็ตัดสินใจตะเกียกตะกายให้ตัวเองโผล่พ้นน้ำ แสร้งว่ายน้ำไม่เป็นไปเสียดื้อ ๆ ทั้งที่ความจริงพ่อส่งเขาไปเรียนว่ายน้ำตั้งแต่ ป.สาม!

“อั่ก ชะ ช่วยด้วย!”

“ วิว…วิว!” ครั้นเห็นว่าเป็นวิริยะที่กำลังจะจมน้ำ เชษฐ์ไชยลืมไปว่าตัวเองกำลังถอดผ้าเปลี่ยน

ชายหนุ่มทิ้งผ้าขนหนูในมือ แล้วกระโจนลงไปในน้ำโดยไม่ต้องคิดเพื่อช่วยคนตัวเล็กด้วยกลัวไม่ทันการณ์ ครั้นไปถึง ชายหนุ่มกระตุกดึงวิริยะมาประคอง พาว่ายน้ำมาจนถึงบริเวณที่เท้าแตะถึง แล้วอุ้มวิริยะขึ้นไปวางไว้ตรงพื้นราบเรียกสติ ตอนนี้คนตัวเล็กหน้าซีดเผือดและหมดสติไปแล้ว คาดว่าคงกลืนน้ำไปหลายอึก

“วิว วิว!”

ตายแน่ไอ้วิว มึงตายแน่!

มือใหญ่ตีแก้มเด็กหนุ่มเรียกสติอย่างใจร้อน สางผมที่ปรกหน้าให้ไปพลางร้องเรียกชื่อวิริยะไปพลาง เด็กหนุ่มไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะห่วงเขาขนาดนี้ รู้เพียงว่าตอนนี้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แค่หลับตาปี๋แกล้งไม่มีสติไปก่อน

“วิว ตื่นสิ ได้ยินพี่ไหม” คนด้านบนถาม

หน้าวิริยะซีดเพราะรู้ตัวว่าต้องถึงคาดแน่ หากอีกฝ่ายรู้ว่านี่เป็นเพียงลูกแถของเขา เขาไม่ได้เป็นอะไรเลย!

ขณะที่เชษฐ์ไชยก้มลงฟังเสียงหัวใจของเด็กหนุ่มนั้น วิริยะแอบลืมตา ตาเล็ก ๆ เหลือกวาวเป็นลูกแตงโมงเมื่อเห็นชัดว่าอีตาคนนี้ไม่ได้ใส่อะไรเลย! เดี๋ยวซี นี่มันโคตรอุบาทว์เลยไม่ใช่รึไง จะวิ่งหนีก็ไม่ได้ ทำไมมันซวยอย่างนี้หนอ คิดแล้วเด็กหนุ่มทำได้เพียงแค่หลับตาลง คืนนี้เขาฝันร้ายแน่ นี่มันยิ่งกว่าชัดระดับแอชดีอีก!

“วิว ตื่นสิวิว” มือใหญ่ประคองหน้าเขาพูดปนหอบ

วิริยะถูกจับให้นอนราบกับพื้น แล้วจากนั้นเด็กหนุ่มรู้สึกถึงริมฝีปากอันประกอบไปด้วยหนวดแข็ง ๆ แนบเข้ามาหวังจะช่วยผายปอดให้ ดวงตาใสเหลือกขึ้นด้วยความตกใจ จากสลบเหมือดก็ได้สติขึ้นมาทันใด ลืมคิดไปว่ามันจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น รีบผลักเชษฐ์ไชยแล้วตามด้วยถีบจนคนตัวใหญ่หงายเงิบ

“อาเชษฐ์จะทำอะไร” วิริยะร้องเสียงดัง ยกมือกุมปาก

แต่มารู้ตัวก็สายแล้ว ความลับของเด็กหนุ่มแตก และไม่ใช่แค่แตกธรรมดา มันแตกอย่างละเอียดเลยล่ะ เมื่อเห็นหน้าของพ่อกอริลล่าเมื่อรู้ความจริงว่าทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องโกหก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะวิริยะสร้างขึ้นมาเท่านั้น

“อะ อาเชษฐ์…” คนพูดยิ้มแห้ง

รู้สึกถึงขนที่ลุกเกรียวเมื่อเห็นนัยน์ตาราวสัตว์ป่าเบื้องหน้า

“เธอ…” เชษฐ์ไชยขบกราม รู้สึกเหลืออดจนแสดงออกทางสีหน้า

“ผะ ผมไม่กวนแล้ว…” ก่อนจะถูกไล่ฆ่า วิริยะหันกลับไปยังบ่อน้ำมรกตที่เคยถูกช่วย แล้วโดดลงไปอีกครั้ง ว่ายน้ำอวดท่าฟรีสไตล์ที่เรียนตั้งแต่เด็กให้อีกฝ่ายดูเพื่อเป็นการหนีอย่างไม่คิดชีวิต คาดว่ารอบนี้เขาคงทำสถิติความเร็วใหม่เสียด้วยซ้ำ!

เด็กหนุ่มว่ายมายังฝั่งที่พลาดตก แล้วตะเกียกตะกายขึ้นไปยังมุมที่เคยยืนอยู่อย่างโล่งใจที่เชษฐ์ไชยไม่บ้าดีเดือดว่ายตามมา หลบหลังต้นไม้แล้วหอบหายใจทั้งเช็ดน้ำที่ไหลตกจากผมตนเองไปพลาง หากทว่าเหลือบเงยไปเบื้องหน้า ก็เล่นเอาใจที่เต้นระทึกเมื่อครู่หายวาบอีกครั้ง เมื่อเห็นส้มกับตามองเขาด้วยสายตาอึ้ง

วิริยะอ้าปากค้าง ยกมือชี้นิ้วไปยังทั้งสองอย่างตกใจ เมื่อพวกเธอเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้าเสียแล้ว ตายแน่ เขาต้องตายแน่ ๆ!


--๕๐--


ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa

(ต่อ)

วิริยะตามส้มกับตากลับมาที่ห้องพัก เด็กหนุ่มคืนจักรยานให้กุ้งแล้วแวะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หน้าซีดเหลือสองนิ้ว ไม่กล้าพูดกับสองสาวที่แอบเห็นภาพน่าอายเมื่อครู่ใหญ่ ทั้งที่บอกว่านาน ๆ จะแวะไปที่น้ำตกที เหตุใดวันนี้พวกหล่อนถึงไปอยู่ที่นั่นได้ วิริยะคิดแล้วเดินกลับมาที่ห้องพัก เห็นพี่สาวทั้งสองนั่งรออยู่ด้านหน้า ราวกับมีเรื่องคุยกับเด็กหนุ่ม

วิริยะรู้ดีว่าเป็นเรื่องอะไร เด็กหนุ่มไขเปิดประตูห้องแล้วนำเข้าไป ทั้งสองถือวิสาสะนั่งบนฟูกของเด็กหนุ่มแล้วปล่อยให้วิริยะนั่งอยู่หน้าพี่เขียวเพื่อเป่าผมให้แห้ง วิริยะทำท่าวุ่นวายกับผมสั้น ๆ ของตัวเอง ไม่กล้าแม้กระทั่งเชยตาขึ้นสบพี่สาวทั้งสอง

“ทำไมแอบไปคนเดียวแบบนั้นล่ะวิว ไอ้พวกพี่ก็เป็นห่วงกลัวว่าจะโดนยิงตาย” ส้มเริ่มประเด็น

วิริยะเงยหน้ามองสองสาว “ก็ใครจะไปรู้ล่ะครับ อีกอย่างก็ลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้วันเสาร์”

“พวกพี่ก็อุตส่าห์รีบตามมาบอกว่าวันนี้ไปไม่ได้ วิวนี่ก็ปั่นไวเหลือเกิน”

เด็กหนุ่มหน้าหงอย “ขอโทษครับ”

“นี่ดีนะที่นายเชษฐ์ไม่ยิงเข้า แล้วเขาทำอะไรเรารึเปล่า” ส้มสอบถาม เมื่อเห็นหน้าที่เคยโดนแดดเลียของเด็กหนุ่มยังคงแดงระเรื่อราวลูกตำลึงสุกปลั่ง วิริยะรีบเงยขึ้นมาสบตา มีทีท่าแปลกใจแต่ก็รีบยกยิ้ม ส่ายหน้าบอก “ไม่ได้ทำอะไรเลยครับ ผมหนีออกมาเสียก่อน”

“แต่ก็เกือบใช่ไหม” ตาถาม

วิริยะรู้สึกถึงเลือดที่วิ่งขึ้นหน้า “กะ เกือบอะไร”

“เอ้า พี่เห็นหน้าวิวตอนตะเกียกตะกายขึ้นมาอย่างกะตะกวดหิวไก่ นึกว่าโดนไล่ออกมาเสียอีก”

“อะ เอ่อ ครับ อาเชษฐ์ไล่…” ไล่ด้วยสายตาและภาพอุจาดตาที่ปัดออกไม่ได้

อันที่จริงตอนนั้นเชษฐ์ไชยตกใจและเชื่ออย่างสนิทเลยว่าเขาว่ายน้ำไม่เป็น มานึกอีกทีก็รู้สึกแปลก ๆ ยามเสียงตกใจของอีกฝ่ายเรียกสติเขาผุดขึ้นมา สัมผัสของมือใหญ่ที่สางผม รวมไปถึงจูบรุ่มร้อนบนริมฝีปากของเด็กหนุ่มด้วย ราวกับมันไม่ได้จางหายไปไหนเลย คิดแล้วิริยะก็ยกมือกุมขมับสั่งตัวเองให้หยุด หยุดความคิดบ้า ๆ นั่นเสีย

มันไม่ใช่จูบ นั่นก็แค่การผายปอด

“เป็นอะไร ทำไมหน้าแดงขนาดนี้ เริ่มงานวันแรกก็ไม่สบายเลยเหรอ”

เด็กหนุ่มรีบส่ายหน้า “เปล่า วิวสบายดี”

“ว่าแต่ว่าเราน่ะโชคดีไม่เบานะที่รอดลูกกระสุนนายเชษฐ์มาได้ คราวนี้รอดไปนะวิว…” พูดยังไม่ทันจบเสียงเคาะประตูห้องของเด็กหนุ่มก็ดังขึ้น ซึ่งมันก็ดังตามอารมณ์ของคนเรียก พลอยให้สองสาวเหลือบมองตากันราวรู้อยู่แล้วว่าเจ้าของเสียงนี้เป็นใคร ส้มหน้าตก มองตาวิริยะแล้วยิ้มแห้ง ๆ ให้ “แต่ตอนนี้อาจไม่รอดแล้วก็ได้”

วิริยะเบิกตา รู้ทันที “อาเชษฐ์เหรอ!” เด็กหนุ่มลุกยืน เมื่อตกใจหรือทำอะไรไม่ถูกวิริยะมักทำอย่างนี้เสมอ

“งั้นพวกพี่กลับก่อนนะ อธิบายดี ๆ ล่ะ”

วิริยะรีบส่ายหน้า ทำเหมือนจะร้องไห้มองตามสองสาวที่เดินออกไปเปิด เห็นเชษฐ์ไชยยืนหน้ายักษ์อยู่ริมประตู ไม่ทันจะได้เอ่ยรั้งสองสาว คนตัวใหญ่ก็จับดึงเขาเดินดุ่มเข้าไปด้านใน คิดว่าตัวเองเป็นนายใหญ่ เป็นเจ้าของสถานที่แล้วยังไง รองเท้าไม่ยอมถอดเมื่อเข้าห้องคนอื่นก็เรียกว่าเป็นพวกไร้มรรยาทอยู่ดี วิริยะมุ่ยหน้ามองอย่างไม่ชอบใจ

แถมตอนนี้เขาก็ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรเลยด้วย เด็กหนุ่มทำหน้าหงอยมองเจ้านาย

เชษฐ์ไชยหันมาค้ำเอวมองเขา “ฉันไล่เธอออก”

วิริยะอ้าปากค้าง “ผมยังไม่ได้เรียกพี่ว่าพี่เลย! อุ๊บ…” เด็กหนุ่มเหลือกตาปิดปากตัวเอง ส่ายตากลมมองไปทิศอื่นไม่นับครั้งนี้ที่เผลอเรียกเพราะตกใจ ทำเอาเชษฐ์ไชยที่ยืนฟังยิ่งโมโหไปกว่าเดิมอีก

“อย่ามากวนโมโหฉันนะ”

วิริยะมุ่นคิ้ว “แล้วอาเชษฐ์จะไล่ผมออกเรื่องอะไร วันนี้ผมก็ทำงานตรงเวลา ไม่ได้กินแรงคนอื่นด้วย”

“ฉันจะไล่เพราะว่าอยากไล่ แล้วเลิกมาทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่ฉันได้แล้ว มันไม่ได้ผล” นิ้วชี้เรียวชี้หน้าเด็กหนุ่ม

“ผมไม่ได้เจ้าเล่ห์นะ”

“อย่ามาเถียง พรุ่งนี้เก็บข้าวเก็บของออกจากไร่ฉันไปเลย”

“ทำไม อาเชษฐ์อายเหรอ อายตรงรอยสักบนหลัง รึว่าอายอะไรที่มันมีเล็กนิดเดียว”

“วิว!” คนตรงหน้าขึ้นเสียงจนวิริยะสะดุ้ง หน้าหงอลงพอรู้แล้วว่าเชษฐ์ไชยเอาจริง

“ผมหมายถึงรอยแผลเป็น”

“ไม่ต้องมาเล่นลิ้น ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นเธอ” ไม่รู้ทำไมชอบยกนิ้วชี้ชี้หน้าเขาจัง วิริยะมุ่นคิ้วคอตกรับฟังอย่างเงียบเชียบ แม้สีหน้าจะไม่ค่อยยอมรับว่าตนเองผิดเท่าไรก็ตาม แต่เขาคิดว่าควรเงียบรับฟังดีกว่าดื้อรั้นเถียง อีกหน่อยคนตรงหน้าคงลดความโมโหลงไปเอง ทั้งที่วิริยะคิดว่าแค่เรื่องนิดเดียว ไม่ควรจะโกรธถึงเพียงนี้สักหน่อย

“ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเห็นนี่นา…” เด็กหนุ่มทำเสียงเบา “อาเชษฐ์จะอายทำไม”

คนตัวโตค้ำเอวแล้วมุ่นคิ้วจนหน้าหงิก เมื่อได้ฟังยิ่งโมโห “เธอว่าฉันโมโหเธอเรื่องนี้เหรอ ประสาทแล้ว! ฉันโมโหที่เธอแกล้งจมน้ำต่างหาก คิดว่าถ้าจมจริง ๆ แล้วฉันช่วยไม่ทันจะเกิดไรขึ้น หา! เกิดจมน้ำตายขึ้นมาฉันจะทำยังไง!”

วิริยะรู้สึกแปลกใจ เงยเห็นหน้าจริงจังของชายที่กำลังโกรธ “อาเชษฐ์เป็นห่วงผมเหรอ”

เมื่อได้ฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มย้อนถาม เชษฐ์ไชยชะงักไปพักหนึ่ง แล้วอึกอักผละสายตาไปหาคำตอบให้ตนเอง กลับมาเสียงดังโวยวายเหมือนเดิมว่า “ห่วงก็บ้าแล้ว! เกิดพ่อแม่เธอมาเอาเรื่องฉันจะทำไง”

“เฮอะ ที่แท้ก็ห่วงตัวเอง” เด็กหนุ่มหัวเราะหน้าเซ็ง

สรุปคือไล่ออกจากไร่เพราะไม่อยากรับผิดชอบชีวิตของเขาอย่างนั้นหรือ วิริยะคิดแล้วมุ่ยหน้า มองเชษฐ์ไชยที่กำลังกำลังอารมณ์เสียกล่าวกับเขา “คราวหลังอย่ามาทำตัวเจ้าเล่ห์แบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นโดนดีแน่”

“มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ครับ ผมว่ายน้ำได้”

“ฉันหมายถึงหมดทุกเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะแต่กับเรื่องนี้เรื่องเดียว” กล่าวจบแล้วพาลไปเตะพี่เขียวของวิริยะอย่างไร้เหตุผลทั้งที่เด็กหนุ่มไม่เข้าใจ

“อาเชษฐ์ อาเชษฐ์ทำอะไร!”

วิริยะเบิกตาเพราะรู้ดีว่าร่างกายของพี่เขียวของเขาอ่อนแอและพร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ ที่สำคัญเขาเพิ่งจะได้ใช้มันไปเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น จะเปิดจะปิดแต่ละทีก็ค่อย ๆ ทำอย่างอ่อนโยน แต่ไอ้พี่หนวดบ้านี่กลับใช้มันเป็นเครื่องบันดาลโทสะเสียอย่างนั้น ตากลมทำได้เพียงแค่เบิกกว้างมองพัดลมตัวเขียวเซละลิ่วล้มฟาดพื้นดังโครมใหญ่ จากที่พัดหมุนติ้วก็ค่อย ๆ หยุดลง

“พี่เขียว! อาเชษฐ์ทำบ้าอะไรเนี่ย ฮือ!”

เด็กหนุ่มวิ่งไปลูบคลำของรักของหวงอย่างพูดไม่ออก ร้องตะโกนต่อว่าคนกระทำอย่างเหลืออด “ทำไมทำแบบนี้! เป็นบ้าอะไรทำไมต้องทำลายข้าวของด้วย!”

“แล้วจะทำไม!” เชษฐ์ไชยรู้สึกโกรธที่ถูกต่อว่า ถูกเด็กนี่ร้องตะโกนใส่ หันหลังกลับมา เห็นไอ้ตัวดีที่ตีหน้ามึนคุยด้วยเมื่อครู่นั่งประคองพัดลมตัวเก่าไว้บนตัก น้ำตาหยดแหมะราวเม็ดฝน ทำอย่างตัวเองเป็นอังศุมาลินกำลังสั่งลาโกโบริเป็นครั้งสุดท้าย เห็นแล้วเชษฐ์ไชยอยากจะบ้า

“อย่ามาทำตัวเว่อร์ไปหน่อยเลย กะอีแค่พัดลมตัวเดียว”

“ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพี่เขียว!”

“ประสาท!”

ชายหนุ่มส่ายหน้า ลืมความโมโหไปในบัดดลเมื่อเห็นตาแดงก่ำอันเต็มไปด้วยก้อนน้ำเต็มเบ้า ทำหน้าโกรธราวเขากำลังฆ่าใครตาย อาจใช่…เมื่อตาคมเหลือบเห็นเด็กหนุ่มหน้าเศร้า พยุงพัดลมตัวนั้นขึ้นตั้งอย่างอ่อนโยน ทำเสียงสะอึกสะอื้นค่อย ๆ กดปุ่มเปิด ครั้นเห็นว่ามันใช้งานไม่ได้อีกต่อไปแล้ว วิริยะหันหน้าโกรธมายังเขา ด่าทางสายตาที่เขาทำพัดลมพัง ราวเป็นฆาตรกรจริง ๆ เสียอย่างนั้น

“ออกไปเลย!”

เชษฐ์ไชยชะงัก ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าไล่เขา “ว่าไงนะ…”

“บอกให้ออกไปไง!” แววตาของวิริยะแสดงออกมาว่ากำลังโกรธเขาจริง ๆ

เด็กหนุ่มลุกขึ้นมาผลักไล่ ต้อนให้เชษฐ์ไชยถอยกรูดก้าวเดินออกไปจากห้อง ใบหน้าโกรธขึ้งประสมคราบน้ำตานั้นเป็นภาพสุดท้ายก่อนที่ประตูจะปิดฉับตามแรงอารมณ์ จากที่เป็นฝ่ายโกรธ ทำเอาเชษฐ์ไชยนิ่งไป แล้วฉุกคิดว่าตัวเองกำลังถูกโกรธเข้าแล้ว แถมยังเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะโกรธกันด้วย คิดแล้วชายหนุ่มก็ยังคงยืนงงอยู่หน้าประตูนั้น ฟังเสียงร้องไห้ระงมของวิริยะอย่างไม่สามารถเข้าถึงใจเด็กบ้านั่นได้เลย

ชายหนุ่มถอนใจ แค่พัดลมพัง ต้องเล่นใหญ่รัชดาลัยขนาดนี้เลยหรือเนี่ย!

 

อาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้าจากการทำงาน วิริยะรู้สึกตัวตื่นช่วงตีห้าเพราะนอนเร็ว จากเมื่อวานไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไร ตื่นมาคราวนี้วิริยะร้องโอดโอยเพราะปวดเมื่อยตามร่างกายไปทุกส่วน โดยเฉพาะช่วงบ่าและดวงตาที่บวมฉึ่งเพราะร้องไห้

คิดแล้วก็พาลโกรธเชษฐ์ไชยที่ทำลายแหล่งความสุขหนึ่งเดียวของเขาทิ้งไป เด็กหนุ่มยกมือเกาแขนขาที่มีแต่รอยยุงกัดแล้วมุ่ยหน้า ถึงไม่รู้สึกตัวว่าร้อนเพราะหลับสนิทปานซ้อมตาย แต่ร่างกายเขาอาจเสียเลือดไปแล้วห้าสิบเปอร์เซ็นก็ได้ เป็นเพราะคนไร้เหตุผล คนป่าเถื่อนพรรค์นั้นนั่นแหละ หน้าตาทุเรศแล้วนิสัยยังทุเรศอีก นี่เขาไปเผลอมองว่าหล่อได้ยังไง!

ถึงจะเป็นแฝดกับอัฐษไชยก็เถอะ แต่ต่างกันราวฟ้ากับเหว!

วิริยะเก็บที่นอนอย่างหงุดหงิดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน อันที่จริงเขาไม่ใช่พวกบ่อน้ำตาตื้น และที่ร้องไห้ก็ไม่ใช่เพราะว่าเสียใจอะไร เขาโกรธจนน้ำตาไหลต่างหาก น้ำตาไหลเพราะไม่มีสิทธิ์แก้ตัวอะไรเลยกับคำกล่าวหา

ครั้นเก็บที่นอนแล้วเสร็จวิริยะก็รีบไปอาบน้ำผลัดเสื้อผ้า ค้นเห็นเสื้อจีนส์แขนยาวตัวละสี่พันของอัศวินหลงมาก็หยิบขึ้นมาสวม หากเพื่อนรักรู้ว่าเขาเอามาใส่ขนปุ๋ยคงได้ไล่เตะจนก้นช้ำแน่ แต่ช่างเถอะ เสื้อของเชษฐ์ไชยที่ใส่เมื่อวานก็ยังไม่แห้งเลย ใส่ไปแค่วันนี้แล้วค่อยเอามาซักเก็บไว้ก็คงไม่เป็นไร คิดแล้ววิริยะก็เปิดประตูออกไปข้างนอก ตกใจเมื่อเห็นคนตัวใหญ่ที่เพิ่งทะเลาะกันเมื่อวานกำลังจะเคาะประตูเรียก

คนตรงหน้าตกใจไม่ต่างอะไรจากวิริยะ เด็กหนุ่มเปลี่ยนสีหน้า แล้วเดินออกไปข้างนอก ปิดประตูลงกลอน รู้สึกว่าเชษฐ์ไชยทำหน้าเหมือนวางตัวไม่ถูก และมองตามร่างกายเขาราวกำลังคิดอะไรอยู่

“แต่งตัวจะไปไหน”

เจ้าของเสียงทุ้มถามฝ่าความเงียบ ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังนั่งมัดเชือกรองเท้า

“ทำไม แปลกใจที่เห็นผมตื่นเช้ารึไง” วิริยะย้อนเสียงเยาะราวกับการเอาชนะคำดูถูกของอีกฝ่ายได้เป็นเรื่องที่สนุกสนาน “ก็แค่ปรับตัววันเดียวเท่านั้นแหละ เห็นไหมว่าผมตื่นไปทำงานทันอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ใครมาปลุกหรอก”

“วันนี้วันอาทิตย์”

มือขาวซีดชะงัก แล้วรีบเงยขึ้นมองเชษฐ์ไชยที่ยังคงหน้านิ่ง

“หยุดเหรอ”

คนหน้าหนวดยักไหล่ สีหน้าแสดงออก บอกเด็กหนุ่มว่าสุดท้ายแล้ว ‘กูชนะ’ พร้อมกับความอับอายขายขี้หน้าขั้นสุดของวิริยะ ขณะที่รีบลุกขึ้นยืนเต็มตัวอย่างอัตโนมัติ “แล้วอาเชษฐ์มาทำไม วันนี้วันหยุดนี่”

เชษฐ์ไชยกอดอก “วันนี้หยุดก็จริง แล้วจะหยุดกินข้าวด้วยไหมละ ออกไปช่วยคนงานคนอื่นเตรียมของทำกับข้าวกับปลาด้วย ไม่ใช่นอนกระดิกตีนรอกินของฟรีอย่างเดียว อะไรพอทำได้ก็ทำซะ”

“ขอบคุณที่อุตส่าห์ตื่นตั้งแต่เช้ามาหลอกด่ากันนะครับ จะไปช่วยทำเดี๋ยวนี้แหละ แล้วคราวหน้าไม่ต้องเสียเวลามาเองก็ได้” วิริยะเปิดประตูเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดตัวสีขาวกับกางเกงขาสั้นเท่าเข่าสีครีม หน้าที่ว่าแดงหายแล้วเพราะได้นอนหลับอิ่มเอม จะเหลือก็แต่แก้มที่มีรอยปากยุงมากกว่าห้าตัวนี่แหละ

เด็กหนุ่มออกมาก็ไม่เห็นเชษฐ์ไชยแล้ว อีกฝ่ายอาจไปวิ่งออกกำลังก็ได้ เพราะเมื่อครู่เห็นสวมเสื้อกล้ามและกางเกงวอร์ม ไม่น่าเชื่อว่าจะสักเต็มหลังด้วย เด็กหนุ่มสะบัดภาพเมื่อวานออกแล้วเดินเข้าไปที่ครัวของโรงอาหาร เห็นแม่ต้อยกับหญิงสาวหลายคนกำลังจัดแจงทำอยู่ หนึ่งในนั้นมีส้มอยู่ด้วย หล่อนรีบกวักมือเรียกเด็กหนุ่มทันที

“วิว มานี่”

วิริยะมองหาผู้ชาย ทว่าไม่เห็นใครสักคน ปกติงานพวกนี้เป็นของผู้หญิงนี่ แล้วเหตุใดเชษฐ์ไชยต้องไปตามเขาด้วย เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วแล้วทรุดนั่งลงบนแคร่ตัวเดียวกับส้มที่กำลังซอยผักฉับ ๆ อย่างคล่องแคล่ว หล่อนคงเคยชินกับการตื่นตั้งแต่เช้ากระมัง เพราะตอนนี้หน้าตาดูสดชื่นมาก ไม่มีท่าทางเหมือนคนอดหลับอดนอนอย่างเขา แม้ว่าเมื่อคืนจะนอนหลับเต็มตื่นเหมือนกัน

“เรื่องเมื่อคืนเป็นไงบ้าง” ส้มกระซิบถาม ท่ามกลางเสียงโขลกพริกแกง สับหมูของแม่ครัวคนอื่น

“โดนด่ายับเลย” เด็กหนุ่มหน้ามุ่ย เล่าต่ออีก “แถมเตะพัดลมวิวปลิวว่อน”

“ตายจริง แล้วโดนทำร้ายไหม” ส้มเบิกตาตกใจ เด็กหนุ่มรีบส่ายหน้าตอบเพราะรู้ดีว่าคนอย่างเชษฐ์ไชยไม่ร้ายถึงขนาดทำใครเจ็บตัวเพราะความโกรธ ครั้นเห็นเด็กหนุ่มบอกว่าปลอดภัยส้มยกมือกุมหน้าอก “โล่งใจไปที นึกว่าจะโดนฆ่าหมกห้องไปแล้วนะเนี่ย สงสัยคงเพราะเป็นเด็กของคนรู้จัก นายเชษฐ์เลยไม่กล้าทำอะไร”

วิริยะยิ้มรับ นึกขอบคุณบารมีของเพื่อนรักอย่างอัศวินและอัฐษไชยขึ้นมาทันทีทันใด

“เอ้อ ก็นึกว่าผู้ชายมาช่วยทำกับข้าวด้วย ไปไหนกันหมดครับ”

“อ๋อ…พวกผู้ชายน่ะเหรอ…”

พูดยังไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงฮุยเล่ฮุยกันมาแต่ไกล วิริยะเบิกตา หันไปเห็นเงาของชายฉกรรจ์มากกว่าสิบชีวิต วิ่งถอดเสื้อต่อแถวตามหลังคนที่พวกเขาเพิ่งจะพูดถึง แล้วอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “นี่เล่นฝึกทหารกันอยู่เหรอ”

“อย่าดูถูกเชียวนะ ที่คนงานหนุ่ม ๆ ได้หุ่นน่าขยี้ขนาดนั้นได้เพราะนายเชษฐ์ช่วยเทรนให้อย่างดีแหละ”

“ผมว่าเขาวิ่งคนเดียวแล้วเหงาเลยบังคับคนอื่นให้วิ่งเป็นเพื่อนมากกว่า” ที่สำคัญ ฟังจากเจ็ดหนุ่มบอยแบนด์ภูธรพูดแล้ว มีแต่คนขยาดที่ถูกเชษฐ์ไชยบังคับให้ออกกำลังกายกันทั้งนั้น คิดแล้วเด็กหนุ่มก็มุ่ยหน้า นึกโกรธขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

“วิว ยกกะละมังผักบุ้งที่แช่น้ำไว้ตรงนั้นมาให้หน่อยเร็ว พี่จะหั่นเอาไปผัด”

“ครับ” แม้จะขานรับดิบดี วิริยะยกของโดยที่รู้สึกว่าร่างกายตัวเองหนักเป็นสองเท่า เผลอร้องโอยต่อหน้าส้มอย่างไม่ได้ตั้งใจ พลอยให้พี่สาวต่างบ้านนึกเป็นห่วง เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินลูบกล้ามเนื้อบนบ่าตัวเองหน้ายู่มาทรุดนั่งข้างแล้ว หล่อนจึงสอบถาม “ปวดเมื่อยตัวเหรอ วันแรก ๆ ก็งี้แหละ สองสามวันก็หาย เดี๋ยวทำกับข้าวเสร็จพี่จะพาไปขอยานวดที่ป้าต้อยนะ”

วิริยะยิ้มรับ ยกมือนวดบ่าตัวเอง ขาก็ปวดเพราะเดินทั้งวัน หากได้นวดยาก็คงดีขึ้นมาบ้าง ไม่อยากจะคิดเลยว่าต้องทำงานในขณะที่ร่างกายเป็นอย่างนี้

หลังทำกับข้าวเสร็จก็สว่างแล้ว ส้มพาเด็กหนุ่มเดินไปยังบ้านพักของป้าต้อยเพื่อขอยานวด นางทำหน้าตกใจรีบไปค้นยามายื่นให้ มือก็ลูบจับตัววิริยะด้วยความเป็นห่วง ถามไถ่ว่าไม่เป็นอะไรมากใช่หรือไม่ เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มรับไมตรีแล้วเดินกลับมาที่โรงอาหาร ประจวบเหมาะกับกลุ่มที่ไปวิ่งออกกำลังกายรอบไร่กลับมาถึง ผ่านเขากับส้มและกลุ่มสาว ๆ ที่ทยอยเข้ามาช่วยงาน กลับเข้าไปในหอพักเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาทานมื้อเช้าช่วงเจ็ดโมง จะเหลือก็แต่เชษฐ์ไชยที่วิ่งมาทิศนี้ หยิบเอาขวดเกลือแร่ที่วางทิ้งไว้มายกขึ้นดื่ม

วิริยะบีบยาขึ้นนวดช่วงกล้ามเนื้อไหล่ภายใต้เสื้อพักหนึ่ง แล้วบีบอีกส่วนไปนวดต้นขา

“ตายจริง นั่นรอยยุงกัดเหรอวิว ทำไมมันเยอะอย่างนั้นล่ะ” ส้มถาม

วิริยะก้มลงมองตัวเองอีกที นึกตกใจเหมือนกัน “อ๋อ ครับ”

“ก็โง่นอนให้มันกัดไปสิจะได้ตายไว ๆ” เสียงทุ้มดังขึ้นอยู่ไม่ไกล วิริยะเงยไปสบตานัยน์ตาคมดุเจ้าของคำพูดเมื่อครู่แล้วมุ่นคิ้วบอกว่าไม่ชอบใจ นั่นเพราะใครเล่าทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้ คิดแล้วเด็กหนุ่มก็เลือกที่จะไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายมาหาเรื่องอีกตามเคย ไม่อยากยุ่งด้วยอีกต่อไปแล้ว

“ไปเถอะพี่ส้ม วิวหิวข้าว”

“จะกินเลยเหรอ”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับแล้วเดินหนีออกไปตักอาหาร เมินเชษฐ์ไชยราวกับชายหนุ่มไม่มีตัวตน เป็นอากาศธาตุไป

ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย ขณะทำท่าบิดตัวออกกำลังกาย ตาคมก็มองตามแผ่นหลังแคบนั้นเดินจากไปโดยไม่ยอมพูดด้วย ต่างออกไปจากทุกที แม้จะมีเรื่องไม่พอใจกัน วิริยะจะวิ่งเข้าหาและพยายามคุยด้วยเสมอ ใบหน้าคมเต็มไปด้วยความข้องใจ ฉุกคิดขึ้นมาว่า หรืออีกฝ่ายจะยังโกรธเรื่องเขาทำลายพัดลมตัวนั้นอยู่

ไร้สาระ

เชษฐ์ไชยคิดแล้วส่ายหน้า ยกขวดน้ำดื่มโดยที่ไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาด้วย รู้เพียงว่าเขาไม่สนว่าไอ้เด็กนั่นจะเคืองขุ่นอะไร ก็แค่คนงานตัวเล็ก ๆ ไม่สลักสำคัญ ไม่ได้มีผลแก่ชีวิตของชายหนุ่มแม้แต่นิดเดียว คิดแล้ว นายใหญ่ของอาณาจักรก็เดินกระแทกเท้าดุ่ม ๆ ออกมา

ครั้นมาถึงบ้านและพร่ำบอกว่าตัวเองถูก ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เชษฐ์ไชยก็เหวี่ยงข้าวเหวี่ยงของไปทั่วราวกับคนพาล รู้สึกสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเมื่อยังหวนถึงน้ำตาของเด็กนั่น และสีหน้าที่มองด้วยดวงตาแตกต่างไปจากเดิม

ให้ตายซี เด็กนั่นทำของอะไรใส่เขากัน ชายหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองเลย

เขาโกรธจนบ้าเมื่อรู้ว่าวิริยะแสร้งว่ายน้ำไม่เป็น เพราะเขาเชื่อ เป็นห่วงและกลัวจริง ๆ

กลัวว่าเด็กนั่นจะตาย!

สุดท้ายก็เป็นเรื่องโกหก แต่มันกลับเป็นเรื่องโกหกที่เขาดีใจที่สุดในชีวิต!



--๑๐๐--

--------------------------------------------------

แอ่แฮ่ อ่านกันร้อยเปอร์เซ็นต์ทีเดียวเลย สนุกมั้ยคะ ถ้าสนุกอย่าลืมคอมเม้นเป็นกำลังใจคนเขียนนะ จะรออ่านอย่างใจจดใจจ่อ แล้วก็อย่าลืมสนับสนุนนักเขียนตาดำ ๆ คนนี้ด้วยเน้อ เพียงแค่ซับพอร์ทด้วยการเสียเวลาโหวต แชร์ให้สักนิดนึง แค่นี้หนูนาก็ชื่นใจแล้วเด้อ

อาเชษฐ์กับน้องวิวเริ่มมีความน่ารักขึ้นมานิด ๆ แล้ว คู่นี้เขาเป็นแนวพ่อแง่แม่งอน

รับรองว่าฟิน ตลกไปพร้อมกันแน่ ไม่ดราม่าเน้อ

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร


ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
ทำผิดยังไม่รุ้ตัวอีกนะอาเชษฐ์
วิวไม่คุยด้วยแล้ว สมน้ำหน้า
ไปซื้อพัดลมมาคืนเลยน้าา
ถ้าจะให้ดี พาวิวกลับไปนอนที่บ้านเหมือนเดิมเลย  :impress2:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
สงสารวิว สงสารพี่เขียว
คนอะไรใจร้ายจัง
 :beat:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ใครก็ได้ช่วยพาพี่เขียวไปหาหมอที  :serius2:

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ค่อยๆเป็นค่อยๆไปเนอะ ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 o13 เชียนได้น่าอ่านน่าติดตามมากครับ....สนุกมาก.. o13



 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa


ตอนที่ ๙

สองสามวันมานี้ เชษฐ์ไชยไม่ได้ตามมากวนวิริยะเลย พบเจอกันก็ช่วงออกกำลังกายตอนเช้าตรู่แบบผ่าน ๆ เท่านั้น นั่นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกดี เพราะเบื่อที่จะถูกมองด้วยสายตาจับผิดและรับฟังคำดูถูกต่อว่าสารพัดอย่างของอีกฝ่าย แต่เอาเข้าจริงก็แปลกใจเหมือนกันที่เป็นแบบนี้ มันทำให้รู้สึกว่าเชษฐ์ไชยพยายามตีตัวออกห่างจากเขา ทั้งที่ก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรนัก

แต่ช่างมันเถอะ คนไร้เหตุผลพรรค์นั้น เด็กหนุ่มไม่แคร์

พักหลัง ๆ มานี้วิริยะค่อนข้างใช้เวลากับเจ็ดหนุ่มบอยแบนด์ภูธรมากเป็นพิเศษ ตั้งแต่เช้าจนถึงเวลานอนเลยด้วยซ้ำ เพราะบ่นว่าร้อนอยู่บ่อย ๆ ดำก็เลยชวนเขาไปนอนด้วยกันที่ห้อง ซึ่งตอนแรกเด็กหนุ่มก็เกรงใจอยู่ แต่เพราะเขาขาดพัดลมไม่ได้จึงตัดสินใจไป ครั้นไปถึงทำให้เด็กหนุ่มตะลึงกับที่ฝั่งพักนั้น เป็นเตียงคู่อย่างดี ห้องก็ใหม่เอี่ยมอย่างกับเป็นโรงแรม ผิดจากห้องของเขาที่มีที่นอนแค่ฟูกต่ำ ๆ ฝ้าก็แทบจะหล่นลงมาทับหัว

นั่นยิ่งทำให้วิริยะโมโห เมื่อเห็นว่าห้องฝั่งนี้ยังปิดอยู่ เหลือใช้อีกตั้งสองสามห้อง แต่เชษฐ์ไชยกลับเลือกให้เขาไปนอนอีกฝั่ง เมื่อวัดจากฝีก้าวที่เดินไปห้องน้ำ ที่นี่ไกลกว่าไม่กี่ก้าว เขาอยากย้ายมานอนกับดำอย่างถาวรเลย ให้ช่วยออกค่าน้ำค่าไฟด้วยก็ได้

เชษฐ์ไชยเกลียดอะไรเขานักหนา เมื่อก่อนเขามองคนแบบนี้เป็นคนดีได้ยังไง เรื่องคืนนั้นเขาก็อุตส่าห์หวังดีไม่อยากเอาความเพราะคิดว่าเป็นความผิดพลาด แต่สิ่งแย่ ๆ ที่เชษฐ์ทำตอนนี้วิริยะจะไม่อดทน

“ไป! หาเหล้าแดกกัน ได้เงินละ” หนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นหลังจากได้เงินค่าแรงกันแล้ว วิริยะเดินตามหลังพวกพี่ ๆ ผ่านกลุ่มคนงานคนอื่นเพื่อกลับไปที่หอ ล้างเนื้อล้างตัวผลัดเสื้อผ้าพักผ่อนให้มีแรง ที่จริงสองวันแล้วที่ไม่ได้ใช้แรงงานเฉพาะส่วน เพราะพวกเขาย้ายมาบริเวณถางหญ้าพรวนดินกันแทน ส่วนที่ลำบากหน่อยก็คือฝ่ามือที่จับจอบกับเสียมนี่แหละ ระบมไปหมดแล้ว

วิริยะมองมือสากแดงของตัวเองพลางเดินตามหลังหนุ่ม ๆ ตัวโต เพราะไม่มีถุงมือเหมือนคนอื่นเขา

“ร้อนฉิบหาย ไปอาบน้ำที่น้ำตกกันไหมวันนี้”

“เออ กูก็อยากไป” ทั้งแปดคนเดินผ่านเชษฐ์ไชยที่ยืนกอดอกหน้าเคร่ง ต่างยกมือไหว้กันระนาว เหลือไอ้หนุ่มตัวผอมที่ตอนนี้หน้าแดงก่ำคร้ามเพราะแดดกำลังตั้งอกตั้งใจแกะมือสากลอกของตัวเองไม่สนโลก พลอยให้คนหน้ารกเห็นแล้วขัดตา เอื้อมขาไปเตะดำที่ยืนอยู่ใกล้อย่างต้องการระบายอารมณ์

หนุ่มอีสานงงเป็นไก่ตาแตก ตั้งแต่วันนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองไปทำให้เจ้านายเคืองใจเรื่องอะไร ดำเกาหัวแล้วปล่อยผ่าน หันไปกระตุกวิริยะที่จะเดินชนเสาให้ขยับออก “จะย่างกะย่างให้มันดี ๆ แน เดี๋ยวกะหัวปูดส่ำลูกบักนาว อย่าหาว่าอ้ายบ่เตือนเด้”

วิริยะฉีกยิ้ม “คร้าบอ้าย!”

“เว้าอีสานตาฮักแท้” ดำทำท่าหยอกด้วยการหยิกแก้ม พลอยให้เพื่อนคนอื่นหัวเราะแซวด้วย

“น้องมันอยากเอาใจมึงมากกว่า มึงมันโง่ไง ถูกยอนิดยอหน่อยก็ตามใจไปหมด” เหนือพูดปนหัวเราะ

“บักเหนือ คนแบบกูเขาเอิ้นคนอัธยาศัยดีโว้ย บ่ได้ซั่ว” ดำกอดคอน้องเล็กของกลุ่มแสดงท่าทางดังว่า พลอยให้วิริยะนึกขำและพยักหน้ารับในสิ่งที่พี่ชายต่างภาคบอกด้วย เพราะหากไม่ได้ความใจดีของดำเขาก็คงลำบาก ดำทำดีกับเขาเพราะเป็นคนดีโดยเนื้อแท้

“มื้อนี้สิไปอาบน้ำนำหมู่อ้ายบ่ สิได้กลับมาพร้อมกันโลด”

วิริยะรีบพยักหน้า “ไปครับไป รอผมก่อนนะจะไปเอาเสื้อผ้า”

“คราวนี้วิวอยู่เป็นเด็กเราอย่างเต็มตัวแล้วโว้ย” หนุ่มคนหนึ่งตะโกน แล้วทั้งแปดก็พากันโหวกเหวกคุยกันตามประสาเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ในขณะที่วิริยะก็เพียงหัวเราะสนุกไปกับเหล่าพี่ชายกลุ่มนี้เท่านั้น ครั้นมาถึงห้องพักก็รีบเก็บเสื้อและผ้าเช็ดตัวเตรียมไปอาบน้ำ ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครรัวเข้ามา ฝีเท้าที่มีมากกว่าสองคู่

ไม่นานก็เผยใบหน้าของสามสาว ส้ม กุ้ง และตาชะโงกหน้าเข้ามาหาวิริยะอย่างตื่นเต้น ให้เด็กหนุ่มนึกขึ้นได้ว่าทั้งสามต้องมีเรื่องอะไรขอร้องเขาเป็นแน่ วิริยะแสร้งทำไม่เห็น เก็บข้าวของแล้วเดินออกไปเจอะกับสาวจอมหื่นทั้งสาม

“วิวจ๋า ได้ข่าวว่าเดี๋ยวนี้ไปนอนกับเทพบุตรของพวกเราเหรอ” ส้มทำตาปริบ

“พี่รู้อยู่ตลอด ยังมาแอ๊บอีก”

คนฟังทำยิ้มแย้มเขินอาย “ก็แหม เดี๋ยวนี้เราน่ะ ไม่ค่อยมาเล่นกับพี่เลย”

“พี่ส้มก็ เมื่อเช้ายังทำกับข้าวด้วยกันอยู่เลยนะ” วิริยะกอดอก

“วิวรักพี่ไหม” คนตรงหน้าทำตาแป๋ว พลอยให้วิริยะอึ้งไปช่วงหนึ่งกับมุกนี้ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยท่าทีไปต่อไม่ถูกเมื่อเห็นสายตาอ้อนของลูกแมวทั้งสาม ไม่นาน โทรศัพท์ของส้มก็ถูกยื่นมาวางบนมือของเขาสีหน้าเว้าวอน “วิวจ๋า ถ่ายเหนือตอนนอนหลับคืนนี้มาให้ดูหน่อยสิ นะ…”

วิริยะเบิกตา “ไม่เอา!”

“นะ รับรองว่าจะเก็บเป็นความลับ”

“พี่จะบ้าเหรอ ผมนอนห้องพี่ดำนะ จะไปแอบถ่ายพี่เหนือได้ยังไง อีกอย่างพี่เหนือตอนนอนโป๊จะตาย ไม่มีทางที่ผมจะยอมถ่ายมาให้แน่ ถ้าพี่เหนือรู้เข้าตัวผมขาดเป็นสองท่อนเพราะโดนเตะชัวร์”

“ถ้าไม่เคยนอนด้วยกันจะรู้ได้ยังไงว่าเหนือแก้ผ้านอน ฮะ…” ส้มย้อนด้วยรอยยิ้มเผล่ สายตาร้ายกาจกว่าเก่า ได้ยินพี่สาวตรงหน้าต้อนแล้ววิริยะขนลุกซู่กับฝีปากของตัวเอง ทั้งสามเป็นสาวที่น่ารักและใจดีมาก เขาคิดเสมอว่าอยากจะตอบแทนที่พวกหล่อนใจดีด้วย แต่ทำอย่างนี้เกินไป คิดแล้ววิริยะก็หน้าจ๋อย

“ก็ได้ แค่รูปเดียวนะ”

“พี่ขอของไทรูปนึงนะ” กุ้งรีบพูดบ้าง

“ของพี่ขอรูปดำ เอาซิกซ์แพ็กส์เน้น ๆ!” ตาทำเสียงซู่ซ่าเมื่อกล่าว “ส่งมาที่ไลน์กลุ่มเลยนะ ตรงนี้น่ะเห็นไหม”

“คร้าบ จะพยายามนะ” เด็กหนุ่มขานรับ สรุปแล้วเขาต้องแอบถ่ายทั้งสามคนจริง ๆ หรือนี่ วิริยะหน้าซีดเป็นไก่ต้มเดินกลับไปยังกลุ่มบอยแบนด์สุดหล่อแห่งภูธรหลังจากปิดล็อกห้อง เอาจริง ๆ ก็นึกตลกท่าทีของพี่สาวทั้งสามยามกระดี๊กระด๊าอยู่หรอก แต่สิ่งที่เขาต้องทำมันดูเหมือนคนโรคจิตยังไงก็ไม่รู้ซี คิดแล้วเด็กหนุ่มก็ได้แต่ส่ายหน้า

 

เชษฐ์ไชยในชุดนอนขายาวกับเสื้อยืดสีเทาเดินออกจากห้องน้ำหลังชำระร่างกายแล้วเสร็จ ในมือถือผ้าขนหนูเช็ดผมพลางมองนาฬิกาบนฝาผนังบ่งบอกว่าตอนนี้ทุ่มกว่าแล้ว เหลือบไปเห็นสร้อยพระเส้นเล็กวางอยู่บนหัวเตียง เป็นของใครสักคนที่ทำหลุดทิ้งไว้เมื่อหลายวันก่อน ซึ่งชายหนุ่มตั้งใจเอาไปคืนให้ตั้งแต่เห็นวันแรก ๆ แต่เจอกันทีไรก็พูดจาไม่ถูกคอกันตลอด เลยไม่มีโอกาสได้คืนสักที

เสียงโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้บนเตียงสั่นครืดบอกว่ามีใครกำลังต้องการคุยสายด้วย ชายหนุ่มทอดถอนใจเมื่อเห็นว่าเจ้าของเบอร์คือน้องชายร่วมท้อง เอื้อมไปกดรับสาย เปิดสปีคเกอร์โฟนพลางเช็ดผมที่เปียกไปพลาง

“ว่าไง จะเร่งให้ฉันออกไปจากไร่อีกรึไง” ชายหนุ่มทำเสียงเย็นชาอย่างเคย

“จะทักทายน้องดี ๆ ไม่ได้เหรอ”

“แบบนี้ไม่ดีตรงไหน จะให้ฉันกราบสวัสดีเลยไหมไอ้คุณอัฐษ์”

ครั้นได้ยินเสียงหัวเราะของอัฐษไชยแล้ว ฝั่งนี้ก็ระบายยิ้มบ้าง

“เออ แบบนั้นก็ดี”

“สรุปนี่โทรมาทำไม ฉันไม่ใช่พวกชอบคุยกับใครผ่านโทรศัพท์นาน ๆ หรอกนะ น่าเบื่อ”

“ฉันแค่จะโทรไปเช็กว่าแกดูแลวิวดีรึเปล่า รึว่าแกล้งจนเด็กกลัวไปหมดแล้ว” น้องชายตอบตามใจตัวเอง พลอยให้คนฟังนิ่งไปเพราะตอนแรกชายหนุ่มก็คิดทำอย่างนั้นจริง ๆ แต่ครั้นเห็นว่าวิริยะพยายามสู้และยืนหยัดอย่างเข้มแข็งด้วยตัวเองตลอด ทำให้เชษฐ์ไชยรู้สึกว่าตัวเองมองเด็กนั่นผิดไป ซึ่งตอนนี้กลายเป็นว่าเขาถูกโกรธแทนเสียได้ ทั้งที่เป็นฝ่ายถูกปฏิเสธและหยามเกียรติความเป็นชายขนาดนี้

เชษฐ์ไชยอึกอัก “ก็…ก็ดี เด็กมันเก่ง”

“ฉันคิดไว้แล้วเชียวว่าคนอย่างวิวไม่มีทางยอมให้แกเล่นง่าย ๆ แน่”

“อย่ามารู้ดี คราวที่แล้วก็ทีนึงแล้วนะ ไอ้น้องเวร” ชายหนุ่มใช้เสียงกึ่งเล่นกึ่งจริง

“แล้วมันจริงอย่างที่ฉันรู้รึเปล่าล่ะ”

คนพี่นิ่งไป “แก…รู้อะไร…”

“ขอฉันคุยกับวิวหน่อยสิ”

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง!”

คนใจร้อนขึ้นเสียงปนหงุดหงิด แต่น้องชายไม่ได้รู้สึกถึงความน่ากลัวเลยแม้แต่นิด หัวเราะชอบอกชอบใจที่กวนประสาทเชษฐ์ไชยให้หัวหมุนได้ ใครบอกว่าไอ้น้องชายของเขามันดีแสนดี อัฐษไชยน่ะร้ายกาจกว่าที่คนอื่นคิด โดยเฉพาะเรื่องการสรรหาวิธีมากลั่นแกล้งเขา “บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะอัฐษ์ แกรู้อะไรมา”

“ฉันต้องการคุยกับวิว แล้วค่อยบอก”

เชษฐ์ไชยขบฟันราวอยากจะร้องตะโกนใส่คนในสายอย่างถูกขัดใจ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเหวี่ยงฟาดใส่อากาศสองสามทีด้วยความหงุดหงิด ตอบเสียงธรรมชาติที่สุดกลับไปอย่างใจเย็นว่า “เด็กมันคงอยากจะพัก ทำงานมาทั้งวันแล้ว”

“เชษฐ์ ออกไปหาวิวเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของอัฐษไชยเยือกเย็นขึ้นจนพี่ชายสัมผัสได้

“อ๋อ…ได้เลย ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ แต่จะโทรกลับไปทีหลังนะ เผื่อเด็กมันหลับ”

“ห้องใกล้กันแค่นี้ เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้วนี่ ไม่ต้องวาง ฉันรอได้” ดูเหมือนอัฐษไชยจะรู้ทัน

“ฮะ อะไรนะ แถวนี้สัญญาณไม่ค่อยดีเลย เดี๋ยวโทรไปใหม่นะ…” มือยาวยื่นโทรศัพท์ออกห่างไปเรื่อย ๆ แสร้งทำให้เสมือนจริงที่สุด

แม้น้ำเสียงจะฟังเหมือนใจเย็นไม่มีอะไรแอบแฝง แต่ครั้นกดปุ่มวางสาย หนุ่มหน้ากอริลล่าก็ใช้เกียร์ที่เร็วที่สุดวิ่งลงไปข้างล่าง กระโดดขึ้นนั่งบนรถคู่ใจ ขับบึ่งไปยังหอพักด้วยความรวดเร็วที่สุดเพราะกลัวว่าน้องชายจะรู้ว่าเขาแกล้งหลานเพื่อน ครั้นไปถึงชายหนุ่มก็วิ่งไปยังห้องพักของวิริยะ ท่ามกลางเสียงโทรศัพท์ที่ดังสั่นเตือนว่าอัฐษไชยกำลังโทรมาอีกรอบหนึ่ง

หากทว่าเมื่อไปถึง เชษฐ์ไชยก็แปลกใจที่วิริยะปิดไฟนอนตั้งแต่หัววัน ห้องปิดสนิทราวกับไม่มีคนอยู่ ทั้งที่เพื่อนร่วมหอคนอื่นยังนั่งเล่นกันอยู่หน้าที่พัก ชายหนุ่มถอนใจหอบเหนื่อยรอให้ตนเองเป็นปกติก่อนแล้วค่อยจะเคาะประตู หากทว่าคนงานข้างห้องเด็กหนุ่มก็เอ่ยถามขึ้นว่า “นายเชษฐ์จะมาหาวิวเหรอคะ”

ชายหนุ่มหันไปมองก่อนจะพยักหน้าตอบ “ใช่ พอดีมีธุระนิดหน่อย”

“วิวไม่อยู่ค่ะ”

“ไปไหน!” คนถามมุ่นคิ้วสงสัย ค่ำมืดดึกดื่นปานนี้แล้วทำไมยังไม่ยอมกลับห้องอีก หรือจะอยู่กับกลุ่มไอ้พวกแสบนั่นแล้วปลีกตัวออกมายังไม่ได้ หรือไปกินเหล้า ถูกบังคับให้ดื่มจนเมาหาทางกลับห้องไม่เจอ

“อ๋อ เห็นว่าไปนอนห้องไอ้ดำน่ะค่ะ”

คนฟังหน้าตึงขึ้นมาอีกระดับ “ไปได้ยังไง! ทำไมไม่นอนห้องของตัวเอง!”

“เห็นว่าที่ห้องไม่มีมุ้ง ไม่มีพัดลม ก็เลยไปนอนกับไอ้ดำก่อนน่ะค่ะ ไปได้สองสามวันแล้ว” ไม่รู้เป็นเพราะโกรธที่วิริยะทิ้งห้องตัวเองไปหรืออะไร เชษฐ์ไชยหน้าร้อนวูบวาบใจเต้นตึกตัก เขาก็นึกว่าถูกบังคับล่อลวงให้อยู่จนกลับมาไม่ได้ แต่นี่เต็มใจไปนอนกับไอ้พวกนั้นเองอย่างนั้นหรือ คิดแล้วนายใหญ่ของไร่ก็เดินกระแทกเท้าดุ่มไปยังฝั่งที่พักของผู้ชาย ไม่สนเสียงโทรศัพท์ที่กรีดร้องลั่นในมือ

ท่ามกลางสายตาหวาดระแวงของคนงานที่บอก นางไม่รู้ว่าตนเองทำถูกหรือเปล่าที่เล่าให้เจ้านายฟัง แต่เมื่อเห็นรังสีจิตสังหารของเชษฐ์ไชยหลังได้ฟังแล้วนั้น เริ่มรู้สึกสงสารวิริยะขึ้นมาแล้ว กลัวว่าจะถูกเล่นงานเข้า ทั้งที่นางหวังดีคิดว่าเชษฐ์ไชยจะหาของที่ขาดมาเติมให้คนงานอย่างเช่นทุกครั้ง

 --๕๐--


ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa

(ต่อ)

ในขณะที่เจ็ดหนุ่มกำลังสนุกสนานกับการตั้งวงดื่มสี่สิบดีกรีกันนั้น วิริยะนอนเล่นเกมที่ส้มโหลดไว้ไปพลาง เหลือบมองว่าทุกคนจะหยุดกันเมื่อไรไปพลาง แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่ได้ตั้งใจกินให้เมาเหมือนช่วงวันหยุดเพราะรู้ว่ามีงาน แค่จิบแล้วก็เล่นกีตาร์ ร้องเพลงกันไปด้วยเท่านั้น

วิริยะเพิ่งรู้ว่าดำร้องเพลงเพราะมาก โดยเฉพาะเพลงที่ต้องใช้ลูกเอื้อนมาก ๆ อย่างเพลงลูกทุ่งแนวอีสาน

เขาแอบอัดคลิปตอนดำดีดกีตาร์ร้องเพลงแล้วส่งไปให้พี่สาวทั้งสามดูเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อน เพราะไม่รู้ว่าทุกคนจะเข้านอนเมื่อไร นี่ก็เพียงแค่สองทุ่มเท่านั้นเอง จากนั้นข้อความก็เด้งเข้ามา กรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่ราวกับเห็นพี่ชายจากอีสานของวิริยะเป็นดาราใหญ่ เด็กหนุ่มเห็นแล้วเพียงแค่หัวเราะคิกคักชอบใจ

แม้ว่าห้องฝั่งนี้จะกว้าง แต่การเอาผู้ชายร่างใหญ่ทั้งเจ็ดคนมาอัดรวมในห้องเดียวกันมันก็ยุ่งยากไปนิด ดังนั้นไม่แปลกที่วิริยะจะเห็นสองหนุ่มรุ่นพี่นั่งอยู่บนตักกันในวงเหล้าที่มีโต๊ะเก้าอี้จำกัด สำหรับพวกเขาถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะเขากับกลุ่มเพื่อนมักทำเช่นนี้เหมือนกัน แต่ครั้นสาว ๆ เห็นแล้วก็พากันหวีดเสียยกใหญ่ เมื่อวิริยะส่ายกล้องไปให้เห็นบรรยากาศยามพี่ชายทั้งหมดอยู่ด้วยกัน

“ทำไรอะวิว” หนุ่มคนหนึ่งหันหน้ามาถาม

เด็กหนุ่มรีบผละมือจากโทรศัพท์ “อ๋อ หาสัญญาณอะพี่ ไม่มีอะไร”

“ในนี้ก็มีสัญญาณปกตินี่หว่า โทรศัพท์ไม่ดี สงสัยต้องซื้อใหม่แล้วมั้ง”

หมอกปัดหัวคนถาม “ทำไม มึงจะเปย์น้องเหรอ”

“เปย์…คือไรวะ”

“ไอ้ห่า ก็คือมึงจะจ่ายให้น้องมันเหรอ”

“ใครบอกมึง กูแค่แซวมัน มึงดูหน้ากูซิ หน้ากูมันคนจนเว้ย!” พูดจบก็ล็อกคอหมอกหยอกเย้ากันไปด้วย พลอยให้วิริยะนึกถึงอัศวินขึ้นมาทันใด ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มก็เล่นกับเพื่อนรักอย่างนี้ แต่หลังจากนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ทั้งสองจะไม่ได้เจอกันอีกตั้งนาน แต่ในขณะที่ทั้งหมดกำลังสนุกกับการร้องเพลงกันนั้น เสียงเคาะประตูดังปังราวคนไม่สบอารมณ์ก็เกิดขึ้น ทำเอาวิริยะลืมความเศร้าเมื่อครู่ที่ผุดขึ้นไปในบัดดล

“เปิดประตู กูรู้พวกมึงอยู่ข้างใน!”

“เฮ้ย! เสียงนายเชษฐ์” หมอกร้องขึ้น

“ฉิบหาย แยกวง!” ดูเหมือนเมื่อทั้งเจ็ดหนุ่มรู้ว่าใครมาแล้ว สถานการณ์ราวกับวัยรุ่นลักลอบทำเรื่องผิดกฎหมายแล้วมีตำรวจมาทลายรัง วิ่งกันจ้าละหวั่นไปหมดทั้งที่ห้องก็ไม่ได้กว้างขนาดนั้น วิริยะตกใจ เมื่อดำมุดเข้ามาอยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกันแสร้งนอนหลับหนีเพื่อนคนอื่น

“ไอ้ห่าดำ!”

เมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องตัดช่องน้อยแต่พอตัวแล้ว ต่างคนต่างพากันหาที่ซ่อนราวกับเป็นพวกอาชญากรผิดกฎหมาย พลอยทำให้วิริยะตกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องหวาดกลัวเชษฐ์ไชยกันขนาดนี้ด้วย

“กูบอกให้พวกมึงเปิดประตู!”

เสียงจากยมทูตชัด ๆ นี่!

“ทำไมวันนี้นายเชษฐ์มาได้วะ ใครบอก”

“กูบ่ฮุ้! ไปเปิดประตูสิวะ”

ดำร้องทั้งมุดตัวอยู่ในผ้าห่มที่เด็กหนุ่มนอน ท้ายที่สุดเมื่อเสียงเคาะเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนั้น หนุ่ม ๆ ทั้งหลายรู้ว่าเจ้านายข้างนอกได้เพิ่มดีกรีความโกรธไปอีกขั้น หากช้ากว่านี้ได้จมกองเท้าแน่ หมอกจึงตัดสินใจวิ่งไปเปิดประตูรับหน้าแทนเพื่อน ๆ ที่ต่างไปหลบอยู่ใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้า และแกล้งตายอยู่บนพื้นด้วยก็มี ซึ่งก็โชคร้ายหน่อย โดนเชษฐ์ไชยเดินเข้ามาเหยียบกลางลำตัวจนจุก ทว่าคนหน้าโหดตรงดิ่งไปกระชากดึงวิริยะที่นอนเรียงกับพี่ ๆ อีกสองคนออก โดยมิได้เอาเรื่องอะไรใครที่เหลือเลย เรียกได้ว่าทุกคนเป็นอากาศธาตุไปแล้ว

“อาเชษฐ์!” วิริยะงุนงง

“ออกไปคุยกันข้างนอก”

“ช้า ๆ หน่อยสิผมตามไม่ทัน” ดำชะโงกหัวมองตามเด็กหนุ่มที่ถูกดึงให้เดินตามหลังไปแล้วนึกแปลกใจ ไม่ต่างจากเพื่อนคนอื่นที่รอดชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็นกังวลและห่วงว่าวิริยะจะโดนจัดการเรื่องอะไร เพราะที่ผ่านมาเชษฐ์ไชยก็คอยหาเรื่องเด็กคนนี้มาโดยตลอด หนำซ้ำวันนี้นายใหญ่ของไร่ก็ดูเหมือนจะหงุดหงิดกว่าทุกวันด้วย

หน้าเชษฐ์ไชยตอนก้มลงมากระชากดึงให้วิริยะลุกขึ้นนั้นยังล่องลอยอยู่ในหัวดำ โคตรน่ากลัว

“อาเชษฐ์หยุด อาเชษฐ์!”

วิริยะขมวดคิ้วมุ่นขณะพูดเสียงดัง เขาถูกพาออกไปมาถึงต้นไม้ใหญ่บริเวณลานกว้างของหอ เด็กหนุ่มกระตุกมือกลับด้วยความไม่เข้าใจว่าเชษฐ์ไชยต้องการอะไร จู่ ๆ ก็บุกไปแล้วบังคับใช้กำลังให้เขาเดินตามมา

“อาเชษฐ์มีธุระอะไร” คนถามกอดอก ไม่ยอมให้คนตัวโตกว่าจูงพาเดินต่อไป

เชษฐ์ไชยหันมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ทำไมมานอนที่นี่”

คนฟังพยักหน้าเข้าใจสถานการณ์ “อ๋อ ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง”

“ฉันถามก็ตอบสิ!” ดูเหมือนคนตรงหน้าเด็กหนุ่มจะกำลังโมโห

“พี่ดำชวนมาผมก็มาน่ะสิ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธสักหน่อย”

“แล้วห้องของตัวเองก็มีทำไมไม่นอน”

“ก็ห้องพี่ดำดีกว่า พัดลมก็ตัวใหญ่ ที่นอนก็นุ่ม แถมมีเพื่อนคุยเยอะแยะ” วิริยะตอบตามความจริงทั้งสบตาคนอารมณ์ร้อนตรงหน้า นึกเจ็บหนึบตรงข้อมือที่ถูกบังคับกุมจับเมื่อครู่นิดหน่อย พลอยให้รู้สึกขุ่นใจที่ถูกกระทำอย่างไร้เหตุผลด้วย ประสมกับเรื่องเก่า ๆ ที่ประสบ ทำให้เริ่มไม่อยากคุยกับคนตรงหน้าแล้ว

“กลับไปนอนที่ห้องของตัวเองเดี๋ยวนี้” เชษฐ์ไชยออกคำสั่ง

“ไม่ไป…”

“วิว!”

“ก็มันเป็นสิทธิ์ของผม อาเชษฐ์มีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่ง สรุปเป็นเจ้านายหรือเป็นเจ้าชีวิตครับ” เด็กหนุ่มทำหน้ามึนคุยด้วยราวไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เห็นเชษฐ์ไชยขบกรามพ่นลมหายใจฟืดฟาดแล้วนึกหวั่นนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดรุ่นพี่ที่เป็นกันเมื่อครู่

คนหน้าหนวดยกนิ้วชี้ชี้หน้า “ปากก็บอกว่าอยู่ได้ ที่แท้ก็ติดสบายเหมือนเดิมนั่นแหละ”

วิริยะชะงัก เปลี่ยนสีหน้ามาเป็นบึ้งบูด และเสียความรู้สึกเมื่อนึกขึ้นมาได้ “อ๋อ…พอผมพูดแบบนั้น เลยเป็นโอกาสให้อาเชษฐ์แกล้งอะไรก็ได้เพื่อความสะใจใช่ไหม คิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าห้องดี ๆ เหลือตั้งเยอะแยะแต่คุณเลือกห้องนั้นให้ ถ้าแบบนั้นทำให้คุณรู้สึกสนุก ก็ได้! กลับไปนอนตากยุงที่ห้องก็ได้ แบบนี้ก็คงพอใจอาเชษฐ์แล้วแหละ”

คนฟังนิ่งไป

“วิว…”

เชษฐ์ไชยอึ้งจนพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำพูดตรง ๆ ประสมสีหน้าผิดหวังของวิริยะ ทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังแคบนั้นขณะที่วิริยะเดินไปอีกฝั่งเพื่อกลับห้องพักอย่างที่พูด มือใหญ่เขกกะโหลกหนา ๆ ของตัวเองสองสามทีอย่างนึกหงุดหงิด อยากจะบอกว่าเขาไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อยแต่ก็สรรหาคำพูดมาแก้ตัวไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ชายหนุ่มคิดแกล้งวิริยะจริง ๆ

ชายหนุ่มรีบเดินตามหลังวิริยะไปจนถึงหน้าห้องพัก ดีหน่อยที่คนงานคนอื่นเข้าไปพักด้านในกันแล้ว

“เดี๋ยวก่อน” คนตัวโตกว่าเรียกให้วิริยะหยุด ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ขัดคำสั่งของเชษฐ์ไชย หันกลับไปหาด้วยความใคร่ทราบว่ายังมีธุระอะไรอีก นอกจากแวะมาด่าเขา

เชษฐ์ไชยจึงกดต่อสายไปยังอัฐษไชยแล้วยื่นให้ พูดด้วยน้ำเสียงใจเย็นราวกับเมื่อครู่ไม่ได้ปะทะอารมณ์กันมา “ไอ้อัฐษ์มันเป็นห่วง อยากคุยด้วย”

ทั้งที่ไม่อยากพูดดีกับคนตรงหน้า วิริยะก็จำต้องทำเพราะอยากให้อัฐษไชยสบายใจ เด็กหนุ่มเมินสายตาของเชษฐ์ไชยไปแล้วรับมาถืออย่างไม่เกี่ยงงอน ซึ่งดูเหมือนคนหน้ากอริลล่าตรงหน้าจะรู้ตัวว่าถูกโกรธกับสิ่งที่ก่อ ไหนจะเรื่องเดิมที่ยังไม่ทันได้เคลียร์อีก “เข้าไปคุยข้างในก็ได้ ตรงนี้ยุงมันเยอะ”

“ข้างในก็มีเหมือนกันนั่นแหละ ไม่ต่างจากข้างนอกหรอก” คนตอบมุ่นคิ้ว ยิ่งเป็นการย้ำความผิดของเชษฐ์ไชยไปอีก

ดูเหมือนเชษฐ์ไชยจะมีเรื่องพูดกับวิริยะอีก ทว่าเด็กหนุ่มหันมาพูดกับอัฐษไชยเมื่อปลายสายกดรับแทน อันที่จริงคืออยากให้คนหน้าหนวดรู้ว่าตอนนี้หรือตอนไหนก็ไม่อยากพูดด้วยอีกต่อไปแล้ว ซึ่งการกระทำแบบนี้อาจไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายลำบากอะไรนัก นอกจากรู้ตัวแล้วต่างคนต่างอยู่สักที เลิกมาแกล้ง เลิกมาวุ่นวายวิริยะได้แล้ว

ดูเหมือนในขณะที่วิริยะกำลังตอบคำถามไถ่อย่างเป็นห่วงของอัฐษไชยอยู่นั้น เชษฐ์ไชยคงเดินแยกไปที่ไหนสักที่ เมื่อหันกลับมาเด็กหนุ่มก็ไม่เห็นแล้ว แต่วิริยะไม่ได้ใส่ใจ บอกกับคนในสายว่าเขาสบายดีและไม่ต้องห่วงว่าจะลำบากอะไร ที่นี่มีแต่คนน่ารักทั้งนั้น ซึ่งเมื่ออัฐษไชยวางใจและหายเป็นห่วงแล้วทั้งสองก็วางสายลง พร้อมกับนายใหญ่ของไร่เดินหน้าเรียบกลับมา ในมือถือถุงอะไรสักอย่างมาหยุดตรงหน้าวิริยะ

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว เมื่อคนตรงหน้ายื่นของในมือให้เขาพร้อมกับถาม “ไอ้อัฐษ์ว่ายังไงบ้าง”

วิริยะรับของมาถือ เปิดดูเป็นมุ้งสีฟ้าอันใหม่ยังไม่ทันแกะจากถุงแพ็ค เด็กหนุ่มยังคงหน้าบึ้ง ถึงจะทำแบบนี้แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้สึกดีด้วยหรอก “ไม่ต้องกลัวว่าผมจะฟ้องอาอัฐษ์หรอกว่าอาเชษฐ์แกล้งยังไงบ้าง ผมไม่พูดอะไรทั้งนั้นแหละ”

เชษฐ์ไชยเริ่มหัวเสีย “อย่ามาหาเรื่องฉันนะ”

“พูดความจริงมันผิดตรงไหนครับ ขอเถอะ คราวนี้ต่างคนต่างอยู่ไปเลยนะ อย่างที่อาเชษฐ์พูดไง” มือเล็ก ๆ เอื้อมเอาโทรศัพท์มาวางบนฝ่ามือของเชษฐ์ไชยหนัก ๆ ประกอบด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นั้นทำให้ชายหนุ่มพูดไม่ออกไปอีกสักพัก ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมไม่โวยวาย ไม่เสียงดังบังคับให้วิริยะเชื่อฟังอย่างที่ทำกับคนงานคนอื่น

ทำได้เพียงมองตามเด็กตรงหน้าเดินตึงตังเข้าไปข้างใน

มือใหญ่ขยี้ขยำหัวตัวเองอยู่สองสามนาทีอย่างหงุดหงิดไม่ได้ดังใจ ทำไมหัวร้อนปากหมาไม่เข้าเรื่อง ทำไมไม่รู้จักควบคุมอารมณ์เอาเสียเลย มันไม่ใช่ความผิดของวิริยะสักนิด แต่แค่ได้ยินว่าเด็กหนุ่มไปนอนที่ห้องคนอื่นก็ทำให้เขาโมโหจนลืมคิดไตร่ตรองอะไรหลายอย่าง ทำผิดอีกรอบอย่างช่วยไม่ได้

เชษฐ์ไชยไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจเลยว่าเขาเดือดร้อนอะไรเมื่อวิริยะไม่อยากพูดด้วย ไม่อยากมองหน้า และทำท่าทางรังเกียจเขา เขาอาจกำลังจะบ้าไปแล้วก็ได้ เมื่อคิดว่าไม่อาจปล่อยให้มันเป็นแบบนี้อีกต่อไป ต้องการที่จะทำให้วิริยะคนเดิมกลับมาทุกวิถีทาง

การหายหน้าไป ไม่เข้าไร่ไปเจอวิริยะกลับทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก

 

ร้อนโว้ย!

วิริยะร้องตะโกนในใจอย่างนึกหงุดหงิด พลิกซ้ายขวาเพราะไม่สบายเนื้อสบายตัวบนฟูกผืนบาง พลันใบหน้าเอาแต่ใจของคนคลั่งอำนาจราวกอริลล่าตัวผู้ผุดขึ้นมาแล้วยิ่งนึกหงุดหงิดไปกันใหญ่ พูดออกมาได้ว่าเขาไม่รู้จักอดทน ให้เขาอดทนกับการถูกเจ้าตัวแกล้งไปตลอดใครมันจะไปทนไหว เขาไม่ใช่พวกซาดิสม์สักหน่อย

แล้วนี่อะไร ไปเอามุ้งมาให้แล้วไม่เอาพัดลมมาด้วย คิดว่าห้องผีสิงเก่า ๆ นี่จะมีลมพัดเข้าออกสะดวกอย่างนั้นหรือ ตัวเองนอนอยู่ในห้องใหญ่ เปิดแอร์เย็นสบาย ไม่ได้สัมผัสกับตัวเองแล้วยังกล้ามาดูถูกคนอื่นอีก คิดแล้วก็อารมณ์ขึ้น

ไหนจะเสียงของกลุ่มรุ่นพี่ที่เพิ่งถูกทลายแหล่งกบดานอีก เป็นชั่วโมงแล้วยังไม่หยุดออกกำลังกาย พวกดำคงถูกเชษฐ์ไชยทำโทษให้วิ่งรอบไร่กันแน่ คนดี ๆ ที่ไหนจะมาวิ่งออกฝึกทหารกันดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ แถมเสียงของเชษฐ์ไชยตอนตะโกนสั่งก็ดังไปทั้งหอ

“สงสัยยังไม่เหนื่อยพอ กลางค่ำกลางคืนไม่หลับไม่นอนกันดีนัก!”

สรุปเป็นเจ้านายหรือเป็นครูกันแน่ วิริยะมุ่นคิ้วแล้วเอาหมอนอุดหู หลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ รู้เพียงว่ารู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีเพราะเหงื่อเต็มตัวในช่วงตีสี่กว่า เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ แต่ตัดสินใจเก็บที่นอนแล้วออกไปอาบน้ำคลายร้อน เห็นว่าคนงานคนอื่นเริ่มตื่นกันแล้วจึงเอาโทรศัพท์ไปคืนส้ม เดินตามคนงานชายไปช่วยเก็บผักที่สวน ตรงข้ามกับบ้านหลังใหญ่ที่เคยมาพักก่อนหน้านี้

บ้านตรงหน้าก็เปิดไฟแล้ว เห็นเชษฐ์ไชยเดินออกมาด้านนอกเพื่อดูคนงาน ดูเหมือนทุกวันจะเป็นแบบนี้ตลอด ตื่นแต่เช้ามาสูดอากาศและออกกำลังกาย แต่วันนี้คงแปลกที่วิริยะตื่นเร็วกว่าทุกวัน เมื่อรู้ว่าคนตัวโตเห็นเขาแล้ววิริยะเปลี่ยนมาก้มหน้าก้มตาเก็บผักใส่ตะกร้าอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วยกเดินหนีกลับมาที่โรงครัว เอามาวางเรียงไว้กับผักชนิดอื่น ๆ ที่วางอยู่ก่อนหน้า

“ทำไมวันนี้ตื่นตั้งแต่เช้าละคะ ทำไมไม่นอนเสียให้พอ” แม่ต้อยถามขึ้น

วิริยะยกยิ้ม “นอนไม่หลับครับ”

“มีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ บอกฉันได้นะคะ”

เด็กหนุ่มส่ายหน้าด้วยสีหน้าเป็นปกติ “เปล่าครับ ก็แค่เมื่อคืนอากาศร้อนอบอ้าวนิดหน่อย ผมเลยตื่นเร็ว”

“อ้อ นึกว่าทะเลาะอะไรกับนายเชษฐ์เสียอีก” แม่ต้อยกุมหน้าอกโล่งใจ แต่วิริยะหน้าเสียไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของแม่ต้อย มองนางเล่าปนยิ้มให้ฟังว่า “เมื่อคืนนายเชษฐ์เดินหน้ายุ่งมาขอมุ้ง บอกจะเอาไปให้น้องวิว ก็นึกว่ามีปัญหาอะไรกัน แล้วนายเชษฐ์ไม่ได้บอกเหรอคะว่าขาดเหลืออะไรให้เดินมาขอที่บ้านฉันได้เลย”

วิริยะส่ายหน้าอย่างนึกอารมณ์เสียอีกที “ไม่ครับ ไม่ได้บอกอะไรเลย”

“ถ้าอยากได้อะไรบอกฉันได้นะคะ”

“งั้น ป้าต้อยพอจะมีพัดลมเหลือใช้สักตัวไหมครับ”

นางทำหน้าเสียดาย “ขอโทษนะคะ แต่พัดลมไม่มีเหลือเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะลองถามคนงานคนอื่นดูให้นะคะ”

“ขอบคุณครับ” วิริยะทำหน้าละห้อย เดินกลับไปหากลุ่มของส้มที่กำลังช่วยกันหั่นผักและพูดคุยกันไปด้วย

เวลางานเดินมาถึงอย่างรวดเร็วและเชื่องช้าไปพร้อมกัน วิริยะชาชินกับความร้อนอบอ้าวของอากาศตอนกลางวัน เด็กหนุ่มได้รับถุงมือผ้าต่อจากดำ ช่วยให้ทำงานสบายขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน กระทั่งถึงเวลาพักเบรกช่วงบ่ายที่อากาศร้อนมากของวัน ทุกคนเดินไปทรุดนั่งดื่มน้ำข้างวิริยะที่ยังคงขะมักเขม้นถางหญ้าออกจากโคนต้นไม้สองต้นสุดท้ายของแถว วิริยะเหงื่อซกอาบมาถึงคาง หน้าแดงไปทั้งหน้าจนคนมองอยู่ต้องบอกให้พัก

“วิว มาพักก่อน หน้าเราดูไม่ไหวแล้วน่ะ” ไทร้องบอกพลางถอดเสื้ออวดหุ่น

“เดี๋ยวก่อนพี่ ใกล้จะเสร็จแล้ว”

“ถึงเวลาพักก็ควรพัก อย่าหักโหมเดี๋ยวไม่สบาย”

“ผมแข็งแรงจะตาย” วิริยะหันไปยิ้มให้พี่ ๆ ที่นั่งดื่มเกลือแร่กันคนละขวดอยู่ไม่ไกล บ้างก็ส่งเสียงเชียร์ บ้างก็ห้ามปราม หากทว่าตากลมผละไปเห็นเชษฐ์ไชยเดินถือขวดน้ำแร่ที่เหลือเข้ามา เด็กหนุ่มวางเสียมในมือลงแล้วผุดลุกขึ้นจากพื้น “เออ ไม่ควรหักโหมจริง ๆ แหละพี่ ขยันไปก็ไม่ได้เงินเพิ่ม ไม่ใช่ไร่ของผมสักหน่อย”

“โห่วววว! ปากเก่งจริง น้องใครวะ”

“น้องกู ๆ” ดำยืดอกภาคภูมิใจ มองวิริยะเดินยิ้มแป้นเข้าไปหา

“น้องมึงใช่มั้ย งั้นมารับตีนกูแทนน้องมึงหน่อยสิ”

“อุ่ย! นายเซษฐ์” ดำสะดุ้ง

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” เมื่อเห็นดำหน้าหงอตกใจเพราะไม่รู้ว่าเชษฐ์ไชยเดินมา เพื่อนทุกคนหัวเราะชอบใจไม่เว้นแม้กระทั่งวิริยะด้วย เด็กหนุ่มรับเกลือแร่ที่เชษฐ์ไชยเอื้อมส่งให้สีหน้าเป็นปกติ แม้ว่าสีหน้าจะดูอิดโรยเพราะทำงานทว่ากลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเมื่ออยู่กับกลุ่มลิงทโมนกลุ่มนี้ แต่ครั้นเจ้าตัวรู้ว่าเชษฐ์ไชยกำลังจะพูดด้วยเท่านั้น หน้าก็บึ้ง แล้วเดินเบี่ยงไปนั่งอีกมุมเสียเฉย ๆ ทั้งที่เมื่อครู่เห็นจะนั่งกับดำแท้ ๆ

เชษฐ์ไชยขบฟันอย่างนึกหงุดหงิด แล้วอย่างนี้จะได้คุยกันเมื่อไร

คนอย่างเขายอมเป็นฝ่ายง้อก่อนไม่รู้หรือว่าโชคดีแค่ไหน!

ชายหนุ่มยกมือเท้าสะเอว เพราะเรื่องแค่นี้ทำให้ความโมโหก่อขึ้นเล็ก ๆ เหลือบไปเห็นดำกำลังยกขวดน้ำเกลือแร่ขึ้นดื่มแล้วขวางหูขวางตา มือหนาฟาดเพียะไปกลางกบาลของมันอย่างต้องการระบายอารมณ์ ทำให้น้ำที่กำลังยกดื่มหกกระเด็นกระดอน พร้อมสีหน้าไม่พอใจของดำ “อั่ก! นายเซษฐ์ แกล้งดำเฮ็ดหยัง!”

เชษฐ์ไชยหน้ายุ่ง อารมณ์เสีย “ขวางหูขวางตา!”

“เอ้า! เบิ่ง…น้ำดำเบิ่ดเลย แล้วดำจะกินอันใด๋”

“พี่ดำเอาของผมไปกินก็ได้ ผมพอแล้ว” เชษฐ์ไชยหันขวับมองเจ้าของเสียง ลมออกหูจนรู้สึกได้

“น้องอ้ายนี่มันตาฮักแท้ ๆ มา!” วิริยะคลี่ยิ้มชอบคำพูดของดำนัก ปิดฝาขวดน้ำที่เหลือครึ่งหนึ่งไปให้ท่ามกลางสีหน้าหงุดหงิดของเจ้านาย เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วมองเชษฐ์ไชยเมื่อเห็นเจ้านายทำท่าฟึดฟัด จะเดินเข้ามาแกล้งดำที่ยกน้ำดื่มอีกที ตากลมจ้องเขม็งจนคนตัวโตรู้แล้วว่าหากหาเรื่องดำอีกทีอาจเรื่องใหญ่มากกว่าแค่ไม่พูดด้วย เชษฐ์ไชยชะงักขาที่ตั้งใจจะถีบมันเพราะความหมั่นไส้ แล้วถอยหลังกลับไป

เขาไม่ได้กลัววิริยะโกรธ แต่แค่ไม่อยากมีปัญหา!

คิดแล้วเชษฐ์ไชยก็ทำหน้านิ่ว มองวิริยะที่ยังคงทำหน้ามึนไม่ยอมคุยด้วย

 

เลิกงานแล้ววิริยะจะรีบกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อน เพราะคิดว่าเมื่อคืนได้นอนน้อยมาก หลังจากรับเงินจากเจ้านายแล้ววิริยะรู้สึกได้ว่าเชษฐ์ไชยเดินตามหลังมา เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้ามากขึ้นไปอีก ซึ่งคนข้างหลังดูเหมือนจะรู้ตัวว่าเขากำลังจะเดินหนีอย่างเคย

“วิว…” เชษฐ์ไชยเรียก ทว่าเด็กหนุ่มทำเป็นไม่ได้ยิน เร่งฝีเท้ามายืนหยุดอยู่หน้าห้องพักเพื่อไขประตูเข้าไปข้างใน กำลังจะเดินเข้าไปแล้วแต่เชษฐ์ไชยกระตุกดึงให้หันกลับไปหาเสียก่อน “อย่ามาทำเมินกันแบบนี้นะ แค่เรื่องนิดเดียวเอง”

วิริยะมุ่นคิ้ว “เรื่องนิดเดียวเหรอ เออ เรื่องนิดเดียวแล้วอาเชษฐ์จะมาสนใจทำไม”

“ก็ดูเธอสิ ทำตัวไม่เห็นเหมือนเมื่อก่อน”

“แล้วทีอาเชษฐ์ล่ะ ฝ่ายอาเชษฐ์ไม่ใช่เหรอที่ทำกับผมก่อนน่ะ”

“ฉันทำอะไร” ชายหนุ่มย้อน

“เฮอะ ไม่รู้เลยสินะว่าทำอะไร นี่ใช่ไหมธาตุแท้ของอาเชษฐ์ คิดดูเอาเอง ตั้งแต่ไอ้อิกกลับไปใครกันแน่ที่เปลี่ยนไป” วิริยะพูดพลางเงยหน้าจ้องตา สีหน้าบ่งบอกว่าเสียความรู้สึกจนเชษฐ์ไชยพูดไม่ออก ทำได้เพียงนิ่งฟังเด็กหนุ่มพูดต่อ “คนก็อุตส่าห์คิดว่าจะเป็นพี่ที่ดี ที่แท้แม่งก็หลอกกันตั้งแต่ครั้งแรก สนุกมากใช่ไหมที่ใช้ผมเป็นตัวตลกคลายเครียดน่ะ ผมก็อุตส่าห์ไม่โกรธ อุตส่าห์ลืมเรื่องนั้นไปแล้ว แล้วยังไง แล้วอาเชษฐ์ยังจะตามมากวนใจอะไรผมอีก”

“ฉันเปล่า” เชษฐ์ไชยปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นว่าวิริยะทำหน้าระอา ชายหนุ่มก็รีบพูด “จริงอยู่ว่าฉันหลอกเธอ ฉันไม่ได้บอกเธอว่าฉันเป็นใคร แต่ฉันไม่ได้เสแสร้งเวลาอยู่กับเธอสักหน่อย และ…” เขายอมรับว่าเขาตั้งใจแกล้งวิริยะจริง ๆ ชายหนุ่มคิดเพราะเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากพูด วิริยะอาจโกรธมากขึ้นเมื่อได้ยิน “และเธอเองไม่ใช่รึไงที่คิดเป็นตุเป็นตะว่าฉันเป็นแค่คนสวน ฉันไม่เคยบอกสักหน่อย”

วิริยะมุ่นคิ้ว “ผมไม่สนแล้วว่าคุณจะเป็นใคร ต่างคนต่างอยู่”

“แล้วทำไมต้องโกรธขนาดนี้ด้วยวะ”

“ก็มันเป็นสิทธิ์ของผม” เด็กหนุ่มตอบเสียงกึ่งฉุนกึ่งรำคาญ “ตัวเองโกรธได้คนเดียวรึไง”

“ถ้าโกรธนักก็กลับบ้านไป สภาพไม่น่าจะอยู่ถึงเดือน”

“อาเชษฐ์ไม่ต้องมาไล่ ยังไงผมก็ไม่กลับ ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น” คนอายุน้อยกว่ารีบตอบแล้วหมุนตัวจะเดินเข้าไปในบ้าน เหลือบไปข้างในห้องเจอแขกผู้มาเยือนตัวใหญ่ ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เห็นตั้งแต่ยังไม่เดินเข้าไป วิริยะอ้าปากค้างใจเต้นตึกตัก จากอารมณ์โกรธแปรเปลี่ยนมาตื่นเต้นดีใจ เมื่อเห็นพัดลมตัวใหญ่หน้ากว้างหลายนิ้วตั้งรออยู่ แม้แต่ถุงที่ครอบก็ยังไม่ได้แกะ

“โอ้มายก้อด!” เด็กหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ามันอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง สำรวจแล้วแกะออกอย่างถนอมมือที่สุดในโลก เมื่อเห็นชัดเจนแล้วทำได้เพียงกระโดดดึ๋งดีใจ ร้องพึมพำอยู่ประโยคเดียวว่า “โอ้มายก้อด โอ้มายก้อด โอ้มายก้อด!”

พัดลมตัวใหม่ไฉไลกว่าเดิมมาก รูปหล่อตัวโตสามารถปกป้องวิริยะไปได้อีกหลายปี หากไม่มีใครเตะมันระบายอารมณ์อีกน่ะนะ เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มพลางลากสายของมันไปเสียบปลั๊กอย่างอารมณ์ดี ลูบคลำความใหม่เงาวับของมันอย่างไม่สนว่าเชษฐ์ไชยจะยืนมองอยู่ “พี่รูปหล่อ พี่รูปหล่อ มาอยู่ด้วยกันเถอะ”

เชษฐ์ไชยมุ่นคิ้ว มองเด็กที่เพิ่งทำหน้าหงุดหงิดเมื่อครู่กำลังบ่นพึมพำกับพัดลมอย่างกับคนบ้าแล้วนึกขัน มองตัวผอม ๆ ของวิริยะก้มลงกดปุ่มของมันเพื่อทดลองงาน เมื่อใบพัดหมุนจนเกิดลมขึ้น เด็กหนุ่มที่เคยขี้หงุดหงิดเมื่อก่อนก็หายไป กระโดดลิงโลดอยู่คนเดียวอย่างไม่อาย

“เหวอ! พายุมา พายุมา ลมแรงเหลือเกิน!”

เด็กหนุ่มหมุนตัวติ้วอย่างชอบใจอยู่พักหนึ่งคงนึกได้ว่ามีชายหนุ่มยืนอยู่ วิริยะหันหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มมาหาเขา คงนึกขึ้นได้ว่าควรขอบใจคนที่ซื้อให้ด้วยกระมัง คิดแล้วคนตัวโตกว่าก็กอดอกทำหน้าเชิดขึ้นรอให้วิริยะที่วิ่งมาหานั้นกล่าวขอบคุณ แต่ทว่าเชษฐ์ไชยคิดผิดไป รอยยิ้มชายหนุ่มหุบลงเมื่อวิริยะวิ่งเลยเขาออกไปข้างนอก

“ป้าต้อย ป้าต้อยยยยย!”

คนหน้าหนวดอ้าปากค้าง มองตามวิริยะอย่างไม่อยากจะเชื่อ อีกฝ่ายดันเข้าใจว่าแม่ต้อยเป็นคนหาไอ้นี่มาให้เสียอย่างนั้น วิ่งตะโกนแหกปากตั้งแต่หน้าห้องออกไปหานางแล้ว ทำราวเชษฐ์ไชยเป็นเพียงอากาศเท่านั้น ชายหนุ่มยกมือขึ้นสางผมตัวเองให้สงบสติลงก่อน อย่าเพิ่งอารมณ์เสีย เห็นวิริยะอารมณ์ดีขึ้นแล้วก็ควรจะพอแค่นี้ เชษฐ์ไชยบอกตัวเอง

เดี๋ยวแม่ต้อยก็บอกเด็กนั่นเองนั่นแหละ ว่าเขาต่างหากที่เป็นคนซื้อและยกมาไว้ที่นี่เองกับมือ!

แต่ช่างมันเถอะ เขาไม่ใช่ประเภททำดีเอาหน้าสักหน่อยนี่…

เขาไม่ได้อยากเห็นสีหน้าของวิริยะตอนดีใจที่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นของเขาเลย ไม่เลยสักนิด ไม่มี๊!


--๑๐๐--


-------------------------------------------------------

เมื่อถูกงอนเพราะพัดลม ก็ต้องง้อด้วยพัดลม 55555555

อาเชษฐ์มีความเสียงสูงและอาการจะปิดไม่มิดแล้วนะคะ ไรต์ละเบื่อคนปากแข็ง

อิอิ

ตอนหน้าพอน้องวิวรู้ว่าพัดลมเป็นของใคร สถานการณ์ก็เข้าสู่โหมดปกติ อาจจะสนิทกันขึ้นมาอีกนิดนึงด้วย และความออกนอกหน้าของอาเชษฐ์จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นไปพร้อมกับความน่าสงสารของพี่ดำที่ต้องถูกใช้เป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ ซึ่งปัจจุบันนางก็ยังงงว่านางทำอะไรผิดอยู่ 555555

ไหนใครชอบตอนนี้บ้าง คอมเม้นกันหน่อยค่ะ อุตส่าห์มาอัพให้อ่านกันยาว ๆ

ขอโทษที่อัพช้าด้วยเน้อ ปกติอัพถี่เพราะทีละ 50 ไง ตอนนี้อัพแบบจุใจก็ต้องรอหน่อยนะ

ช่วงนี้ไรต์ติดซีรี่ส์ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์มาก นั่งหัวเราะจนกรามค้าง ชอบกอล์ฟกับคิมมากเลย แล้วอยากเขียนนิยายที่มีนายเอกแบบคิมมาก คือตัวใหญ่แต่สาว ใฝ่ฝันว่าอยากได้ผู้ มีใครอยากจะอ่านแนวนี้บ้างมั้ยเอ่ย อิอิ

เจอกันตอนหน้าค่า มีอะไรมาเม้ามอยกันได้นะคะ

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร

1 เม้น ต่อ 1 ตอนนะคะ

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
อาเชษฐ์ ต่อยดีขึ้นมาหน่อย
ทำผิดละรู้จักง้อ แต่ปากเเข็งจริง
สงสารพี่ดำ จะโดนไปอีกกี่ตอนน้า
กว่าอาเชษฐ์จะรู้ตัว ว่าชอบวิวไปล้า
มีความหึงออกนอกหน้ามากเว่อร์  :o8:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สมน้ำหน้าคนถูกเมิน

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ขอให้พี่เขียวไปสู่สุขติ  :amen:
ยินดีต้อนรับนะพี่สุดหล่อ  :กอด1:
วิว สู้ๆนะลูก  :L2:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :z2: :z2: :z2:
วิวดีใจที่ได้พัดลม ยังกะคนถูกหวยรางวัลที่1
แต่อีกคนตั้งท่า ให้คนมาขอบคุณ กับรอเก้อซะงั้น

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
น้องวิวน่ะน่ารักอยู่แล้ว แต่อาเชษฐ์กับเด็กน่ารักอย่างน้องวิวเลยทำตัวไม่ถูกเลยใช่มั้ยคะ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa


ตอนที่ ๑๐

วิริยะเดินหน้ามุ่ยกลับมาที่ห้องพักหลังจากได้รู้ความจริงว่าพัดลมตัวใหม่เป็นของใคร เมื่อไปถึง ลำขายาวชะงักเมื่อยังเห็นร่างสูงใหญ่ยืนรออยู่ท่าทางหน้าดำคร่ำเครียด เด็กหนุ่มคิดว่าเชษฐ์ไชยอาจยังอยากคุยเรื่องก่อนหน้านี้อยู่ แต่เขายังไม่ต้องการ

แต่จะให้ยืนหลบอยู่แบบมืด ๆ สลัว ๆ อย่างนี้ต่อไปมันก็อย่างไรอยู่ เขารู้สึกขนลุกขนพองแปลก ๆ ตั้งแต่เดินมาจากบ้านแม่ต้อยแล้ว ตอนไปเพราะความตื่นเต้นจึงลืมคิด แต่เมื่อใจเย็นลงทำให้วิริยะรู้สึกหวาดระแวง ตากลมเหลือบมองรอบข้างที่หลายห้องเริ่มปิดไฟกันแล้ว หลงเหลือเพียงไฟดวงเล็ก ๆ ของหอที่เปิดทิ้งไว้เท่านั้น

“นึกว่าจะค้างอยู่บ้านต้อยแล้วซะอีก” คนหน้าหนวดพูดขึ้นเมื่อเห็นวิริยะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไป เด็กหนุ่มปล่อยผ่านคำพูดประชดประชันของอีกฝ่ายเพราะอยากจะหนีเข้าห้องเต็มแก่ ไม่ชอบบรรยากาศวังเวงแบบนี้เอาเสียเลย

“อาเชษฐ์มีธุระอะไรอีกไหม ผมจะนอนแล้ว”

“คือฉัน…” เชษฐ์ไชยอยากจะเริ่มพูดใหม่อีกครั้ง แต่เห็นทีท่าราวรำคาญเขาจากเด็กตรงหน้า ชายหนุ่มรู้สึกไม่ได้ดังใจขึ้นมาทันทีอย่างไม่รู้สาเหตุ รู้แต่ว่าวิริยะควรกล่าวขอบคุณเขา หรือแสดงออกด้วยกิริยาท่าทางดีกว่านี้สักหน่อย แต่ดันมารำคาญเขาเสียได้ “ฉันหวังว่าจะไม่ได้ยินข่าวว่าเธอไปนอนห้องใครอีก”

วิริยะมุ่นคิ้ว “ผมบอกแล้วไงว่าจะนอนห้องใครก็ได้ มันสิทธิ์ของผม”

“อยากได้ความเย็นฉันก็ซื้อให้แล้วไง”

“แต่คุยกับพี่พัดลมไม่ได้นี่นา”

“ฉันเห็นเธอคุยเป็นต่อยหอยเลย คุยเยอะกว่าคุยกับฉันอีก”

วิริยะนิ่งไป อึกอักเพราะเถียงไม่ออก “มะ…มันก็ใช่ แต่ผมก็แค่พูดแก้เซ็งไปงั้น ๆ เองแหละ อีกอย่างพัดลมไม่ได้ช่วยให้หายกลัว…” คนพูดเบิกตาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ควรพูดเรื่องนี้ให้ชายตรงหน้าฟัง วิริยะยกมือกุมปากตัวเองเมื่อเห็นสายตาใคร่ทราบของเชษฐ์ไชย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ทันแล้ว อีตาหน้าหนวดยกยิ้มหน้าพึงพอใจแล้วยกนิ้วชี้ชี้หน้าล้อ

“อย่าบอกนะ ว่ากลัวผี”

วิริยะเบิกตา “บ้า! กลัวเกลออะไรกันล่ะ” เด็กหนุ่มหลบสายตา

“แน่ใจนะ”

วิริยะรีบเชิดคอพยักหน้าอวดเก่ง เมื่อเห็นว่าเด็กตรงหน้าไม่ยอมรับ เชษฐ์ไชยหรี่ตาจับผิดโดยรู้อยู่แล้วว่าวิริยะต้องกลัวแน่ ชายหนุ่มจึงเอ่ยพูด

“นี่ห้องข้าง ๆ ไม่ได้บอกอะไรเลยเหรอ ด้วยความหวังดีจากฉัน เตือนว่ากลัวไว้ก็ดีนะ แถวนี้ยิ่งมีประวัติอยู่ ยิ่งทำเป็นไม่กลัวเดี๋ยวจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการลบหลู่เข้า” เจ้าของสถานที่ผู้อยู่มานานกว่าทำเสียงขรึมเล่าจริงจัง วิริยะรีบกระเถิบเข้าหาราวร่างกายเป็นไปอย่างอัตโนมัติ จับต้นแขนเชษฐ์ไชยหายใจหอบถี่ราวกำลังตกใจ มองรอบกายตนเองเพื่อความแน่ใจว่าด้านหลังไม่มีอะไรน่ากลัวอยู่

“ประวัติ…อะไรเหรอครับ” คนถามยังไม่วายกวาดสายตามองแม้ว่าจะกลัวจนเหงื่อแตก

“ถ้าห้องข้าง ๆ ไม่เล่า ฉันก็ไม่อยากเล่า เดี๋ยวเธอจะไม่สบายใจ”

“ไม่ได้ อาเชษฐ์ต้องเล่า!” วิริยะส่ายหน้า เชยตาขึ้นสบบอกว่ากำลังบังคับ ไม่ใช่ขอร้อง “บอกผมมาเดี๋ยวนี้เลยนะอาเชษฐ์”

“ทำไม กลัวเหรอ”

“เปล๊า!” วิริยะถอยกรูดปฏิเสธตาแข็งจนคนฟังสัมผัสได้ว่ากำลังโกหก เพราะอยากแกล้ง ทำให้เชษฐ์ไชยยอมพยักหน้าเชื่อแล้วขอตัวลากลับที่พักด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทั้งที่ตอนแรกเจ้าตัวอยากไล่ชายหนุ่มให้กลับไปพ้น ๆ แต่สายตาช่วงหลังราวกำลังวิงวอนว่าอย่าไปจากกันเลย เห็นแล้วทำให้คนมองนึกขันกับท่าทีของวิริยะ แลดูน่าสงสารและน่าแกล้งในเวลาเดียวกัน

อยากเมินเขาดีนัก ขอเอาคืนหน่อยแล้วกัน

หลังจากเชษฐ์ไชยกลับไปแล้ววิริยะนอนเหลือกตาโพลงในความมืดสลัวของห้อง ที่จริงก็ถึงเวลานอนแล้วแต่เด็กหนุ่มกลับนอนไม่หลับอย่างเคย ทั้งที่ก็เหนื่อยมาตลอดทั้งวันอย่างทุกครั้ง ไม่ใช่แค่เรื่องน่ากลัวที่เชษฐ์ไชยตั้งใจแกล้งเขา แต่ความไม่สบายใจเพราะเรื่องที่มีปากเสียงกันก่อนหน้านี้ก็ด้วย

เด็กหนุ่มกลับมาคิดทบทวน ที่อีกฝ่ายบอกว่าไม่เคยใส่หน้ากากเข้าหาเขาเป็นความจริงหรือไม่ เชษฐ์ไชยคนนี้กับพี่หนวดคนนั้นเป็นคนเดียวกันอย่างนั้นหรือ

บ้า จะบ้าตาย!

เด็กหนุ่มนึกหงุดหงิดพลิกตัวนอนหงาย หากทว่าความคิดทั้งหมดเปลี่ยนมาชาตึบทั้งสมอง เมื่อเหลือบไปเห็นนัยน์ตาสีขาวสะท้อนแสงคู่หนึ่งมองเขาผ่านฝ้าที่หลุดผุพังอยู่ช่องด้านบน ราวถูกผีอำ วิริยะตัวชาและเหงื่อแตกพลั่กเมื่อสบตากับมัน นี่หรือประวัติที่เชษฐ์ไชยกำลังหมายถึง ซึ่งมันกำลังคืบคลานเข้ามาครอบคลุมจิตใจวิริยะให้แตกซ่าน เต็มไปด้วยความกลัว

โดนผีหลอกเข้าแล้ว ผีเจ้าที่มาเล่นเขาแล้ว!

จะทำอย่างไรดี จะแกล้งมองไม่เห็นแล้วหลับตานอนหลับไปเลยดีหรือเปล่า แต่หากแสร้งไม่เห็นแล้วมันโกรธลงมาหาเขาถึงที่นอนจะทำอย่างไร ในขณะที่วิริยะตัวแข็งสบตากับความน่ากลัวเบื้องหน้านั้น มันกลับขยับตัวเชื่องช้า ชะโงกคอยาว ๆ ลงมาจากฝ้าทักทายวิริยะโดยที่เด็กหนุ่มไม่ทันได้ตั้งตัว

“เมี๊ยว…”

ใจที่คิดประหวั่นพรั่นพรึงดับวูบพร้อมกับร่างของวิริยะที่ลุกขึ้นนั่งยีศีรษะตัวเอง

“ไอ้แมวบ้า หลอกให้กลัวเสียได้”

เด็กหนุ่มมุ่ยหน้าแล้วลุกขึ้นเปิดไฟ เห็นแมวลายเสือตัวโตตัวหนึ่งกำลังมองมา บนคอมีปลอกบอกว่าเป็นสัตว์ที่มีเจ้านาย มันชะโงกหน้าลงมาราวกับกำลังต้องการบอกอะไร วิริยะเดินไปหยุดอยู่ด้านใต้ ตกใจที่จู่ ๆ มันตัดสินใจกระโดดลงมาหา เด็กหนุ่มรีบอ้าแขนรับด้วยกลัวว่ามันจะบาดเจ็บหากตกจากที่สูง แล้วมันปีนมาจากไหนก็ไม่อาจรู้ได้ รู้เพียงว่าความอบอุ่นจากตัวมันปลอบประโลมวิริยะให้คลายความกลัวไปได้

“จะมาทำไมไม่มาดี ๆ ปีนฝ้ามาทำไม โดยเฉพาะฝ้าห้องฉัน มันจะพังใส่หัวเมื่อไรยังไม่รู้เลย”

เด็กหนุ่มบ่นกับมัน ความเกรงกลัวหายไปอย่างสิ้นเชิง

“แล้วนี่อะไร แกหิวเหรอ” เด็กหนุ่มทรุดนั่งบนฟูก วางมันลง แต่ดูเหมือนมันจะคุ้นชินกับคนเหลือเกิน ราวกับว่าฉลาดเป็นกรด เดินมาใช้ขาหน้าสะกิดให้เด็กหนุ่มสนใจ หรือไม่ก็กำลังขออะไรสักอย่าง ทำให้วิริยะสรุปได้ว่ามันกำลังหิวอยู่ “หิวจริง ๆ ด้วยสินะ เอ…จำได้ว่าฉันมีไอ้นั่นอยู่นี่นะ ฉันจะให้รางวัลที่แกหลอกให้ฉันกลัวได้”

เด็กหนุ่มหันไปค้นเอาปลากระป๋องมาเปิดให้

“กินไอ้นี่ได้รึเปล่านะ หุ่นอย่างแกคงไม่เลือกกินหรอก ใช่ไหม” แล้วมองมันเดินไปก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อยอย่างวางใจและเอ็นดูกับท่าทีน่ารักของมัน

มารู้ตัวอีกทีก็รู้สึกง่วงนอนแล้ว เด็กหนุ่มปิดไฟแล้วทรุดนอนลงบนฟูก ในความมืดสลัวและกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้นมีความอบอุ่นของเจ้าเหมียวตัวอวบอ้วนนอนคลอเคลียอยู่ชิดใกล้ ราวกับว่ากำลังมีใครสักคนกำลังนอนกอดเขาอยู่อย่างนั้น

สัมผัสอบอุ่นจากแมวตัวน้อย และพัดลมตัวใหญ่ที่ให้ความเย็นสดชื่นทำให้วิริยะรู้สึกหลับลึกกว่าทุกวัน

 

เชษฐ์ไชยตื่นตั้งแต่ตีสี่เป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว หลังล้างหน้าล้างตา แต่งตัวแล้วเสร็จชายหนุ่มก็เดินออกมาดื่มกาแฟด้านนอก นาฬิกาบอกว่าเพิ่งจะตีห้าเท่านั้น ชายหนุ่มนึกแปลกใจที่วันนี้เห็นวิริยะตื่นมาเก็บผักตั้งแต่เช้า หรือจะกลัวผีจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันหนอ คิดแล้วเจ้าของอาณาจักรรุ่งอรุณีก็กระตุกยิ้มนึกสนุกขึ้นมาทันที

เมื่อวิริยะเห็นแม่ต้อยเดินเข้ามาที่บ้านพักของเชษฐ์ไชย เด็กหนุ่มรีบวิ่งตามนางขึ้นมาพูดคุยอะไรสักอย่างแล้วหันมาหาเชษฐ์ไชยอย่างนึกตกใจ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าพูดเรื่องอะไรกัน แต่เรื่องที่เขาซื้อพัดลมให้เมื่อวานยังคงติดค้างกันอยู่ วิริยะควรมีทีท่าแบบนี้ซี ถึงจะถูก

คนตัวเล็กกว่าเดินหน้ายุ่งตรงมาทางเขาหลังจากแยกกับแม่ต้อย หยุดอยู่หน้าบ้านพักหลังโตที่เชษฐ์ไชยยืนอยู่

“เอาสร้อยพระของผมมาเลย อาเชษฐ์จะเก็บไว้ทำไม”

อ้อ…เรื่องนี้นี่เอง เชษฐ์ไชยคิดแล้วยกมือกอดอกตัวเองวางท่า “ใครบอกว่าฉันอยากจะเก็บกันล่ะ ตั้งใจจะเอาไปคืนหลายรอบแล้ว แต่ได้ข่าวว่าใครบางคนไม่ชอบขี้หน้า เอาแต่เดินหนี”

ซึ่งได้ฟังแล้ววิริยะก็นิ่งไป ดูเหมือนจะยอมรับกลาย ๆ ว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

“งั้นก็เอามาให้ผมซะสิ”

“จะขอความช่วยหลือคนอื่นน่ะ พูดแบบนี้เหรอ” คนตัวโตงุดตามองยังไม่หลุดจากท่าที่วางไว้

“ขอความช่วยเหลืออะไรครับ ผมมาทวงของของผมคืนต่างหาก”

“ทำอย่างกับฉันขโมยของเธอมาอย่างนั้น”

“ถ้าอาเชษฐ์ไม่ได้ตั้งใจก็เอามาคืนผมสิ” วิริยะเริ่มเสียงดัง

“ทำไม เมื่อคืนเจอดีเหรอ เห็นอะไรในห้องใช่ไหม” วิริยะขนหัวลุกแม้ว่าจะไม่มีอะไรอย่างที่เชษฐ์ไชยแกล้งถามก็ตาม เด็กหนุ่มหน้ายุ่งแล้วจิ๊ปากบอกว่าไม่พอใจ ต้องการได้สร้อยพระประจำวันเกิดของตัวเองคืนอย่างโดยด่วน อย่างที่คนตรงหน้าว่า ตอนนี้เขาอยากได้ที่พึ่งพาทางจิตใจที่สุด

“สร้อยนั่นเป็นของพ่อ เขาให้ผมตอนที่ผมเกิด มันเป็นสร้อยพระประจำวันเกิด ตั้งแต่ได้มาผมก็ไม่เคยห่างมันเลย”

“แล้วไง”

“แล้วไงอะไรล่ะ ก็ผมต้องการได้คืนไงครับ” วิริยะทำเสียงหงอย

“กลัวมากขนาดนั้นเลยรึไง” วิริยะทำสีหน้าระอาและไม่ยอมตอบ คนถามเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มแล้วคล้ายว่าหมดสนุก ยกจิบกาแฟแล้วมัดเชือกรองเท้าเตรียมออกไปวิ่ง ทั้งที่เห็นดวงตาแป๋วของวิริยะแล้วกลับไม่รู้สึกสงสารสักนิด จิตใจทำด้วยอะไร เด็กหนุ่มยู่หน้าทำท่าขัดใจอยู่หลังเชษฐ์ไชยที่ลุกขึ้นยืนวอร์มร่างกาย กระทั่งได้ยินเสียงของคนอายุมากกว่ากล่าวว่า

“ขึ้นไปหยิบเองสิ อยู่บนหัวเตียง”

แล้วเชษฐ์ไชยก็วิ่งออกไปโดยที่ไม่อธิบายอะไรไปมากกว่านี้ วิริยะยืนมองตามแผ่นหลังกว้างนั้นด้วยความไม่เข้าใจว่าคิดอะไรอยู่ ทำไมต้องให้เขาขึ้นไปบนนั้นด้วย ตัวเองเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าตั้งแต่อัศวินกลับไปก็ไม่ควรเกี่ยวข้องกันอีก เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว คิดว่าไม่ควรขึ้นไป ตัดสินใจเดินกลับมาที่โรงอาหารเพื่อตั้งหลักคิดก่อนว่าเชษฐ์ไชยจะมาไม้ไหน

แกล้งไม่ให้เขาได้อยู่ห้องดี ๆ ทำตัวห่างเหินใส่ แล้วมากล่าวหาว่าเขาพยายามหลบหน้า ทั้งที่เป็นความต้องการของตัวเองแท้ ๆ โบ้ยความผิดให้เขาทั้งที่เด็กหนุ่มทำตามความประสงค์ของเจ้าตัวนั่นแหละ

ทำตัวห่างเหินอย่างเดิมก็ดีอยู่แล้ว แล้วไหงจู่ ๆ มาพูดดีด้วย วิริยะชักไม่เข้าใจตาหนวดเจ้าของไร่นี่เสียแล้ว เด็กหนุ่มถอนใจ อยากได้สร้อยพระก็จริงอยู่ แต่ไม่อยากย่างเท้าเหยียบขึ้นไปบนนั้น จึงได้แค่บอกตัวเองในใจก่อนว่า “ค่อยไปเอาตอนกลับบ้านทีเดียวละกัน ไปทำงานก่อนไอ้วิว”

แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นวิริยะก็คิดว่าต้องการได้คืนโดยเร็วที่สุดอยู่ดี ตลอดเวลาการทำงานเขาเห็นเชษฐ์ไชยเดินมาดูอยู่บ่อยครั้ง แถมทำหน้าราวกับรู้อยู่แล้วว่าวิริยะไม่ได้ขึ้นไปเมื่อเช้า ซึ่งยังรู้ทันอีกนั่นแหละว่าเด็กหนุ่มอยากได้มันคืนมากขนาดไหน ก็วิริยะมานึกขึ้นได้น่ะซีว่าเมื่อคืนเขาก็แค่ฟลุ๊คเห็นแมวเท่านั้น แล้วหากคืนนี้ในช่องโหว่ของฝ้าไม่ใช่แมวเล่า เขาจะทำอย่างไร เหลือบมองขึ้นไปทีไรก็ขนหัวลุกทุกที

เห็นทีเย็นนี้เลิกงานเขาต้องรีบไปที่บ้านของเชษฐ์ไชย ก่อนอสูรเจ้าของสถานที่กลับไปถึงให้ได้

“เป็นอะไร ทำหน้ามุ่ยตั้งแต่เช้าแล้ว” หมอกถามขณะทรุดกายนั่งดื่มเกลือแร่ข้าง ๆ ถัดไปเป็นดำนั่งถอดเสื้อโชว์หุ่นล่ำเห็นกล้ามเนื้อแต่งแต้มด้วยเม็ดเหงื่อ นี่แค่พักเบรก ราวกับพี่ชายจากอีสานเป็นนายแบบโดยไม่รู้ตัว วิริยะผละสายตาจากดำมามองตาคนถาม ยกยิ้มนิด ๆ

“เปล่าหรอกพี่ แค่เซ็ง ๆ”

หมอกหัวเราะ “เซ็งอะไรวะ งั้นเย็นนี้มาแดกเหล้ากับพวกพี่”

“ไม่เอาอะ เกิดโดนจับได้ ไม่อยากฝึกทหาร ทำงานก็เหนื่อยอยู่แล้วยังต้องมาวิ่งรอบไร่อีก”

“บ่ต้องเว่าฮอดเรื่องนี้เลย อ้ายฮู้ยินแล้วสูน กะเป็นย้อนวิวนั่นแหละเฮ็ดให้นายเซษฐ์เพิ่นสูน หมู่อ้ายเลยโดนหางเลขไปนำ” ดำชะโงกหน้ามาทำเป็นงอนเด็กหนุ่ม พลอยได้เรียกรอยยิ้มขึ้นมาแต้มบนหน้าแดง ๆ เพราะความเหนื่อยของเด็กหนุ่มได้บ้าง ฟังดำบ่นต่ออีกว่า “คราวหน้าถ้านายเซษฐ์จะคุยนำกะเฮ็ดโตดี ๆ อย่าเถียงเพิ่น อย่าเว่ากวนตีนเพิ่น เข้าใจบ่วิว หมู่อ้ายสิได้บ่ยากนำ”

“ไม่เกี่ยวสักหน่อย ผมไม่ได้กวนนะ” วิริยะส่ายหน้า

“บ่ได้กวนแล้วเป็นหยังนายเซษฐ์ต้องโมโหเวลาคุยนำตลอด”

“ใครจะไปรู้ละ ทีพี่ดำไม่ได้ทำอะไรก็เห็นโดนเขาพาลใส่ตลอด คนแบบนั้นจะเอาเหตุผลอะไรอีก”

“เออ ก็จริง” ดำเออออแล้วหันมาฉุกคิดกับตนเองอย่างไม่เข้าใจ “สรุปนายเซษฐ์เป็นหยังวะ”

“เป็นคนจ่ายเงินค่าแรงมึงไง” คนพูดสวมเสื้อลายตารางตัวสีฟ้าดำเดินหน้ายุ่งมาแต่ไกล ราวกับมีหูทิพย์ ได้ยินทุกครั้งเวลาลูกน้องบ่นถึง ซึ่งลูกน้องคนนี้ก็ไม่ค่อยยินดีนักที่เจ้านายรู้ทัน ดำหันไปยิ้มแห้งให้เชษฐ์ไชยที่ยกกระติกเดินตรงมาเติมให้คนงานพร้อมลุงแสวง แม้จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นราวกับเมื่อครู่ไม่ได้พูดถึงอีกฝ่ายแล้วนั้น กระติกอันใหญ่ก็กระแทกโขกมาที่หลังคนงานหนุ่มดังผลั่ก

“เออะ!” ดำร้องพลางกุมบริเวณเจ็บ เงยหน้างอ ๆ ไปหาเจ้านายอย่างเหนื่อยใจ “นายเซษฐ์…”

“ขวางหูขวางตากูจริง ๆ ถอยไป”

“ทางกะมีตั้งหลาย”

“มึงจะให้กูเอาตีนเขี่ยมึงออกไหม”

“ถอยกะได้ครับ” ดำทำเสียงอ่อยพลางชายตาหาผู้ช่วยเหลือ ซึ่งเพื่อนทั้งหกก็รักกันดีเหลือเกิน หัวเราะชอบอกชอบใจราวกับไม่เคยเห็นเรื่องตลกอย่างนี้มาก่อน ขณะที่เชษฐ์ไชยเดินถือกระติกน้ำผ่านวิริยะไป เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วและรู้สึกคันก้นขึ้นมาเหมือนมีตัวอะไรไต่ จากที่นั่งขัดสมาธิ ลำขายาว ๆ เด้งเหยียดออกไปเองโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ในขณะที่ง่วนอยู่กับการเกาก้นที่บวมฉึ่งเพราะถูกมดกัด เด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าขาของตัวเองไปขัดกับแข้งใหญ่ของคนเดินผ่านเข้า

“เฮ้ย!”

มารู้ตัวอีกทีคนงานคนอื่นก็ร้องอุทานกันเสียงดัง พร้อมกับกระติกที่มีน้ำลอยละลิ่วลงมากระแทกบนหัวเด็กหนุ่มจนรู้สึกมึน ตอนแรกก็เหมือนจะดีอยู่ แต่ผ่านมาอีกสองสามวินาทีวิริยะรู้สึกเหมือนเห็นภาพซ้อน หัวโงนเงนจะหงายท้องตึงเสียให้ได้

“เฮ้ย ตาไหลรวมกันแล้ว!” ดำร้อง รีบตะเกียกตะกายลุกไปเพื่อช่วยพยุงวิริยะที่จู่ ๆ ก็ล้มตึงลง แต่ติดตรงที่ว่าเท้าของเชษฐ์ไชยยาวกว่า ทั้งที่ก็ล้มอยู่เหมือนกัน แม้ดำไปถึงแล้วก็ไม่ทันได้แตะถึงร่างคนหมดสติ หงายเงิบไปอีกฝั่งเพราะส้นเท้าของเจ้านายถีบลงกลางอกเสียก่อน แล้วคนถีบก็วิ่งไปพยุงวิริยะเสียเอง ท่ามกลางความตกใจของเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ที่ต่างร้องโหวกเหวกเสียงดัง

เชษฐ์ไชยพยุงแก้มแดง ตบแปะ ๆ บนหน้าเบา ๆ เรียกสติ “วิว วิว!”

“ผายปอด นายเซษฐ์ ผายปอด…”

“ผายปอดพ่อมึงสิ ยังจะมาเล่นอีก หลบ!” มือใหญ่ปาดน้ำที่เปียกบนหน้าให้เด็กหนุ่มพลางนึกวิธีช่วยเหลือ

หน้าของเจ้านายจริงจังและเข้มขรึมขึ้นมาสิบเท่าขณะจับต้องร่างเด็กในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน ดำเหงนมองร่างสูงใหญ่ของเจ้านายที่รีบอุ้มพยุงวิริยะขึ้นโดยไม่เกรงสายตาใคร เริ่มรู้สึกขึ้นมาเล็กน้อยแล้วว่าที่เจ้านายมาพาลใส่เขาบ่อย ๆ นั้น อาจไม่ใช่เพราะถกเถียงหรือเป็นควันหลงที่วิริยะกวนประสาทอย่างที่เคยคิดก่อนหน้า

สายตาของอสูรร้ายเจ้าถิ่นแห่งนี้ยามสบมองวิริยะที่ไร้สติ บอกดำว่าอาจเป็นเพราะเหตุผลอื่น

บอกว่าเด็กในอาณัตินั้น เป็นของเจ้าตัว ใครหน้าไหนก็อย่าได้เข้าใกล้!


--๕๐--


------------------------------------------------------------------

อ้ายดำเริ่มรู้ทันนายเชษฐ์แล้วว่ามาไม้ไหน ไม้หมาหวงก้างนี่เอง ผ่าม! ฮ่าๆๆๆ

อยากรู้กันไหมว่าพอพี่ดำรู้ทันนายเชษฐ์แล้วจะแกล้งคืนรึเปล่า อิอิ

วันนี้มาอัพให้อ่านแล้วนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะอัพที่เหลือ ขอปั่นก่อน

***มีข่าวดีมาบอก 90Days ผ่านพิจารณาแล้วนะคะ หยอดปุกรอไว้เลย

ใครเป็นแฟนคุณกายกับโอ๊คต้องได้เก็บนะคะ จะเขียนตอนพิเศษเพิ่มให้อีกค่ะ

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร





 

 

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1006
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
พี่ดำเอาคืนเลย เราหมั่นไส้คุณเชษฐ์มานานแล้ว อะไรจะซึนเบอร์นั้น!

ตัวเองทำอะไรน้องไว้บ้างนี่ไม่มีสำนึกอ่ะ หมั่นไส้ๆๆๆ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
แหม ดำรู้ทันเจ้านายแล้ว ต่อไปต้องแกล้งให้หัวหมุนไปเลยนะ
 o13 o13

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เฮียดำตามเก็บให้หมดเลยนะ เก็บแล้วก็ส่งคืนนายกลับไปด้วย เอาแบบแม่น ๆ นะ  :katai3:

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa


(ต่อ)


 

วิริยะรู้สึกตัวอีกทีก็ไม่รู้ว่าตัวเองนอนอยู่ไหน รู้เพียงว่าอยู่บนเตียงนอนนุ่มแสนสบายที่เขาห่างหายมากว่าสองอาทิตย์ ครั้นตื่นเต็มตา เห็นนาฬิกาบอกว่าเย็นมากแล้วก็กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างตกใจ นึกถึงเรื่องงานและค่าแรงขึ้นมาโดยทันที เขาทำงานมาครึ่งวันต้องได้ค่าแรงอีกครึ่งหนึ่งซี เลยเวลาจ่ายเงินมาแล้วด้วย!

เด็กหนุ่มยกมือกุมคอตัวเองอยู่พักหนึ่ง ตาก็กวาดมองภายในห้องใหญ่อันแสนคุ้นตาแห่งนี้ พินิจพิเคราะห์ว่าเขาเคยมาเหยียบที่นี่เมื่อก่อน ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มก็เบิกตาโพลงเมื่อทราบแล้วว่าเป็นที่ไหน เป็นเวลาเดียวกันที่เห็นใครสักคนเดินออกจากห้องน้ำด้วยผ้าขนหนูผืนเดียว บนตัวหนา ๆ เต็มไปด้วยหยดน้ำและผิวปากไปพลาง เช็ดผมไปพลางอย่างอารมณ์ดีอยู่หน้ากระจก ราวไม่รู้ว่ามีเขาอีกคนในห้อง

ใครสักคนคนนั้น ที่เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้!

“อาเชษฐ์!” วิริยะจะรีบกุลีกุจอลุก ทว่าเจ็บคอขึ้นมาจนขาอ่อน

“ทำไม มีอะไร ร้องเสียงดังซะตกอกตกใจหมด”

เด็กหนุ่มงุนงง เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วไหนจะไอ้ท่าทีสบายอกสบายใจของตาหน้าหนวดตรงหน้าอีก มันแปลกเกินไปแล้ว วิริยะค่อย ๆ ลุกขึ้นมองลิงตัวใหญ่กล้ามแน่นที่ยืนตรงหน้ากระจก อดจะตะลึงกับสัดส่วนที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นง่าย ๆ เบื้องหน้าไม่ได้ แต่เดี๋ยวซี มันใช่เวลามันอิจฉาหุ่นอาเชษฐ์ไหมก็ไม่!

“ผมมาที่นี่ได้ไง”

เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น มองตามเชษฐ์ไชยที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็ดตัวและผมหยักศกระยะตกบ่า พลอยให้คนมองก็ลืมคำถามของตนเองไปด้วย หายไปและผุดภาพชายหนุ่มตัวโตหุ่นแซ่บขึ้นมาทดแทน ชายหนุ่มที่กำลังยกขาเหยียบเก้าอี้ตัวเตี้ยหน้ากระจก ผ้าขนหนูที่พันเอวเลิกเปิดไปกองที่ต้นขาแบบหมิ่นเหม่ แล้วมือหนาอันมีเส้นเลือดปูดประดับความเป็นชายที่ถือผ้าขนหนูอีกชิ้นนั้น ก็ลากไล่ตามลำขาแข็งแรง จากล่าง…ขึ้นมาด้านบน

เซ็กซี่…

ไหนจะหน้าท้องเป็นลอน ๆ นั่นอีก คนมองกลืนน้ำลาย มองเจ้าของร่างกายกำยำนั้นผละหันมายกยิ้มยั่ว กัดริมฝีปากเชิญชวนวิริยะให้เดินเข้าไปหา

เด็กหนุ่มชะงัก เพราะแบบนี้ถึงทำให้เขาได้รู้ว่าตัวเองมโนไปไกลแสนไกล ไกลเกินความจริงไปตั้งแต่คิดว่าคนหน้าลิงกอริลล่านี่เซ็กซี่แล้ว วิริยะสะบัดหน้า บ้า! เขาบ้าไปแล้วแน่ ๆ! สงสัยคงจะเป็นผลกระทบจากการโดนกระแทกที่หัวอย่างรุนแรง

เด็กหนุ่มผละสายตาไปมองที่อื่น “ผมถามไม่ได้ยินรึไงเล่า”

เรียกให้เชษฐ์ไชยที่กำลังเช็ดตัวหันกลับไปมอง พบคนหน้าแดงยืนเก้ ๆ กัง ๆ ทำตัวไม่ถูก เป็นเช่นนั้นแล้วชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปหยุดอยู่ใกล้กว่าเก่า ใกล้จนเห็นชัดว่าวิริยะขัดเขินและหลบสายตาเพียงเพราะเห็นเขากึ่งเปลือยเช่นนี้ “รอให้ฉันใส่เสื้อผ้าก่อนไม่ได้รึไง”

“งะ งั้นผมออกไปรอข้างนอกก็แล้วกันนะ” เด็กหนุ่มรีบบอก

“เดี๋ยว…” เชษฐ์ไชยกระตุกข้อมือเล็กไม่ให้เดินไป “ไม่ต้องไป ถ้ายังไม่สบายตัวก็นอนต่อ”

“เอ่อ ผมกลับไปนอนที่ห้องของผมต่อก็ได้”

“เดี๋ยวจะหาว่าฉันแล้งน้ำใจอีก นอนแม่งตรงนี้แหละ”

เด็กหนุ่มมุ่ยหน้า ก้มลงมองตัวเอง “แต่ว่าตัวผมมีเหงื่อ เหม็นก็เหม็น เดี๋ยวที่นอนอาเชษฐ์จะติดเหงื่อผมไปด้วย”

“นอนมาก็ตั้งสามสี่ชั่วโมง ยังไงมันก็ติดอยู่แล้ว อย่าเรื่องมาก นอนต่ออีกซักชั่วโมงมันจะเป็นไรไป” มือใหญจับต้นแขนหวังจะพาวิริยะเดินกลับไปทิ้งตัวลงบนเตียง ให้นอนต่อ แต่ดูเหมือนเด็กนี่จะไม่ยอมไปโดยง่าย  ชายหนุ่มจึงหน้าตึงขึ้นมานิด ๆ ถามวิริยะอย่างตรงไปตรงมาว่า “ทำไม ไม่อยากหายใจร่วมห้องแคบ ๆ กับฉันรึไง”

วิริยะหน้ายุ่ง ถ้าตอบว่าใช่คงโดนบี้ให้เละคาห้องแน่ เด็กหนุ่มหลุบตาลงต่ำเพราะไม่อยากสบตา แต่ไหงกลับไปเจอสิ่งไม่อยากเจอที่นูนเด่นเป็นรูปขึ้นมาจากผ้าขนหนูแทนเสียได้ เขาว่าเขามองตาอาเชษฐ์คงดีกว่าหลุบลงมาเจอห่อหมกตรงนี้ “ปละ เปล๊า…ผมแค่เกรงใจ แต่พูดก็พูดเถอะ เวลาคนงานเป็นลม อาเชษฐ์ก็อนุญาตให้ขึ้นมานอนตากแอร์บนห้องอาเชษฐ์ทุกคนเลยงั้นเหรอครับ”

คนฟังหน้าขึ้นสีเมื่อนึกถึงสิ่งที่วิริยะถาม รีบผละมือออกจากต้นแขนเด็กหนุ่มมาพูด “ฉันก็แค่ไม่รู้ว่าเธอเอากุญแจห้องของเธอไปซ่อนไว้ที่ไหนก็เท่านั้นเองแหละ”

“ผมก็นึกว่าอาเชษฐ์เป็นห่วงซะอีก” วิริยะลอยหน้าลอยตา

“ใครเห็นคนนอนตาเหลือกกองอยู่กับพื้นแบบนั้นก็ต้องช่วยทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวมาตายเป็นผีเฝ้าไร่ฉัน”

ได้ฟังวิริยะย่นคิ้ว บ่นอุบอิบ “ทีแอบเอาพัดลมเข้าไปยังทำได้”

“หยุดเลย ช่วงเวลาชุลมุนแบบนั้นใครมันจะไปคิดทัน อีกอย่าง รู้ว่าฉันเป็นคนเอาพัดลมไปให้แล้วคำขอบคุณซักคำก็ไม่มี ไอ้เด็กเวร…”

“อย่ามาพูดดีกว่า ก็ที่อาเชษฐ์ต้องซื้อพัดลมตัวใหม่มาให้เพราะตัวเองเตะตัวเก่าพังไม่ใช่รึไง ทำไมผมต้องขอบคุณด้วย นี่มันยังไม่ลบล้างความผิดที่อาเชษฐ์ทำมาด้วยซ้ำ ยังหวังคำขอบคุณอะไรอีก”

“เดี๋ยวเถอะวิว!” วิริยะชะงัก เมื่อเห็นกอริลล่าทำท่าขู่ด้วยการยกนิ้วชี้มาไว้ตรงหน้า เด็กหนุ่มหน้าหงอยลงเมื่อเห็นว่าเชษฐ์ไชยเริ่มมีน้ำโหเพราะคำเถียงไม่ตกฟากของเขา รู้สึกเสียท่านิด ๆ ที่เมื่อถูกดุทีไรก็เป็นแบบนี้เสมอ นี่ถ้าสามารถใส่เสียงเอฟเฟกต์เหมือนในละครได้ คงมีเสียงลูกหมาครางหงิง ๆ ดังขึ้นมาแล้ว

“ก็ได้ ผมผิดเอง” เด็กหนุ่มมองพื้นหน้าจ๋อย เขาเป็นเด็กยังไงก็ผิดอยู่ดี จึงเลือกเดินผละออกจากอีกฝ่าย มุ่งหน้าไปยังประตู แต่ติดตรงที่ว่าเหตุใดเชษฐ์ไชยต้องทิ้งผ้าที่เช็ดตัวเมื่อครู่ไว้เรี่ยราดด้วย มารู้ตัวอีกทีเท้าของเขาก็เหยียบมันจนลื่นพรืด “เหวอออ!”

วิริยะอ้าปากกว้าง ตาเหลือกเท่าไข่ห่าน เมื่อนึกได้ว่าไม่ตายก็หยอดน้ำข้าวต้มแน่ หากล้มไปหัวฟาดพื้นด้วยท่านี้ แต่ทว่าดีหน่อยที่ดูเหมือนเชษฐ์ไชยเห็นและพุ่งเข้ามารับเขา พร้อมกับมือยาวของเด็กหนุ่มคว้าเกาะเอวของอีกฝ่ายไว้ได้ทัน อยู่ในท่าเต้นรำของเจ้าชายอสูรและสาวน้อยผู้เลอโฉมที่กำลังตกหลุมรักกันในค่ำคืนหนึ่ง

เสียงนาฬิกาเดินดังแกรก ๆ คั่นกลางระหว่างดวงตาสองคู่ที่ประสานกัน

วิริยะแก้มรุมร้อนขึ้นมาเสียเฉย ๆ เขาเห็นอะไรบางอย่างภายใต้หนวดเครายาวครึ้มแบบดิบเถื่อนเบื้องหน้า ในระยะใกล้ เขาเห็นความเป็นอัฐษไชยบนใบหน้าของเชษฐ์ไชยขึ้นมาชั่ววินาทีหนึ่ง แต่เหตุใดสายตาดูอ่อนโยนกว่า ใจดีกว่า และดูหล่อเหลากว่าอัฐษไชยนัก

บ้า เขาต้องบ้าแน่ที่มองว่าเชษฐ์ไชยหล่อ!

“เป็นอะไรรึเปล่า” เจ้าของใบหน้าที่เด็กหนุ่มมองสอบถาม และได้เรียกให้เด็กหนุ่มหลุดออกจากความคิดบ้าบอ

“มะ ไม่เป็นอะไรครับ” วิริยะตอบแล้วหลบสายตาไปทิศอื่น เหลือบไปเห็นเอวของเชษฐ์ไชยแล้วมือเล็กจึงบีบบริเวณที่เขากุมเกาะอย่างนึกแปลกใจ ถ้าเป็นเอว เหตุใดจึงนุ่ม ๆ แน่น ๆ อย่างนี้ อีกอย่างเขาเพิ่งมาเห็นว่าบริเวณที่เขาถูกประคองนั้นมันต่ำจนผิดสังเกตเกินไป ใจวิริยะหายวาบและไม่อยากจะคิดเลย ว่าอะไรที่อยู่ในมือของเขา เด็กหนุ่มชะโงกมองออกไปแล้วปล่อยให้จมูกบานด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่าตรงที่เขาบีบเมื่อครู่นั้น

คือตูด!

ตูดแบบไม่มีอะไรปิดแม้แต่นิด เนื้อแนบเนื้อ

“อ๊ากกก!” วิริยะร้องสุดเสียง ดิ้นขลุกขลักผละมือออกจากก้นของเชษฐ์ไชยที่บัดนี้ล่อนจ้อน ผ้าขนหนูกองลงอยู่ที่ข้างล่างตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ จนร่างของวิริยะหลุดออกจากมือของคนอายุมากกว่า หล่นตุบลงกระแทกพื้นจนเจ็บบั้นท้าย แล้วเอามือเช็ดเสื้อผ้าตัวเองร้องโหวกเหวกราวผีเข้า

“เป็นอะไรเนี่ย ไอ้เด็กบ้า!” เชษฐ์ไชยค้ำเอว ก้มลงมองวิริยะซึ่งอยู่ในที่ต่ำกว่า

เด็กหนุ่มเงยขึ้นไป หน้าเหวอ

มุมเสยนี่ไม่น่ามองเลย!

“อ๊ากกกกกก!” เห็นเต็ม ๆ ชัดยิ่งกว่าชัดอีก! ชาติก่อนเขาทำกรรมอะไรถึงต้องมาเจอเรื่องอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วิริยะคิดแล้วยกผ้าขนหนูมาปิดหน้าร้องโวยวาย แต่มานึกขึ้นได้ว่าไอ้ผ้าที่ตนใช้ปิดนั้นก็เป็นชิ้นที่อาเชษฐ์ทำหล่นเมื่อครู่ แถมเขาเห็นอีกฝ่ายเอาเช็ดไข่ไปตั้งหลายรอบ นึกได้  เด็กหนุ่มรีบยกมันขึ้นไปรวบบนรอบเอวให้เชษฐ์ไชยร้อง “อ๊ากกกกก!”

“ชู่…กลัวคนอื่นไม่รู้รึไงว่าอยู่ในห้องฉัน” มือใหญ่กุมปิดปากวิริยะให้เงียบเสียง พร้อมกับตาของเด็กหนุ่มที่เหลือกโพลง เพราะถูกปิดปากและหายใจได้เพียงทางเดียว จมูกวิริยะบานยิ่งกว่าถ้ำเจ้าแม่นาคีเพราะแรงหายใจ จ้องตาคนตัวโตที่โน้มลงมาสบเป็นเชิงเอ็ด “ทำอย่างกับไม่เคยเห็นไปได้ ยังไม่ชินอีกรึไง”

สาบานได้ว่าเขาไม่เคยชิน และไม่คิดว่าควรที่จะชินกับของแบบนี้ วิริยะดิ้น เขย่าผ้าที่ปิดให้ด้วยใบหน้าแดงก่ำบอกให้เชษฐ์ไชยจัดการกับไอ้นี่มากกว่ากุมปิดปาก เมื่อคนตัวโตกว่ารับรู้ว่าเด็กหนุ่มเงียบเสียงลงแล้วก็ยอมปล่อย จากนั้นจึงพันผ้าขนหนูบนเอวเสียใหม่ด้วยสีหน้าที่บอกว่า ไร้ยางอายสุด ๆ!

วิริยะเหงื่อซึมหลังเพราะตกอยู่ในช่วงสถานการณ์ที่น่าตกใจ ลุกขึ้นยืนใจเต้นตุบไม่ยอมหาย ฝันร้ายแน่คืนนี้

“ผะ ผมกลับก่อนนะ” ว่าแล้วก็หมุนตัว

“เดี๋ยว…”

“อ๊ากกกกก!”

“จะร้องทำไม ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย” เชษฐ์ไชยนึกโมโห มองวิริยะที่พยายามปัดป้องพลางถอยกรูดออกห่างเพียงเพราะเขาเอื้อมรั้ง สีหน้าของเด็กหนุ่มได้บอกเชษฐ์ไชยว่าตอนนี้กำลังตกใจเพียงไหน หรือว่าวิริยะกำลังคิดอะไรน่ากลัวอยู่ โดยเอาเขาเข้าไปเกี่ยวข้อง

คิ้วหนาเลิกขึ้นเมื่อภาพบางอย่างแล่นเข้ามาในสมอง ขณะมองแววตาของวิริยะที่แสดงถึงความไม่ปลอดภัยออกมา “หรือว่า…ที่ไม่อยากอยู่ในนี้นาน ๆ เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบคราวที่แล้ว” ชายหนุ่มถามหยั่งเชิงด้วยเสียงเรียบ จ้องตากลมที่เบิกกว้างขึ้นหลังได้ฟัง ชายหนุ่มจึงยกยิ้มแล้วย่างเท้าเดินเข้าไปใกล้กว่าเก่า “แสดงว่ายังไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้นสินะ...”

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะอาเชษฐ์!” วิริยะเริ่มขุ่น ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

“ทำไม ทำใจฟังไม่ได้เหรอ ว่าเรา…มีอะไรกันในนี้ บนเตียงนี้” นิ้วชี้ยาวชี้ไปยังจุดหมายที่กล่าวถึง วิริยะรู้สึกเหมือนจะสะอึกเมื่อเห็นรอยยิ้มร้ายของคนกล่าว นี่ตั้งใจพูดขึ้นมาเพื่อแค่ต้องการแกล้งเขาเท่านั้นเองหรือ หน้าเด็กหนุ่มเริ่มขึ้นสี กล่าวว่า “บอกให้หยุดพูดไง”

“ทำไม รึว่าทำใจไม่ได้ที่คาดไม่ถึงว่าฉันเป็นใคร ถ้ารู้ว่าฉันไม่ใช่คนสวน เธอจะยอมให้ฉันรับผิดชอบเธอรึเปล่า”

“ก็ผมบอกแล้วไงว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุ อาเชษฐ์จะพูดถึงมันขึ้นมาอีกทำไม” เด็กหนุ่มใช้เสียงตามอารมณ์

“ฉันคงไม่พูดขึ้นมาหรอก ถ้าเธอไม่ทำท่าทางแบบนี้ใส่ฉัน”

“ผมเปล่า” เด็กหนุ่มเถียง แล้วละสายตาไปพูดอ้อมแอ้ม “ต่อให้ทำ อาเชษฐ์ก็ไม่ควรพูดเรื่องนี้ขึ้นมา”

เชษฐ์ไชยขบกรามจนปูด “ถ้าฉันพูดขึ้นมา เธอจะรู้สึกเสียดายที่ตัดสินใจผิดรึไง”

“ไม่ ก็บอกไปแล้วไงว่า…”

“เธอมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

“ใช่!” วิริยะขานตอบทันควันเช่นกัน มองคนหน้าดุพูดกลับมาด้วยเสียงเยือกเย็น

“แต่คนที่เธอชอบ มันไม่มีทางชายตามองคนอย่างเธอแน่” สายตาคนกล่าวแสดงออกว่ากำลังเหยียดเยาะ

ได้ฟัง วิริยะชะงักกึกและสรรหาคำพูดตอบโต้ไม่ได้ไปพักหนึ่ง ตากลมเบนหลบไปที่ใดสักที่ปรับสีหน้าให้เป็นปกติแม้จะรู้สึกราวถูกมีดแทงอยู่ ซึ่งเชษฐ์ไชยเริ่มรู้ตัวแล้วว่าตนเองพูดจารุนแรง ทำกิริยาหยาบคายกับวิริยะไปมาก ส่งผลให้ทั้งสองต้องเงียบไป และเป็นฝ่ายคนอายุน้อยกว่าที่คิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เด็กหนุ่มเงยขึ้นมองหน้าเชษฐ์ไชยอย่างผิดหวัง

“ไม่ต้องบอกผมหรอก ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นใคร”

เชษฐ์ไชยนิ่ง มองหน้าเจื่อนของวิริยะแล้วใจหายขึ้นมาเสียเฉย ๆ

“ผมก็แค่ไม่อยากให้ใครต้องมาลำบากใจเพราะผมก็เท่านั้นเอง ถ้าทำให้อาเชษฐ์เข้าใจผิดก็ขอโทษจริง ๆ”

“เพราะงั้นเลยแสดงออกด้วยการรังเกียจฉันแบบนี้สินะ” คนตัวโตถาม

วิริยะถอนใจ “พอผมพูดดี ๆ แล้ว ทำไมอาเชษฐ์ต้องหาเรื่องด้วยวะ”

“ก็ฉันไม่ชอบวิธีของเธอ มันหยามกันชัด ๆ”

“หยามบ้าอะไร ทำไมต้องแคร์ด้วยว่าผมจะตัดสินใจยังไง”

“เธอไม่ได้ถูกปฏิเสธ เธอไม่เข้าใจ”

“สรุปอาเชษฐ์ชอบผมใช่ไหม!” เด็กหนุ่มโพล่งถาม พร้อมกับเชษฐ์ไชยที่เป็นฝ่ายล่าเมื่อครู่ชะงักกึก สีหน้าเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็รีบตั้งหลักแล้วปรับสีหน้าและอารมณ์ตัวเองมาโวยวาย ทั้งที่เมื่อครู่ยังทำหน้ามึนต้อนวิริยะอยู่เลย

“เข้าข้างตัวเองไปหน่อยมั้ง ฉันแค่ไม่อยากเสียภาพพจน์นายใหญ่ของไร่รุ่งอรุณีเท่านั้นเอง ประสาท!”

“อ๋อ เหรอ รักษาภาพพจน์เขาทำแบบนี้นี่เอง” เด็กหนุ่มยักไหล่

เชษฐ์ไชยรู้สึกหน้าร้อน “เกิดเธอเอาเรื่องฉันพลาดนอนกับเธอไปพูดให้ใครฟัง ชื่อเสียงของฉันก็ป่นปี้ไปหมดน่ะซี เพราะงั้นฉันถึงพยายามให้เธอรับเงินฉันไป จะได้รู้ว่าฉันรับผิดชอบเธอแล้ว แล้วเธอจะได้ไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครไงล่ะ ชอบนักไม่ใช่รึไง เงินน่ะ...”

วิริยะละรอยยิ้มยียวน ไม่คิดว่าเชษฐ์ไชยจะพูดแบบนี้ “มากเกินไปแล้วนะอาเชษฐ์”

ร่างสูงส่ายหน้าเยาะ “รับเงินฉันแล้วกลับไปซะสิ อยากอยู่แบบสบาย ๆ ไม่ใช่รึไง”

วิริยะหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ มองตาเชษฐ์ไชยอย่างผิดหวัง “ผมนึกว่าคุณแม่งเป็นคนดี แต่สุดท้ายผมก็คิดผิด” พูดจบวิริยะก็เดินกระแทกเท้าออกไปด้วยสีหน้านั้น ไม่ได้เสียงดังและต่อล้อต่อเถียงอย่างเคย ปล่อยให้คนฟังยืนนิ่งราวกับหุ่นหินโดนสาป อาจจะใช่ เพราะแววตาของเด็กหนุ่ม เพราะคำพูด และท่าทางที่ผิดจากเมื่อก่อนไปอย่างถนัดตา สาปให้เชษฐ์ไชยทำตัวไม่ถูกไปพักหนึ่ง

วิริยะไม่ได้ร้องโหวกเหวกโวยวายเหมือนเมื่อครู่ นั่นทำให้เชษฐ์ไชยรู้ว่าตอนนี้วิริยะโกรธจริง ๆ

โกรธจนไม่แม้แต่อยากจะมองหน้าเขา

ไม่รู้เป็นเพราะอะไรที่ทำให้เขาเคืองจนหน้ามืดพูดไม่คิดออกไป เพียงแค่เด็กนั่นไม่อยากเข้าใกล้ ทั้งที่เมื่อก่อนเป็นคนเอ่ยปากพูดเองแท้ ๆ ว่าไม่ต้องการเกี่ยวข้องกัน เชษฐ์ไชยทรุดตัวนั่งลงบนเตียงนอนของตัวเอง ยกมือขึ้นสางผมชื้นขึ้นอย่างไม่เข้าใจตัวเองตอนนี้เอาเสียเลย

ไม่เข้าใจเลย

 

วันถัดมา เชษฐ์ไชยลุกขึ้นมาออกกำลังกายตั้งแต่เช้ามืด บริเวณลานกว้างตรงกลางของหอทั้งสองฝั่งมีที่สำหรับออกกำลัง ลำแขนแข็งแรงโหนยกร่างตัวเองบนบาร์ไปพลาง สายตาก็กวาดมองห้องบางห้องไปพลาง รอดูว่าจะมีคนออกมาหรือไม่

กระทั่งช่วงตีห้า ชายหนุ่มเห็นร่างผอมโปร่งของคนงานใหม่เดินถืออุปกรณ์ส่วนตัวออกมาข้างนอก จุดมุ่งหมายคือห้องอาบน้ำที่เริ่มมีคนงานชายออกมาเตรียมตัวกันแล้ว รวมถึงเจ็ดหนุ่มที่มาร่วมออกกำลังกับเขาอยู่ตรงนี้ด้วย ดำตะโกนร้องทักทายน้องรักของมัน เรียกให้วิริยะหันมาทางนี้ แล้วยกยิ้มตอบรับราวเมื่อวานไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเชษฐ์ไชยก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายยังคงโกรธ

วิริยะมองผ่านเลยเขาอีกครั้ง ราวกับชายหนุ่มไม่มีชีวิต เป็นต้นไม้ใบหญ้าไร้ความสลักสำคัญ

พักหลังมานี้เชษฐ์ไชยอารมณ์เสีย หงุดหงิดง่ายเป็นพิเศษ หนุ่ม ๆ บอยแบนด์ทั้งเจ็ดต่างหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับเจ้านาย โดยเฉพาะดำที่ไม่ถูกตาเชษฐ์ไชยเป็นพิเศษ แต่ถึงอย่างนั้นก็มักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือระบายความหงุดหงิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอ ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นเพราะอะไร

แต่มีดำเท่านั้นที่สังเกตเห็นสถานการณ์ระหว่างเชษฐ์ไชยกับน้องรักของเขา แม้วิริยะจะเป็นปกติ พูดคุยสนุกสนานกับพวกเขาเช่นเดิม แต่เมื่อใดที่มีเชษฐ์ไชยมาอยู่ในรัศมีตาเห็น วิริยะจะเปลี่ยนสีหน้า และหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้กัน

ส่วนเชษฐ์ไชยก็อีกคน เมื่อก่อนสายตาเยือกเย็นเป็นอสูรร้าย ตอนนี้ดำกลับเห็นแววตาลูกหมาตัวน้อยในนั้น ยามมองตามหลังวิริยะทุกครั้งที่เด็กหนุ่มเดินถอยหนีไป หนุ่มอีสานอยากรู้เหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้น และเขาควรถามจากปากวิริยะเพื่อให้ได้ความกระจ่าง คิดเช่นนั้นแล้วหนุ่มตัวล่ำก็เดินไปหาเด็กหนุ่มที่ง่วนอยู่กับการถางหญ้า

เชษฐ์ไชยเห็นสองคนนั่งสุมหัวกันอยู่ไกลลิบ ๆ แล้วหงุดหงิด เดินกลับออกไปด้านนอกของไร่ ไม่อยากมอง ไม่อยากเห็นหน้าวิริยะแล้วอารมณ์เสีย ฝ่ายเขาต่างหากที่ควรโกรธเพราะถูกหยาม ถูกแสดงท่าทีรังเกียจอย่างออกนอกหน้าอย่างนั้น ดันถูกโกรธเสียได้

วันนี้ท้องฟ้าครึ้มบอกว่าฝนจะตกแน่ แถมเริ่มมีลมกรรโชกแล้วด้วย ชายหนุ่มจึงเดินไปหาลุงแสวง ให้บอกคนงานว่าหากฝนตกก็กลับไปพักกันได้เลย ไม่ต้องฝ่าฝนทำงาน เพราะตอนนี้ก็ย่ำบ่ายแล้ว ไม่ต้องการให้คนงานคนไหนไม่สบายเพราะทำงานกับเขา

เอาเข้าจริงจนถึงเวลาเลิกงานฝนก็ไม่ตกอย่างที่คิด มีเพียงลมที่แรงมากขึ้นเพราะเป็นฝนหลงฤดู เชษฐ์ไชยอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาด้านล่าง เห็นแม่ต้อยกำลังล้างจานชามทำงานบ้านร่วมกับแม่บ้านคนอื่นอย่างขะมักเขม้น นางส่งยิ้มน้อย ๆ ทักทายเขา ทว่าชายหนุ่มทำเมิน เดินไปทิ้งก้นนั่งบนเบาะกระบะยกสูงคู่ใจ แล้วขับออกไปที่หอโดยไม่รู้ว่าไปทำไม

ชายหนุ่มเดินไปยังโรงอาหารเพื่อหาอะไรทาน มองออกไปด้านนอกเห็นพยับฟ้าพยับฝน และสายฟ้าสาดลงที่ใดสักที่ แต่ตรงนี้มีเพียงลมแรง คาดว่าลมอาจจะพัดให้ฝนไปตกที่อื่นแล้วก็ได้

“เอ้า กำลังจะกลับแล้วเหรอ” ผู้ช่วยแม่ครัวคนหนึ่งร้องทักคนงานด้วยกัน เชษฐ์ไชยเพิ่งเห็น ว่าผู้ถูกเรียกเป็นสาวใหญ่ที่อยู่ข้างห้องของวิริยะ หล่อนฉีกยิ้มหวานให้คนทักตอบกลับไปอย่างกันเองว่า “จ้า พอดีฉันติดละครหัวค่ำน่ะ จะรีบกลับไปดู”

“งั้นฝากปลากระป๋องนี่ไปให้วิวหน่อยสิ มันลืมไว้ ช่วงนี้กินเก่งต้องลุกมากินกลางดึก” นางบอก

“ช่วงนี้เห็นพาคนมานอนด้วยทุกวันเลย คงชวนกันกินตามประสาวัยรุ่นนั่นแหละ วัยกำลังโต”

เชษฐ์ไชยนิ่งฟังเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากอารมณ์ดีก็พลันนึกฉุนขึ้นมาอีก

“ผู้หญิงรึเปล่าแก เห็นหงิม ๆ ก็ร้ายไม่เบานะเนี่ย พ่อหนุ่มกรุง”

เพื่อนบ้านวิริยะส่ายหน้า “ผู้หญิงไม่ใช่ ก็มีแต่พวกนังส้มที่ชอบแวะไปนั่งคุยกันแป๊บ ๆ แล้วกลับ น่าจะเป็นกลุ่มพวกไอ้ดำมากกว่า ฉันได้ยินเสียงผู้ชายแว่ว ๆ ทุกคืนเลย” นางอธิบาย ได้ฟังแล้วเชษฐ์ไชยก็ผุดลุกขึ้นยืน อารมณ์ไม่ต่างจากท้องฟ้าที่กำลังแปรปรวนตอนนี้เท่าใดนัก เดินกลับขึ้นไปนั่งบนรถยกมือกุมประสาทตนเองไม่ให้ขุ่นเคืองอะไรที่ไร้เหตุผล

แต่วิริยะตั้งใจขัดคำสั่งเขา ท้าทายเขาด้วยการพาคนอื่นเข้าไปนอนด้วยกัน

เดี๋ยวซี เขามีสิทธิ์โกรธเรื่องนี้ที่ไหนกัน!

แต่ไม่รู้ทำไม ในสมองของเชษฐ์ไชยตอนนี้คิดเพียงแค่การหาวิธีทำให้วิริยะไล่ไอ้พวกลิง ๆ นั่นกลับไปนอนที่ห้องตัวเอง เพราะภาพในหัวเชษฐ์ไชยตอนที่ใครสักคนนอนร่วมฟูกแคบ ๆ นั่นกับวิริยะผุดขึ้นเต็มหัวไปหมด และชายหนุ่มรู้สึกว่ารับไม่ได้ คิดแล้วเชษฐ์ไชยก็บึ่งรถกลับไปบ้านพัก ขึ้นไปหยิบสร้อยพระวิริยะติดตัวแล้วเดินดุ่มออกจากบ้าน ไม่สนสายตางงงวยของแม่ต้อย

ค่ำแล้ว ฝนเริ่มหยดเปาะแปะพร้อมกับเมฆฝนหนาก่อตัวขึ้นมากมาย ชายหนุ่มหยุดอยู่หน้าห้องพักของวิริยะ เคาะโดยไม่คิดให้เสียเวลาด้วยซ้ำ หากวิริยะกลัว ต้องการสร้อยพระคืนเขาจะเอาไปให้ และสั่งห้ามให้เด็กหนุ่มพาใครมานอนด้วยอีก

“มาแล้วครับ มาแล้ว ใจเย็น ๆ เด้อ…”

เสียงสดใสของวิริยะขานรับ ราวกับคิดว่าไม่ใช่เชษฐ์ไชยแน่

ซึ่งเด็กตรงหน้าก็แสดงออกเช่นนั้น เมื่อเปิดประตูเห็นเชษฐ์ไชยยืนหน้าขึงขังรออยู่

ระหว่างทั้งสองจึงเงียบไปพักหนึ่ง

“บายเด้อ…” วิริยะทำท่าจะปิดประตู แต่คนอายุมากกว่าไม่ยอม

“ไม่ต้องมาเนียนเลย” เมื่อเห็นว่าท่าทีของวิริยะไม่แย่นัก สุ้มเสียงแข็งขืนของเชษฐ์ไชยเองก็อ่อนลงไป เอื้อมมือไปดึงประตูแล้วถือวิสาสะเดินเข้าไปภายในห้อง เมื่อเห็นตาของวิริยะที่ก้มลงมองรองเท้าเขาเปื้อนฝุ่นโคลนมาด้วย ชายหนุ่มถอดรองเท้าแล้วปิดประตูเพราะลมแรง เกรงว่าฝุ่นจะปลิวเข้ามาข้างใน

ความเย็นของสายฝนสาดกระหน่ำลงบนหลังคาเสียงดัง แต่ภายในใจของทั้งสองกลับเงียบเชียบไป เชษฐ์ไชยเหลือบมองเพื่อนของหลานชาย ดูเหมือนวิริยะจะใจเย็นลงบ้างแล้ว ความเคืองโกรธเมื่อหลายวันก่อนเจือจางลงไปมาก เหลือเพียงใบหน้าที่เคยขาวใสยู่ยับเพราะไม่รู้จะวางตัวอย่างไรต่อหน้าเขา หรือไม่ก็พยายามแสดงออกให้เชษฐ์ไชยเห็นว่ายังคงโกรธอยู่

เชษฐ์ไชยควรแก้ไขสถานการณ์เช่นนี้ก่อน ก่อนจะพูดเรื่องอื่น

“ขอโทษ”

ชายหนุ่มพูดขึ้นฝ่าความเงียบอย่างรวดเร็ว รู้สึกกระดากอายที่ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยก่อน

เรียกให้คนงอนเงยขึ้นมองเพราะได้ยินไม่ชัด “ฮะ” เด็กหนุ่มย้อน

เชษฐ์ไชยถอนใจ “ขอโทษ” พูดช้าลงกว่าเดิม

เมื่อได้ยินชัดเจนแล้วว่าอย่างไร คนฟังอมยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของจอมวางท่า เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า “อะไรนะ...”

เด็กหนุ่มเห็นแววตาค้อนของเชษฐ์ไชย คนตัวใหญ่จิ๊ปากราวอารมณ์เสียหรือถูกขัดใจ อาจเพราะรู้ว่าตัวเองกำลังถูกเขาแกล้งก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยอมพูดอีกครั้งด้วยเสียงที่กล้าหาญขึ้นกว่าเก่า “บอกว่าขอโทษ จะไม่ปากหมาอีก พอใจยัง”

เมื่อเห็นว่าเชษฐ์ไชยตั้งใจจริง ๆ วิริยะทำท่ากอดอกยอมรับในสิ่งที่ได้ยิน พยักหน้ารับอยู่สองสามที “ก็ได้ สัญญาแล้วนะ ห้ามปากหมาใส่ผมอีก” เด็กหนุ่มพูด สีหน้ากึ่งโกรธกึ่งไม่โกรธ

เชษฐ์ไชยพยักหน้าเออออ ทำเก๊ก

ฝ่ายวิริยะเองก็แสร้งตีหน้าขึงขังได้พักเดียว ก่อนจะยอมยิ้มอย่างเต็มปากให้คนตรงหน้าอีกครั้ง บอกว่าหายเคืองใจแล้ว และพอใจที่ได้ยินคำขอโทษก่อน ซึ่งเป็นการหายโกรธที่ง่ายกว่าเชษฐ์ไชยคิดไว้มาก อาจเป็นเพราะนี่คือวิริยะผู้สดใสและเป็นที่รักของทุกคนในไร่ ผู้ไม่เคยสร้างความลำบากใจให้คนอื่นเลยกระมัง

มีแต่สร้างรอยยิ้ม ด้วยยิ้มที่สดใสจากเจ้าตัวเอง

เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา รอยยิ้มที่ทำให้เชษฐ์นึกขึ้นมาทุกทีว่า

ทุกสิ่งทั้งหมดต่อหน้านี้ เป็นของเขา…


--๑๐๐--


-----------------------------------------------------

ค้นพบคนกลัวเมียหนึ่งอัตรา แถมหลงเมียหนักมาก หวงก้างหนักมากเช่นเดียวกัน

ตอนหน้าเดี๋ยวเจอคนจอมแถ 2017 นะคะ

แถยังไงให้ได้นอนห้องเดียวกับเมีย แถยังไงให้เมียดูแลตอนป่วย อิอิ

มีใครหลงน้องวิวเหมือนเค้าบ้าง มาเม้ามอยกันเถอะ



ขอกำลังใจรัว ๆ เลยจ้า


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
นี่กลัวเมียแล้วหรือเนี่ย คิดไปเองมากกว่านะ ปากจัดปานนี้ ไผจะคิดเอาทำปัว หรือวิวจะว่าไง  :hao3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ดีนะที่ยอมลงให้

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ดีค่ะ ค่อยๆขยับความสัมพันธ์ ^^

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ต้องง้อสิจ๊ะ เด็กๆ น่ารักน้าาา ไม่งั้นเสร็จดำชัวร์ ยิ่งตัวแกล้งอยู่ด้วย อิอิอิ
  :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
หลงเมียเด็กสุดๆเลย 5555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด