CHAPTER
-14-
จูบลา
“คุณพ่อครับ...ผมตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงานกับน้ำครับ” เมื่อเดินเข้ามาในห้องทำงานของผู้เป็นพ่อแล้ว หินก็ตัดสินใจบอกเรื่องที่ได้ตอบตกลงเพลินพิศไปแล้ว
“ว่าไงนะ! ลูกไม่ได้รักน้ำไม่ใช่เหรอ” จรัญแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกชายบอก มันผิดคาดจากที่เคยคิดเอาไว้ อะไรดลใจให้ลูกชายตัดสินใจอย่างนี้เขาอยากรู้จริงๆ
“ผมมาคิดดูอีกรอบไฟเองก็มีแฟนใหม่ไปแล้ว ผมอยากให้น้องมีความสุขกับคนที่เขารัก ส่วนน้ำก็รักผมมานานแล้วผมว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดแล้วครับ” เขาไม่อยากให้ผู้เป็นพ่อรู้สึกกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก และถ้ายิ่งรู้ว่าเพลินพิศร้ายกาจแค่ไหนยิ่งจะทำให้เครียดขึ้นไปอีก
“หินคิดดีแล้วใช่ไหมลูก” เขาถามย้ำเพื่อให้ลูกชายพิจารณาใหม่อีกครั้ง
“ผมคิดดีแล้วครับและได้ตอบตกลงคุณน้าเพลินพิศไปแล้ว” เขาตอบกลับ
“ถ้าหินตัดสินใจไปแล้วพ่อก็ไม่ค้านอะไร แล้วอย่างนี้หินจะมีเวลาว่างไปหาไฟไหมล่ะ” เขายังคงเป็นห่วงลูกชายอีกคน
“ไม่ต้องห่วงครับคุณพ่อผมจะยังไปดูแลน้องเหมือนเดิม”
“อย่าลืมทำความเข้าใจกับน้ำด้วยล่ะลูกเดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่ พ่อไม่อยากให้มีเรื่องขัดใจระหว่างพี่น้องด้วยกัน”
“ครับคุณพ่อ” ระหว่างพูดคุยเขาสังเกตเห็นหน้าผู้เป็นพ่อดูซีดเซียว เลยเอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วง “คุณพ่อไม่สบายรึเปล่าครับดูหน้าซีดๆ”
“พ่อไม่เป็นอะไรช่วงนี้สงสัยจะนอนดึกไปหน่อย” ช่วงนี้เขารู้สึกแปลกๆกับตัวเอง เวียนศีรษะบ่อยแล้วก็รู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกายทั้งๆที่แต่ก่อนไม่เคยเป็น ทำให้คิดว่าเป็นเพราะการอดหลับอดนอน ซึ่งช่วงนี้เขายอมรับว่านอนไม่ค่อยหลับเพราะคิดถึงแต่เรื่องลูกชายคนโต
“คุณพ่ออย่าเครียดนะครับแล้วก็อย่านอนดึกด้วยผมเป็นห่วง”
“ขอบใจมากลูกเดี๋ยวพ่อเข้านอนก่อนละกันไว้ค่อยคุยกันใหม่”
“ครับคุณพ่อ”
จรัญลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวโปรดเพื่อจะเดินไปที่ห้องนอนซึ่งอยู่อีกฝั่ง แต่ก็ต้องล้มคะมำลงที่พื้นนั่นเพราะรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมากะทันหันจนไม่สามารถทรงตัวได้
“คุณพ่อ!” หินรีบวิ่งเข้ามาพยุงตัวผู้เป็นพ่อเอาไว้ “คุณพ่อไหวไหมครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“พ่อไหวแค่ปวดหัวนิดหน่อยเอง นอนพักก็คงหายหินช่วยไปหยิบยาพารามาให้พ่อหน่อย” เขาบอกกับลูกชาย ขณะเจ้าตัวรู้สึกปวดที่ศีรษะมากเหลือเกินแต่พยายามเก็บอาการเอาไว้
หินพยุงผู้เป็นพ่อมาที่เตียงนอน
“คุณพ่อรอสักครู่นะครับเดี๋ยวผมไปเอายามาให้”
หินรีบวิ่งไปที่ตู้ยาประจำบ้านแล้วหยิบกระปุกยาพาราเซตามอลออกมา หลังจากนั้นเดินไปที่ครัวเทน้ำดื่มใส่แก้วยกใส่ถาดมาพร้อม
“คุณพ่อทานยาก่อนนะครับ” เขาหยิบยาพารามาสองเม็ดก่อนจะป้อนให้ผู้เป็นพ่อแล้วยกแก้วน้ำมาให้ดื่ม
“พ่อไม่เป็นไรแล้วหินไปนอนเถอะ” เขาบอกกับลูกชายพร้อมกับยิ้มเหนื่อยๆให้
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะพาคุณพ่อไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลนะครับ” เขารู้สึกไม่วางใจจนกว่าจะได้พาผู้เป็นพ่อไปตรวจที่โรงพยาบาล
“ไม่เป็นไรหรอกพรุ่งนี้ก็หายแล้วพ่อเคยเป็นไม่มีอะไรหรอก”
“แต่...”
“รีบไปนอนเถอะลูก”
“ครับคุณพ่อ”
หินเดินออกมาทั้งที่สีหน้ายังไม่ค่อยสู้ดีนัก ในใจก็คิดว่าคงเป็นเพราะเครียดเรื่องไฟรึเปล่านะ เขาคาดเดาจากสถานการณ์เพราะช่วงก่อนที่ไฟจะออกไปจากบ้าน ผู้เป็นพ่อยังปกติดีไม่มีอาการเจ็บป่วยใดๆ เขาต้องหาทางพาไฟกลับมาเยี่ยมพ่อให้ได้สักครั้งอย่างแน่นอน
*-*-*-*-*-*-*
หลายวันต่อมา
ชุมชนสวัสดิ์ชัย
หลังจากเพื่อนๆรู้ข่าวว่ามีคนมาพังร้านก็ถูกห้ามให้ขายของอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะกลัวพวกมันจะกลับมาทำร้ายอีกครั้ง วีและปลาจึงแนะนำให้เพื่อนย้ายไปอยู่ที่อื่นเพื่อไม่ให้ใครมารังควานได้อีก แต่เจ้าตัวก็ยังลังเลนั่นเพราะลึกๆในใจกลัวว่าจะไม่ได้เจอหน้าร่างสูงอีก
“กูว่ามึงย้ายไปอยู่ที่อื่นเถอะ ขืนอยู่ต่อไปมีหวังโดนรังควานไม่เลิกแน่” ปลาแนะนำเพื่อน
“กูไม่อยากไปอยู่ที่อื่นว่ะ กูโตมาจากที่นี่ทำไมกูต้องหนีด้วยวะ” เขาตัดสินใจแล้วว่ายังไงก็ไม่ไปไหน อย่างที่เคยบอกหากมีครั้งที่สองเขาเองก็คงไม่ยอมแน่
“แต่พวกกูเป็นห่วงมึงนะเว้ยไฟ” วีผู้เคยร่าเริงแต่ตอนนี้กลับทำหน้าจริงจังขึ้นมา
“ไม่เป็นไรหรอกคนที่นี่พลุกพล่านมันคงไม่กล้ามาฆ่ากูหรอก” เขาบอกกับเพื่อน
“แต่พวกกูก็เป็นห่วงมึงเหมือนเดิมนั่นล่ะ” วีเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่ากูยังไม่เครียดเลยแล้วพวกมึงจะเครียดกันทำห่าอะไรวะ อีกอย่างช่วงนี้พี่โดมเค้าก็มาหากูบ่อยๆไม่ต้องห่วงหรอกน่า” เขาเอ่ยเพื่อให้เพื่อนสบายใจ
“โอเคๆ อีกไม่นานก็จะเปิดเทอมแล้วช่วงนี้ก็ระวังตัวด้วยละกัน” ปลาบอก
“กูขอบใจนะเว้ยที่พวกมึงไม่เคยทิ้งกูเลย” เขายิ้มอย่างจริงใจให้กับเพื่อนทั้งสอง ก่อนที่ทั้งหมดจะล้อมวงกอดคอกัน
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ทั้งสามคนหันขวับไปมองที่ประตูทันที เป็นน้ำนั่นเองที่ยืนยิ้มแฉ่งมาพร้อมกับอาร์มเพื่อนรัก
“ขอโทษนะครับที่มาขัดจังหวะ น้ำขอเข้าไปข้างในได้ไหมครับ” รอยยิ้มหวานนั่นเคลือบไปด้วยยาพิษ ทำไมไฟจะไม่รู้
“เข้ามาสิน้ำ” เขาตอบกลับน้องชาย
แขกผู้มาเยือนทั้งสองคนมองห้องเช่าเก่าๆอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ ทำให้วีและปลาต่างก็ปรายตามองอย่างขัดใจ
“พี่ไฟคงจะลำบากมากเลยสินะครับ ห้องเก่าๆอย่างนี้ไม่รู้ว่าพี่ไฟอยู่ไปได้ยังไง” เอ่ยกับพี่อย่างเป็นห่วงเป็นใย แต่คนอย่างไฟทำไมจะไม่รู้ว่ามันปลอม!
ไฟรู้สึกแปลกใจกับท่าทีของน้องชายที่ถอดแบบมาไม่ต่างจากผู้เป็นแม่ ทั้งๆที่แต่ก่อนไม่ใช่อย่างนี้ น้ำเป็นเด็กเรียบร้อยไม่กล้าต่อปากต่อคำกับเขาแม้แต่น้อย แต่มักจะเป็นเขาเองที่ชอบพูดจาแดกดันน้องชายอยู่บ่อยครั้ง
“พี่อยู่ได้ไม่ต้องห่วง อยู่ที่นี่มีความสุขกว่าอยู่ที่บ้านนั้นเยอะเลย น้ำเองคงไม่รู้หรอกว่าความสุขที่แท้จริงมันเป็นยังไง” เขาตอบกลับน้องชายเชิงประชัดประชัน
“ถ้าพี่ไฟมีความสุขดีน้ำก็หายห่วง” ผู้มาใหม่มองหน้าพี่ชายแล้วยิ้มให้
เพื่อนทั้งสองคนของไฟมองน้ำอย่างไม่เป็นมิตร เพราะคำพูดคำจาของอีกฝ่ายมันดูไม่จริงใจ รวมถึงอีเพื่อนตัวดีที่มาด้วยนั้นก็มีจริตน่าหมั่นไส้เสียจริง หากไม่มีเพื่อนอยู่ด้วยคงจะจัดหนักจัดเต็มให้ทั้งสองคนไปแล้ว
“มาที่นี่ต้องการอะไรพูดมาตรงๆแล้วรีบไปซะ” เจ้าตัวเริ่มเอือมระอากับความไม่จริงใจของผู้เป็นน้องชาย ถือซะว่าชดใช้สิ่งที่เขาเคยทำไว้ก็แล้วกัน หลังจากนี้ก็ไม่ต้องมาเจอกันอีก
“ดีเหมือนกันครับผมก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นานๆ เพราะกลัวจะติดเชื้อโรคเอา” ได้ยินอย่างนั้นก็ทำให้วีและปลาหันขวับไปมองน้องชายเพื่อนทันที
“นี่จะมากไปแล้วนะ พูดให้มันดีๆหน่อย” วีอดไมได้จึงพลั้งปากออกไป
“เธอนั่นล่ะหุบปากพี่น้องเค้าจะคุยกัน” อาร์มสวนกลับแทนเพื่อน
“เอ๊ะอีนี่ปากดี!” วีกำลังจะลุกขึ้นไปตบอีกฝ่ายแต่โดนปลาและไฟห้ามเอาไว้ก่อน
“พอได้แล้ววีให้น้องกูพูดต่อให้จบจะได้รีบๆไป” วียอมนั่งลงนิ่งๆแต่โดยดีแต่สายตากลับมองขวางไปยังทั้งสองคน
“น้ำจะมาเรียนเชิญพี่ไฟไปงานแต่งครับ” ว่าแล้วก็ยื่นการ์ดสีชมพูให้กับพี่ชาย
ไฟรับมาแล้วเปิดดูทันทีเมื่อเห็นชื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวหัวใจก็ตกฮวบลงมาทันที ‘รัชตะ * นที’ ไหนพร่ำบอกว่ารักเขาตลอดเวลาที่เจอกัน แต่ทำไมถึงได้แต่งงานกับน้องชายเขาล่ะ ไอ้คนโกหกหลอกลวง แล้วจะมาทำดีทำไม สารพัดคำถามที่เกิดขึ้นในใจ
“ยินดีด้วยนะแต่พี่คงไม่สามารถไปร่วมงานได้ ขออวยพรให้รักกันนานๆละกัน” น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยกับน้องชาย ก่อนจะเมินหน้าอีกคนอย่างลืมตัว
“ขอบคุณนะครับสำหรับคำอวยพร แต่น้ำอยากให้พี่ไฟไปร่วมงานด้วยจัง มีพี่ชายแค่คนเดียวก็อยากให้ไปร่วมเป็นสักขีพยานด้วย แต่ถ้าพี่ไฟไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ เอาเป็นว่าต่อไปนี้พี่หินเป็นของผมอย่างเป็นทางการแล้วนะครับ กรุณาอย่ามายุ่งกับคนของผมอีก!” พูดจบน้ำก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที
“ทำไมน้องชายมึงมันน่าตบอย่างนี้วะ กูล่ะคันไม้คันมือ” วีพูดพลางมองตามหลังไป
“ช่างมันเถอะ” เขานั่งเหม่อลอยอย่างหมดแรง ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกอย่างนี้เขารักโดมไม่ใช่เหรอ? เขาไม่ได้รักผู้ชายคนนั้น แต่ทำไมมันถึงได้เจ็บปวดอย่างนี้นะ
“มึงเป็นอะไรมากป่ะเนี่ย ดูหมดอาลัยตายอยากอย่างกับคนอกหัก” วีถาม
“กูไม่เป็นไร” เมื่อได้ยินเพื่อนถามมาก็ยิ้มน้อยๆให้
“ดูสภาพคนไม่เป็นไรสิยังกะศพ สรุปมึงชอบใครกันแน่ระหว่างพี่โดมกับพี่หิน” ปลาถามตรงๆ แต่ในใจก็พอจะรู้คำตอบแล้วล่ะเพราะทุกอย่างมันชัดเจนขนาดนี้แล้ว
“กู....รักพี่โดมสิวะ” เขาตอบส่งๆออก
“ขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ใจตัวเองอีก มึงรักพี่หิน มึงไม่ได้รักพี่โดม” วีพูดกรอกหูเพื่อนในระยะประชิด เพื่อให้อีกฝ่ายคิดได้และมีสติขึ้นมาเสียที
“ไม่จริง กูรักพี่โดม” เจ้าตัวยังยืนยันคำพูดก่อนหน้านี้
“เออๆ ก็แล้วแต่มึงละกัน ถ้ามึงรักพี่โดมก็หยุดทำหน้าเศร้าได้แล้ว ไม่ได้รักพี่หินไม่ใช่เหรอควรจะดีใจกับน้องชายสิ” วีเอ่ยประชดประชันเพื่อน เขาอยากให้เพื่อนตาสว่างและหันมามองหัวใจตัวเอง ไม่ใช่อยากจะให้ไปล้มงานแต่งของน้องชาย แต่หากทั้งสองยังคงรักกันแล้วทำไมต้องปล่อยให้เรื่องมันเป็นอย่างนี้
“กูไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักหน่อย” เขาถอนหายใจยาวแล้วเปลี่ยนท่าทีให้มีชีวิตชีวาขึ้น
“แล้วแต่มึงละกันคิดให้ดีก่อนที่อะไรมันจะสายไป”
“เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว พวกบ้านนั้นจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับกูอีก” หากหินได้แต่งงานกับน้ำทุกอย่างก็คงสมใจแม่เลี้ยงของเขา คงไม่มีใครมาวุ่นวายให้ปวดหัวอีกแน่นอน เขาคิดอย่างนั้น
ขณะทั้งสามคนกำลังพูดคุยกันอยู่ในห้อง คนที่แอบฟังอยู่ข้างนอกก็รู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย ทุกประโยคที่ดังแว่วเข้าหูทำให้รู้ว่า คนที่อยู่ในใจไฟมาตลอดเป็นหินไม่ใช่เขาที่มาทีหลัง แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่ทีทางยอมแพ้สักวันจะทำให้ไฟรักให้ได้ มาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ยอมให้ทุกอย่างมันพังลงง่ายๆอย่างแน่นอน
“คุยอะไรกันอยู่ครับ” เมื่อทำใจได้แล้วโดมก็เข้าไปทักทายทั้งสามคนทันที เขาซื้อขนมเบื้องเจ้าประจำติดมือมาด้วย
“พี่โดมสวัสดีครับ” ทั้วสามคนยกมือไหว้ทันทีที่เห็นรุ่นพี่
“สวัสดีครับ พี่ซื้อขนมเบื้องมาฝากด้วยร้านนี้อร่อยเหาะเลย” เขายื่นถุงขนมให้ วีรีบยื่นมือไปรับก่อนใคร
“ขอบคุณครับ”
โดมมองหน้าเจ้าของห้องทันทีหลังจากเพื่อนทั้งสองกำลังสนใจเจ้าขนมเบื้องอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย ไฟเดาสายตาคมคู่นั้นไม่ออกเลยว่ากำลังรู้สึกหรือคิดอะไรอยู่
“วันนี้พี่โดมไม่มีเรียนเหรอครับ” เขาถามชายหนุ่ม
“วันนี้พี่มีเรียนวิชาเดียวก็เลยแวะมาหา แล้วไฟล่ะเป็นไงบ้างมีใครมาทำอะไรอีกรึเปล่า?”
ผู้ชายคนนี้ยังเป็นห่วงเป็นใยเขาอยู่เสมอ
“ไม่มีครับทุกอย่างโอเค” เขายิ้มให้
“ดีแล้วพี่จะได้หายห่วง กินขนมสิอร่อยนะ”
“ครับ”
หลังจากคุยกับรุ่นพี่แล้วไฟก็หันไปแย่งขนมจากเพื่อนๆมาทานอย่างเอร็ดอร่อย เพื่อเอาใจชายหนุ่มที่อุตส่าห์ซื้อมาฝาก...
*-*-*-*-*-*-*
วันรุ่งขึ้น
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ร่างบางกำลังจะออกจากห้องเพื่อไปซื้ออาหารเช้า ก้าวขาพ้นประตูห้องได้เพียงก้าวเดียวก็เห็นใบหน้าคมที่คุ้นเคยอยู่ตรงหน้า เห็นอย่างนั้นเจ้าตัวก็รีบปิดประตูห้องโดยเร็ว แต่ไม่ทันเสียแล้วเพราะมือหนาได้จับประตูเอาไว้เสียก่อน
“มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย!” เจ้าของห้องตวาดใส่เสียงดัง ดูก็รู้ว่ามีกำลังมีเรื่องไม่พอใจอยู่
“ไม่! จนกว่าพี่จะได้คุยกับไฟ” หินรู้สึกงงงวยว่าเขาไปทำอะไรให้อีกคนโกรธนักหนาถึงได้ขับไสไล่ส่งขนาดนี้
“ไม่มีเรื่องจะต้องคุยกันแล้วกลับไปซะ” ร่างบางพยายามดันตัวชายหนุ่มออกไปแต่สู้แรงอีกคนไม่ไหว หินเบียดตัวเข้ามาแล้วรวบตัวกอดร่างบางจากด้านหลัง
“พี่ทำอะไรให้ไฟโกรธงั้นเหรอบอกพี่มาสิ” เสียงเข้มเอ่ยข้างๆใบหูอย่างอ่อนโยน
“พี่หินไม่ควรทำอย่างนี้ผมไม่อยากให้ใครมาตราหน้าว่าแย่งว่าที่สามีน้องชายตัวเอง”
“ใครเป็นคนบอกไฟ” ร่างสูงทำหน้าเหวอเมื่อรู้ว่าคนในอ้อมกอดรู้เรื่องที่เขาจะแต่งงานกับน้ำแล้ว
“ก็จะใครล่ะว่าที่เมียพี่ไงล่ะ ยินดีด้วยนะครับในที่สุดพี่ก็ได้แต่งงานสมใจอยากซะที”
“นี่น้ำมาที่นี่งั้นเหรอ” คลายอ้อมกอดแล้วหมุนตัวร่างบางให้มาเผชิญหน้า
“ใช่! ตกใจอะไรครับ น้องชายแต่งงานทั้งทีจะมาแจกการ์ดให้พี่ชายไม่เห็นแปลก” ร่างบางยิ้มเยาะแล้วโบ้ยหน้าไปที่การ์ดแต่งงานที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ
หินมองไปที่การ์ดใบนั้นด้วยความงงงวย เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าน้ำสั่งพิมพ์การ์ดเชิญพวกนี้แล้ว
“พี่ขอโทษที่บอกช้าไป วันนี้พี่ตั้งใจจะมาบอกเรื่องงานแต่งกับไฟด้วยตัวเอง” เสียงเข้มฝืนเอ่ยออกไปทั้งที่ใจมันสั่นไหวมากเหลือเกิน แทนที่เจ้าสาวจะเป็นคนที่อยู่ตรงหน้าแต่กลับกลายเป็นคนที่เขาไม่ได้รักซะงั้น
“ตอนนี้ผมรู้แล้วก็กลับไปซะผมไม่อยากเห็นหน้าพี่อีกแล้ว” น้ำตาเริ่มคลอเบ้าหลังจากเอ่ยปากไล่อีกคน ทำไมเขาจะต้องร้องไห้ล่ะมันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ที่หินจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายในชีวิตอีก
“ที่พี่ทำทั้งหมดก็เพื่อไฟ” ถึงแม้ไม่อาจครองคู่กันได้แต่เขาก็อยากให้อีกคนเข้าใจในสิ่งที่ทำลงไป อย่างน้อยมันก็ดีกว่าให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปตลอดฃีวิต
“มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง ในเมื่อพี่แต่งงานกับน้ำมันไม่เห็นจะเกี่ยวกับผมเลยแม้แต่น้อย” ยิ่งพูดออกไปยิ่งทำให้น้ำตามันไหลออกมาไม่ยอมหยุด ร่างบางพยายามเงยหน้าเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้
“พี่ตอบตกลงแต่งงานกับน้ำก็เพราะ...ต้องการให้คุณน้าเลิกมายุ่งวุ่นวายกับไฟ ที่บอกไม่ต้องการให้ไฟเห็นใจพี่ แต่ต้องการให้รู้ว่าพี่รักไฟมากแค่ไหน พี่ทำเพื่อคนที่พี่รักได้ทุกอย่าง” ไม่รู้ว่าผลตอบรับจะเป็นอย่างไรแต่เขาก็ตั้งใจที่จะให้อีกฝ่ายรับรู้ความจริง
“พี่คิดเหรอว่าทำอย่างนี้แล้วยัยแม่เลี้ยงนั่นจะเลิกยุ่งวุ่นวายกับผม”
“พี่ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”
“ดีแล้วล่ะ...อย่างน้อยน้ำก็รักพี่หินมาก อยู่ด้วยกันไปอีกหน่อยพี่คงจะรักน้ำได้”
“ไม่มีทาง! พี่ไม่มีทางเปลี่ยนใจไปรักน้ำได้หรอกเพราะคนที่อยู่ในใจพี่มีแค่ไฟคนเดียวเท่านั้น” น้ำเสียงหนักแน่นเอ่ยขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดไปด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ถึงแม้ว่าไฟจะไม่เคยรักพี่ก็ตาม” มือหนาที่โอบไหล่ร่างบางไว้ปล่อยลงมาอยู่ข้างลำตัว สายตาคมที่เคยมองใบหน้าสวยนั้นพลันหลบลงมาไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็นถึงความเจ็บปวด
“ถึงผมจะรักพี่มันก็สายไปแล้ว ขอให้พี่หินมีความสุขกับชีวิตคู่ก็แล้วกันครับ ผมจะจำไว้เสมอว่าพี่เคยรักผมมากแค่ไหน” อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่ควรหลอกตัวเองว่ารักคนที่อยู่ตรงหน้านี้มากแค่ไหน ถึงแม้มันจะสายไปแล้วแต่มันเป็นทางออกที่ดีสำหรับทุกคน
“พี่ขอจูบไฟป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม จากนี้ไปเราจะเป็นแค่พี่น้องกันเหมือนเดิม” สายตาคมจ้องมองอย่างเจ็บปวด หวังว่าอีกฝ่ายคงไม่ใจร้ายปฏิเสธเขาหรอกนะ
“......”
เจ้าตัวไม่ตอบแต่กลับจ้องใบหน้าคมอย่างอ่อนโยน ราวกับเป็นการอนุญาตให้อีกฝ่ายทำตามใจ
ใบหน้าทั้งสองค่อยๆโน้มเข้าหากันอย่างช้าๆจนริมฝีปากสัมผัสกัน ร่างบางหลับตาลงแล้วโอบมือเรียวที่ต้นคอของชายหนุ่ม ส่วนร่างสูงก็ไม่ยอมน้อยหน้าคว้าหมับเข้าที่เอวบางแล้วรวบตัวหมาประชิด หากนี่จะเป็นจูบครั้งสุดท้ายแล้วทั้งสองก็ขอให้เป็นจูบที่เนิ่นนานเท่าที่จะนานได้ก็แล้วกัน โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีชายหนุ่มอีกคนที่กำลังยืนหันหลังพิงผนังห้องเช่าร้องไห้อยู่หน้าห้องด้วยความเสียใจ...
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*