× ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สาม [14.2.19] P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สาม [14.2.19] P.4  (อ่าน 30921 ครั้ง)

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
หลงรักคุณเอื้อมโดยไม่รู้ตัวรักแบบยังมีความอึมครึมอยู่ไม่รู้ว่าปรัญแอบคิดเหมือนเรามั่งหรือเปล่าว่าแท้จริงคุณเอื้อมอาจจะเกรงใจคนนั้นคนนี้มากจนเกินกว่าจะบอกเรื่องเดือดร้อนให้ใครฟังพอใครถามก็จะบอกแต่ว่าไม่มีอะไรไม่เป็นไรพอมันมีเหตุเกิดขึ้นคนอื่นๆก็เลยรู้สึกเหมือนคุณเอื้อมไม่พูดความจริง#ไม่มีความจริงในความจริงเพราะมันคือความจริงเอ๊ะ!@_@ขอบคุณคุณเจ้าและเป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ทำไมรู้สึกว่าคุณเอื้อมมีเสน่ห์จังเลยอะ
มันต้องเคยเกิดอะไรสักอย่างที่ทำให้คุนเอื้อมมีนิสัยแบบนี้
รอติดตามนะคะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
สิบ


   ช่วงเวลาตีห้าสี่สิบห้าในวันปกติแล้วคือช่วงเวลาแห่งการนิทรา

   ถ้าไม่นับเพื่อนบางคนที่ออกมาซื้อไก่ย่างร้านเด็ดตอนเช้ากินน่ะนะ

   "ต้องตื่นเช้าขนาดนี้เลยเหรอ"

   "บางคนยังไม่ได้นอนด้วยซ้ำ"

   มองซากงานกระจัดกระจายจากอดีตสนามรบที่ชื่อว่า 'คืนก่อนวันจริง' รอบกาย มีทั้งส่วนที่หมดแรงนอนสลบเหมือดไปแล้ว และบางคนอยู่ในชุดเสื้อค่ายกางเกงยีนส์ขายาวเตรียมพร้อมต้อนรับนักเรียนจำนวนเกือบหนึ่งร้อยคนที่กำลังเดินทางมาเข้ารับการคัดเลือก

   นึกไม่ค่อยออกว่าช่วงเวลาเดียวกันนี้ของปีที่แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ปรัญแค่ตามเพื่อนมาอย่างที่บอก คิดง่ายๆ แค่ว่าถ้าได้เข้าเรียนในโครงการนี้เลยก็ดี จะได้ไม่ต้องไปเจอการสอบอีกหลายสนาม

   "แล้วจะทำงานไหวเหรอ..."

   "ต้องไหว ทำไงได้"

   สัจธรรมของชาวค่าย ผ่านมากี่ครั้งไม่เห็นมีการพัฒนาสักที

   จากหน้าที่ฝ่ายใช้แรงงาน เลื่อนขั้นมาเป็นคนรับผิดชอบกิจกรรมใหญ่ เราสองคนได้รับความไว้วางใจให้เป็นคนจัดการทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องมีการบรีฟอะไรเพิ่มเติมมากมายเหมือนอย่างที่บางกิจกรรมโดน

   พูดไม่ผิดนะ เราสองคนคือทั้งเขาและเอื้อมอารัญ

   เอื้อมดูสนุกกับการได้วางโครงสร้างกิจกรรมทั้งหมดใหม่อีกครั้ง จากการช่วยที่นึกว่าแค่แวะมาเพียงครั้งคราวกลายเป็นงานคู่ไปเสียได้ งานนี้ไม่ได้มีแต่พวกเด็กทุนมาทำอยู่แล้วเลยไม่ได้เป็นแกะดำ

   อีกอย่างคือเขายังว่างจากสัปดาห์พักมืออยู่ด้วย อาการบาดเจ็บทั้งหมดหายไปแล้ว เหลือแต่ร่องรอยของสะเก็ดอีกนิดหน่อย ถึงจะเป็นอย่างนั้นมือซ้ายก็ยังมีพลาสเตอร์ติดเอาไว้เสมอเพื่อตบตาคนอื่น อารมณ์ประมาณว่าเขาไม่อยากจะตอบคำถามว่าถ้าไม่พันมือแล้วทำไมถึงยังไม่กลับไปซ้อม

   เดินไปรับป้ายชื่อและเสื้อค่ายสีกรมท่าตามไซซ์ที่สั่งมาถือเอาไว้คนละตัว ขั้นต่อไปคือการเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย พื้นที่ของห้องเด็กทุนไม่เหมาะสำหรับการค้างในคืนก่อนวันงานเลยอนุญาตให้คนที่เคลียร์งานเสร็จหมดแล้วกลับไปนอนห้องตัวเองก่อนที่มาเจอกันช่วงเช้าแทน

   นอกจากรับผิดชอบหน้าที่ฝ่ายกิจกรรมในวันที่สองช่วงเย็นแล้วปันกับเอื้อมไม่ได้มีงานชิ้นอื่นชัดเจน เลยโดนเด้งไปเป็นฝ่ายสวัสดิการด้วยเหตุผลว่าต้องการผู้ชายเอาไว้ยกข้าวยกน้ำ ตรงป้ายชื่อของพวกเขาเลยมีตำแหน่งเขียนเอาไว้เยอะกว่าคนอื่นนิดหน่อย

   "แลกป้ายชื่อแกล้งเด็กกันไหม"

   ระหว่างที่กำลังแก้ไขความยาวของเชือกสีขาวแดงข้อเสนอแผลงๆ ก็มาหา

   "จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า"

   "ไม่หรอก ยังไงเราก็อยู่กับปันตลอดอยู่แล้ว"

   ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง พอสบเข้ากับสายตาเปี่ยมหวังแล้วก็ได้แต่ยอมแพ้เช่นเดียวกับทุกครั้ง เอื้อมนี่ก็ชอบหาเรื่องเล่นอะไรแปลกๆ ไม่ต่างจากแผนงานใหม่ในกิจกรรมของเขาเลย

   มองป้ายกระดาษด้านที่เขียนว่า 'ปัน' ในมือเป็นครั้งสุดท้าย จัดการคล้องมันผ่านศีรษะลงไปจนจบตรงช่วงคอ ลองดูความยาวว่ามันจะทำให้อึดอัดมากเกินไปหรือไม่

   ส่วนป้ายชื่อของเอื้อมย้ายไปแขวนร้อยเอาไว้กับสายร้อยเข็มขัด ปรัญไม่ชอบให้มีอะไรแขวนอยู่ตรงคอเท่าไหร่ มันจั๊กจี้จนพาลให้หงุดหงิด แต่บางคนก็ไม่ชอบให้ทำอย่างนี้นะ บอกว่ามันดูไม่เป็นมืออาชีพทำนองนั้น บอกเลยว่าไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเป็นเหตุเป็นผลตรงไหน

   "สามวันนี้จะเป็นพี่ปัน ห้ามหลุดเลยนะ"

   "ครับๆ" มีคำอื่นให้ตอบรับที่ไหน "ทำไมถึงอยากสลับล่ะ หรือว่าเคยทำมาก่อนเหรอ"

   "เปล่า แค่อยากหลุดจากการเป็นคุณเอื้อมบ้างน่ะ"

   "งั้นเราต้องเป็นเอื้อมเวอร์ชันที่ประหลาดแน่เลย"

   "มาแตะสลับร่างให้จบพิธีเร็ว"

   ยกฝ่ามือทั้งสองข้างไว้ระดับอก ความห่างอยู่ในระดับที่พอดีกับการทาบมือตัวเองลงไป เทียบจากสายตาแล้วนิ้วเอื้อมจะเรียวสวยส่วนเขาจะหนาแล้วก็ยาวกว่า อิจฉามือนักดนตรีจังเลยนะ

   ไม่มีการประสานนิ้วให้เชื่อมกันสนิท เขาฟังเอื้อมอารัญท่องบทคาถาที่ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง ประมาณว่าจงอย่าลืมแล้วเผลอหลุดออกมาไม่อย่างนั้นจะไม่สนุกแน่ ย้ำตรงช่วงที่บอกว่าตัวเองไม่ใช่เอื้อมจนรู้สึกตงิดในใจ

   ไม่อยากจะเป็นตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ

   "โอเคนะ ตอนนี้เราคือปันแล้วปันคือเรา"

   "ครับ ตอนนี้ชื่อเอื้อมอารัญ"

   "เรียนคณะอะไรก็ต้องเนียนนะ"
   
   พอทักเรื่องนี้ก็เลยนึกขึ้นได้ "แล้วถ้าน้องถามว่าคณะพี่เรียนอะไรบ้างจะตอบยังไง"

   "บอกว่าผ่านค่ายให้ได้ก่อนค่อยมาถามใหม่นะเด็กน้อย"
 


   ทุกอย่างยังดำเนินตามแผนงานที่วางเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ประทับใจที่อธิการบดีมาเปิดงานได้ตรงตามเวลาที่นัดหมายเอาไว้ ปรัญมองเด็กชายหญิงในชุดนักเรียนจากมุมหลังสุดของห้อง รู้สึกว่ายูนิฟอร์มของเด็กมัธยมนี่มันตอกย้ำความแก่เสียเหลือเกิน

   นี่ยังไม่จบปีหนึ่งเลยนะ

   "เราเคยคิดว่าตอนสอบเข้าเครียดแล้วนะ มาเจออย่างนี้รู้สึกสบายขึ้นมาเลย"

   เอื้อมหรือพี่ปันในเวลานี้เขยิบเข้ามาใกล้ ใช้เสียงเบาในการพูดคุยกันไม่ให้รบกวนคนอื่น

   "อะไรได้มากกว่าก็ต้องแลกเยอะกว่า" เป็นสัจธรรมที่ไม่อาจเลี่ยงได้ "ยิ่งมีจำกัดก็ต้องแข่งขันมากขึ้น"

   เปอร์เซ็นต์คือหนึ่งในสิบ หมายความว่าจะเด็กเกือบร้อยจะมีเพียงสิบรายชื่อตัวจริงเท่านั้นปรากฎอยู่ในประกาศ เป็นการแข่งขันที่ไม่สูงจนน่ากลัวแต่ก็ไม่ได้คว้ามาได้ง่ายๆ หมายความว่าต้อง 'แซง' คนอีกเก้าชีวิตเพื่อให้ถึงเส้นชัยทันเวลา

   "ของเราคนสอบไม่เยอะเลยอะ แบบ วันสัมภาษณ์เห็นหน้าคนไหนตอนเรียนก็เห็นเหมือนเดิม"

   "เอาจริงคือเพิ่งรู้ว่ามีคณะนี้ก็ตอนฮิวบอก"

   ยังต้องขอทวนอีกรอบเลยว่าชื่อคณะอะไร ไม่ได้เมกขึ้นมาเองใช่ไหม แค่ชื่อคณะยังยาวเป็นพรืดพอบอกว่าเรียนอะไรบ้างก็ปาเพิ่มเข้าไปอีกครึ่งคาบ เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ยังสงสัยอยู่หลายอย่าง แล้วคงทำหน้าตาเด๋อใส่จนตอนเจอกันในชั่วโมงเรียนถัดมาเลยได้แผ่นแนะนำคณะเป็นของฝาก

   "ไม่แปลกหรอก ก็แอบเหงานะมีกันแค่สองชั้นปี"

   "ตอนนี้ต้องเป็นพี่ปันเศรษฐศาสตร์สิ" แกล้งแหย่ในสิ่งที่เป็นคนเริ่มต้นเอง

   "ได้ครับพี่เอื้อม"

   พิลึกดีกับการได้ยินเสียงเรียกชื่อ ด้านหลังของโต๊ะสวัสดิการและพยาบาลยังไม่ได้เริ่มใช้งานจริงจัง ต่อจากพิธีการเปิดที่เป็นทางการจนน่าง่วงนอนแล้วจะเป็นพาร์ตการแนะนำตัวพี่ค่ายทั้งหมด ไม่ได้หวังให้จำได้หรอก มันมีไว้เพื่อให้ตารางงานไม่โล่งเกินไปน่ะ

   ท่องบอกตัวเองอีกครั้งว่าต้องอย่าลืมเรื่องสำคัญที่สุด เขาไม่เคยอยากจะเป็นคนอื่นมาก่อนเลย แบบว่ายังไงการเป็นตัวของตัวเองก็น่าจะดีที่สุดแล้วไม่ใช่หรือไง

   "ปัน นี่ไม้นะ" ยังสับสนอยู่แต่ก็รับไม้กลองมัดหนึ่งมาจากเพื่อนที่ติดป้ายว่าฝ่ายพัสดุ "กลองทอมวางเอาไว้หน้าห้องแล้ว เดี๋ยวเตรียมไปเล่นได้เลย"

   เหมือนว่าจะได้เจอเรื่องตื่นเต้นตั้งแต่หัววันเสียแล้ว "เราไม่ได้เป็นคนตีนะ"

   ไม่มีใครมอบตำแหน่งนี้ให้สักหน่อย เขาเป็นแค่สองอย่างก็เหนื่อยแล้ว ทำไมต้องหาเรื่องมาเพิ่มตำแหน่งที่สามให้ด้วย ปรัญมั่นใจว่าในการประชุมทุกครั้งที่ผ่านมาไม่เคยมีสักใครพูดเรื่องนี้ หันไปถามเอื้อมก็ได้

   "อ้าว แต่ประธานบอกว่าเป็นปัน"

   ชื่อตำแหน่งที่ทำเขาหัวปั่นมาเป็นสัปดาห์ชวนโมโห นี่ต้องคิดเองจัดการเองอีกแล้วแน่ "อือ เดี๋ยวเราไปเคลียร์เอง"

   เวลานี้เป็นช่วงของการจำใจพยุงให้งานดำเนินต่อไปได้ไม่มีสะดุด ปรัญมองไม้กลองราคาถูกที่แสนเปราะบางในมือด้วยความคิดที่ว่าถ้าลงแรงไปมากหน่อยมันจะต้องหักระหว่างการเล่นแน่ ก็บอกแล้วไงว่าเครื่องดนตรีชนิดเดียวที่เล่นได้ก็คือกลองสัน

   "นี่เราต้องออกไปเล่นเหรอ..."

   หันไปหาคนเปรยคำก่อนหน้า เห็นป้ายชื่อที่ยังห้อยคอเอาไว้แล้วก็หลุดขำออกมาได้นิดหน่อย "พี่ปันต้องเป็นมือกลองด้วยนะ"

   "พี่ปันเล่นเป็นแต่ไวโอลินครับ"

   "หืม ไหนใครบอกต้องเนียนไง"

   "ทางเดี๋ยวที่เราจะเนียนได้คือต้องสลับวิญญาณกันแล้วล่ะ"

   "นี่แสดงว่าพิธีกรรมเมื่อเช้าไม่ได้ผล" กระเซ้าพอให้อาการขุ่นมัวคลายลงไป ตอนนี้จะให้โวยวายก็ไม่ใช่ที่ ปรัญจะไม่มีปัญหาถ้ามันเป็นการตกลงตั้งแต่แรกแบ่งงาน นี่คือเขาเข้าใจมาตลอดว่าตัวเองต้องทำงานฝ่ายสวัสดิการ ตอนแบ่งสคริปงานเลยสนใจแต่ส่วนที่ต้องรับผิดชอบ "ผิดพลาดตรงไหนเนี่ย"

   "เดี๋ยวขอไปเช็กก่อน ไว้จะมาแก้มือ"

   ยิ่งรับมุกด้วยแล้วก็เริ่มไปกันใหญ่ ฝ่ายกิจกรรมที่คอยดูภาพรวมส่งสัญญาณยิกจากข้างเวทีให้เข้าไปประจำที่ คนเพิ่งได้รับมอบตำแหน่งมือกลองเป็นอย่างล่าสุดเดินเลาะไปตามริมกำแพงจนถึงหน้างาน คุยกับพิธีกรในช่วงถัดไปก่อนว่าจะต้องเล่นจังหวะอะไรบ้าง

   ทดลองตีกับอากาศไปพลาง ตามองไปด้านหลังสุดของห้องเป็นระยะตามความห่วงที่ยังมีอยู่ เอื้อมเคยคุยกับคนร่วมฝ่ายแค่ไม่กี่ครั้ง แล้วปล่อยให้อยู่ตรงนั้นคนเดียวเดี๋ยวก็กลายเป็นอากาศ

   "ต่อไปเป็นการแนะนำพี่ค่าย ช่วยมายืนกันตรงข้างหน้าด้วยจ้า"

   รัวตามจังหวะปกติที่ใช้ เอื้อมถูกเพื่อนดันหลังให้ออกมาพร้อมกันทั้งฝ่าย ก็อยากจะไปอยู่ตรงนั้นด้วยกันมากกว่าต้องมายืนจังก้าอยู่คนเดียวตรงนี้

   พอมันเป็นการแนะนำแบบแถวหน้ากระดานเลยง่ายหน่อย ชื่อเพื่อนร่วมโครงการและเพื่อนของเพื่อนเข้าโสตแล้วก็หายไปตามความไม่ใส่ใจ จากมุมนี้ไม่เห็นว่าสีหน้าของน้องนักเรียนเอนจอยกับช่วงเวลานี้แค่ไหนเพราะว่าโดนบังจนมิด

   "ชื่อพี่ปันครับ อยู่สวัสกับกิจกรรม"

   ไม่ได้หูฝาดแน่ๆ เสียงร้องและปรบมือยามชื่อของตัวเองออกไมค์ด้วยน้ำเสียงอีกคนมันได้รับการต้อนรับที่ดีจนน่าภูมิใจปนหมั่นไส้ไปพร้อมกัน

   "และสุดท้ายพี่มือกลองของเรา..." เห็นหน้าเพื่อนก็รู้แล้วว่ามีคำถามเรื่องการแนะนำตัวที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ปันส่งยิ้มปลอบว่าไม่ต้องกังวล โน้มตัวเข้าไปใกล้เครื่องขยายเสียงโดยที่สายตาไม่หันเหไปมองใครอื่น

   นอกจากผู้ชายที่กำลังยกมุมปากรู้แกวการตอบ

   "พี่เอื้อมนะครับ"

   ให้มันเป็นเรื่องที่รู้กันสองคนก็พอ
 


   "สรุปแล้วชื่อพี่ปันหรือพี่เอื้อมคะ"

   "เอื้อมครับ"

   กลับมาประจำที่ฝ่ายสวัสดิการผู้แบกน้ำขนข้าวเป็นที่เรียบร้อย หลังจากการเดินไปเคลียร์กับประธานก็ได้คำตอบว่าวันนี้คงต้องช่วยไปก่อน แล้วพรุ่งนี้จะพยายามหาคนมาแทน ปรัญอ้างเรื่องที่ต้องคอยคุมกิจกรรมใหญ่ช่วงเย็นด้วยเลยมีภาษีดีกว่า

   มีคนเดินมาถามหลายรอบแล้วเพราะว่าฝ่ายเอ็มซีดันหลุดชื่อออกมาตามความเคยชิน มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องผิดอะไร เราสองคนก็เลยได้สนุกกับการปั่นหัวเด็กอย่างที่พูดเล่นกันเอาไว้

   "แต่เมื่อกี้พี่แป้งบอกชื่อพี่ปัน"

   "พี่ปันอยู่ตรงนั้น"

   นี่แหละนะที่บอกว่าคนเรามักจะสนุกบนความทุกข์ของคนอื่น ปันในชื่อพี่เอื้อมกลั้นขำให้กับอาการสับสนของเด็กหญิงที่มาพร้อมกับขวดน้ำสำหรับวนเติม นี่เขายังเบาๆ เอื้อมอารัญตัวจริงน่ะมีวิธีการแพรวพราวเยอะยิ่งกว่า

   "พี่เอื้อม สงสารน้องแต่ก็สนุก ทำไงดี"

   "เอาตามที่พี่ปันเห็นสมควรเลยครับ"

   มันกลายเป็นคำทั่วไปที่สร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แค่มองหน้า สบตา และเรียกชื่ออีกฝ่ายเท่านั้นเอง

   "ไว้ค่อยสารภาพก่อนจบค่ายแล้วกัน"

   "ตามนั้น" เป็นฝั่งรับทราบและนำไปปฏิบัติตามอยู่แล้ว "เดี๋ยวอีกห้านาทีออกไปโทรเช็กข้าวกลางวันนะ"

   เป็นหน้าที่ที่สำคัญอันดับต้นๆ ของฝ่าย นั่นคือการดูแลเรื่องอาหารการกินไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เรื่องมื้อาหารไม่ค่อยมีปัญหาเพราะเป็นการทานที่ร้านเป็นส่วนใหญ่ ไม่ให้เป็นข้าวกล่องด้วยนโยบายลดขยะตามวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัย นี่มันโครงการเชิดหน้าชูตาเลยนะ

   "แล้วต้องเตรียมน้ำเพิ่มไหม เมื่อกี้เติมไปเยอะแต่เหมือนจะพร่องไปแล้ว"

   เห็นเล่นไวโอลิน ไม่ค่อยออกกำลัง แต่เรื่องพละกำลังนี่ไม่ด้อยกว่าใครเลย ตอนแรกเพื่อนคนอื่นกังวลมากเกี่ยวกับแผลที่ฝ่ามือ จะให้ทำแต่งานที่ไม่ต้องใช้แรงมากเท่านั้น พ่อคุณคนเคยป่วยเลยโชว์แบกน้ำถังขุ่นจากด้านนอกเข้ามาอยู่ส่วนงานข้างในคนเดียว

   ไม่บ่นเรื่องปวดแขนสักคำด้วย

   "ยังหรอก เดี๋ยวกลางวันก็มีน้ำส่วนข้างนอกอีก" รายละเอียดตอนแบ่งงานบอกมาอย่างนี้ ก็จะเชื่อไป

   "งั้นเราออกไปโทรเช็กข้าวแล้วนะ"

   "โอเค"

   ทำมือเป็นรูปตัวโอประกอบ ปล่อยให้เอื้อมอารัญเดินออกไปใช้โทรศัพท์ข้างนอกไม่ส่งเสียงรบกวนกิจกรรมแนะนำข้อมูลเบื้องต้นของมหาวิทยาลัย ปีที่แล้วแนะนำจริงแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือเป็นการปลอบใจว่าถ้าไม่ติดในโครงการนี้มันยังมีทางเลือกใดให้ลองต่อไป

   "สรุปคือสลับป้ายชื่อกันใช่ไหม จะได้ตามน้ำไปด้วย" ชำเลืองมองเพื่อนฝ่ายพยาบาล ป้ายชื่อหมุนหลายทบจนเห็นเพียงแค่ด้านหลัง เราเป็นรายชื่ออันดับหนึ่งและสองของโครงการผู้มีศักยภาพที่เลือกเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ ที่บอกว่ามีคนได้ทุนค่าที่พักด้วยก็คนนี้แหละ

   "ประมาณนั้น ที่จริงไม่ต้องช่วยก็ได้ ให้น้องสับสนไปเรื่อยๆ"

   "ขี้แกล้งเหมือนกันเนอะ"

   "ก็นะ"

   เรื่องโกหกและการหลอกคือภาพลวงของความสนุกสนาน มันจะทำให้เคลิ้มจนหลงทางได้ง่าย

   หนึ่งคำที่เอ่ยคือหนึ่งก้าวที่ขยับเข้าใกล้ปากเหวแสนอันตราย

   "เอื้อมน่ารักดี"

   ชอบเวลาที่ได้ยินคำพูดทำนองนี้ เขาเบื่อเรื่องเล่าของครายวูลฟ์แล้ว "เราก็ว่าอย่างนั้น"

   "ไม่เหมือนที่ได้ยินมาเท่าไหร่ ...จากพวกออร์เคสตราน่ะ"

   จากที่มีรอยยิ้มประดับหุบลงทันควัน ปรัญสูดลมหายใจเข้าลึกเป็นการเตือนไม่ให้โพล่งอะไรที่ไม่ค่อยดีออกไป มันไม่ใช่เรื่องแปลก เราเป็นเพื่อนร่วมตึกที่เจอหน้ากันตลอด การแลกเปลี่ยนเรื่องเล่าเกิดขึ้นได้เสมอ

   "อยากให้เจอเอง"

   "เราก็ว่างั้น แต่บางคนอาจจะไม่"

   ฝืนเท่าที่จะทำได้สำหรับการปั้นหน้านิ่งไม่ถึงกับตึงเรียบ เขาเข้าใจว่าฐานะของเอื้อมในการทำงานครั้งนี้คือผู้ช่วยสำหรับกิจกรรมเงียบ ไม่จำเป็นต้องรู้จักทุกคนที่ทำงานหลักๆ เอาแค่ให้งานส่วนที่รับผิดชอบสำเร็จเรียบร้อยไม่มีข้อผิดพลาดก็พอแล้ว เลยไม่คิดว่าเรื่องนี้ก็กระจายมาถึง

   ไม่ได้คิดว่าเป็นการสร้างสังคมให้อย่างที่ฮิวพยายามทำ อย่างน้อยแล้วก็เป็นตัวเอื้อมเองที่สมัครใจเข้ามาช่วยงานนี้ ไอ้เรื่องหนีงานไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

   "คนรู้เยอะไหม"

   "บอกไม่ได้ เสียงมันกระจายได้ทุกทิศทาง"

   บุคคลที่สามกลับมาพอดีจึงหมดเวลาสำหรับการแลกเปลี่ยนเรื่องราวแล้ว เก็บเรื่องน่าห่วงเอาไว้คนเดียวพลางรับฟังเอื้อมคอนเฟิร์มว่าทุกอย่างเตรียมพร้อมเอาไว้แล้วเรียบร้อย หน้าที่ต่อมาของพวกเราชาวสวัสจึงเป็นการเคลื่อนตัวออกไปแสตนด์บายที่โรงอาหารเตรียมให้พร้อมเอาไว้ ยังมีเรื่องของน้ำดื่มและอาหารว่างรอให้ไปจัดการอยู่

   บางคนบอกว่าการเป็นสวัสดิการมีข้อดีคือได้ทานก่อนเพื่อน นี่อยากจะแย้งเหลือเกินว่าภาวนาให้มันยังเหลือมาถึงก่อนดีกว่าไหม พวกเรารอจนกระทั่งมั่นใจว่าเด็กเกือบร้อยชีวิตและพวกพี่เลี้ยงกลุ่มได้อาหารครบตามจำนวนแล้วจึงเริ่มมื้อเที่ยงบ้าง

   "อยากกินชาเขียวปั่น..."

   คิดอยู่เลยว่าวันนี้ยังไม่ลงแดง เอื้อมไม่ได้กินเครื่องดื่มโปรดมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ตอนแรกก็ว่าจะเดินไปซื้อแต่งานมันประดังเข้ามาจนต้องพับเก็บ นี่ก็มาอยู่ในโรงอาหารที่ห่างออกจากร้านที่โอเคกับรสชาติเกือบคนละฝั่ง ไม่มีเวลาเอ้อระเหยพอหรอก

   "ทนอีกสองวัน แล้วจะพาไปกิน"

   "ไม่ไหวอะปัน นานไป" น่าจะอาการหนักจริง ไม่งั้นตั้งแต่เช้ามายังไม่เห็นหลุดเรียกชื่อที่ถูกต้องเลยสักครั้ง "ถ้าโบกวินไปจะกลับมาทันไหม"

   "ทัน แต่อันตราย"

   การเดินทางที่ไม่มีอะไรปลอดภัยสักอย่าง พี่วินแต่ละรายก็บิดเร็วท้าทายขีดจำกัดเสียเหลือเกิน เห็นป้ายติดว่าร้องเรียนเรื่องการขับขี่ที่เสี่ยงภัยแล้วเคยอยากไลน์ตอบไปเหมือนกันว่าร้องเรียนกี่ครั้งมันก็ไม่เห็นจะมีอะไรพัฒนาขึ้นมาให้ชื่นใจบ้าง

   "เราจะบอกให้ขับช้าๆ นะ"

   "พี่ปันไม่กินชาเขียว" งัดเอาเรื่องที่เพิ่งนึกออกขึ้นมาสู้

   "...พี่ปันซื้อมาให้พี่เอื้อมไง"

   "พี่เอื้อมทนไปกินหลังจบงานได้"

   "พี่เอื้อมทนไม่ได้!"

   โดนขึ้นเสียงใส่เสียแล้ว จะทำยังไงกับเอื้อมอารัญต่อดีนะ

   "ทำงานภาคบ่ายก่อน มันจะมีช่วงว่างนี่" จำได้ว่าหลังจากช่วงแจกอาหารว่างภาคบ่ายมันจะมีเวลาว่างสำหรับการพักอยู่เกือบชั่วโมง "พี่ปันยังมีงานต้องทำนะ"

   "ตอนนี้ก็ว่าง แป๊บเดียวเอง จะรีบกลับมา" หากอยู่ในสถานการณ์ทั่วไปท่าการอ้อนโดยการเกาะแขนแล้วเขย่าไปมาก็ดูน่ารักดี แต่ตอนนี้เขาชักจะไม่พอใจที่เราสองคนคุยกันไม่ลงตัวสักที "อยากกินชาเขียวปั่นมากเลย"

   "ทำไมวันนี้ดื้อจัง"

   "..."

   หน้าก็ดุ เสียงก็แข็ง ถึงไม่แปลกใจเลยตอนเห็นเอื้อมอารัญไม่กล้าต่อปากต่อคำกลับ

   "เรากำลังทำงานอยู่นะ อย่าเพิ่งเอาแต่ใจสิ"

   จุดประสงค์คือการอธิบายให้เข้าใจ ยิ่งมารู้ว่ามีหลายคนได้รับข่าวสารเกี่ยวกับเอื้อมในมุมที่อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมดแล้วก็อยากทำให้ทุกอย่างรัดกุมมากที่สุด เขาไม่อยากให้คำพูดที่ผสมการแต่งเติมทำร้ายผู้ชายคนนี้อีก

   เรื่องยังไม่ทันได้ข้อสรุปที่พอดีกับทั้งสองฝ่ายปรัญก็โดนเรียกให้ไปช่วยอธิบายงานฝ่ายสวัสภาคบ่าย เหมือนกับว่าทางอาจารย์เพิ่งได้ของทานเล่นมาเพิ่มเลยอยากเอามาแจกเป็นขวัญและกำลังใจ นี่ก็โอเวอร์เสียเหลือเกิน

   ตกลงกันอยู่นานจนมาจบที่ว่าสวัสดิการจะเอาของส่วนนี้ไปแจกให้วันกลับเพื่อไม่ให้ไปรบกวนการจัดเตรียมเดิมที่วางเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาเดินกลับมาภายในโรงอาหารอีกครั้งเพื่อพบว่าคนนั่งข้างที่บ่นเรื่องชาเขียวปั่นไม่อยู่แล้ว

   "เอื้อมล่ะ"

   "บอกว่าไปห้องน้ำ แต่ว่านานแล้วนะ"

   ทำหน้าเครียดไม่รู้ตัว ปันรู้นิสัยอยากได้ต้องได้ของเอื้อมอารัญดี ที่กลัวไปเองคือนี่เป็นเรื่องโกหกเพื่อไปทำอย่างที่ต้องการหรือไม่

   เดินเลี่ยงไปตามทางที่เขียนว่าห้องสุขา มือเตรียมกดโทรออกหาเบอร์ที่บันทึกเอาไว้ด้วยชื่อจริงแล้ว ปรัญอยากให้ทุกอย่างเป็นสิ่งที่คิดเยอะเกินเหตุ เอื้อมสัญญาแล้วว่าจะไม่โกหก แล้วมันต้องย้ำว่าแต่สำหรับคนอื่นแล้วนิสัยจอมแต่งเรื่องเท็จไม่ได้พัฒนาขึ้นมากเท่าไหร่

   กวาดสายตาตามหาเพียงคนเดียว ก้าวเท้าเร็วขึ้นจนมันเกือบจะเป็นการวิ่งเหยาะได้

   "โอ๊ย เจอพอดีเลย มาช่วยกันหน่อย"

   หยุดชะงักไปพลันยามได้ยินเสียงคุ้นเคย เหมือนมีเรดาร์ที่แค่ได้ยินเสียงก็รู้ว่าควรหันไปทางไหน เอื้อมยืนหน้าตื่นอยู่ตรงหน้าห้องน้ำหญิง เป็นภาพที่ขัดตาแต่ว่าไม่มีเวลาซักไซ้เรื่องนั้น

   "ช่วย?"

   "น้องคนที่มาถามเรื่องชื่อเราสองคนประจำเดือนมาอะ แล้วน้องออกมาเจอเราพอดีเลยขอให้ช่วย" มันคือค่ายที่รวมเด็กจากหลายโรงเรียนเข้าไว้ด้วยกัน แล้วการมาเพื่อเป็นคู่แข่งไม่สามารถสร้างเพื่อนแท้ได้ง่าย "เราควรไปหาฝ่ายพยาบาลไหม ให้เขาช่วยจัดการต่อ"

   เห็นด้วยกับข้อเสนอนั้น "เดี๋ยวเอื้อมไปบอกนะ เราอยู่ตรงนี้ให้"

   ใจจริงคืออยากจะได้เวลาหายใจ ทั้งโล่งใจที่เรื่องค้างในความคิดไม่เป็นอย่างที่ระแวงรวมไปถึงอยากได้เวลาทบทวนสิ่งที่ตัวเองเป็น

   เขาไม่เชื่อใจเอื้อมอารัญ

   ทั้งที่อีกฝ่ายสัญญาและปฏิบัติตามมาได้เสมอ

   น่าละอายจนไม่อยากจะสู้หน้าตอนที่เอื้อมกลับมาพร้อมกับเพื่อนหญิงฝ่ายพยาบาลคนเดิม เราปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของผู้หญิงถึงผู้หญิง มันไม่มีเวลาให้พักนานเพราะต้องเตรียมส่วนของภาคบ่ายแล้ว

   พยายามสนใจแต่งานไม่วอกแวก จัดการทุกอย่างให้ตรงตามข้อตกลงตั้งแต่แรกเริ่ม แม้ว่าสุดท้ายแล้วก็ยังคิดโทษตัวเองเรื่องที่ผ่านมาอยู่ ถอนหายใจแรงพร้อมกับตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง

   "ถ้าไม่มีอะไรเร่งด่วนจะไปซื้อด้วย โอเคไหม"

   เลยจบลงด้วยการรับรองว่าจะทำอย่างที่ต้องการในเงื่อนไขที่วางเอาไว้ ปรัญทำอะไรที่ดูแล้วไม่ค่อยเข้าท่าอย่างการยกนิ้วริมสุดขึ้นเตรียมเกี่ยวก้อย หวังว่าอย่างน้อยมันคงช่วยทดแทนความรู้สึกผิดที่ก่อตัวอยู่

   "แค่ปล่อยให้เราซื้อก็พอ ปันไม่ต้องไปด้วยหรอก" อีกฝ่ายทำหน้าไม่เข้าใจเท่าไหร่แต่ก็ยื่นมือออกมาเกี่ยวเอาไว้โดยดี

   "ไม่ได้สิ"

   ปฏิเสธชัด กระชับช่วงนิ้วอีกฝ่ายเอาไว้แน่น

   "ก็ตอนนี้เราเป็นเอื้อมไม่ใช่เหรอ"


***
   ปุ่มบวกเป็ดหายไปเหรอคะ เจ้าจะกดบวกให้คอมเมนต์แต่หาไม่เจอ
   ชอบที่แต่งเรื่องนี้แล้วชีวิตดูไม่เครียดมากๆ เลยค่ะ (ฮา) เอื้อมกับปันแต่งลื่นมากจริงๆ ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน ช่วงนี้ก็จะให้ทายกันไปก่อนแล้วจะเริ่มเฉลยไปเรื่อยๆ ค่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจและอยู่ด้วยกันมาเสมอนะคะ
   ลืมเอามาลงในนี้ว่าเรื่องสั้นประจำปีนี้มาแล้ว ROOM (ex) MATE ตามลิงก์นี้เลยค่ะ (ยิ้ม)
   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ดูเหมือนเอื้อมสบายๆที่เป็นปันแต่ปันแอบเครียดนะเนี่ยบางที่ที่เอื้อมขอให้ปันเป็นเอื้อมปันอาจรู้อะไรเพิ่มก็ได้นะอิอิ..ไม่ใช่นิยายสืบสวนเนาะเป็นกำลังให้คุณเจ้านะคะ

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
ค่อยๆ ปรับไป มีแผลมันก็ต้องทิ้งรอยไว้บ้าง

ออฟไลน์ memomeme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สงสารเอื้อมเหมือนกันนะเนี่ย ชื่อเสียงดังมาถึงนี่ และดูๆแล้วเอื้อมก็พยายามขึ้นมากๆเลย เอาใจช่วยเอื้อมนะ ปล.อ่านแล้วอยากกินชาเขียวสุดๆไปเลยค่ะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
สิบเอ็ด
 

   ไปสองคนก็ควรได้กลับมาสองแก้ว ในความเป็นจริงคือแบกกลับมาสิบสามแก้ว

   จะไม่บอกคนอื่นก็ไม่ได้เดี๋ยวโดนเขม่น พอบอกเป็นพิธีก็เกิดคลื่นใต้น้ำเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ จนต้องบอกว่าจะให้ซื้ออะไรก็ส่งมาในไลน์

   "อะ ไปรื้อกันเอง จ่ายเงินมาด้วย"

   ทั้งน้ำทั้งบิลวางกองรวมกันไว้ บรรยากาศข้างหลังห้องที่มักจะติดทะมึนยิ่งดูเหมือนโลกแยกของเหล่าซอมบี้ผู้กระหายน้ำเข้าไปใหญ่ ปรัญยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากเป็นเชิงว่าจัดการกันเบาๆ ไม่ให้รบกวนกิจกรรมเกี่ยวกับการพาทัวร์มหาวิทยาลัยในภาคบ่ายด้านหน้า

   เงินจ่ายเงินทอนตีกันให้วุ่น เอื้อมหยิบจับแลกธนบัตรกับรับเหรียญมือระวิง ก็ดันเป็นคนจ่ายเงินทั้งหมดไปก่อนล่ะนะ

   "ชาเขียวที่เขียนว่ารัญนี่ของใครอะ" เพื่อนเศรษฐศาสตร์ยกมันขึ้นมาชูสูง ทุกแก้วจะมีเขียนชื่อคนสั่งเอาไว้เป็นการประกาศความเป็นเจ้าของ "สองแก้วด้วย ร้านทำผิดปะ"

   "ไม่นะ ถูกแล้ว"

   เอื้อมอารัญส่งแก้วกระดาษบรรจุดาร์กช็อกโกแลตแก้วเดียวในบรรดาของเย็นทั้งหมดมาให้ ตามมาด้วยแบมือขอสิ่งที่เป็นออเดอร์ตัวเอง

   มันพิลึกไปหน่อยถ้าจะเขียนชื่อของอีกฝ่ายลงบนแก้วเครื่องดื่มโปรดของตัวเอง แต่ถ้าไม่อยากให้ใครจับได้มันก็ควรจะตามน้ำไป จนเอื้อมเสนอมาว่าก็ใช้ชื่อรัญไปเหมือนกันทั้งสองแก้วเลย อย่างไรมันก็เป็นชื่อของพวกเราสองคนจริงๆ ไม่ได้หลอกใคร

   "จ่ายกันน่าจะครบแล้วล่ะ ถ้าไม่ครบเราก็ไม่รู้อยู่ดี"

   แหงล่ะ เล่นรับจ่ายแบบที่ไม่สนใจเช็กความถูกต้องเลย

   "ขอบคุณสำหรับการช่วยชีวิตค่า นี่เดี๋ยวถ้าต้องออกไปเจอแดดแบบไม่มีไอเทมต้องตายแน่"

   ก็อย่างที่บอกว่าเดี๋ยวจะเป็นการทัวร์รอบรั้วในยามบ่าย ท้องฟ้าโปร่งโล่งไม่ค่อยมีเมฆบังแสง ควรมีอุปกรณ์กันแดดอย่างหมวกไม่ก็ครีมกันแดดเตรียมพร้อมเอาไว้ การต่อสู้ของมนุษย์และธรรมชาติจะยังดำเนินไปไม่มีสิ้นสุดตราบใดที่เรายังกระทำตนเป็นผู้ล่าอยู่

   ไม่เหมือนกับคนอื่นที่สามารถยกเครื่องดื่มขึ้นงับหลอดได้ทันที เขายังต้องรอให้อุณหภูมิข้างในแก้วลดระดับลงไปก่อนถึงจะได้ลองชิม นี่ก็เจ้าของร้านอินดี้ เคยบ่นว่าอยากกินโกโก้แต่หาซื้อยาก พี่เขาก็เลยไปหาช็อกโกแลตแบบดาร์กมาให้เพื่อปลอบใจ

   จะไปเปิดร้านกาแฟหลังเรียนจบจริงๆ แล้วนะ

   เตรียมตัวออกเดินทางไปพร้อมกับคนอื่น หน้าที่ของพวกเขาคือแจกจ่ายของว่างบ่ายสามครึ่งตามฐานต่างๆ ที่วางเอาไว้ อย่างต่อจากนี้ก็ต้องแวะเอาบรรดาขนมซองจากห้องพัสดุไปแจกจ่าย

   ย้อนแย้งและไม่เข้าใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในการสร้างเงื่อนไขว่าไม่อยากจะใช้ชามโฟมในการแบ่งขนมแต่ก็ไปเลือกแบบถุงพลาสติกแทน มีการยกข้อต่อสู้ว่าอย่างน้อยมันก็สะดวกกว่าในแง่การแบกมาเสริม เลยได้บทสรุปออกมาเป็นแนวทางนี้

   "เราต้องไปโรงกลางก่อนใช่ไหม"

   "อ่าฮะ" ต่อจากนั้นคือศูนย์วิทยาศาสตร์ และหอประชุมตึกเรียนรวมห้า "แบกขึ้นรถม. ไหวเนอะ"

   ยังเห็นใจเด็กนักเรียนจึงเปิดทัวร์ด้วยการโดยสารรถรางรอบมหาลัย ไม่ได้ให้เดินสลับปั่นจักรยานอย่างที่ประสบมาปีที่แล้ว หลังทานข้าวมื้อเย็นนี่ตาแทบปิดทำฐานต่อไม่ได้

   "ทำไมไม่ขับรถไปล่ะ" เอื้อมอารัญก็มีวิธีการแก้ปัญหาในแบบของตัวเอง

   "เพราะว่าตอนนี้เจ้าของรถอย่างพี่เอื้อมไม่อยากขับน่ะสิครับ"

   "ตอกย้ำจังเลยนะ"

   ลอยหน้าลอยตาส่งสัญญาณว่ากำลังเป็นฝ่ายเหนือกว่าไปให้ ไม่รู้ว่าใครอินกับการสวมบทบาทเป็นอีกฝ่ายมากกว่ากัน

   "มีเวลาตั้งเยอะ ไม่ต้องเร่งรีบอะไรหรอก"

   ทอดน่องเดินออกมาจนถึงป้ายประจำทาง รถโดยสารภายในมหาวิทยาลัยมีหลายเวอร์ชันให้ลอง ทั้งแก๊สและไฟฟ้า เหมือนจะเต็มไปด้วยความใส่ใจแต่ความจริงแล้วถ้ามีความจำเป็นเร่งรีบอย่ามาฝากชีวิตไว้ด้วยเลย ตารางการเดินรถไม่เคยตรงเวลา

   รออยู่เกือบสิบนาทีถึงเจอสายการเดินทางที่ต้องการ มือสี่ข้างของสองคนเต็มไปด้วยถุงพะรุงพะรังจนเห็นชัดว่าสายตาของผู้โดยสารที่รับบริการอยู่ก่อนแล้วมองมาเป็นตาเดียว พวกเขาพยายามแทรกตัวไปทางด้านหลังสุดของรถ วางของทานเล่นพิงเอาไว้กับมุมเพื่อให้มีเวลาสำหรับจัดการเครื่องดื่มที่ยังพร่องไม่ถึงครึ่ง

   "นี่เป็นครั้งแรกที่เราขึ้นรถราง"

   "ไม่แปลก ก็มีรถนี่" บางครั้งเขาว่าการเดินยังถึงที่หมายเร็วกว่าการขึ้นรถเลย "เราก็ปั่นจักรยานตลอด ไม่ค่อยได้ขึ้น"

   "โอ๊ะ นั่นเด็กๆ นี่นา"

   ท่ายกมือขึ้นป้องกันแสงมองออกไปด้านนอกคล้ายฉากในหนังบางเรื่อง หันตามออกไปเพื่อพบกับกลุ่มของเด็กนักเรียนกำลังยืนฟังคำอธิบายนี่น่าจะเกี่ยวข้องกับตึกห้องสมุดด้านหลัง จะว่าไปแล้วก็เตือนอีกเลยแล้วกัน

   "อย่าลืมทำรายงานนะเอื้อม"

   "อย่าเอาความจริงมาตอกย้ำสิ" ตอบอย่างนี้ยังไม่ถึงไหนแหง

   "เดี๋ยวลืมแล้วจะยุ่ง เตรียมลงได้แล้ว"

   พยักเพยิดให้กดกริ่งก่อนจะเลยป้าย หอบหิ้วเอาของทั้งหมดลงมาพลางสอดส่องหาสถานที่ทำกิจกรรม จนได้ยินเสียงของเอ็มซีผ่านโทรโข่งแว่วมาจึงมีตัวนำทางใหม่ พวกเขาไม่ได้กำหนดเวลาการแจกอาหารว่างเอาไว้ชัดเจน เป็นการคาดคะเนแล้วก็เสี่ยงดวงว่าจะถึงเมื่อไหร่

   สถานที่สำหรับการทัวร์ส่วนนี้คือตึกอ่านหนังสือยี่สิบสี่ชั่วโมง เพิ่งสร้างก่อนเขาเข้ามาแค่ปีเดียว ดีไซน์โดยรวมถึงไม่ได้เก่าแก่เช่นเดียวกับตึกเรียนรวมต่างๆ เคยมาอยู่ครั้งสองครั้งแล้วก็โบกมือลา ไม่ค่อยชอบอากาศแบบขั้วโลกแล้วก็อึดอัดปริมาณผู้ใช้บริการ

   ฟังเรื่องเล่าจริงผสมกับการใส่ไฟให้ดูมีสีสันอยู่ด้านหลังร่วมกับพี่เลี้ยงกลุ่ม เพิ่งรู้เหมือนกันว่าความจริงแล้วเปิดแค่ยี่สิบสามชั่วโมงเพื่อให้แม่บ้านมีเวลาทำความสะอาด ส่วนเรื่องที่บอกว่ามีคนหอบหมอนกับผ้าห่มมาค้างคืนนี่ไม่แปลกใจเพราะเจอมากับตัว

   "ปันกับเอื้อมมานี่หน่อย มีน้องหลายคนอยากรู้ว่าสรุปแล้วชื่ออะไรกัน"

   ถึงจะคิดว่าไม่ได้อยู่ในงานที่ได้รับมอบหมายก็ยังปลงตกว่าควรให้ความร่วมมือ จูงกันออกไปยืนต่อหน้าสายตาหลายสิบคู่ รู้อยู่แล้วว่าสร้างเรื่องอะไรเอาไว้บ้าง

   “ตามป้ายจะชื่อพี่ปันครับ”

   วิธีการ ‘เลี่ยงบาลี’ สมบูรณ์แบบ เอื้อมไม่พูดอะไรที่เป็นการมัดตัวเองสักนิด ปรัญก็เลยทำตามไม่ให้มีข้อพิรุธ

   “ถ้านั่นคือพี่ปัน อีกคนก็ต้องเป็นพี่เอื้อมครับ”

   ท่ายืนชิดติดกันเป็นธรรมชาติ คนสองคนที่ร่วมหัวจมท้ายกันทำเรื่องน่าปวดหัวชักชอบสีหน้าการแสดงออกว่าไม่เข้าใจของเหล่าเด็กอายุห่างกันปีกว่า

   มีน้องที่ไม่ยอมแพ้ จะซักไซ้เพิ่มอยู่เหมือนกัน ยังพออ้างว่าต้องเอาของไปส่งให้ฐานอื่นเพื่อชิ่งออกจากการสอบสวนได้ ทั้งเอื้อมอารัญและปรัญหัวเราะสนุกสนานกันอยู่สองคน ไม่สนใจว่าคนรอบข้างอาจจะมองมาด้วยความสงสัยว่าอากาศร้อนจนสติเพี้ยนหรือเปล่า

   "ชอบหน้าน้องตอนบอกว่าไม่เข้าใจมากๆ เลยอะปัน"

   "แต่ว่าก็เกือบโดนจับได้เหมือนกันนะ"

   "ไม่หรอก ยังได้อยู่"

   ต่อจากโรงกลางคือศูนย์วิทย์ ห่างออกไปพอประมาณและรถรางเข้าไม่ถึง คือมันดันเป็นส่วนพื้นที่เดียวที่มหาวิทยาลัยไม่ได้รับผิดชอบทั้งหมด แต่ยกให้กับองค์กรทางวิทยาศาสตร์เป็นคนจัดการ ข้างในมีพวกแลปแล้วก็ห้องเรียนสำหรับนักศึกษาที่เรียนสายวิทยาศาสตร์อยู่ไม่น้อย ไม่แปลกที่เลือกมาทัวร์ตรงนี้ด้วย

   "เราไม่เคยเข้าไปข้างในเลย" จากสามถุงตอนนี้เหลือแค่สองแล้ว เลยแบ่งกันถือคนละถุง "ที่จริงคือศูนย์นั่นเราเคยเข้าไปปรินต์งานแค่รอบเดียวเอง"

   "ตึกเอื้อมมีหมดทุกอย่างแล้วนี่"

   นี่แหละข้อดีของคณะเปิดใหม่ มีตึกเป็นของตัวเองแล้วอุปกรณ์ก็ครบครัน

   "เดี๋ยวปันเดี๋ยวเอื้อม พอเรียกชื่อไปมาชักสับสนเองแล้ว"

   พอเห็นคนต้นคิดทำหน้ายุ่งก็เลยหยอกไป "อะไร จะยอมแพ้แล้วเหรอ"

   "ไม่เอา เป็นปันสนุกอะ"

   เก็บคำว่าสนุกเอามาตีความเอง เอาเข้าจริงแล้วพวกเราไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการแลกชื่อกัน ส่วนอื่นแล้วมันก็ยังเป็นตัวตนที่ไม่สามารถเปลี่ยนไปตามได้ ยิ่งเอื้อมเคยพูดว่าไม่อยากจะเป็น 'เอื้อมอารัญ' ด้วยแล้ว บทสรุปของเรื่องราวมันเลยไร้ความชัดเจนในความรู้สึก

   
   ง่วง เหนื่อย และไม่อยากจะทำอะไรแล้ว

   ปรัญปิดถังน้ำแข็งที่มีก้อนน้ำเหลือเพียงก้นลงตามเดิม เป็นการปิดงานของวันแรกโดยสมบูรณ์ เขาก้มลงมองนาฬิกาตัวเองที่บอกเวลาเกือบห้าทุ่มด้วยความรู้สึกหลากหลายปนกัน ทั้งดีใจที่เลิกก่อนเที่ยงคืนแต่ก็ยังไม่พอใจกับการจัดสรรเวลาที่บอกตอนแรกว่างานจะจบตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง

   ค่ายพวกนี้ไม่ค่อยยอมให้เด็กนอนดึก วันนี้ยังเป็นการแนะนำทั่วไปไม่ค่อยมีอะไรน่ากังวล พรุ่งนี้ทั้งวันนี่แหละของจริง เหล่าอาจารย์และรุ่นพี่ที่ถูกเชิญมาจะคอยมอนิเตอร์การมีส่วนร่วมตลอดทั้งวันเหมือนกล้องวงจรปิด หิ้วแฟ้มคะแนนไปมาจนกลายเป็นภาพหลอน

   "เอื้อม กลับกัน"

   เรียกคนที่ยังยืนหน้ายุ่งอยู่กับปึกกระดาษในมือ ก่อนจะมาเช็กของมีการประชุมสรุปงานของพรุ่งนี้อีกครั้ง แล้วอยู่ดีๆ ก็มีรุ่นพี่โผล่มาจากไหนไม่รู้ถามยุบยับ ในฐานะคนวางแผนกับมือสามารถตอบได้หมดไม่มีช่องโหว่ แถมมันก็พาลปลุกความรู้สึกอยากเอาชนะขึ้นมา

   "เอื้อมครับ"

   ย้ำชื่ออีกครั้งก็ยังไม่ได้ยิน ปันเดินเอามือไปบังแผ่นบันทึกแผนงานทั้งหมดด้วยมือเดียว ซึ่งมันก็บีบให้ต้องเงยขึ้นมาสบสายตากันไปในตัว

   ไม่ชอบเลยที่เห็นเอื้อมเก็บความเครียดเอาไว้จนแสดงออกมาผ่านสีหน้า "เดี๋ยวค่อยกลับไปดูอีกรอบที่ห้อง กลับก่อนนะ"

   "เราไม่ชอบพี่คนนั้นเลยอะ"

   ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ได้ยินคำนั้นเป็นอย่างแรก เราสองคนเดินตัวปลิวออกจากพื้นที่จัดกิจกรรมไปยังส่วนของทางเดินเชื่อมต่อไปยังด้านนอกอันมีห้องพักราคานักศึกษาตั้งเรียงราย วันนี้เขาจะไปนอนค้างที่ห้องของเอื้อมติดต่อกันเป็นคืนที่สอง ด้วยเหตุผลเรื่องความสะดวกในการทำงาน

   "รุ่นสูง ไม่เคยเห็นเหมือนกัน" ผู้หญิงตัวเล็กที่รุ่นพี่ดูเกรงใจไม่ใช่น้อย "ก็เข้าใจได้ว่าคงไม่เชื่อพวกเราเท่าไหร่"

   "คืออยากจะยื่นทั้งปึกให้ไปอ่านเอง ถ้าจะสงสัยทุกสเต็ปขนาดนั้น" นี่เดินไปแต่ตาก็ไม่ได้มองทางเท่าไหร่ เอาแต่จ้องแผนที่การดำเนินกิจกรรมอยู่ "เราดูไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยเหรอ"

   ชักจะห่วงว่าจากเดินบนทางคอนกรีตอาจจะหล่นคูน้ำข้างทาง เลยแตะตรงศอกให้เปลี่ยนเข้ามาเดินเลนในก่อน ตอนแรกก็ยอมทำตามไม่อิดออดอยู่หรอก พอสักพักเริ่มได้ใจนี่ไม่ได้มองตรงดูทางเลยสักนิด

   จากแค่สัมผัสบางเบาเลยขยับไปโอบตรงช่วงไหล่เอาไว้โดยไม่ขออนุญาต ปากก็ช่วยตอบว่างานในวันพรุ่งนี้มีอะไรรออยู่บ้าง ตั้งแต่เช้ามีการอธิบายของเวิร์กชอปที่จะลากยาวไปตลอดทั้งวัน สวัสดิการจะสบายกว่าวันนี้หน่อยตรงที่ไม่ต้องเดินผจญภัยไปมา

   "คนไม่เคยเจอกันมาก่อนก็งี้แหละ เอื้อม ระวังหลุม"

   กลายเป็นกล้องหน้าของรถยนต์ไปแทน ดึงทั้งร่างเข้ามาชิดให้พ้นจากพื้นที่เสี่ยงอุบัติเหตุ เสียงรถยนต์เร่งความเร็วแข่งสองสามคันผ่านหน้าไปในเวลาไม่กี่วินาทีทำให้เขาเบ้หน้าออกมาไม่รู้ตัว

   จากรั้วฝั่งที่ออกมาไปจนถึงหอของเอื้อมอารัญใช้เวลาเดินประมาณหกนาที แสงไฟรอบตัวเลขชั้นสูงสุดปรากฎเมื่อทำการป้อนคำสั่ง ยอมดึงแขนกลับมาไว้ข้างตัวก็ตอนที่ใช้คีย์การ์ดแตะเปิดห้องแล้วจำเป็นต้องมีอีกมือหนึ่งขยับลูกบิดประตู

   "ใครอาบก่อน"

   "ปันอาบเลย เราขอดูตรงนี้อีกรอบก่อน"

   เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเอื้อมจะไม่ยอมจบกับเรื่องนี้ง่ายๆ ผงกหัวรับแบบที่อีกคนก็คงไม่เห็น เขาข้ามฝั่งออกไปหยิบผ้าขนหนูนอกระเบียง ตอนกลับมาก็ยีหัวให้ไม่ต้องคิดมากขนาดนี้ไปอีกสักรอบ

   ใช้เวลาทำความสะอาดร่างกายไม่นานเพราะต้องเผื่อเวลาให้เจ้าของห้องด้วย พรุ่งนี้เด็กจะตื่นเจ็ดโมงแต่สวัสดิการอย่างพวกเขาหกโมงก็ต้องแสตนด์บายเตรียมพร้อมแล้ว เท่ากับว่าจะได้นอนแค่สี่ถึงห้าชั่วโมงเอง

   หยิบเอากองกระดาษเอสี่ยับยู่ยี่ที่เต็มไปด้วยรอยการขีดเขียนขึ้นมาอ่านยามอีกคนเข้าไปชำระล้างร่างกายบ้าง บางส่วนเป็นการเพิ่มเติมแบบที่คงมีแต่คนเขียนเองเข้าใจ ปรัญคิดมาตลอดว่าตนเองในฐานะคนรับผิดชอบร่วมสามารถจำภาพรวมงานกิจกรรมได้ทั้งหมดอยู่แล้ว มาเห็นอย่างนี้อดรู้สึกแย่ไม่ได้

   ละเอียดทุกขั้นตอน จนไม่น่าแปลกใจที่กลายเป็นคนระเบียบจัด ดูจากการจัดเรียงทุกอย่างภายในห้องก็ได้ แค่ของใช้ในห้องน้ำยังต้องเรียงเอาไว้ให้ง่ายต่อการหยิบจับเลย

   จมอยู่กับสิ่งที่ต้องจำเพิ่มเติมอยู่อีกสักพักใหญ่ เอื้อมอารัญจึงเดินออกมาในชุดนอนขายาวเข้าชุดลายสีเทา มีผ้าขนหนูผืนเล็กพาดเอาไว้กับไหล่ หัวเปียกลู่หมดมาดคุณเอื้อมของเพื่อนๆ
   
   "มาเช็ดให้ จะได้รีบนอน" ปรัญผมสั้นกว่าเยอะ ตอนนี้มันก็เริ่มแห้งแล้ว "จะตีหนึ่งแล้วเนี่ย"

   "ปกติแล้วเวลานี้ยังไม่อาบน้ำเลย ซ้อมอยู่"

   เอื้อมยอมเดินมานั่งพิงข้างเตียงโดยดี บุ้ยหน้าไปทางกล่องไวโอลินที่ไม่มีตุ๊กตาสีขาวห้อยเอาไว้แล้ว "จะว่าไปต้องกลับไปซ้อมอีกแล้วอะ..."

   ช่วงเวลาพักมือใกล้จะหมดไปแล้ว ยิ่งใกล้จะถึงวันจริงมากเท่าไหร่รับรองเลยว่าการซ้อมจะต้องเข้มข้นขึ้นอย่างแน่นอน

   "คิดว่าใกล้จะจบแล้วสิ จะได้มีกำลังใจ"

   การมองกลับอีกมุมหนึ่งอาจจะเหมือนการโกหกตัวเอง แล้วจะต้องสนใจทำไมในเมื่อผลสุดท้ายมันก็คือการจบลงอย่างที่ต้องการอยู่ดี

   ขยับผ้าซับน้ำไปมา จากมุมนี้มองลงไปเหมือนเป็นคุณครูโรงเรียนอนุบาลกับเจ้าเด็กดื้อตัวน้อย ขนาดตอนนี้เอื้อมก็ยังเอาแต่พึมพำทบทวนเส้นทางการเดินฐานไม่หยุด ไม่เคยเห็นอยู่ห่างจากโทรศัพท์ได้นานเท่านี้มาก่อนเลยแฮะ

   "จากสามไปห้า...ต้องระวังเรื่องป้าย...แต่เตือนสตาฟไว้แล้ว...ส่วนตรงนี้ก็..."

   ถ้าคืนนี้ละเมอเป็นสถานที่และชื่อกิจกรรมก็ไม่ต้องแปลกใจแล้วล่ะ

   "เสร็จแล้ว นอนเร็ว" พาดผ้าเอาไว้กับปลายเตียง ขี้เกียจเดินออกไปตากข้างนอก ตอนนี้แบตเตอรี่อ่อนสุดๆ

   "อีกแป๊บ นอนก่อนเลย"

   "เอื้อม ต้องนอน"

   ใช้เสียงดุกว่าปกตินิดหน่อย เพื่อไม่ให้มีการต่อรองเลยฉกเอาของในมืออีกฝ่ายมายัดเอาไว้ใต้หมอนฝั่งตัวเอง ตามด้วยการนอนทับลงไปทันที เขาหลับตาลงเตรียมดับสวิทช์การทำงาน

   "..."

   "พรุ่งนี้ ไม่สิ เช้านี้ยังต้องใช้แรงงานอีกเยอะ"

   "ปันนะ..."

   "หืม? เราทำไม?" เริ่มได้ยินไม่ครบทั้งประโยคแล้วเนื่องจากร่างกายปรับเข้าสู่โหมดการพักผ่อน ตบเตียงข้างตัวแปะๆ ส่งสัญญาณอีกครั้ง "ตั้งนาฬิกาปลุกไว้แล้ว ตื่นมาค่อยคิดต่อ"

   คราวนี้แค่ได้ยินเสียงแต่จับใจความไม่ได้เลยสักนิด เหมือนว่าจะเดินออกไปตากผ้าเพราะมีเสียงเปิดปิดบานเลื่อน ต่อจากนั้นแสงไฟที่แยงตาอยู่ก็กลายเป็นความมืดสนิท

   "โอ๊ย!" หลุดร้องออกมายามสัมผัสได้ถึงแรงกดหนักๆ ตรงช่วงท้อง แล้วยังมีระลอกสองตามมาอีก

   "ขอโทษ มันมืดอะ มองไม่เห็น"

   ปรัญขบเขี้ยวกับคำอธิบายที่แสนจะสดใสนั้นคนเดียว

   น่าเชื่อมากเลยสิ
 


   "พี่ปันเอื้อม พี่เอื้อมปันอยู่ไหนคะ"

   คนเราก็มีวิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันออกไปล่ะนะ

   ปรัญที่ยังคงห้อยป้ายชื่อพี่เอื้อมเอาไว้ตรงข้างเอววางมือจากการจัดเรียงสีไม้ให้เป็นชุด หันไปตอบคำถามของเด็กผู้หญิงผมม้าในชุดลำลองเรียบร้อยก่อน "ไปคุยงานภาคบ่ายครับ มีอะไรหรือเปล่า"

   "อ่า...เมื่อวานพี่เขาช่วยอะไรไว้นิดหน่อยเลยจะมาขอบคุณน่ะค่ะ"

   "อยากบอกเองไหม เดี๋ยวถ้ากลับมาแล้วจะบอกให้เดินไปหา" สันนิษฐานเอาเองว่าคงเป็นสาวน้อยคนนั้น "ไม่งั้นเดี๋ยวพี่บอกให้ก็ได้"

   "ฝากบอกก็ได้ค่ะ แล้วสรุปนี่คือพี่ปันหรือพี่เอื้อมคะ?"

   กลายเป็นเรื่องสนุกของเด็กไปแล้ว บางคนก็เชื่อบางคนก็ไม่เชื่อ แล้วไอ้การถามรุ่นพี่ประจำกลุ่มแต่ได้คำตอบยียวนกลับมาก็เสริมให้ความสนุกของคนสองคนทวีขึ้นไปอีก

   "ป้ายชื่อเขียนพี่เอื้อมครับ"

   "พี่ตอบอย่างนี้มันไม่ใช่อะ"

   ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้ "พี่ว่าก็ไม่ได้ตอบอะไรผิดนะ"

   "คุยอะไรกันอยู่"

   "น้องจะมาขอบคุณเรื่องเมื่อวาน"

   เอื้อมอารัญทำหน้าอ๋อ โบกมือไปมาบอกว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย "ไม่เป็นไร เห็นทำหน้าเครียดอยู่ก็อยากช่วย"

   ส่งไม้ต่อให้เจ้าของผลงาน กลับมาสนใจกับการแยกเครื่องเขียนหลายชนิดให้เรียบร้อย ต่อจากสีไม้แล้วยังต้องไปแยกกรรไกร ไม้บรรทัด รวมถึงกระดาษสีอีกด้วย คนอื่นเขามองว่าสวัสดิการว่างเกินไปเหรอเลยหางานมาให้ได้ตลอด

   วันนี้ปรัญไม่ต้องรับหน้าที่มือกลองแล้ว ไม่สนใจว่าประธานที่จัดงานไม่เป็นระบบจะไปหาคนช่วยจากไหนมา มันเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายบริหาร ส่วนตัวเขาเองก็มีงานที่ต้องคอยจัดการให้สำเร็จไปด้วยดีเหมือนกัน ต่อจากช่วยพัสดุแล้วก็ต้องเตรียมอาหารกลางวันอีก

   นับจำนวนปากกาเป็นอย่างสุดท้าย ขมวดคิ้วเข้าหากันยามพบว่ามันน้อยกว่าจำนวนที่ควรจะเป็น ต่อให้ลองทวนอีกครั้งตัวเลขที่ได้มันก็ยังเหมือนเดิม

   สงสัยต้องมีคนแอบหยิบไปใช้ไม่บอกแน่ เพราะอย่างนี้ไงพัสดุเลยทำโหดใส่ทุกครั้งตอนบอกว่ามาขอเบิกอุปกรณ์ เขารีบจ้ำอ้าวออกจากตรงนั้นไปยังส่วนงานของพัสดุ หวังว่าถ้าบอกไปตามตรงแล้วจะไม่โดนพ่นไฟใส่เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา

   "...เอาจริงก็ไม่ค่อยชอบเอื้อมเท่าไหร่นะ"

   การเก็บอุปกรณ์มีห้องกั้นต่างหากแยกชัดเจน ความที่เป็นตึกปิดมิดชิดจึงมีทางเข้าออกต่อห้องแค่ประตูเดียว ปรัญหยุดอยู่ที่เดิมยังไม่โผล่หน้าเข้าไปอย่างที่ตั้งใจ มองทางเข้าที่เปิดกว้างเอาไว้ด้วยความชั่งใจว่าจะทำอย่างไรต่อดี

   "แต่ตัวจริงก็น่ารักออก ไม่เห็นเหมือนที่ออร์เคสตราเล่ามาเลย"

   "ก็นะ แต่คือนี่ไม่เข้าใจเลยว่าจะสลับชื่อกับปันไปทำไม เรียกร้องความสนใจเหรอ"

   "เหย น้องๆ ก็ดูสนุกดี"

   ด้วยความที่มันหมดช่วงวุ่นวายไปแล้วเลยไม่มีใครเดินสวนไปมา ปันกระเถิบออกมาจากจุดยืนเดิมอีกนิดตามที่สมองสั่ง

   มันเป็นสัจธรรมที่ไม่ควรยอมรับได้ แม้การตั้งต้นมันจะมีส่วนที่ต้องยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันมีผลส่วนหนึ่งมาจากตัวของเอื้อมอารัญเอง

   "ไม่รู้ดิ คือไม่ถูกชะตาไง คงเปลี่ยนไม่ได้"

   "ก็ต่างคนต่างอยู่ไป อะไรที่เราไม่ได้เกี่ยวก็ปล่อย"

   มันมีหนึ่งเสียงหลักและสลับไปด้วยอีกสองเสียงที่แตกต่างกัน จำไม่ได้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใครเนื่องจากพัสดุเป็นฝ่ายที่ค่อนข้างเก็บตัวอยู่เฉพาะกลุ่ม ไม่ได้ออกไปเสวนาอะไรกับใครอื่นเท่าไหร่ ตอนนี้ที่รู้คือในห้องอย่างน้อยก็มีสามชีวิตเป็นอย่างต่ำ

   "แอบสงสารปันที่ต้องอยู่ด้วยอะ คนอย่างนั้นไม่เห็นน่าเข้าใกล้เลย"

   "นี่ก็คิดแทนทุกเรื่อง"

   "แล้วคิดไม่ได้หรือไง?"

   หลับตาสูดลมหายใจเข้าลึก ผ่อนมันออกมาทีละน้อยพอให้ใจสงบ ปลอบตัวเองว่าทำงานให้เสร็จแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป

   เสียงเดินทางได้ทุกทิศจริงด้วย


***
   ยังอยากงอแงกับการที่บวกเป็ดหายอยู่ค่ะ จะมีทางได้กลับมาไหมเน้อ
   ไม่ใช่นิยายสอบสวนแน่ๆ ค่ะ (ฮา) เป็นเรื่องที่เจ้าตั้งเป้าไว้ว่าต้องไม่เข้าใจยาก ปล่อยให้คนเนียนเขาเนียนของเขาต่อไปเรื่อยๆ ถ้าลองเทียบแล้วเอื้อมเป็นตัวละครที่เจ้าเอาตัวเองมาใช้เยอะมากเลยค่ะ แต่จะไม่บอกว่าเรื่องไหนบ้าง (หัวเราะ)
   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
การถูกพูดถึงลับหลังมันไม่หายไปง่ายๆเลยอ่ะ เดี๋ยวก็มีประเด็นมากตลอด สงสารเอื้อมเลย ถ้าเอื้อมไม่ได้เป็นอย่างนั้นอ่ะ  :katai1:
คิดถึงบวกเป็ดเหมือนกันค่ะ :ling1:

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
สงสารเอื้อมจังทำไมต้องพูดลับหลังปันยังไม่เดือดร้อนคนอื่นมาคิดแทนทำไมเจอบ่อยจังเรื่องคิดแทนคนอื่นแต่เรื่องของตัวเองไม่คิดไม่รู้

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
คำพูดบางทีมันก็เป็นเหมือนคำพิพากษา
'ไม่รู้สิ จากที่เห็น...'
นั่นคือคำที่ตัดสินที่เชื่อตามที่ตาเห็นไปแล้ว
ไม่ใช่ว่ามันถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
เพียงแต่เราก็ไม่ได้เห็นความจริงทุกครั้งไง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
สิบสอง
 

   ตั้งแต่เช้ามาเรียกได้ว่ายังไม่ค่อยมีอะไรดีเกิดขึ้น

   อย่างเช่นตอนที่มีคนเดินเข้ามาถามว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นฮาลาลหรือเปล่า

   แล้วคนที่บอกกับเจ้าหน้าที่เขตว่าตรงช่องศาสนาให้เว้นว่างไปเลยอย่างเขาจะช่วยอะไรได้มากเท่าไหร่กันเชียว

   ลำบากต้องไปหาเพื่อนที่ค่อนข้างเคร่งในเรื่องศาสนามาช่วยตอบ ได้รับคำตอบประมาณว่ามันก็แล้วแต่นโยบายของแต่ละยี่ห้อ ถ้ามีตลาดใหญ่คือการส่งไปในแหล่งที่มีกลุ่มเป้าหมายเยอะก็จะมีการบอกเอาไว้เรียบร้อย ส่วนถ้าอันไหนไม่มีก็เลี่ยงไปจะดีกว่า

   เลยต้องรีบกุลีกุจรเข้าเซเว่นไปนั่งก้มหาเครื่องหมายบนซองกันเสียวุ่นวาย

   "เดี๋ยวเราไปเคลียร์รอบสุดท้ายก่อนนะ รอบก่อนตอนคุยเราว่าวิญญาณน่าจะออกจากร่างประธานไปแล้ว"

   เห็นด้วยกับข้อเสนอเต็มที่ ปรัญล่ะเบื่อคนที่ไม่เข้าใจบทบาทการทำงานและความรับผิดชอบที่มี ถ้าเกิดปัญหาอะไรสักอย่างเขาไม่ค้านในเรื่องให้ประธานเป็นคนตัดสินใจ แต่ไม่จำเป็นต้องลงมารับผิดชอบเองทั้งหมดก็ได้นี่ แล้วพออาสาทำเองจนล้นก็กลายเป็นร่างกายไม่พร้อมทำงานอีก

   "ย้ำกับมันเยอะๆ แล้วถ้าเป็นไปได้ก็อัดเสียงเอาไว้เลยกันเหนียว"

   "ได้เลย"

   กำมือขึ้นมาทำท่าให้กำลังใจอีกครั้ง ปล่อยให้คนห้อยป้ายชื่อพี่ปันเดินออกไปตามหาประธานค่ายเอาเอง ส่วนพี่เอื้อมอย่างเขาเดินไปนั่งบนเก้าอี้พลาสติกตัวหลังสุดของห้องประชุม พิงศีรษะพักร่างกายขณะที่สายตาก็ยังมองตรงไปยังส่วนงานที่ดำเนินอยู่

   เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ ตอนมาเข้าค่ายเองมันก็ทรมานอยู่หรอก มิตรภาพไปด้วยกันไม่ค่อยได้กับการเอาชนะ เอาจริงแล้วเพื่อนหลายคนยังคิดว่าเขาไม่ควรได้เพราะว่าความใจดีเกินไปนี่แหละ

   มีอย่างที่ไหนใครอยากจะทำก็ให้ทำ ตัวเองยอมเป็นเบื้องหลังที่แทบไม่ออกหน้า

   เพราะงั้นตอนได้เห็นชื่อนายปรัญอยู่บริเวณส่วนกลางของประกาศสิ่งแรกที่คิดคือพิมพ์ผิดหรือเปล่า มารู้ทีหลังตอนเข้ามาเรียนแล้วว่านอกจากคะแนนของเหล่าอาจารย์และผู้ทรงคุณวุฒิแล้วมันยังเปิดโอกาสให้รุ่นพี่ที่เข้ามาคลุกคลีในระดับใกล้ชิดกว่ามีสิทธิเสนอด้วย เขาก็เลยได้แบกอัปเป็นพวกพี่ๆ ที่เอ็นดูความใจดีนี่แหละ

   ที่อยู่ในใจของปรัญตอนนี้มีแล้วสองสามชื่อ เป็นน้องที่ให้ความรู้สึกเป็นคนแบบเดียวกันคือยอมตามใจแต่ไม่ถึงกับปล่อยปละละเลย

   "ปัน ฝากบอกเอื้อมด้วยนะว่าเตรียมของเสร็จหมดแล้ว เหลือแต่รอสตาฟไปประจำที่"

   "อืม ขอบคุณนะ" ยังกล่าวไม่จบอีกฝ่ายก็จ้ำอ้าวออกไปเพื่อประสานงานกับส่วนอื่นต่อแล้ว ไม่แปลกใจกับความวุ่นวายผิดวิสัยในทุกพื้นที่ เพราะต่อจากนี้มันคือกิจกรรมที่เรียกได้ว่าเป็น 'ไฮไลต์' ของงานเวิร์กชอปวันนี้เลยทีเดียว

   กิจกรรมเงียบ

   หรือเรียกให้ชัดคืองานที่ปันถูกโยนมาให้ช่วยจัดการ ถึงจะใช้ชื่อแบบเดียวกันทุกปีแต่เนื้อหาจะถูกเปลี่ยนแปลงไปตามความเห็นของแต่ละรุ่นว่าสมัยที่ตนเองเจอมีข้อบกพร่องตรงไหนบ้าง อย่างรุ่นของเขาก็มองว่ามันแยกความรับผิดชอบมากเกินไปจนไม่รู้สึกถึงการทำงานเป็นทีม ที่บอกว่าตัวเองได้แต่นั่งเงียบตลอดการเล่นนั่นไง

   ส่วนของปีนี้มีธีมอยู่ที่การสื่อสาร ซึ่งค่อนข้างจะดูเป็นทางตรงกันข้ามกับความเงียบมากทีเดียว เกิดขึ้นจากการเสนอว่าช่วงที่ผ่านมาสังคมมีปัญหาเกี่ยวกับการสื่อสารและการตีความมากจนน่ากังวล จึงอยากจะสร้างความตระหนักรู้บางอย่างขึ้นมา

   โจทย์หนักจนอยากจะเห็นหน้าคนคิด

   กลับกลายเป็นว่าเอื้อมอารัญดูจะสนุกกับการตั้งต้นและแต่งเติมจนเขาวางใจที่จะให้เป็นคนจัดการหลัก ผลสุดท้ายที่ออกมาตอนสรุปคืนก่อนวันจริงก็สมบูรณ์แบบจนไม่มีใครกล้าแย้ง

   จากห้องประชุมที่มีเพียงพี่สตาฟตัวหลักตอนนี้เริ่มหนาแน่นเมื่อเข้าใกล้เวลาไปทุกที ด้วยความที่เป็นงานสเกลใหญ่ที่สุดเลยต้องของความร่วมมือจากทุกคน แม้แต่ประธานก็ยังต้องลงมานั่งเป็นพี่ประจำฐานเลย ยิ่งใหญ่แค่ไหนล่ะคิดดู

   ไทม์เมอร์ส่งสัญญาณว่าได้เวลาเริ่มกิจกรรมถัดไป คราวนี้ไมค์กระจายเสียงตกอยู่ในมือของเอื้อมอารัญผู้ยืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงหน้าห้องพร้อมกับกองกระดาษปึกเดิมในมือ ความที่เป็นขวัญใจของน้องหลายคน 'พี่ปัน' จึงไม่จำเป็นต้องงัดเอาวรยุทธ์ออกมาดึงความสนใจไว้ที่ตน

   "เดี๋ยวพี่กลุ่มจะเอาซองกระดาษเท่าจำนวนสมาชิกในกลุ่มไปให้ อย่าเพิ่งเปิดนะครับ ให้พี่ส่งสัญญาณก่อน"

   "เรากำลังจะเข้าสู่สถานการณ์จำลอง เป็นเหตุการณ์ทะเลาะเบาะแว้งภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยของนายเอและนายบี ในซองที่ถืออยู่ในมือของทุกคนคือบทบาทต่างๆ ที่จะพาน้องเข้าใกล้ข้อมูลที่มีผลต่อการตามหาเรื่องราวเบื้องหลัง"

   กติกาข้อแรกคือกิจกรรมนี้ต้องเงียบเกือบตลอดเวลา ซองที่ได้รับจะมีอธิบายหน้าที่และข้อห้ามที่ต้องปฏิบัติตาม ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามบทบาท น้องๆ จะต้องทำตามสิ่งที่เขียนเอาไว้เท่านั้น พี่กลุ่มจะเป็นคนคอยจับผิดว่ามีการทำผิดข้อคำสั่งเกิดขึ้นหรือไม่

   "หลังจากที่บอกให้เปิดอ่านแล้ว ห้ามส่งสัญญาณหรือกระทำการใดๆ เพื่อบอกให้เพื่อนในกลุ่มรู้ว่าหน้าที่ที่ตนได้รับคืออะไร คำสั่งพวกนั้นจะพาน้องออกไปยังฐานด้านนอก แล้วสิ่งตอบแทนจากการร่วมิจกรรมย่อยคือส่วนหนึ่งของข้อความ ให้จำข้อความพวกนั้นมาเรียงต่อกันตามลำดับแล้วกลุ่มไหนที่เรียงประโยคได้ถูกต้องสมบูรณ์มากที่สุดคือผู้ชนะ"

   พูดบ้านๆ คือใครมีหน้าที่อะไรก็ไปทำ พูดได้แค่เท่าที่คำสั่งให้พูด แล้วพอไปเล่นฐานได้คำกลับมาก็เอามาเรียงต่อกันให้เป็นประโยค กลุ่มไหนตอบได้ใกล้เคียงกับตัวต้นฉบับที่สุดก็ชนะไป

   เหมือนจะง่ายใช่ไหมล่ะ

   แต่บอกแล้วไงว่าคนคิดคือเอื้อมอารัญ

   เหล่ารุ่นพี่ที่รู้ดีอยู่แล้วว่ามันมีอะไรซ่อนเอาไว้มากกว่าที่อธิบายต่างแยกไปประจำตามจุดของตน ปรัญในฐานะผู้รับผิดชอบหลักร่วมจะเน้นหนักไปทางเอ้อระเหยย้ายไปตามโซนเผื่อว่ามีงานงอกจะได้เข้าไปแก้ไขทัน

   "ไปอยู่ตรงไหนกันก่อนดี"

   กิจกรรมเริ่มขึ้นแล้ว ส่วนแรกของในซองที่แต่ละกลุ่มได้เหมือนกันคือจะมีคนหนึ่งได้รับหน้าที่เป็นผู้รวบรวม คนนี้จะได้กระดาษและปากกาเป็นของเสริม หน้าที่คือเงียบรอจนกว่าเพื่อนที่ได้รับคำสั่งอื่นจะกลับมาพร้อมกับส่วนหนึ่งของประโยค และรอออกไปตอบเมื่อได้คำตอบครบจากทุกฐาน

   ส่วนคนที่เหลือจะแตกต่างกันไป เมื่อคนแรกกลับมาพร้อมกับสัญลักษณ์ให้คนอื่นออกไปต่อ อาจจะเป็นการแสดงท่าทางหรือว่าสิ่งของบางอย่าง ในคำสั่งของคนที่ได้รับสเต็ปถัดไปเมื่อเห็นสิ่งที่เขียนอยู่ในคำสั่งแล้วก็จะออกไปตามหาต่อ

   ดูเหมือนจะวุ่นวายแต่ถ้าทุกคนตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองโดยเคร่งครัดแล้วมันจะลงตัวพอดี จุดยากคือการสื่อสารโดยไม่มีเสียงประกอบ บางคนอาจจะเหม่อจนไม่รู้ว่าถึงเวลาที่ตัวเองจะต้องออกไปทำหน้าที่แล้ว หรือบางทีอาจจะเกิดการสื่อสารผิดพลาดจนเรียงลำดับการออกไปผิด

   ก็เลยต้องคอยกำกับเอาไว้ไม่ให้หลุดออกจากแผนนี่แหละ

   "เราสองคนต้องไปอยู่ตรงฐานสี่ เร็ว"

   "อันนั้นของประธานไม่ใช่เหรอ" ปากถามส่วนขารีบก้าวตามให้ทัน เอื้อมอารัญเดินฉับเลี้ยวไปตามทางรวดเร็วไม่มีพัก

   "ประธานม่องอยู่ในห้องพยาบาลแล้ว ก่อนเราไปคุยงานรอบสุดท้ายแป๊บเดียว"

   นั่นไงล่ะ

   ไม่ทันขาดคำเลย บอกแล้วว่าการเอางานมาสะสมไว้เองมันมีแต่ข้อเสียมากกว่าข้อดี

   "มันคืออันไหนนะ เมืองโกหกใช่หรือเปล่า" นับเลขฐานพลางนึกตัวกิจกรรมย่อย ดีที่ยังเป็นส่วนแรกๆ เลยนึกออกไว "ใช้สองคนพอดีเลย"

   ส่วนที่พวกเขาต้องมาประจำฐานเป็นการชั่วคราวมีชื่อว่า 'เมืองโกหก' พวกเขาจะสร้างเรื่องเพื่อให้ตอบว่าประตูไหนที่เป็นเรื่องจริงและเรื่องเท็จ หากตอบถูกประตูนั้นก็จะเปิดแล้วก็ยอมให้คำตอบคือส่วนหนึ่งของประโยค

   "ปันยังจำสคริปได้ใช่ไหม"

   "ได้" ต่อในใจว่าดีมาก ก็เพราะว่าพวกเขาต้องมานั่งเลือกเรื่องที่จะใช้เป็นสิบหัวข้อกว่าจะเจออันที่ลงตัว

   "งั้นเราเป็นหนึ่ง ปันเป็นสองนะ"

   ตรงฐานที่มีเลขสี่ติดเอาไว้บนกำแพงเหนือหัวมีอุปกรณ์เพียงแค่เก้าอี้สองตัวสำหรับนั่งรอ อย่างอื่นเป็นไดอะล็อกที่อยู่ในกระดาษทั้งหมด คือถ้าเป็นฐานอื่นจะมีอุปกรณ์เยอะแยะมากมายจนเอื้อมประชดด้วยการไม่ขออะไรเพิ่มเติมเลยในส่วนนี้

   นั่งจุ้มปุ้กกันสองหน่อ ฉีกซองทายากันยุงเตรียมเอาไว้ให้พร้อม จากตารางการเดินทางของแต่ละกลุ่มกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง ยังมีเวลาท่องบทเพื่อความชัวร์อีกครั้ง

   "สวัสดี ยินดีต้อนรับเข้าสู่เมืองโกหกครับ"

   มันเป็นเรื่องตลกร้าย ที่ครายวูลฟ์ต้องมาอยู่ในเมืองโกหก

   "ที่นี่จะเป็นประตูทางออกจากเมือง ที่ประตูหนึ่งพูดแต่ความจริง และอีกประตูพูดแต่ความเท็จ พวกเราจะให้โอกาสน้องถามได้หนึ่งคำถาม ถ้าสุดท้ายแล้วน้องบอกได้ว่าประตูไหนคือทางออกที่แท้จริง เราก็จะให้คำตอบที่หายไป"

   ตามหลักตรรกศาสตร์และความน่าจะเป็นมันเป็นเรื่องง่าย สามารถนึกคำถามที่มีคำตอบเพียงแค่จริงหรือเท็จเท่านั้นได้ตั้งมากมาย

   "ผมเป็นผู้ชายใช่หรือไม่"

   ปรัญนึกในใจว่าเป็นการเลือกคำถามที่ง่ายแต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีไม่น้อย ที่ตกลงกันไว้เอื้อมจะเป็นฝ่ายตอบเท็จ และเขาตอบจริง

   "ไม่ใช่"

   "ใช่"

   เห็นรอยกระหยิ่มยิ้มย่องแล้วก็ได้แต่ซ่อนสีหน้าของผู้เหนือกว่าเอาไว้ พวกน้องไม่รู้เสียแล้วว่ากำลังเล่นกับใคร

   "ผมตอบว่าพี่เอื้อมเป็นประตูทางออก" เพื่อให้เข้าใจตรงกันก่อนคือน้องยังไม่รู้เรื่องชื่อเล่นที่แท้จริงของเรา เท่ากับว่าน้องเลือกปรัญเป็นคำตอบสุดท้าย

   ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนริเริ่มในการดัดหลัง "ผิดนะครับ"

   "อ้าว?"

   "ก็บอกแล้วว่านี่เมืองโกหก"

   แสบไหมล่ะ ตอนที่ได้ยินครั้งแรกถึงกับสตั๊นไปเลย

   ด่านนี้ถึงชื่อว่าเมืองโกหก ความตั้งใจที่อยากจะทำให้สังเกตตั้งแต่การย้ำชื่อเมืองอีกครั้งกับเด็กที่ตกอยู่ในสภาวะบีบคั้นไปด้วยกันไม่ค่อยได้หรอก มันเป็นฐานโหดสุดในบรรดาทั้งหมด ไม่ใช่ในแง่ของการต้องใช้กำลังหรือว่าต้องผ่านหลายขั้นตอน ก็แค่เรื่องของ 'คำพูด' นี่แหละ

   มันเลยกลายเป็นความรับผิดชอบของประธานในทีแรก ด้วยความที่หลายคนออกความเห็นว่ามันเป็นฐานที่ต้องใช้วาทศิลป์และบารมีในการกล่อมไม่ให้น้องโมโหร้ายกับการถูกหลอกไปก่อน

   แต่ยังไงเราก็ต้องให้ส่วนหนึ่งของประโยคน้องไป มันเลยกลายเป็นการแกล้งให้ทำตามคำสั่งเพื่อความบันเทิงเล็กน้อยไปเสีย แล้วแต่ว่าจะให้ทำอะไร อย่างเช่นไปลากพี่เลี้ยงกลุ่มให้มาเต้นบอยแบนด์ด้วยกัน หรือไม่ก็แข่งทายชื่อหนังกับเจ้าของทวิตเตอร์รีวิวหนัง

   พอใจแล้วก็จะให้คำตอบ เราจะท่องประโยคสั้นๆ ไม่เกินสิบคำให้น้องฟังเพียงแค่หนึ่งครั้ง จากนั้นเป็นหน้าที่ของตัวกลางในการเอาสารไปส่งยังผู้รับสาร

   ถ้าถามว่าอย่างนี้มันก็ขี้โกงนี่ เป็นฐานที่ถูกบีบให้ต้องแพ้ เอื้อมแบ่งรับแบ่งสู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียว มันก็อาจจะมีน้องที่จับคำใบ้ที่ซ่อนเอาไว้อยู่ได้เหมือนกัน

   "พี่ชื่อพี่เอื้อมใช่ไหมคะ?"
   
   อย่างเช่นสาวน้อยคนที่ยังมีปัญหากับเรื่องชื่อของพวกเขาสองคนอยู่

   ดวงชะตามักจะดึงดูดให้กลับมาเจอกันอีกเสมอ ตั้งแต่วันเมื่อวานตอนเช้าจนถึงตอนนี้น่าจะสนิทกับเธอมากที่สุดแล้ว

   ปรัญผู้รับหน้าที่ตอบตามจริงชั่งน้ำหนักนิดหน่อยก่อนตอบ "ใช่ครับ"

   ก็ถ้าต้องตอบความจริงคือไม่ ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ชื่อเอื้อม มันก็เลยต้องให้เวลาเรียบเรียงความคิดเสียหน่อย

   "แล้วพี่ชื่อพี่เอื้อมใช่ไหมคะ"

   ลอบมองคนข้างตัวจากหางตา เอื้อมอารัญยังทำหน้ายิ้มเล็กๆ เหมือนที่ให้กับเด็กคนอื่น ทุกอย่างที่ดำเนินไปตามแผนไม่มีพลาดคงสร้างความสุขไม่น้อย "ใช่ครับ พี่ชื่อพี่เอื้อม"

   การผสมกันกลายเป็นเรื่องจริงผสมเท็จปนเปไปเสียแล้ว มองเด็กสาวมองสลับระหว่างเขาทั้งคู่อีกสักพัก นึกคิดไปก่อนล่วงหน้าแล้วว่าจะให้น้องไปทำอะไรดี คนเมื่อกี้ให้กระโดดตบสิบทีต่อด้วยวิ่งรอบตึก คราวนี้ให้ทายชื่อเพลงในเพลย์ลิสต์คลาสสิกตลอดกาลของเอื้อมจะตอบได้ไหมนะ

   "งั้นขอตอบว่าไม่มีประตูไหนที่เป็นทางออกค่ะ"

   หากสิ่งที่ได้ยินถัดมาก็ลบทุกเรื่องที่อยู่ในความคิดก่อนหน้าไปเสียหมด

   "...ใช่ไหมคะ?"

   "รู้ได้ไงอะ"

   นัยน์ตาเบิกกว้างกว่าปกติเล็กน้อยพร้อมน้ำเสียงประหลาดใจเป็นตัวบ่งชี้ว่าคนคิดเกมยังไม่เชื่อว่ามันจะออกมาในรูปแบบนี้

   "ก็พี่เอื้อมปันบอกเองว่าที่นี่คือเมืองโกหก" แถมยังมีการยักไหล่ขึ้นเล็กน้อยอีก "แค่เอาพี่ปันเอื้อมมานั่งก็ระแวงแล้วค่ะ"

   กลายเป็นว่าโดนจับได้เพราะความซนของตัวเองนี่แหละ
 


   ติ๊กถูกตรงหน้าช่องว่ากลุ่มสุดท้ายได้ผ่านเข้ามาเยี่ยมฐานนี้แล้ว เท่ากับว่างานในส่วนนี้สิ้นสุดลง ปรัญตรวจพื้นที่โดยรอบว่าไม่ลืมเก็บของอะไรเข้าไปใช่ไหม ความว่างเปล่าของมันบอกให้ทำสิ่งสุดท้ายคือซ้อนเก้าอี้ไว้ด้วยกันเพื่อให้ฝ่ายสถานที่เก็บได้สะดวก

   "ตอนนี้น่าจะมีกลุ่มที่ใกล้เสร็จแล้ว เข้าไปในห้องกันเถอะ"

   หมดจากฐานที่สี่มันจะเหลือเพียงแค่สองฐานสุดท้ายในการวน ข้างในห้องประชุมใหญ่มีเพียงความเงียบและเสียงขีดเขียนเล็กน้อยลงในกระดาษ เนียนเดินเข้าไปดูว่าความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ทำเป็นเมินสายตาแค้นเคืองของน้องผู้โชคร้ายที่เจอกันในฐานมาก่อน

   ทั้งหมดเป็นความคิดของเอื้อม ไม่ใช่พี่สักหน่อย

   แต่ตอนนี้เขาคือเอื้อมนี่นา

   จบความคิดไร้สาระตรงนั้น เดินเสียงเบาไปสังเกตการณ์อีกสองกลุ่มเพื่อพบว่าใกล้ถึงจุดไคลแมกซ์ที่สองของกิจกรรมนี้ นอกจากเรื่องของเมืองโกหกแล้วด่านต่อไปที่น้องคงนึกไม่ถึงว่าต้องเจอคือการ 'แอบเฉลย' ที่ซ่อนเอาไว้

   "ตอนนี้เราก็ได้ฟังประโยคของทุกกลุ่มแล้วนะ ต่อไปจะเป็นการเฉลยว่าที่จริงแล้วมันคือประโยคว่า 'เอเข้าไปในห้องสมุดกลาง วางของเอาไว้ตรงโต๊ะริมสุดติดหน้าต่าง เขาออกไปข้างนอกครู่หนึ่ง ก่อนกลับมาแล้วพบว่ามีบีมานั่งอยู่ก่อนแล้ว เอพยายามคุยกับบีด้วยคำสุภาพ แต่บีไม่ฟังอะไรแล้วชกเข้าที่หน้าของเอ' นะครับ"

   มีหลายกลุ่มที่ใกล้เคียง และบางกลุ่มเรียกได้ว่าคนละเรื่อง

   มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมออยู่แล้วในการสื่อสาร แต่งเติม เสริม ลดทอน ประโยคสั้นๆ ที่แต่ละคนได้มาก่อนจะถึงคนรวบรวมไม่มีทางเหมือนเดิมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ต่างจากการพูดคุยทั่วไปในชีวิตประจำวันของเรา

   สนุกสนานอยู่คนเดียวตอนเห็นความแตกตื่นของคนในกลุ่ม อย่างที่อธิบายทุกคนมีหน้าที่ที่แตกต่างกัน โดยที่หนึ่งในนั้นได้รับบทเป็น 'เอ' คนที่เป็นคู่กรณี คนที่ได้รับตำแหน่งนี้จะทำได้เพียงเตือนครั้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการออกมาอ่านประโยคที่เรียงเอาไว้แล้ว

   "เหมือนว่าจะเคยได้ยินข้อความที่ถูกต้องมาแล้วใช่ไหมล่ะ"

   ในจังหวะนั้นการโพล่งทวนคำที่มีความเหมือนหรือแตกต่างออกมาไม่ค่อยได้รับความสนใจหรอก คนรวบรวมก็จะเชื่อมั่นแต่คำเล่าของคนที่ออกไปตามหาคำมาเท่านั้น เอื้อมตั้งใจซ่อนเอาไว้เพื่อให้รู้ว่าในหลายครั้งเราอาจจะเคยได้ยินเรื่องออกจากปากของเจ้าของเรื่องฝ่ายหนึ่งแล้ว แต่ไม่ใส่จะฟัง

   ตอนเล่าคอนเซ็ปต์คร่าวๆ ให้ฟังก็คิดว่าโหดร้ายแล้วนะ ถ้าปรัญจะบอกว่ามันยังมีจุดหักมุมสุดท้ายรออยู่อีกล่ะ

   พอน้องกลับไปยังที่นั่ง เสียงจอแจมันก็ดังขึ้นจากทุกทิศทาง คนถือไมค์เว้นจังหวะให้ความโกลาหลมันก่อตัวขึ้นช้าๆ ไม่เข้าไปขัด รอจนกระทั่งเห็นว่าทุกอย่างเริ่มเข้าที่จึงจัดการดึงเข้าสู่พาร์ตสุดท้ายของกิจกรรม

   "ตอนนี้..." รอยแย้มยิ้มกระหยิ่มที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของคนหน้าห้องคงมีเพียงปรัญที่เข้าใจ "ให้น้องที่ได้รับบทเป็นบีอ่านข้อความในซองได้ครับ"

   ใช่

   นอกจากมีคนได้รับบทบาทเป็นเอแล้ว คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งก็อยู่ในกลุ่มเช่นเดียวกัน

   "บีเข้าไปในห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือ เขาไม่สามารถหาที่นั่งได้เนื่องจากมีหลายพื้นที่ถูกจองเอาไว้ล่วงหน้า เขารอประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อพบว่าไม่มีใครกลับมานั่งตรงโต๊ะที่มีการจองเอาไว้ จึงทำการย้ายออกไปไว้โต๊ะข้างๆ แล้วเริ่มอ่าน ต่อจากนั้นอีกนานพอสมควรเอจึงกลับมาพร้อมใช้ถ้อยคำหยาบคายและแสดงมารยาทที่ไม่ดีเพื่อกดดันให้เขาลุกออกไป ด้วยความโมโหเขาจึงผลักบริเวณหน้าอกเบาๆ ไปหนึ่งครั้งก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้ามาห้าม"

   ความเงียบต่อจากนั้นคือช่วงเวลาที่ปรัญรอคอยที่สุด เด็กนักเรียนที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียงเมื่อสักครู่นิ่งค้างไปตามๆ กัน ถ้าเรียกตามภาษาทั่วไปก็หักมุมในหักมุม ส่วนคำที่เอื้อมอารัญใช้คือ 'โลกแห่งความจริงมันก็ชอบแกล้งเราอย่างนี้แหละ'

   "ตลกดีเนอะ หนึ่งเหตุการณ์ แต่หลายเรื่องเล่า" เอื้อมไม่ใช่คนเสียงเพราะชวนฟัง บางจังหวะก็ยังดำเนินผิดพลาดอยู่เหมือนกัน แต่เนื้อเรื่องที่เขาพยายามสื่อผ่านเรื่องราวทั้งหมดมันดึงทุกความสนใจให้อยู่เพียงแต่ตรงนั้น "ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว เราชอบได้ยินอย่างนั้น แต่ใครจะไปรู้นะครับ"

   "..."

   "ว่ามันอาจไม่มีความจริงอยู่ในความจริงเลยก็ได้"

   ปรัญมองตามทุกการเคลื่อนไหว ตั้งแต่ส่งยิ้มไร้ความหมายครั้งสุดท้าย มอบไมค์กับเอ็มซีดำเนินกิจกรรมต่อ และเดินเลาะมุมมาทางหลังห้องท่ามกลางสายตาทุกคู่ของผู้เข้าร่วมกิจกรรม

   จากที่เห็นจากมุมห่างไกล ตอนนี้คนนั้นมายืนใกล้จนแทบชิด ตอนนี้น้องทั้งหมดต้องกลับไปให้ความสนใจกับคำอธิบายกิจกรรมต่อจากนั้นของคนหน้าห้อง ส่วนด้านหลังเองก็วุ่นวายกับการเตรียมบายศรีจนไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจเราสองคน

   "ให้รางวัลเราหน่อย" ยิ้มแก้มบุ๋มกลับมาอีกครั้งหลังจากไม่เห็นนาน "ทำได้แล้วนะ"

   "เก่งมากเลย"

   เข้าใจดีที่สุดว่าความกดดันต่อกิจกรรมมันมากเพียงใด ทั้งความเป็นกิจกรรมสุดท้ายของวันและคนรับผิดชอบไม่เคยผ่านงานมาก่อนด้วย

   "แค่นั้นเองเหรอ"

   "เก่งมากๆ"

   ไหงถึงทำหน้าผิดหวังระคนปลงตกได้ชัดเจนขนาดนั้น "เอาเถอะ เดี๋ยวเราต้องรอบายศรีใช่ไหม"

   "อือ นั่งตรงไหนดี หรือไม่อยากทำ?"

   "ที่จริงก็ไม่อยากอะ ง่วง" ก็ได้นอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองนี่นะ แล้วงานเมื่อกี้คงดูดพลังงานไปเยอะอยู่ "แต่ถ้าไม่อยู่เดี๋ยวก็โดนเขม่นอีก ขี้เกียจเป็นคุณปันของใครต่อใคร"

   กิจกรรมบายศรีสู่ขวัญเป็นอะไรที่ทั้งชอบแล้วก็เบื่อในตัว เขาเป็นคนที่ไม่ชอบให้มีเส้นด้ายผูกเอาไว้เกะกะน่ะ มันก็เป็นพิธีที่ดู 'ขลัง' ดีตอนท่องคาถาแล้วก็ร้องเพลง ต่อจากนั้นมันไม่มีส่วนที่เขาอยากมีส่วนร่วมในระดับจะไม่ยอมพลาดเป็นอันขาด

   ทั้งต้องมาระวังเรื่องน้ำตาเทียน รอบนี้ใช้ถางประทีปซึ่งบอกไม่ได้เลยว่าจะหมดเร็วกว่าแค่ไหน เรื่องจะคุยกับน้องก็ไม่มี จะบอกว่าขอให้ได้มาเจอกันอีกโอกาสมันก็มีแค่หนึ่งในสิบ เดี๋ยวจะกลายเป็นการให้ความหวังลมๆ แล้งๆ ไปอีก

   "งั้นเอื้อมกลับก่อนคนเดียวไหม เดี๋ยวเรารีบตามไป" หน้าที่ของสวัสดิการมันก็ไม่มีอะไรต้องทำต่ออยู่แล้วนอกจากเช็กความเรียบร้อยของถังน้ำเหมือนเมื่อวาน อย่างอื่นให้สถานที่จัดการไป "เดี๋ยวเป็นทั้งปันแล้วก็เอื้อมให้"

   "ไม่ขำ"

   "แย่จัง" แตะหลังให้เริ่มเดิมก่อน เมื่อเห็นว่าเหล่ารุ่นพี่และสตาฟทำงานเริ่มเข้าที่กันแล้ว เพื่อความศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรก็ตามแต่ไฟภายในห้องสี่เหลี่ยมถูกปรับลดให้เหลือเพียงแค่พอให้เห็นทาง ความเงียบที่กลับเข้ามาปกคลุมอีกครั้งส่งสัญญาณว่าหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายก็ควรจะปิดปากหรือไม่ก็ใช้เสียงให้น้อยที่สุด

   สัมผัสตรงช่วงแขนราวกับหาที่พึ่งพิงน่าเอ็นดูจนปรัญหลุดขยับองศาของมุมปาก รู้สึกดีที่เดินนำไปครึ่งก้าวจนอีกฝ่ายไม่น่าจะสังเกตเห็นสิ่งที่เผยอยู่บนใบหน้า

   ล็อกเป้าหมายและพุ่งเข้าไปนั่งจองเอาไว้อย่างกับว่ากลัวใครมาแย่ง เอื้อมนั่งอยู่ทางซ้ายมือส่วนทางขวามือเป็นใครที่ไม่คุ้นฝ่าย รอให้เหล่าเด็กนักเรียนที่อายุห่างกันไม่เท่าไหร่ได้เรียงเข้ามานั่งประจันหน้า

   หันกลับไปตั้งใจจะถามคนข้างตัวว่าร้องเพลงคลอที่เตรียมไว้ระหว่างพิธีได้บ้างหรือไม่ ใบหน้าส่วนที่เห็นจากแสงสะท้อนของเปลวเทียนบอกเขาว่าตอนนี้อีกฝ่ายได้ทำการแวบออกไปหาเทพแห่งช่วงเวลาการนิทราแล้ว

   ขำก็ขำ สงสารก็สงสาร ทุกอย่างคือของใหม่สำหรับเอื้อมอารัญผู้ไม่เคยคิดอยากจะมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมค่ายและคนแปลกหน้า ตั้งแต่เรื่องง่ายๆ อย่างเช่นการแบ่งฝ่ายยาวไปถึงวิธีการรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า พวกประเพณีประจำค่ายก็ไม่เข้าใจ

   จากคอตั้งตรงมันเริ่มสัปหงกลงมาน้อยๆ ปรัญจึงตัดสินใจขยับมือออกไปเคลื่อนให้มันโน้มลงมาหาไหล่ตนเองโดยระวังไม่ให้มันสร้างความตกใจ เอื้อมดูชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็กลายเป็นไถหัวกับช่วงไหล่แถมยังบ่นพึมพำไม่ได้ศัพท์ออกมา

   ขอบคุณที่น้องเดินเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามในวงกลมขนาดใหญ่แบบที่ปิดตาอยู่ ไม่อย่างนั้นแล้วจากความซึ้งมันอาจเหลือเพียงภาพตลกให้บันเทิงใจ

   ร้องเพี้ยนบ้างตรงคีย์บ้าง ตามองเนื้อเพลงในโทรศัพท์สลับไปกับการหันไปเช็กคนนอนอุตุ ตั้งใจเอาไว้ว่าจะสะกิดให้ตื่นช่วงจบเพลงสุดท้ายก่อนที่จะให้น้องลืมตา ไม่รู้ว่าพอขยับเปลือกตาเปิดมาเจอเอื้อมอารัญสภาพคอพับกับตาปรือเพิ่งตื่นนอนอันไหนมันจะดีกว่ากัน

   "สวัสดีครับ พี่ชื่อพี่ปันนะ" ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมจบบทบาท จนเริ่มคิดจริงแล้วว่าเอื้อมอยากจะหนีจากการเป็นตัวเองเหลือเกิน "อือ พี่เป็นคนคิดหลัก แล้วมีพี่เอื้อมช่วย"

   เด็กจำนวนเกือบร้อยกับสตาฟและรุ่นพี่มีปริมาณใกล้เคียงกัน สามารถบายศรีได้เกือบเป็นหนึ่งต่อหนึ่ง ปรัญปล่อยให้น้องตรงหน้าตัวเองขยับไปหาคนถัดไปเรียบร้อยแล้ว ก็อย่างที่บอกว่ามันไม่มีเรื่องอะไรให้คุยมากมายสักหน่อย

   "พี่เรียนเศรษฐศาสตร์ครับ ...ก็ดีนะ สนุกดี ...อืม เพื่อนก็ดี น่ารัก ...อ่า ...พี่เอื้อมมองแล้วอะ"

   ตอนฟังน้องถามข้อมูลเชิงลึกมันก็ต้องลุ้นดีว่าคำตอบจะออกมาประมาณไหน เขาเก่งในเรื่องการเลี่ยงคำจนมันไม่แตกต่างจากการโกหกที่ลื่นไหล

   มันเป็นตลกร้าย

   เพราะคนที่ไม่มีความจริงที่สุดคือคนเล่านั่นแหละ


***
   หรือว่าคนที่ไม่มีความจริงที่สุดคือเจ้านะคะ (ฮา)
   มันน่าเศร้าจริงๆ นะคะตอนที่ต้องยอมรับว่าความจริงของเรามันไม่เท่ากับคนอื่นเขา และเขากลับเชื่อคนอื่นมากกว่าเจ้าของเรื่องอย่างเรา ตอนแรกก็เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดูไร้สาระ แต่พอเจอเข้ากับตัวก็รู้เลยค่ะว่ามันแย่แค่ไหน
   ช่วงนี้เจ้านึกเรื่องเขียนตรงท้ายตอนไม่ออกเลยค่ะ เลยมาแบบเงียบๆ สั้นๆ ตลอดเลย ถ้ามีเรื่องไหนอยากให้เจ้าเล่าก็บอกได้นะคะ (ยิ้ม)
   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เป็นกำลังใจให้คุณเจ้านะคะความจริงเกี่ยวกับเอื้อมอารัญที่ทุกๆคนรู้มันไม่มีความจริงอยู่ในนั้นใช่มั้ยนะอ่านไปแปลความไปสนุกค่ะเพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว :mew1:

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
อยากรู้แล้วว่าความจริงในความจริงของเอื้อม
เป็นยังไง

ออฟไลน์ nittanid33333

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
คุณเอื้อมมมมม :katai5:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
แล้วความจริงของคุณเอื้อมคืออะไรคะ เราพร้อมจะเชื่อ

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
เราหลงรักคุณเอื้อมเข้าแล้วสิ  :mew1:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
สิบสาม


   มือข้างซ้ายที่กำลังถือถุงสกรีนยี่ห้อร้านขนมปังชื่อคุ้นในห้างสรรพสินค้าแอบเป็นของเกะกะในการโหนราวบนรถโดยสารประจำทางปรับอากาศ

   ยังดีที่มีช่องว่างไม่ถึงกับอัดเป็นปลากระป๋อง เขาไม่แน่ใจว่าปริมาณผู้โดยสารที่มากกว่าปกติเกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร อาจมีรถเสียกลางทางเลยต้องรับขึ้นมาด้วย ไม่ก็มีอีเวนต์พิเศษบางอย่างที่เลิกในช่วงเวลาก่อนหน้านี้

   เสียงเพลงจากแอปขาดหายไปพร้อมกับการสั่นสะเทือนของเครื่องมือสื่อสาร ปรัญกดปุ่มรับสายจากตัวบังคับตรงสายหูฟัง เตรียมตัวปลอบใจคนงอแงเหมือนหลายวันที่ผ่านมา

   (ปัน เหนื่อยแล้ว)

   แค่ฟังเสียงระโหยโรยแรงยังนึกหน้าออก "ก็ต้องซ้อมต่อไป"

   (เมื่อไหร่จะมา ทาร์ตชีสเราไม่ลืมใช่ไหม)

   "อยู่บนรถเมล์แล้ว ที่ถ่ายรูปส่งไปให้ไง" นั่นน่ะเป็นเป้าหมายแรกตั้งแต่เหยียบข้ามประตูเข้ามา ไม่รู้สถานที่ตั้งจนต้องลำบากคนแปลกหน้าช่วยพาไปอีก "กินตอนกลางคืนเดี๋ยวก็นอนไม่หลับหรอก"

   (จะนอนไม่หลับเพราะเสียงเพลงที่ตีกันในหัวนี่แหละ ...ไม่อยากซ้อมแล้วอะ)

   เป็นประโยคติดปากในช่วงนี้ของเอื้อมไปเสียแล้ว ไม่อยากซ้อม เหนื่อย อยากกลับหอ นี่วันนี้พอรู้ว่าเขาต้องมาดูหนังก็ทำหน้าบูดตั้งแต่ไปหาในห้องที่ปรึกษา บอกว่าจะยอมอารมณ์ดีไปซ้อมถ้าซื้อทาร์ตชีสกลับมาฝากเป็นขนมมื้อดึก แล้วปรัญจะทำอะไรได้ล่ะ

   "อีกนิดเนอะ กำลังไปหาครับผม"

   (อือ รีบๆ มา)

   "ไปเร่งคนขับให้หน่อยสิ"

   (ได้ เอามือถือไปให้เลย) นี่ต้องเบื่อขั้นไหนถึงจริงจังกับเรื่องล้อเล่นเนี่ย (ทำไมปันชอบดูหนังอะ ว่าจะถามหลายทีแล้วแต่ลืม)

   "อืม...เพราะเราชอบเวลาที่นักแสดงซ่อนตัวตนเอาไว้ในบทบาทมั้ง การกลายเป็นใครอีกคนเพื่อหลอกให้ตายใจว่านั่นไม่ใช่ตัวเอง"

   คุยกันเรื่องหนังที่เพิ่งดูมาอีกหน่อยก่อนปลายสายจะโดนเรียกตัวกลับไปซ้อม ถ้าเป็นตามนิสัยปกติเขาก็จะหยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์ความรู้สึกต่อภาพยนตร์ที่เพิ่งฉายจบไป ตอนนี้มือทั้งสองข้างดันไม่ว่างเสียอีก แล้วอย่างนี้จะทำอะไรได้นอกจากเหม่อออกไปข้างนอกฆ่าเวลา

   เหลืออีกแค่สามวันเท่านั้นก่อนถึงวันแสดงจริง เรียกได้ว่าตั้งแต่จบงานค่ายเอื้อมก็ต้องอุทิศเวลาให้กับการซ้อมรวมจนดึกดื่น จากที่ทานมื้อสามทุ่มก็เข้าสู่มื้อเที่ยงคืนไปโดยปริยาย

   ในแง่ของมาตรวัดอารมณ์ของเอื้อมอารัญค่อนข้างคงที่มีลงไปติดลบนิดหน่อย ยังไม่เคยมีครั้งไหนกลายเป็นระเบิดที่นับถอยหลังจนถึงศูนย์ มีเมื่อวานเฉียดเข้าใกล้อยู่ ยังโชคดีที่ซื้อชาเขียวเย็นแบบกล่องเตรียมเอาไว้รับมือกับเรื่องไม่คาดฝัน

   พอผ่านจุดจอดใหญ่ผู้โดยสารส่วนมากก็ทยอยลงไปตามลำดับ เก้าอี้นั่งว่างจนสามารถลงไปพักขาได้สักที เขาใช้เวลาตรงนั้นเคลียร์สิ่งที่ยังค้างอยู่ในความคิดเท่าที่จะทำได้ ระหว่างนั้นก็ไม่ลืมเตือนตัวเองว่าอย่าลืมแวะซื้อน้ำเปล่าเข้าไปให้ฮิวด้วย

   เปิดประตูบานใหญ่เข้าไปเงียบๆ เขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องประชุมที่ใช้แสดงจริง ไม่ต่างจากเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายชีวิตที่ต้องมารออยู่ในห้องรับรองแขกเป็นการชั่วคราว ตอนแรกก็เป็นคนแปลกหน้าของกันและกันส่วนตอนนี้มองตาก็รู้ใจ

   วันนี้ก็รอไปด้วยกันนะ

   อะไรประมาณนั้น

   วางของทั้งหมดไว้ข้างตัว ทำตัวเหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาท่องโลกออนไลน์ไม่สนใจเรื่องภายนอก ปรัญทวนข้อความทั้งหมดเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด กดส่งเป็นการจบงานในค่ำคืนนี้

   เปลี่ยนไปหยิบสมุดจดงานขึ้นมาทบทวนสิ่งที่ต้องทำ ทั้งตารางงานในห้องที่ปรึกษาที่มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย แล้วก็เปเปอร์ที่ต้องทำให้เสร็จในปลายเดือน จะว่าไปแล้วรายงานของเอื้อมไปถึงไหนแล้วนะ ต้องเตือนเรื่องต่ออายุการยืมอีก

   "ไปกินก๋วยเตี๋ยวกัน..."

   "ไปสิ" ทาบมือทับไปบนฝ่ามืออีกฝ่ายที่แตะลงมาตรงบ่า เกลี่ยมันนิดหน่อยแทนการบอกว่าขอเก็บของอีกสักครู่ "ทาร์ตอยู่นี่นะ"

   "กินเลยได้ไหม"

   ท่าจะอาการหนัก คนซ้อนอยู่ด้านหลังของเก้าอี้โน้มตัวชิดลงมาเพื่อคว้าสิ่งประทังความหิว ปันปล่อยให้นักไวโอลินได้ล้วงหาแป้งผสมชีสเอง ส่วนตัวเขาเองก็เปลี่ยนจากถือถุงพลาสติกมาเป็นกล่องไม้ใส่เครื่องสายแทน

   เดินคู่กันออกจากส่วนของหอประขุม ไม่ได้ใส่ใจเรื่องคนรอบตัวมากเท่าไหร่ เอื้อมบ่นไปเรื่อยตามประสาเช่นเดียวกับทุกที คราวนี้จะขาดๆ หายๆ หน่อยเพราะปากเต็มไปด้วยของทานเล่นที่ราคาไม่ได้เล่นตาม กดรีโมตเปิดล็อกรถห้าประตูเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย เดี๋ยวนี้ที่นั่งคนขับกลายเป็นตำแหน่งของปรัญไปแล้ว ก็ไม่อยากให้คนซ้อมหนักต้องมาเหนื่อยอีกนี่นา

   "คือแบบ ซ้อมแล้วก็เหมือนเดิมอะ แล้วยังจะเล่นซ้ำๆ อยู่นั่น"

   "เอื้อมก็ทำอย่างนั้นเหมือนกันแหละ"

   ฟังมาตั้งหลายสิบคืน ใครจะไม่รู้แกวกัน

   "แต่มันมีบางท่อนที่ไม่ชอบไง เพลงไร้รสนิยม" ให้คีย์เวิร์ดมาอย่างนี้คงไม่พ้นเรื่องการแสดงส่วนหลังที่เป็นการเอาเพลงร่วมสมัยมาเล่นให้ตรงตามธีม "ไม่เห็นเพราะเลย"

   "ก็เหมือนกับที่พ่อแม่บ่นแหละ ว่าเพลงรุ่นเราฟังยาก"

   เรียกได้ว่ากรรมตามสนองหรือว่าเป็นธรรมดาของโลกกันนะ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงและมีเวลาเฉิดฉายของมัน

   "เลิกดึกอย่างนี้ก็มีเปิดไม่กี่ร้าน อยากกินสเต็กที่วันก่อนส่งไปให้ดู"

   "อันไหน เอื้อมส่งมาเยอะมาก" ขอเรียกมันว่าช่วงเวลากักเก็บรอการปลดปล่อย เขาเลิกนับแล้วว่ามันมีกี่ลิงก์ที่ส่งมาในห้องแชต "อันที่จานใหญ่ๆ ปะ"

   "ไม่ ที่ไม่ค่อยเหมือนสเต็กเท่าไหร่"

   "อ่า...ไว้ค่อยส่งให้ดูอีกทีแล้วกันนะ"

   สารภาพออกไปตามตรง นึกไม่ออกว่ามันคือรีวิวอันไหนกันแน่

   ดับเครื่องเมื่อเข้าซองจอดเรียบร้อย ช่วงเวลาที่เข็มสั้นเลยเลขสิบสองไปแล้วร้างผู้คนสัญจร มีเพียงเสียงเพลงคลอมาจากร้านขายเครื่องดื่มมึนเมาในบริเวณใกล้เคียงขับกล่อม มองดูหอพักที่ตั้งรอบข้างแล้วก็อยากสัมภาษณ์ความรู้สึกของการได้ฟังเพลงฟรีทุกวันว่าชอบหรือหน่าย

   ร้านที่เปิดจนโต้รุ่งมีหลงเหลืออยู่สองสามล็อก ได้ทำการตกลงกันไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าจะมาทานก๋วยเตี๋ยวต้มยำเจ้าเด็ด อยากจะรู้เหลือเกินว่าตั้งแต่เอื้อมมาอยู่มีร้านไหนยังไม่เคยลองบ้าง

   "แล้วรายงานถึงไหนแล้ว" นึกขึ้นได้พอดีเลยถาม

   "เสร็จหลายส่วน แต่ก็ยังไม่ชอบเยอะอยู่"

   "อย่าลืมไปต่อเวลาเช่าหนังสือนะ"

   "ต่อแล้ว ...ใครโทรมาเนี่ย" ชามอาหารตรงหน้ายังพร่องไม่ถึงครึ่งมันก็มีสายเรียกเข้าเสียก่อน "ว่า ...อ๋อ ใช่เพิ่งเลิกซ้อม ...หือ จะมาจริงเหรอ ...โหย ใจร้าย"

   จากทำหน้าปกติ เบิกตาโตปากยิ้มกว้าง แล้วจบลงด้วยความผิดหวังที่ต่างจากน้ำเสียง

   ใครกันนะที่ทำให้เขารู้สึกถึงกำแพงที่คั่นกลางเอาไว้ได้ขนาดนี้

   "เออ มาไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก ไกลด้วย ...อือ ไว้บังเอิญเจอกัน ...บายครับ"

   ก้มลงจัดการอาหารมื้อเที่ยงคืนต่อ ใช้ความเคยชินในการรอคอยให้อีกฝ่ายเป็นคนเริ่มเล่าเอง ก็ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหนเอื้อมก็เล่าให้ฟังทั้งนั้นแหละ

   แต่ครั้งนี้เขาคิดผิดแฮะ สุดท้ายแล้วมันไม่มีเรื่องใดออกจากปากของเอื้อมอารัญอีก

   แปลก...

   "ทำไมปันเงียบจัง?"

   หลุดออกจากความคิดที่ฟุ้งในหัวได้ก็ตอนอีกคนยกมือขึ้นมาโบกตรงหน้า "...เพลียมั้ง วันนี้รถเมล์คนเยอะอะ"

   "บอกแล้วว่าให้เอารถไปใช้ แล้วค่อยกลับมารับเรา"

   เอื้อมเคยเสนอหลายครั้งแล้วว่าให้เอารถยุโรปของเขาไปใช้ได้ เพราะยังไงก็ต้องกลับมาทานข้าวเย็นด้วยกันอยู่ดี ปันปฏิเสธไปง่ายๆ ว่าไม่อยากให้เปลืองค่าน้ำมันรวมถึงไม่ค่อยอยากขับรถเข้าเมืองเท่าไหร่ มีคนขับให้สบายกว่าเยอะ

   "ไม่เอาอะ แค่นี้ก็เหนื่อยพอแล้ว"

   "เราทำให้ปันเหนื่อยเหรอ"

   "หมายถึงการเดินทางสิ" แก้ความเข้าใจผิดที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเอื้อมถึงจับใจความไปเองอย่างนี้ "เราไม่เคยเหนื่อยกับเอื้อมสักหน่อย"

   "จริงนะ"

   "แน่นอน"

   เอื้อมสบตาเขากลับ ริมฝีปากขยับออกเพื่อถามย้ำอีกครั้ง "...เราเชื่อปันได้ใช่ไหม?"
 


   นาฬิกาที่ขยับเข้าใกล้เวลาการแสดงเข้าไปทุกทีเรียกรอยกังวลให้ปรากฎ ปรัญไม่เจอเอื้อมตั้งแต่เมื่อวานหลังจากการซ้อมรอบสุดท้าย กินข้าวมื้อดึก ไปส่งห้อง เนื่องจากตารางเรียนในวันรุ่งขึ้นค่อนข้างไม่ลงตัวก็เลยตกลงว่าไว้เจอกันที่งานทีเดียว

   เอื้อมอารัญส่งข้อความสุดท้ายมาตอนเที่ยง บอกว่าอยู่หอประชุมแล้ว เลยส่งกลับไปให้กำลังใจบวกกับบอกว่าไว้เจอกันตอนเย็น

   จะซื้อชาเขียวปั่นไปให้ก็ไม่ได้ ส่วนของนักดนตรีกับผู้ชมถูกแยกกันชัดเจน ไม่อยากจะทำตัวเป็นพวกเส้นใหญ่เดินเตร็ดเตร่ไปทั่วสร้างความไม่พอใจให้กับคนอื่น ก็เลยทบเอาไว้ในใจว่าพรุ่งนี้จะพาไปซื้อย้อนหลัง

   ในห้องประชุมที่ใช้งานสารพัดตั้งแต่เรียน คัดการประกวดดาวเดือน และแสดงซิมโฟนีออร์เคสตราเริ่มมีผู้ชมจากทุกชั้นปีรวมถึงบุคคลภายนอกหนาตา งานเข้าชมฟรีเป็นสวัสดิการที่เขาว่ามันก็แฟร์ในระดับหนึ่ง ไม่นับเรื่องคำบ่นล้านแปดของเอื้อมว่าไม่คุ้มทุนนะ

   เลือกที่นั่งแถวที่สองของช่วงกลางห้องแบบสโลปเพื่อไม่ให้ใกล้และไกลจนเกินไป สะดวกต่อการเข้าออกในกรณีที่คุณนักไวโอลินไม่อยากอยู่นานหลังจบ ลองมองดูว่ามีคนรู้จักเข้ามาชมการแสดงเหมือนกันหรือไม่ เหมือนว่าจะเห็นเพื่อนของฮิวอยู่ตรงล็อกแรกสุด ที่นั่งวีไอพีเชียวล่ะ

   ข้อความในห้องสนทนายังไม่มีข้อความใหม่ ลังเลอยู่ว่าจะส่งรูปไปรายงานดีไหมว่าอยู่ข้างในแล้ว หากต้องเปลี่ยนไปหงุดหงิดกับกลุ่มชายหญิงที่เสียงดังโฉงฉางบนแถวที่นั่งสูงขึ้นไปแทน อยากจะบอกว่าถ้ามารยาทแย่ก็อย่าเพิ่งเข้ามารบกวนคนอื่นเลย 

   การแสดงเริ่มต้นขึ้น มองหาคนงอแงเอาแต่ใจบริเวณที่นั่งส่วนของนักไวโอลินด้วยความไวแสง ไม่คิดจะโบกมือทักทายให้กลายเป็นคนประหลาด พอนึกย้อนไปแล้วนี่คงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเอื้อมเล่นต่อหน้า ที่เหลือจะเป็นแนวของการฟังแต่เสียงมากกว่า

   ท่าการโค้งให้ความเคารพผู้ชมไม่ใช่การทำเพียงผ่าน มองอากัปกิริยาของเอื้อมอารัญมากกว่าวาทยกรผู้มาพร้อมไม้ทูบาร์ ตัวโน้ตแรกเริ่มบรรเลง และเขาเองก็หลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งเสียงเพลงเสียแล้ว

   กลายเป็นว่ามันไกลเกินกว่าจะเห็นรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมด แต่ก็ยังเพลิดเพลินยามเห็นใบหน้าจริงจังไม่มีวอกแวกของอีกคน เหมือนได้เห็นเอื้อมตอนที่วางแผนทำกิจกรรมเงียบอีกครั้ง

   เอื้อมอารัญตอนจดจ่ออยู่กับอะไรบางอย่างนี่มีเสน่ห์จังนะ

   เสียงปรบมือดังเป็นครั้งสุดท้ายยาวนาน ปรัญยังไม่ยอมละสายตาออกจากผู้ชายคนนั้นที่ยืนถือไวโอลินสีน้ำตาลไม้และโบวไว้ด้วยมือเดียว เขาดึงหน้าตึงต่างจากคนอื่นที่ฉีกยิ้มกว้างรับคำชม มองซ้ายขวาสลับไปมาหยุกหยิกไม่ยอมอยู่นิ่ง เดี๋ยวรีบลงไปหน่อยดีกว่ามั้ง

   มีหนึ่งความกังวลอยู่ในใจตอนนี้ คือไม่รู้เลยว่ามันมีธรรมเนียมมอบดอกไม้ให้กับผู้แสดง จากที่มองผ่านๆ มีตั้งแต่ช่อใหญ่เกือบเท่าตัวคนไปจนถึงช่อเล็กน่ารัก ส่วนตัวเองนี่มามือเปล่าของแท้
   
   นอกจากเขาแล้วไม่คิดว่าจะมีใครอื่นที่มาเพื่อชมการแสดงของเอื้อมอีก เท้าทั้งสองข้างจึงซอยถี่เร็วขึ้นในจังหวะการเดินลงไปตามขั้นบันได นึกคำสารภาพไปพร้อมๆ กับการหาดีลใหม่สำหรับความผิดพลาดในครั้งนี้ พาไปกินสเต็กตามที่คุยวันก่อนก็น่าสน หรือว่าจะชวนไปเชียงใหม่ดีนะ

   "..."

   เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งด้วยความตั้งใจว่าจะล็อกเป้าหมายก่อนที่จะคลาดกันไป ภาพตรงหน้าที่เล่นต่อจากนั้นแปรความเร่งรีบเพื่อให้ถึงจุดหมายเป็นการหยุดโดยพลันจนสัมผัสได้ถึงแรงปะทะจากด้านหลัง

   "...ขอโทษครับ" หันไปก้มหัวเป็นสิ่งประกอบ ทิ้งช่วงเวลาสำหรับการตัดสินใจว่าควรทำอย่างไรต่อไป

   ในเมื่อบริเวณที่เคยมีเอื้อมอารัญยืนอยู่คนเดียว ตอนนี้มีใครอีกคนพร้อมกับดอกไม้ช่อใหญ่

   จำได้อยู่แล้วว่าเป็นใคร ก็บังเอิญเจอมาตั้งสองครั้งแล้ว ย้อนไปถึงเมื่อวันก่อนแล้วก็เอามาประกอบเองว่าปลายสายก็น่าจะเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมคนนี้เช่นกัน
   
   คือ...จะให้ว่ายังไงดีล่ะ ปันรู้สึกว่าเอื้อมมีแค่เขามาตลอด แต่ถ้าไม่ได้เป็นอย่างที่เคยกลัวเอาไว้แล้วมันควรจะทำอย่างไรต่อ จะรอจนกว่าพวกเขาคุยเสร็จ หรือว่าจะเดินเข้าไปทะลุกลางปล้องตอนนี้เลยดี

   จะว่าโชคดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่ไม่กี่ขั้นต่อจากนั้นมีช่องประตูให้หลบซ่อน เขายืนอยู่ตรงนั้นสักพักใหญ่เป็นการปรับอารมณ์ให้เข้าที่ ตอบคำถามตัวเองไม่ได้ว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกแย่กับภาพที่เห็น

   จะผิดไหมถ้าไม่อยากเจอเอื้อมตอนนี้เลย

   "ว่าไงนักบุญปัน ซึ้งในรสพระธรรมไหม"

   เขยิบหนีทั้งตัวตอนเพิ่งรู้สึกว่ามีใครมายืนข้าง ฮิวกับช่อดอกไม้แห้งขนาดกำลังดีสีชมพูไม่เข้ากับหน้าตาและนิสัยส่งยิ้มกว้างมาให้พลางถามซ้ำอีกครั้ง

   "เอามาปนกี่ศาสนาเนี่ย" เถียงกลับไม่จริงจังเท่าไหร่

   "เอาใหม่ๆ สนุกปะ ตีกลองแต่กูถามเหมือนเป็นวาทยกรเลยไอ้เหี้ย"

   เท่าที่ลอบมองฮิวบางครั้งก็ยังเบื่อแทน ตีให้จังหวะซ้ำเดิมตลอด "เพราะดี ประทับใจ"

   "ตอบดี อยู่เป็น ล่ะนี่มาดูเอื้อมล่ะสิ"

   "อือ"

   ก็ไม่มีวิธีการตอบที่ยาวมากกว่านี้อีกแล้วนี่นา

   "เห็นมันยังอยู่บนเวทีนะ ...อ้าว สรุปไนน์ก็มาเหรอ ไอ้นี่แม่งก็ใจดีกับคุณเอื้อมตลอด"

   "..."

   "เคยเจอแม่งปะ กูขอเรียกว่าเพื่อนประเสริฐเพื่อนตายที่คุณเอื้อมไม่ควรรู้จัก"

   "เคย...มากับแฟน" จะเพิ่มข้อมูลลงไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก แค่อยากจะย้ำอะไรบางอย่างน่ะ "เขาก็ไนซ์ ดูเป็นผู้ชายที่ดี"

   "ดีสิ ไม่งั้นแฟนเก่าเอื้อมจะเปลี่ยนมาเอาไนน์แทนเหรอ"

   นอกจากจะมีชื่อของสองคนตรงนั้นโผล่ขึ้นมา แม้แต่ผู้หญิงยิ้มสวยก็ยังกลับมาทักทายด้วย "นี่คุณเอื้อมปิดเรื่องที่แฟนไนน์เป็นแฟนเก่าไหม มันชอบโกหกว่าไม่ได้คบกันจริงจัง"

   ไม่ชอบหลายคำในประโยคหรอก ติดตรงเขาไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดโดยไม่จำเป็น "เคยบอกแล้ว ตั้งแต่เจอครั้งแรกนั่นแหละ"

   จนต้องแก้ไขความเข้าใจผิดอีกหน่อย เป็นการปกป้องทั้งสามคนไปในคราวเดียวกัน

   "เออ ถ้าเข้าใจก็ดีแล้ว เวลาต้องเล่าให้คนอื่นฟังว่าพวกมันมีความสัมพันธ์แบบไหนแล้วงงฉิบหาย" เขาตอนแรกก็คงเป็นหนึ่งในบรรดาคนไม่เข้าใจ "เอื้อมคบกับผู้หญิงคนนั้นก่อนแล้วพอเลิกผู้หญิงก็ไปคบกับไนน์ต่อ ส่วนสองคนก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน นี่ยังแอบคิดเลยว่าแม่งจงใจปล่อยคุณเอื้อมมาเรียนที่นี่คนเดียว และคนซวยคือกูเอง"

   คลับคล้ายคลับคลาว่าวันที่เจอตรงชั้นใต้ดินของตึกพวกเขาก็พูดทำนองนี้ ประมาณว่าที่เลือกเรียนในเมืองเพราะอยากให้เอื้อมได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับคนอื่น ไม่ใช่แค่เพราะว่าฝ่ายหญิงเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยนี้

   "เหี้ย ลูบหัวเหมือนพ่อเลย" มองตามทิศทางเดิมเพื่อพบกับท่าลูบศีรษะแสนอ่อนโยน "แต่ตั้งแต่บ้านมันมีข่าว ไนน์นี่แหละที่เหมือนเป็นพ่อให้แทน"

   ชะงักกับสิ่งที่เพิ่งได้รู้เพิ่มเติม เอื้อมไม่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่ให้ฟัง แล้วที่ฮิวเคยเล่าก็ไม่เคยเท้าความไปถึงเรื่องของบิดา นี่คือปมเรื่องบ้านอย่างที่บอกหรือเปล่านะ

   "กูปล่อยให้มึงไปหาคุณเอื้อมดีกว่า ไม่อย่างนั้นถ้าแม่งไม่ส่งไฟล์รายงานให้กูเกมแน่"

   ก็ว่าจะโบกมือลาเลย หน้าจอโทรศัพท์ในมือก็ปรากฎสายโทรเข้าด้วยชื่อจริงของผู้ชายที่เป็นความสนใจเดียวในวันนี้เสียก่อน ปรัญส่งสัญญาณว่าต้องไปก่อนให้กับฮิว สูดหายใจเข้าลึกก่อนรับสาย

   "ครับ"

   (ปันอยู่ไหน ไม่ได้มาดูเราเหรอ) น้ำเสียงไม่ได้หัวเสียอย่างที่กลัวเอาไว้ตั้งแต่แรก ติดมีความสุขเสียด้วย

   ก็แน่ล่ะ เพื่อนสนิทมาทั้งที

   "เราอยู่ในงานแล้ว พอดีเจอฮิวเลยคุยกันนิดหน่อย กำลังลงไปครับ"

   (อือ อยู่บนเวทีนะ กับดอกไม้ช่อใหญ่ๆ เลย)

   กลายเป็นการตอกย้ำเข้าไปอีก ปันตัดบทวางสายด้วยเหตุผลว่าเห็นเอื้อมแล้ว ตบช่วงแก้มเรียกขวัญและกำลังใจ ถ้าเขาจัดการความรู้สึกไม่ได้มันก็ต้องอยู่ในความรับผิดชอบของตัวเอง เรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวกับเอื้อมและไม่ควรให้มารับรู้

   เอื้อมอารัญไม่ใช่คนสูงสะดุดตา เมื่อตกอยู่ในสภาวะที่คนรอบข้างต่างยืนพูดคุยกับเหล่านักดนตรีอย่างออกรสมันควรจะถูกกลืนไปกับฝูงชน น่าแปลกที่เขามองตรงไปเพียงพริบตาเดียวก็มองเห็นผู้ชายในชุดนักศึกษายืนโดดเดี่ยวกับช่อดอกไม้ใหญ่สีสันสวยงามได้

   "นั่งอยู่ตรงไหน ไม่มีเวลามองเลย"

   "ช่วงกลางแถวแรกๆ น่าจะไกลอยู่"

   "เราเล่นเป็นไง"

   "ท่าสวย"

   ท่านั่งหลังตรง นิ้วเรียวสวยกดปล่อยไปตามจังหวะงดงาม สายตาที่พุ่งสมาธิให้กับโน้ตเพลงตรงหน้าลงตัวไปทุกสัดส่วน เขาไม่ค่อยเห็นโหมดจริงจังของอีกคนเท่าไหร่ และพบว่ามันก็เพลินตาดีเหมือนกัน

   แก้มที่พองออกแทนการบอกว่ามันไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่ "ปันนี่ไม่เคยชมให้ได้ชื่นใจเลยอะ"

   "จะให้บอกว่าเล่นไม่พลาดเราก็บอกไม่ได้นี่" เอื้อมไม่ได้เล่นโซโล่สักหน่อย เสียงที่ออกมามันประสานกันจากหลายเครื่องดนตรีด้วย "แต่เราชอบเพลงที่เลือกมาเล่นนะ"

   ไวโอลินคอนแชร์โตหมายเลขสามสิบห้าของไซคอฟสกี้ ถึงไม่ได้เป็นนักโซโล่แต่ก็อยู่แถวหน้าสุด

   "ก็จริงนะ ไว้เล่นให้ฟังใหม่ก็ได้ กลับกันเลยไหม?"

   "อ้อ ...ไม่ต้องรอใครมาหาใช่ไหม" ถามเผื่อเอาไว้ก่อนดีกว่า

   "เฮอะ ไม่มีหรอก ตอนแรกก็คิดว่ามีแต่ปันคนเดียวแล้ว นี่มีคนกวนตีนมาเซอร์ไพรส์" ช่อดอกไม้ใหญ่ถูกยกขึ้นมาเกือบปิดทั้งหน้า "ไนน์โทรมาบอกว่ามาไม่ได้ วันนี้โผล่บนเวทีเฉย แต่นี่บอกว่ากลัวไม่ทันรถตู้เที่ยวสุดท้ายเลยกลับไปแล้ว"

   บอกตามตรงว่าคิดคำสำหรับการต่อบทสนทนาไม่ออก ก็เลยปล่อยให้เอื้อมได้เล่าเรื่องราวเบื้องหลังเวทีที่เรียกได้ว่าไม่ค่อยจะสวยงามเหมือนฉากหน้า ในช่วงเวลาที่หลายคนเดินสวนไปมาตรงบันไดทางออก เขารับหน้าที่ช่วยถือตัวเคสไวโอลินไร้ตัวห้อยเหมือนเดิม ส่วนเอื้อมยังไม่ยอมปล่อยช่อดอกไม้ใหญ่

   "แล้วปันมีอะไรมาให้เราปะ"

   ตอบตามตรงคงไม่แย่เท่าไหร่ "ไม่มีอะ ไม่รู้เลยว่าเขาทำอะไรอย่างนี้กัน"

   "อ่าฮะ"

   "ไม่โกรธ?"

   "ที่จริงก็เสียใจนิดหน่อย แต่แค่ปันมาดูก็ดีแล้วล่ะ" เราหยุดอยู่ตรงประตูรถส่วนหน้าฝั่งซ้ายเหมือนกัน นักดนตรีในวันนี้เลิกคิ้วถามพร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง "ให้เราขับเหรอ นี่นึกว่าจะได้นั่งกลับห้องสบายๆ แล้ว"

   ปรัญจงใจหลบสายตา ทำทีเป็นขยับไปเปิดประตูหลังเพื่อเก็บเครื่องสายสี่เส้นพลางนึกว่าควรจะตอบอย่างไรให้ไม่มีปัญหาตามมา เขาแค่รู้สึกว่าไม่อยากจะอยู่ตรงนี้เพื่อรับฟังเรื่องใดเพิ่มเติม

   "เอื้อมขับกลับเองนะ เราจะกลับห้องเลยอะ"

   "อ้าว..."

   "พอดีมีงานค้างอยู่"

   "เหรอ..."

   "ขอโทษนะ แล้วไว้พรุ่งนี้ไปกินสเต็กกันเนอะ"

   เขาชักจะเข้าใจความหมายที่เอื้อมบอกว่าบางครั้งการโกหกมันก็ดีกว่าแล้วล่ะ
 


   เขาไม่อาจลบภาพเอื้อมที่ฝืนยิ้มโบกมือลาทั้งที่กำลังยืนคนเดียวได้เลย

   ไม่ชอบที่เอื้อมบอกแค่ว่าไว้เจอกันพรุ่งนี้โดยไม่รั้งหรือว่าทำนิสัยเอาแต่ใจเลยสักนิด สิ่งที่เคยเห็นมาก่อนหน้าเมื่อต้องมาประสบซ้ำสองมันแย่เกินกว่าที่จะตามหาข้ออ้างร้อยแปดเพื่อสร้างความสบายใจให้ตัวเอง มันเหมือนกับวันที่อีกฝ่ายเคยห้ามไม่ให้เขาค้างคืนด้วยเหตุผลว่าถ้าร้องขอไปแล้วตนจะทำตาม

   บนหน้าแรกของแอปเฟซบุ๊กมีการอัปเดตจากทั้งฝั่งของผู้แสดงและผู้ชม ฮิวลงภาพถ่ายรวมพร้อมกับเพื่อนทั้งกลุ่ม มีแคปชันที่อ่านแล้วเหมือนลอบด่าความเล่นใหญ่มากกว่าขอบคุณสำหรับการรับชม เพื่อนเขาบางคนก็ลงคลิปช่วงหนึ่งของการแสดงที่ตนชื่นชอบ ทั้งหมดที่ไล่ดูตามเวลาการโพสต์ไม่มีอันไหนที่เป็นของเอื้อมอารัญเลย

   มันผิดปกติ ผิดมากเสียด้วย อย่างน้อยๆ แล้วมันก็น่าจะมีสักรูปหรือไม่ก็คำคมสักอย่าง ไม่มีทางหายไปไร้ร่องรอยเช่นนี้แน่

   มีหลายข้อเสนอตีกันไปมาภายในความคิด จะโทร จะแชต หรือว่าไปโผล่ใต้หอให้หมดเรื่องหมดราว

   ยังไม่ทันออกจากหน้าจอก็มีจุดแดงขึ้นการแจ้งเตือนว่ามีข้อความใหม่ เห็นชื่อบัญชีคนทักมาแล้วนิ้วโป้งก็รีบกดเข้าไปอ่านข้อความโดยไม่รอช้า

   U Arun : สเต็กพรุ่งนี้เย็น
   U Arun : ห้ามลืม


   เจออย่างนี้เข้าไปแล้วความหน่วงตรงอกยิ่งมากขึ้นไปอีก ปรัญตั้งใจเก็บเรื่องอาหารเย็นของวันพรุ่งนี้เอาไว้ก่อน ขอสนใจเรื่องสำคัญกว่านั้นก่อน

   Parun P :  ขอโทษนะ

   คล้ายกับการสลับบทบาท รู้อยู่แก่ใจดีจึงไม่ได้เลียนแบบประโยคหลังว่าถึงจะไม่รู้ว่าขอโทษเรื่องอะไร

   มันขึ้นเครื่องหมายถูกและเขียนกำกับว่ามีการกดเข้ามาอ่านแล้ว จังหวะบีบตัวของหัวใจเร็วขึ้นเป็นลำดับตามความคิดฟุ้งซ่านที่เพิ่มขึ้นไปทุกวินาที สัญชาตญาณบางอย่างบอกเขาว่าเอื้อมรู้ความหมายของคำขอโทษนั้น

   U Arun : ไม่เป็นไร ถึงไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็เข้าใจ

   ทุกคำยิ่งตอกย้ำ เมื่อมันรวมกับสายตาที่เคยตั้งใจว่าไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกทุกอย่างก็ดูแย่กว่าเดิม

   U Arun : ถ้าไม่ไหวแล้วก็บอกตรงๆ นะ อย่าโกหกเลย
   U Arun : ปันโกหกไม่เก่งเท่าเราหรอก



***
   ในบางครั้งเราก็ไม่รู้เลยนะคะว่ารอยยิ้มหรือน้ำตามันเป็นตัวแทนของความเศร้ามากกว่ากัน
   เจ้าแต่งเรื่องนี้จบแล้วนะคะ อยู่ระหว่างแก้ช่วงท้ายที่ยังไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ จะทยอยลงให้ครบในเดือนนี้หรืออาจยาวไปถึงกลางเดือนหน้า เพื่อให้เคลียร์ก่อนที่เจ้าจะไปเรียนต่อค่ะ (ยิ้ม)
   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
อึนๆ หน่วงๆ สงสารปัน :mew2:
..
...
....
รออ่านนะคะ :ling3:

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
แงๆสงสารปันทำไมรู้สึกเหมือนทั้งสองคนยังไม่เปิดใจก็ไม่รู้การไม่พูดความจริงทั้งหมดเพื่อทำให้อีกคนสบายใจคงไม่ใช่การโกหกสงสารปัน

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
สุดหน่วง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
สิบสี่


   เขาเตรียมคำพูดมามากกว่าสิบประโยค

   แต่พอเจอหน้าเอื้อมมันเหลือเพียงความว่างเปล่า

   "เอื้อมรอหน่อยนะ พอดีคนสุดท้ายยังไม่ออกมาเลยอะ"

   "อือ..."

   ตอบรับไม่มีอิดออด เอื้อมอารัญและแก้วชาเขียวปั่นคู่ชีพเดินเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามไม่ต่างจากทุกครั้ง

   แต่ความรู้สึกตอนนี้ไม่เหมือนเดิมเลยสักนิด

   อึดอัด หายใจลำบาก ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมาจากไหนแต่เขารู้สึกไม่สบายใจกับการเห็นเอื้อมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยไม่พูดอะไรออกมาเพิ่มเติม เขาชินกับการได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องที่พบในรอบวันนี่นา

   ปล่อยให้อีกฝ่ายหยิบแฟ้มบันทึกรายชื่อไปเปิดสำรวจ วันนี้มีแค่รายเดียวและไม่ใช่คณะแพทย์ พระเจ้าคงไม่แกล้งซ้ำรอยเก่าให้ต้องเผชิญกับความน่าระทึกใจในระยะเวลาห่างกันไม่นานหรอก

   "...ไม่ได้เข้าไปคุยนานแล้วแฮะ"

   ระดับเสียงเบาจนเกือบเป็นการคุยกับตัวเอง หากความเงียบรอบข้างมันไม่มีสิ่งใดกลบได้ลง

   ไม่แน่ใจว่าตนเองอยู่ในฐานะที่ควรให้คำแนะนำเรื่องการเข้ารับการรักษาหรือไม่ เอื้อมไม่ได้เดินเข้ามาในห้องนี้เพื่อรับคำปรึกษานานแล้ว เจาะจงคือตั้งแต่วันที่อาจารย์ขอกลับกะทันหันแล้วเหลือแต่เขาเฝ้าห้องคนเดียว หลังจากนั้นไม่ว่าในช่วงเวรตัวเองหรือการตรวจสอบในใบรายชื่อไม่เคยมีชื่อของเอื้อมอารัญอีก

   การหายใจที่บอกก่อนหน้าว่าลำบากเพิ่มระดับขึ้นเมื่อเปลี่ยนเป็นการนั่งข้างกันบนรถห้าประตูคันเดิม เมื่อไม่ได้มีการตกลงแตกต่างหน้าที่ขับจึงเป็นของคนมีกุญแจติดตัว เสียงเพลงคลาสสิกคลอไปกับการฮัมขึ้นมาบางจังหวะ นั่นน่ะยิ่งทำให้เขาเกร็งและไม่เป็นตัวเองมากขึ้น

   เบนความสนใจไปยังลิงก์หน้าเว็บแสดงเนื้อหาเกี่ยวกับสถานที่ที่กำลังจะไป พอได้อ่านแบบตัวเต็มแล้วไม่ค่อยอยากจะเรียกมันว่าร้านสเต็กเท่าไหร่ คือไม่เคยเห็นหน้าตาร้านไหนที่ทำอย่างนี้มาก่อน

   เอาเป็นว่าไปเสพบรรยากาศในสมัยก่อนที่ไม่เหมือนกับเทรนด์วินเทจตะวันตกในช่วงนี้ ดูจากภาพแล้วให้ฟีลของร้านอาหารมีอายุ จำพวกตกแต่งด้วยกระเบื้องอันเล็กลายเดียวต่อกันไป โต๊ะสี่เหลี่ยมงานเก่า เก้าอี้ไม้ที่ให้ความรู้สึกของประจำบ้านคุณปู่คุณย่าทำนองนั้น

   เป็นการเดินทางที่ไกลยิ่งกว่าครั้งไหน เรียกได้ว่าเกือบเป็นการอ้อมโลกเลยก็ได้ โชคดีที่ตอนเราไปถึงมีรถคันหนึ่งเพิ่งขยับออกจากแถวจอดริมบาทวิถี ถึงได้จังหวะเสียบเข้าไปแทนโดยไม่ต้องไปตามหาสถานที่จอดให้ปวดหัว

   จากที่เห็นแค่ในรูปพอมาเจอของจริงแล้วมันไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ ปันมองลูกค้าที่ยืนรอคิวอยู่สองสามกลุ่มไม่ได้เรียงกันเป็นแถวชัดเจนแล้วก็หมดไอเดียว่าควรจะทำอย่างไรต่อ หรือว่าต้องไปบอกพนักงานคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นนะ

   "กี่คน"

   ยังทำตัวเป็นคนแปลกถิ่นที่ไม่ค่อยเข้าใจวัฒนธรรม ปรัญยกนิ้วขึ้นเป็นรูปตัววีพร้อมกับบอกจำนวนให้กับคนถาม "สองครับ"

   "เข้าไปข้างในเลย"

   เหมือนจะเป็นเจ้าของร้านมั้ง ผู้ชายบุคลิกโผงผางเสียงดังดูวุ่นวายกับทุกสิ่งรอบกาย เขาชี้เร็วๆ เข้าไปข้างในโดยปล่อยให้ลูกค้าหน้าใหม่เผชิญกับโลกใหม่ตามลำพัง

   ต้องบอกจำนวนให้พนักงานด้านในทราบอีกครั้ง ก่อนจบลงตรงเก้าอี้สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ไม่ได้ออกแบบมาให้นั่งได้สองฝั่ง แต่ต้องต่อกันไปฝั่งเดียวแทน

   แค่การจัดที่นั่งยังแปลกเลย

   ป้ายจองถูกหยิบออกไปทันทีเมื่อเราประจำที่ สงสัยอยู่เหมือนกันว่าจะวางเอาไว้ทำไมในเมื่อพวกเขาก็ไม่ได้จองล่วงหน้าสักหน่อย คนนั่งด้านในอย่างเอื้อมส่งเมนูอาหารมาให้ เขาเลยต้องเปลี่ยนไปสนใจกับรายการที่อยู่ในใบแทน

   เลือกเอาไว้ในใจแล้วว่าอยากจะลองเมนูไหนบ้าง อาหารจานเดียวไม่น่าจะเอามาแบ่งกันได้เลยไม่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น "สั่งเลยนะ?"

   ขอความคิดเห็นก่อนเช่นเดียวกับทุกครั้ง วิธีการตอบกลับคือพยักหน้าแต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา แถมยังทำท่าเหมือนว่าจะหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของมือถืออีกแล้ว

   เรียกพนักงานมาสั่งรายการอาหารในปริมาณที่ไม่เหมือนกับมากันแค่สองคน เราเลือกเมนูค่อนข้างหลากหลายโดยไม่ได้นัดหมาย หากเป็นในสถานการณ์ปกติคงบอกได้ว่าเป็นการสั่งเพื่อแบ่งกันกิน สำหรับส่วนที่ไม่ปกติคงจบตรงที่ต่างตนต่างทาน นี่มันต่างอะไรกับการมาคนเดียวแล้วโดนพนักงานจับนั่งคู่กัน

   แก้วเปล่าแช่เย็นวางลงพร้อมกับถังน้ำแข็ง คนนั่งด้านนอกอย่างเขาเลยรับหน้าที่เป็นฝ่ายเสิร์ฟน้ำไป อาการหายใจไม่ค่อยคล่องและพูดอะไรไม่ออกลดลงไปเล็กน้อยเมื่อน้ำเย็นไหลลงคอ

   ชั่งใจอยู่นาน ในท้ายที่สุดก็ยอมเปิดปากก่อน "ขอโทษนะ"

   ไม่รู้เหมือนกันว่าการพูดคำเดิมซ้ำมันจะดูไม่จริงใจหรือเปล่า

   "...ไม่ต้องขอโทษหรอก" แค่นั้นปรัญก็สัญญากับตัวเองว่าเขาพร้อมเป็นฝ่ายขอโทษก่อนเสมอหากมันทำให้เอื้อมอารัญกลับมาเป็นเช่นเดิม "ปันไม่ได้ทำอะไรผิดนี่"

   "เราทำผิด"

   เขาไม่อายที่จะยอมรับมัน

   "เรื่อง? เอาจริงคือเราก็ยังไม่เข้าใจว่าปันเป็นอะไรหรอก"

   "งี่เง่าน่ะ คิดอะไรไม่เข้าท่า" เล่าตามอย่างที่คิด ส่วนรายละเอียดอยากจะเก็บมันไว้ก่อน "แต่ไม่ใช่เรื่องที่เราไม่ไหว เราโอเคกับที่เป็นอยู่...มากๆ"

   มันเป็นสิ่งที่ค้างอยู่ในใจตั้งแต่เห็นประโยคตอบกลับจากเอื้อม รวมกับหลายๆ ครั้งที่หลุดปากออกมาว่าสิ่งที่อยู่ในความคิดเสมอคือการที่มองว่าปรัญเป็นคนใจดีที่ยอมอยู่ด้วยความสงสาร

   "จริงนะ?"

   เอื้อมอารัญมักจะถามย้ำเพื่อความแน่ใจเสมอ "อือ ไม่โกหกหรอก"

   เพิ่งเห็นว่าข้อดีของการนั่งอยู่ฝั่งเดียวกันคือสามารถกักอีกคนเอาไว้ได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เอื้อมคว้าเอาถังน้ำแข็งไปไว้ข้างตัวเอง ตักก้อนน้ำใส่ลงไปเพิ่มเติมในแก้วตัวเอง นี่ยังมีเครื่องดื่มแบบปั่นอีกสองแก้วนะนั่น

   "เราก็ชอบที่มีปันอยู่ด้วยอย่างนี้นะ"

   "..."

   "แต่เริ่มคิดแล้วว่าอาหารที่สั่งจะจัดการกันได้หมดไหม"

   หัวเราะเบาๆ ให้กับความกังวลชุดเดียวกัน "ไหวแหละ ดูไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่"

   ถ้ารู้ว่าการพูดความจริงมันจะทำให้ทุกอย่างคลี่คลายได้เร็วอย่างนี้คงไม่ยอมเก็บเอาไว้กับตัวตั้งแต่แรก ความรู้สึกหน่วงในอกหายไปพลันยามได้ยินคำที่บอกว่าชอบที่เราอยู่ด้วยกันเช่นนี้ ...ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม

   อาหารชุดแรกวางลงบนโต๊ะ เป็นสเต็กที่เขาไม่เคยเห็นร้านไหนใช้วิธีการทอดอย่างนี้ มาพร้อมกับข้าวเกรียบ ผักต้ม และขนมปัง แปลกแต่ก็น่าอร่อยดี

   ส่งชุดรวมมิตรเข้าไปข้างใน ตามด้วยมีดและส้อม เขายังตามหาเหตุผลของการเฉือนขโมยเอาเนื้อไก่ในจานตรงหน้าออกไปรวมกับบรรดาอาหารทั้งหมดที่มีปริมาณมากกว่าของเอื้อมไม่ได้ เอาเป็นว่าถ้าทำให้มีความสุขได้เรื่องอื่นเก็บเอาไว้ก่อนแล้วกัน

   ตามมาด้วยข้าวหน้าไก่และเกาเหลา ส่วนตัวเคยทานร้านที่ถูกปากกว่านี้เลยไม่ออกความเห็นเรื่องรสชาติ ต่างจากคนอยากมาทานที่ชมไม่หยุด จนถ้ามีคำถามว่าเอื้อมชอบทานอะไรที่สุดเขาคงตอบว่ากินได้เกือบทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าไม่ชอบ

   "เหมือนเรามาดูเอื้อมกินมากกว่าเลยอะ" อดหยอกไม่ได้ ก็ไม่ว่าจะเป็นเมนูไหนก็ต้องตอดเอาไปลองชิมเกือบหมด "อิ่มไหม ของหวานเป็นอะไรดี"

   ยกแก้วน้ำเซเว่นอัปผสมนมสดปั่นขึ้นมาดูดจนได้ยินเสียงลม เป็นเครื่องดื่มที่แปลกแต่ก็หยุดกินไม่ได้

   "เอาไอติมซันเดย์ วานิลลานะ"

   พยักหน้ารับทราบ ยกมือขึ้นส่งสัญญาณขอสั่งอาหารเพิ่ม เขาทวนคำสั่งของเอื้อมอีกครั้งพร้อมกับบอกว่าเรียกเก็บเงินได้เลย และวิธีการคำนวณแบบคณิตคิดในใจนั่นก็แอบทำให้ทึ่งอยู่มากพอสมควร

   "ไหนปันเอาเมนูมา เราจะลองบวกใหม่"

   ทำตัวเป็นเจ้าหนูทำไมที่ต้องการการพิสูจน์จริงจัง แอบมองคนเรียนสายสังคมกดเครื่องคิดเลขพลางพึมพำทวนรายการอาหารที่สั่งไปทั้งหมดโดยที่ต้องซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ให้ได้ ปรัญไม่ค่อยมีปัญหากับเรื่องการคิดราคาที่ไม่ค่อยมีความโปร่งใสนี้เท่าไหร่ ก็ราคารวมในท้ายที่สุดมันยังไม่ได้ครึ่งของบางมื้อที่เอื้อมอารัญพาไปกินเลย

   ขนาดของหวานเสิร์ฟตรงหน้าแล้วก็ยังไม่ยอมแพ้ มือข้างหนึ่งถือเมนูส่วนอีกฝั่งถือช้อนเอาไว้ แล้วแต่งตั้งให้เขาเป็นมือที่สามคอยช่วยกดตัวเลขตามคำบอก

   "ก็ตรงอยู่นะ" ตัวเลขบนหน้าจอกับตอนจ่ายเงินเป็นจำนวนเท่ากัน

   "เจ๋งอะ ทำได้ไง"

   "คิดทุกวันมันก็ต้องชินบ้างแหละ"

   "เราก็ซ้อมไวโอลินเกือบทุกวันไม่เห็นชินเลย ...ขอซื้อนี่หน่อยนะ" เหมือนว่าจะติดใจข้าวเกรียบสีส้มนี้จริง พอออกมาหน้าร้านก็ยังซื้อไปอีกสามห่อ กินทั้งหมดนั่นคอพังกันพอดี "อยากทำได้บ้างอะ แบบ จับปุ๊บมือเล่นเองปั๊บ"

   "ลองเปลี่ยนไปซ้อมทุกวันไหมล่ะ"

   พอเสนอก็ทำหน้าบูด "ไม่เอา"

   "ไม่ก็ไม่"

   "อิ่มแล้วแต่ยังไม่อยากกลับเลย แถวนี้มีที่ไหนให้เดินเที่ยวต่อได้บ้าง"

   "ถามอย่างกับเราเป็นเจ้าถิ่นเลยนะ"

   บ่นไม่จริงจังเท่าไหร่ เปลี่ยนฝั่งมาเป็นคนขับแทนเผื่อว่ามันจะสะดวกสำหรับการตามหาเป้าหมายถัดไป เรื่องการตามหาสถานที่ตามรีวิวนี่ขอให้เป็นหน้าที่ของเอื้อมเถอะ

   "ก็เผื่อว่าจะรู้ไง"

   "ถ้าถามว่าโรงแบบไหนเหมาะกับหนังแนวอะไรเราถึงจะตอบได้"

   "เราไม่ดูหนังน่ะสิ" หันมาทันเห็นหน้าไม่รับแขกที่สะท้อนจากแสงไฟหน้าจอโทรศัพท์พอดี "โอ๊ะ เขาบอกว่าแถวนี้มีร้านโกโก้ที่ขายเฉพาะกลางคืนด้วยแหละ แต่เหมือนจะเป็นแบบเย็นนะ"

   "ขอผ่าน น้ำเต็มท้องแล้วเนี่ย" ทั้งจากมิลก์เชกและน้ำเซเว่นอัปนมสด

   "มีน้ำเต้าหู้ไข่ลวก...แต่เปิดตีหนึ่ง"

   "นอนรอในรถได้ยาวๆ"

   "ไม่ค่อยมีอะไรเปิดตอนดึกเลย ...หรือกลับดี?"

   "ก็ได้นะ"

   คำนวณเวลาเดินทางแล้วก็เกือบสองชั่วโมง ไม่ดึกจนเกินไป

   "เปิดแมปให้หน่อย ไม่คุ้นทางเลย"

   "เดี๋ยวบอกให้ มันต้องไปขึ้นทางด่วนแถวบ้านเรา"

   "คุ้นทางแต่เก็บเงียบเลยนะ" ทำอย่างกับเป็นคนต่างพื้นที่ทั้งสองคนไปได้ "กลับไปนอนบ้านเลยดีกว่าไหมเนี่ย"

   "ได้นะ คืนนี้นอนบ้านก็ได้"

   "..."

   "ตรงตามทางไปเลย เดี๋ยวเราโทรบอกบ้านก่อน"

   มันควรเป็นการพูดเล่น

   ไหงกลายเป็นเรื่องจริงจังไปได้
 


   บ้านของเอื้อมอารัญอยู่ในหมู่บ้านขนาดใหญ่ลึกเข้ามาในถนนตัดใหม่เกือบสุดทาง คือถ้าตรงไปอีกหน่อยก็จะเจอกับเชิงสะพานทางด่วนสักแห่ง เป็นส่วนตัวจนเรียกได้อีกแง่ว่าเปลี่ยวเหลือทน

   สติกเกอร์ชื่อหมู่บ้านหน้ารถช่วยให้ไม่ต้องแลกบัตร เลี้ยวซ้ายเหมือนที่จีพีเอสมีชีวิตส่งสัญญาณบอก ตามด้วยอีกหนึ่งซ้ายในซอยที่สอง กว่าจะได้เหยียบเบรกก็ผ่านมาหลายหลัง เอื้อมลงจากรถไปจัดการเปิดรั้วบ้านให้เสร็จสรรพ ยังมีการโบกแขนไหวๆ กำกับการจอดอีกแหนะ

   มันก็แค่การเลี้ยวเข้าจอดโดยไม่ต้องใช้ฝีมืออะไร โรงรถด้านในมีรถยุโรปยี่ห้อเดียวกันจอดชิดริมขวาเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว หน้าที่ของเขาคือการเทียบรถไปอยู่ด้านข้างเท่านั้น

   เอาจากความรู้สึกส่วนตัวมันก็เป็นบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่ใช้สอยกำลังดี ไม่รู้ว่านอกจากผู้ปกครองของเอื้อมแล้วยังมีคนอื่นหรือไม่ เดินตามเจ้าของบ้านออกจากสถานที่จอดไปยังสนามหญ้าก่อนเข้าประตูกลาง จัดการถอดรองเท้าให้เรียบร้อยเตรียมพร้อมเข้าไปเจออีกมิติหนึ่งในชีวิตของเอื้อมอารัญ

   หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าตอนดูหนังแอกชันอีก

   แสงสีส้มนวลกระจายตัวอยู่ทุกที่ ปีกด้านขวาคือโซฟาตัวใหญ่และเก้าอี้นวดไฟฟ้าพร้อมกับโทรทัศน์จอโค้งความละเอียดสูง ส่วนด้านซ้ายมีเก้าอี้ทานข้าวตัวกลมขนาดหลายคนนั่งตั้งเอาไว้ เขาไม่ทันได้มองส่วนอื่นเพิ่มเพราะต้องเดินตามเจ้าของบ้านขึ้นไปยังชั้นสองเสียก่อน

   "ฝั่งนั้นห้องแม่ ส่วนเราห้องนี้"

   จำง่ายๆ แค่ว่า ห้องติดบันไดคือห้องของเอื้อมก็พอ ที่เหลือช่างมันเถอะ

   "แม่น่าจะนอนแล้ว พรุ่งนี้ค่อยทักเนอะ"

   "อ่าฮะ"

   "เราอาบน้ำก่อนแล้วกัน การ์ตูนในตู้ข้างนอกหยิบได้เลยนะ"

   "โอเค"

   ทำมือประกอบคำรับ พอเอื้อมหายลับเข้าไปในส่วนห้องน้ำก็ไม่ลังเลที่จะดิ่งออกมาส่วนกลางของชั้นสองทันที ตรงทางเชื่อมระหว่างห้องถูกปรับเป็นพื้นที่สำหรับอ่านหนังสือ มีตู้กระจกสำหรับเก็บของสะสมติดกับชั้นวางการ์ตูน มีหนังสืออย่างอื่นที่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นสไตล์การอ่านของเอื้อมแทรกอยู่นิดหน่อยตามมุม

   ยกมือขึ้นนวดขมับให้พอมีเวลาปลอบใจตัวเองว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นจริงไม่ใช่เรื่องที่เขากำลังฝันไปเอง คือจากการกินสเต็กมาโผล่ตรงบ้านเอื้อมได้ยังไงปรัญก็ยังหาจุดเชื่อมโยงไม่ค่อยได้

   ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วและเป็นธรรมชาติจนไม่มีเวลาประหม่า เขาเคยผ่านการนอนค้างบ้านเพื่อนมาก็หลายครั้งแต่ไม่เคยมีคราวไหนให้ความรู้สึกสบายใจอย่างนี้มาก่อน นี่มันเรียกว่าการบุกบ้านในยามวิกาลก็ยังได้เลยนะ จะบอกว่าเพราะยังไม่เจอผู้ใหญ่อย่างนั้นเหรอ

   ไล่มองไปทีละตู้ตามประสาคนไม่มีอะไรทำ น่ารักดีที่เห็นชุดแฮปปี้มีลเวอร์ชันคิตตี้วางเรียงกันเป็นแผงต่อกันตามการดีไซน์ นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีสนูปปี้ด้วย นี่บ้านนี้เป็นแฟนพันธุ์แท้แมกโดนัลด์หรือยังไงกันนะ

   ต่อมาเป็นรูปถ่ายเอื้อมอารัญในชุดนักเรียนมัธยมกับไวโอลิน น่าจะเป็นงานโรงเรียนล่ะมั้ง ทำไมหัวเกรียนแล้วยังดูดีต่างจากเขาได้เท่านี้ ด้านหน้าของรูปมีป้ายชื่อติดอกวางเอาไว้ ตอนแรกก็นึกว่าเป็นของเอื้อมแต่พอดูชื่อแล้วมันไม่ใช่ หรือว่าจะเป็นของคุณพ่อ

   จะมีอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ฮิวเคยเล่าไหมนะ

   ...คิดมากไปก็เหนื่อยเปล่า อ่านการ์ตูนรอดีกว่า

   ไม่สนเรื่องเครื่องตกแต่งหรือมูลค่าของอุปกรณ์แต่งบ้านแต่ละชิ้น สิ่งที่อยู่ในความคิดตอนนี้คือล่าสุดเขาอ่านโคนันถึงเล่มไหนแล้ว จะได้หยิบเอาเล่มถัดไปติดมือเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง

   ลองแรนดอมออกมาสองสามเล่มจนเจอกับเลขที่น่าจะตรงกับความทรงจำ ขยับออกไปอีกหนึ่งตู้ดูว่ามีเรื่องอื่นที่น่าสนใจอีกหรือไม่ ประเภทของมันแปรผันไปตามชื่อสำนักพิมพ์ ที่น่าแปลกใจคือแม้แต่เรื่องที่ดูแค่ชื่อก็ไม่ค่อยน่าหยิบแล้วแต่มันก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของชั้นวาง

   ยังสำรวจอีกสักพักจนคิดว่ากำลังดีแล้วจึงยืนตัวขึ้นมายืนตรง ขยับคอไล่ความเมื่อยล้า กลับเข้าไปรับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศข้างในห้องนอนแทน

   จะห้องนอนที่บ้านหรือว่าที่หอก็ไม่ค่อยต่าง ใช้โทนสีอ่อน มีระเบียบ ทุกอย่างจัดเรียงเอาไว้เรียบร้อย ที่วางไว้โดยไม่ค่อยใส่ใจก็น่าจะเป็นหนังสือโน้ตเพลงบนกล่องข้างโต๊ะอ่านหนังสือ แล้วก็เหล่าตุ๊กตาหลายสีสันบนเตียงนอน จะว่าไปแล้วถ้ามีของบนเตียงเยอะอย่างนี้จะนอนกันยังไงเนี่ย

   "เข้าไปอาบต่อได้เลย กะละมังก็อยู่ในห้องน้ำนะ"

   "อะ...อือ"

   วางมือจากคดีฆาตกรรมที่ยังสงสัยอยู่ว่าตัวละครใหม่โผล่มาตั้งแต่ตอนไหน แล้วไม่ได้มีแค่หนึ่งแต่เป็นสาม ต้องย้อนกลับไปอ่านก่อนหน้านี้อีกกี่เล่มกัน

   รับเอาของจำเป็นต่อการทำความสะอาดร่างกายมาถือเอาไว้ ใช้เวลาเคลียร์ตัวเองในห้องน้ำไม่นานเท่าไหร่ อยู่ดีๆ ก็ระแวงว่าถ้าสมมุติไฟในห้องดับแล้วพอกลับมามีแสงสว่างเขาอาจจะได้เจอกับคดีฆาตกรรมในห้องน้ำปิดตายจะเป็นยังไง นี่ก็อินกับการ์ตูนเกินไปหน่อย

   ออกมาเพื่อพบกับคุณเอื้อมในชุดนอนทรงเดียวกับที่เคยเห็นมาก่อนหน้านั่งเหยียดขาเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง ผมก็ยังเปียกลู่ไม่ยอมเช็ดให้แห้งเหมือเดิม ส่วนตัวเขาก็อยู่ในชุดเตรียมหลับที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่

   "ปันอ่านถึงเล่มไหนแล้ว"

   "เล่มบนสุด จำเลขไม่ได้"

   ยกเอากองกระดาษมีกลิ่นหมึกขึ้นไปไว้บนเตียงอีกฝั่ง เลียนแบบท่าการนั่งเหมือนแกล้งทำเป็นกระจกสะท้อน

   "อีกตั้งเยอะกว่าจะถึงเล่มล่าสุด"

   "ไม่ได้อ่านเลย เอาจริงคือเรายังงงว่าผู้หญิงผมสั้นคนนี้มาจากไหน"

   "คนที่ดูห้าวๆ ปะ นั่นน่ะ..."

   "หยุด" ทำมือปางห้ามญาติแทบไม่ทัน นี่เขานอกจากจะต้องหนีคนเล่าหนังแล้วยังต้องมาเจอคนเล่าการ์ตูนอีกเหรอ "จะไม่มีการสปอลย์อะไรทั้งนั้น"

   "แค่จะเล่าให้ฟังว่ามาจากไหน จะได้ไม่ต้องย้อนอ่าน" เกลียดนักคนที่ถือไพ่เหนือกว่า ต่อให้เอื้อมจะงัดเอาใบหน้าจริงใจและน้ำเสียงเป็นมิตรแค่ไหนขึ้นมาใช้เขาก็จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแน่ "นิดเดียวก็ได้"

   "เราขอจับใจความเองแล้วกัน"

   "เป็นพวกเข้าใจอะไรง่ายเหรอ เราทำไม่ค่อยได้เลยอะ"

   "เพื่อนชอบบอกอย่างนั้น แล้วเอื้อมคิดว่าเราเก่งเรื่องอะไรอีก"

   "ใจดีเก่ง"

   "..."

   "ปันเป็นคนใจดีที่สุดเท่าที่เราเคยเจอมาเลย"

   "งั้นสนใจไปเชียงใหม่กับคนใจดีไหม"

   ปล่อยเรื่องนั้นไว้ก่อน มันยังมีอีกเรื่องที่ยังติดค้างอยู่ เอื้อมบอกว่าอยากไปเที่ยวภาคเหนือ และยังเหลือเวลามากพอสำหรับการท่องเที่ยวก่อนสอบปลายภาค

   "ไป!" ไม่มีการบอกว่าขอเวลาคิดก่อนอะไรทั้งนั้น ระบบประมวลผลนี่ใช้ไอเจ็ดหรือไง

   "งั้นไปดูวันมา แต่เรื่องทริปต้องให้เราเช็กซ้ำอีกทีนะ"

   เข็ดกับทริปน้ำตกมากๆ บอกเลย

   "โธ่ ไม่ไว้ใจกันขนาดนั้นเลยเหรอ"

   "ก็เปล่า...แต่สองหัวดีกว่าหัวเดียวไง"

   "...เราไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยสินะ"

   เพราะคำเอ่ยติดน้อยใจนั่นภาพอธิบายวิธีการฆาตกรรมจึงไม่ได้เข้าสู่ส่วนของการคิดวิเคราะห์ในหัวเลย ปรัญเปิดผ่านเป็นการอ่านเพียงเพื่อให้ถึงหน้าสุดท้ายและไม่ได้หยิบเล่มถัดไปขึ้นมาเพื่อความต่อเนื่องของเนื้อหา เปลี่ยนไปหยิบเอาสมาร์ตโฟนมาเปิดดูตารางงานในวันพรุ่งนี้แทน

   เริ่มเรียนสิบเอ็ดโมงเท่ากับเอื้อม ภาคบ่ายไปทำงานในห้องที่ปรึกษา ส่วนตอนเย็นก็มีไปดูหนัง

   ทำไมดูวุ่นวายจังนะชีวิต

   "พรุ่งนี้เราไปดูหนังนะ"

   "รับทราบ"

   "อยากได้อะไรก็สั่งมา เดี๋ยวไปซื้อให้"

   "เดี๋ยวฝันถึงอะไรจะบอกตอนเช้า"

   อารมณ์ดีเมื่อไหร่ก็จะได้เจอโหมดเด็กตัวน้อยอย่างนี้แหละ บนหน้าจอของเขากำลังแสดงหน้าแรกบนเฟซบุ๊กและรูปที่เพิ่งอัปเดตเมื่อประมาณสี่สิบนาทีที่แล้วของเอื้อม ตุ๊กตากองโตที่ปัจจุบันก็ยังแทรกอยู่ระหว่างข้างของพวกเขา คำอธิบายรูปคือตัวเลขที่ไม่ค่อยเข้าใจว่าเป็นสมการอะไรหรือเปล่า

   U Arun - is feeling Happy.
   +1

   “อะไรคือบวกหนึ่งอะ”

   “หือ?”

   กดไลก์รูปพลางตอบ “ที่ลงรูปตุ๊กตาแล้วเขียนแคปชันว่าบวกหนึ่ง”

   “อ๋อ...”

   “อ๋อคือ?”

   “ไม่บอก” มีการแลบลิ้นให้อีกต่างหาก “นอนดีกว่า พรุ่งนี้ปันตื่นก่อนนะ”

   ตื่นเช้าเป็นปกติอยู่แล้วเลยไม่ขัดใจคนอยากนอนต่ออีกหน่อย ปรัญโคลงหัวเอ็นดูท่าการมุดเข้าไปอยู่ในผ้าห่มแล้วปิดจนเกือบมิดหัวของเจ้าของห้อง กลับมาสนใจจอสี่เหลี่ยมเพราะว่าต้องตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้

   “...บวกหนึ่งคือวันนี้มีเรามีปันอยู่ด้วยไง”

   คนเราจะยิ้มกับโทรศัพท์นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใช่ไหมนะ


***
   ตอนหน้าจะไปเชียงใหม่กันแล้ว นี่เจ้าคิดอยู่ว่าเพื่อข้อมูลที่อัปเดตก็ควรจะขึ้นไปหน่อยไหมนะคะ (หัวเราะ) ชอบความเป็นมนุษย์ธรรมดาและเรื่อยๆ ของพวกเขามากจริงๆ
   ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ ถ้าไม่มีเจ้าคงเหงามากเลยค่ะ (ยิ้ม)
   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
ปรัญใจดีมากเลย
แต่เอาแต่ใจกับเอื้อมบ้างก็ดีนะ จะได้รู้สึกว่าเท่าเทียม คนที่รับฝ่ายเดียวหรือให้ฝ่ายเดียว
จะอึดอัดเปล่าๆ
รอการไปเที่ยวของทั้งคู่นะคะ

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
 :L2: ปันก็คือปันจริงๆ ... ใจดีเสมอ :mew2:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
สิบห้า


   จากการดูดวงรายสัปดาห์บอกว่าหากลงมือทำอะไรสักอย่างต้องใช้ความระมัดระวังสูง

   "เอื้อม ถ้าเราไม่รีบมันอาจจะไม่ทันไฟนอลคอลนะ"

   เขาล่ะอยากจะบอกว่าโคตรแม่น

   "อือ เราเอาช็อกโกแลตอันนี้ด้วยดีไหม สองแถมหนึ่ง"

   "มีคนกินก็ซื้อ"

   "เดี๋ยวก็มีแหละเนอะ"

   พอเห็นสายตาที่มองมาแล้วก็ได้แต่ระแวงไปก่อนว่ามันหมายถึงตัวเอง "ไม่ใช่เรานะเอื้อม"

   "เราก็ยังไม่ได้บอกว่าเป็นปันเลยนะ"

   มองผู้ชายในชุดเสื้อยืดสีขาวทับด้วยเสื้อนอกลายฮาวาย กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะเตรียมเที่ยวเต็มอัตราศึกหอบเอาของหวานทั้งแบบห่อกระดาษและถุงเดินไปทางเคาน์เตอร์จ่ายเงิน ความร่าเริงเต็มร้อยที่มีมาตั้งแต่เมื่อคืนไม่ได้น้อยลงเลยแม้เวลานี้จะเป็นช่วงหกโมงเช้าก็ตาม

   ระหว่างรอก็เล่าให้ฟังว่าเอื้อมอารัญตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้มากแค่ไหน หลังจากที่ชวนไปเที่ยวเช้าวันต่อมาเขาก็ได้ตารางเทียบราคาของตั๋วเครื่องบินเป็นสิ่งทักทายรับอรุณ ต่อด้วยเว็บรีวิวที่พักตั้งแต่โฮสเทลนอนรวมยันโรงแรมหลายดาว เท่านั้นยังไม่พอ ตอนนี้เขามีไดรฟ์ออนไลน์ที่แชร์กับเอื้อมในชื่อ 'ทริปเชียงใหม่ 2018' เป็นหน้าจอที่เข้าค้นหามากที่สุดแล้ว

   ป้องปากปิดหาว เลื่อนขึ้นไปปาดหยดน้ำตรงหางตา เมื่อคืนเขาไปดูภาพยนตร์ไทยที่อยู่นอกกระแส ประทับใจจนเขียนรีวิวไปในทางบวกมากกว่าหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา พอดูเสร็จก็มีคนมารอรับถึงหน้าโรง ไม่สิ คือเราสองคนอยู่ที่ห้างนี้ตั้งแต่บ่ายสาม ด้วยสาเหตุว่าเอื้อมอยากจะมาซื้อของจำเป็นบางรายการ แล้วก็รอกลับพร้อมกันเลย

   กลับถึงห้องก็ต้องถ่างตาเก็บเสื้อผ้าและของใช้สำหรับสามวันสองคืน ไม่สามารถอู้ได้สักวินาทีเพราะต้องเฟซไทม์รายงานความประพฤติจนถึงตอนปิดไฟ เท่านั้นยังไม่พอ เช้ามาก็ยังโทรมาปลุกทั้งที่ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้หลังจากนั้นเกือบยี่สิบนาที

   ตอนนี้ก็เลยอยู่ในสภาพไม่ค่อยเต็มร้อยเท่าไหร่ คือถ้ามีไฟลท์ใกล้ๆ กันแล้วเขาไปโผล่บนเครื่องลงสุราษฎร์แทนก็อย่าแปลกใจเลยนะ

   "เนี่ย ไม่เห็นต้องรีบเลย ทันถมเถ"

   "เผื่อไว้ดีกว่าขาดน่า"

   เอื้อมอารัญไม่ได้เอาของที่ซื้อทั้งหมดขึ้นเครื่องไปด้วย แต่เป็นการมารับตอนขากลับ ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดีแล้วก็ข้อเสีย หนักไปทางส่วนที่น่าห่วงว่าเราสองคนจะลืมหรือเปล่าว่าเคยซื้ออะไรเอาไว้

   เสียงเจื้อยแจ้วไม่มีหยุดพัก คนที่ยังสติมาไม่เต็มร้อยจนไม่แน่ใจว่าหยิบแปรงสีฟันมาด้วยหรือไม่อย่างเขาก็ได้แต่อือออกลับไปบ้างบางประโยคที่ลงท้ายด้วยคำที่เหมือนกับการขอความเห็น ส่วนนอกจากนั้นบอกตามตรงเลยว่าจำอะไรไม่ได้สักอย่าง

   ที่นั่งแบบติดหน้าต่างกับตัวถัดมาคือราคาที่เสียเพิ่มสำหรับการเลือกที่นั่ง ไม่มีส่วนของอาหารบนเครื่องอันเป็นผลมาจากความตั้งใจอันแรงกล้าว่ามื้อแรกต้องเป็นอาหารเหนือเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ ก็เลยต้องหิ้วท้องกันไปก่อน

   "เดี๋ยวเราไปถึงนะ ก็เอารถที่เช่าก่อน..."

   "อืมอืม" เหมือนว่าจะมีคำหลังจากนั้นแหละ แต่มันก็เป็นข้อมูลชุดเดิมที่ฟังมาหลายรอบแล้ว "เอื้อมจัดการเองเลยนะ"

   กอดอกเอียงคอพิงกับช่วงลาดไหล่คนด้านข้าง ขยับองศาให้มันพอดีกับการพักผ่อนโดยไม่สนใจเสียงบ่นจั๊กจี้ ตอนนี้เขาต้องการการพักผ่อนสำหรับทริปตลอดทั้งวันที่จะถึง เดี๋ยวชาร์จพลังงานเสร็จแล้วค่อยว่ากันใหม่

   “อยากย้ายมาพิงหน้าต่างไหม น่าจะสบายกว่านะ”

   “ไม่อะ ตรงนี้พอดีแล้ว”

   “ฮึ...” แม้ปากของเอื้อมอารัญทำเป็นบอกว่าไม่ชอบที่เขาใช้ตัวเองเป็นหมอนหนุน แต่ก็ยังยกมือขึ้นมาลูบศีรษะกล่อมให้หลับอยู่ดี “หลับไปเดี๋ยวถึงแล้วปลุก”

   ระยะเวลาการเดินทางเร็วยิ่งกว่าการเรียนหนึ่งคาบเสียอีก เขาขยับตัวไล่อาการเมื่อยล้าบนเก้าอี้ขนาดเล็กพอดีตัวเท่าที่จะเอื้ออำนวย ลงจากเครื่องเพื่อพบว่าไม่น่าคาดหวังกับอากาศเท่าไหร่ นี่มันก็ไม่ต่างจากในเมืองเลยนะ

   "ปันรอกระเป๋านะ เราไปเอารถก่อน"

   "ครับผม"

   ดูจากความตั้งใจจริงในการจัดทริปแล้วคราวนี้ค่อนข้างไว้วางใจให้ทุกอย่างอยู่ในมือของเอื้อมอารัญ มีบ้างที่แอบไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเองแต่ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงถึงขั้นวิกฤติ

   ที่วางแพลนกันเอาไว้คือวันแรกช่วงเช้าจะเที่ยวตามเส้นทางก่อนขึ้นไปอยู่บนที่สูงสักวัน จากนั้นค่อยลงมาอยู่ตัวเมือง คอนเซปต์คือชดเชยการท่องเที่ยวตามธรรมชาติรอบที่แล้วก่อน ให้รู้สึกปลดล็อกเควสต์ค่อยเริ่มต้นใหม่

   การขับรถในพื้นที่ไม่คุ้นจำเป็นต้องได้รับความอนุเคราะห์จากแอปแผนที่และจีพีเอส เรียนรู้นิสัยการขับของกันและกันมาพักใหญ่จนแบ่งหน้าที่กันได้ทันที อย่างที่บอกว่าสิ่งแรกที่จะทำเมื่อเหยียบเชียงใหม่คือการหาร้านอาหารเหนือทาน ตอนนี้เราเลยกำลังมุ่งหน้าไปยังที่ฝากท้องแรกของทริป

   มันเป็นร้านอาหารจานเดียวที่ดูจากภายนอกแล้วให้กลิ่นไอของความเป็นท้องถิ่นเต็มที่ ข้าวซอยและแกงกะหรี่ไก่เป็นตัวเลือกที่ดูคลาสสิกดี รสชาติค่อนข้างจัดของมันทำให้อดห่วงไม่ได้ว่ากระเพาะของคนที่ไม่ยอมทานอะไรตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องจะมีอาการแทรกซ้อนหรือไม่

   ต่อจากนั้นก็เป็นการตะลุยสวนพฤกษศาสตร์ ทำอย่างกับไม่รู้ว่าเป้าหมายเดียวของเอื้อมอารัญคือบริเวณโลเคชันยอดฮิตของการถ่ายรูป เขาเลยแปลงร่างจากคนดูแผนที่เป็นช่างกล้องคอยกำกับท่าทางและองศาที่ดูแล้ว 'แมส' อย่างที่ใครคนอื่นเขาทำ

   "ประมาณนี้โอเคไหม"

   รัวชัตเตอร์ไปไม่รู้กี่ภาพ แต่คิดว่ามันก็น่าจะมีส่วนที่ถูกใจอยู่บ้างแหละ

   กล้องดีเอสแอลอาร์ขนาดใหญ่กลับไปอยู่ในมือของเจ้าของ ใบหน้าที่จับจ้องอยู่แต่จอสี่เหลี่ยมดูจริงจังจนไม่อยากจะเข้าไปขัดความสุข ปรัญถอยหลังออกมานิดหน่อย หมุนตัวก้าวเดินไปอีกมุมหนึ่งของโรงเรือน อยากรู้จังเลยว่าถ้าลองซื้อกระบองเพชรต้นเล็กแบบที่ขายทั่วไปมาต้องใช้เวลากี่ปีในการเจริญเติบโตได้เท่านี้

   ไม่มีเสียงร้องเรียกหรือการเดินตามหาตัว เขาเลยอนุมานไปเองว่ายังเดินเตร็ดเตร่ไปคนเดียวได้ เอื้อมน่าจะกำลังโหลดภาพเข้าโทรศัพท์ไม่ก็งัดขาตั้งกล้องออกมาเช็ตเองเพราะรูปถ่ายของเขามันแย่สิ้นดี

   "นึกว่าโดนต้นไม้กินคนเขมือบไปแล้ว"

   บางทีคนไม่ชอบดูหนังกลับมีจินตนาการบรรเจิดกว่าอีก ปรัญหันมายิ้มรับคำยามพบคนร่วมเดินทางอีกครั้ง "อันนั้นอยู่ในโรงเรือนอื่นต่างหาก"

   "ปันถ่ายรูปสวยอะ เลือกไม่ถูกเลย"

   "มันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานน่ะ" ตั้งกล้องให้ตรง ถ่ายตามทฤษฎีจุดตัด ที่ขาดไปไม่ได้เลยคือโปรแกรมแต่งภาพ "ที่จริงแล้วเราไม่ชอบถ่ายรูปคน"

   เดินไปคุยไป หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกภาพรอบข้างบ้างถ้าเจอมุมถูกใจ ถ้าอยู่ในนี้นานอีกหน่อยรับรองเลยว่าเขาต้องกลับไปซื้อต้นไม้เข้าห้องสักต้นแน่

   "ทำไมอะ?"

   "อืม..." เรียบเรียงทัศนคติที่ดูแล้วแปลกประหลาดนิดหน่อยว่าควรจะเริ่มตรงไหน "เราไม่ชอบให้ใครมาถ่ายรูปเราแบบไม่บอกกันก่อน ก็เลยคิดว่าคนอื่นก็อาจคิดอย่างนี้เหมือนกัน"

   มีข้อยกเว้นนิดหน่อยคือถ้าเป็นการถ่ายจากด้านหลังแบบไม่เห็นหน้าหรือกลางฝูงชนที่ไม่เห็นใครชัดเจนก็ยังรับได้ แต่ประเภทที่เห็นหน้าหรานี่บอกเลยว่าไม่ชอบ งานศิลปะมันไม่ควรซ่อนวิญญาณของความมักง่ายเอาไว้ สมัยนี้ทุกอย่างมันสะดวกจนบางครั้งเราลืมนึกถึงเรื่องพื้นฐาน

   เกลียดที่สุดคือพวกแอบถ่าย ถ้าเอาลงโซเชียลเมื่อไหร่ก็เตรียมรับพ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ได้เลย เมื่อไหร่คนเราจะหยุดการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลขั้นพื้นฐานของมนุษย์ร่วมโลกได้เสียที

   "แย่ล่ะ เมื่อกี้เราถ่ายปันไปตั้งเยอะ" มีการเปิดจออวดให้ดูอีกด้วยนะ มีทั้งเห็นแต่แผ่นหลังแล้วก็ครึ่งหน้าที่กำลังก้มลงอ่านชื่อชนิดของต้นไม้จนตาหยี "ขออนุญาตตอนนี้ทันไหม"

   "...ทันก็ได้"

   ทำหน้าหงอยอย่างนั้นใส่ใครจะใจร้ายได้ลง
 


   หมดครึ่งเช้าไปกับสวนขนาดใหญ่ที่ถ้าไม่ลากเอื้อมออกมาก่อนคงได้อยู่อีกยาว เขาก็อยากให้มันเป็นการเที่ยวที่ไม่ต้องมีพิธีรีตรองหรอก ติดว่าต่อจากนี้ยังมีสถานที่อีกสองแห่งรอให้ไปเยี่ยมในภาคบ่าย ขืนเลทตั้งแต่ตอนนี้เชื่อเลยว่าจะต้องมีคนงอแงตอนเย็น

   "เราควรจะไหว้เจ้าที่เจ้าทางก่อนขับขึ้นเขาไหมอะปัน"

   "สบายใจก็ทำ แต่เราเห็นคนรีวิวบอกว่าไม่ได้ขึ้นยากอะไร"

   "งั้นมาขับให้เราเลย"

   "ได้นะ" ไม่มีปัญหากับหน้าที่คนขับอยู่แล้ว ยังไงตลอดทริปนี้ก็ต้องสลับกันบ้าง "ตรงไหนที่จะจอดเทียบได้บ้าง"

   "ไม่ต้องหรอก เจอไฟแดงหน้าแล้วปันก็รีบวิ่งวนมาเลย เดี๋ยวเราข้ามอ้อมไปให้"

   "โหย เอางั้นจริงเหรอ"
   
   ลองนึกภาพตัวเองรีบวิ่งสี่คูณร้อยไปฝั่งตรงข้ามแล้วตลกพิกล แล้วเสียงที่ใช้เล่าก็ดูจริงจังจนเขากลัวใจ

   "คิก ไม่ทำงั้นหรอกน่า"

   เสียงเพลงสากลจากอัลบัมยอดฮิตในสมาร์ตโฟนไม่ขาดสายระหว่างที่เราเล่าเรื่องอื่นกันไปพลาง ก็มีทั้งแผนการเที่ยว อาหาร แล้วก็ที่พัก ที่ขาดไม่ได้เลยคือเรื่องความเฟลของทริปก่อน มันยังเป็นเรื่องเอากลับมาเล่าซ้ำได้ไม่จบสิ้น หลังออกจากหาดที่บอกว่าไปแวะร้านของฝากนั่นก็ไม่โอเค ร้านมีอยู่นิดเดียวของที่ขายก็ไม่น่าสนใจ

   ความจริงแล้ววันศุกร์อย่างนี้มันยังมีการเรียนตามปกติ ของเขาครึ่งบ่ายส่วนเอื้อมทั้งวัน เราสองคนก็ยังเป็นเด็กวัยรุ่นที่อยากออกนอกกฎเกณฑ์ดูบ้าง คาบเรียนไม่ได้เช็กชื่อไม่ต้องกังวลอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องทำเมื่อกลับไปคือเอาของฝากไปเซ่นไหว้เพื่อนเพื่อแลกกับเลคเชอร์เท่านั้น

   เปิดดูฟีตแบกในทวิตเตอร์เผื่อเอาไว้ว่าสัญญาณด้านบนอาจไม่ดี กลับมาอ่านตัวรีวิวอีกทีก็ชักไม่ชอบข้อความและประโยคที่เขียนลงไปเอง เขาต้องแข่งกับเวลาในการกลับมาเก็บของนี่นา แล้วพอไม่ได้โดยสารรถประจำทางมันก็ย่นระยะเวลาในการเดินทางไปไม่น้อยเลย

   ทำหน้าที่เจ้าของแอคเคาท์ทวิตเตอร์ที่ดีด้วยการตอบบางคำถามที่สำคัญและไม่ดูเป็นการอ่านที่น้อยกว่าแปดบรรทัดจนเกินไป ไม่มีความรู้สึกอยากนอนหลับเลยสักนิด มากันแค่สองคนก็ควรจะเป็นเพื่อนร่วมเดินทางที่อยู่ด้วยกันไปตั้งแต่ต้นจนจบสิ

   ฟังเสียงฮัมเพลงคลอตามไปเมื่อถึงท่อนที่สามารถร้องตามได้ ถ้าปรัญเป็นคนที่ฟังแต่เพลงสากลอีกฝ่ายนี่ก็สามารถสร้างเพลย์ลิสต์ที่ผสมตั้งแต่เพลงพื้นบ้านไปจนถึงโอเปร่า คือแค่มีแค่บีตท์ก็ยังฟังได้คิดดู

   ได้ลงมายืดเส้นสายอีกครั้งเมื่อถึงม่อนแจ่ม เราเลือกที่พักห่างจากที่นี่ประมาณสองกิโลเมตรไว้แล้ว เพราะงั้นนี่จะเป็นเพียงจุดแวะเที่ยวแต่ไม่ใช่ที่นิทราของค่ำคืนนี้ เรื่องที่นอนเขาได้แต่เปิดเช็กความน่าเชื่อถือหลังจากที่เอื้อมจองไปเรียบร้อยแล้ว ไม่มีการขอความเห็นด้วยเหตุผลว่ายังไงปันก็นอนได้อยู่ดี

   "ไปตรงไหนก่อน"

   "เค้กเลม่อน!"

   เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเอื้อมอารัญเสมอ

   เดินตามป้ายที่บอกทางเอาไว้ คิดถูกที่มาในวันธรรมดาเพราะบรรยากาศเงียบสงบไม่ค่อยมีเสียงรบกวน เอื้อมสั่งเค้กเลม่อนตามที่มีรีวิวแนะนำมา ส่วนเขาขอเป็นช็อกโกแลตร้อนสักแก้วก็พอแล้ว

   ผ่อนคลายไปกับสายลมและภาพทิวทัศน์ตรงหน้า ถือว่าให้รางวัลตัวเองหลังจากที่เจอกับความหนักของการทำค่ายที่สูบเอาพลังชีวิตไปมากกว่าที่คิด แล้วเขามีเรียนคาบแปดโมงเช้าวันจันทร์ ต้องแบกร่างที่ยังเบลอจากอาการนอนไม่เต็มตื่นไปเรียน จากนั้นถึงได้กลับมานอนตายอีกรอบ

   ถ้ามันไม่เช็กชื่ออย่าหวังเลยว่าจะเป็นเด็กรักเรียนขนาดนี้

   "ไม่ลองเหรอ อร่อยนะ" เอื้อมทักทั้งๆ ที่ยังมีของหวานเต็มปากอยู่นั่นแหละ

   ก็เลยต้องยอมยื่นหน้าไปหาก้อนแป้งบนส้อมที่แทบจะจ่อเข้าปากอยู่แล้ว สัมผัสที่ได้รับเข้าไปผสมกับเครื่องดื่มก่อนหน้าจนกลายเป็นอะไรที่อธิบายไม่ถูก เปรี้ยวไปเจอหวาน เอาเป็นว่าก็กินได้อยู่

   "ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยชอบเลย"

   "เพิ่งกินช็อกโกแลตเข้าไปไง"

   "ไม่เกี่ยวกันเลยเถอะ" ส่วนเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าที่ป้อนมาให้อีกคำนี่หมายถึงอะไร "ลองอีก เผื่อว่าจะช่วยให้รสชาติชัดขึ้น"

   ทำหน้าเพลียโลกใส่ แต่ก็ยังยอมทานอยู่ดี "หาเรื่องให้เราช่วยกินมากกว่า"

   น่าเสียดายที่มันไม่ได้ทำให้จับรสชาติได้มากขึ้นอย่างที่บอก มันก็ยังเป็นการฟิวชันของความไม่เข้ากันอยู่ดี

   พอเอื้อมเห็นว่าเขาคงไม่เอนจอยกับเค้กอย่างที่ตัวเองเป็นก็เลยจัดการที่เหลือทั้งหมดเอง ปรัญเปลี่ยนไปมองบรรยากาศรอบตัวสลับไปกับการหันมาเช็กว่าเพื่อนร่วมเดินทางเลือกรูปในกล้องได้หรือยัง นี่เปิดเฟซเข้าไปอีกทีต้องเจอการอัปรูปรัวๆ แน่เลย

   ดอกไม้สีม่วง ต้นไม้สีเขียว ส่วนที่ถัดออกไปคือหมอกที่ไม่แน่ใจว่าเกิดจากความเย็นหรือว่าเป็นชั้นเมฆ ใจจริงก็หวังว่าจะได้เจออากาศที่เย็นกว่านี้อีกหน่อย คิดใจแง่ดีคือมันก็ยังโอเคกว่าการอยู่ในเมือง ถึงเรื่องฝุ่นจะดูไม่ต่างกันเท่าไหร่เลยก็ตาม

   ท้องอิ่มก็ได้ย้ายที่ เราเดินขึ้นลงตามเส้นทางที่กำหนดเอาไว้แล้ว หยุดบ้างบางจังหวะเพื่อถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำรวมถึงอวดคนอื่นได้อีกเยอะ ความเงียบรอบกายสั่งให้ต้องลดระดับเสียในการพูดคุยไปโดยปริยาย มันเลยเป็นการใช้ภาษามือแล้วทายความหมายกันไปเลย

   อย่างตอนนี้ที่เอื้อมกำลังชี้นิ้วเข้าไปในสวนดอกไม้ขนาดย่อม นั่นก็หมายความว่ากล้องที่อยู่ในมือของเขาจะต้องทำหน้าที่ของมันแล้ว

   "ปันถ่ายรูปให้หน่อย"

   ไม่มีอิดออดกับคำขอที่ให้ความรู้สึกเป็นคำสั่งมากกว่า "อยากได้ประมาณไหน?"

   ก็อย่างที่บอกว่าเขาไม่ชอบถ่ายรูปคน มันยากกว่าการถ่ายสิ่งไม่มีชีวิตอย่างพวกตึกรามบ้านช่องตั้งเยอะ

   "ได้หมดเลย เชื่อมั่นในตัวปัน" คนบอกว่าเชื่อมั่นยิ้มกว้างแบบที่เห็นไม่บ่อยนัก ถ้าเอาตามความคิดส่วนตัวแล้วเอื้อมถ่ายรูปขึ้นกว่าเวลาไม่ยิ้มหรือว่ายิ้มเล็กน้อย ถ้าฉีกมุมปากออกไปมากเมื่อไหร่มันจะให้ความรู้สึกเสแสร้งไม่จริงใจ

   มีทั้งถ่ายแบบจงใจแล้วก็ตอนเผลอที่ยังจัดท่าไม่เสร็จ อาจเป็นความชอบส่วนตัวของปันที่อยากได้โพสิชันอื่นที่ไม่ใช่แค่การยืนตรงฉีกยิ้มให้ ไม่รู้สิ เอื้อมมีอีกหลายมุมที่ไม่เหมือนอย่างที่คนอื่นพูดกัน

   "มายืนบ้างเลย เราจะถ่ายให้"

   "ไม่เป็นไร"

   "ไม่ได้ มาถึงแล้วต้องมีหลักฐานสิ"

   ปรัญไม่เคยขัดขืนความประสงค์ของอีกฝ่ายได้สักที ยอมถอดสายคล้องออกจากคอแล้วก็ส่งต่อหน้าที่ เดินไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน ลองนึกเอาเองว่าการยิ้มแบบไหนที่น่าจะทำให้รูปออกมาดูไม่ประหลาด แต่พอขยับมุมปากตามคิดกลับเห็นหน้าบูดจากตากล้องซะงั้น

   "ยิ้มเฟกมาก"

   "เราว่ามันก็ไม่แย่นะ"

   ทำเป็นคนมีตาทิพย์ที่สามารถวิจารณ์ได้ทั้งที่ยังไม่เห็นรูป แล้วก็ตัดสินใจว่ากลับมาเป็นช่างกล้องดีกว่าตำแหน่งนายแบบ
พอได้มาสัมผัสของจริงครบทุกส่วนแล้วก็ได้เวลาขับย้อนกลับมาหาที่พัก เป็นบ้านพักบนม่อนที่ห่างออกมาไม่ไกล ภาพที่ได้เห็นบนอินเทอร์เน็ตสวยจนอยากจะเจอของจริงอยู่เหมือนกัน

   ห้องพักหลังเกือบในสุดทำจากไม้เป็นส่วนใหญ่ รายล้อมไปด้วยพืชสีเขียวนานาพันธุ์แซมกับดอกไม้หลายสี ตัวเรือนยกสูงดัดแปลงด้านล่างให้เป็นพื้นที่พักผ่อนโดยการเสริมเบาะตัวยาวกับหมอนเกือบสิบใบ เดินขึ้นบันไดไปประมาณสิบก้าวก็เจอกับระเบียงหน้าห้องพักที่มีความกว้างพอสมควร ทิวทัศน์ที่เห็นจากตาตัวเองสวยกว่ารูปถ่ายในอินเทอร์เน็ตหลายเท่าตัว

   เข้าไปในห้องพักก็จะเจอเตียงคิงไซซ์ปูผ้าสีขาว พร้อมกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกค่อนข้างครบครัน เอื้อมเป็นโรคแพ้แมลงหลายชนิดเลยไม่ค่อยอยากจะเสี่ยงกับความสะอาดของห้อง ต่อให้อยากนอนเกสต์เฮาส์หรือโฮสเทลก็ได้แต่อ่านรีวิวแล้วตัดออกไปเลย

   แต่ความจริงแล้วบ้านบนเขานี่ก็น่าจะมีแมลงเยอะไม่แพ้กันนะ

   "ตอนกลางคืนจะเห็นดาวไหมนะ"

   "ถ้าเมฆไม่เยอะก็น่าจะเห็น ยังไงนี่เป็นข้างแรมอยู่แล้ว" ไม่อย่างนั้นแล้วคงเห็นแต่พระจันทร์ส่องสว่างโดดเด่นเดียวดาย "ชอบดาวเหรอ ไม่เคยบอกเลย"

   "เราเคยมีความคิดว่าอยากจะลองนอนดูดาวโง่ๆ อะ ตอนที่รู้ว่าคอนโดเปิดให้ใช้ดาดฟ้าเป็นที่ตากผ้าได้ก็เคยขึ้นไปลองดูเหมือนกัน แต่มันก็ไม่มืดพอให้เห็น รอบข้างมีแต่หลอดไฟ"

   "เหรอ..." นึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็มีสถานที่ที่ไม่เคยเล่าให้อีกฝ่ายฟังเหมือนกัน "งั้นกลับไปจะพาไปสวนลับ น่าจะเห็นดาวชัวร์"

   "ได้! เราจะทวงเช้าเย็นเลย ...เออ เล่าเรื่องเพื่อนต่อก่อน"

   เอื้อมอารมณ์ดีแบบที่เอาวันปกติมารวมกันสิบวันก็ยังดีดไม่เท่า นี่ก็เพิ่งเคยได้ยินอีกฝ่ายเล่าเรื่องสมัยเรียนให้ฟังว่าเป็นตัวแสบแค่ไหน มันเป็นเรื่องเล่าขนาดยาวที่เริ่มตอนขึ้นรถ ขนาดเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแล้วก็ยังวกกลับมาอีกจนได้

   "ห้องเรามันจะมีเด็กเนิร์ดมากๆ อะ แล้วคนอื่นก็ชอบขอลอกเวลาสอบ เรากับไนน์เลยไปบอกอาจารย์ให้ตลบหลังเปลี่ยนชุดข้อสอบให้เรียงข้อไม่เหมือนกัน สรุปคือมีผ่านไม่ถึงครึ่งห้อง ตอนนั้นต้องโกหกแทบแย่ว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง"

   แต่พอได้ยินชื่อผู้ชายคนนั้นก็ชักอารมณ์ไม่ดีแล้วแฮะ "เหรอ"

   "...ที่โกหกเพราะจำเป็นนะ"

   "อ้อ ไม่ได้พูดถึงตรงนั้น"

   แทบจะตบปากตัวอีกอีกครั้งเมื่อรู้สึกตัวว่าเผลอทำเสียงแข็งกลับไป วางกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กของทั้งสองคนเอาไว้ข้างเตียงคนละฝั่ง จะว่าไปแล้วนี่เขาเอาแปรงสีฟันมาใช่ไหม

   "แล้วทำไมหน้าบึ้ง"

   "ก็..."

   ตั้งใจว่าจะบอกออกไปตามตรงเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เสียงเรียกเข้าพื้นฐานที่ติดมากับตัวเครื่องก็ดังขึ้นเสียก่อน ปรัญควานหาเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋า ชื่อที่บันทึกเอาไว้น่าแปลกใจจนเสียงตอนรับสายติดฉงน

   "ว่า?"

   (เรียกคุณเอื้อมมาคุย)

   "อ่า..." ยังคิดไม่ออกว่าสิ่งแรกที่ควรทำคืออะไร นี่ก็ว่ายังไม่ได้ทำให้รู้ว่าอยู่ด้วยกันเลยนะ ยิ่งพอมองเอื้อมที่มีเครื่องหมายสงสัยอยู่เต็มหน้าก็น่าสงสัยเข้าไปใหญ่

   (เปิดลำโพงเลย ให้มึงได้ยินด้วย)

   ตามนั้นไปแล้วกัน

   กดปุ่มคำสั่งตามบอก เดินตรงไปหาบุคคลที่ฮิวอยากจะคุยด้วย "ฮิวโทรมา"

   (คุณเอื้อม มึงโกหกอีกแล้วนะ)

   มันเป็นการโพล่งออกมาทันทีที่จบคำอธิบาย เจ้าของโทรศัพท์ไม่ใช่บุคคลที่ปลายสายอยากจะสนทนาด้วย เขาจึงปิดปากสนิทรอให้เจ้าของชื่อได้ตอบกลับไป

   "เรายังไม่ได้ทำอะไรเลยสักหน่อย"

   (แล้วใครบอกแม่ตัวเองว่าไปเที่ยวกับไนน์)

   เขาต้องใช้ความระมัดระวังสูงกับเอื้อมอารัญจริงด้วย
 


   "ปันจะเงียบอย่างนี้จริงเหรอ..."

   ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้น

   "ก็ปกติเราไม่ได้ออกไปเที่ยวกับคนอื่นอะ แล้วแม่ก็ชอบห่วงเกิดเหตุ"

   มันก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่ต้องโกหกนี่นา

   "ถ้าบอกว่าไปกับไนน์แม่จะให้ตลอดเลย"

   และที่สำคัญที่สุด คือปรัญไม่อยากได้ยินชื่อ 'เพื่อนสนิท' คนนั้นเลย

   ความรู้สึกที่ยากเกินกว่าจะบรรยายออกมาบอกให้เขาปิดปากเงียบไว้ก่อน มันเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ไม่ค่อยดีในภาพรวมอยู่หรอก นิสัยใจดีจนเกินไปของปรัญมีข้อเสียอย่างหนึ่งคือเขาจะยอมเป็นคนเก็บความไม่พอใจเอาไว้ดีกว่าระเบิดมันออกไป

   หงุดหงิด

   หัวเสีย

   ที่ตัวเองถูกลดความสำคัญลง

   อาจเป็นเพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับความไม่คงที่ของอารมณ์อันมีผลเกี่ยวเนื่องมาจากคนหนึ่ง...สองคน คราวนี้ปันมั่นใจแล้วว่าความว้าวุ่นทั้งหมดมันมีจุดกำเนิดมาจากใคร แต่ที่แย่คือเขาไม่รู้เลยว่าทางไหนที่จะทำให้ปัญหานี้จบลง

   หลังจากที่สัญญาณตัดไปแล้วเสียงที่เคยเล่าเรื่องสมัยมัธยมไม่มีหยุดก็พลันหายไป ปรัญโยนโทรศัพท์ขึ้นไปไว้บนเตียงแล้วเดินออกมานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนอกไม่สนใจว่าจะมีคนเดินตามติดมาด้วย

   "ถ่ายรูปส่งไปให้แม่ดูเลยก็ได้ว่าอยู่กับปัน"

   เคยพบและได้พูดคุยกันเล็กน้อยแล้วในตอนเช้าหลังจากวันที่ไปนอนค้าง โครงหน้าก็ดูมีความคล้ายกันหลายส่วน ก็ดูน่ารักใจดีไม่แปลกที่เอื้อมจะมีบางมุมเป็นคนเอาแต่ใจ

   ธรรมชาติเบื้องหน้าไม่ทำให้ความขุ่นข้างในใจคลายลงไป ซ้ำร้ายมันยิ่งทวีความรุนแรงของอารมณ์ขึ้นไปอีกยามความสงบพาเสียงเล่าเรื่องกลับมาอีกครั้ง เอื้อมโกหกว่าไปเที่ยวกับเพื่อนสนิท แล้วพอแม่โทรไปถามว่าทริปการเดินทางไปอย่างไรบ้างแน่นอนว่าคนถูกเอาชื่อไปอ้างเกือบจะเล่นตามน้ำไม่ทัน

   ก็เลยมีการโทรมาเช็กความเป็นไป สืบไปสืบมาก็จบตรงนี้นี่แหละ

   "ขอโทษ...เราไม่คิดว่าแม่จะโทรไปถาม"

   อยากจะมีคาถาเสกให้ประสาทรับเสียงไม่ทำงาน เขานั่งกอดอกมองตรงไม่ยอมหันกลับมาทางเจ้าของเสียงที่ยังคงอธิบายเรื่องเดิมซ้ำไปมา

   เด็กชายตัวน้อยยังคงร้องไห้อยู่เสมอ

   "ไม่ไหวแล้วใช่ไหม"

   "..."

   เอื้อมอารัญรู้ดีว่าต้องใช้วิธีไหนให้คนอย่างเขายอมอ่อนลง

   ต่อให้อยากจะทำตัวงี่เง่ามากกว่านี้อีกแค่ไหน สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องเป็นฝ่ายต่อบทสนทนาในหัวข้อเดิมเอง

   "...เปล่า"

   "ปันโกหกไม่เก่งเลย"

   ถอนหายใจด้วยความหวังว่ามันอาจจะช่วยระบายความรู้สึกยุ่งเหยิงได้ "เราไม่พอใจเรื่องไนน์"

   "หมายถึง...?"

   "ไม่ชอบ"

   "เราไม่เข้าใจอะ"

   "ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน" ถึงจะไม่ได้คิดว่าต้องมาคุยกันในสถานการณ์อย่างนี้ แต่ถ้ามีโอกาสแล้วก็ควรใช้ "เหมือนเอื้อมมีความสุขเวลาอยู่กับไนน์...มากกว่าเรา"

   "ฮื่อ ทำไมคิดอย่างนั้น"

   "ไม่รู้สิ ดูพิเศษกว่าคนอื่น"

   ทั้งสายตา ท่าทาง และน้ำเสียง ทุกอย่างหากเป็นเรื่องของเพื่อนสนิทคนนั้นแล้วมันมักจะเต็มไปด้วยประกายความสุขที่น่าประหลาดจนเขาอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าตนเองเคยทำให้เอื้อมอารัญมีความสุขเช่นนั้นบ้างหรือไม่

   "เหรอ ...เพราะเราชอบไนน์มาก่อนล่ะมั้ง"


***
   ไม่ได้ทิ้งระเบิดอะไรนะคะ (หัวเราะ) ถ้าไม่หงุดหงิดตัวเองจนรื้อช่วงท้ายอีก (หลังจากที่รื้อมาหลายครั้ง) คิดว่าคงลงได้ครบก่อนปลายเดือนค่ะ
   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
 :mew1:เราเข้าใจเอื้อมนะบางทีบอกความจริงไปแล้วก็ถูกห้ามบ้างไม่ได้นะนู่นนี่นั่นแต่พอลองบอกไม่หมดบอกไม่ตรงเออ//ทำได้แฮะอนุญาตให้ทำมีความวางใจคนอื่นม่กกว่าเราคนที่บอกงั้นก็ทำไปเรื่อยแล้วกันแต่เราสงสารปัน

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ปันนนนนนจ๋า มาให้กอดปลอบที
 :ling3: :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
สิบหก


   "...เพราะเราชอบไนน์มาก่อนล่ะมั้ง"

   ปรัญรู้สึกเหมือนมีอะไรมาตีแสกหน้า ไม่ต่างจากฉากเฉลยของภาพยนตร์ลึกลับสักเรื่อง

   มันอยู่นอกเหนือจากสิ่งที่คาดคิดเอาไว้เกินไป

   "แล้ว..."

   "แล้วทำไมกลายเป็นว่าสองคนนั้นคบกันใช่ไหมล่ะ"

   ความเป็นมนุษย์คงมีจุดร่วมกันในเรื่องของการสร้างชุดความคิดกลาง เอื้อมทำท่าเหมือนจะยันตัวขึ้นไปนั่งตรงขอบระเบียงแล้วก็เปลี่ยนไปพิงพักขาแทนเมื่อเห็นว่าเขาส่งสายตาดุไปให้

   "เราเป็นเพื่อนกับไนน์มาตั้งแต่ประถมแล้ว แต่คิดว่ามารู้ตัวเรื่องชอบตอนม.ต้นนะ โรงเรียนชายล้วนก็งี้" เป็นการเริ่มต้นที่พอเข้าใจได้ เพื่อนของเขาหลายคนก็เคยเล่าว่ามันเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป "อยากเป็นเพื่อนไปเรื่อยๆ เลยไม่เคยบอก จนไปเจอกับผู้หญิงคนนั้นช่วงก่อนเข้ามหาลัยนี่แหละ"

   ปิดปากเงียบตั้งใจฟังเรื่องเล่า พลางกล่อมบอกตัวเองว่าอย่าเพิ่งนำสิ่งที่เคยรู้มาก่อนเข้าไปผสม

   "ไนน์ก็ชอบเขาแหละ เราเลยเข้าไปตีสนิทให้ แต่ก็นะ...กลายเป็นบอกชอบเราเฉย"

   เสียงหัวเราะแห้งตอนท้ายสุดบอกว่าเอื้อมอารัญกำลังแสร้งทำเป็นเรื่องขำขัน คนโกหกเก่งเก็บสีหน้าเอาไว้ได้แค่บางส่วนเลยกลายเป็นตัวปรัญที่สามารถจับความผิดปกติทั้งหมดเอาไว้ได้

   "คือมันก็ไม่มีทางไหนดีอะ แล้วไนน์ก็เชียร์ให้เราคบไป ก็เลยช่างแม่ง คบก็ได้"

   ยิ่งเล่ารายละเอียดภาพที่เล่นในหัวก็ชัดเจนยิ่งขึ้น เกลียดตรงที่จินตนาการตามได้ทุกอย่างตามเล่า

   "แต่มันไม่ได้ชอบไง ยังไงเราก็เป็นครายวูลฟ์ของคนอื่นมาก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว ก็เลยหาเรื่องโกหกเวลาเขาชวนไปไหนมาไหน อ้างไปเรื่อยอะ"

   ไม่พอใจกับการโกหกสักนิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องในอดีตทั้งหมด "สุดท้ายก็เลิก เขาก็พูดกับคนอื่นแหละว่าเลิกเพราะทนนิสัยของเราไม่ได้ จะให้แก้ตัวก็ไม่ใช่ มันเป็นเรื่องจริงนี่นา"
   
   นี่คือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังคำเล่าที่เธอเคยบอกว่าเอื้อมชอบโกหกสินะ

   “...”

   ปรัญเลือกเก็บหนึ่งสิ่งที่อยากถามเอาไว้ในใจ

   ว่าเอื้อมใช้ชีวิตอยู่กับความแหลกสลายเช่นนั้นได้อย่างไร

   "ที่นี้ปันก็จะไม่เงียบกับเราแล้วใช่ไหม"

   "ไม่"

   "..."

   "หึ มานี่เลย"

   ขยับตัวออกไปจูงมือให้หลุดจากการพิงระเบียง เขาระแวงว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันจะตายไป เอื้อมที่ยังหน้าเสียจากคำปฎิเสธยอมเดินตามมาไม่มีอิดออด การจัดการสลับตำแหน่งให้อีกฝ่ายไปนั่งแล้วเขาเปลี่ยนมายืนด้านนอกแทนจึงเสร็จสิ้นในพริบตาเดียว

   "คราวนี้ฟังเราบ้าง" ส่งสัญญาณว่ามันเป็นเรื่องที่จริงจังในระดับหนึ่งด้วยการประสานมือพักเอาไว้ตรงช่วงหน้าขา จับจุดโฟกัสแค่บริเวณใบหน้าเพียงอย่างเดียว "ห้ามแทรกนะ"

   ท่าพยักหน้าไวๆ ตามด้วยการยกมือขึ้นสามนิ้วเหมือนการสาบานตนในชั้นเรียนลูกเสือน่ารักจนเกือบหลุดยิ้มออกมา ยังเตือนสติตัวเองเอาไว้ได้ทันเลยตีหน้าขรึมต่อให้อีกฝ่ายกังวลไปเองก่อน เขาไม่ใช่คนขี้แกล้ง แต่มันก็ต้องมีข้อยกเว้นบ้างเพื่อความบันเทิง

   สูดลมหายใจเข้าลึก ท่องเอาไว้ว่าต้องไม่หลุดบทบาท "วันก่อนเราไม่พอใจเรื่องที่ไม่ได้มีดอกไม้ไปให้วันงาน"

   "อ๋า...เรื่องนั้น..."

   "บอกว่าห้ามแทรกไง" แล้วเมื่อกี้จะทำท่าสัญญาไปทำไม ผ่านมายังไม่ถึงนาทีดีด้วยซ้ำ "นั่นแหละ แล้วพอเห็นของไนน์ก็ยิ่งแย่ใหญ่"

   จากที่ตั้งใจฟังพอได้ยินมากเข้ามันก็เริ่มจะกลายเป็นทำหน้านิ่ว ริมฝีปากของเอื้อมอารัญขยับออกแล้วหุบเข้าไปใหม่หลายครั้งยามระลึกได้ว่าตัวเองทำได้แค่เป็นฝ่ายรับฟัง

   ถ้าเอื้อมกล้าเล่าเรื่องในอดีต เขาก็ควรจะทำได้เช่นกัน มันเป็นเรื่องที่น่าอายผสมไปกับความคิดว่าคนเราไม่ควรจะหัวเสียกับเรื่องงี่เง่าพรรณนั้น และเพื่อไม่ให้มันเป็นเรื่องค้างคาที่ไม่ได้รับการแก้ไขก็ควรจะเปิดใจเสีย

   "ก็รู้นะว่าเป็นเพื่อนกันมานาน แต่ไม่รู้สิ..." หลับตาลงเพื่อลบภาพทั้งหมดในอดีต ท่าโน้มตัวลงไปลองชิมเครื่องดื่ม มือที่สัมผัสเรือนผม...และความคิดที่ว่าเขาเป็นคนมาทีหลัง

   "…"

   "เราอยากเป็นคนเดียวที่ทำให้เอื้อมมีความสุข"

   "…"

   "แล้วเราเป็นพวกที่ถ้าอยากได้อะไร จะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ ด้วย"

   เปลี่ยนไปสื่อสารกันผ่านสายตา มองลึกเข้าไปข้างในนัยน์ตาที่เขาเคยให้นิยามว่ามันมีแต่รอยร้าวอยู่ข้างใน ถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าถ้าไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้นอีกควรทำอย่างไร เป็นไปได้หรือเปล่าที่ทุกความสุขข้างในนั้นมันจะเกิดขึ้นจากผู้ชายที่ชื่อปรัญ

   ปล่อยให้มันกลายเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่มีเพียงเราสองคนครอบครองเอาไว้ สายลมยามโพล้เพล้พัดพาเอาความเย็นมาราวกับต้องการช่วยผ่อนคลายบรรยากาศ

   เราอาจกำลังคิดเรื่องเดียวกัน หรือว่าสิ่งที่อยู่ในระบบการวิเคราะห์อาจจะต่างกันคนละโยชน์ หากช่วงเวลาแห่งความเงียบที่ไม่น่าอึดอัดใจนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไปเพื่อให้ได้ทบทวนสิ่งที่ผ่านมาและกำลังจะเกิดขึ้นต่อไป

   "...ตอนนี้เราพูดได้แล้วไหม"

   คราวนี้จากที่เก๊กหน้าจริงจังมาได้ตั้งนานก็ต้องยอมหลุด ก็เล่นเอียงคอทำหน้าสงสัยอย่างกับเจ้าแมวตัวเล็กเวลาเจอเรื่องประหลาดที่สมองยังประมวลสถานการณ์ไม่เสร็จ

   และก็นั่นแหละ แมวมักจะจู่โจมไม่ให้ทันได้ตั้งตัว

   สิ่งที่เอ่ยออกมาต่อจากนั้นไม่เป็นภาษาเพราะถูกบี้แก้มจนปากจู๋ แล้วไม่รู้มันเขี้ยวอะไรมาถึงดึงให้มันยืดออกเหมือนขนมปังก้อนนุ่มหรือไม่ก็พวกยางยืดหดได้ ปากก็ขมุบขมิบไม่รู้ท่องมนตร์คาถาอะไรใส่เขาอยู่หรือเปล่า

   “ทำให้เราคิดมากแทบแย่ สรุปคือเรื่องนี้เองเหรอ”

   “อือ”

   "ไม่ต้องห่วงเรื่องไนน์หรอกน่า มันก็เป็นแค่เจ้าทาสที่ติดหนี้บุญคุณของเราเท่านั้นแหละ" การลำเลิกพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นดูเย่อหยิ่งเต็มประดา "เรามีพระคุณกับมันเยอะ ทำอะไรเราไม่ได้หรอก"

   สมกับเป็นคุณเอื้อมเสียเหลือเกิน เพื่อไม่ให้แก้มช้ำไปมากกว่านี้เขาเลยยกมือขึ้นไปพร้อมความลังเลนิดหน่อยว่าควรจะสัมผัสส่วนไหนที่ดูไม่รุกล้ำจนเกินพอดี

   ก็เลยเลือกบริเวณหลังมือข้างซ้ายเช่นเดียวกับที่เคยทำ ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยมันเบาๆ เอาให้สมกับที่ครั้งก่อนไม่สามารถจะทำได้ ที่จับมาหลายครั้งมือของเอื้อมไม่ได้นุ่มอย่างที่บุคลิกให้ ที่สัมผัสได้ชัดสุดคือปลายนิ้วที่เป็นไตจากการเล่นดนตรีเป็นสิบปี

   หลับตาลงด้วยความโล่งใจ พิงแก้มลงกับฝ่ามือของอีกฝ่ายจนแนบสนิท หวังว่าความอบอุ่นจากเขาจะส่งไปถึง

   “ทุกวันนี้ปันคือความสุขของเราอยู่แล้ว รู้หรือเปล่า"
 


   วันที่สองของการเที่ยวเชียงใหม่คือการขึ้นดอยอินทนนท์ในช่วงเช้า ก่อนตะลุยหาร้านคาเฟ่ไว้นั่งถ่ายรูปสักสองที่เพื่อรอเวลาบ่ายสี่สำหรับการไปอ่างแก้ว หาอะไรทานหลังม. จากนั้นก็เป็นเวลาของถนนคนเดินท่าแพ เช่นดียวกับเมื่อวาน ทั้งหมดได้รับการวางแผนโดยเอื้อมอารัญคนเดิม

   "ปันว่าตลกไหมที่เที่ยวมาแล้วหนึ่งวันค่อยมาขอพรให้การเดินทางเรียบร้อย"

   "ไม่นะ อย่างน้อยก็ทันก่อนกลับ"

   เราสองคนกำลังนั่งเบียดกันอยู่บนรถแดงสองแถวสำหรับลงจากดอย ปรัญเคยมาแล้วครั้งหนึ่งก็เลยไม่ค่อยตื่นเต้นหรือว่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตอนไหว้ขอพรก็ทำแบบเอาแค่เมนไอเดีย ไม่เหมือนกับอีกรายที่แทบจะเปิดเครื่องจับเวลาขึ้นมาแล้วว่าใช้เวลาในการไหว้พระขอพรไปเท่าไหร่

   "เนอะ คิดแง่ดี"

   เอื้อมเป็นฝ่ายเล่ามากกว่าส่วนเขาก็รับฟัง มีเล่ากลับไปบ้างบางเรื่องว่าตอนมารอบที่แล้วทำอะไรบ้าง

   "เราไปดูแพนด้าด้วย แต่มันนอนอย่างเดียวเลย"

   "นั่นเลยเป็นเหตุผลที่เราไม่ใส่ลงในลิสต์เที่ยว"

   "ตัวเองแทบจะลอกมาตามรีวิวเลยไม่ใช่เหรอ" แหย่กลับไปตามอย่างที่คิด ตอนที่เอื้อมลงข้อมูลมาให้เขาก็ทำหน้าที่ผู้ตรวจสอบที่ดี เข้าเว็บแรกไปเท่านั้นแหละก็อยากจะบอกว่าทีหลังส่งมาทั้งเว็บไม่ต้องก็อปลงเวิร์ดให้เหนื่อย "เราบอกได้เลยอะว่าตารางวันนี้มาจากเพจไหน"

   "ก็มันจัดมาดีอยู่แล้ว"

   ควรเปลี่ยนเรื่องก่อนต้องง้อคนงอแง "งั้นอาหารมื้อสิบโมงของเราจะเป็นข้าวยำอย่างที่บอกใช่ไหม"

   ลงจากรถและเดินไปตามทางเป็นอย่างแรก เปิดโทรศัพท์เป็นอย่างที่สองหลังจากคาดเข็มขัดนิรภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความสะดวกของยุคดิจิทัลมันก็อย่างนี้แหละ ไม่จำเป็นต้องอ่านแผนที่เป็นเลยด้วยซ้ำ แค่พิมพ์ก๊อกแก๊กแป๊บเดียวก็ได้สิ่งที่ต้องการ

   "เดี๋ยวขอไปดูเมนูของจริงก่อน เราว่าข้าวซอยกับผัดไทยก็น่าสนอะ"

   คิดตามแล้วก็เลือกเมนูให้ตัวเองได้เรียบร้อย มาเมืองเหนือทั้งทีมันก็ควรจะทานอาหารท้องถิ่นสิ

   ถนนในเมืองเชียงใหม่ไม่ค่อยแตกต่างจากที่เจอตอนอยู่เมืองหลวง ติดกว่าบางจังหวะด้วยซ้ำไป เขาแอบเร่งเครื่องด้วยความเร็วมากกว่าที่ใช้ประจำเพราะอยากจะได้อะไรใส่ท้องเป็นพลังงานสำหรับวันนี้ ได้นอนไม่เต็มที่อย่างน้อยก็ขอให้ได้กินอิ่มหน่อยแล้วกัน

   ร้านที่เห็นแค่ข้างหน้าก็เข้าใจเลยว่าทำไมเอื้อมเลือกที่นี่ คิดว่าเป็นช่วงที่เลยเวลาอาหารเช้าไปแล้วแต่ยังไม่ถึงกลางวันเลยไม่ต้องห่วงเรื่องที่จอดอย่างที่มีเขียนเตือนเอาไว้ในรีวิว นี่ก็เป็นหนึ่งในข้อดีของการมีคนเจอของจริงก่อนแล้วเอามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ล่ะนะ

   ต้นไม้จริงเสกให้มันกลายเป็นป่าขนาดย่อม สูดเอาความสดชื่นเข้าไปเฮือกหนึ่งเพื่อให้เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงฝุ่นทั่วเมือง ก็รู้ว่าการถอนหายใจออกมามันไม่ได้หมายความว่าจะเอามลพิษเหล่านั้นออกมาด้วย แต่ก็อยากจะทำให้สบายใจไปงั้นเอง

   ต้นไม้ปริมาณหนาแน่นและการตกแต่งแบบวินเทจรั้งเขาเอาไว้ด้านนอกอีกพักใหญ่ การเดินตามเข้าไปทีหลังพบว่าเอื้อมก็ยังคงทำหน้าเครียดอยู่กับเมนูในกระดาษสีน้ำตาล เหมือนว่าโควตาข้าวซอยในวันนี้จะหมดไปแล้วเลยต้องเปลี่ยนไปเป็นผัดไทยแทน เสียดายนิดหน่อยแฮะ

   "เขาบอกต้องมาเช้าหน่อย พรุ่งนี้มาแก้มือไหมล่ะ"

   อาการโมโหหิวนี่มันเห็นชัดเลยสินะ "ไม่เป็นไร"

   วิธีการจัดแบ่งโซนของร้านสวยตามท้องเรื่อง และพนักงานก็น่ารักจนไม่แปลกใจที่ตามเว็บจะพูดถึงการให้บริการด้วยเสมอ เขาปล่อยให้เจ้าของข้าวยำได้เดินออกไปสำรวจรอบชั้นล่างตามสะดวก ตัวเองนั่งเป็นฝ่ายเฝ้าโต๊รวมถึงเข้าไปตรวจสอบความเป็นไปบนโลกออนไลน์ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

   แน่นอนว่าต้องเจอรูปถ่ายจำนวนหนึ่งพร้อมกับโลเคชันเช็กอินรอบเมืองเชียงใหม่ของเอื้อมอารัญ หลายรูปเป็นฝีมือของเขาแต่ไม่เห็นมีการให้เครดิต ไว้ต้องทวงหน่อย

   กดไลก์จนแน่ใจว่าไม่มีโพสต์ไหนหลุดรอดออกไป ปรัญตั้งใจว่าจะลงคราวเดียวตอนที่กลับไปแล้ว เป็นความโรคจิตส่วนตัวที่ไม่มีใครเข้าใจ

   เราเลือกทานอาหารกับน้ำเปล่า เป็นการเผื่อท้องเอาไว้สำหรับสถานที่ถัดไป อาหารทั้งสองจานถูกปากเขาแต่เหมือนว่าจะไม่ค่อยโอเคกับเอื้อมเท่าไหร่ บ่นเรื่องความหวานเหมือนอย่างที่ผ่านมานั่นแหละ

   "ล่ะไปที่ไหนต่อ" เขาจำได้แค่ชื่อสถานที่ลางๆ แต่ว่าไม่รู้สถานที่ตั้ง

   "เดี๋ยวเราเปิดแมปให้"

   "ถ้าผิดทางนี่โทษเอื้อมคนเดียวเลยนะ"

   "ทำเป็นบ่น ยังไงก็ต้องไปด้วยกันไหม"

   เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ปรัญตั้งสมาธิกับการขับรถตามเส้นทางการนำของเอื้อม มีเลี้ยวผิดซอยไปบ้างนิดหน่อยแต่โดยภาพรวมถือว่าเครื่องนำทางรุ่นนี้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพอยู่

   ชอบการดีไซน์ร้านค้าข้างในไม่ต่างจากหลายแห่งที่ผ่านมา ยังไงเรื่องสภาพแวดล้อมก็ยังเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมให้การแวะพักมันน่าสนใจมากขึ้น หัวคิ้วขยับเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นเมล็ดกาแฟที่อวลทั่วร้าน มันไม่ใช่เครื่องดื่มที่เราสองคนชอบเสียหน่อย

   "ปันเอาโกโก้ร้อนเนอะ"

   นั่นยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ "อือ"

   จ่ายเงินตามราคาสินค้าของตน ไล่เอื้อมให้ไปหาที่นั่งส่วนเขาจะรอสินค้าตรงนี้เอง มองบาริสตาประดิษฐ์งานศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ในทุกแก้วจนกระทั่งได้ของตัวเอง เสียงเครื่องทำกาแฟยังดังขึ้นเป็นระยะแม้ว่าเขาจะเดินเอาเครื่องดื่มทั้งสองแก้วกลับมาที่นั่งแล้ว

   ส่วนมากลูกค้าจะเป็นชาวต่างชาติ ประเภทที่เห็นหน้าและการแต่งกายแล้วให้ความรู้สึกชาติเดียวกันนี่เกือบมีแค่พวกเขาด้วยซ้ำ ปรัญหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปงานอาร์ตที่มีความละเอียดสูงเก็บเอาไว้ด้วยความประทับใจ มันไม่ได้เป็นแค่รูปใบไม้อย่างที่เห็นประจำแต่แต่งเติมเพิ่มขึ้นอีกมากพอสมควร

   "นี่เป็นครั้งแรกเลยหรือเปล่าที่เราเห็นปันหยิบมือถือขึ้นมาก่อนเรา" สำหรับเมนูในมือของเอื้อมไม่พ้นของโปรด มันก็เลยไม่มีอะไรให้ถ่ายเก็บเอาไว้เหมือนอย่างเขา "ปกติมีแต่เราที่บอกว่าอย่าเพิ่งกิน ขอถ่ายก่อน"

   "สวย ไม่เคยเห็น"

   "ได้ยินอย่างนั้นแล้วรู้สึกว่าคิดถูกที่เลือกที่นี่" ยิ้มสว่างไสวที่ส่งกลับมาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ "พอเราเห็นว่ามีคนรีวิวโกโก้ร้อนแล้วก็ตั้งใจว่ายังไงก็ต้องมาให้ได้เลย"

   นั่นเลยทำให้เราสองคนมานั่งอยู่ที่นี่สินะ

   ทำไมน่ารัก

   "ขอบคุณครับ"

   "รูปสวยก็พอแล้วเนอะ รสชาติช่างมัน"

   "...ไม่น่าใช่นะ"

   ก็ไม่เข้าใจหลักการคิดของเอื้อมเท่าไหร่ แต่ไอ้เรื่องที่บอกว่ารสชาติช่างมันไม่น่าจะใช่ จากที่มององค์ประกอบเรื่องร้านและลูกค้าที่เข้ามาไม่ขาดแล้วเขาคาดหวังกับรสสัมผัสที่จะได้รับไม่น้อยเลยล่ะ อีกอย่างนี่เป็นโกโก้ไม่ใช่ช็อกโกแลตด้วย นานครั้งมากถึงจะเจอ

   ยกให้เป็นช่วงเวลาการท่องโซเชียลไประหว่างรอให้เครื่องดื่มเย็นตัวลง ถ้าสั่งแบบทานในร้านมันก็จะเข้าอีหรอบนี้ตลอด แก้วของเอื้อมหมดไปมากกว่าครึ่งแล้วส่วนเขาน่ะแค่จะลองจิบยังคิดแล้วคิดอีก น้ำร้อนลวกปากนี่ไม่ใช่เรื่องตลก

   "ปันว่าเราลงรูปไหนดี" เอื้อมวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะไม้ เลื่อนมันมาทางเขาโดยที่หน้าจอยังแสดงภาพสวนต้นไม้ขนาดย่อมของคาเฟ่ที่เพิ่งผ่านมา "มีอันนี้กับอันนี้ด้วย"

   ภาพที่สองเป็นรูปปั้นจำลองที่เห็นเพียงครึ่งขวา จบลงด้วยภาพที่ถ่ายจากท้ายรถตอนขึ้นดอย

   คำแรกที่นึกออกคือเอื้อมก็ลงมาตั้งเยอะแล้วจะเพิ่มทั้งหมดนั่นไปก็ไม่น่าจะมีปัญหา ส่วนที่ออกจากปากไปจริงๆ ก็คือการเรียงให้คำพูดมันดูสวยขึ้นเท่านั้นเอง

   "สวยหมดอะ ลงไปเถอะ เดี๋ยวกดไลก์ให้เอง"

   "อย่ามากดรัวๆ อีกนะ เปิดมาตกใจโนติหมด"

   "งั้นเดี๋ยวเรากดแค่ภาพที่เราถ่ายแต่เอื้อมแย่งลงก่อนก็ได้"

   จับหูแก้วเซรามิกสีขาวให้มั่น ความร้อนที่ยังกระจายตัวอยู่ทั่วไปบอกให้เขาเป่าลมเพื่อความแน่ใจอีกครั้งก่อนการเริ่มชิมคำแรก กลิ่นหอมและรสชาติที่กลมกล่อมกำลังดีเป็นตัวการันตีถึงความหนาแน่นของลูกค้า เพื่อเป็นการย้ำรสชาติเข้าไปเขาจึงถือมันค้างเอาไว้ก่อนเพื่อความสะดวกในการดื่ม

   "ก็ก่อนจะลงเราต้องเอามาปรับสีภาพแล้ว มันก็ต้องเป็นของเราด้วยสิ"

   เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ผู้สร้างทฤษฎีใหม่ยักคิ้วที่ดูแล้วไม่เห็นว่ามันจะดูกวนบาทาตรงไหน ยังไม่พอมีการสั่งให้เขารีบวางแก้วในมือลงเพราะเพิ่งนึกออกว่าอยากให้ถ่ายรูปตัวเองกับแก้วชาเขียวปั่นแรกของทริป

   กล้องตัวใหญ่เริ่มกลายเป็นของคุ้นมือไปแล้ว จัดการปรับการตั้งค่าให้เหมาะสำหรับการถ่ายในร่มพร้อมสำหรับการเป็นช่างกล้องฝึกถ่ายภาพบุคคล ตอนนี้เขาชักจะมั่นใจแล้วว่าตัวเองเหมาะที่จะเป็นพวกถ่ายทิวทัศน์มากกว่าดีลกับมนุษย์ นี่ยังดีที่เอื้อมเป็นคนรู้มุมตัวเอง ไม่อย่างนั้นให้เขากำกับคงได้ภาพถ่ายแบบบัตรประชาชน

   "แต่ชาเขียวเฉยๆ นี่ยังไม่เจอร้านไหนถูกใจเลย"

   ดูได้จากการการกัดหลอดจนช่วงบนยับยู่ยี่ ถ้ารสชาติไม่เป็นอย่างที่หวังเขาก็จะระบายกับหลอดพลาสติกพวกนั้น แล้วปริมาณน้ำปั่นก็ยังเหลือค่อนแก้ว

   "ก็ยังมีอีกตั้งหลายร้านนี่" อย่างของวันนี้หมดแล้ว พรุ่งนี้ถ้าจำไม่ผิดมีอีกสองร้าน "หรือเอาอย่างนี้ไหม?"

   "หืม?"

   ความคิดที่แล่นเข้ามากะทันหันดูไม่เข้าท่า แต่ว่าก็น่าลองเสี่ยงดูเหมือนกัน

   "เดินไปเรื่อยๆ เจอร้านไหนน่าสนใจก็เข้าไปเลย"

   เพราะร้านตั้งอยู่ในแหล่งสถานที่ท่องเที่ยว คาเฟ่สำหรับนั่งชิลล์จึงเป็นที่พบเห็นได้ทั่วไป เท่าที่เห็นผ่านตามทางมานี่ก็สามสี่ร้านแล้ว คิดว่าต้องมีสักร้านแหละที่ถูกใจเอื้อมอารัญผู้เป็นชาเขียวเลิฟเวอร์บ้าง

   ก็เพิ่งรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เครียดถึงขั้นต้องนั่งกอดอกตาหลุบมองมุมต่ำ ปากก็พึมพำให้ตนเองเข้าใจคนเดียว เกือบจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายวีดีโอเก็บไว้ให้ดูแล้วว่ากับที่เล่นไวโอลินไม่ได้ตามอย่างที่ต้องการก็ยังไม่เคยหน้านิ่วคิ้วขมวดได้เท่านี้

   "เดี๋ยวเราเลี้ยงด้วยเลย"

   "ตามนั้น"

   ถ้ารู้ว่าหลอกล่อได้ง่ายอย่างนี้งัดมาใช้ตั้งแต่แรกแล้ว
 


   "แล้วเราจำเป็นต้องเดินหาด้วยเหรอปัน นี่เท่ากับว่าต้องเดินย้อนกลับไปเอารถอีกนะ"

   บนทางเท้าที่มีนักท่องเที่ยวจากในและต่างประเทศเดินสวนไปมาตลอดเวลาไม่ค่อยสะดวกต่อการเดิน เขาก็เลยลงมาอยู่บนถนนแล้วให้เอื้อมได้เดินชิดริมขอบ อากาศตอนนี้ไม่ถึงกับร้อนจนทรมานหรอก แต่ก็เข้าใจอากาศเมืองไทยใช่ไหมล่ะ นี่หน้าเริ่มชื้นเหงื่อแล้ว

   "ให้ร่างกายได้ขยับบ้าง ไม่อย่างนั้นเราก็เอาแต่กินกับนั่งนะ"

   "ก็ไม่ได้กินเยอะแยะ"

   "ตั้งแต่เช้ามานี่ซัดไปกี่อย่างแล้ว มีรูปถ่ายเป็นหลักฐานเพียบเลย"

   ยังไม่รวมที่บอกว่าเย็นนี้จะไปกินบุฟเฟ่ต์อีกนะ เอาเข้าไป

   "ไม่เถียงก็ได้ แต่ขึ้นมายืนข้างบนก่อน อันตราย" แรงดึงเบาๆ ตรงเสื้อลากให้เขาขึ้นไปตามได้อย่างง่ายดาย ระยะที่ประเมินด้วยสายตามีคนสวนทางกันประปราย น่าจะไม่ต้องลงไปเสี่ยงอันตรายอีกในเร็ววัน "นี่ถ้าเราขี้เกียจแล้วเลือกเข้าร้านแรกที่เจอเลยได้ไหมอะ"

   "ไม่เอา ต้องเป็นร้านที่ถูกชะตาสิ"

   ยืนกรานว่ามันควรจะเป็นไปตามข้อเสนอทั้งหมด จะว่านี่เป็นการล่อลวงก็ใช่แหละ

   เขาแค่อยากให้เอื้อมได้ลองเลือกด้วยตัวเองสักครั้ง

   มีแวะเก๊กท่าถ่ายกับสิ่งที่เจอข้างทางบ้าง ทีเผลอบ้าง เราปล่อยเวลาให้เดินต่อไปโดยไม่มีข้อกังวลเรื่องการจัดวางให้ตรงตามแผนที่วางเอาไว้ ก็คอนเซปต์หลังจากไปเจอธรรมชาติเป็นการแก้มือแล้วคือการทิ้งชีวิตไปกับความไม่เร่งรีบ อยากจะนั่งตรงไหนนานๆ ก็ทำ ถ้าไม่อยากทำตามแพลนแล้วก็แค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาสถานที่ใหม่

   แกล้งให้โพสต์ท่าแต่ก็ไม่ถ่าย หรือบอกว่าไม่ถ่ายแต่ก็จัดไปหลายรูป เราหัวเราะให้กับการเล่นเป็นเด็กของตัวเองโดยไม่ต้องกังวลสายตาของคนอื่นเหมือนอย่างที่ต้องระวังยามใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย

   "เราว่าร้านนี้"

   เดินมาได้ไกลพอสมควรจนเจอร้านที่ได้รับการยืนยันว่านี่แหละที่ตามหา จะบอกว่าแปลกใจกับตัวเลือกก็ใช่ ก็ที่ผ่านมาสไตล์การคัดของเอื้อมต้องเริ่มจากร้านสวย จากนั้นค่อยไปดูเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม แต่ร้านที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เรียกได้ว่าธรรมดาและเป็นแนวทั่วไปสุดๆ

   ร้านชั้นเดียวที่เหมือนว่าจะเป็นการแบ่งพื้นที่บ้านพักส่วนหนึ่งมาทำเป็นห้องขายเครื่องดื่ม ด้านข้างยังเป็นรั้วบ้านพร้อมกับรถโฟร์วีลล์จอดอยู่เลย หน้าร้านปลูกไม้พุ่มเตี้ยชนิดเดียวเรียงกัน นอกจากสติกเกอร์ชื่อร้านที่ติดเอาไว้ตรงกระจกประตูทางเข้าแล้วมันไม่มีสัญลักษณ์อื่นประกอบ ถ้าขับผ่านก็คงนึกว่าเป็นบ้านสำหรับอยู่อาศัยล่ะ

   อยากจะยืนมององค์ประกอบโดยรวมให้นานกว่านี้ ลืมไปว่าตัวเองเอ่ยปากรับคำเอาไว้เรื่องหนึ่งก่อนแล้ว พอเห็นใบหน้าของเอื้อมชะโงกออกมาพร้อมกับกวักมือเรียกก็เลยต้องเข้าไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายให้เสร็จ

   ราคาถือว่าไม่แรงเมื่อเทียบกับร้านก่อนหน้า คงหักลบไปกับค่าตกแต่งและของสวยงามโดยรอบ

   "อร่อยอะ"

   "อย่าเล่นมุกว่าเพราะไม่ต้องจ่ายนะ"

   "อร่อยจริง ไม่หวานอย่างที่บอกด้วย"

   และมันกลายเป็นความคุ้มค่าเมื่อเขาได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเอื้อมอารัญ


***
   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
สิบเจ็ด


   ถ้าให้ย้อนกลับไปช่วงเป็นเด็กมัธยมปลายปีสุดท้าย ชีวิตของปรัญเรียกได้ว่าเรียบง่ายกว่าเพื่อนหลายคน

   "เราเคยคิดอยากมาเรียนที่นี่เพราะอ่างแก้วด้วยแหละ"

   "จริงจัง?"

   "ใช่ จะมานั่งเหม่อทุกวัน น่าจะมีความสุขดี"

   "น่าจะสุกมากกว่านะตอนนี้"

   อีกฝ่ายก็คงเห็นด้วย ไม่อย่างนั้นคงไม่หัวเราะแห้งออกมายามมองไปรอบข้างแล้วพบว่ามันค่อนข้างจะร้างผู้คนพอสมควร "สุกพร้อมเสิร์ฟ"

   "ก็แน่ล่ะ นี่บ่ายสี่เอง"

   แดดเชียงใหม่แรงยิ่งกว่ากรุงเทพในบางความรู้สึก ความสวิงของอากาศในหนึ่งวันน่าจะสามารถนำไข้มาทักทายได้ไม่ยาก ถ้าเป็นช่วงอยู่หออย่างมากมันก็ผสมแค่สองฤดูในหนึ่งวันคือร้อนกับฝน นี่เล่นเช้าหนาว กลางวันร้อน ส่วนตอนนี้ก็ร้อนมากมาก ไม่อยากจะคิดถึงช่วงดึกเลย

   "แต่ที่นี่ไม่มีตัวที่เราอยากเรียน แม่ก็ไม่อยากให้ไปไกลด้วย"

   ต่างจากเขาเลยแฮะ "เรานี่ไม่มีใครห้ามเลย อยากไปสอบที่ไหนก็ตามใจ"

   ไม่พอมีการไล่ให้ไปหาที่สอบด้วยนะ จะขึ้นเหนือลงใต้ก็ได้เดี๋ยวออกเงินค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ยังไม่แน่ใจทุกวันนี้ว่ากลัวลูกไม่มีที่เรียนหรือแค่หาเรื่องให้ออกนอกบ้านบ้าง

   ก้าวขาไปตามเส้นทางการเดินเท้าที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก อดเทียบความแตกต่างกับมหาลัยตัวเองไม่ได้ ด้วยนิสัยรักธรรมชาติแล้วเขาเทใจให้ที่นี่มากกว่า ทำไมตอนนั้นถึงไม่ยอมขึ้นมาสอบเก็บเอาไว้บ้างนะ อาจจะเข้ากับสไตล์การใช้ชีวิตด้วย

   มองแผ่นหลังของเอื้อมที่เดินนำไปแล้วหลายก้าว กล้องที่คล้องคอถูกยกขึ้นมาเทียบผ่านช่องตาแมวยามพบมุมถูกใจ สำหรับตัวปรัญเองก็ยังทำหน้าที่เป็นช่างกล้องอยู่เหมือนเดิม แค่เปลี่ยนอุปกรณ์เป็นสมาร์ตโฟนเท่านั้นเอง

   ตั้งแต่เมื่อวานได้รูปแอบถ่ายเอื้อมอารัญมาพอสมควร จะบอกว่าทำในสิ่งที่ไม่ชอบก็ไม่เต็มปากเพราะแจ้งเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าถ้าเจอมุมที่ถูกใจจะถ่ายเก็บเอาไว้ก่อนแล้วค่อยโชว์ผลงานทีเดียว

   อีกฝ่ายไม่ค่อยรู้ตัวว่าตกเป็นเป้านิ่ง ก็เวลาเจอสิ่งที่ถูกใจเมื่อไหร่เอื้อมก็จะเข้าสู่โหมดโลกส่วนตัวที่ไม่มีใครเข้าไปรบกวนได้ จะกลับมาอีกทีก็ตอนที่พอใจอยากจะออก ไปเร่งเมื่อไหร่เดี๋ยวก็จะโดนงอแงใส่ เขาเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งเรียนรู้ได้ไวและปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ได้ดีน่ะ

   ต้นไม้ใหญ่ที่ไม่ใช่การเอาลงดินภายหลังแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาเป็นระยะติดต่อกัน ต่อจากนั้นอีกไม่นานเราก็มาถึงยังจุดหมายปลายทาง ไม่แปลกใจที่นอกจากเราสองคนแล้วแทบไม่มีใครอื่นเหมือนทางเดินที่ผ่านมา พื้นที่ของอ่างแก้วไม่ได้กว้างอย่างที่คิดเอาไว้ตั้งแต่แรก ถึงจะเป็นเช่นนั้นความสวยงามของธรรมชาติกึ่งคนสร้างที่ปรากฎต่อสายตาในเวลานี้ก็เป็นส่วนหักลบกันได้

   "เอาจริงเราอยากถ่ายรูปตรงนี้นะ แต่ตอนนี้ลืมตายังไม่ค่อยได้เลยอะ"

   หันมามองคนทางซ้าย ขำพรืดกับดวงตาที่หรี่ลงจนเกือบเป็นมองไม่เห็น เคยเตือนเรื่องช่วงเวลาที่แดดยังจัดและปรามเรื่องนิสัยไม่ชอบใส่หมวกหรือแว่นเอาไว้แล้วเลยไม่สงสารเลยสักนิด ทีตอนนั้นล่ะทำหน้ามั่นใจว่าโอเคไม่มีปัญหา นี่นึกว่าเปลี่ยนเชื้อสายบรรพบุรุษเสียแล้ว

   ยกมือขึ้นไปบังช่วงครึ่งหน้าผากให้ "งั้นเดินให้รอบก่อนไหม ตอนกลับมาน่าจะแดดร่มพอดี"

   สบกับนัยน์ตาที่เขาไม่เคยสังเกตว่าเป็นสีอะไร จะว่าไปแล้วมันก็มีความแตกต่างจากแรกเจออยู่เหมือนกันนะ เหมือนตอนนั้นจะดูแล้งชีวิตกว่านี้ แต่ก็ไม่กล้าบอกว่าตอนนี้มันดีขึ้นแล้วเพราะอีกฝ่ายเป็นคนยอมรับเองว่าเก่งในเรื่อง 'โกหก' กว่าใคร

   "ก็ได้"

   การเดินกลางแดดโดยไม่ทาครีมป้องกันเลยยังดำเนินต่อจากนั้น นักสำรวจมือสมัครเล่นสองคนเลาะตามริมขอบไปจนสุดทางอีกฝั่งหนึ่ง มุมที่มีต้นไม้บดบังทัศนียภาพบางส่วนเอาไว้แต่ก็ยังร่มรื่นและดูเป็นส่วนตัวดี

   ผู้ชายลุกคุณหนูทรุดนั่งลงกับขอบพื้นยางมะตอยลงเสียตรงนั้น เรียกให้เขาต้องเลียนแบบราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่ได้รับคำสั่งให้คัดลอกทุกการเคลื่อนไหว ต้องอยู่ในอารมณ์สุนทรีย์แน่นอนถึงได้ยินเสียงฮัมบทเพลงสากลสุดท้ายก่อนลงจากรถมา

   ร่มรื่น เงียบแต่ไม่ถึงกับสงบ และไม่มีความเป็นส่วนตัวใดๆ ถึงจะเป็นเช่นนั้นพื้นที่สีเขียวตรงหน้าก็ยังมีอะไรบางอย่างที่คอยดึงดูดความสนใจเอาไว้ได้ ปรัญสูดเอาอากาศเข้าไปเต็มปอด พักสายตาด้วยการเหม่อออกไปจนภาพที่เห็นกลายเป็นรูปเบลอไปเสียหมด

   "ปันว่าเราซิ่วมาเรียนที่นี่ดีปะ"

   เขาไม่ต้องเผื่อเวลาคิดอะไรเลยล่ะ "ไม่"

   "เราชอบอ่างแก้วมากเลย ที่ม.มันไม่มีอะไรอย่างนี้อะ"

   "แต่ที่นี่ไม่มีเรานะ"

   เอื้อมอารัญแทบจะตวัดหน้าจนหัวหันมามอง ตาเบิกกว้างมาพร้อมกับริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อย การแสดงออกแบบคนประมวลผลไม่ทันน่ารักจนเขาหยุดแกล้งต่อจากนั้นไม่ได้

   ก็เลยตั้งศอกพิงแก้มเอาไว้ตรงฝ่ามือ ขยับมุมปากออกด้านข้างช้าๆ พลางเอ่ยปากถามซ้ำในประเด็นเดิม "ถ้าอยากมาอยู่ที่นี่เอื้อมต้องเลือกแล้วล่ะ"

   ใครบอกว่าคุณเอื้อมเป็นคนหยิ่งเขาล่ะอยากจะปารูปตอนนี้ใส่ การได้เห็นใบหน้าขึ้นสีเลือดจางกับเสียงตะกุกตะกักจับเนื้อหาไม่ได้นี่แทบลบทุกภาพความทรงจำที่เคยมีไปได้ทั้งหมด ยิ่งพอเขายักคิ้วให้แล้วอีกฝ่ายก็ยกไม้ยกมือขึ้นมาทำท่าจะฟาดด้วยแล้ว

   ขอเปลี่ยนเป็นบันทึกวีดีโอเอาไว้ดีกว่า

   "ใจร้ายมาก!"

   "ไหนใครบอกว่าเราเป็นคนใจดี" ทวนคำที่ตนเองเคยบอก "เนี่ย ถ้ามาอ่างแก้วทุกวันก็ต้องอยู่คนเดียว ไม่มีคนกินข้าวเย็นด้วยเหมือนอยู่กับเราที่ม.นะ"

   "โหย ลำเลิกบุญคุณใหญ่"

   "ก็ต้องมีบ้าง"

   แถมด้วยกระตุกยิ้มร้ายแบบผู้เหนือกว่า

   "เรามาที่นี่อาจมีเพื่อนเยอะแยะเลยก็ได้นะ"

   "แต่ก็ไม่ใช่เราอยู่ดี"

   จะว่าไร้สาระก็ใช่ เรางัดเอาเรื่องร้อยแปดที่บางอย่างก็ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเป็นเหตุเป็นผลขึ้นมาเถียงกัน จนมีระฆังจบยกเป็นแสงแดดอมส้มยามเย็นคล้อยลงเตรียมจรดพื้นดิน เพราะนั่นเป็นตัวบอกว่าพวกเขาสามารถย้อนกลับไปยังด้านหน้าของอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ได้แล้ว

   จากที่ดูร้างผู้คนกลับกลายเป็นความครึกครื้น มีทั้งเหล่าคนรักสุขภาพ นักศึกษามานั่งเล่นเป็นกลุ่มหรือเดี่ยว รวมทั้งเจ้าหมาขนสั้นสีน้ำตาลที่มาพร้อมปลอกคออันใหญ่ ต่างคนก็ประกอบกิจกรรมของตัวเองไปไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกัน

   ภาพที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอประกอบไปด้วยพื้นที่สีดำเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากเป็นการถ่ายย้อนแสงเต็มที่ จากความตั้งใจว่าจะถ่ายธรรมชาติเลยเบนไปทางผู้ร่วมเดินทางแทน กล้องตัวใหญ่คงมีระบบรองรับเอาไว้พร้อมถึงไม่เจอปัญหาเดียวกัน ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่หันมากำชับว่าห้ามถ่ายแบบที่ดูเด๋อเด็ดขาด

   ผู้ชายผมสั้นกับชุดลายดอกสีดำแซมขาวทรงฮิตกำลังก้มหน้าตรวจสอบภาพในเครื่องมือช่วยบันทึกโดยมีพื้นหลังเป็นครึ่งธรรมชาติทางขวาและมนุษย์สร้างทางซ้ายลงตัวดี แสงค่อนไปทางธรรมดาตามความสามารถของระบบประมวลผลการถ่าย

   เขาจัดการเก็บภาพนั้นเอาไว้ก่อนเรียกชื่อออกไป "เอื้อม..."

   "ว่า ...นี่นึกว่าจะโดนปันแอบถ่ายตอนเหวอแล้วนะเนี่ย"

   "นี่มองเราเป็นคนยังไง"

   "ไม่น่าไว้ใจ" แค่คำตอบก็น่าหมั่นไส้แล้วทำไมต้องทำหน้าจริงจังเสริมด้วย อย่างกับโดนเอาคืนเลยแฮะ "แล้วเราก็ยังไม่รู้ว่าที่จริงแล้วมันมีอะไรอยู่ข้างในหรือเปล่า"
 


   ขอนิยามว่านี่คือการออกจากการเป็นคุณเอื้อมแบบที่ไม่ต้องอาศัยป้ายชื่อ

   "ปัน เราซื้ออันนี้ไปติดที่ห้องดีไหม"

   "ถ้าคิดว่าได้ใช้ก็ซื้อ" ประเมินถุงพลาสติกบรรจุไฟกะพริบดวงเล็กครอบด้วยเส้นด้ายทรงกลมที่ถูกชูให้อยู่ระดับสายตา อันนี้เขาว่าเดินตลาดในกรุงเทพฯ ก็มีนะ "แต่มันมีไม่กี่ลูกเอง จะติดอะไร"

   นับด้วยการกวาดสายตาน่าจะมีแค่สิบสองลูก แค่เรียงบนหัวเตียงก็น่าจะหมดแล้ว แล้วพื้นที่อื่นในห้องของเอื้อมไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือว่าหอก็ไม่ได้เหมาะกับการตกแต่ง ที่คิดออกตอนนี้คือเอาไปพันรอบเคสไวโอลิน น่าจะสวยดีอยู่เหมือนกัน

   ส่วนจะติดไฟไหมเป็นอีกเรื่อง

   "แต่มันสวยดีอะ" นั่นหมายถึงว่าที่เขาออกความเห็นไปเมื่อกี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยสินะ "เดี๋ยวก็หาเรื่องใช้ได้เองแหละเนอะ"

   พ่นลมหายใจเบาๆ ให้ดูไม่มีพิรุธ พยักหน้าอนุญาตให้คนออกเงินได้ทำตามใจ ระหว่ารอจ่ายปรัญก็ใช้โอกาสนั้นมองไปโดยรอบจุดเริ่มต้นของถนนคนเดินแห่งนี้ แน่นอนว่าปริมาณนักท่องเที่ยวมหาศาลสมกับเป็นสถานที่ที่อยู่เกือบทุกรีวิวการเที่ยวเชียงใหม่ นี่แค่ต้นทางเขาก็ชักท้อแท้กับความเบียดเสียดที่กำลังจะมาถึง

   เราออกไปทานข้าวเย็นกันบริเวณด้านหลังของมหาวิทยาลัยอย่างที่วางแผนเอาไว้ การเดินหลงทางอยู่ข้างในเกือบครึ่งชั่วโมงเป็นวิธีการเรียกน้ำย่อยที่ไม่คาดคิด เพื่อทดแทนพลังงานที่เสียไปเราเลยลดสโคปร้านให้เหลือแค่พวกบุฟเฟ่ต์ โดยใช้ทฤษฎีร้านไหนคนเข้าเยอะแสดงว่าอร่อยเป็นตัวตัดสิน

   ประทับใจราคาที่ย่อมเยากว่าร้านรอบมหาลัยตัวเองหลายอยู่ ถ้าเรียนที่นี่คงมีหวังน้ำหนักขึ้นเพราะว่าเอนจอยกับการกินทั้งวันแน่

   นี่กว่าจะหาสถานที่จอดรถได้ก็นานอยู่ ไม่รู้ว่ากลับไปจะถูกกรีดหรือว่ามีรอยจากการเฉี่ยวชนหรือไม่ เราแทบไม่ต้องมองหาป้ายบอกทางหรือว่าเปิดแผนที่เลย เห็นฝูงชนเดินไปทางไหนเยอะๆ ก็ตามไป สุดท้ายก็มาถึงกำแพงอิฐสีส้มติดป้ายชื่อสามภาษาเอาไว้

   ต่อจากกินแล้วก็ชอปปิง นี่แหละคือกิจกรรมสุดท้ายของวันนี้ เขาไม่คิดว่าจะได้ของติดไม้ติดมือเท่าไหร่อย่างคนรู้นิสัยตัวเองดี อย่างมากก็น่าจะซื้อของชิ้นเล็กกลับไปเป็นของฝากให้คนที่บ้าน

   "คนเยอะจังเนอะ..."

   รูปประโยคเหมือนจะคุยกับเขาใช่ไหม ส่วนในความเป็นจริงคือพูดจบปุ๊บก็พุ่งเข้าไปยืนหน้าร้านขายถ้วยชามเซรามิกห่างจากที่ยืนอยู่ประมาณห้าก้าว ชั้นวางของทำจากไม้แบบโปร่งมีเครื่องเรือนหลายชนิดวางเรียงกันจนเต็มทุกชั้น ตั้งแต่แจกันทรงสูง ชุดกาน้ำชา ชามสีเขียวไข่กามีลายเส้นดอกไม้สีครีมประดับ เป็นต้น

   เหมือนกันถนนคนเดินทั่วไปที่เรียงแผงขายต่อกันไปเรื่อยๆ จนถึงสุดถนน คนเดินสวนไปมาขวักไขว่จนเขาเองต้องขยับเข้ามาข้างในเขตร้านให้มากขึ้น เอื้อมย่อตัวลงมองชั้นวางเกือบล่างสุดด้านหน้าตัวเอง สายตามองตรงจริงจังกับการเหล่มองทั้งซ้ายและขวาจนได้แก้วทรงสูงสีมุกมาไว้ในมือ

   "สวยไหม"

   "ก็ดี"

   "งั้นเอาใบนี้ครับ"

   ไม่มีการถามราคาก่อนตกลงซื้อด้วยซ้ำ อดีตดินเหนียวที่ได้รับการขึ้นรูปถูกส่งไปอยู่ในมือของคนขายสำหรับการห่อป้องกันเอาไว้ด้วยหนังสือพิมพ์ จะว่าไม่ชินก็ใช่อยู่ เวลาอยู่กับเอื้อมเรามักจะเสียเงินกับของกินแทบทั้งหมด พอได้เห็นจิตวิญญาณนักชอปที่มีอยู่มากไม่แพ้กันแล้วก็อดตกใจไม่ได้

   "คิดว่าเราซื้อไปทำไมอยู่ล่ะสิ" ใบหน้ารู้ทันกับท่าการชี้มือมาทางเขาอย่างกับว่าอ่านใจคนได้ "จะเอาไปไว้ในห้องที่ปรึกษา จะได้ไม่ต้องแย่งคนอื่นใช้"

   "เห็นมาทีไรก็เอาชาเขียวปั่นของตัวเองมาตลอด"

   "นี่เราวางแผนไว้แล้วว่าเดี๋ยวจะไปซื้อเครื่องปั่นมาทำกินเอง"

   เรื่องอนาคตเอาไว้ก่อน ตอนนี้ถึงเวลาของการเดินชมสินค้าตามเส้นทางแล้ว ความหนาแน่นของนักท่องเที่ยวอยู่ในระดับการจราจรติดขัดเป็นระยะ มันไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาสองคนเพราะพร้อมจะแวะพักทุกร้านที่ผ่าน

   ของขายมีทั้งแบบพื้นเมืองแล้วก็อย่างที่วัยรุ่นชอบ เสื้อปักลายแบบชาวดอยคือร้านล่าสุดที่เข้าไป ถึงตอนนี้เงินของปันก็ยังไม่ได้ปลิวออกจากกระเป๋าเลยสักบาท ต่างจากเอื้อมอารัญนี่หมดไปกี่พันแล้วก็ไม่อยากนับ อะไรจะขยันซื้อได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า

   คนถูกนินทายังคงไม่รู้ตัวหรอก เขายังจ้องแผงผ้าขาวม้าที่วางเรียงเอาไว้เป็นระเบียบไม่ยอมวางตา ถ้าจะซื้ออันนี้บอกเลยว่าต้องมีการดีเบตความจำเป็นในการใช้งานก่อนอนุมัติการซื้อแน่นอน ไม่อย่างนั้นแล้วน้ำหนักกระเป๋าขากลับที่คิดว่าเหลือเฟือน่าจะหมดก็เพราะอย่างนี้

   "ปัน"

   ไม่เว้นช่องให้ถามหรอก จังหวะนี้ต้องรีบขัด "บอกก่อนว่าซื้อไปทำไม"

   "ง่ะ..."

   ทำหน้าจ๋อยนี่เป็นวิธีการใหม่เพื่อให้ใจอ่อนหรือไง เขาเลื่อนมือไปโอบไหล่อีกฝ่ายเอาไว้สำหรับการดึงให้ออกมาจากตรงนั้น เป็นการตัดบทที่เข้าท่าและไม่ต้องโต้เถียงกันให้เหนื่อยใจ

   พ้นจากส่วนแออัดมาได้สักที แม้ทางข้างหน้าจะคราคร่ำไปด้วยผู้คนแต่มันก็ยังมีความหนาแน่นในปริมาณที่น้อยกว่า หายใจได้คล่องหน่อย

   "จับอย่างนี้นี่คือกลัวเราหายหรือยังไง"

   ช่วงมือที่พักเอาไว้ตรงไหล่ขยับขึ้นเล็กน้อย เสียงเย้าติดตลกไม่มีความหงุดหงิดผสมอยู่ ปรัญหันศีรษะไปทางขวาเพื่อสบตาคู่เดียวกับที่เห็นมานับร้อยครั้ง เวลากลางคืนแปรมันให้กลายเป็นนัยน์ตาสีดำรัตติกาลที่ซ่อนทุกรอยแผลเอาไว้มิดชิด ไร้ทางเสาะหาความจริงข้างใน

   แล้วปรัญตอนนี้กำลังซ่อนอะไรเอาไว้อยู่หรือเปล่านะ

   "มั้ง"

   "ปันโคตรแย่เลย"

   อยากจะหัวเราะออกมาให้เต็มเสียงแต่คนอื่นคงได้ตัดสินว่าเพี้ยน ก็เลยทำได้แค่เฉไฉไปคุยเรื่องอื่นต่อระหว่างหยุดดูการแสดงเปิดหมวก "เราแย่ตรงไหน"

   "ทั้งหมด"

   "งั้นถ้าเราอนุญาตให้เดินกลับไปซื้อผ้าขาวม้าจะกลายเป็นคนดีไหม"

   เอาเรื่องที่น่าจะเป็นตัวจุดชนวนความบาดหมางขึ้นมาเจรจาใหม่ ปากที่เบะออกภายหลังจากได้รับข้อเสนอบอกชัดว่าเป็นการเลือกที่ผิดพลาด "ไม่ย้อนไปแล้ว"

   "งั้นทำยังไงดี"

  "ห้ามปล่อยเราไป"


***
 ต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
เฮ้อ !!! ไม่ค้างคาใจกันแล้วใช่มั้ย  :hao5:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
   "…"

   "หมายถึงมือของปันตรงไหล่เราเนี่ย"

   "ก็ได้..."

   "ปัน! ไปร้านนั้นกัน!"

   ข้อตกลงยังไม่ทันได้รับการสนองจากคู่สัญญาอย่างเขาเลยด้วยซ้ำไป ปลายนิ้วของเอื้อมชี้ไปยังร้านขายกางเกงผ้าลายช้างอันเห็นได้ทั่วไปในตลาดทุกพื้นที่ เป็นสินค้าขายดีแบบที่กินบริเวณสองถึงสามล็อก รวมถึงมีลูกค้าจำนวนหนึ่งยืนเลือกซื้อกันจริงจังอีกด้วย

   เอื้อมหยิบเอากางเกงขายาวหลายแบบมาเทียบกันคร่าวๆ เพื่อคัดออกไปทีละชิ้นจนเหลือเพียงสองแบบเท่านั้น เพื่อนหลายคนการันตีถึงความเบาสบายของมันแต่นั่นก็หมายถึงการดูแลรักษาก็ต้องมากขึ้นตามลำดับ ประเภทที่ใส่ได้ไม่เท่าไหร่ตรงรอยเย็บก็ขาดออกจากกันนี่ธรรมดามาก

   ไม่เคยเห็นเอื้อมใส่สไตล์นี้มาก่อน เขาชอบอยู่กับความเรียบง่ายที่ดูดีเป็นส่วนใหญ่ เชิ้ตไม่มีลายกับกางเกงสีพื้นฐานทำนองนั้น ลองจินตนาการว่ากำลังเล่นเกมตุ๊กตากระดาษที่มีหุ่นคือเอื้อมแล้วจัดการเอากางเกงช้างไปทับก็ไม่ได้แปลกอะไร

   "ชอบแบบไหน"

   ทั้งสองแบบมีลายสัตว์ประจำชาติเป็นองค์ประกอบหลัก ต่างกันตรงที่ตัวซ้ายเป็นสีดำแล้วอีกตัวเป็นสีแดงเลือดหมูคาดด้วยเส้นสีเหลืองเข้ม เรื่องของความสวยมันอยู่ที่ปัจเจกบุคคลจะเอาไปเทียบกันมันไม่ได้หรอกนะ

   "ส่วนตัวเราชอบซ้ายมากกว่า" ด้วยเหตุผลเดียวคือมันเป็นสีดำ ใส่ง่าย

   "งั้นเอาทั้งสองแบบไปเนอะ"

   แล้วจะถามเขาทำไม

   มองภาพการจ่ายเงินเล่นซ้ำอีกครั้งแต่เปลี่ยนตัวคนขาย เขาเห็นจนเริ่มจำวิธีการจัดเรียงบัตรในกระเป๋าเงินใบเล็กของเอื้อมได้แล้ว หน้าสุดเป็นบัตรประชาชน ต่อด้วยบัตรนักศึกษา ส่วนด้านบนเป็นใบขับขี่ ช่องสำหรับธนบัตรแบ่งเป็นข้างหน้ากับข้างหลัง ส่วนหน้ามีแค่ใบสีเทาใบเดียวไว้สำหรับเสริมมงคล ที่ใช้จริงคือช่องหลัง

   ส่วนอีกฝั่งหนึ่งมีรูปประดับคือไวโอลินตัวเก่งวางเอาไว้บนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ ไม่มีรูปถ่ายครอบครัวหรือว่าเพื่อนสนิทอย่างที่คนอื่นมักจะทำกัน อย่างเขาเองถึงไม่ได้เอามาไว้ช่องหน้าแต่ก็มีรวมถ่ายรวมรุ่นวันปัจฉิมเก็บเอาไว้

   "ไว้พรุ่งนี้ใส่เป็นคู่กัน ดีไหม"

   "หืม?"

   "กางเกงไง"

   "กางเกง...?" มองงานศิลปะบนผ้าใบเพลินเสียจนไม่ได้ตั้งใจฟังว่าตอนต้นพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ กางเกงมันมีอะไร

   "ที่ซื้อมานี่ไง"

   เห็นถุงพลาสติกใบใหญ่ใส่ทุกอย่างรวมเอาไว้เพื่อลดโลกร้อนแล้วถึงนึกออก "เอื้อมก็ใส่สิ ซื้อมาแล้วนี่"

   ถึงจะไม่ได้ซักก็ไม่น่าเป็นอะไรมั้ง ที่ห้องพักก็ไม่ได้มีพื้นที่สำหรับการซักมือแล้วตากด้วย ที่นี่คนใส่กางเกงช้างเยอะแยะจะตายไป ไม่เป็นจุดสนใจอย่างแน่นอน

   สุดทางแล้วก็ได้เวลาเลี้ยวกลับไป คราวนี้ชนิดของสินค้าเริ่มซ้ำกับที่ผ่านมาแล้วจนใช้เวลากับการแวะเข้าออกน้อยกว่าเดิม อากาศในเวลากลางคืนมีลมพัดพอให้เย็นสบายจนเผลอแป๊บเดียวก็กลับมาถึงจุดเริ่มต้น เราตบท้ายด้วยการซื้อน้ำเปล่ามาดับกระหาย พักขายืนพิงกับเวทีกลางแจ้งที่ไม่รู้ว่าเตรียมเอาไว้สำหรับงานอะไร

   ลานกว้างมีหลายกิจกรรมเกิดขึ้น ทั้งเด็กตัวเล็กวิ่งเล่นไล่จับ นักท่องเที่ยวที่รวมทีมถ่ายรูป แล้วก็กลุ่มคนวัยไล่เลี่ยกับเขาที่เปิดเพลงเต้นโคฟเวอร์แดนซ์กันโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง

   "เชี่ย มึงจะเต้นกันต่อจริงดิ"

   "เออ ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเราหรอกมึง"

   จุดที่ยืนใกล้กันพอสมควรจนได้ยินชัดว่าพวกเขาพูดอะไรกันบ้าง สำเนียงคนภาคกลางและสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังบนกระเป๋าผ้าของหนึ่งในนั้นแทนการบอกช่วงอายุที่ไม่ต่างจากการประเมิน หญิงสาวในชุดเสื้อครอปพร้อมหมวกปิดครึ่งหน้ากับผู้ชายอีกคนผลัดกันเต้นตามท่อนที่ตนเองถนัด โดยที่เหลือแบ่งหน้าที่กันเป็นฝ่ายเปิดเพลงในระดับความดังพอให้ได้ยินแค่ในกลุ่ม ถ่ายคลิป และส่งเสียงเชียร์ตามลำดับ

   พวกเขาดูมีความสุขดีจังนะ

   เพราะเป็นอิสระจากการ 'ไม่รู้จัก' อย่างนั้นหรือเปล่า

   "สนใจมาเล่นไวโอลินบ้างไหมเอื้อม" กระทุ้งศอกใส่ คว้าเอาขวดน้ำเปล่าที่ยังเหลือเกือบครึ่งมาดื่มอีกครั้ง

   "ไม่มีทางอะ ไม่กล้าพอ" ตอนที่เดินข้างในก็เจอคนเปิดหมวกด้วยการบรรเลงเพลงจากเครื่องสี่สายเหมือนกัน ยืนดูได้แป๊บเดียวเอื้อมก็บอกว่าอยากจะไปดูอย่างอื่นต่อแล้ว "อิจฉาจัง ทำไมคนเราถึงต้องมีความกล้าไม่เท่ากันด้วยนะ"

   "มันก็อยู่ที่ปัจจัยอื่นด้วยแหละ ได้ยินที่เขาบอกว่าเพราะที่นี่ไม่มีใครรู้จักไหม"

   จะว่าเป็นตลกร้ายก็ใช่ เราทุกคนต่างถูกบังคับให้อยู่ในกรอบของสังคมที่ไม่มีความยืดหยุ่นและไร้มาตรฐานมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เราอายต่อการเป็นตัวเองเพราะถูกฝังหัวมาว่า 'ต้องเป็นตามแบบ' การแสดงความมั่นใจกลายเป็นคนเสนอหน้า และจินตนาการกลายเป็นการท่องจำ

   "ก็จริง"

   "โลกมันก็โหดร้ายอย่างนี้แหละ" ตบบ่าให้กำลังใจไปอีกสักที มองนาฬิกาแล้วพบว่าควรจะกลับไปพักผ่อนได้แล้ว "กลับกันเลยไหม"

   "เดี๋ยวก่อน"

   รอฟังว่าคำใดจะเอ่ยตามมา ความเงียบจากนั้นบอกให้เขามองช่วงนัยน์ตาเต็มไปด้วยรอยสับสนไล่ลงมาถึงริมฝีปากที่เม้มเอาไว้แน่น และเมื่อหนังตาหลุบลงต่ำจะเห็นชัดว่าฝ่ามือกำลังขยุ้มปลายเสื้อโอเวอร์ไซซ์เสียจนยับย่น

   อาการกังวลชัดเสียจนปรัญผู้ไม่ได้เรียนทางจิตวิทยาโดยตรงก็ยังพอเข้าใจสถานการณ์ได้ ปล่อยให้เวลาได้เป็นเครื่องมือสำหรับการผ่อนคลายโดยไม่เข้าไปแทรก เสียงเพลงเกาหลียังดังสลับกับเสียงร้องให้กำลังใจจากคนกลุ่มเดิม

   กระทั่งเราได้สบสายตากันอีกครั้ง

   "ถ้าที่นี่ไม่มีใครรู้จักเรา ...เราจูบปันได้ไหม"

   ปรัญคลี่ยิ้มจาง ขยับตัวเข้าใกล้เป็นฝ่ายประทับปิดริมฝีปากเองโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว

   เรื่องแบบนี้ใครเขาถามกันก่อนล่ะ
 


   เอาเข้าจริงแล้วใครเป็นคนเริ่มวัฒนธรรมการจูบนะ

   ปรัญตั้งหนึ่งคำถามขึ้นมาระหว่างดูหนังฝรั่งแนว Coming of age อยู่คนเดียวในห้องพัก เสียงน้ำกระทบพื้นกระเบื้องจากอีกฟากของกำแพงคอยรบกวนใจไม่หยุด

   เอื้อมเองก็ไม่ได้ดูแปลกไปหลังจากเหตุการณ์นั้น ก็ยังเล่าแผนการเที่ยวในวันสุดท้ายระหว่างขับรถกลับที่พักได้ไม่มีสะดุด พอถึงห้องเขาก็แยกไปอาบน้ำก่อน ให้อีกคนได้เคลียร์ของทั้งหมดว่าจะยัดใส่กระเป๋าเดินทางกลับอย่างไร แต่เหมือนว่ามันไม่น่าจะราบรื่นดูจากปริมาณของที่ยังวางเอาไว้ระเกะระกะเต็มพื้น

   ก็แปลกใจแหละที่มันไม่ค่อยเหมือนอย่างนิยายหรือว่าหนังรักโรแมนติกยามตัวเอกได้รู้จักการสัมผัสด้วยริมฝีปาก ถ้าไม่นับว่าเคยมีเพื่อนเมาแล้วเที่ยวไล่จูบมันก็เป็นครั้งแรกของคนไม่เคยมีความรักอย่างเขา ส่วนเอื้อมคิดเอาเองว่าคงไม่เหมือนกัน ก็มีแฟนมาตั้งกี่คนแล้วล่ะ

   จำสัมผัสหยุ่นตอนนั้นไม่ค่อยได้แล้วด้วยซ้ำ ประมาณว่านิ่มแล้วก็แฉะนิดหน่อยจากน้ำเปล่าที่เพิ่งดื่มเข้าไป เขากดมันค้างอยู่อย่างนั้นไม่กี่วินาทีก่อนผละออก ความที่ 'ไม่มีใครรู้จัก' ทำให้เราไม่สนใจว่ารอบข้างจะคิดเห็นอย่างไร

   และตอนนี้เขากำลังติดอยู่กับความทรงจำของสองชั่วโมงที่ผ่านมามากเลยล่ะ

   "เราเอากางเกงไว้ตรงนี้นะ"

   มองไปยังเก้าอี้ไม้ที่กลายเป็นราวตากผ้าชั่วคราวไปแล้ว จุดชี้เป้าคือกางเกงขายาวลายช้างสองตัวพาดเอาไว้ข้างกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังเลือกไม่ได้เลยเหรอ

   "ปันเอาเสื้อสีอะไรมาอะ ถ้าใส่กับตัวดำกลัวมันจะประหลาด"

   พอเอาช่วงต้นกับช่วงท้ายมาบวกเข้าด้วยกันทำไมเขาว่ามันแปลกๆ ถึงจะเอาเสื้อตัวไหนมามันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกางเกงของเอื้อมเลยไม่ใช่เหรอ

   "เอาสีดำมา" เสื้อค่ายอาสาสมัยมัธยม สมัยยังไม่เป็นรุ่นมินิมอลเลยเป็นลายมาสคอตสกรีนหราเต็มด้านหลัง "สรุปแล้วจะใส่สีดำเหรอ"

   เห็นว่าตอนเลือกดูลังเลตั้งนาน หรือว่ามันเข้ากับเสื้อที่เตรียมไว้สำหรับพรุ่งนี้นะ

   เส้นผมเปียกชื้นถูกเสยขึ้นไปด้านบนเผยช่วงคิ้วขยับเข้าหากันเล็กน้อย "สีดำของปันไง"

   "ของเรา?"

   "ก็เลือกตัวนี้เองอะ" ลองท่องกาลเวลากลับไปตอนซื้อว่าได้แสดงออกว่าจะเป็นเจ้าของตอนไหน มีแต่เอื้อมที่ยื่นมาให้เลือกแล้วสุดท้ายก็ซื้อทั้งสองตัวอยู่ดี "อันนี้ของปัน ที่เราบอกว่าใส่ด้วยกันไง"

   ระบบประมวลผลน่าจะค้างจนต้องอธิบายใหม่ให้ฟังตั้งแต่ต้น ที่พูดเรื่องกางเกงตอนนั้นหมายถึงอย่างนี้เหรอ "อ่า...โอเค"

   ไม่หืออือหรือคัดค้าน ปรัญก็ยังเป็นคนที่ไม่ชอบขัดใจใครอยู่เหมือนเดิม

   โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ชายชื่อเอื้อมอารัญ

   "จะถ่ายรูปเก็บไว้ด้วย แบบที่เขาชอบทำคอนเซปต์เสื้อผ้าไง"

   เคยเห็นใครสักคนหรืออาจจะเป็นเอื้อมนี่แหละแชร์มา พวกเที่ยวทั้งแก๊งค์ใหญ่โดยมีกิมมิกเป็นสีเสื้อผ้าตามธีม ก็น่ารักดีถ้าเป็นพวกสนุกกับการให้ความร่วมมือ ถ้าเป็นเขาแล้วอาจจะขอบายไม่ไปทริปนั้นถ้าต้องไปตามหาซื้อใหม่แถมยังไม่รู้ว่าจะได้ใส่อีกครั้งเมื่อไหร่

   "แต่ก่อนจะคิดเรื่องถ่ายรูป เก็บของทั้งหมดนั่นก่อนไหม" คิดถึงตอนวีดีโอคอลเก็บของแล้วการันตีว่ากระเป๋าใบนี้เหลือเฟือสำหรับสามวันสองคืนเลย ขอถอนความมั่นใจทั้งหมดนั่นก่อนนะ

   "อย่าพูดสิ เครียดอยู่เนี่ย"

   "เก็บให้อยู่ในถุงเดียวกันแล้วแบกขึ้นเครื่องเอาแล้วกัน"

   "ปันจะถือให้เนอะ"

   ก็ไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้ล่วงหน้า "ครับผม"

   "นี่ดูเรื่องอะไรอะ"

   "ไม่รู้เหมือนกัน เปิดเจอก็เลยดู"

   ตอนนี้เข้าสู่ช่วงไคลแม็กซ์ของเรื่องแล้ว หลังจากที่หญิงสาวได้พบความจริงว่าสิ่งที่เคยเป็นฝันหวานความรักในฤดูร้อนสุดท้ายเป็นเพียงการเล่นสนุกของชายหนุ่มที่ไม่เคยคิดอะไรกับเธอเลยสักนิด ความเจ็บปวดที่แสดงออกผ่านสีหน้าและน้ำเสียงสะเทือนจนเขารู้สึกตาม

   "หนังเศร้าเหรอ เราไม่ชอบเลย"

   ปากเล่าส่วนตัวก็นั่งตุ๊บอีกฝั่งของเตียง กล้องในมือถูกเปิดขึ้นมาตรวจสอบภาพถ่ายในรอบวัน ด้วยความที่ไม่ได้ตั้งใจดูมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วเขาก็เลยเปลี่ยนช่องไปหาอย่างอื่นดู ข่าวรอบดึกกำลังรายงานความคืบหน้าของคดีในเชิงชู้สาวระหว่างผู้อำนวยการศูนย์งานกับนักศึกษาฝึกงาน

   "อันนี้ก็ไม่เอา" การสั่งเต็มไปด้วยอารมณ์ร่วม ความผันผวนยิ่งกว่าตัวเลขในตลาดหุ้นบอกให้เขารีบทำตามคำบัญชา

   เปิดไปอีกสองสามช่องก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ กดปุ่มปิดหน้าจอลงเสียแล้วเหลือบไปมองคนข้างตัวว่าทำอะไรอยู่ ผู้ชายในชุดนอนสีกรมไม่มีลวดลายเอาแต่กดปุ่มเลื่อนดูภาพไปมา ไม่ได้สนใจความชื้นบนศีรษะเลยสักนิด

   ขัดตาจนลุกไปเอาผ้าผืนเล็กภายในห้องพักมาไว้ในมือ ถือวิสาสะเปลี่ยนตำแหน่งและท่านั่งของเอื้อมให้เหมาะสมเหมือนกำลังเล่นกับตุ๊กตา ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการซับน้ำของผ้าล่ะนะ

   "ไม่ค่อยมีรูปปันเลยอะ"

   ส่วนอัลบัมในโทรศัพท์ของเขาในช่วงสองวันนี้มีแผ่นหลังของเอื้อมอารัญไปมากกว่าหนึ่งส่วนสาม "ไม่เห็นแปลกเลย"

   "ชอบรูปที่ถ่ายเมื่อวานมากกว่า" มีหลายรูปจนไม่กล้าฟันธงว่ากำลังสื่อถึงภาพไหน "วันนี้มีแต่ของกิน"

   ต่อจากการเลือกภาพถูกใจก็คือการส่งเข้าเครื่องสมาร์ตโฟนสำหรับการปรับแต่งโทนสี เราต่างอยู่ในโลกของตัวเองไปอีกพักใหญ่จนเขานึกออกว่ามีบางเรื่องที่ยังสงสัยอยู่

   "ทำไมถึงไม่ดูข่าวเมื่อกี้เหรอ" นอกจากความไม่พอใจแล้วความรังเกียจคือสิ่งที่ส่งผ่านสีหน้าและน้ำเสียง

   "เราเกลียดข่าว"

   "ขอคำขยาย"

   "ย้อนแย้ง สักแต่ขายความน่าสนใจ ไม่เคยให้เกียรติคนที่คุณสร้างเงินจากเรื่องเดือดร้อนของเขา" กล้องดีเอสแอลอาร์เมื่อหมดประโยชน์ก็กลายเป็นของที่ทิ้งไว้บนพื้น "ข่าวเมื่อกี้ก็เหมือนกัน เปิดหน้าผู้หญิงที่เป็นผู้เสียหายหราแต่ไม่ยอมบอกว่าผู้ชายเป็นใคร ตลก"

   เห็นด้วยในประเด็นนี้ ในเนื้อหาของข่าวมักจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับฝ่ายที่ควรได้รับการปกป้องมากเกินควร ทั้งที่ความเป็นส่วนตัวเป็นเรื่องพื้นฐานที่ไม่ว่าใครก็สมควรจะได้รับ

   สิทธิขั้นพื้นฐาน

   ช่วยเข้าใจกันหน่อยเถอะ

   "จะว่าก็ไม่ได้ เพราะคนเสพสื่อมันต้องการอย่างนี้"

   "ใช่ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกที่บอกว่า 'ทำตามหน้าที่' มันทำให้บางคนตกอยู่ในนรกทั้งเป็น" เค้นหัวเราะขมขื่น ภาพที่ปรับไม่เสร็จครบทุกกกระบวนการลับหายไปพร้อมกับการกดปุ่มพักหน้าจอ "จนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วเลยล่ะ"

   เหมือนกับตัวตนของเอื้อมที่เขารู้จัก มักจะมีสีสันอยู่เสมอยามเปิดการใช้งาน หากเมื่อทุกอย่างดับลงเขาไม่อาจเข้าถึงได้เลยว่าในอดีตมันเคยแสดงสิ่งใดเอาไว้ นอกจากนั้นถ้าอยากเข้าถึงข้อมูลให้ได้อีกครั้งก็ต้องหาพาสเวิร์ดที่ถูกต้องให้ได้เสียก่อน

   "ผมเริ่มแห้งแล้ว นอนเลยไหม" เท่าที่สังเกตถ้าสระผมก่อนนอนเอื้อมจะปล่อยให้หมาดไม่ถึงกับแห้งทั้งหมด

   "ไม่ เรามีอีกเรื่องต้องเคลียร์"

   "หือ ไม่ไปกินข้าวซอยนะ"

   โยนผ้าผืนเล็กให้พาดไว้ตรงราวไม้ปลายเตียง ตรวจดูให้แน่ใจว่าได้ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และหน้าที่สุดท้ายของวันนี้คือการบังคับให้คนข้างตัวเข้านอนเสียที

   "ไม่ใช่เรื่องนั้นสิ"

   เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น นึกไม่ออกว่าสิ่งใดอยู่ในความสนใจของเอื้อม "แล้วเรื่องไหน"

   "เรื่องก่อนกลับที่พัก"

   บทจะโพล่งออกมาก็ไม่มีการเกริ่นนำเลยแฮะ ปันเคลื่อนตัวลงนอนทิ้งศีรษะลงบนหมอนใบนุ่ม ดึงผ้าห่มให้คลุมถึงช่วงอก "อ่าฮะ?"

   "ทำไมจูบเรา"

   "ก็เอื้อมบอก"

   "เราบอกว่าเราจะจูบปันต่างหาก"

   สรุปแล้วนี่เขาก็ผิดเพราะว่าเป็นฝ่ายเริ่มก่อนอย่างนั้นเหรอ เพื่อไม่ให้เป็นการหมางเมินจนเก็บเอาไปคิดมากเองเลยต้องนอนตะแคงแหงนหน้าขึ้นไปมองคนที่ยังนั่งพิงเตียงเอาไว้อยู่

   "สุดท้ายแล้วเราก็จูบกันอยู่ดีไหมอะ"

   ทำอย่างกับว่าถ้าเปลี่ยนคนเริ่มจะมีอะไรเปลี่ยนไป

   หนึ่งบวกหนึ่งยังไงก็เป็นสองอยู่ดี

   "ฮื่อ มันไม่เหมือนกัน"

   ถ้าฮิวได้ยินว่าเรากำลังดีเบตกันเรื่องอะไรอยู่ต้องอกแตกตายแน่ ปรัญเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมเราสองคนถึงเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกันอย่างกับเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ สำหรับเขาเองมันกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เอามาคุยกันได้โดยไม่มีข้อห้ามไปแล้ว

   "ไม่เหมือนตรงไหน"

   เปิดคลาสเรียนปรัชญาเบื้องต้นหนึ่งศูนย์หนึ่งว่าด้วยการวิพากษ์ ทำตัวเป็นอริสโตเติลผู้ซึ่งพร้อมจะตั้งคำถามไปเรื่อยๆ จนกว่าความคิดจะตกผลึกและกลายเป็นชุดความรู้ใหม่ขึ้นมา

   "มันไม่ใช่อะ"

   "งั้นแบบไหนถึงใช่" ชักสนุกกับการจี้ถาม จะได้นอนไหมเนี่ย

   "แบบที่เราเป็นคนจูบเอง"
   
   หลุดยิ้มยอมแพ้ ดันตัวขึ้นมาค้ำไว้ด้วยศอก ยื่นหน้าเข้าไปใกล้นิดหน่อยเพื่อให้เอื้อมอารัญได้ทำอย่างต้องการ "อะ พร้อมแล้ว"

   เราสบสายตากันเงียบๆ ประกายที่สะท้อนจากไฟข้างเตียงขับให้นัยน์ตาของเอื้อมสวยงามยิ่งกว่าครั้งไหน ช่วงหน้าที่เคยเห็นชัดครบทุกส่วนเริ่มกลายเป็นภาพขยายเมื่อโน้มตัวเข้ามาใกล้เป็นระยะ ยามช่วงจมูกของเราสัมผัสกันเขาหลับตาลงเตรียมพร้อมรับความรู้สึกเดิมอีกครั้ง

   ยังเป็นความนุ่มที่น่าประหลาด ระหว่างกำลังเรียนรู้และจดจำริมฝีปากของอีกฝ่ายก็เริ่มมีการขยับออกเล็กน้อย ปรัญรู้โดยทันทีว่ามันหมายถึงสิ่งใด องศาของใบหน้าถึงปรับเพื่อให้เหมาะกับการแลกสัมผัส

   จูบของเราดำเนินต่อจากนั้นอีกครู่ใหญ่ มีเสียงเล็ดลอดออกมาบ้างแต่ไม่ถึงอย่างที่ได้ยินในหนังหรือละคร ก่อนที่ระดับความซุกซนจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อเขารับรู้ถึงการรุกล้ำด้วยปลายลิ้น

   ความไม่ประสีประสาทำให้ทุกอย่างดูติดขัดในช่วงแรก พอเริ่มชินกับสิ่งแปลกปลอมจนกล้าทักทายกลับมันกระตุ้นระดับความต้องการบางอย่างให้พุ่งขึ้นสูง เขาขยับขึ้นคร่อมในขณะที่เอื้อมร่นตัวลงนอนราบกับเตียง มือทั้งสองข้างโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้อย่างรู้งาน

   สิ่งหนึ่งที่ได้รู้คือจูบไม่มีรสชาติ

   และสองคือเอื้อมอารัญไม่ได้จูบเก่งกว่าเขาเท่าไหร่


 ***
   เป็นตอนที่เจ้าชอบที่สุดของเรื่องนี้แล้วค่ะ (ยิ้ม) เหลืออีกสองตอน อยากให้อยู่ด้วยกันจนจบนะคะ
   #ไม่มีความจริง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด