ตอนพิเศษที่ 2
‘ เสาร์นี้กูกลับบ้านนะ ’ คำพูดที่ได้ยินเป็นครั้งที่สิบ ผมทำทีเป็นไม่สนใจและไม่แม้จะตอบตกลงอะไรทั้งนั้น แต่บางทีอาจเพราะการไม่ตอบตกลง คนที่รู้จักกันดีอย่างดีแบบคนที่กำลังนั่งกินเครปในมือพลางใช้นิ้วจิ้มทำงานบนหน้าจอไอแพตไปด้วยนั้นก็เลยยังคงคะนั้นคะยอที่จะต้องการคำตอบ ‘ คนแบบมึง ถ้าไม่ได้รับคำตอบว่าไปสิ พอถึงวันจะไปจริงๆ มึงก็จะบอกว่า ใครบอกให้ไป แล้วก็เอาข้ออ้างสารพัดมาอ้างกับกู จะพากูไปนู้นไปนี่บ้างละ เพราะงั้นกูเลยต้องเอาคำตอบจากมึงให้ได้ว่าจะให้กูไป ไม่งั้นกูก็จะไม่หยุดพูดเด็ดขาด ’
รู้ดี และ ร้ายกาจขึ้นทุกวันจริงๆ ไอ้แก้มอ้วน
“ แต่กูไม่มีทางให้มึงไปหรอก ” ความคิดที่ถูกเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบของห้องทำงานบนชั้นสาม ทำให้คนที่กำลังกินและทำงานไปด้วยคนนั้น เลิกคิ้วมองกันอย่างสงสัย “ มองไร ”
“ มึงนั่นแหละเป็นเหี้ยอะไร อยู่ๆพูดขึ้นมาคนเดียว ผีเข้าเหรอ ? ”
“ ส่วนมึงก็ผีตะกละเข้าถูกมั้ย ” เอื้อมมือไปเขี่ยเศษเครปที่ติดอยู่ข้างแก้มออก ผมเผลอยกยิ้มกับปฎิกริยาตอบกลับของมันที่ก็ยกมือตัวเองขึ้นปัดหน้าแบบวุ่นวายไปหมด เพราะคิดว่ายังคงมีเศษขนมติดอยู่ “ กูลงไปข้างล่างนะ ”
“ อื้ม เดี๋ยวกูจะลงตามไป วันนี้มีเช็คเหล้ากับเด็กๆ ”
“ อื้ม ” พยักหน้ารับให้มันก่อนจะเดินออกมา ผมเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ในห้องคนเดียวอย่างเช่นทุกที แล้วตอนที่กำลังปิดประตูลง ก็ต้องเผลอยิ้มออกมาเหมือนทุกครั้ง ที่ได้แอบมองกันแบบนี้
ผมรู้เรื่องการกลับบ้านของเมดตั้งแต่วันที่เราไปเที่ยวทะเล จำได้ว่าพอลืมตาตื่นขึ้นมา ช่วงเวลาที่กำลังจะดึงคนข้างตัวเข้ามากอดแล้วหอมแก้มเหมือนทุกที ผมกลับพบว่าเมดอาบน้ำเสร็จแล้วและกำลังนั่งดูเมนูอาหารอยู่ปลายเตียง ความหงุดหงิดแรกเริ่มคืบคลานเข้ามาหาเพราะอดที่จะได้ทำอะไรตามปกติที่อยากทำ แต่ทว่าความหงุดหงิดของจริงมันเริ่มต้นตอนที่เมดหันมายิ้มให้กัน แล้วพูดว่า ‘ เมื่อกี้พ่อกูโทรมา พ่อบอกให้กลับบ้านบ้าง กูเลยจะกลับบ้านเสาร์นี้นะ ’
ในตอนนั้นผมตอบมันแค่ว่า ‘ ไม่ให้กลับ ’ ก่อนจะดึงตัวเองเข้าไปจูบที่ริมฝีปากสีสวยนั่นแล้วลุกขึ้นเดินไปอาบน้ำ แต่ในสถานการณ์อย่างงั้นเมดคงไม่คิดหรอกว่า ผมพูดจริง และไม่ได้โกหกมันแต่อย่างใด
“ อ้าวสัดพี่ กูคิดว่ามึงจะลงมาพร้อมพี่เมด ” น้องชายผมเงยหน้าขึ้นถาม พลางเช็ดแก้วเหล้าในมือไม่มีหยุดในตอนที่เห็นกัน ผมเองก็ไม่ได้ตอบอะไรกับคำทักทายนั่น แต่กลับหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเพื่อนสนิทที่กำลังเขียนอะไรสักอย่างในกระดาษ มันคงเป็นแผนงานของผับที่มันกำลังร่างไว้คร่าวๆ สำหรับงานฝ่ายการตลาดในเดือนถัดไปของ throw up
“ เอาอะไรเบาๆมาแก้ว ”
“ แก้วเปล่ามั้ยครับคุณลูกค้า ” บอกกันยิ้มๆ แบบกวนตีนชวนให้อยากจะยกเท้าขึ้นถีบ ผมมองหน้าน้องชายตัวเองนิ่งๆ เป็นความรู้สึกที่ไม่ต่างอะไรกับเพื่อนสนิท
“ มึงยังไม่รู้ตัวอีกนะสัดเดย์ ” เจเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะยกยิ้มแล้วส่ายหน้า
“ หน้ากูเหมือนเพื่อนเล่นมึงมากเหรอเดย์ ”
“ โอเค วันนี้ไม่เล่นเนอะ ” น้องชายผมตอบยิ้มๆ “ เพราะงั้นก็คือหน้าไม่คล้ายเพื่อนเล่นแต่คล้ายๆพี่ชายกูมากกว่าแหละ ”
“ มึงสั่ง mojito สิ แล้วให้ไอ้เดย์ผสม blue label เข้าไป โคตรเด็ดเลยนะ วันก่อนมันทำให้กูกิน ”
“ จัดมา ” เชิดหน้าไปบอกน้องชายก็พยักหน้ารับก่อนจะหยิบแก้วขึ้นมาจากชั้นวางเพื่อเริ่มทำค๊อกเทลที่สั่ง
“ หนักบลูหน่อยนะสัดพี่ เข้มขึ้นอีกระดับจากของพี่เจ ”
“ อื้ม ”
“ อ้าวเฮีย ลงมาเร็วจังวะคิดว่าจะมาพร้อมพี่เมด ” ไอ้อัยย์ที่เอ่ยทัก มันเดินมายืนข้างเพื่อนซี้ตัวเองแล้วยิ้มให้กัน ส่วนผมที่ได้แต่มองพวกมันก็ได้แต่ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม
“ แล้วทำไมกูต้องลงมาพร้อมไอ้เมด ลำไส้ใหญ่กูติดกับมันรึไง ”
“ แหม มึงก็กล้าพูดคำนั้นนะสัดพี่ เอาจริงๆถ้าสำไส้พวกมึงสองคนผูกติดกันได้ ตอนนี้มันคงผูกติดกันไปแล้วละ เพราะกูก็เห็นว่าพี่มึงตามติดพี่เมดของกูประดุจเจ้ากรรมนายเวรเลย ไปไหนมาไหนไปส่งตลอด ลืมตาตื่นขึ้นมาเจอเธอเป็นคนแรก แล้วก่อนจะหลับตานอนก็เจอเธอเป็นคนสุดท้าย ” เสียงเหมือนคนตอแหลที่เอ่ยล้อชวนให้เราที่อยู่ตรงนั้นหลุดยิ้ม
“ มึงมีเหรียญบาทติดมาสักเหรียญมั้ย ” หันไปถามไอ้เจ มันก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าอย่างไม่รีรอแล้วตอนที่ยื่นมาให้ ผมก็หยิบมันส่งต่อไปให้น้องชายตัวเอง
“ อมไว้เดย์ เผื่ออีกเดี๋ยวมึงจะได้ลงไปนอนเล่นในโลงศพ ”
“ เก็บไว้ใส่ปากมึงเถอะไอ้สัดพี่ ” เดย์ทำทีเป็นมองผมด้วยสายตาที่กำลังเครียดแค้นพลางหันไปบอกเพื่อน “ สัดอัยย์ มึงไปเอายาฆ่าหญ้ามาให้กู กูจะผสมเหล้าให้มันแดก ”
“ ปัญญาอ่อน ” ผมว่าก่อนจะคืนเงินที่อีกคนไม่ได้รับไปคืนเจ้าของ แล้วตอนนั้นไอ้เจก็เอ่ยถามกัน
“ ได้ข่าวเสาร์นี้ไอ้เมดกลับบ้าน ”
“ ข่าวไวจัง” ผมพูดเสียงเบาในตอนนั้นแก้วค๊อกเทลที่สั่งก็ถูกยกมาวางไว้ตรงหน้าพอดี ผมยกมันขึ้นดื่มก่อนจะพยักรับกับความชัดเจนของรสแอลกฮอล์ที่ผสมลงไปซึ่งถูกใจกว่าแบบปกติที่เคยกิน
“ ก็เสาร์นี้วิวมันไม่ได้มาอยู่กับกู เห็นบอกว่าจะกลับบ้านพร้อมไอ้เมด”
“ อื้ม ” พยักหน้ารับก่อนจะวางแก้วนั่นลงตรงหน้า “ แล้วมึงรู้ใช่มั้ย ว่าไอ้เมดจะขับรถไปเอง ”
“ รู้ ” พูดแบบนั้นก่อนจะหันมาเหล่มองกันแล้วยกยิ้มให้ “ เป็นห่วงเหรอครับเพื่อนอาฟ ” ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่คิดว่าเจคงเดาคำตอบนั่นได้ “ ไม่เอาน่าสัด ไอ้เมดมันก็ขับรถได้ ”
“ แต่ที่มึงไม่รู้ คือมันขับล่าสุดตอนวันที่กูป่วย แล้วมีรถมากกว่าสามคันที่มันเกือบจะไปชนท้าย เพราะยังกะระยะความห่างของตัวรถที่ขับกับคันข้างหน้าไม่เป็น ”
“ กูถามจริง ” ผมยกยิ้มกับคำถามนั่นก่อนจะถอนหายใจออกมา พลางยกแก้วที่ตรงอยู่ตรงหน้าขึ้นมาดื่มอีกครั้ง
“ มึงไปส่งมันหน่อยสิ ”
“ ได้ไงละไอ้สัด กูเคยเจอพ่อแม่มันที่ไหน ” เจบอกปัด “ แล้วทำไมมึงไม่ไปเอง ก็ไหนๆจะต้องแนะนำตัวเองกับพ่อไอ้เมดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ไปมันวันพรุ่งนี้เลยสิ ”
“ กูต้องพามันไปหาพ่อแม่กูก่อน ”
“ ไม่ต้องตามแผนมากก็ได้มั้งสัดอาฟ บางทีอะไรๆมันก็ไม่ได้เป็นไปตามสิ่งที่มึงคิด ลดหย่อนชีวิตหน่อย ไปก่อนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ”
“ แต่กูว่าเป็นนะ ” เดย์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าเราพูดขัด “ พ่อกูบอกกับสัดพี่ในรถวันที่กลับจากสิงคโปร์ว่าให้มันพาพี่เมดมาที่บ้านเราก่อน พอรู้จักกับพ่อกับแม่เราแล้ว ค่อยไปแนะนำตัวเองกับบ้านพี่เมด เพราะไม่อย่างงั้น ถ้าพ่อพี่เมดถามว่า แล้วพ่อแม่คุณอยากจะรับลูกชายผมเข้าไปในครอบครัวเหรอครับ สัดพี่มันจะได้ตอบได้เลยว่า รับครับ พี่เมดเข้ากับครอบครัวได้ดีมาก ทางบ้านพี่เมดจะได้วางใจและมั่นใจกับความรักของมันสองคน เพราะว่าทางสัดพี่จะไปเอาลูกชายเค้ามาทำเมียอะ พ่อว่า ”
“ ประโยคหลังมึงน่าจะเติมเองมั้ย ” เจถาม น้องชายผมก็ได้แต่ยิ้มกว้าง
“ เอาน่าพี่เจ มันก็คล้ายๆกันเปล่าวะ ”
“ ไม่คล้าย เพราะพ่อมึงไม่มีวันพูดแบบนี้อะสัด ” เจหันมามองหน้าผมหลังจากจะพูดคำนั้น มันถอนหายใจออกมา “ ถ้าเหตุผลนั้นกูก็เห็นด้วยกับพ่อนะ เพราะเหตุผลที่เค้าพูดมันก็ถูก พ่อแม่ไม่ได้มองว่าเรารักกันหรือเปล่าอยู่แล้ว เค้ามองหลายเรื่อง โดยเฉพาะอนาคตของลูกชายเค้า งั้นมึงก็พาเมดเข้าบ้านไปสิ ” ท้ายประโยคสิ้นคิดนั่นชวนให้ผมถอนหายใจอีกครั้ง
“ คิดหน่อยสัดเจ พรุ่งนี้วันเสาร์แล้ว มึงจะให้กูปลุกแม่กูตอนตีสามเพื่อแนะนำเมดหรือไง ” เพื่อนผมหลุดหัวเราะตอนที่ได้ยินคำนั้น
“ แล้วกูก็คิดว่าแม่มึงจะยิ่งไม่โอเคกับเมด ถ้ามึงทำแบบนั้นจริงๆ ” ได้แต่ถอนหายใจออกมาตอนที่เพื่อนพูดคำนั้น คำที่บอกว่า ‘ ไม่โอเคกับเมด ’
“ มึงคิดว่าแม่กูเป็นคนยังไงวะ ” คำถามที่ทำให้เจเงียบไปสักพัก มันยกยิ้มในช่วงเวลานั้นราวกับกำลังคิดคำตอบในสิ่งที่ผมถาม แต่ก่อนจะตอบอะไรออกมาก็ไม่วายหันมาแซวกัน
“ เป็นห่วงที่สุดในชีวิตแล้วใช่มั้ยกับคนนี้ ”
“ เสือก ” ผมตอบมันก่อนจะยกแก้วค๊อกเทลตรงหน้าขึ้นมากินกลบเกลื่อน “ กูถามก็ตอบมาเถอะสัด ”
“ ก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่สวย แล้วก็รักลูกชายสองคนนี้มากๆ ” คำตอบสั้นๆนั้นชวนให้ผมนิ่ง “ มึงรู้คำตอบอยู่แล้วสัดอาฟว่าแม่มึงเป็นยังไง ไม่ต้องให้กูพูดหรอก ครอบครัวมึง มึงเหรอจะไม่รู้ แล้วจะพยายามทำให้ตัวเองสบายใจด้วยการหาคำตอบจากปากคนอื่นไปทำไม ”
‘ ก็จริง ’ ผมตอบตัวเองอยู่ในใจตอนที่อีกคนถาม
“ แต่ที่กูอยากพูด ในฐานะเพื่อนมึงที่รู้จักกับครอบครัวมึงมาตั้งแต่เด็กๆ ครอบครัวมึงไม่มีใครเลวร้าย แต่เรื่องบางเรื่องมันละเอียดอ่อน เราเลยต้องให้เวลาเค้าเพื่อทำความเข้าใจ และมึงจะรีบไม่ได้ จะให้แม่มึงเจอเมดครั้งแรกแล้วรักแล้วเอ็นดูตั้งแต่วินาทีแรก มันยาก ต่อให้เมดเป็นผู้หญิงกูว่ายังยากเลย แล้วนี่เป็นผู้ชายอะ ” เจบอกกันแบบนั้น ก่อนจะส่ายหน้าแล้วหันมามองผม “ เรื่องบางเรื่องมึงรีบไม่ได้หรอก แล้วต้องเข้าใจด้วยว่า ความรักมันแสดงออกมาได้หลายแบบ ความรักของพ่อแม่ก็เหมือนกัน บางแบบก็อาจจะไม่ถูกใจมึงบ้าง แต่ก็อย่าได้หงุดหงิดไปก่อนแล้วกัน ”
“ ถึงจะยากมากสำหรับคนอย่างสัดพี่มึงก็เถอะนะ ” เดย์เสริมขึ้น ก่อนจะยักคิ้วให้กันตอนที่ผมหันไปมองหน้ามัน
“ กูว่าความรักที่มึงให้เมดจะพูดว่ามันเหมือนกับความรักที่แม่มีให้มึงก็ได้นะ หรือจะพูดว่ามันต่างกันก็ได้ ยกตัวอย่างง่ายๆก็เช่น มึงเองรู้ดีว่าการขับรถมันต้องฝึกออกถนนแล้วเผชิญกับปัญหาถึงจะเก่ง แต่มึงก็เป็นห่วงมันอยู่ดีเลยไม่ยอมไม่ให้ขับไปไหน ยอมไปรับไปส่งเอง แล้วแม่มึงก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ถึงจะรู้ว่าลูกรักเค้ามาก แต่ความกลัวที่รู้สึกว่าลูกชายต้องเผชิญหน้ากับสังคมที่มองว่าลูกชายเราชอบผู้ชายด้วยกัน มันก็ต้องมีอยู่แล้ว และทั้งมึงทั้งแม่ก็มีเหตุผลเดียวกัน นั่นคือ เป็นห่วงคนที่ตัวเองรัก กูพูดถูกมั้ย ”
“ เฉียบทุกคำ ” น้องชายผมพูดเบาๆ ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้คนพูดที่ก้ยักคิ้วเป็นการตอบรับ
“ แต่คำว่าเป็นห่วง มันก็เหมือนกับเชือกที่พันตัวคนที่เรารักไว้นั่นแหละสัด ยิ่งให้ไปมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งอึดอัดมากเท่านั้น ” เจเอื้อมมือมาตบไหล่ผม “ ปล่อยมันไปเถอะน่า โดยเฉพาะเรื่องขับรถของไอ้เมด เพราะเดี๋ยวถ้ามันชนกับใคร มันก็โทรมาหามึงให้จัดการให้เองนั่นแหละ ”
“ กูกลัวมันจะไม่แค่นั้นนะสิ ”
เพราะถนนทางกลับบ้านของเมดเป็นเส้นถนนทางหลวงเส้นใหญ่สี่เลน รถส่วนใหญ่เมื่อหลุดออกจากความวุ่นวายของเมืองหลวงก็มักจะเหยียบอัดคันเร่งกันแบบเต็มแรงในเส้นทางนั้น ลำพังคนขับไม่เก่งอย่างมันชิดซ้ายไว้ก็คงไม่เป็นไร แต่ผมก็แค่กังวลว่าถ้าเกิดในกรณีที่มันโดนขับปาดหน้าด้วยรถใหญ่แล้วตกใจจนเผลอเหยียบเบรค จนรถคันหลังสอยท้ายรถของมันแล้วอัดเข้ากับคันหน้าอย่างจังมันจะยังมีโอกาสโทรมาหากันได้อยู่มั้ย
ยังไม่นับว่าถ้าต้องอยู่จุดยูเทิร์น มันจะตัดสินใจได้มั้ย ว่าตอนไหนมันควรออกตัว หรือไม่ควรออกตัว แล้วสัญญาณไฟสูงที่รถจะกดเพื่อบอกเป็นสัญลักษณ์นั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมดจะเข้าใจได้มั้ย ว่าเค้าให้มันไป หรือเค้าให้มันจอด
ถอนหายใจออกมาอีกครั้งตอนที่คิดเรื่องวุ่นวายนั่นไม่มีหยุดหย่อน ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากบาร์ แล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสามไปโดยไม่ได้สนใจเสียงเรียกที่เอ่ยถามกันว่า ‘ จะรีบไปไหน ’ ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็แค่ต้องเผชิญหน้ากับมันอย่างตรงไปตรงมา
“ อ้าวมึง ” เสียงสบถของคนที่ผมอยากพูดด้วยเปิดประตูห้องออกมาพอดี เมดคงกำลังเดินลงไปข้างล่างเพื่อเช็คเหล้าอย่างที่มันบอก เพราะมือข้างหนึ่งนั้น ถือเอกสารชุดหนึ่งเอาไว้ แต่ทว่ามันที่ยังไม่ทันจะเอ่ยปากถามหรือพูดอะไรกลับโดนผมดันร่างให้เดินเข้าไปด้านในก่อนจะก้มลงพูดเสียงเรียบ
“ เก็บของ แล้วกลับคอนโด ”
“ ห๊ะ ? ” อ้าปากค้างแล้วเงยมองกันแบบงงๆ ผมก็ถามย้ำ
“ กูบอกว่าไปเก็บของ เราจะกลับคอนโดกัน ”
“ เดี๋ยวสิมึง วันนี้กูมีเช็คสต๊อกเหล้านะ แล้วเสาร์อาทิตย์กูก็ลางานไว้ด้วย ”
“ ค่อยกลับมาทำวันจันทร์ ” บอกมันแบบนั้นอีกคนที่ก็ยังมีท่าทางงงๆอยู่ก็ได้แต่ยอมเดินไปหยิบไอแพตที่ตั้งอยู่บนโต๊ะพร้อมของใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋าผ้า เมดหันมาถามกันเสียงเรียบ
“ มีอะไรเปล่าวะ ” ไม่ได้ตอบอะไรกับคำถามที่อีกคนส่งสายตาสงสัยมาให้ ตอนนั้นผมแค่โยนกุญแจรถตัวเองให้แทนคำตอบ
“ วันนี้กูจะให้มึงขับรถกูกลับคอนโด ”
“ ไม่เอา!! ” เสียงปฎิเสธมาพร้อมกุญแจรถของผมที่ถูกโยนกลับมา เมดส่ายหน้า “ รถมึงคันละเกือบสินล้าน กูขับรถกูไปเฉี่ยวรอยเท่าแมวข่วนยังเก็บกูเป็นแสน ถ้ากูขับรถมึงขึ้นฟุธบาทไปชนเสาไฟฟ้าขึ้นมา มึงไม่คิดกูร้อยล้านเลยรึไง ไม่เอาอะ ”
“ แล้วแบบนี้พรุ่งนี้มึงจะขับรถกลับบ้านได้ยังไง ”
“ ขับได้ เพราะนั่นมันรถกู ” เหตุผลของคนตรงหน้าชวนให้ผมถอนหายใจออกมา แล้วก็ยิ่งถอนหายใจหนักขึ้นไปอีกตอนที่ได้ฟังประโยคต่อมา “ อีกอย่างถ้าเกิดว่าเกิดอะไรขึ้นมา รถกูมันก็มีประกันอยู่แล้ว ค่อยเรียกประกันมาแล้วกัน ”
“ ไม่คิดว่าจะถึงบ้านอย่างปลอดภัยเลยรึไง ”
“ ก็คิด แต่กูสมมุติไง สมมุติว่า ถ้ามันมีอุบัติเหตุขึ้นมา รถกูมันก็ยังเป็นของกู มันก็สบายใจกว่า เพราะมันไม่ใช่รถมึง ”
บางทีก็ดูเหมือนว่า เรื่องนี้จะมีแค่ผมคนเดียวที่ยังคงทุกข์ร้อนและเครียดกับการขับรถกลับบ้านของมันในวันพรุ่งนี้ เพราะคนที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาตัวจริง ยังคงยิ้มแป้นให้กันอย่างไม่คิดกังวลถึงสิ่งใด ทั้งๆที่มันไม่ได้ขับรถนานแล้ว แถมยังจะต้องมีอีกหนึ่งชีวิตนั่งไปด้วย แต่เมดก็ยังคงไม่กลัวอะไรทั้งนั้น หนำซ้ำยังเอ่ยบอกผมเสียงหนักแน่นด้วยรอยยิ้มราวกับจะบอกว่าอย่าใส่ใจ
“ กูขับได้น่า ”
“ ไม่ไปได้มั้ย ” สุดท้ายก็พูดคำที่อยากจะพูดออกไปในที่สุด
ไม่บ่อยนักหรอก ที่ผมจะเป็นแบบนี้ ไม่บ่อยนักที่คนอย่างผมจะจดจ้องลงไปในแววตาเรียวนั้นอย่างจริงจังแล้วเอ่ยพูดคำพูดเชิงอ้อนที่ตัวเองไม่ถนัดเอาเสียเลย การกระทำที่แสนจริงจังทำให้อีกฝ่ายนิ่งไป แววตาที่สดใสและมั่นใจผ่อนลงและเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด อาจเพราะเมดรู้ดี ว่าถ้าผมไม่ต้องการจริงๆ ก็คงไม่ทำอะไรแบบนี้ แต่ทว่าครั้งนี้มันกลับไม่ได้ตามใจผมเหมือนทุกครั้ง เมดส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ ยังไงก็ต้องไป ” พูดแบบนั้นด้วยน้ำเสียงอ้อนกลับ ผมก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาก่อนจะมองไปทางอื่นแล้วสบถ
“ ดื้อชิบหายไอ้สัด ”
“ กูไม่ได้ดื้อ แต่มันจำเป็นไงมึง ” เมดอธิบายก่อนจะยื่นมือมาดึงหน้าผมให้หันไปเผชิญหน้ากัน “ ฟังกูนะอาฟ คือกูไม่ได้กลับบ้านนานมากแล้ว พ่อก็เลยมีหลายเรื่องที่จะคุยกับกู ”
“ เรื่องกูด้วยใช่มั้ย ” ผมถาม อีกคนก็นิ่งไปก่อนจะพยักหน้ารับ
“ ก็นิดนึง ” รอยยิ้มที่ส่งมาให้กัน เมดหย่อนตัวลงนั่งที่ขอบโต๊ะข้างตัวผมที่ยืนอยู่ “ ตั้งแต่คบกับมึงมาเงินในบัญชีกูแทบไม่ได้ถูกถอนออกเลย ทั้งๆที่ปกติยังไม่ทันสิ้นเดือน เงินกูเหลือไม่เคยถึงพันแล้วพ่อที่เช็คเงินกูตลอดก็จะโอนเข้ามาเพิ่มไว้ให้ตลอด แต่คงเพราะหลายเดือนมานี่ เงินกูเต็มบัญชีตลอด พ่อก็เลยคงถามวิวแหละ แล้ววิวก็คงบอกไปแล้วว่า กูมีแฟนใหม่แล้ว ”
“ จะให้กูขับไปมั้ย ไปแนะนำตัวกับพ่อมึง ”
“ ไม่ต้องๆ ” เมดโบกมือปฎิเสธ ผมก็ได้แต่จ้องมัน “ คือกูคิดว่า กูอยากไปคุยกับพ่อแบบส่วนตัวก่อน อยากไปเล่าเรื่องของมึงให้เค้าฟัง ให้เค้ารู้สึกมึงแบบเบื้องต้นก่อน แล้วค่อยพามึงเข้าไปแนะนำน่ะ ”
“ งั้นกูจะให้ไอ้อัยย์ไม่ก็ไอ้เดย์ไปส่งมึง ”
“ นั่นก็ไม่ต้อง ” ยังคงปฎิเสธแบบเดิมด้วยท่าทางเดิมๆ ผมขมวดคิ้วมองมันคราวนี้สีหน้าหนักใจของเมดฉายชัดยิ่งกว่าต้องอธิบายคำถามไหนที่เคยถามมา
“ ยังไงอีก ” ถามมันสั้นๆ อีกคนก็ยิ้มแห้งๆให้กัน “ กูให้มึงครึ่งทางแล้วนะเมด ไม่อยากให้ไปก็จะไป พอกูจะไปส่งก็บอกอยากคุยกับพ่อแค่สองคนก่อน แล้วพอจะให้ไอ้อัยย์ไอ้เดย์ไปส่ง มึงก็บอกไม่ต้องอีก คราวนี้ยังไงอีกเหตุผลของมึง ”
“ กูกลัวโดนพ่อด่า ” มันว่าแบบนั้นก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น “ คือมึงเข้าใจมั้ยว่าพ่อกูซื้อรถให้กูเกือบจะหนึ่งปีแล้ว แล้วถ้าพ่อรู้ว่ากูยังขับรถไม่เก่งแบบนี้ พ่อกูเอาตายแน่เลยมึง ให้กูขับไปเถอะนะอาฟ ” ท้ายประโยคที่เอื้อมมือมาจับกันนั้นเมดบีบมือผมแน่นแล้วเอียงหน้ามองแบบอ้อนวอนกัน “ กูเคยขับกลับบ้านมาแล้ว ตั้งแต่ตอนขับเป็นใหม่ๆเลยด้วยนะ ตอนนี้มันก็ต้องขับได้เหมือนกันนั่นแหละ มึงวางใจได้ กูยังเคยขับรถพามึงไปโรงพยาบาลเลย มึงก็เห็นใช่มั้ยว่ากูขับได้ ”
“ ที่เกือบชนรถคันหน้าแล้วเบรครถแรงจนตัวกูอัดกับคอนโทรลเป็นสิบรอบทั้งๆที่กูป่วยน่ะเหรอ ”
“ มึงก็เว่อร์ไป มึงคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ มึงจะไปอัดเข้ากับคอนโทรลรถได้ไง ”
“ คือไม่ว่ายังไงก็จะขับไปเอง ” ผมถามพลางถอนหายใจใส่อีกคนที่ก็พยักหน้ารับอย่างมั่นใจ
“ แต่กูสัญญานะอาฟ ว่ากูจะขับช้าๆ กูจะไม่รีบ กูจะดูซ้ายดูขวา กูจะเว้นระยะกับรถคันหน้า จะไม่เหม่อลอย จะมีสติ จะขับถึงบ้านอย่างปลอดแล้วรายงานมึงทันทีเลยว่าถึงแล้ว จริงๆนะ ”
“ งั้นกูถามหน่อย ถ้ามึงกำลังยูเทิร์น รถทางตรงที่ขับมาเร็ว ตีไฟสูงใส่มึง มันแปลว่าไรอะไร ” คำถามที่ทำให้เมดเงียบไป มันเหลือบไปมองรอบตัวอย่างใช้ความคิด ปากสีสวยนั่นเม้มเข้าหากันอย่างไม่มั่นใจในคำตอบที่ตัวเองคิด “ ว่าไง คิดช้าแบบนี้ ถ้ามึงตายบนถนนกูไม่ไม่ดูศพนะ ”
“ ที่พูดคือปากเหรอไอ้สัด ” มันพูดก่อนจะเงียบแล้วพูดคำตอบออกมาเสียงเบาๆ “ เป็นสัญญาณบอกให้กูรีบออกไปก่อนที่มันจะถึง ”
“ รีบไปตายนะสิ ” ผมบอก “ มันเป็นสัญญาณบอกให้หยุด ห้ามออกมา เพราะมันจะไปก่อน ”
“ เหรอ โอเคกูจำจะไว้ ”
“ แล้วรู้มั้ยว่ารถมึงควรอยู่ห่างจากคันหน้าเท่าไหร่ ”
“ มันมีวิธีวัดด้วยเหรอวะ กูว่าเอาตามความรู้สึกก็พอมั้ง มึงก็แค่อย่าเข้าไปใกล้คันหน้ามากเกินไปก็พอแล้ว ”
“ วิธีวัดคือเทียบกับเสาไฟฟ้า พอรถคันข้างหน้าขับไปถึงเสาไฟฟ้าต้นข้างหน้า มึงต้องนับ 1001 1002 แล้วถ้ามึงก็ถึงเสาต้นนั้นเหมือนกัน งั้นก็แสดงว่ามึงห่างจากรถคันข้างหน้าแบบพอดีแล้ว ”
“ แล้วใครมันจะมานั่งนับอยู่แบบนั้น กูท้าเลยว่าตอนมึงขับครั้งแรกมึงเองก็ไม่นับเหมือนกัน ” เมดมองผมแบบเหล่มองจนเหมือนจะจับผิด “ ทีมึงขับอะ ถ้ามีรถขอเข้าแทรกข้างหน้ามึงหน่อย มึงยังขับไปติดคันหน้าแบบชนิดที่คนเดินยังผ่านไม่ได้เลย โคตรไร้น้ำใจ ”
“ นั่นก็เพราะว่ารถคันนั้นมันมักง่ายแซงคนอื่นมา แล้วสุดท้ายก็มาบีบบังคับกับรถคันที่ต่อคิวอยู่ไง กูเลยไม่จำเป็นต้องมีน้ำใจกับคนเหี้ยอย่างมัน ” เมดเงียบไปในตอนที่ผมอธิบายมัน “ บนถนนมันไม่ได้มีใครเคารพกฏแบบที่เราสอบใบขับขี่มาหรอก เวลามึงขับรถ มึงไม่มีทางรู้ ว่าคนที่ร่วมทางมากับมึงมันเป็นคนแบบไหน แล้วมึงที่ยังหลบหลีกไม่ได้แบบนี้ ก็คือยังจะขับไปเหรอวะ ”
“ อื้ม ” คำตอบสั้นๆนั่นทำให้ผมนิ่งไป ก่อนจะถอนหายใจแล้วหันไปทางอื่น ไม่รู้สึกหัวเสียแบบนี้มานานแล้ว ความรู้สึกที่อยากจะเอื้อมมือไปบีบแก้มมันแรงๆแล้วดึง อัดแน่นอยู่ในใจไปหมด คำสบถเป็นร้อยเป็นพันที่คิด มีแค่คำว่า ‘ ดื้อ ’ ‘ ดื้อชิบหายไอ้สัด ’
“ เมด นี่มึงเข้าใจอะไรบ้างมั้ยวะ ” จดจ้องลงไปในแววตานั้น ผมถาม “ เข้าใจบ้างมั้ยเป็นห่วง ”
“ เข้าใจ ” คนตรงหน้าตอบเสียงเบา “ แต่ยังไงก็ต้องไปอยู่ดีนั่นแหละ ก็กูสัญญากับพ่อไว้แล้ว ”
“ กูไม่ได้บอกว่าห้ามไป แต่กูแค่ขอว่าอย่าขับไปเอง ”
“ อย่าทำให้ลำบากใจกันเลยมึง ” อีกคนพูด “ กูก็บอกเหตุผลมึงไปหมดแล้ว ไม่ว่ายังไงกูก็ต้องขับไปเอง คือมึงไม่ต้องเป็นห่วงหรอกอาฟ ถ้ามึงเล่นคิดแค่แง่ลบแบบนี้ มึงก็ยิ่งไม่อยากจะให้กูไป บ้านกูไม่ได้ไกลจากกรุงเทพมากขนาดนั้น ขับช้าๆ ชั่วโมงหนึ่งก็ถึงแล้ว ” ถอนหายใจก่อนจะมองไปทางอื่นตอนที่อีกคนพูด “ กูรู้ว่ามึงเป็นห่วงกูมาก แต่ทำไมไม่คิดในแง่ดีว่านี่คือการฝึกฝนว่ะ เผื่อวันนึงมึงไม่อยู่กูจะได้ขับรถไปไหนมาไหนเองไง ”
“ กูไม่มีแพลนจะห่างมึงไปไหน ”
“ แล้วถ้าต้องไปสิงคโปร์กับพ่ออีกละ ”
“ ก็ให้ไอ้เดย์มาแทน ”
“ แล้วถ้าน้องเดย์มีแฟน ”
“ ไอ้อัยย์มี ”
“ แล้วถ้าน้องอัยย์มีแฟน ไอ้เจต้องไปทำธุระกับวิวละ เห็นมั้ย มันดีกว่านะถ้ามึงให้กูหัดขับรถให้เก่งๆ กูจะได้ใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้ แบบที่มึงไม่ต้องเป็นห่วงด้วย แล้วมันก็ควรเริ่มจากการขับรถกลับบ้านพรุ่งนี้แหละ ”
“ มึงนี่มัน..” เว้นคำพูดไปแต่ก่อนจะพูดอะไรต่อ เมดก็พูดสวนขึ้นก่อน
“ ก็เพราะมึงดูแลกูแบบเด็กสามขวบแบบนี้ไง กูเลยขับรถไม่ได้สักที เพราะงั้นอารยะก็ต้องปล่อยมิณทร์ไปบ้าง เข้าใจมั้ยครับ ”
“ คือมึงกำลังจะบอกว่าเพราะกูที่รักมึงมากเกินไป ก็เลยเป็นแบบนี้ ” ผมบอกก่อนจะยกยิ้มให้มันที่ก็นิ่งไป “ เออ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะกูจริงๆก็ได้ ”
“ อาฟ คือ มันก็..”
“ งั้นมึงไปเถอะ ตามสบาย ”
“ เดี๋ยว ไม่เอาดิ มึงอย่าตีความไปแบบนั้น กูแค่อยากจะให้มึงปล่อยกูบ้างเท่านั้นเอง แบบ ปล่อยให้กูดูแลตัวเองบ้าง ”
“ เออ กูรู้แล้ว ” ผมบอกย้ำ “ มึงก็ไปสิ ไม่ห้ามแล้วไง เข้าใจแล้ว ว่าต้องปล่อยให้ดูแลตัวเองบ้าง ”
“ อาฟ ” ถอนหายใจออกมาตอนที่เรียกชื่อกันราวกับว่า ผมคือผู้ชายงี่เง่าคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่มันกำลังรู้สึก เมดขับรถไม่เก่งเข้าขั้นแย่ แต่อยากจะให้ผมเข้าใจ ว่ามันไม่อยากโดนพ่อด่าเพราะขับรถไม่เป็นก็เลยอยากจะขับไปเอง เหมือนมันกำลังพยายามจะให้ผมเข้าใจไปหมด แต่ไม่ได้บอกตัวเองให้เข้าใจกัน อย่างที่ปากบอกเลยว่า ‘ กูเข้าใจมึงนะ ว่ามึงเป็นห่วงกู ’
“ กูแค่ตลกตัวเอง ตั้งแต่วันไปเที่ยวทะเลจนถึงวันนี้ กูนั่งคิดมาตลอดว่าจะทำยังไงดีให้มึงถึงบ้านปลอดภัย กูคิดหลายวิธีด้วยความเป็นห่วงมึง แต่ที่กูลืมคิดไปอย่างหนึ่งก็คือ กูไม่ควรห่วงคนที่ไม่คิดแม้จะห่วงตัวเอง ไม่ควรห่วง คนที่ยังไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมกูถึงเป็นห่วง แล้วก็ยังพยายามที่จะบอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วง ทั้งๆที่กูถามหน่อยเถอะ วันที่กูแข่งรถ ทั้งๆที่กูขับเก่งขนาดนี้ มึงยังเป็นห่วงกูเลย แล้วมึงจะไม่ให้กูห่วงมึง ทั้งๆที่มึงกำลังจะออกไปขับรถในถนนที่ไม่ต่างอะไรกับสนามแข่งเลยด้วยซ้ำได้ยังไง ”
ในแววตาที่มองผม สายตาดื้อดึงของเมดนั้นเปลี่ยนไป ปากที่กำลังขยับเอ่ยคงเป็นคำอธิบายเดิมที่มันยังคงพยายามพูดให้ผมเข้าใจ ในสิ่งที่มันกำลังรู้สึก
“ แฟนกู กูรู้จักมันดีเมด กูเลยกังวลมาก กูอยากจะบอกมึงแค่นี้แหละ แล้วมึงคนที่น่าจะรู้จักกูดีพอ ทำไมถึงพูดคำนั้นออกมา เพราะคิดว่าต้องดื้อเท่านั้นใช่มั้ย กูถึงจะยอม ถ้างั้นมึงก็ไปเถอะ แล้วทำให้ได้อย่างที่พูดแล้วกัน เรื่องที่บอกจะขับรถดีๆ ”