ตอนพิเศษ
1
ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศชวนให้ผมซุกตัวเข้ากับผ้าห่มหนาผืนใหญ่และความไออุ่นจากคนข้างกาย ที่เพียงแค่ขยับตัวเข้าไปใกล้เสียหน่อยก็เอื้อมมือมากอดเอวกันไว้แน่นอย่างอัตโนมัติ คนเรานั้นมักเปลี่ยนแปลงอริยาบทไปมาบนเตียงเพื่อหามุมนอนสบาย เช่นเดียวกับผมที่ตอนนี้กำลังพลิกตัวไปมาเพื่อหามุมที่จะนอนสบายที่สุดในอ้อมกอดของคนรัก
“ เลือกสักท่า ” เสียงทุ่มติดแหบเอ่ยบอกกัน แต่ผมก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาสนใจแต่อย่างใด ทำได้แค่พลิกตัวไปมาอยู่อย่างงั้นจนสุดท้าย ท่าที่หน้าซุกเข้าตรงซอกคอของอาฟก็เป็นท่าทางที่สบายที่สุด
วันนี้ผมเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการโดนปลุกแบบอีกฝ่ายหอมแก้มแรงๆจนต้องรู้สึกตัวเหมือนอย่างเดิม และประโยคคุ้นหูที่ได้ยินก็ไม่เคยเปลี่ยน ‘ หมวย ตื่นขึ้นไปช่วยป๊าขายซาลาเปา ’ ทุกอย่างยังคงเป็นแบบนั้น แม้กระทั้งตัวผมที่พลิกตัวหันหนีไปอีกทางก็เช่นกัน
“ นี่เที่ยงแล้วเหรอวะ ” เอื้อมมือไปหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดดูเวลาก่อนจะกดล็อคหน้าจอแล้วคว่ำมันลงข้างตัว ผมหันไปกอดอาฟที่กำลังนอนเล่นมือถืออยู่อีกครั้งก่อนจะลืมตาสู้แสงขึ้นมองหน้าจอมือถือที่อีกฝ่ายกำลังเล่นในนั้นปรากฏโปรแกรมอินสตาแกรมที่อีกคนกำลังเลื่อนดู นิ้วโป้งเลื่อนภาพขึ้นไปเรื่อยๆกดไลค์ในภาพรถคันที่ชอบ ไม่ก็ภาพเพื่อนพ้องที่ติดตามกันอยู่ และมาหยุดนิ้วที่ภาพของผมที่เพิ่งอัพก่อนจะนอนเมื่อคืน
มันเป็นภาพถ่ายเซลฟี่ของผมในรถตอนขากลับจากผับมาคอนโดโดยที่พื้นหลังนั้นก็เป็นคนขับที่กำลังตั้งใจขับไปตามทางเลยเห็นแค่เสี้ยวหน้า ในนั้นผมเขียนสเตตัสสั้นๆเป็น ภาพอีโมจิคนขับรถ กับหัวใจหนึ่งดวง และในตอนนั้นคนที่กำลังดูก็ทำทีเป็นจะเลื่อนผ่านไป
“ เดี๋ยวๆ มึงไม่กดไลค์ภาพกูหน่อยเหรออารยะ ”
“ กดไลค์เหี้ยไร กูไม่ได้ถูกใจ ” หันมาบอกกันด้วยหางตา ผมก็ทำได้แค่จ้องมันกลับไป เราเงียบให้กันไปชั่วขณะหนึ่งจนผมต้องถามต่อด้วยความสงสัย
“ ทำไมไม่ถูกใจวะ หน้ามึงหน้าเกลียดเหรอ ไหนมาดู ” ดึงตัวเองเข้าไปดูภาพนั้นใกล้ๆแต่ก็โดนคนที่ถือมือถืออยู่เอามือถือนั้นเข้ามาเคาะกันที่หัวเบาๆ “ ก็ไม่เห็นจะหน้าเกลียด มุมข้างมึงดูดีนะกูว่า อีกอย่าง.. ”
“ ไม่ถูกใจเพราะแฟนกูน่ารัก แล้วกูไม่ชอบให้มันไปเสนอหน้าน่ารักแบบนั้นให้คนอื่นเห็น ” คนข้างกันหันมาบอกด้วยสีหน้าจริงจังทำทีเป็นไม่ได้รู้สึกเขินอะไร ทั้งที่หูยังแดงจัดและไม่นับท่าทางประหม่าที่ต้องกลืนน้ำลายก่อนจะเก็กหน้าบอกกันแบบหาเรื่อง “ จบมั้ยครับ ”
“ จบก็ได้ครับผม ” กลั้นยิ้มตอนที่พูดออกมาแบบนั้นก่อนจะซุกตัวเข้าไปกอดกันแน่นขึ้น “ มึงแม่ง เล่นกูตั้งแต่เช้าเลยนะ ”
“ เล่นไร กูพูดถึงแฟนกู ใช่มึงที่ไหน ”
“ มุกนี้อีกละ ” ว่าเซ็งๆพลางถอนหายใจก่อนจะบอกเสียงดัง “ ก็กูนี่แหละแฟนมึง ”
“ พูดเหมือนเบื่อแต่กูก็รับมุกกูทุกที ” เสียงล็อคหน้าจอดังขึ้นหลังจากพูดคำนั้น ก่อนสองแขนของคนที่ผมกอดไว้จะเอื้อมมากอดเอวผมเช่นกัน แล้วในตอนนั้นผมก็บอก
“ ใครบอกว่ากูเบื่อ กูไม่เคยเบื่อเลย ” ท้ายประโยคนั้นเสียงเบา แต่ทว่าความรู้สึกสุขมันกลับล้นออกมาราวกับน้ำที่ล้นแก้ว และถึงใครจะบอกว่าหวานเลี่ยนยังไง ผมก็ยังยืนยันว่าช่วงเวลาแบบนี้คือช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดและไม่เคยเบื่อเลยสักครั้ง
ผมชอบที่จะได้สูดกลิ่นอุ่นๆของคนที่นอนข้างกันในตอนเช้า อาฟมีกลิ่นตัวอุ่นๆที่ผมก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่ามันคือกลิ่นที่คล้ายกับอะไร แต่มันเป็นกลิ่นที่ดมแล้วรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก แล้วถ้าใครบอกว่าเตียงมีพลังดึงดูดในตอนเช้า ผมว่าอาฟเองก็ไม่ต่างกับอะไรแบบนั้นในความรู้สึกผม มีอ้อมกอดที่ดึงดูดกันไว้ จนอยากจะนอนกอดกันอยู่แบบนั้นไม่ไปไหนแม้จะปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปเป็นครึ่งค่อนวัน
“ เที่ยงนี้กินอะไรกันดี ” ผมคำถามที่ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นจากอ้อมกอดของอีกคน สมองที่กำลังประมวลคำตอบแต่ทว่าก็ไม่มีอะไรอย่างที่รู้สึกอยากกินเลยในเที่ยงวันนี้
“ ไม่รู้เลยว่ะ ”
“ เหมือนกูเพิ่งเคยได้ยินประโยคนี้เป็นครั้งแรก ” เสียงแซวที่มาพร้อมการยกยิ้มที่หอมลงไปตรงข้างแก้มของผม ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นจากเตียงมานั่งขยับคอไปมา ก่อนจะหันมามองกัน “ ข้าวหน้าปาไหลมั้ยละ เมื่อวานมึงบ่นว่าอยากกินไม่ใช่หรือไง ”
“ เออ อยากกิน ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะหันไปหยิบมือถือที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมา จำได้ว่ามันเป็นรีวิวที่ผมเห็นผ่านในเพจแนะนำอาหารของเฟสบุ๊คเลยบอกอาฟไปตั้งแต่เมื่อวาน แต่เพราะตอนนั้นเรานั่งกินข้าวกันอยู่แล้ว ก็เลยต้องยกยอดมันไปไว้วันอื่น “ ดีนะที่มึงจำได้ กูลืมไปด้วยนะ ”
“ แปลกจัง มึงลืมของที่อยากแดกได้ด้วย ”
“ หมายความว่าไงวะ ” เหลือบตามองอีกคนที่ก็แค่ยกยิ้ม ก่อนจะก้มหน้าลงหอมแก้มผม “ ลองส่องกระจกดูสิ ไอ้แก้มอ้วน ”
“ K ” สบถออกมาแบบไม่ออกเสียง ก่อนจะบ่นต่ออยู่ในใจ ‘ ว่ากูอ้วนอีกแล้วนะไอ้เหี้ย ’ ทั้งๆที่ผมไม่เห็นรู้สึกว่าตัวเองจะอ้วนขึ้นตรงไหน ออกจากจะผอมลงไปด้วยซ้ำ เพราะช่วงที่อาฟเข้าโรงพยาบาล ผมกินไม่ค่อยได้นอนก็ไม่ค่อยหลับ กางเกงที่เคยใส่ไม่ได้เพราะคับ ช่วงนี้ก็เลยใส่ได้หมดทุกตัว แต่ที่สงสัยคือทำไมทุกส่วนในร่างกายลดหมด แต่แก้มไม่เห็นลดเลย ทำไมก็ไม่รู้
กรรมพันธุ์แน่ๆ ไม่ใช่ความผิดของผมหรอก
มหาวิทยาลัยเอกชนในช่วงบ่ายโมงดูครึกครื้นกว่าทุกครั้งที่ผมมา ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าวันนี้ต่างจากทุกครั้งที่มา เพราะมองไปทางไหนก็เหมือนแต่จะมีนักศึกษาจับกลุ่มเดินไปมา ทั้งที่ปกติมันจะเงียบกว่านี้
“ วันนี้ที่มหาลัยมึงเหมือนมีงานอะไรเลย ”
“ เหรอ ”
“ คนมันเยอะแปลกๆ ”
“ ช่วงเวลาพักพอดีมั้ง ” อาฟว่าแบบนั้นก่อนจะกดล็อครถแล้วเดินออกไปตามทางเดิน ผมเปิดประตูเข้าไปในคาเฟ่ตามปกติอย่างทุกที แล้วก็เป็นอย่างที่คิดในใจ โต๊ะด้านในวันนี้เต็มทั้งหมด
“ พี่เมด ” เสียงคุ้นหูเอ่ยเรียกชื่อผมในตอนที่กำลังจะหันหลังเดินออก แล้วตอนที่หันไปตามเสียงนั่นตรงมุมร้านที่โต๊ะโซฟาตัวนั้น ผมก็พบคู่หูตัวป่วนอย่างบาร์เทนเดอร์ของ throw up นั่งอยู่ด้วยกันสองคน ‘ ลืมไปเลยว่าน้องเดย์น้องอัยย์เรียนที่นี่ ’ คิดแบบนั้นอยู่ในใจก่อนจะเดินตรงไปหาแล้วนั่งลงข้างน้องเดย์ที่เป็นเก้าอี้ว่าง
“ ปกติมีเรียนวันนี้กันด้วยเหรอวะ ”
“ มีสิครับผม ” น้องตอบผมก็ขมวดคิ้ว เพราะมาที่นี่ในวันนี้ก็หลายครั้งแต่ไม่เห็นจะเคยเห็นทั้งคู่มานั่งอยู่แบบนี้เลย
“ ปกติน้องอัยย์กับไอ้เดย์จะกลับก่อนเพราะว่าชอบกลับไปนอนเอาแรง แต่วันนี้น้องอัยย์เห็นว่าที่คาเฟ่คนเยอะ ก็เลยชวนไอ้เดย์มานั่งจองโต๊ะให้พี่เมดไง เพราะไม่ว่ายังไงเฮียก็ต้องหนีบพี่เมดมาอยู่แล้วละ จริงมั้ย ”
“ นี่คิดถึงพี่เมดขนาดนี้เลยเหรอวะ ” ผมแอบภูมิใจแต่ในขณะนั้นเองคนที่ยืนอยู่ข้างเก้าอี้ผมก็หัวเราะหึในคอออกมา อาฟยกยิ้ม
“ ถ้าเพื่อนไม่นัดทำรายงาน พวกมึงก็คงต้องนัดใครไว้สักคน กูพูดถูกมั้ย ” สายตาเลิ่กลั่กที่มองกันของเจ้าตัวแสบที่โกหก ผม ชวนให้ถอนหายใจออกมาก่อนจะส่ายหน้า
“ ไอ้เราก็คิดว่าคิดถึงเรา ”
“ มึงฝันไปเถอะ อะไรแบบนั้นในโลกใบนี้มันมีแค่กูเท่านั้นละที่ทำได้ ” คำพูดที่พูดออกมาพลางเอามือล้วงกระเป๋าดูเหมือนไม่ค่อยตั้งใจเท่าไหร่ แต่เพราะในร้านเงียบมันเลยทำให้เราได้ยินคำพูดนั้นชัดเจน แล้วตัวเองผมก็ทำทีเป็นเอียงตัวแซวมัน
“ มึงว่าไงนะ อะไรมีแต่มึงเท่านั้นที่ทำได้นะ ”
“ กวนตีน ” อาฟหันมาบอกกันก่อนจะเชิดหน้าไปที่เค้าท์เตอร์ของร้านคาเฟ่ด้วยหูแดงๆอย่างเปลี่ยนเรื่องคุย “ เค้กมะพร้าวของโปรดมึงชิ้นสุดท้ายแล้วนะ ไม่ลุกไปตอนนี้อาจจะไม่ได้แดกนะ ”
“ เชี้ย ” ผมที่หันมองตามสบถออกมาอย่างงั้นก่อนจะผุดลุกขึ้นทันที แต่ก็ไม่ลืมถามอีกคน “ มึงเอาคาราเมลมัคคิอาโต้ด้วยนะ ”
“ อื้ม ”
“ เด็กๆเอาไรมั้ย ”
“ ไม่ละคร้าบ ” ทั้งน้องเดย์น้องอัยย์เขย่าแก้วที่ตัวเองกินอยู่ใส่ผม เพื่อบอกใบ้ว่าของตัวเองมีแล้ว
“ งั้นเดี๋ยวมานะ ”
“ ไปเร็วๆนะจ๊ะ ทางนี้คิดถึง ”
“ เอาตีนกูก่อนมั้ย ” แล้วคำถามของคนเป็นพี่ทำให้คนพูดอย่างน้องอัยย์ถึงกับปิดปากก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ อันนี้ไม่เอาจ้า น้องเกรงใจ ”
เค้กมะพร้าวสีขาวถูกยกมาตั้งไว้ตรงหน้าพร้อมกับช็อคโกเล็ตเย็นหนึ่งแก้วแล้วก็คาราเมลมัคคิอาโต้ ที่อาฟบอกบ่อยๆว่าไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ผมชงอร่อยกว่าเยอะ แต่ก็เห็นด้วยว่ามันเป็นอย่างงั้นอย่างคนไม่หลงตัวเอง แต่เพราะชอบกินเค้กมะพร้าวของที่นี่มาก ครั้นจะกินแค่เค้กมะพร้าวก็กลัวจะติดคอ เลยจำใจสั่งช็อกโกแลตเย็นไปอีกแก้ว ทั้งๆที่ร้านน้ำปั่นหลังมหาลัยอร่อยกว่าเป็นกองแถมถูกกว่าด้วย
“ แล้วนี่พวกมึงมานั่งทำอะไรกันอยู่ตรงนี้ ” อาฟเอ่ยถามน้องที่ก็ช่วยกันกินเค้กในจานผมคนละคำสองคำแบบที่ไม่ได้ร้องขอ น้องเดย์ที่ตอนนั้นตักเค้กเข้าไปคำโตด้วยความอร่อยหันไปตอบพี่ชาย
“ นัดทำรายการกลุ่มอะ แต่เสร็จละ นี่ว่าจะนัดกันไปหาอะไรกิน ”
“ กูว่าไปกินชาบูดีกว่า นางในๆ ” น้องอัยย์บอกผมก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงไปในคอ คิดจินตนาการไปถึงสามชั้นสไลค์ที่ถูกคีบเอาลงไปแกว่งเบาๆในน้ำสุกี้สีดำแล้วจิ้มน้ำจิ้มสูตรเด็ดก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอไปด้วยความอยากอาหาร
“ รู้สึกเหมือนมีคนอยากกินว่ะ ” ทำทีเป็นหันไปมองรอบๆตอนที่น้องเดย์พูดแบบนั้นก่อนจะที่น้องอัยย์จะตะโกนเสียงดัง
“ พี่เมดนั่นแหละ! ”
“ ไปกินด้วยกันมั้ยละ ” น้องเดย์หันมาถาม ผมก็ได้แต่ส่ายหน้า
“ เพิ่งกินข้าวหน้าปลาไหลมา ”
“ ถ้าแดกอีกพวกมึงก็ไม่ได้เอามาส่งกูนะ ” อาฟที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันพูดขึ้นเสียงเรียบๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผมแบบยิ้มๆ “ เอาไปส่งโรงเชือดได้เลย ”
“ ไอ้สัด ”
“ เนื้อแก้มตอนนี้คือแบบสไลค์ให้บางเหวี่ยงสามทีคงกินได้เลย ” น้องเดย์ที่หันมามองหน้าผมพูดเสริม ในตอนนั้นทุกคนก็หันมามองจนผมต้องเอามือปิดหน้า
“ คือพวกมึงจะหิวก็ได้ แต่พวกมึจะหิวจนอยากจะแดกแก้มกูไม่ได้ ”
“ ก็น่าบีบจังเลยยยยยย ” ไม่พูดเปล่าแต่มือหนาของน้องเดย์กลับยื่นมาบีบแก้มผมด้วย แต่ทว่ายังไม่ทันจะพูดเย้าอะไรสายตาของคนพี่ที่มองมาก็เหมือนจะเป็นคำสั่งที่บอกให้คนเป็นน้องปล่อยมือลง
“ พี่เมดบอกสัดพี่สิว่าไม่เจ็บเลยสักนิดเดียว ”
“ เจ็บอะ โอ้ย เจ็บ เจ็บมากๆ จะตายแล้ว เรียกรถโรงพยาบาลให้ที เนื้อแก้มจะหลุดออกมาแล้ว โอ้ยยย ” ทรุดหน้าลงกับเข่า ตอนที่ร้องโอดโอยออกมาก็ส่งเสียงโอเว่อร์เสียจนนักแสดงเจ้าบทบาทยังยอมแพ้
“ ออสก้ามากพี่สะใภ้กู ” แล้วคำพูดเบาๆพลางส่ายหน้าไปมานั้นก็ทำให้คนที่นั่งร่วมโต๊ะหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างห้ามไม่อยู่
“ อ้าว ไอ้อาฟ ” เสียงทักดังขัดเสียงหัวเราะของเราหรือแม้แต่การพูดคุยนั่นให้หยุดชะงัก ชายร่างสูงที่เดินเข้ามาสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์สีฟอกที่ดูธรรมดาแต่กลับดูดี อาจเพราะทรงผมที่เช็ตมาอย่างดีนั่นมันเข้ากันกับหน้าตาหล่อเหลาที่แค่พูดก็รู้สึกว่าต้องเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างมีเสน่ห์ในระดับหนึ่ง
“ พี่กิต หวัดดีพี่ ” คนตรงหน้าผมยกมือขึ้นไหว้คนที่ทักด้วยรอยยิ้มก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงอย่างยินดี มือที่เอื้อมจับมือของอีกคนที่เอื้อมมือมาจับกันในตอนนั้นน้องเดย์ก็กระซิบผม
“ รุ่นพี่ของสัดพี่ตั้งแต่สมัยม.ปลาย แล้วก็เป็นคนในแก้งค์แข่งรถด้วย ”
“ แก้งค์แข่งรถ ? ” หันไปถามน้องแต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบอะไร น้องเดย์ก็จับไหล่ผมให้หันไปมองคนสองคนที่ก็หันมามองกันพอดี
“ เมด นี่พี่กิต ” อาฟแนะนำอีกฝ่าย ผมก็ยกมือไหว้“ พี่กิต นี่เมดแฟนผม ”
“ อ๋อ แฟนมึง ” พี่เค้าบอกก่อนจะพยักหน้ารับให้ผมแบบยิ้มๆ ในแววตาที่มีแต่คำแซวนั้นชวนให้มันหูแดงก่อนจะหันไปทางอื่น “ สวัสดีครับ ”
“ ไม่เจอพี่กิตนาน หล่อขึ้นเลยว่ะ ออร่าของความเป็นเจ้าของรีสอร์ทมันเปล่งประกายสุดๆ ”
“ มึงนี่นะไอ้สัดเดย์ ” พี่กิตชี้หน้าน้องชายข้างผมอย่างคาดโทษ ก่อนอาฟจะเอ่ยถามเปลี่ยนเรื่อง
“ แล้วพี่มาทำอะไรที่นี่วะ เรียนจบไปเป็นปีแล้วไม่ใช่เหรอ จะกลับมาต่อโทหรือไง ”
“ มึงถามคนที่แค่ตรียังไม่ค่อยจะรอดเหรอไอ้สัด ” พี่เค้าบอกก่อนจะหัวเราะ “ กูมารับเมียกู ”
“ มั่นใจเลยดิคนนี้ ” น้องอัยย์ถามคนตอบก็หันซ้ายดูขวา ก่อนจะยักคิ้วเป็นคำตอบโดบไม่พูดอะไร แต่นั่นก็เรียกรอยยิ้มแล้วก็เสียงโห่ของพวกเราขึ้นมาทันที
“ ว่าแต่กู กูก็ไม่เจอพวกมึงนานเหมือนกัน โดยเฉพาะมึงไอ้สัดอาฟหายหัวไปเลยนะ ปกติเดือนนึงต้องเจอที่สนามแข่งรถสักครั้ง ไม่ก็สองสามครั้งไม่ใช่เหรอวะ ”
“ ไม่ค่อยว่างพี่ ”
“ ติดแฟนก็สารภาพมาไอ้สัด ” เชิดหน้ามาทางผม แต่คนโดนถามก็ไม่ได้พูดปฎิเสธอะไร เหมือนจะบอกเป็นนัยว่ามันก็รู้สึกแบบนั้น “ กิจการผับมึงเป็นยังไงบ้าง กูไม่ได้ไปนาน โทษทีนะ แม่งโคตรยุ่งกับรีสอร์ทเลยว่ะ พ่อกูก็ขยันเปิดใหม่ชิบหาย ”
“ คนรวยพูดยาก ” อาฟบอกยิ้มๆ “ แต่กิจการดีพี่ เลขาผมเก่ง ”
“ มึงจะชมเมียมึงก็ได้นะสัดพี่ แต่มึงจะข้ามหน้าข้ามตาคนชงเหล้าที่นั่งอยู่ตรงนี้อย่างพวกกูสองคนกับการตลาดอย่างพี่เจ รวมถึงผู้จัดการและคนเสิร์ฟอื่นๆไม่ได้ เข้าใจมั้ย”
“ เสือก ” อาฟตอบ
“ ไม่ใช่เมียมันก็ยากหน่อยละสัดเดย์ที่มันจะใส่ใจ ” พี่กิตบอกก่อนจะยิ้มให้ผมที่ก็ทำได้แค่ยิ้มรับ เค้าก็หันไปมองอาฟ “ หลงน่าดูนะสัด ”
“ พูดมากว่ะ ”
“ ยังไงถ้าวันนี้มึงว่างไปจอยกันหน่อยมั้ยละ ไม่ได้ขับแข่งกันนานแล้วนะ ”
“ ว่ามา สนามไหน ”
“ พีระเซอร์กิตพัทยา ”
“ เอาสิ ” อาฟพยักหน้ารับก่อนจะเหล่มองผม “ ติดหนี้ต้องพาเด็กไปเที่ยวทะเลอยู่พอดี ”
“ โอเค ”
“ ว่าแต่เช่าสนามชล นัดพวกพี่บาสเหรอวะ ”
“ เออ มึงไปก็ดีนะ พวกมันอยากเจอมึงหลายครั้งแล้ว ไม่ได้วัดฝีเท้ากันนาน ”
“ จัดไปครับพี่ ”
“ เจอกันมึง ” พี่กิตพูดตอบรับพลางตบไหล่อาฟ ก่อนจะหันมาก้มหน้าลงเราที่ก็ยกมือไหว้ลาคนเป็นพี่เช่นกัน ในตอนนั้นผมเห็นอาฟมองคนที่เดินออกไปสุดสายตา มันยิ้มแบบที่บอกกันว่ากำลังมีความสุขอย่างที่สุดเพราะฉายชัดออกมาแบบไม่ต้องให้ผมเดาว่าอีกฝ่ายคงกำลังจินตนาการถึงช่วงเวลาที่กำลังมาถึงในไม่ช้า แล้วนั่นก็คือการขับรถในสนามแข่งนั่นเอง
“ กูไปเรียนก่อน เดี๋ยวเจอกัน ”
“ ตั้งใจเรียน ” ผมบอกแบบนั้นอีกคนก็ยกยิ้มก่อนจะเดินออกไปจากร้านทันที เผลอถอนหายใจออกมาตอนที่มองอีกคนเดินไปจนน้องอัยย์ที่นั่งอยู่ตรงหน้าต้องเอ่ยถามกับสีหน้าหนักใจของผม
“ พี่เมดไม่สบายใจอะไรเปล่า ”
“ เปล่า ” ผมส่ายหน้าแต่เด็กสองคนข้างกันก็แค่ยิ้มออกมาก่อนจะส่ายหน้า
“ เป็นห่วงก็บอก ” น้องเดย์แซว “ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะครับ การขับรถแม่งเป็นงานอดิเรกของไอ้สัดพี่ตั้งแต่มันทำใบขับขี่ได้แล้ว มันเป็นสายชอบแข่งรถ ”
“ แต่ดูจากรถที่เฮียซื้อพี่เมดก็น่าจะรู้นะ GTR มันรถสำหรับสายพวกรักความเร็ว ไม่ก็พวกแข่งอยู่แล้วอะ ”
“ เหรอ ” คือจะสารภาพยังไงดีว่ากูไม่รู้อะไรพวกนั้นหรอก ขนาดครั้งแรกที่คุยกันยังบอกอีกคนไปหน้าตาเฉยว่าแค่รถนิสสัน แล้วพออีกคนบอกว่านี่คือ GTR ผมยังงงอยู่เลยว่าทำไมรถนิสสันราคาตั้งเกือบสิบล้าน
“ ไม่ต้องคิดมากน่า ตอนสัดพี่แข่งรถมันเท่ห์มากเลยนะเว้ย แล้วมันต้องเอาที่หนึ่งมาให้พี่เมดแน่นอน เชื่อน้องเดย์ได้เลย ” ได้แต่ยิ้มแห้งๆให้น้องทั้งๆที่ในใจอยากตะโกนว่า มึงมีงานอดิเรกเป็นอย่างอื่นไม่ได้หรือไง หุ่นยนต์ ฟิกเกอร์ ทำไมไม่สะสม เกมส์หัดเล่นบ้างก็ได้ หรือจะถ่ายรูป ดูหนัง มีอีกเป็นร้อยอย่าง ทำไมต้องแข่งรถ แล้วเอาชีวิตไปเสี่ยงแบบนั้น
ผมเผลอนั่งคิดไปถึงฉากที่อีกคนแข่งรถเข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่ง แม้คำพูดที่พูดว่า ‘ ชัยชนะครั้งนี้กูให้มึง ’ จะไม่หลุดออกจากปากคุณอารยะ แต่ก็อดคิดไม่ได้เลยว่าถ้ามันเกิดขึ้นจริง คนที่รับบทแฟนอย่างผมจะทำหน้ายังไงดี ‘ ขอบคุณนะ ’ พร้อมทำหน้าเขินๆ แต่ในใจก็พูดว่า ‘ แต่ช่วยกลับไปนั่งแดกเหล้าที่ throw up เถอะ ไอ้สัด ’
บนถนนเส้นทางหลวงที่มุ่งหน้าสู่จังหวัดชลบุรี หลังเลิกเรียนเรากลับเข้าคอนโดไปเก็บเสื้อผ้าแล้วรีบออกมาอย่างรวดเร็วแบบชนิดที่ว่า ผมหวนคิดลังเลว่าเมื่อครู่หยิบกางเกงในมาครบแล้วหรือยัง พลางหันไปมองคนขับที่กำลังเหยียบคันเร่งของเครื่องยนต์ให้เร็วกว่าทุกครั้งที่นั่งรถด้วยกัน สายตามีความสุขของอาฟชวนให้ผมยิ้มตาม จนเผลอคิดละเลยความห่วงใยในตัวอีกคนไปจนหมด
ก็ดูท่าว่าความเร็วในตอนขับรถจะเป็นความสุขของมันจริงๆ แม้ผมจะไม่เข้าใจว่า การเสี่ยงอันตรายด้วยการเหยียบคันเร่งให้สุดเท้า มันจะเป็นความสุขแบบไหนได้ แต่ว่า มันคงจริงอย่างที่ใครบอก ‘ ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลของความสุข เพราะความสุขมักไม่ใช่สิ่งที่ซับซ้อน ’
“ ขับช้าลงหน่อยดีมั้ย ” ผมบอกอาฟที่ก็เหลือบมามองกันพลางยกยิ้ม
“ กลัวเหรอ ” คำถามที่มาพร้อมกับตัวรถที่เริ่มชะลอความเร็วลง “ ก็นะปกติกูไม่เคยขับรถเร็วขนาดนี้ ”
“ เปล่า ไม่ได้กลัว คนขับเป็นมึงกูไม่กลัวหรอก แต่กูหมายถึงคนอื่นต่างหาก ” คนขับขมวดคิ้วมองกันตอนที่ผมพูดแบบนั้น “ ถนนทางตรง มันว่างก็จริง มึงเองก็รู้ว่าความเร็วแค่ไหนที่มึงควบคุมได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า คนอื่นเค้าจะรู้เหมือนมึงสักหน่อย คนบางคนมีใบขับขี่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะขับรถเก่งนะ ”
“ เหมือนมึง ” อาฟบอก “ พวกขับรถได้ แต่ไม่ใช่พวกขับรถเป็น ”
“ ยังไง ”
“ พวกขับรถได้ก็คือขับแบบที่มึงขับ ขับไปบนถนนได้ รู้ว่าถ้าจะเลี้ยวก็ต้องกดไฟบอกสัญญาณ เถ้าไฟแดงก้ต้องเบรคจอด สามารถขับให้อยู่ในเลนส์ถนนได้ แต่ว่า ถ้ารถยางระเบิดจะทำยังไง ” คำถามที่ถามทำให้ผมนิ่ง แล้วตอนนั้นในใจของผมมันพูดขึ้น
‘ เออ ทำไงวะ ’
“ ไม่รู้ใช่มั้ย ”
“ รู้ ” ผมพยักหน้ารับมันยิ้มๆ “ ก่อนอื่นก็หยิบมือถือ กดเบอร์โทรหามึงแล้วบอก ‘ อาฟ รถกูยางแตก มาช่วยที ’
“ ก็ถ้ามึงไม่ชนเข้ากับเสาไฟฟ้าสักต้นหรือหลักกิโลไปก่อนละก็นะ ”
“ แล้วเค้าทำยังไงเวลายางรถแตก ”
“ ตั้งสติ ”
“ ยากตั้งแต่อันที่หนึ่งแล้วมั้ยละ มันโบ้มขึ้นมาใครๆก็ต้องตกใจ ”
“ ก็เลยบอกไงว่าให้ตั้งสติ ”
“ แล้วไงต่อ ”
“ จับพวงมาลัยรถ ควบคุมให้ดีอย่าให้ตกไหล่ทาง แล้วก็อย่าให้เบี่ยงไปชนคันข้างๆ ที่สำคัญอย่าเหยียบเบรค ”
“ แล้วถ้าตกใจเผลอเหยียบละ ”
“ รถมึงก็จะหมุนไง เพราะงั้นก็แค่ชะลอความเร็วรถให้ต่ำลง ตีไฟเลี้ยวเข้าข้างทาง แล้วก็ค่อยๆเบรค ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหากู ”
“ จะว่าไปมันก็น่ากลัวนะ ” คิดจินตนาการไปว่าถ้าตัวเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ผมจะประคองสติทำอย่างที่อีกคนพูดได้มั้ย “ ไม่รู้ว่าถ้าเกิดขึ้นจริงๆ กูจะจำที่มึงสอนได้มั้ย ”
“ แต่กูมีวิธีที่มึงจะไม่ต้องเจอเรื่องแบบนั้น ” คำพูดที่ทำให้ผมหันไปมองอีกคนอย่างสนใจ ในตอนนั้นอาฟก็บอก “ มึงก็ไม่ต้องขับรถสิ ”
“ K ” ผมสบถออกมาก่อนจะถอนหายใจ “ อันนั้นใครๆก็รู้ไอ้สัด ” เบือนหน้าหนีไปมองนอกหน้าต่างที่รถกำลังเคลื่อนผ่านไปเรื่อย ผมสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดอย่างผ่อนคลายทั้งๆที่อยู่ในรถ คงเพราะแค่คิดว่าได้มาพักผ่อน หัวใจมันก็บินไปรออยู่ที่โรงแรมแล้วก็ชายหาดแล้ว
“ เดี๋ยวเราจะไปไหนกันก่อนวะ ”
“ ไปสนามแข่งก่อน ” ผมพยักหน้ารับกับคนขับก่อนจะหยิบมือถือที่กำลังเชื่อมต่อกับเครื่องเล่นเพลงในรถขึ้นมากดค้นหาเพลงที่อยากฟัง
“ ฟ้งเพลงอะไรกันดี ” ผมถาม “ มึงอยากฟังเพลงอะไร ”
“ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เพลงพี่ส้มฉุน ”
“ ฮ่าๆ ” หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง เพราะตั้งแต่ที่เราขับรถมาเพลงที่ฟังก็มีแค่เพลงพี่ส้มฉุนเพราะมันเชื่อมต่อมาจากเพลย์ลิลต์ในมือถือของผม “ พี่อาฟหึงก็บอกสิครับ ” เอียงไหล่เข้าไปชนไหล่มันสายตาคมก็หันมาเหล่มองกัน ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มกว้าง “ เรามาเลือกเพลงให้กันมั้ย ”
“ ยังไง ”
“ ก็มึงเลือกเพลงให้กู ส่วนกูก็จะเลือกเพลงให้มึง ”
“ เพลงอะไร ”
“ ก็เพลงที่เหมาะกับกูไง เพลงที่มึงอยากให้กูอะไรแบบนั้น ”
“ ไม่มี ” อาฟบอกผมก็ถอนหายใจออกมาพลางกดเข้าไปในโปรแกรมฟังเพลงนั้น เลื่อนนิ้วหาเพลงฮิตที่กำลังดังในช่วงนี้ แต่ยังไม่ทันจะตัดสินใจเลือกเพลงอะไรแล้วในตอนนั้นคนที่กำลังขับรถก็พูดขึ้น “ เปิดเพลงนั้นสิ ”
“ เพลงอะไร ”
“ เพลงของพี่ส้มฉุน เพลงใหม่ล่าสุด ” ผมทำท่าคิด ในตอนนั้นรถก็ชะลอความเร็วลงเพราะสัญญาณไฟจราจรสีแดงที่ปรากฏขึ้นพอดี อาฟดึงมือถือที่ผมถืออยู่ไป ก่อนจะกดลงบนหน้าจออยู่สักพักแล้วยื่นคืนมาให้ แล้วตอนนั้นเสียงดนตรีทำนองคุ้นหูก็ดังขึ้นมา
เพลงที่ทำให้ผมต้องกัดฟันตัวเองแน่นอยู่ด้านในเพราะไม่อยากจะยิ้มกว้างออกไปให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังเขินอยู่มากแค่ไหนกับเพลงที่อีกคนเลือก ‘ เพลงภูเขาบังเส้นผม ’
“ ไม่ต้องยิ้ม กูไม่ได้เปิดเพลงนี้ให้มึง ไม่ได้ฟังมันแล้วจะนึกถึงมึงด้วย ” พูดแบบนั้นพร้อมกับวางมือลงบนตักของผมก่อนจะคว้าเอามือที่ว่างอยู่มากุมกันไว้หลวมๆ ด้วยนิสัยตามฉบับของคนที่ชอบพูดไม่ตรงกับใจ อาฟย้ำประโยคที่ตรงกันข้ามออกมา ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งตามฉบับ “ ตั้งแต่ขึ้นต้นจนจบเพลงกูไม่ได้ฟังแล้วรู้สึกถึงมึงนะ ”
“ ทำไมต้องพูดยาวๆ พูดว่าฟังแล้วคิดถึงกู ไม่ง่ายกว่าเหรอวะ ”
“ งั้นเหรอ ” ดึงมือที่กุมกันไว้ขึ้นมาจูบเบาๆโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้โต้เถียงอะไร
ช่วงเวลานั้นเราปล่อยให้เสียงของตัวเองเงียบลง และจดจ่ออยู่กับท่วงทำนวงและเนื้อเพลงที่มีความหมายนั่น ใจของผมเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ความตื่นเต้นเองก็แล่นเข้าจุกที่คอจนทำได้แค่กลืนน้ำลายเหนียวลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใบหูหรือแม้แต่แก้มก็แดงจัดจนควบคุมไม่ได้ของตัวผม ทั้งที่อยากจะหันไปมองนอกหน้าต่างรถก็ยังไม่กล้า เพราะรู้ว่าแค่เงาสะท้อนของคนจ้องมองกันก็คงทำให้เขินยิ่งไปกว่าเก่า จนสุดท้ายเลยทำได้แค่ก้มหน้างุดจนคางชิดกับคอ
ส่วนคนขับที่คิดว่าจะนั่งกุมมือกันอยู่เฉยๆกลับดึงตัวเองเข้ามาใกล้ อาฟชกชิงความหอมจากผิวแก้มของผมไปเต็มฟอดก่อนจะกระซิบคำพูดที่เป็นประโยคเดียวกันกำลังในเพลงที่กำลังดังอยู่ในขณะนั้น
“ อยากจะเอาภูเขามาบังเส้นผม ไม่ให้ใครชื่นชม แม้เส้นเดียว ”
“ มึงแม่ง ” เบือนหน้าหนีออกไปทางอื่นเพราะทัดทานความหวานที่ชวนวาบวามในหัวใจไม่ไหว ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะเม้มริมฝีปากของตัวเองแน่น แล้วในตอนนั้นอาฟก็ยกยิ้มบอกกัน
“ แต่ไม่คิดว่าจะมิดหรอก ” ผมหันไปมองคนที่พูดแบบนั้นด้วยใบหน้าสงสัย ก่อนมือที่จับกันอยู่จะถูกย้ายขึ้นมาจับที่แก้ม อาฟบีบมันก่อนจะดึง “ แก้มมึงย้อยขนาดนี้ ภูเขาต้องบังไม่มิดแน่ๆ ”
“ ไอ้เหี้ย ” พูดแบบไม่ออกเสียงพร้อมกับใช้สายตามองมันแบบคาดโทษอย่างไม่คิดจะให้อภัย แต่ถึงอย่างงั้นคุณอารยะก็แค่หัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะขับรถต่อไปในตอนที่สัญญาณไฟเขียวปรากฎขึ้น ในตอนนั้นผมเองก็เลยทำได้แค่พิงตัวเองลงกับเบาะรถแล้วถอนหายใจออกมาเซ็งๆ อย่างทุกที “ แกล้งกูอีกแล้วไอ้สัดอาฟ ”