ตอนที่ 50
เสียงลั่นไกดังลั่นที่ดับลง แปรเปลี่ยนเป็นความวูบโหวงในตอนที่ผมเงยหน้าขึ้นจากวงแขนที่กอดรัดกันไว้แน่น ความสั่นของร่างกายบอกถึงความตกใจและความกลัวได้เป็นอย่างดี ลมหายใจของผมติดขัด แต่ถึงอย่างงั้นคนที่กอดกันไว้ก็ยังคงไม่ปล่อยไปไหน ราวกับว่าถ้ายังไม่มั่นใจในความปลอดภัยอาฟก็จะกอดผมไว้แบบนี้
เงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่ยิ้มให้กันในตอนนั้นราวกับจะปลอบว่าไม่ต้องกังวลอะไร ปากของผมที่กำลังเอ่ยถามถูกกลืนหายไปราวกับมันปลิวไปกับเสียงปืนนัดนั้น ตอนที่เอื้อมมือไปกอดอาฟไว้หัวใจของผมก็ยังสั่นระรัว มือสะเปะสะปะลูบไปบนแผ่นหลังนั้นก่อนจะหยุดลงตอนที่สัมผัสเข้ากับความอุ่นร้อนของบางสิ่งและกลิ่นคาวไม่คุ้นเคยที่กำลังคละคลุ้ง
ผมดึงมือสั่นๆกลับเข้ามาดูเพื่อความแน่ใจ และตอนนั้นสิ่งที่ไม่อยากจะให้เกิดขึ้นในชีวิตก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างไร้ความปราณีใด เลือดสีแดงบนมือของผมที่ซึมออกมาจากด้านหลังของอาฟ ผมรับรู้ได้ว่าคนที่กอดกันไว้แน่นเพื่อปกป้อง โดนยิงเข้าที่เอวอย่างจัง
“ อาฟ ” เสียงสั่นของผมตอนเอ่ยเรียกเจ้าของชื่อ น้ำตามากมายเริ่มไหลออกมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ ผมดึงตัวเองขึ้นมามองดูอีกคนอย่างไม่รู้จะเริ่มทำอะไรก่อน มือพยายามจับตัวอีกคนที่เหมือนจะเริ่มอ่อนแรงลง ปากก็พร่ำบอกอย่างคนไม่มีสติใด ทั้งๆที่ปกติก็ไม่ได้เป็นคนแบบนี้ “ ไม่นะ อาฟ ไม่นะ ไม่ๆ อย่าเป็นอะไรนะ ”
บางที นี่อาจจะเป็นความเสียใจในแบบที่จิงอยากจะให้เกิดขึ้นก็เป็นได้
“ เมด มึงเป็นอะไรมั้ย ” เสียงถามที่เบาหวิวเอ่ยถามกันในตอนที่ผมกำลังลนลานเพื่อหาทางทำให้เลือดที่ไหลออกมานั้นหยุดไหล มือที่ดูเกะกะ มันไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนหรือหยิบจับอะไร ผมหันซ้ายดูขวาอย่างคนสมองทึบ แต่ทว่าคนที่เจ็บหนักกลับแค่เอื้อมมือมาประคองหน้าให้มองกันไว้
“ ไม่ ” ผมส่ายหน้าบอก “ กูไม่ได้เป็นอะไร ”
“ งั้นก็ดีแล้ว ” คำพูดที่มาพร้อมกับรอยยิ้มอย่างเช่นทุกทีชวนให้ผมนิ่งค้าง
ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหน หรือจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่อาฟทำก็คือการปกป้องกันไว้ก่อนเป็นอันดับแรกเสมอเลย ทำไมถึงคิดถึงผมเป็นคนแรกทั้งๆที่ควรเป็นตัวเอง ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ทำไมถึงรักกันได้ขนาดนี้วะอาฟ
ผมก้มหน้าลงทั้งๆที่หยาดน้ำตากำลังลบเลือนการมองเห็นให้ต่ำลง มือลูบไปตามกระเป๋าเสื้อและกางเกงตัวผมพยายามสูดหายใจแล้วตั้งสติของตัวเองเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ก่อนจะคว้าเอามือถือขึ้นมาเป็นอย่างแรก ผมกดเบอร์ของโรงพยาบาลที่คิดออกก่อนจะกดโทรไป แล้วตอนที่ปลายสายรับ ผมก็พูดออกไปอย่างยากที่จะจับใจความให้เข้าใจ
“ ช่วยด้วย ช่วยด้วยครับมีคนโดนยิง ช่วยด้วย ช่วยเราด้วยครับ ช่วยอาฟด้วย ช่วยที ได้โปรดมาช่วยเราด้วย ” ผมแค่อยากให้ใครสักคนมาช่วยผม มาช่วยคนรักของผมที ใครก็ได้ “ ช่วยด้วย อึก ช่วย ช่วยครับ ช่วยด้วย ฮือๆ ”
“ ใจเย็นๆนะคะ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ทางเราจะไปช่วยให้เร็วที่สุดคะ ” เสียงที่ฟังดูปลอบประโลมแต่ไม่ได้ทำให้ผมมีสติ จนกระทั่งมือนึงได้ดึงโทรศัพท์ของผมไป ผมเงยหน้ามองบินที่เดินเข้ามาในตอนนั้น มันกรอกเสียงไปตามสายที่ผมไม่สามารถตอบอะไรได้เมื่อครู่ ในช่วงจังหวะนั้นผมเอื้อมมือไปจับขากางเกงของอีกคน แล้วตอนที่บินก้มลงมามองผมก็ร้องบอก “ ช่วยอาฟด้วย ช่วยอาฟด้วยนะ ช่วยอาฟ ”
บินไม่ได้บอกให้ผมใจเย็น มันแค่พูดกับผมด้วยสายตาว่าไม่ต้องเป็นห่วงและกรอกเสียงบอกสถานที่ไปกับปลายสาย ก่อนจะย้ำว่าให้มาเร็วที่สุด มือถือถูกยื่นมาคืนผม บินจับที่ไหล่ผมอย่างปลอบโยนก่อนจะเดินตรงไปหาจิงที่ตอนนี้ทรุดนั่งลงอยู่กับพื้นห้อง แล้วในตอนนั้นผมก็ไม่ได้หันมองใครอีก ไม่หันไปมองบินที่กำลังคุยกับจิงและบอกให้อีกคนทิ้งปืนปากกาที่ถืออยู่นั่นไป
ผมดึงคนที่หมดเรี่ยวแรงลงเรื่อยๆขึ้นมานอนบนตัก ก่อนจะพูดปลอบใจตัวเองพร้อมๆกับอีกคน “ หมอกำลังจะมานะ มึงจะไม่เป็นอะไรหรอก ไม่เป็นอะไรหรอกนะ ” ผมจับมือมันขึ้นมาแล้วจูบลงไปบนมือนั่น ก่อนจะกดย้ำจูบลงที่แก้ม ริมฝีปาก พลางผมพูดพร่ำซ้ำๆ “ อดทนนะอาฟนะ บอกกูว่าจะพากูไปเที่ยวหัวหินไง เราต้องได้ไปกันนะ เข้าใจมั้ย ห้ามทิ้งกูไปไหน นี่คือคำสั่ง เข้าใจรึเปล่า ”
“ ยิ้มให้ดูหน่อย ” แล้วนั่นก็เป็นคำพูดที่ผมได้ยิน ผมยิ้มให้อีกคนอย่างไม่มีเงื่อนไข ในตอนนั้นผมเห็นอาฟยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่เราชอบยิ้มให้กันในทุกวัน “ ห้ามร้องไห้นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไร ก็อย่าร้องไห้เด็ดขาด เพราะกูเกลียดน้ำตาของมึงที่สุด ”
“ อาฟ! ” ตะโกนเสียงเรียกพลางเขย่าตัวคนที่สติดับวูบไป “ อาฟ ไม่นะ ไม่ๆ ไม่นะ หมอ ทำไมหมอยังไม่ถึงสักที ทำไมรถพยาบาลไม่มาสักที อาฟ ขอร้อง มึงอย่าเป็นอะไรนะ ”
ผมเงยหน้าขึ้นมองรอบๆห้องที่ตอนนี้มีผู้คนบางส่วนเดินเข้ามา แสงแดดที่ส่องเข้ามาทางประตูผมไม่ได้สนใจว่าข้างนอกนั้นจะมีสายตาของใครมองมา ไม่ได้สนใจว่าทั้งอาจารย์ ยาม หรือแม้แต่รุ่นพี่ในคณะจะเดินเข้ามาสักกี่คน ทุกคนที่กำลังถามไถ่มีเพียงบินคนเดียวที่ตอบคำถามพวกนั้นได้ ทุกอย่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าสำหรับความรู้สึกผม ในใจที่เฝ้ารอจนกระทั่งผู้ช่วยเหลือเดินทางมาถึง
“ ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย ” ผมบอกพยาบาลที่ก้มลงปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้คนเจ็บทันทีที่มาถึง เธอตรวจเช็คชีพจรก่อนจะใส่เครื่องช่วยหายใจด้วยความเป็นมืออาชีพและรวดเร็ว
“ ผู้บาดเจ็บแค่หมดสติไป ไม่ต้องตกใจไปนะ ” พยาบาลคนนึงที่หันมามองผมเอ่ยถาม “ แล้วน้องเจ็บตรงไหนรึเปล่า มีแผลมั้ย ”
“ ไม่มีครับ ” ผมส่ายหน้าบอก ในตอนนั้นอาฟก็โดนเหล่าคนช่วยเหลือยกตัวขึ้นไปนอนบนเปลเพื่อเคลื่อนย้ายอย่างเร่งด่วน ผมเดินตามคนพวกนั้นไปอย่างรีบเร่ง ส่วนจิงในตอนนั้นก็โดนจับกุมอยู่โดยยาม และคิดว่าอีกสักพักตำรวจก็คงเดินทางมาถึง
รถพยาบาลขับอย่างเร็วเข้าสู่โรงพยาบาลใกล้เคียง ก่อนจะจอดลงที่หน้าห้องฉุกเฉินแล้วร่างที่นอนหมดสติอยู่บนเตียงนั้นก็ถูกเข็นเข้าไปด้านในด้วยความรวดเร็ว ผมยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินที่ไม่มีใครอนุญาตให้เข้าไปอย่างไม่อยากจะย้ายตัวไปไหน ผมหยุดไม่ได้แม้แต่น้ำตาของตัวเองที่ไหลออกมา จนกระทั่งนางพยาบาลที่อยู่บริเวนใกล้เคียงเดินเข้ามาหาแล้วปลอบประโลมกันด้วยการถามไถ่ก่อนจะดึงให้ไปนั่งพักให้ใจเย็น อยู่ที่เก้าอี้หน้าห้อง
ครืน ครืน ครืน
แรงสั่นของมือถือที่ดังอยู่ในกระเป๋า ผมเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมาดู บนหน้าจอนั้นปรากฏชื่อของเพื่อนสนิทอาฟโทรเข้ามา ‘ throwup : J ’
“ เมด ” เสียงที่เอ่ยเรียกกันในตอนที่ผมกดรับ “ บอกไอ้อาฟให้รับสายโทรศัพท์กูที ”
“ เจ ” ผมเรียกอีกคนเสียงสั่น ปลายก็นิ่ง “ อาฟโดนยิง ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล มันยังไม่ออกมาจากห้องฉุกเฉินเลย อึก ฮือๆ เจ อึก อาฟ อาฟโดนยิง ”
“ ว่าไงนะ ” คำถามทวนซ้ำที่เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ อาฟโดนยิง ” ผมบอกซ้ำ “ อยู่ที่โรงพยาบาล ”
“ โรงพยาบาลอะไร ” เอ่ยชื่อโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ออกไป ในตอนนนั้นเจก็แค่ตอบรับ “ ใจเย็นๆ กูจะรีบไป มึงไม่ต้องกลัวนะเมด คนอย่างไอ้อาฟแม่งไม่เป็นอะไรหรอก มันรักมึงจะตาย มันไม่ปล่อยให้มึงอยู่คนเดียวหรอก เชื่อกู ”
‘ จริงด้วยสินะ ’ เสียงในใจของผมตอบรับกลับไปในตอนที่สายนั้นตัดลง หันมองประตูหน้าห้องฉุกเฉินที่ยังไม่มีใครออกมาอีกครั้ง ผมจ้องมองมันอยู่แบบนั้น ในใจก็ภาวนาอยู่ทุกวินาทีที่เคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้านั้นแค่ว่า ขอประตูเปิดออกมาเสียที
“ พี่เมด ” เสียงของคนมาใหม่ที่เอ่ยเรียกชื่อกัน ผมหันไปมองต้นเสียงนั้น น้องเดย์เป็นคนเอ่ยเรียก โดยมีน้องอัยย์แล้วก็เจวิ่งตามกันเข้ามา แล้วทุกคนก็ได้แต่นิ่งไปในตอนเห็นเลือดที่เปื้อนอยู่บนเสื้อผม มีเพียงคนเดียวที่ควบคุมสติได้ในตอนนั้นคือ เจ มันเอ่ยถาม
“ ไอ้อาฟมันยังไม่ออกมาอีกเหรอ ”
“ ยัง ” ผมส่ายหน้าในตอนนั้นน้องเดย์ก็เดินมากอดผมไว้
“ ไม่เป็นไรหรอกนะพี่เมด ” น้องบอกกันแบบนั้นด้วยเสียงสั่นๆที่กำลังร้องไห้ออกมา “ สัดพี่มันไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวนะ ”
“ แต่พี่เมดก็กลัวอยู่ดี อึก มันเข้าไปนานมากแล้วนะ เมื่อไหร่หมอจะออกมาสักทีก็ไม่รู้ อึก ฮือๆ ” ร้องไห้บนไหล่หนานั้นอีกคนก็ได้แต่ลูบหลังปลอบกัน “ อาฟจะไม่ทิ้งพี่เมดใช่มั้ย จะไม่ทิ้งพี่เมดใช่มั้ยน้องเดย์ ”
“ ไม่ทิ้งหรอก ไม่ต้องร้องไห้นะ ” น้องบอกก่อนจะดึงผมให้มาเผชิญหน้ากัน มือหนาทั้งสองข้างยกเช็ดน้ำตาให้ “ เดี๋ยวสัดพี่ออกมาเห็นพี่เมดร้องไห้มันต้องหงุดหงิดแน่ๆเลยเว้ย ไม่ต้องร้องนะ ไม่เอาครับ พอแล้วนะ ”
“ ใช่ๆ พี่เมดอย่างร้องไห้เลยนะ ” น้องอัยย์บอกผมทั้งๆที่ตัวเองก็ยังคงน้ำตาคลอ
“ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมไอ้อาฟถึงโดนยิง ” เจถามผมในตอนที่น้องเดย์ดึงให้นั่งตรงที่เก้าอี้ตรงหน้าห้อง “ แล้วนี่มึงเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่มั้ยเมด ”
“ ไม่ กูไม่ได้เจ็บตรงไหนเพราะมันบังกูไว้ ” ผมส่ายหน้าไปมาก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้คนมาใหม่ทั้งสามคนฟังที่ก็ถอนหายใจออกมาตอนที่ฟังเรื่องราวเหล่านั้นจบลง
“ เหี้ยจริงๆ แล้วนั่นมันไปเอาของแบบนั้นมาจากไหนวะ ” น้องอัยย์พูดขึ้น เจก็ตอบ
“ ปืนปากกาสมัยนี้ซื้อหาง่ายจะตายไปตามเว็บใต้ดินก็มี แล้วถ้ามีคนรู้จักสักหน่อยก็ซื้อได้แล้ว อีกอย่างพวกเด็กช่างก็ทำได้ แค่มึงมีเงินจ่ายมัน ”
“ แล้วนี่จะเอายังไงต่อ ” น้องเดย์ที่นั่งข้างผมเอ่ยถามกัน “ จะจัดการยังไงกับเรื่องนี้พี่เมดจะเอาเรื่องมันมั้ย ”
“ ต้องเอาความสิวะ ” น้องอัยย์เถียงขึ้น “ มึงจะปล่อยไปทำเหี้ยอะไร ให้ดำเนินการตามกฏหมายไปเลยพี่เมด ”
“ เดี๋ยวให้อาฟตัดสินใจแล้วกัน ” ผมบอกแค่นั้นก่อนจะมองไปที่ประตูฉุกเฉินอีกครั้ง มันไม่ใช่เรื่องผมอยากจะสนใจ เรื่องผมสนใจคือเรื่องของคนที่อยู่ในห้องนั้นเท่านั้น
ทุกอย่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าด้วยความเงียบอยู่นาน แล้วในตอนนั้นประตูที่เฝ้ารอให้เปิดออก ก็มาพร้อมกับคุณหมอในชุดผ่าตัดสีเขียวที่เดินออกมา แววตาของผมเบิกขึ้นด้วยความหวังก่อนจะลุกวิ่งขึ้นไปหาคุณหมอคนนั้นด้วยความรวดเร็ว “ อาฟเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ ปลอดภัยแล้วใช่มั้ยครับ ”
“ ครับ ตอนนี้ผู้บาดเจ็บปลอดภัยแล้วครับ หมอนำกระสุนออกเรียบร้อย โชคดีที่โดนยิงตรงส่วนที่ไม่ใช่อวัยวะสำคัญ ส่วนอาการข้างเคียงอื่นๆ ต้องรอให้คนไข้ได้สติก่อน แล้วหมอถึงจะขอตรวจอีกครั้งนะครับ ”
“ ครับ ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ ขอบคุณครับ ” ราวกับคำพูดที่ดีที่สุดในชีวิต ผมยกมือไหว้คุณหมอที่ก็ยิ้มให้ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉินอีกครั้ง ขาที่ไร้เรี่ยวแรงผมแทบจะทรุดลงตรงนั้นด้วยความโล่งใจ ไม่ต่างจากทุกคนที่อยู่ด้วยกัน ผมได้ยินเสียงถอนหายใจโล่งนั้นดังออกมาตรงหน้าห้องเงียบๆนั่น
“ แล้วนี่สัดพี่จะย้ายไปห้องพิเศษเลยมั้ย ”
“ ไม่ต้องเข้า ICU ก่อนเหรอวะ แล้วพอแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นอะไร ถึงจะย้ายไปห้องพิเศษ รอออกจากโรงพยาบาล ” น้องอัยย์หันไปตอบเพื่อนสนิท แต่อีกคนก็แค่ยักไหล่เพราะไม่มีใครรู้ถึงระบบลำดับขั้นนั้นของโรงพยาบาล ในตอนนั้นเจเอื้อมมือมาจับไหล่ผมก่อนจะยิ้มให้
“ ไม่เป็นไรแล้วนะ ”
“ อื้ม ” ในตอนนั้นผมเองก็พยักหน้ารับทั้งน้ำตาให้อีกคนที่ยิ้มให้กัน ไม่เคยคิดเลยว่า แค่คำว่า ‘ ปลอดภัยแล้ว’ กับ ‘ ไม่เป็นอะไรแล้ว ’ จะทำให้มีความสุขมากมายขนาดนี้
หน้าห้อง ICU แบ่งเวลาเข้าเยี่ยมตามช่วงเวลาเป็นรอบๆ อาฟตอนนี้ถูกย้ายเข้ามาในห้องนี้แล้ว และผมกำลังรอเวลาเพื่อที่จะได้เข้าเยี่ยมในรอบถัดไปที่ก็ต้องรอนานนับชั่วโมง
“ พี่เมดไปอาบน้ำก่อนมั้ย ” น้องเดย์ที่นั่งข้างกันเอ่ยพูดขึ้น ผมก็ก้มลงมองดูตัวเองที่ตอนนี้เสื้อขาวของนักศึกษาที่สวมใส่อยู่รวมทั้งกางเกงสีดำแนบตัวก็มีแต่เลือดสีแดงที่แห้งกรังติดอยู่ ทั้งมือหรือแม้แต่หน้าเองก็ยังมีคราบเลือดที่เปื้อนอยู่เพราะไม่ทันเช็ดออกไปได้หมด
“ เออนั่นสิ กลับไปอาบน้ำก่อนนะพี่เมด ” น้องอัยย์เสริม
“ ไม่เอา ” ผมส่ายหน้าปฎิเสธน้องๆ “ กว่าจะไปกว่าจะมา จากคอนโดกลับมาที่นี่ก็ตั้งไกล ให้กูเยี่ยมอาฟก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน ”
“ เค้าจะไม่ให้มึงเข้าเพราะสภาพแบบนี้แหละ ” เจบอกผม “ ICU มันเป็นห้องปลอดเชื้อ มึงสกปรกขนาดนี้จะได้เข้าเหรอ ไม่ได้เข้ารอเก้อเลยนะ จะดีเหรอวะ ”
“ กูเกลียดพวกมึงวะ ” ผมพูดออกมาก่อนจะถอนหายใจ ยิ่งอยู่ด้วยกันนานไป ยิ่งสนิท ก็ยิ่งรู้ว่าทำยังไง มีจุดอ่อนตรงไหน ที่จะพอล่อได้ ก็ชอบเอามาล่อ มากดดันกัน “ กูกลัวมันนานไงมึง ”
“ เสื้อผ้าพี่เมดในกระเป๋าที่จะไปหัวหินไง ” น้องเดย์พูดขัดขึ้น “ อยู่ในรถสัดพี่ไม่ใช่เหรอ ”
“ ก็ใช่ แต่กูไม่มีกุญแจ..” ท้ายเสียงที่เงียบไปนั้นผมจับเข้าที่กระเป๋ากางเกงตัวเองก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านั้นหลังจากอาฟล็อกรถเรียบร้อยมันก็เอากุญแจมาฝากไว้ที่ผม ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะดึงเอากุญแจรถออกมาผมยื่นให้น้องเดย์ “ น้องเดย์กับน้องอัยย์ไปเอาให้หน่อย รถจอดอยู่ที่หน้าคณะพี่เมดนะ กระเป๋าอยู่ข้างหลังรถ ”
“ โอเค รับทราบ ” คนโดนไหว้วานเอื้อมมือมาหยิบกุญแจก่อนจะเดินออกไปพร้อมกัน เหลือไว้แค่ผมกับเจสองคนที่นั่งกันอยู่เงียบๆ ก่อนที่อีกคนจะถามขึ้นเพื่อขัดความเงียบ
“ นี่ตำรวจยังไม่มาอีกเหรอวะ เค้าน่าจะติดต่อมึงมาได้แล้วนะ ยังไงมึงก็เป็นพยานอีกคนหนึ่ง ” ผมหันไปมองเจ สาบานว่าไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยสักนิด เพิ่งจะมานึกได้ก็ตอนนี้ที่อีกคนเอ่ยถาม
“ ไม่รู้เหมือนกัน กูไม่รู้เลยว่าตรงนั้นเรื่องจะเป็นยังไงบ้าง ”
“ เพื่อนมึงก็คงฝากขังก่อนแน่นอน มันยื่นประกันตัวไม่ได้อยู่แล้ว เพราะนี่เป็นคดีอาญา แล้วก็ต้องถูกตั้งข้อหาพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าคนที่มันจะฆ่าคือมึงไม่ใช่ไอ้สัดอาฟก็เถอะ ”
ผมถอนหายใจออกมาในตอนที่ได้ยินเจพูดแบบนั้น ชีวิตคนเราพลิกพันไปง่ายดายไม่ต่างอะไรกับการพลิกฝ่ามือเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆที่กำลังจะเรียนจบในอีกไม่กี่เดือนอยู่แล้ว จิงเองก็มีแพลนจะไปเรียนต่อเมืองนอกที่บอกกันไว้ตั้งแต่ปีสาม แต่แบบนี้ทางมหาลัยเองก็คงไม่น่าลดหย่อนอะไรทั้งนั้น คงไล่ออกให้พ้นสภาพนักศึกษาของทางมหาลัยแต่เพียงอย่างเดียว อนาคตที่กำลังจะถึงฝั่งดับวูบลงไม่มีเหลือเลย
“ สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณคือหนึ่งในผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คดีที่นักศึกษาใช้ปืนปากกายิงผู้อื่นโดยเจตนาหรือเปล่าครับ ” ร่างสูงในชุดเครื่องแบบเต็มยศท่าทานภูมิฐานสองคนเดินเข้ามาก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวพร้อมทั้งตั้งคำถามกับผมและเจที่กำลังนั่งอยู่ตรงนั้น เราเหลือบมองกันก่อนที่ผมจะพยักหน้ารับแล้วเอ่ยตอบ
“ ครับ ผมเอง ”
“ ทางเราจะมาสืบสวนพยานในที่เกิดเหตุ ขอเวลาคุณสักครู่นะครับ ”
“ ครับ ” พยักหน้ารับอีกครั้งก่อนจะที่ตัวผมจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปนั่งตรงเก้าอี้โซฟาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อให้ความสะดวกแก่การสอบสวนของคุณตำรวจ “ เรามาเริ่มกันเลยนะครับ ก่อนอื่นผมขอถามก่อนคุณเป็นอะไรกับผู้ต้องหาครับ ”
“ เป็นเพื่อนครับ ”
“ แล้วกับผู้บาดเจ็บละครับ ”
“ เป็นแฟนครับ ”
“ ช่วยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เราฟังด้วยครับ ตั้งแต่เริ่มต้นเลยนะครับ ” ผมเหตุการณ์ทั้งหมดให้กับคนตรงหน้าฟังอย่างละเอียด ก่อนจะถูกซักข้อมูลถามกลับมาในส่วนที่เป็นข้อสงสัยทั้งหมด แต่คิดว่าเรื่องราวที่ผมเล่าคงจะเป็นเรื่องราวที่ไม่ต่างอะไรกับ บิน และ ยีนส์ ที่เป็นพยานคนก่อนเท่าไหร่ ทางตำรวจเลยไม่ได้ดูแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยินอีกครั้ง
“ ขอบคุณมากที่ให้ความร่วมมือนะครับ ” เมื่อสอบสวนเสร็จทางคุณตำรวจก็ยืนขึ้นก่อนจะก้มหน้าให้ผมที่ก็ยกมือไหว้กลับไป “ แล้วตอนนี้ทางผู้บาดเจ็บเป็นยังไงบ้างครับ ”
“ ปลอดภัยแล้วครับ ตอนนี้ผมก็กำลังรอเข้าเยี่ยมอยู่ ”
“ งั้นทางเราจะมาสอบปากคำอีกครั้งหลังจากผู้บาดเจ็บออกจากห้อง ICU นะครับ ”
“ ครับ แล้ว..” ผมเว้นเสียงไปคนตรงหน้าก็เอียงหน้าถาม
“ ครับ ? ”
“ ผู้ต้องหาตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับ ”
“ ทางเรานำไปฝากขังไว้ที่สน.แล้วครับ มีการยื่นขอประกันตัวแล้วแต่เพราะเป็นคดีอาญาจึงไม่มีสิทธิ์ได้รับการประกันตัวอยู่แล้วครับ ”
“ ครับ ขอบคุณมากครับ ” ยกมือไหว้คุณตำรวจอีกครั้งก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินออกไป ผมตอนนั้นที่ก็ได้แค่ถอนหายใจก่อนจะเดินกลับไปหาเจที่ก็ยิ้มถาม
“ กังวลเรื่องไอ้เหี้ยนั่นเหรอวะ ”
“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับ “ สงสารมันนะ ไม่น่ามาเป็นแบบนี้เลยวะ พอคิดว่ากำลังจะเรียนจบแล้ว จะมีอนาคตที่ดี กูก็รู้สึกว่า กูสงสารมัน ถึงมันจะทำเหี้ยกับกูมากๆก็เถอะ ”
“ ก็มันเคยเป็นเพื่อนมึง ถึงมันจะเคยคิดไม่ดีกับมึง แต่ความรู้สึกของมึงก็ไม่ใช่ไง ” เจบอกผมก็หันไปมองหน้ามันก่อนจะพยักหน้ารับ “ แต่มันก็ทำตัวมันเองมั้ย ไม่ได้มีใครบังคับให้มันทำ ”
“ ความกดดันไงมึง ” ตอบคนข้างตัวไป เจก็ได้แต่ขมวดคิ้ว “ สภาพสังคม ครอบครัว ที่บีบบังคับมันมีส่วนที่ทำให้มันต้องเป็นแบบนี้นะ ตอนแรกเริ่มทำเพื่อให้ตัวเองสะใจแบบเล็กๆน้อยๆ จนเรื่องที่ทำมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายก็ทำอะไรแบบที่ห้ามตัวเองไว้ไม่อยู่ ”
“ ชีวิตมันมีทางเลือกให้เดินเยอะแยะ แต่มันเลือกที่จะเดินทางนี้เอง เลือกที่จะเป็นคนแบบนี้เอง ”
“ แต่คนเราน่ะ มันมีทางเลือกให้เดินเยอะแยะจริงๆเหรอวะ ” ผมพูดเสียงเบาๆออกมาในตอนนั้น
ก็แค่รู้สึกว่าบางทีทางเลือกเดินมันไม่ได้มีเยอะแยะขนาดนั้น ก็เหมือนกับวิวที่เลือกจะออกไปกินเหล้ากับเพื่อน และใช้ชีวิตแบบที่หลายๆคนก็ถามเหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกไปในทางนั้น ทำไมไม่เลือกทางที่ดี ทางที่มันไม่ส่งผลเสียกับตัวเอง แล้วนั่นก็คงเป็นคำตอบเดียวกันกับที่ผมเคยรู้สึกกับเรื่องของน้องชายตัวเอง ‘ ในช่วงเวลาที่แย่ ทางไหนที่มาถึงก่อนเราก็เลือกที่จะไปทางนั้น ’
วิว โชคดีที่วันนั้นคนที่มันเจอยังเป็นอาฟกับเจและช่วยเหลือมันไว้ได้ทันก่อนที่ตำรวจจะเข้าตรวจค้นผับนั่น มันที่หลงเดินเข้าไปในทางแย่ๆแบบไม่ถลำลึก มีสิทธิ์กลับตัวเพียงแค่เปลี่ยนความคิด แต่สำหรับจิง ทุกอย่างมันถลำลึก จนไม่แม้จะสามารถกลับตัวเดินออกมาได้อีก ทำได้แค่ชดใช้ความผิดนั้น แล้วก็ต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ในท้ายที่สุด
“ พี่เมด น้องเดย์น้องอัยย์เอาเสื้อมาให้แล้วครับ ” เสียงประสานที่พยายามทำให้ยิ้ม มาพร้อมถุงผ้าที่ถูกยื่นมาให้ผมที่กำลังก้มหน้าลงคิดอะไรเพลินๆ เงยหน้าขึ้นยิ้มกว้างให้ทั้งสองคนก่อนจะรับถุงผ้านั่นมาเปิดดู แล้วพบว่ามันมีเสื้อผ้าของผมอยู่หนึ่งชุดแล้วก็ของพวกของใช้จำเป็น
“ ขอบคุณนะครับ ” ผมบอก ก่อนจะลุกขึ้น “ งั้นไปอาบน้ำก่อนนะเดี๋ยวมา ”
“ โอเคครับ ” น้องเดย์ตอบรับผมก่อนจะยิ้ม “ อาบน้ำหอมๆเลยนะ ถ้ากลับมาน้องเดย์หอมแก้มแล้วไม่หอม น้องเดย์จะไปอาบให้ใหม่น้า ”
“ งั้นตายคาตีนพี่เมดก่อนน้า ” ตอบกลับน้องยิ้มๆอีกคนก็เบิกตาโตขึ้นก่อนจะเหลือบมองไปทางเพื่อนตัวเองที่ก็บอกเสริมแค่ว่า
“ นอกจากตีนพี่เมดแล้ว ก็ยังเจอตีนเฮียด้วยจ้า ซึ่งของพี่เมดอาจจะแค่เจ็บเบาๆ เข้าโรงพยาบาลใสๆ แต่ของเฮียนี่คือบอกเลยว่า จองศาลาวัดกับวันเผาได้เลยจ้าเพื่อนมึง ”
“ งั้นก็กลัวแล้วจ้า น้องไหว้ ” ยกมือไหว้ผมด้วยความเรียบร้อย เราหลุดหัวเราะกันเสียงดังก่อนที่ผมจะเดินไปหาห้องน้ำเพื่ออาบน้ำล้างคราบเลือดทั้งหมดให้เรียบร้อย
ชุดที่ตั้งใจจะเอาไปใส่เที่ยวทะเลถูกเอามาเปลี่ยนใส่ที่โรงพยาบาล ผมมองดูลายเสื้อยืดสีสันสดใสที่อาฟเป็นคนเลือกให้เมื่อวานผ่านกระจกในห้องน้ำก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา มันก็ถูกแล้วที่ใครๆจะพูดว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร
ทั้งๆที่เมื่อคืนเรายังหัวเราะสนุกสนาน แล้วหยอกล้อกันด้วยมุกที่ชวนให้ใจเต้นแรง อาฟยังนอนกอดผมบนเตียง เมื่อเช้ามาก็หอมแก้มผมเพื่อปลุกแบบที่ทำทุกวัน เรากินมื้อเช้าอร่อยๆอยู่ตรงข้ามกัน แล้วก็มอบจูบให้กันในตอนที่อีกคนมาส่งที่หน้าคณะ เป็นช่วงเวลามีความสุขที่ไม่คิดเลยว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
“ พี่เมด เข้าเยี่ยมเฮียได้แล้วนะ ” น้องอัยย์วิ่งหอบเข้ามาหาผมที่ก็รีบยัดทุกอย่างใส่ถุงผ้าโดยทันที เราวิ่งกันออกมาจากห้องน้ำ ผมวางของไว้ที่เก้าอี้หน้าห้องที่เข้าเยี่ยมเพราะมันไม่มีอะไรสำคัญ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในที่ก็ต้องผ่านการฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาล้างมือแล้วใส่ชุดตามที่ทางโรงพยาบาลกำหนด
“ พวกเราดูเหมือนหมอเลย ” น้องเดย์พูดขึ้นหลังจากที่ใส่ชุดเสร็จ ก่อนที่เจจะแค่ยกยิ้มแล้วพูดสั้นๆ
“ ติดแค่หน้าตามึงดูโง่ไปหน่อยเท่านั้นเองละนะ ”
“ เอ๊ะ ? แม่งด่ากูเปล่าวะ ” หันไปถามเพื่อนตัวเองที่ก็ทำได้แค่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าไปมาในตอนนั้น ส่วนผมที่มองภาพนั้นก็ผ่อนลมหายใจออกมาเหมือนกัน แต่ก็คงเป็นคนละความรู้สึกกับคนสองคนที่ก็ยังคงเล่นกันอยู่