ตอนที่ 48
บนหน้าจอมือถือที่ปรากฏเวลาปัจจุบันของประเทศสิงคโปร์ ผมเผลอยิ้มให้กับภาพหน้าจอของตัวเองที่ตั้งใจเปลี่ยนมันก่อนมาที่นี่ ภาพของคนรักที่แอบถ่ายไว้เมื่อวานก่อนผมจะอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเดินทางมาทำงานที่นี่กับพ่อ เมดในตอนนั้นกำลังหลับสนิทแก้มขาวที่ผมชอบหอมแบบสุดแรงในตอนเช้าของทุกวันแนบกับหมอนนุ่มจนปากสีชมพูนั้นห่อตัว เป็นท่าทางที่ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเด็กเล็กเลยสักนิดในความคิดผม
อดใจไม่ได้เลยในวินาทีนั้นที่จะก้มลงไปหอมแก้มมันแบบสุดแรงอย่างที่ชอบทำ แต่เมดก็ไม่ได้รู้สึกตัวแต่อย่างใดคงเพราะความเหนื่อยจากกิจกรรมเมื่อคืนที่ทำให้เป็นแบบนั้น
เมดไม่เคยรู้ตัวว่าตัวมันเองเป็นคนที่มีท่าทางหลับน่ารักขนาดไหน ไม่เคยรู้เลยว่า เหตุผลเดียวที่ผมยอมตื่นเช้าก่อนมันทุกวันนั่นก็เพราะว่า ผมชอบตื่นมาดูมันหลับ แล้วได้หอมแก้มมันซ้ำๆ แบบไม่ต้องหาเหตุผลอะไรมาอ้างอย่างที่ต้องทำอย่างในตอนที่มันตื่น
“ เสร็จแล้วเหรอครับ ” ผมลดมือถือลงก่อนจะเอ่ยถามผู้ชายร่างสูงลักษณะภูมิฐานสมวัยที่ยืนอยู่ข้างหลังเก้าอี้ตัวที่กำลังนั่ง พ่อของผมหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเบนสายตาที่เมื่อครู่กำลังสอดส่องหน้าจอมือถือของผมอย่างคนไม่มีมารยาทไปทางอื่น
“ จะหวงอะไรนักหนา ” อีกคนพูดเชิงบ่น ก่อนจะพยักหน้ารับ “ ฉันเช็กเอาท์เรียบร้อย เดี๋ยวอีกสักพักแท็กซี่ก็คงมาถึง ”
“ ครับ ” ตอบรับแค่นั้นพ่อก็เดินลงไปนั่งลงตรงโซฟาตัวตรงข้ามกับผม หยิบเอาอาหารเช้าง่ายๆ อย่างแซนด์วิชขึ้นมากิน สลับกับกาแฟดำแบบไม่ใส่ไม่น้ำตาลอย่างที่ชอบ
พ่อเป็นคนที่คล้ายกับผมมากเกินกว่าที่ผมจะรู้ตัว แม่เคยบอกกันไว้แบบนั้น ผู้ชายลักษณะภูมิฐานในวัย 50 กลางท่าทางภายนอกที่ดูน่าเกรงขามจนเกินกว่าจะพูดเล่นหรือหยอกล้อแต่ที่จริงกลับใจดีและมีเหตุผลมากกว่าที่คิด พ่อเป็นคนที่แยกสิ่งที่เล่นกับสิ่งที่ต้องจริงจังชัดเจนที่สุดในบ้านเรา ใช้ระบบการเลี้ยงลูกแบบเปิดกว้าง ด้วยการให้ทำทุกอย่างแบบที่อยากทำ แต่ก็คอยเฝ้าระวังห่างๆ ในฐานะของพ่อที่ก็ยังเป็นห่วงลูก
อย่าง Throw up เองก็เปิดขึ้นด้วยแรงสนับสนุนของเค้า ท่ามกลางเสียงคัดค้านของแม่ผมที่ให้เหตุผลว่า เปิดธุรกิจสีเทาตั้งแต่วัยแค่นี้มันไม่เหมาะสม แต่พ่อกลับไม่ได้คิดแบบนั้น เค้าพูดกับแม่แค่ว่า ‘ ก็ปล่อยให้มันได้ลอง ’ วันนั้นแม่บอกว่าพ่อตามใจผม แต่เค้าก็แค่ยิ้มไม่ได้พูดอะไรอีก
พ่อยกที่ดินสร้างผับให้ผม ก่อนจะแนะนำเพื่อนสนิทติดยศสูงของตัวเองเพื่อขอเส้นสายในการคุ้มครอง ทั้งๆ ที่ในความคิดของผู้ชายคนนี้ เค้าเองก็รู้ดีว่าการสนับสนุนลูกชายที่มีความมุ่งมั่นแบบวัยรุ่นย่อมเป็นอะไรที่เสี่ยง เพื่อนของเค้าเองที่เป็นตำรวจก็ยังถามว่าเค้าคิดยังไงถึงสนับสนุน แต่ตอนนั้นพ่อก็แค่ยิ้ม ‘ กูไม่ได้เชื่อมั่นในตัวมันหรอก กูแค่อยากให้มันลอง เพราะสุดท้ายผลลัพธ์ออกมายังไง ก็มีแต่ตัวมันที่จะได้ประโยชน์ ’
เพราะพ่อเชื่อว่า การทำธุรกิจก็เหมือนกับเด็กในตอนหัดเดินที่ต้องมีล้มแล้วก็มีลุก กว่าจะเดินได้เก่งและกว่าจะออกวิ่งได้ทุกอย่างต้องใช้ประสบการณ์และเวลา แบบนั้นเค้าก็เลยอยากให้ผมได้ลองจากธุรกิจเล็กๆ ของตัวเองก่อน สิ่งที่เค้าคาดหวังจึงมีเพียงแค่ประสบการณ์การล้มลุกในการบริหารธุรกิจเท่านั้น
เอาเข้าจริง พ่อคงคิดว่าธุรกิจผับของผมคงเจ๊งตั้งแต่ปีแรกที่เปิด แต่ที่ไม่คัดค้านอะไรเพราะเค้าก็ต้องการให้ผมได้ลองผิดหวัง จะได้เอาบทเรียนในการทำธุรกิจครั้งนี้มาปรับใช้กับการรับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัว แต่พลิกล็อกไปหน่อยก็ตรงที่ว่า ผมกลับประสบความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ ผิดจากสิ่งที่พ่อคิดไว้
“ แล้วตอนนี้ธุรกิจเป็นยังไง ”
“ ก็ดีครับ ” ผมตอบก่อนจะหยิบเอาแซนด์วิชตรงหน้าขึ้นมากินบ้าง มันเป็นคลับแซนด์วิชอย่างดีที่มีผักสดใบเขียว ไข่ทอด และแฮมจัดเรียงชั้นอยู่ในนั้น อาหารเช้าที่รสชาติอร่อย แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังคิดถึงขนมปังแผ่นบางที่ชอบทาแยมไม่ก็นูเทล่าแบบเต็มแผ่น กับคาราเมลมัคคิอาโต้หอมๆ แล้วก็รอยยิ้มของคนที่นั่งอยู่ข้างหน้ามากกว่าอยู่ดี
“ ยิ้มอะไร ” รีบเปลี่ยนสีหน้าที่กำลังคิดถึงบางคนทันที ผมขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งแล้วก็ตั้งใจกินของตรงหน้าต่อไม่พูดอะไร พ่อที่เห็นแบบนั้นเค้าเองก็ยิ้ม “ เดย์เล่าให้ฟังว่าที่ผับมีพนักงานบัญชีมาใหม่ เห็นบอกว่าทำงานดีจน throw up ที่ไม่เป็นระบบ เป็นระบบขึ้นมาเพียงแค่ไม่กี่เดือน ”
“ ก็ครับ ” ผมพยักหน้ารับ
“ หวานใจแกสินะ ” เงยหน้าขึ้นมองพ่อที่ถามคำถามนั้น ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง
“ ครับ ”
“ เป็นผู้ชายด้วยใช่มั้ย ”
“ ครับ ”
“ แล้วเค้าเป็นยังไง ”
คำถามที่ทำให้ผมนิ่งไป แต่ก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ตอบไม่ได้หรอก แต่แค่กำลังคิดว่าจะตอบคนตรงหน้าว่าอะไรดี แค่คำว่า ‘ น่ารัก ’ ที่ผุดขึ้นในหัวเป็นคำตอบแรกคงไม่ใช่คำตอบที่ผู้ใหญ่อย่างพ่ออยากได้ยิน ผมควรแสดงความจริงจังออกไปให้เค้าได้เห็นมากกว่าสิ่งที่อยากจะตอบว่า ‘ น่ารัก ทำอะไรก็น่ารักไปหมด ’ แบบนั้นมันดูไม่จริงจังเท่าไหร่
“ ไม่รู้สิ ” ผมเลือกจะปฏิเสธออกไปในตอนที่ยังคิดประโยคดีๆ ไม่ออก ก้มหน้าลงมองหน้าจอมือถือของตัวเองในตอนนั้น ภาพของเมดที่ผมเห็นชวนให้ยิ้ม “ ก่อนจะเจอเค้า ผมคิดแค่ว่าอยากได้รถ GTR ก็เลยตัดสินใจทำผับ ผมมีความมุ่งมั่นแค่อยากจะได้รถ แล้วพอได้มันมาจริงๆ ความจริงจังในการทำผับมันก็หายไป ผมแค่ทำมันต่อไปแบบนั้นเพราะยังได้เงิน แต่ก็ไม่คิดจะพัฒนาอะไรเท่าไหร่ ผมคิดง่ายๆ ว่าเรียนจบก็ต้องมาทำงานกับพ่ออยู่แล้วเลยไม่ได้สนใจ จนวันที่ผมมาเจอเค้า แล้วก็ได้อยู่ใกล้เค้า ได้กินข้าวด้วยกัน ได้ไปรับไปส่งเค้าไปไหนมาไหน ได้เห็นเค้านั่งอยู่ข้างๆ กันในรถ แล้วก็ได้ทำอะไรด้วย
อยู่ๆ ผมเกิดความคิดขึ้นว่า ผมอยากจะให้มันเป็นแบบนี้ไปตลอด เค้าทำให้ผมเริ่มคิดถึงอนาคตขึ้นมา คิดถึงความไม่แน่นอน คิดว่าถ้าพ่อแม่ไม่ชอบเค้าผมจะทำยังไง มันเลยทำให้ผมหันกลับมาสนใจผับนี้อีกครั้งเพียงเพราะแค่ว่า ผมอยากมีเงินเพื่อดูแลเค้าให้สบายไปตลอด จนตอนนี้ผับของเราเป็นระบบมากขึ้น เพราะเค้าทำทั้งรายรับรายจ่าย ทำระบบการเข้าออกของสินค้าทุกตัวในร้านเรา คำนวณรายได้ทั้งต่อเดือนและต่อปี เรามีบัญชีที่เป็นทั้งเงินใช้จ่ายและเงินเก็บ เงินเก็บที่เค้าบอกผมว่า เผื่อในอนาคตผมอยากจะต่อเติมอะไร
มันก็แปลกดีทั้งๆ ที่ไม่ใช่คำพูดหวานๆ แต่ฟังแล้วกลับรู้สึกว่า ผมอยากจะตั้งใจทำงานเพื่อเค้า พัฒนาสิ่งที่มี หรือต่อยอดอะไรสักอย่าง เพื่ออนาคตของเราสองคน ผมว่าตอนนี้เค้าเป็นอะไรแบบนั้นในความรู้สึกของผม เป็นทั้งคนที่ผมจะมีอยู่ในปัจจุบันแล้วก็อนาคต ”
“ อื้ม ” คำตอบสั้นๆ ของคนเป็นพ่อที่ยิ้มให้ผม ในแววตาที่ดูอบอุ่นคู่นั้นจ้องกันอยู่สักพักก่อนจะหันออกไปมองวิวตรงกำแพงกระจกด้านข้างที่เรานั่งอยู่ “ เป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่ฉันเจอแม่แกเลย ”
“ งั้นเหรอครับ ”
“ อื้ม มันไม่ต่างกันเลยละ ” พ่อหันกลับมามองผมอีกครั้ง ก่อนจะยกกาแฟดำในแก้วตรงหน้าขึ้นมากิน ประจวบเหมาะกับแท็กซี่ที่เรียกไว้ขับเข้ามาจอดพอดี เราวางของกินทั้งหมดลงก่อนจะเดินออกไปขึ้นรถเพื่อตรงไปที่สนามบิน
[ อยู่บนเครื่องบินแล้วกำลังออกจากสิงคโปร์ ] ผมส่งข้อความจากไลน์ไปหาน้องชายตัวเองที่ก็อ่านข้อความนั้นไม่นานหลังจากที่ส่งไป
[ รับทราบ งั้นสัดพี่มึงคงถึงที่นี้ประมาณสิบเอ็ดโมงกว่าๆ เกือบเที่ยงสินะ ]
[ ราวๆ นั้น ] ผมตอบกลับไป [ แล้วเมดเป็นยังไงบ้าง ]
[ น่ารักเหมือนเดิม เพิ่มเติมคืออยากได้พี่สะใภ้เป็นเมียละ ]
[ ไอ้สัด ]
[ แหม ก็หยอกมั้ย เกรี้ยวกราดจริงๆ นี่ก็ทำตามแผนให้แล้วไง กูโกหกพี่เมดไปว่ามีเรียนทั้งๆ ที่จริงวันนี้กูโดดจ้า แต่กูบอกพี่เมดไว้แล้วว่าให้ไปเดินเล่นที่ห้างก่อน เพราะกูจะไปแวะรับพ่อกับสัดพี่มึงที่สนามบินแล้วค่อยไปรับ พี่เมดก็อื้มๆ เออๆ ไปตามเรื่องตามราวแล้วก็บอกว่าถึงห้างแล้วจะส่งข้อความมาบอกกูอีกทีว่าอยู่ไหน ]
[ อื้ม ] ผมเผลอยิ้มออกมาตอนที่คิดภาพตามคำพูดของน้อง สารภาพว่าคิดถึงแก้มนุ่มๆ นั่นจนใจจะขาดอยู่แล้ว
[ เพราะงั้นกูจะไปส่งสัดพี่มึงที่คอนโดก่อน มึงก็ตรงไปรับพี่สะใภ้กูเลยนะ อย่าให้พี่เมดคอยนาน เข้าใจมั้ย แล้วขอเตือนไว้ก่อน ]
[ อะไร ]
[ อดใจไว้นะสัดพี่มึง กูเข้าใจว่าคิดถึงเมียม๊ากมาก แต่ต้องฮึบไว้นะ เพราะห้องน้ำห้างมันไม่โอเค ฮึบนะ ฮึบ! ]
[ รำคาญมึงชิบหายสัดเดย์ ]
[ รำคาญยังไงก็น้องชายมึง เจอกันจ้า ]
สุวรรณภูมิในตอนเที่ยงวัน ผมกับพ่อที่ลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากด้านในก็เจอเข้ากับป้ายตอนรับที่เขียนด้วยลายมือกวนตีนของน้องชายที่มารอรับกับประโยคที่ว่า ‘ ยินดีต้อนรับคุณดนัย และคุณอารยะ กลับบ้าน ’ หนำซ้ำมันยังตะโกนเรียก
“ พ่อทางนี้!! เดย์อยู่นี่!! ”
“ อย่าบอกใครนะว่ามันเป็นลูกกู ” พ่อพูดเสียงเบาๆ ผมก็ได้แต่ส่ายหน้ายกยิ้มให้กับน้องชายที่ก็วิ่งเข้ามาหา
“ สัดพี่ นี่มึงซื้อ irvins มาฝากกูด้วยเหรอ ” เดย์ถามตอนที่ก้มลงมองขนมถุงใหญ่สีเหลืองสดที่ผมถือมา ยกยิ้มให้มันตอนที่อีกคนยิ้มให้แบบมีความหวัง
“ มึงฝันเหรอ ”
“ สัด ” มันสบถ “ แล้วซื้อมาฝากใคร พี่เมด? ”
“ อื้ม ”
“ รักแฟนเนอะ น้องที่คลานตามกันมาให้ความสำคัญแบบนี้บ้างอะไรบ้าง ”
“ เมดมันฝากกูซื้อ ” ผมบอกปัดอีกคนก็ทำเป็นเหล่ไปหาพ่อผมที่ก็ยกยิ้มก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ มึงก็ตอแหลน้องเหมือนปกติมึงเป็นพวกเดินหาของฝากให้ใครอย่างงั้นละ ” พ่อที่เดินออกไปเดย์มันก็ยิ้มเยาะผมก่อนจะหันไปมองพ่อแล้วพยักหน้ารับอย่างชื่นชมก่อนจะยกนิ้วให้
“ เฉียบ ”
บนรถที่กำลังมุ่งตรงออกจากสนามบิน ผมนั่งอยู่ด้านหน้าข้างคนขับอย่างไอ้เดย์ที่กำลังโยกหัวไปตามเพลงเบาๆ ที่มันเปิดเพื่อฆ่าความเงียบที่กำลังเกิดขึ้นในรถ ผมเหลือบมองพ่อที่กำลังนั่งเล่นมือถือผ่านกระจกหลัง คงกำลังส่งข้อความหาแม่เพื่อบอกว่าถึงแล้ว ในตอนนั้นผมเองก็อยากจะส่งข้อความไปหาใครอีกคนบ้าง แต่ก็อดใจไว้เพราะอยากจะไปเซอร์ไพรส์มันตามแผนที่วางไว้มากกว่า
“ เดี๋ยวมึงไปส่งกูก่อนนะ ” ผมหันไปย้ำกับน้องชายที่ก็พยักหน้ารับ
“ แล้วทำไมไม่กลับบ้านก่อน ” พ่อถามผมก็ได้แต่เงียบ “ กลับบ้านบ้างนะอาฟ แม่มึงจะจำหน้าไม่ได้อยู่แล้ว ”
“ สัดพี่มันจะไปรับแฟนมันไงพ่อ เค้าจะไปเซอร์ไพรส์แฟนเค้า ”
“ แล้วนี่ไม่คิดจะพาเด็กคนนั้นมาแนะนำให้ฉันกับแม่แกรู้จักหน่อยเหรอ ”
“ จำเป็นด้วยเหรอ ” คำถามกลับที่ทำให้เดย์หันมามองผมก่อนจะเหลือบมองพ่อที่นั่งอยู่ด้านหลังแล้วหันกลับมามองผมอีกครั้ง ในแววตานั้นถ้าออกเสียงได้มันคงดังประมาณว่า ‘ พูดอะไรของมึงวะ ไอ้สัดพี่! เดี๋ยวพ่อก็ถีบมึงหรอก ’
“ ถ้าคบกันจริงจัง มันก็จำเป็นไม่ใช่เหรอ สักวันทางนั้นก็ต้องพาแกไปแนะนำให้ทางบ้านของเค้ารู้จัก แล้วแกจะตอบเค้าว่าอะไรถ้าพ่อของเด็กคนนั้นถามว่า แล้วพ่อแม่ของคุณรับลูกชายของผมได้รึเปล่า ”
“ ตอบว่าไม่แคร์สิ ”
“ ไม่ติดว่านั่งอยู่ในรถกูคงถีบมึงไปแล้ว ” ผมยกยิ้มก่อนจะก้มหน้าลงในตอนนั้นพ่อก็พูดเสริม “ ถ้ามึงจริงจังกับเค้า มึงก็ควรทำอะไรให้มันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่มีพ่อแม่คนไหนเค้าอยากจะฝากลูกไว้กับคนที่ตอบว่า ผมไม่แคร์ว่าพ่อแม่ผมจะรู้สึกยังไงหรอก ”
“ แต่ผมไม่เห็นจะคิดแบบนั้น ตอนนี้ผมมีธุรกิจ มีเงิน มีความมั่นคง การที่ไม่ได้บอกพ่อแม่ มันไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่จริงจัง ผมแค่รู้สึกว่ามันไม่ได้สำคัญ เพราะต่อให้พ่อแม่ผมไม่ชอบเค้า ยังไงผมก็เลือกเค้าอยู่ดี แล้วนี่สิที่สำคัญ ”
“ ลูกชาย... มึงอย่าปีกกล้าขาแข็งให้มันมากนัก วันนี้มึงมีธุรกิจ มีเงิน กิจการมึงรุ่งเรือง แล้วมึงคิดถึงเวลาที่มันล้มลงบ้างมั้ย ทุกอย่างมันไม่ได้ยั่งยืนอาฟ อย่าคิดว่าจะทำอะไรก็ได้ ไม่มีพ่อแม่คนไหนรู้สึกดีที่รู้ว่าลูกของตัวเองยังไม่รู้จะออกหัวหรือก้อยกับครอบครัวของแฟนหรอก ไม่ว่ายังไงเค้าก็ต้องการความสบายใจ ที่ได้รู้ว่า ลูกของเค้าก็เป็นที่รักของครอบครัวอีกฝั่ง พ่อแม่มันเป็นแบบนั้น เค้าไม่คิดแค่ตัวมึงรักลูกเค้ามั้ย มึงมีเงินเท่าไหร่ เค้าคิดถึงสังคมของลูกเค้า เค้าคิดถึงสิ่งรอบตัว เค้าคิดมากกว่าสิ่งที่มึงคิดหลายเท่านัก เพราะนั่นคือลูกเค้า สุดที่รักของเค้า จำไว้ ”
“ พ่อพูดก็ถูกนะ ” เดย์มันหันมาพูดกับผมเสียงเบาๆ ที่ตอนนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วมองออกไปข้างนอกหน้าต่างนั่น ก็คิดวางแผนไว้แล้วว่าจะพาเมดไปแนะนำให้ที่บ้านรู้จัก ผมไม่ห่วงพ่อหรอก เพราะพ่อตามใจผมอยู่แล้ว แต่คนที่ห่วงคือแม่ต่างหาก รายนั้นไม่รู้จะคิดยังไง ในตอนที่ได้เห็นเมด
“ ไม่มีอะไรน่ากังวลหรอก เพราะสิ่งที่น่ากังวลที่สุด คือความคิดในแง่ลบของมึงที่กำลังกังวลว่ามันจะเป็นยังไงต่างหาก ” พ่อยิ้มให้ผมในตอนที่เงยหน้าขึ้นมองเค้าผ่านกระจกมองหลัง “ ความรักมันไม่ใช่การปกป้องใครอยู่ผ่านเดียวหรอกอาฟ บางทีมึงก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาไปพร้อมๆ กัน มึงแมนกูรู้ มึงรักเค้ามาก อยากปกป้องเค้า แต่บางเรื่องมึงเป็นทัพหน้าคนเดียวไม่ได้ มันต้องมาคู่กัน ”
“ เฉียบอีกแล้ว ” เดย์มันจอดรถพอดีในตอนที่พูดคำนั้น ข้างหน้าที่ติดไฟแดง น้องชายผมก็หันไปปรบมือให้พ่อแบบจริงจัง และถ้าไม่ติดว่านั่งอยู่ในรถผมว่าตอนนี้มันคงยืนขึ้นแน่นอน
“ แล้วในความคิดมึงเค้าเป็นไงเดย์ ”
“ พี่เมดน่ะเหรอ ” น้องชายผมหันไปถาม พ่อที่ก็พยักหน้ารับ “ พี่เมดเป็นคนน่ารักแบบที่ถ้าเลิกกับสัดพี่เมื่อไหร่เดย์ก็อยากจะได้เป็นเมียอะ ” ผั๊วะ! ไวเท่าความคิดผมตบหัวน้องชายตัวเองที่ร้องออกมาเสียงดังในตอนนั้น “ โอ๊ย! กูเจ็บนะมึง สัดพี่แม่งเล่นแรงตลอดเลย พ่อดูมันสิ มันตีเดย์อีกแล้ว ”
“ พวกมึงนี่จริงๆ เลย เด็กจนโตไม่เคยเปลี่ยน ”
“ ปากมึงส้นตีนเอง มือกูเลยไปแบบอัตโนมัติ ”
“ K ” หันมาด่าแบบไม่ออกเสียงใส่หน้าผม ก่อนที่มันจะหันไปพูดกับพ่อต่อ “ พี่เมดน่ารักมากพ่อ นิสัยดีสุดๆ เมื่อเช้าตอนเดย์มารับพอบอกว่ายังไม่ได้กินอะไรมา พี่เมดก็ทำขนมปังแล้วก็โกโก้ร้อนใส่แก้วแบบเก็บความร้อนมาให้ด้วย เค้าเป็นคนใส่ใจอะ มีเหตุผลด้วย ใจเย็น รอบคอบ ”
“ ดูเป็นคนดี แบบที่ไม่น่ามาคบกับพี่มึงได้นะ ”
“ ใครๆ เค้าก็คิดแบบนั้นทั้งนั้นแหละ ”
“ แล้วคิดว่าแม่จะชอบมั้ย ” คำถามที่ทำให้น้องชายผมเงียบไป มันเหลือบมองผม ในแววตานั้นมีความไม่มั่นใจแฝงอยู่
“ ไม่รู้เหมือนกัน ” อีกคนตอบผมก็ได้แต่ยกยิ้ม “ แต่ว่าพี่เมดเป็นคนน่ารัก เดย์เลยคิดว่าถ้าแม่ได้รู้จักพี่เมดจริงๆ อย่างที่เดย์รู้จัก แม่ต้องชอบพี่เมดแน่ๆ ”
“ งั้นเหรอ ” พ่อพยักหน้ารับคำตอบของมัน ก่อนจะเหลือบมองผมที่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งนั้น
ประโยคของเดย์ชวนให้ถอนหายใจออกมา มันคงรู้ว่าผมกังวลกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยและมันคงอยากจะปลอบกันว่า ไม่มีอะไรที่น่ากังวลขนาดนั้น นั่นก็เพราะว่าแฟนของผมเป็นคนดีและน่ารัก มันเลยเชื่อว่าเมดกับผมจะผ่านเรื่องนี้ไปได้แน่นอน แม้ว่าแม่จะไม่ชอบก็ตาม
แต่เพราะทุกอย่างมันเป็นเรื่องของอนาคตพูดง่ายๆ ก็คือยังไม่ถึงเวลาที่เราจะไปกังวลถึงเรื่องนั้น ผมเลยไม่อยากจะคิดอะไรให้มันหนักใจไปมากกว่าที่เป็น แต่ก็เห็นด้วยกับความคิดของพ่อที่ว่า ยังไงก็ต้องพาไปแนะนำนั่นแหละ ไม่ใช่แค่อยากให้พ่อแม่รู้จัก แต่อยากให้เมดมั่นใจด้วยว่าไม่ว่ายังไงผมก็เลือกที่จะให้มันอยู่ข้างกันไปตลอด
“ แล้วนี่เมดมันส่งข้อความมาบอกมึงรึยังว่ามันอยู่ไหน ”
“ เรียบร้อย ” น้องชายผมพยักหน้ารับ “ ร้านหนังสือชั้นเจ็ด อยู่ตรงที่ร้านขายกาแฟในนั้น พี่เมดคงคิดว่านานแหละกูว่า เค้าเลยจะไปนั่งอ่านหนังสือฆ่าเวลา ”
“ โอเค ” ผมตอบรับรถก็เลี้ยวเข้าไปในคอนโดของเรา เดย์จอดลงที่ลานจอดผมก็หันหลังไปไหว้คนเป็นพ่อ “ เจอกันครับ ”
“ อย่าลืมพาเด็กคนนั้นไปแนะนำกันละ ” ไม่ได้ตอบอะไรแต่ในแววตาของผมคงฉายความดื้อดึงอยู่ไม่น้อยพ่อเลยได้แต่ยกยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา “ ปีกกล้าขาแข็งจริงๆ กูละอยากจะถีบมึงสักทีไอ้ลูกเวร ” มันเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนรถที่ขับมาส่งจะขับออกไป
เผลอถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างเคยตัว ผมลากกระเป๋าเข้าไปในคอนโดแล้วในระหว่างขึ้นลิฟต์ก็หยิบมือถือที่ยังคงฉายภาพพื้นหลังเดิมขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงเข้าไปแล้ว ผมเปิดประตูเข้าห้องไปวางกระเป๋าไว้อย่างไม่สนใจก่อนจะหยิบเอากุญแจรถที่วางอยู่ตรงโต๊ะหน้าทีวีขึ้นมาแล้วรีบออกไปทันที
เข้าใจถึงคำพูดที่พูดว่า ‘ คิดถึงจะตายอยู่แล้ว ’ อาการเป็นยังไงก็ตอนนี้ เราที่กำลังจะได้เจอกันแม้มันจะเป็นแค่หนึ่งวินาที แต่ผมก็ยังอยากจะให้มันเร็วขึ้น
รถจอดลงที่ห้างตรงลานจอดของซุปเปอร์คาร์แบบทุกครั้ง ผมกดลิฟต์ไปที่ชั้นเจ็ดของห้างแล้วผ่อนลมหายใจที่แสนจะตื่นเต้นนั้นออกมา พยายามระงับความรู้สึกของตัวเองด้วยใบหน้านิ่งเฉยแต่ก็ต้องเผลอยิ้มกว้างออกมาทุกครั้งในตอนที่คิดเล่นๆ ว่าอีกสักครู่ใบหน้าของคนที่คิดถึงนั้นจะเป็นยังไง เมดคงปั้นหน้างง ไม่ก็อ้าปากค้างในตอนที่เห็นหน้าผม แต่ที่น่าตื่นเต้นมากกว่านั้นคือ ผมจะระงับความรู้สึกอยากกอดหรือแม้แต่อยากจะจูบยังไงดีในตอนที่เจอหน้ามัน
ลิฟต์มาถึงชั้นที่หมาย ผมก้าวขาออกเดินตรงไปที่ร้านหนังสือ ภายในนั้นกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นเป็นตัวชี้ไปถึงจุดหมายที่ผมคิดถึง หัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุในตอนที่เห็นแค่แผ่นหลังคุ้นตานั้นอยู่ไม่ไกล ใบหน้านิ่งที่ตั้งใจปั้นมา เผลอยิ้มกว้างแบบที่ต้องโดนแซวไปอีกหลายวันถ้าใครคนนั้นหันมาเห็นเข้า ผมเดินเข้าไปใกล้เมดอีกก้าว และอีกก้าว ก่อนที่ทุกอย่างในตอนนั้นจะหยุดเคลื่อนไหวอย่างชะงักงัน
หัวใจที่เต้นแรงแผ่วลงราวกับหลุดหายไปที่ไหนสักแห่ง ขาที่ก้าวเดินนิ่งชาจนไม่สามารถก้าวต่อไปไหนได้ แม้แต่รอยยิ้มที่มีความสุข หรือสิ่งที่คิดฝันไว้ก็เลือนหายไปอย่างฉับพลัน เพียงแค่วินาทีเดียวที่ผมเห็นภาพตรงหน้า
มันไม่ใช่ภาพที่ผมคาดหวัง ภาพของเมดคนที่ผมทั้งรักและคิดถึงกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าคนรักเก่าอย่างไอ้บิน ราวกับถูกสาปนิ่งไป เป็นความรู้สึกที่จุกแน่นอยู่ในอกราวกับใครต่อยลงอย่างแรง แววตาของผมสั่นระริกเป็นทั้งความตกใจและเสียใจปนเปกันจนแยกไม่ออก และในตอนนั้นผมที่ได้แต่ยืนนิ่งก็เอ่ยถามตัวเองโง่ๆ ด้วยหนึ่งคำถาม
‘ แล้วกูจะคิดถึงมึงไปทำไมวะ ’
กูจะคิดถึงคนที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าแฟนเก่า โดยไม่คิดถึงความรู้สึกของกูเลยสักนิด ทั้งๆ ที่เราก็เคยให้คำสัญญากันเอาไว้แล้ว ว่าเราจะไม่กลับไปสนใจคนพวกนั้นอีก หรือว่าผมเองที่ผิด ที่ไปหลงเชื่อมันตั้งแต่แรก หลงเชื่อ คำสัญญาที่ไม่มีลายลักษณ์อักษรนั่น แล้วสุดท้ายวันนี้มันก็ถูกฉีกทำลายด้วยคนที่ร่างสัญญาฉบับนั้นขึ้นมาเอง ‘ กูจะไม่กลับไปยุ่งกับพวกมันอีก ’ เสียงของเมดในวันนั้นยังคงก้องอยู่ในหูผม สลับกับภาพตรงหน้าที่บอกกันว่าทุกอย่างที่อีกคนพูดนั้น ‘ มันไม่จริง ’
ผมก้าวขาเดินเข้าไปใกล้คนสองคนอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าเดินเข้าไปทำไมด้วยซ้ำทั้งๆ ที่ภาพที่เห็นมันก็ชวนให้เจ็บจุกอยู่แล้ว แต่เหมือนว่ามันยังไม่พอ ผมยังเจ็บได้มากกว่านี้อีก ช่างเป็นความปากกล้าที่ตัวเองพูดไปอย่างไม่กลัวทั้งๆ ที่จริงในตอนนั้นหัวใจมันก็แค่ยังหวัง ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่า บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดไว้
ไม่รู้โชคดีเป็นของใคร แต่มุมที่ผมยืนอยู่คือข้างชั้นหนังสือที่ติดกับที่นั่งของคนทั้งคู่ ใบหน้าที่ไม่ได้แสดงถึงความเจ็บปวดของเมด แต่ก็ไม่ได้ยินดีจนดูรื่นเริงนั้นเพิ่มอัตราเต้นแรงให้หัวใจของผม บางทีเมดอาจจะกำลังบอกกับอีกคนว่ารักผมมากแค่ไหน นั่นคือสิ่งที่ผมภาวนาในตอนที่เดินเข้าไปใกล้มันเรื่อยๆจนเพียงพอที่ได้จะได้ยินคำพูดที่อีกฝ่ายกำลังพูดอยู่
“ กูที่รักมึงมากกว่าตัวเอง กูที่เป็นได้ขนาดนั้น กูว่านั่นแหละ คือความหมายของคำว่ารักจริงๆ เป็นความรู้สึกที่ทั้งรักทั้งหลง แล้วมึงก็คือคนนั้นนะ คนที่ทำให้กูเข้าใจว่า นี่แหละคือความรักจริงๆ ”
แต่ทว่า ความเมตตานั้น มักจะไม่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เราร้องขอ
“ ไม่ใช่กูหรอกเหรอ ” ในห้วงหัวใจนั้นเอ่ยถามกันอย่างบางเบา คนที่เมดทั้งรักทั้งหลง คนที่เป็นความหมายของคำว่ารักในความรู้สึกของคนที่ผมรักอย่างสุดหัวใจนั้น ไม่ใช่ผมหรอกเหรอ
งั้นผมเป็นใครละ
ผมเป็นใครในความรู้สึกของคนที่ผมรัก
ไม่มีเสียงตอบรับของคำถามที่หัวใจผมเอ่ยถามออกไป ในตอนนั้นแม้แต่คนที่สนทนากันอยู่ก็ยังเงียบให้กัน ไม่ต่างอะไรกับรอบตัวที่มืดดับลงราวกับหมดแล้วซึ่งงานฉลองอันรื่นเริง ผมพาตัวเองหันหลังกลับมา เมื่อจบงานเราก็แค่ต้องกลับไปในที่ที่เราเคยอยู่
ผมก้าวขาเดินออกจากตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ ด้วยความรู้สึกที่แตกสลายลงอย่างไม่เหลือชิ้นดี
เปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งภายในรถที่ไม่มีใครกลับมาด้วยกันอย่างที่คิดฝัน ผมสตาร์ตเครื่องยนต์ของรถก่อนจะหันไปมองดอกกุหลาบสีขาวที่วางอยู่บนเบาะนั่งข้างกันอย่างใส่ใจ หลายนาทีก่อนที่ผมจะมาถึงที่นี่ ตรงแยกไฟแดงที่ยาวเหยียด เด็กประถมที่เคาะกระจกรถหลายคันเพื่อวอนขอให้ซื้อพวงมาลัยและดอกไม้สดที่เธอถืออยู่ ขายได้บ้าง ไม่ได้บ้าง จนมาถึงรถผม
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ ซื้อดอกไม้หรือพวงมาลัยมั้ยคะ ” เธอถามด้วยรอยยิ้มในวินาทีที่ผมเลื่อนเปิดกระจกรถทั้งๆ ที่ปกติไม่คิดจะเปิดหรือสนใจ ผมเชื่อเสมอว่าถ้าเราไม่สนับสนุน สิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นนี้มันจะหายไป แต่ตอนนั้นเด็กคนนั้นก็พูดขึ้น “ ซื้อดอกไม้ไปให้แฟนมั้ยคะ ถ้าแฟนของพี่ชายได้รับต้องดีใจมากแน่ๆ เลยค่ะ ”
ในตอนนั้นผมยื่นแบงค์ร้อยไปอย่างไม่รีรอ เพื่อแลกกับสิ่งที่เธอบอก ‘ ถ้าแฟนของพี่ชายได้รับต้องดีใจมากแน่ๆเลยค่ะ ’
แต่ตอนนั้นผมน่าจะถามเธอสักประโยค ‘ แล้วถ้าพี่ต้องเสียใจ เธอพอจะมีอะไรขายเพื่อรักษาหัวใจพี่บ้างมั้ย ’ คงเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ เหมือนกับน้ำตาที่ไหลออกมาตอนนี้ น้ำตาที่ไหลออกมาจากความรู้สึกที่เจ็บค้างอยู่ในใจของผม น้ำตาที่มาจากคำพูดของคนรักที่ผมได้ยินชัดและยังคงดังก้องหู
‘ แล้วมึงก็คือคนนั้นนะ คนที่ทำให้กูเข้าใจว่า นี่แหละคือความรักจริงๆ ’
“ แล้วมันก็ไม่ใช่กู มันไม่ใช่กู มัน! ไม่! ใช่! กู! ” ผมตะโกนออกมาก่อนจะทุบลงไปบนพวงมาลัยของรถอย่างแรง ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วร้องไห้อยู่แบบนั้น ผมร้องแบบที่ไม่เคยร้องให้ใคร ร้องออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ทั้งน่าอายและน่าสมเพช พลางใช้เท้าเหยียบลงตรงคันเร่งของรถ ผมเหยียบมันซ้ำๆ เหยียบให้เท่ากับที่ใจกำลังรู้สึก เหยียบเพื่อกลบเสียงร้องไห้ที่กำลังเจ็บปวดของตัวเอง ผมเหยียบมันสุดแรง ในใจตอนนั้นผมก็แค่หวัง ขอให้เสียงเครื่องยนต์นี้กลบเสียงสะอึกสะอื้นที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ให้หายไป
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ คุณครับ คุณ คุณครับ ” เสียงของคนที่เรียกกันอยู่นอกรถทำให้ผมดึงตัวเองขึ้นจากพวงมาลัยรถทันที ขาของผมหยุดชะงักลง ผมรู้ดีว่าทำไมยามของห้างถึงมาเคาะกระจกรถผม เสียงการเร่งเครื่องยนต์มันคงดังมากและดังนานเกินไปจนผิดปกติ ผมหันไปมองยามที่กำลังรอให้ลดกระจกลงเพื่อพูดคุย แต่ตอนนั้นสิ่งที่ผมทำก็คือแค่ขยับเกียร์ให้รถเดินหน้าและขับออกไปโดยที่ไม่คิดเปิดกระจกเพื่ออธิบายอะไรให้ยืดยาวทั้งนั้น