( จบแล้ว ) Throw UP #ผับชั้นสาม :: {ตอนพิเศษ: up! 31-12-62} #หน้า 58
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ( จบแล้ว ) Throw UP #ผับชั้นสาม :: {ตอนพิเศษ: up! 31-12-62} #หน้า 58  (อ่าน 487137 ครั้ง)

ออฟไลน์ Bambooyamy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ HydrA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-2
มารอค่ะ เข้าใจกันรักกันหวานๆเหมือนเดิมเถอะนะ

ออฟไลน์ Aoya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 906
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-3
รอๆๆๆ รอน้องเมดง้อพี่อาฟ  :katai2-1:

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 48

บนหน้าจอมือถือที่ปรากฏเวลาปัจจุบันของประเทศสิงคโปร์ ผมเผลอยิ้มให้กับภาพหน้าจอของตัวเองที่ตั้งใจเปลี่ยนมันก่อนมาที่นี่ ภาพของคนรักที่แอบถ่ายไว้เมื่อวานก่อนผมจะอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเดินทางมาทำงานที่นี่กับพ่อ เมดในตอนนั้นกำลังหลับสนิทแก้มขาวที่ผมชอบหอมแบบสุดแรงในตอนเช้าของทุกวันแนบกับหมอนนุ่มจนปากสีชมพูนั้นห่อตัว เป็นท่าทางที่ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเด็กเล็กเลยสักนิดในความคิดผม

อดใจไม่ได้เลยในวินาทีนั้นที่จะก้มลงไปหอมแก้มมันแบบสุดแรงอย่างที่ชอบทำ แต่เมดก็ไม่ได้รู้สึกตัวแต่อย่างใดคงเพราะความเหนื่อยจากกิจกรรมเมื่อคืนที่ทำให้เป็นแบบนั้น

เมดไม่เคยรู้ตัวว่าตัวมันเองเป็นคนที่มีท่าทางหลับน่ารักขนาดไหน ไม่เคยรู้เลยว่า เหตุผลเดียวที่ผมยอมตื่นเช้าก่อนมันทุกวันนั่นก็เพราะว่า ผมชอบตื่นมาดูมันหลับ แล้วได้หอมแก้มมันซ้ำๆ แบบไม่ต้องหาเหตุผลอะไรมาอ้างอย่างที่ต้องทำอย่างในตอนที่มันตื่น

“ เสร็จแล้วเหรอครับ ” ผมลดมือถือลงก่อนจะเอ่ยถามผู้ชายร่างสูงลักษณะภูมิฐานสมวัยที่ยืนอยู่ข้างหลังเก้าอี้ตัวที่กำลังนั่ง พ่อของผมหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเบนสายตาที่เมื่อครู่กำลังสอดส่องหน้าจอมือถือของผมอย่างคนไม่มีมารยาทไปทางอื่น

“ จะหวงอะไรนักหนา ” อีกคนพูดเชิงบ่น ก่อนจะพยักหน้ารับ “ ฉันเช็กเอาท์เรียบร้อย เดี๋ยวอีกสักพักแท็กซี่ก็คงมาถึง ”

“ ครับ ” ตอบรับแค่นั้นพ่อก็เดินลงไปนั่งลงตรงโซฟาตัวตรงข้ามกับผม หยิบเอาอาหารเช้าง่ายๆ อย่างแซนด์วิชขึ้นมากิน สลับกับกาแฟดำแบบไม่ใส่ไม่น้ำตาลอย่างที่ชอบ

พ่อเป็นคนที่คล้ายกับผมมากเกินกว่าที่ผมจะรู้ตัว แม่เคยบอกกันไว้แบบนั้น ผู้ชายลักษณะภูมิฐานในวัย 50 กลางท่าทางภายนอกที่ดูน่าเกรงขามจนเกินกว่าจะพูดเล่นหรือหยอกล้อแต่ที่จริงกลับใจดีและมีเหตุผลมากกว่าที่คิด พ่อเป็นคนที่แยกสิ่งที่เล่นกับสิ่งที่ต้องจริงจังชัดเจนที่สุดในบ้านเรา ใช้ระบบการเลี้ยงลูกแบบเปิดกว้าง ด้วยการให้ทำทุกอย่างแบบที่อยากทำ แต่ก็คอยเฝ้าระวังห่างๆ ในฐานะของพ่อที่ก็ยังเป็นห่วงลูก

อย่าง Throw up เองก็เปิดขึ้นด้วยแรงสนับสนุนของเค้า ท่ามกลางเสียงคัดค้านของแม่ผมที่ให้เหตุผลว่า เปิดธุรกิจสีเทาตั้งแต่วัยแค่นี้มันไม่เหมาะสม แต่พ่อกลับไม่ได้คิดแบบนั้น เค้าพูดกับแม่แค่ว่า ‘ ก็ปล่อยให้มันได้ลอง ’ วันนั้นแม่บอกว่าพ่อตามใจผม แต่เค้าก็แค่ยิ้มไม่ได้พูดอะไรอีก

พ่อยกที่ดินสร้างผับให้ผม ก่อนจะแนะนำเพื่อนสนิทติดยศสูงของตัวเองเพื่อขอเส้นสายในการคุ้มครอง ทั้งๆ ที่ในความคิดของผู้ชายคนนี้ เค้าเองก็รู้ดีว่าการสนับสนุนลูกชายที่มีความมุ่งมั่นแบบวัยรุ่นย่อมเป็นอะไรที่เสี่ยง เพื่อนของเค้าเองที่เป็นตำรวจก็ยังถามว่าเค้าคิดยังไงถึงสนับสนุน แต่ตอนนั้นพ่อก็แค่ยิ้ม ‘ กูไม่ได้เชื่อมั่นในตัวมันหรอก กูแค่อยากให้มันลอง เพราะสุดท้ายผลลัพธ์ออกมายังไง ก็มีแต่ตัวมันที่จะได้ประโยชน์ ’

เพราะพ่อเชื่อว่า การทำธุรกิจก็เหมือนกับเด็กในตอนหัดเดินที่ต้องมีล้มแล้วก็มีลุก กว่าจะเดินได้เก่งและกว่าจะออกวิ่งได้ทุกอย่างต้องใช้ประสบการณ์และเวลา แบบนั้นเค้าก็เลยอยากให้ผมได้ลองจากธุรกิจเล็กๆ ของตัวเองก่อน สิ่งที่เค้าคาดหวังจึงมีเพียงแค่ประสบการณ์การล้มลุกในการบริหารธุรกิจเท่านั้น

เอาเข้าจริง พ่อคงคิดว่าธุรกิจผับของผมคงเจ๊งตั้งแต่ปีแรกที่เปิด แต่ที่ไม่คัดค้านอะไรเพราะเค้าก็ต้องการให้ผมได้ลองผิดหวัง จะได้เอาบทเรียนในการทำธุรกิจครั้งนี้มาปรับใช้กับการรับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัว แต่พลิกล็อกไปหน่อยก็ตรงที่ว่า ผมกลับประสบความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ ผิดจากสิ่งที่พ่อคิดไว้

“ แล้วตอนนี้ธุรกิจเป็นยังไง ”

“ ก็ดีครับ ” ผมตอบก่อนจะหยิบเอาแซนด์วิชตรงหน้าขึ้นมากินบ้าง มันเป็นคลับแซนด์วิชอย่างดีที่มีผักสดใบเขียว ไข่ทอด และแฮมจัดเรียงชั้นอยู่ในนั้น อาหารเช้าที่รสชาติอร่อย แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังคิดถึงขนมปังแผ่นบางที่ชอบทาแยมไม่ก็นูเทล่าแบบเต็มแผ่น กับคาราเมลมัคคิอาโต้หอมๆ แล้วก็รอยยิ้มของคนที่นั่งอยู่ข้างหน้ามากกว่าอยู่ดี

“ ยิ้มอะไร ” รีบเปลี่ยนสีหน้าที่กำลังคิดถึงบางคนทันที ผมขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งแล้วก็ตั้งใจกินของตรงหน้าต่อไม่พูดอะไร พ่อที่เห็นแบบนั้นเค้าเองก็ยิ้ม “ เดย์เล่าให้ฟังว่าที่ผับมีพนักงานบัญชีมาใหม่ เห็นบอกว่าทำงานดีจน throw up ที่ไม่เป็นระบบ เป็นระบบขึ้นมาเพียงแค่ไม่กี่เดือน ”

“ ก็ครับ ” ผมพยักหน้ารับ

“ หวานใจแกสินะ ” เงยหน้าขึ้นมองพ่อที่ถามคำถามนั้น ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง

“ ครับ ”

“ เป็นผู้ชายด้วยใช่มั้ย ”

“ ครับ ”

“ แล้วเค้าเป็นยังไง ”

คำถามที่ทำให้ผมนิ่งไป แต่ก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ตอบไม่ได้หรอก แต่แค่กำลังคิดว่าจะตอบคนตรงหน้าว่าอะไรดี แค่คำว่า ‘ น่ารัก ’ ที่ผุดขึ้นในหัวเป็นคำตอบแรกคงไม่ใช่คำตอบที่ผู้ใหญ่อย่างพ่ออยากได้ยิน ผมควรแสดงความจริงจังออกไปให้เค้าได้เห็นมากกว่าสิ่งที่อยากจะตอบว่า ‘ น่ารัก ทำอะไรก็น่ารักไปหมด ’ แบบนั้นมันดูไม่จริงจังเท่าไหร่

“ ไม่รู้สิ ” ผมเลือกจะปฏิเสธออกไปในตอนที่ยังคิดประโยคดีๆ ไม่ออก ก้มหน้าลงมองหน้าจอมือถือของตัวเองในตอนนั้น ภาพของเมดที่ผมเห็นชวนให้ยิ้ม “ ก่อนจะเจอเค้า ผมคิดแค่ว่าอยากได้รถ  GTR ก็เลยตัดสินใจทำผับ ผมมีความมุ่งมั่นแค่อยากจะได้รถ แล้วพอได้มันมาจริงๆ ความจริงจังในการทำผับมันก็หายไป ผมแค่ทำมันต่อไปแบบนั้นเพราะยังได้เงิน แต่ก็ไม่คิดจะพัฒนาอะไรเท่าไหร่ ผมคิดง่ายๆ ว่าเรียนจบก็ต้องมาทำงานกับพ่ออยู่แล้วเลยไม่ได้สนใจ จนวันที่ผมมาเจอเค้า แล้วก็ได้อยู่ใกล้เค้า ได้กินข้าวด้วยกัน ได้ไปรับไปส่งเค้าไปไหนมาไหน ได้เห็นเค้านั่งอยู่ข้างๆ กันในรถ แล้วก็ได้ทำอะไรด้วย

อยู่ๆ ผมเกิดความคิดขึ้นว่า ผมอยากจะให้มันเป็นแบบนี้ไปตลอด เค้าทำให้ผมเริ่มคิดถึงอนาคตขึ้นมา คิดถึงความไม่แน่นอน คิดว่าถ้าพ่อแม่ไม่ชอบเค้าผมจะทำยังไง มันเลยทำให้ผมหันกลับมาสนใจผับนี้อีกครั้งเพียงเพราะแค่ว่า ผมอยากมีเงินเพื่อดูแลเค้าให้สบายไปตลอด  จนตอนนี้ผับของเราเป็นระบบมากขึ้น เพราะเค้าทำทั้งรายรับรายจ่าย ทำระบบการเข้าออกของสินค้าทุกตัวในร้านเรา คำนวณรายได้ทั้งต่อเดือนและต่อปี เรามีบัญชีที่เป็นทั้งเงินใช้จ่ายและเงินเก็บ เงินเก็บที่เค้าบอกผมว่า เผื่อในอนาคตผมอยากจะต่อเติมอะไร

มันก็แปลกดีทั้งๆ ที่ไม่ใช่คำพูดหวานๆ แต่ฟังแล้วกลับรู้สึกว่า ผมอยากจะตั้งใจทำงานเพื่อเค้า พัฒนาสิ่งที่มี หรือต่อยอดอะไรสักอย่าง เพื่ออนาคตของเราสองคน ผมว่าตอนนี้เค้าเป็นอะไรแบบนั้นในความรู้สึกของผม เป็นทั้งคนที่ผมจะมีอยู่ในปัจจุบันแล้วก็อนาคต ”

“ อื้ม ” คำตอบสั้นๆ ของคนเป็นพ่อที่ยิ้มให้ผม ในแววตาที่ดูอบอุ่นคู่นั้นจ้องกันอยู่สักพักก่อนจะหันออกไปมองวิวตรงกำแพงกระจกด้านข้างที่เรานั่งอยู่ “ เป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่ฉันเจอแม่แกเลย ”

“ งั้นเหรอครับ ”

“ อื้ม มันไม่ต่างกันเลยละ ” พ่อหันกลับมามองผมอีกครั้ง ก่อนจะยกกาแฟดำในแก้วตรงหน้าขึ้นมากิน  ประจวบเหมาะกับแท็กซี่ที่เรียกไว้ขับเข้ามาจอดพอดี เราวางของกินทั้งหมดลงก่อนจะเดินออกไปขึ้นรถเพื่อตรงไปที่สนามบิน

[ อยู่บนเครื่องบินแล้วกำลังออกจากสิงคโปร์ ] ผมส่งข้อความจากไลน์ไปหาน้องชายตัวเองที่ก็อ่านข้อความนั้นไม่นานหลังจากที่ส่งไป

[ รับทราบ งั้นสัดพี่มึงคงถึงที่นี้ประมาณสิบเอ็ดโมงกว่าๆ เกือบเที่ยงสินะ ]

[ ราวๆ นั้น ] ผมตอบกลับไป [ แล้วเมดเป็นยังไงบ้าง ]

[ น่ารักเหมือนเดิม เพิ่มเติมคืออยากได้พี่สะใภ้เป็นเมียละ ]

[ ไอ้สัด ]

[ แหม ก็หยอกมั้ย เกรี้ยวกราดจริงๆ นี่ก็ทำตามแผนให้แล้วไง กูโกหกพี่เมดไปว่ามีเรียนทั้งๆ ที่จริงวันนี้กูโดดจ้า  แต่กูบอกพี่เมดไว้แล้วว่าให้ไปเดินเล่นที่ห้างก่อน เพราะกูจะไปแวะรับพ่อกับสัดพี่มึงที่สนามบินแล้วค่อยไปรับ พี่เมดก็อื้มๆ เออๆ ไปตามเรื่องตามราวแล้วก็บอกว่าถึงห้างแล้วจะส่งข้อความมาบอกกูอีกทีว่าอยู่ไหน ]

[ อื้ม ] ผมเผลอยิ้มออกมาตอนที่คิดภาพตามคำพูดของน้อง สารภาพว่าคิดถึงแก้มนุ่มๆ นั่นจนใจจะขาดอยู่แล้ว

[ เพราะงั้นกูจะไปส่งสัดพี่มึงที่คอนโดก่อน มึงก็ตรงไปรับพี่สะใภ้กูเลยนะ อย่าให้พี่เมดคอยนาน เข้าใจมั้ย แล้วขอเตือนไว้ก่อน ]

[ อะไร ]

[ อดใจไว้นะสัดพี่มึง กูเข้าใจว่าคิดถึงเมียม๊ากมาก แต่ต้องฮึบไว้นะ เพราะห้องน้ำห้างมันไม่โอเค ฮึบนะ ฮึบ! ]

[ รำคาญมึงชิบหายสัดเดย์ ]

[ รำคาญยังไงก็น้องชายมึง เจอกันจ้า ]

สุวรรณภูมิในตอนเที่ยงวัน ผมกับพ่อที่ลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากด้านในก็เจอเข้ากับป้ายตอนรับที่เขียนด้วยลายมือกวนตีนของน้องชายที่มารอรับกับประโยคที่ว่า ‘ ยินดีต้อนรับคุณดนัย และคุณอารยะ กลับบ้าน ’ หนำซ้ำมันยังตะโกนเรียก

“ พ่อทางนี้!! เดย์อยู่นี่!! ”

“ อย่าบอกใครนะว่ามันเป็นลูกกู ” พ่อพูดเสียงเบาๆ ผมก็ได้แต่ส่ายหน้ายกยิ้มให้กับน้องชายที่ก็วิ่งเข้ามาหา

“ สัดพี่ นี่มึงซื้อ irvins มาฝากกูด้วยเหรอ ” เดย์ถามตอนที่ก้มลงมองขนมถุงใหญ่สีเหลืองสดที่ผมถือมา ยกยิ้มให้มันตอนที่อีกคนยิ้มให้แบบมีความหวัง

“ มึงฝันเหรอ ”

“ สัด ” มันสบถ “ แล้วซื้อมาฝากใคร พี่เมด? ”

“ อื้ม ”

“ รักแฟนเนอะ น้องที่คลานตามกันมาให้ความสำคัญแบบนี้บ้างอะไรบ้าง ”

“ เมดมันฝากกูซื้อ ” ผมบอกปัดอีกคนก็ทำเป็นเหล่ไปหาพ่อผมที่ก็ยกยิ้มก่อนจะส่ายหน้าไปมา

“ มึงก็ตอแหลน้องเหมือนปกติมึงเป็นพวกเดินหาของฝากให้ใครอย่างงั้นละ ” พ่อที่เดินออกไปเดย์มันก็ยิ้มเยาะผมก่อนจะหันไปมองพ่อแล้วพยักหน้ารับอย่างชื่นชมก่อนจะยกนิ้วให้

“ เฉียบ ”

บนรถที่กำลังมุ่งตรงออกจากสนามบิน ผมนั่งอยู่ด้านหน้าข้างคนขับอย่างไอ้เดย์ที่กำลังโยกหัวไปตามเพลงเบาๆ ที่มันเปิดเพื่อฆ่าความเงียบที่กำลังเกิดขึ้นในรถ ผมเหลือบมองพ่อที่กำลังนั่งเล่นมือถือผ่านกระจกหลัง คงกำลังส่งข้อความหาแม่เพื่อบอกว่าถึงแล้ว ในตอนนั้นผมเองก็อยากจะส่งข้อความไปหาใครอีกคนบ้าง แต่ก็อดใจไว้เพราะอยากจะไปเซอร์ไพรส์มันตามแผนที่วางไว้มากกว่า

“ เดี๋ยวมึงไปส่งกูก่อนนะ ” ผมหันไปย้ำกับน้องชายที่ก็พยักหน้ารับ

“ แล้วทำไมไม่กลับบ้านก่อน ” พ่อถามผมก็ได้แต่เงียบ “ กลับบ้านบ้างนะอาฟ แม่มึงจะจำหน้าไม่ได้อยู่แล้ว ”

“ สัดพี่มันจะไปรับแฟนมันไงพ่อ เค้าจะไปเซอร์ไพรส์แฟนเค้า ”

“ แล้วนี่ไม่คิดจะพาเด็กคนนั้นมาแนะนำให้ฉันกับแม่แกรู้จักหน่อยเหรอ ”

“ จำเป็นด้วยเหรอ ” คำถามกลับที่ทำให้เดย์หันมามองผมก่อนจะเหลือบมองพ่อที่นั่งอยู่ด้านหลังแล้วหันกลับมามองผมอีกครั้ง ในแววตานั้นถ้าออกเสียงได้มันคงดังประมาณว่า ‘ พูดอะไรของมึงวะ ไอ้สัดพี่! เดี๋ยวพ่อก็ถีบมึงหรอก ’

“ ถ้าคบกันจริงจัง มันก็จำเป็นไม่ใช่เหรอ  สักวันทางนั้นก็ต้องพาแกไปแนะนำให้ทางบ้านของเค้ารู้จัก แล้วแกจะตอบเค้าว่าอะไรถ้าพ่อของเด็กคนนั้นถามว่า แล้วพ่อแม่ของคุณรับลูกชายของผมได้รึเปล่า ”

“ ตอบว่าไม่แคร์สิ ”

“ ไม่ติดว่านั่งอยู่ในรถกูคงถีบมึงไปแล้ว ” ผมยกยิ้มก่อนจะก้มหน้าลงในตอนนั้นพ่อก็พูดเสริม “ ถ้ามึงจริงจังกับเค้า มึงก็ควรทำอะไรให้มันเป็นเรื่องเป็นราว  ไม่มีพ่อแม่คนไหนเค้าอยากจะฝากลูกไว้กับคนที่ตอบว่า ผมไม่แคร์ว่าพ่อแม่ผมจะรู้สึกยังไงหรอก ”

“ แต่ผมไม่เห็นจะคิดแบบนั้น ตอนนี้ผมมีธุรกิจ มีเงิน มีความมั่นคง การที่ไม่ได้บอกพ่อแม่ มันไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่จริงจัง ผมแค่รู้สึกว่ามันไม่ได้สำคัญ เพราะต่อให้พ่อแม่ผมไม่ชอบเค้า ยังไงผมก็เลือกเค้าอยู่ดี แล้วนี่สิที่สำคัญ ”

“ ลูกชาย... มึงอย่าปีกกล้าขาแข็งให้มันมากนัก วันนี้มึงมีธุรกิจ มีเงิน กิจการมึงรุ่งเรือง แล้วมึงคิดถึงเวลาที่มันล้มลงบ้างมั้ย ทุกอย่างมันไม่ได้ยั่งยืนอาฟ อย่าคิดว่าจะทำอะไรก็ได้ ไม่มีพ่อแม่คนไหนรู้สึกดีที่รู้ว่าลูกของตัวเองยังไม่รู้จะออกหัวหรือก้อยกับครอบครัวของแฟนหรอก ไม่ว่ายังไงเค้าก็ต้องการความสบายใจ ที่ได้รู้ว่า ลูกของเค้าก็เป็นที่รักของครอบครัวอีกฝั่ง พ่อแม่มันเป็นแบบนั้น เค้าไม่คิดแค่ตัวมึงรักลูกเค้ามั้ย มึงมีเงินเท่าไหร่ เค้าคิดถึงสังคมของลูกเค้า เค้าคิดถึงสิ่งรอบตัว เค้าคิดมากกว่าสิ่งที่มึงคิดหลายเท่านัก เพราะนั่นคือลูกเค้า สุดที่รักของเค้า จำไว้ ”

“ พ่อพูดก็ถูกนะ ” เดย์มันหันมาพูดกับผมเสียงเบาๆ ที่ตอนนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วมองออกไปข้างนอกหน้าต่างนั่น ก็คิดวางแผนไว้แล้วว่าจะพาเมดไปแนะนำให้ที่บ้านรู้จัก ผมไม่ห่วงพ่อหรอก เพราะพ่อตามใจผมอยู่แล้ว แต่คนที่ห่วงคือแม่ต่างหาก รายนั้นไม่รู้จะคิดยังไง ในตอนที่ได้เห็นเมด

“ ไม่มีอะไรน่ากังวลหรอก เพราะสิ่งที่น่ากังวลที่สุด คือความคิดในแง่ลบของมึงที่กำลังกังวลว่ามันจะเป็นยังไงต่างหาก ” พ่อยิ้มให้ผมในตอนที่เงยหน้าขึ้นมองเค้าผ่านกระจกมองหลัง “ ความรักมันไม่ใช่การปกป้องใครอยู่ผ่านเดียวหรอกอาฟ บางทีมึงก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาไปพร้อมๆ กัน มึงแมนกูรู้ มึงรักเค้ามาก อยากปกป้องเค้า แต่บางเรื่องมึงเป็นทัพหน้าคนเดียวไม่ได้ มันต้องมาคู่กัน ”

“ เฉียบอีกแล้ว ” เดย์มันจอดรถพอดีในตอนที่พูดคำนั้น ข้างหน้าที่ติดไฟแดง น้องชายผมก็หันไปปรบมือให้พ่อแบบจริงจัง และถ้าไม่ติดว่านั่งอยู่ในรถผมว่าตอนนี้มันคงยืนขึ้นแน่นอน

“ แล้วในความคิดมึงเค้าเป็นไงเดย์ ”

“ พี่เมดน่ะเหรอ ” น้องชายผมหันไปถาม พ่อที่ก็พยักหน้ารับ “ พี่เมดเป็นคนน่ารักแบบที่ถ้าเลิกกับสัดพี่เมื่อไหร่เดย์ก็อยากจะได้เป็นเมียอะ ” ผั๊วะ! ไวเท่าความคิดผมตบหัวน้องชายตัวเองที่ร้องออกมาเสียงดังในตอนนั้น “ โอ๊ย! กูเจ็บนะมึง สัดพี่แม่งเล่นแรงตลอดเลย พ่อดูมันสิ มันตีเดย์อีกแล้ว  ”

“ พวกมึงนี่จริงๆ เลย เด็กจนโตไม่เคยเปลี่ยน ”

“ ปากมึงส้นตีนเอง มือกูเลยไปแบบอัตโนมัติ ”

“ K ” หันมาด่าแบบไม่ออกเสียงใส่หน้าผม ก่อนที่มันจะหันไปพูดกับพ่อต่อ “ พี่เมดน่ารักมากพ่อ นิสัยดีสุดๆ เมื่อเช้าตอนเดย์มารับพอบอกว่ายังไม่ได้กินอะไรมา พี่เมดก็ทำขนมปังแล้วก็โกโก้ร้อนใส่แก้วแบบเก็บความร้อนมาให้ด้วย เค้าเป็นคนใส่ใจอะ มีเหตุผลด้วย ใจเย็น รอบคอบ ”

“ ดูเป็นคนดี แบบที่ไม่น่ามาคบกับพี่มึงได้นะ ”

“ ใครๆ เค้าก็คิดแบบนั้นทั้งนั้นแหละ ”

“ แล้วคิดว่าแม่จะชอบมั้ย ” คำถามที่ทำให้น้องชายผมเงียบไป มันเหลือบมองผม ในแววตานั้นมีความไม่มั่นใจแฝงอยู่

“ ไม่รู้เหมือนกัน ” อีกคนตอบผมก็ได้แต่ยกยิ้ม “ แต่ว่าพี่เมดเป็นคนน่ารัก เดย์เลยคิดว่าถ้าแม่ได้รู้จักพี่เมดจริงๆ อย่างที่เดย์รู้จัก แม่ต้องชอบพี่เมดแน่ๆ ”

“ งั้นเหรอ ” พ่อพยักหน้ารับคำตอบของมัน ก่อนจะเหลือบมองผมที่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งนั้น

ประโยคของเดย์ชวนให้ถอนหายใจออกมา มันคงรู้ว่าผมกังวลกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยและมันคงอยากจะปลอบกันว่า ไม่มีอะไรที่น่ากังวลขนาดนั้น นั่นก็เพราะว่าแฟนของผมเป็นคนดีและน่ารัก มันเลยเชื่อว่าเมดกับผมจะผ่านเรื่องนี้ไปได้แน่นอน แม้ว่าแม่จะไม่ชอบก็ตาม

แต่เพราะทุกอย่างมันเป็นเรื่องของอนาคตพูดง่ายๆ ก็คือยังไม่ถึงเวลาที่เราจะไปกังวลถึงเรื่องนั้น ผมเลยไม่อยากจะคิดอะไรให้มันหนักใจไปมากกว่าที่เป็น แต่ก็เห็นด้วยกับความคิดของพ่อที่ว่า ยังไงก็ต้องพาไปแนะนำนั่นแหละ ไม่ใช่แค่อยากให้พ่อแม่รู้จัก แต่อยากให้เมดมั่นใจด้วยว่าไม่ว่ายังไงผมก็เลือกที่จะให้มันอยู่ข้างกันไปตลอด

“ แล้วนี่เมดมันส่งข้อความมาบอกมึงรึยังว่ามันอยู่ไหน ”

“ เรียบร้อย ” น้องชายผมพยักหน้ารับ “ ร้านหนังสือชั้นเจ็ด อยู่ตรงที่ร้านขายกาแฟในนั้น พี่เมดคงคิดว่านานแหละกูว่า เค้าเลยจะไปนั่งอ่านหนังสือฆ่าเวลา ”

“ โอเค ” ผมตอบรับรถก็เลี้ยวเข้าไปในคอนโดของเรา เดย์จอดลงที่ลานจอดผมก็หันหลังไปไหว้คนเป็นพ่อ “ เจอกันครับ ”

“ อย่าลืมพาเด็กคนนั้นไปแนะนำกันละ ” ไม่ได้ตอบอะไรแต่ในแววตาของผมคงฉายความดื้อดึงอยู่ไม่น้อยพ่อเลยได้แต่ยกยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา “ ปีกกล้าขาแข็งจริงๆ กูละอยากจะถีบมึงสักทีไอ้ลูกเวร ” มันเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนรถที่ขับมาส่งจะขับออกไป

เผลอถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างเคยตัว ผมลากกระเป๋าเข้าไปในคอนโดแล้วในระหว่างขึ้นลิฟต์ก็หยิบมือถือที่ยังคงฉายภาพพื้นหลังเดิมขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงเข้าไปแล้ว ผมเปิดประตูเข้าห้องไปวางกระเป๋าไว้อย่างไม่สนใจก่อนจะหยิบเอากุญแจรถที่วางอยู่ตรงโต๊ะหน้าทีวีขึ้นมาแล้วรีบออกไปทันที

เข้าใจถึงคำพูดที่พูดว่า ‘ คิดถึงจะตายอยู่แล้ว ’ อาการเป็นยังไงก็ตอนนี้  เราที่กำลังจะได้เจอกันแม้มันจะเป็นแค่หนึ่งวินาที แต่ผมก็ยังอยากจะให้มันเร็วขึ้น

รถจอดลงที่ห้างตรงลานจอดของซุปเปอร์คาร์แบบทุกครั้ง ผมกดลิฟต์ไปที่ชั้นเจ็ดของห้างแล้วผ่อนลมหายใจที่แสนจะตื่นเต้นนั้นออกมา พยายามระงับความรู้สึกของตัวเองด้วยใบหน้านิ่งเฉยแต่ก็ต้องเผลอยิ้มกว้างออกมาทุกครั้งในตอนที่คิดเล่นๆ ว่าอีกสักครู่ใบหน้าของคนที่คิดถึงนั้นจะเป็นยังไง เมดคงปั้นหน้างง ไม่ก็อ้าปากค้างในตอนที่เห็นหน้าผม แต่ที่น่าตื่นเต้นมากกว่านั้นคือ ผมจะระงับความรู้สึกอยากกอดหรือแม้แต่อยากจะจูบยังไงดีในตอนที่เจอหน้ามัน

ลิฟต์มาถึงชั้นที่หมาย ผมก้าวขาออกเดินตรงไปที่ร้านหนังสือ ภายในนั้นกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นเป็นตัวชี้ไปถึงจุดหมายที่ผมคิดถึง หัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุในตอนที่เห็นแค่แผ่นหลังคุ้นตานั้นอยู่ไม่ไกล ใบหน้านิ่งที่ตั้งใจปั้นมา เผลอยิ้มกว้างแบบที่ต้องโดนแซวไปอีกหลายวันถ้าใครคนนั้นหันมาเห็นเข้า ผมเดินเข้าไปใกล้เมดอีกก้าว และอีกก้าว ก่อนที่ทุกอย่างในตอนนั้นจะหยุดเคลื่อนไหวอย่างชะงักงัน

หัวใจที่เต้นแรงแผ่วลงราวกับหลุดหายไปที่ไหนสักแห่ง ขาที่ก้าวเดินนิ่งชาจนไม่สามารถก้าวต่อไปไหนได้ แม้แต่รอยยิ้มที่มีความสุข หรือสิ่งที่คิดฝันไว้ก็เลือนหายไปอย่างฉับพลัน เพียงแค่วินาทีเดียวที่ผมเห็นภาพตรงหน้า

มันไม่ใช่ภาพที่ผมคาดหวัง  ภาพของเมดคนที่ผมทั้งรักและคิดถึงกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าคนรักเก่าอย่างไอ้บิน ราวกับถูกสาปนิ่งไป เป็นความรู้สึกที่จุกแน่นอยู่ในอกราวกับใครต่อยลงอย่างแรง แววตาของผมสั่นระริกเป็นทั้งความตกใจและเสียใจปนเปกันจนแยกไม่ออก และในตอนนั้นผมที่ได้แต่ยืนนิ่งก็เอ่ยถามตัวเองโง่ๆ ด้วยหนึ่งคำถาม

‘ แล้วกูจะคิดถึงมึงไปทำไมวะ ’

กูจะคิดถึงคนที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าแฟนเก่า โดยไม่คิดถึงความรู้สึกของกูเลยสักนิด ทั้งๆ ที่เราก็เคยให้คำสัญญากันเอาไว้แล้ว ว่าเราจะไม่กลับไปสนใจคนพวกนั้นอีก หรือว่าผมเองที่ผิด ที่ไปหลงเชื่อมันตั้งแต่แรก หลงเชื่อ คำสัญญาที่ไม่มีลายลักษณ์อักษรนั่น แล้วสุดท้ายวันนี้มันก็ถูกฉีกทำลายด้วยคนที่ร่างสัญญาฉบับนั้นขึ้นมาเอง ‘ กูจะไม่กลับไปยุ่งกับพวกมันอีก ’ เสียงของเมดในวันนั้นยังคงก้องอยู่ในหูผม สลับกับภาพตรงหน้าที่บอกกันว่าทุกอย่างที่อีกคนพูดนั้น ‘ มันไม่จริง ’

ผมก้าวขาเดินเข้าไปใกล้คนสองคนอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าเดินเข้าไปทำไมด้วยซ้ำทั้งๆ ที่ภาพที่เห็นมันก็ชวนให้เจ็บจุกอยู่แล้ว แต่เหมือนว่ามันยังไม่พอ ผมยังเจ็บได้มากกว่านี้อีก ช่างเป็นความปากกล้าที่ตัวเองพูดไปอย่างไม่กลัวทั้งๆ ที่จริงในตอนนั้นหัวใจมันก็แค่ยังหวัง ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่า บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดไว้

ไม่รู้โชคดีเป็นของใคร แต่มุมที่ผมยืนอยู่คือข้างชั้นหนังสือที่ติดกับที่นั่งของคนทั้งคู่ ใบหน้าที่ไม่ได้แสดงถึงความเจ็บปวดของเมด แต่ก็ไม่ได้ยินดีจนดูรื่นเริงนั้นเพิ่มอัตราเต้นแรงให้หัวใจของผม บางทีเมดอาจจะกำลังบอกกับอีกคนว่ารักผมมากแค่ไหน นั่นคือสิ่งที่ผมภาวนาในตอนที่เดินเข้าไปใกล้มันเรื่อยๆจนเพียงพอที่ได้จะได้ยินคำพูดที่อีกฝ่ายกำลังพูดอยู่

“ กูที่รักมึงมากกว่าตัวเอง กูที่เป็นได้ขนาดนั้น กูว่านั่นแหละ คือความหมายของคำว่ารักจริงๆ เป็นความรู้สึกที่ทั้งรักทั้งหลง แล้วมึงก็คือคนนั้นนะ คนที่ทำให้กูเข้าใจว่า นี่แหละคือความรักจริงๆ ”

แต่ทว่า ความเมตตานั้น มักจะไม่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เราร้องขอ

“ ไม่ใช่กูหรอกเหรอ ” ในห้วงหัวใจนั้นเอ่ยถามกันอย่างบางเบา คนที่เมดทั้งรักทั้งหลง คนที่เป็นความหมายของคำว่ารักในความรู้สึกของคนที่ผมรักอย่างสุดหัวใจนั้น ไม่ใช่ผมหรอกเหรอ

งั้นผมเป็นใครละ
ผมเป็นใครในความรู้สึกของคนที่ผมรัก

ไม่มีเสียงตอบรับของคำถามที่หัวใจผมเอ่ยถามออกไป ในตอนนั้นแม้แต่คนที่สนทนากันอยู่ก็ยังเงียบให้กัน ไม่ต่างอะไรกับรอบตัวที่มืดดับลงราวกับหมดแล้วซึ่งงานฉลองอันรื่นเริง ผมพาตัวเองหันหลังกลับมา เมื่อจบงานเราก็แค่ต้องกลับไปในที่ที่เราเคยอยู่

ผมก้าวขาเดินออกจากตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ ด้วยความรู้สึกที่แตกสลายลงอย่างไม่เหลือชิ้นดี

เปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งภายในรถที่ไม่มีใครกลับมาด้วยกันอย่างที่คิดฝัน ผมสตาร์ตเครื่องยนต์ของรถก่อนจะหันไปมองดอกกุหลาบสีขาวที่วางอยู่บนเบาะนั่งข้างกันอย่างใส่ใจ หลายนาทีก่อนที่ผมจะมาถึงที่นี่ ตรงแยกไฟแดงที่ยาวเหยียด เด็กประถมที่เคาะกระจกรถหลายคันเพื่อวอนขอให้ซื้อพวงมาลัยและดอกไม้สดที่เธอถืออยู่ ขายได้บ้าง ไม่ได้บ้าง จนมาถึงรถผม

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ ซื้อดอกไม้หรือพวงมาลัยมั้ยคะ ” เธอถามด้วยรอยยิ้มในวินาทีที่ผมเลื่อนเปิดกระจกรถทั้งๆ ที่ปกติไม่คิดจะเปิดหรือสนใจ ผมเชื่อเสมอว่าถ้าเราไม่สนับสนุน สิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นนี้มันจะหายไป แต่ตอนนั้นเด็กคนนั้นก็พูดขึ้น “ ซื้อดอกไม้ไปให้แฟนมั้ยคะ ถ้าแฟนของพี่ชายได้รับต้องดีใจมากแน่ๆ เลยค่ะ ”

ในตอนนั้นผมยื่นแบงค์ร้อยไปอย่างไม่รีรอ เพื่อแลกกับสิ่งที่เธอบอก ‘ ถ้าแฟนของพี่ชายได้รับต้องดีใจมากแน่ๆเลยค่ะ ’

แต่ตอนนั้นผมน่าจะถามเธอสักประโยค ‘ แล้วถ้าพี่ต้องเสียใจ เธอพอจะมีอะไรขายเพื่อรักษาหัวใจพี่บ้างมั้ย ’  คงเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ เหมือนกับน้ำตาที่ไหลออกมาตอนนี้ น้ำตาที่ไหลออกมาจากความรู้สึกที่เจ็บค้างอยู่ในใจของผม น้ำตาที่มาจากคำพูดของคนรักที่ผมได้ยินชัดและยังคงดังก้องหู

‘ แล้วมึงก็คือคนนั้นนะ คนที่ทำให้กูเข้าใจว่า นี่แหละคือความรักจริงๆ ’

“ แล้วมันก็ไม่ใช่กู มันไม่ใช่กู มัน! ไม่! ใช่! กู! ” ผมตะโกนออกมาก่อนจะทุบลงไปบนพวงมาลัยของรถอย่างแรง ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วร้องไห้อยู่แบบนั้น ผมร้องแบบที่ไม่เคยร้องให้ใคร ร้องออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ทั้งน่าอายและน่าสมเพช พลางใช้เท้าเหยียบลงตรงคันเร่งของรถ ผมเหยียบมันซ้ำๆ เหยียบให้เท่ากับที่ใจกำลังรู้สึก เหยียบเพื่อกลบเสียงร้องไห้ที่กำลังเจ็บปวดของตัวเอง ผมเหยียบมันสุดแรง ในใจตอนนั้นผมก็แค่หวัง ขอให้เสียงเครื่องยนต์นี้กลบเสียงสะอึกสะอื้นที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ให้หายไป

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ คุณครับ คุณ คุณครับ ” เสียงของคนที่เรียกกันอยู่นอกรถทำให้ผมดึงตัวเองขึ้นจากพวงมาลัยรถทันที ขาของผมหยุดชะงักลง ผมรู้ดีว่าทำไมยามของห้างถึงมาเคาะกระจกรถผม เสียงการเร่งเครื่องยนต์มันคงดังมากและดังนานเกินไปจนผิดปกติ ผมหันไปมองยามที่กำลังรอให้ลดกระจกลงเพื่อพูดคุย แต่ตอนนั้นสิ่งที่ผมทำก็คือแค่ขยับเกียร์ให้รถเดินหน้าและขับออกไปโดยที่ไม่คิดเปิดกระจกเพื่ออธิบายอะไรให้ยืดยาวทั้งนั้น

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27

ภายในผับ throw up ที่ยังคงเงียบ นาฬิกาที่ตกแต่งไว้ในส่วนของบาร์บอกเวลาบ่ายสองครึ่งในตอนที่ผมมาถึง มันไม่ใช่เวลาเข้างาน ผมเดินเชื่องช้าขึ้นไปบนชั้นสาม เอื้อมมือเปิดประตูห้องที่ไม่มีใครอยู่ในนั้น ตรงโต๊ะที่เรียบร้อยและถูกจัดวางทุกอย่างแบบเป็นระเบียบด้วยนิสัยของเจ้าของโต๊ะ ผมนึกอยากจะกวาดทุกอย่างทิ้งไปให้หมดอย่างคนก้าวร้าว แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่หย่อนตัวนั่งลงเงียบๆ อยู่อย่างงั้น ก่อนจะหยิบมือถือในกระเป๋าของตัวเองขึ้นมา ผมกดโทรออกไปหาน้องชาย

“ ครับ ”

“ กูไม่ได้ไปรับไอ้เมด มึงเองก็ไม่ต้องไปรับมันนะ ”

“ ห๊ะ ? ” กดวางสายนั่นลงหลังจากที่ได้ยินเสียงสงสัยนั้น ผมกำมือถือตัวเองไว้แน่นแล้วมองดูภาพที่ตัวเองไม่ได้เปลี่ยนกลับด้วยความรู้สึกที่ยังเจ็บไปทั้งใจ ‘ ไม่คิดสักนิดเลยเหรอ ว่ากูจะเสียใจ ’ ผมตั้งคำถามนั้นกับตัวเอง แต่น่าแปลกที่มันถูกกลบลงด้วยความรู้สึกเป็นห่วงที่แทรกซึมเข้ามาอย่างไม่รู้จักเวล่ำเวลา

ตอนนี้จะชะเง้อคอคอยอยู่หรือเปล่า จะกำลังคิดไม่สบายใจอยู่มั้ยว่าทำไมถึงยังไม่มาสักที ทั้งๆ ที่ผมเองก็ไม่ควรจะสนใจอะไรพวกนั้น ทั้งๆ ที่ผมควรคิดว่าจะเป็นตายร้ายดียังไงก็เรื่องของมัน

แต่สุดท้าย คนที่น่าสมเพชก็คือผม และมันก็ช่างน่าสมเพชเสียเหลือเกิน

“ เดย์ ” ผมโทรออกไปหาน้องชายอีกครั้ง

“ ว่าไงสัดพี่ ”

“ ไปรับเมดด้วยนะ ”

“ อะไรของมึงวะ ตกลงจะให้กูไปรับหรือไม่ไปรับกันแน่ ”

“ ไปรับเมดด้วย ” ผมย้ำอีกครั้ง ก่อนจะกดวางสายคนที่กำลังโมโหนั่นไป

แล้วภาพบนหน้าจอก็ฉายขึ้นมาอีกครั้ง ผมยิ้มให้สิ่งที่เห็นพร้อมกับฝ่ามือที่บีบมันไว้แน่น ‘ เจ็บยังไงก็ยังรัก ต่อให้เจ็บให้ตายยังไงไม่ว่ายังไงก็ยังเป็นห่วง ’ 

ห่วง ทั้งๆ ที่เค้าไม่เคยห่วงผมเลย ไม่ห่วงเลยว่าผมจะรู้สึกยังไงถ้าต้องมาเห็นมันนั่งอยู่กับใครคนนั้น หรือบางทีนี่อาจจะเป็นความผิดของผม ผิดที่รีบร้อนออกไปขนาดนั้น ผิดที่คิดว่าถ้าเจอมันเร็วขึ้นสักหนึ่งวินาทีก็คงดี

บางทีอาจจะเป็นอย่างงั้น

ถ้ารู้ว่าตอนนี้จะเจ็บขนาดนี้ ตอนนั้นผมจะนั่งลงที่โซฟาในห้องแล้วพักผ่อนเสียหน่อยก่อนจะออกไปรับมัน ผมจะขับรถช้าๆ ไม่ก็เดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้างสักพัก เพราะถ้าทำแบบนั้นบางทีอาจจะไม่ทันได้เห็นภาพพวกนั้น และถึงสุดท้ายจะกลายเป็นคนโง่ แต่ที่แน่ๆคือ ผมจะไม่ใช่คนที่จะต้องเสียใจอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่คนที่ต้องมารับรู้ว่า แท้จริงแล้ว ในความรู้สึกของเมด ผมไม่เคยได้เป็นอะไรเลย แม้แต่ความรัก   

หวนคิดถึงตัวเองในตอนเช้าที่ลืมตาตื่น ผมที่แอบดึงหมอนที่อยู่ข้างตัวเข้ามาหอมพลางนึกจินตนาการว่าเป็นแก้มนุ่มของคนรักที่เคยได้หอมอยู่ทุกวัน แล้วในตอนที่หยิบมือถือขึ้นมาดู ผมที่เผลอยิ้มกับภาพนี้อยู่นาน ในตอนที่คิดว่าอีกฝั่งเองก็คงคิดถึงกัน ผมเผลอหอมมันผ่านหน้าจอนั้นไป

 ตุบ !

เสียงของมือถือที่ถูกโยนอัดกำแพงอย่างแรงดังขึ้นในวินาทีถัดมานั้น หน้าจอที่แตกละเอียดมืดสนิทไป ผมไม่ได้เดินไปดูว่ามันเป็นยังไง ผมปล่อยมันไว้อย่างงั้นแล้วนั่งอยู่ที่เดิมนิ่งๆ โดยไม่คิดสนใจอะไรอีก

ความเงียบกลืนกินทุกอย่างรอบตัวของผมแม้แต่เวลาที่เดินไป เข็มวินาทีของนาฬิกาในห้องที่หมุนไปเรื่อย ผมไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่ตอนที่รู้ตัวอีกทีก็คือตอนที่ประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่นานนั้น ถูกเปิดออก

“ อาฟ มึงงงงง ” เสียงสดใสดังขึ้นในตอนที่ประตูนั้นปิดลง ผมหันไปมองใบหน้าที่กำลังยิ้มกว้างนั้นอย่างไม่มีการตอบโต้ใด ขาที่ก้าวเข้ามาหา เมดที่กำลังจะเอ่ยพูดอะไรสักอย่างนิ่งลงในตอนที่มันสบตาผม แววตาของความกังวลฉายชัดขึ้นมาบนหน้านั้นอย่างฉับพลัน คงรู้ตัวอยู่ก่อน ท่าทางจะคิดมาแล้วว่าอาจจะมีเรื่อง แล้วตอนนั้นโทนเสียงที่ก็เรียกเบาลง “ อาฟ ”

“ ไปหาแฟนเก่ามาเป็นยังไงบ้างละ ” คำถามของผมทำให้อีกคนเบิกตาขึ้นเล็กน้อย ผมยิ้มก่อนลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินตรงเข้าไปหาคนที่ไม่มีทีท่าว่าจะตอบอะไรออกมา เสียงถามของผมดังขึ้นและเหมือนจะดังขึ้นเรื่อยๆตามอารมณ์ “ กูถาม ว่าไปหาแฟนเก่ามาเป็นยังไงบ้าง กูถามว่ามึงไปนั่งบอกรักกันกลางห้างแบบนั้นมีความสุขมากมั้ย กูถาม! กูถามก็ตอบ! ”

“ อาฟ ”

“ ไม่ต้องเรียกชื่อกู ” ผมบอกก่อนจะปัดมืออีกคนที่กำลังเอื้อมมาจับกันไว้ “ ไม่ต้องมาจับ! กูถามอะไรก็ตอบ ”

“ มึง..” เมดถอนหายใจออกมา มันมองมือของตัวเองที่โดนปัดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม “ ช่วยใจเย็นแล้วฟังกันก่อนได้มั้ยวะ ใจเย็นๆก่อนอาฟ มึงเอาแต่ขึ้นเสียงแบบนี้กูจะไปคุยกับมึงได้ยังไง ถ้ามีแต่อารมณ์พูดไปมันก็ไม่รู้เรื่อง ”

“ ใจเย็น ? ใจเย็นงั้นเหรอวะ  ” ทวนคำพูดนั้นของอีกคนก่อนจะยกยิ้มหัวเราะ “ ใจเย็นอะไร มึงจะให้กูใจเย็นอะไรอีกเมด! ” ผมตะโกนใส่มัน “ มึงรู้มั้ยว่ากูคิดถึงมึงมากแค่ไหน  ตอนที่กลับมาถึงที่นี่ กูไม่คิดเรื่องอื่นเลย ยกเว้นว่าอยากจะไปหามึงคนที่กูโคตรจะคิดถึง กูไม่นั่งพัก กูไม่ทำอะไรเลยเพราะกูคิดว่ามันเสียเวลา กูอยากเจอมึง ใจกูมันรีบ กูรีบขับรถจากคอนโดหลังจากไอ้เดย์มาส่ง กูรีบตรงไปหามึงที่ห้าง แล้วรู้มั้ยกูเจออะไร ” ผมเว้นเสียงแต่อีกฝ่ายก็ยังนิ่ง “ กูไปเจอมึงกำลังนั่งคุยอยู่กับไอ้เหี้ยนั่น ไอ้เหี้ยที่เป็นแฟนเก่าของมึง แล้วมึงก็พูดกับมันว่า มันคือความรักของมึง ”

“ อาฟ คือ ”

“ มันคือความรักของมึงเหรอเมด แล้วกูละ กูแม่งไม่ใช่เหรอวะ ” ตะโกนถามมันด้วยอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยราวกับระเบิดออก มือทุบลงบนหน้าอกของตัวเองตอนที่ตั้งคำถามนั้น ในแววตาปวดร้าวของผมจ้องมองมัน “ แล้วตอนนี้มึงยังจะให้กูใจเย็นได้ยังไงวะ กูจะเย็นได้ยังไง ทั้งๆที่คนที่กูรักกำลังบอกรักคนอื่น เค้าบอกรักคนอื่นทั้งๆ ที่กูรักเค้ามาก กูที่เสียใจขนาดนี้มึงยังจะให้กูใจเย็นได้อีกเหรอ  ตอบสิวะ ได้อีกเหรอ ได้อีกเหรอมึง!!  ”

“ อาฟ มันไม่ใช่แบบนั้น มึงกำลังเข้าใจกูผิดนะ ” เสียงของเมดเบาลง มันเอื้อมมือมาจับมือของผมด้วยสองมือก่อนจะบีบมันไว้แน่น ในแววตาที่กำลังแดงก่ำของผม แต่เมดเองก็ไม่ต่างกัน มันทั้งสั่นไหวและมีน้ำตาไหลออกมา

“ มึงทำได้ยังไงวะ ” สบสายตานั่นแล้วถามออกไป “ ตอนนั้นทำได้ยังไง มึงคิดบ้างมั้ยว่ากูจะเห็น คิดบ้างมั้ยว่าถ้ากูมาฟังเรื่องที่มึงพูด กูจะเสียใจ ตอนนั้นมึงทำได้ไงวะ ทั้งๆที่กูแค่คิดภาพว่า ถ้ามึงจะต้องมาเห็นกูนั่งอยู่กับแฟนเก่า กูก็ไม่กล้าทำแล้ว เพราะกูกลัวเสียใจ แล้วมึงละ ตอนนั้นมึงทำได้ยังไงวะเมด มึงทำได้ยังไง มึงทำแบบนี้กับกูได้ยังไง! ” 

“ อาฟฟังกูก่อน ขอร้อง กูรู้ว่ามึงโกรธกูมากที่เห็นกูไปนั่งอยู่กับไอ้บิน แต่ใจเย็นก่อนได้มั้ย กูไม่ได้ตั้งใจจะไปเจอบินเลย กูบังเอิญเจอมันตอนที่กูกำลังจะไปที่ร้านหนังสือ แล้วกูก็มีคำถามที่อยากจะถามมันอยู่ กูก็เลยชวนมันไปนั่งคุยที่ร้านกาแฟ ”

“ คำถาม คำถามอะไร คำถามที่ว่ามึงกับมันรักกันขนาดไหนงั้นเหรอ ”

“ ไม่ใช่นะ ” อีกฝ่ายเถียงก่อนจะถอนหายใจออกมา “ เมื่อวานหลังเลิกเรียน จิงมันเดินมาบอกกูว่า มันมีเรื่องนึงที่บินโกหกกูมาตลอด จิงมันไม่อยากให้กูถูกหลอกอีกแล้วก็เลยเอาความจริงมาบอก จิงบอกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา กูเข้าใจผิด กูเข้าใจผิดที่คิดว่าไอ้บินเป็นคนจีบกูด้วยนมช็อกโกแลตตอนม.หก แต่จริงๆ มันไม่ใช่ บินโกหก มันไม่ใช่คนคนนั้น แล้วพอวันนี้กูเจอบิน กูเลยตัดสินใจถามมันให้แน่ใจเท่านั้นเอง ส่วนประโยคที่มึงได้ยิน ความหมายของมันจริงๆ คือกูไม่ได้บอกรักมัน กูพูดกับมันว่า มันคือคนที่ทำให้กูเข้าใจคำว่ารัก รักที่มันไม่ได้มีแต่ความสวยงามอย่างเดียวแบบที่กูเคยคิด รักที่มันมีทั้งความโง่ ความบ้า ความหลง ความรักที่มันเคยทำให้กูทุ่มเททุกอย่างจนลืมว่าจริงๆ แล้วกูควรทำอะไร มันเป็นความรักแบบที่สอนให้กูรู้ว่า จริงๆ แล้ว คนที่กูควรรักคือตัวเองไม่ใช่คนแบบนั้น ”

“ กูรู้สึกว่ามึงดูอยากรู้มากเลยนะว่าไอ้เจ้าของนมช็อกโกแลตเหี้ยไรนั่นมันเป็นใคร ” ผมที่เอ่ยถามพลางเดินเข้าไปใกล้อีกคนที่ก็เดินถอยร่นไปเรื่อยก่อนจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่ปลายเตียงกว้างอย่างไร้ทางหนี

“ อาฟ ” ผมผลักเมดนั่งบนเตียงกว้างตอนที่เอ่ยเรียกกัน ก่อนจะจับมือทั้งสองนั้นขึ้นมาอย่างแรงแล้วดึงให้อีกคนนอนลงบนผืนผ้าสีขาวนั้นอย่างไร้ความห่วงใยว่าอีกฝ่ายจะเจ็บ มือของผมกำข้อมือขาวนั่นแน่น ในแววตาที่สั่นไหวนั้นเมดที่เหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ผมก็แค่ยกยิ้มกลับไปเท่านั้น  “ กูจะบอกอะไรให้เอาบุญนะเมด คนที่ฝากนมเหี้ยนั่นไปให้มึง คนที่เค้าให้ไอ้เชี่ยเอมไปบอกมึงว่า เพื่อนเราคนที่ชอบเมดฝากมาให้ คนที่เค้าบอกให้มันถามมึงตลอดทุกครั้งว่าวันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง  คนที่ฝากนมไปให้มึงคนนั้นน่ะ ก็คือกูเอง ”

แววตานั้นเบิกกว้างในตอนที่ได้ฟังมันสั่นไหวราวกับไม่เชื่อกันในสิ่งที่ผมพูด เมดเลยเอาแต่มองกันในตอนนั้น มันคงช็อกจนพูดอะไรไม่ออกแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจากตาช้าๆ เป็นท่าทางที่ทำให้ผมยิ่งยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะพูดย้ำซ้ำมันลงไป

“ กูคือคนคนนั้น คนที่ให้ไอ้เชี่ยเอมเอานมไปให้มึงทุกวัน กูคือคนคนนั้นเองเมด คนที่ไม่เคยได้อยู่ในความทรงจำของมึงเลย ทั้งๆที่เป็นคนที่รักมึงมาตลอด ” สบสายตาที่กำลังมองกัน ผมย้ำ “ กูที่รักมึงมาตลอด แต่จากวันนั้นจนถึงวันนี้กูก็ยังเป็นแค่อะไรก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ไอ้เหี้ยนั่นเหี้ยขนาดนั้นแต่มึงกลับบอกว่ามันคือคนที่ทำให้มึงเข้าใจความรัก งั้นแล้วกูละ กูที่รักมึงอยู่ตรงนี้ มีความหมายอะไรกับมึงบ้างวะ เป็นคนที่ทำให้มึงเข้าใจอะไรได้บ้างรึเปล่า กูเป็นคนสำคัญของมึงบ้างมั้ย กูได้เป็นบ้างมั้ยเมด ”

“ อาฟ..”

“ มึงบอกว่า มึงเข้าใจความรัก  มึงบอกว่า มึงรู้ว่าความรักนั้นมันเป็นยังไง เพราะไอ้เชี่ยนั่นสอนให้มึงรู้ มึงบอกว่า ความรักจริงๆ คือการที่เราจะลืมความเป็นตัวเอง รักที่มันทั้งโง่ ทั้งบ้า รักที่ต่อให้เจ็บแค่ไหนมึงก็ยังรักมัน งั้นสำหรับกู มึงเองก็คือความรักของกูสินะ คนที่สอนให้กูรู้จักคำว่ารักจริงๆ รักที่ไม่ว่าจะต้องเจ็บปวดสักแค่ไหน กูก็ยังรักมึงอยู่ ” ผมยิ้มให้มัน “ ก็เหี้ยดีนะ ที่ไอ้บินคือความรักของมึง ทั้งๆ ที่มึง คือความรักของกู ”

น้ำตาของผมหยดใส่แก้มขาวที่ก็ร้องไห้ออกมาไม่ต่างกัน ผมมองคนใต้ร่างด้วยความรู้สึกเจ็บอย่างเงียบงัน ผมก็แค่อยากจะเป็นคนที่เมดรัก รักให้เหมือนอย่างที่ผมรักเมด ผมที่คิดว่า ‘ เมื่อเราให้อะไรไป เราจะได้สิ่งนั้นกลับมาตอบแทน ’ แต่แท้จริงแล้วมันใช้ไม่ได้กับทุกอย่าง เมดไม่ได้รักผมขนาดนั้น ไม่ได้รักผมเท่ากับที่ผมรักเค้า

แก้วที่มีน้ำอยู่แล้วครึ่งแก้ว ไม่สามารถใส่น้ำที่มีอยู่เต็มแก้วได้หมด แล้วเมดก็เป็นแบบนั้น

มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน เจ็บจนต้องกัดฟันตัวเองแน่น เป็นความรู้สึกที่อัดอยู่ในใจจนอยากจะตะโกนออกเสียงดังให้เท่ากับที่รู้สึก หรือกรีดร้องให้ดังเพื่อระบายสิ่งเจ็บค้างอยู่ในใจนี้

“ ทำไมถึงทำแบบนี้วะ ทำไมถึงทำกับกูได้ขนาดนี้ ”  ผมถาม ถามทั้งๆที่มือก็ออกแรงบีบข้อมือขาวที่กุมอยู่นั้นให้แน่นขึ้น ก่อนจะก้มจูบลงไปที่ต้นคออีกคนที่ก็ดิ้นขลุกขลักไปมาด้วยความตกใจ

“ อาฟ อย่า มึงจะทำอะไร  อย่านะ มึงจะทำอะไรกู ”

“ ทำให้มึงเสียใจบ้างไง ”  ตะโกนตอบออกไป แต่แทนที่จะส่งเสียงห้ามปรามใดกลับมาคนใต้ร่างที่ผมกำลังก้มลงกอดจูบอย่างบ้าคลั่งนั้นกับนิ่งเงียบไปราวกับชะงัก เมดผ่อนตัวเองที่กำลังดิ้นหนีนั่นลง ทั้งมือ เท้า ที่ดิ้นไปมาเมื่อครู่ทุกอย่างนั้นหยุดนิ่งลงเหมือนสมัครใจให้ผมทำอะไรกับมันก็ได้ ถ้าต้องการ

เมดร้องไห้หนักขึ้นอย่างเงียบๆในตอนนั้น แล้วก็เป็นผมเองที่ต้องหยุดทุกอย่างไว้เพียงแค่นั้น มือที่จับกุมอีกฝ่ายอยู่นั้นผ่อนลงก่อนที่จะดึงตัวเองขึ้นมานั่งบนเตียงนิ่งๆ แล้วหัวเราะเยาะสมเพชตัวเอง

“ กูอยากลองทำให้มึงเสียใจดูบ้าง แบบที่มึงทำกูให้เสียใจ กูคิดจะเอามึงที่นี่ ที่ที่กูไม่เคยคิดจะเอามึงมานอน เพราะมันเคยมีไว้ใช้กับคนที่กูไม่จริงจัง กูคิดอยากจะทำร้ายความรู้สึกของมึงด้วยคำพูดแรงๆแบบที่มึงเกลียด แบบที่เราเคยทะเลาะกัน แบบที่กูทำให้มึงโกรธอย่างตอนนั้น คำพูดว่ามึงร่าน มึงมันเลว แต่กูก็ทำไม่ได้ กูจ้องหน้ามึงแล้วพูดคำพวกนั้นหรือแม้แต่จะทำอะไรเหี้ยๆ แบบนั้น กูก็ทำไม่ได้ ” ผมก้มหน้าลงแล้วยกมือขยี้หน้าตัวเองด้วยความรู้สึกโกรธ น้ำตาที่เปื้อนมือพวกนั้น ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะเงยหน้าขึ้น แล้วพยักหน้ายอมรับกับตัวเอง ว่าสุดท้ายก็เป็นผมอยู่ดีที่แพ้ให้มัน “ แม่งก็เหี้ยดีนะ ทั้งๆ ที่มึงทำให้กูเสียใจขนาดนี้ แต่กูกลับให้มึงเสียใจไม่ได้เลย ทำไมกันวะ โง่จริงๆ เลยกู ”  ผมลุกขึ้นจากเตียงที่นั่งหลังจากที่พูดจบ แต่ทว่าตอนนั้นคนที่นอนอยู่กลับลุกขึ้นมาแล้วเอื้อมมือจับกันไว้แน่น

“ จะไปไหนวะ ”

“ ปล่อยกู ” ผมบอกก่อนจะปัดมือนั้นออกแต่เมดก็ยังจับมันไว้แล้วก็ยิ่งจับแน่น จนผมต้องหันไปมองมัน ใบหน้าขาวนั้นเปื้อนน้ำตา เมดที่กำลังบีบมือผมเหมือนขอร้องให้ผมอย่าทิ้งมันไป “ มีอะไรอีก มึงจะให้กูต้องฟังอะไรอีก พอแล้วเมด กูไม่อยากฟัง กูไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ”

“ แล้วมึงจะไปไหน ” อีกคนยังคงถามย้ำ

“ นั่นมันเรื่องของกู! ” หันมาตะโกนใส่อีกคนที่ก็สะดุ้งตอนที่ผมพูดออกไปแบบนั้น เราที่นิ่งให้กัน 

“ ถ้ามึงคิดจะลงไปคุยกับเจเหมือนทุกครั้งที่เราทะเลาะกัน งั้นครั้งนี้กูขอได้มั้ย มึงไม่ไปได้รึเปล่า ” ถ้อยเสียงที่กำลังอ้อนวอนนั้นเอ่ยพูด “ ครั้งนี้ขอให้เราเคลียร์กันเองแบบสองต่อสองได้มั้ย ”

“ แล้วทำไมกูต้องทำอะไรแบบนั้น ทั้งๆที่กูไม่อยากทำ ”

“ ก็มึงยังไม่ฟังกูพูดเลย ”

“ กูฟังแล้ว! กูฟังมันพูดมาพอแล้วเมด ”

“ มึงยังไม่ฟัง! มึงไม่แม้จะใจเย็นแล้วนั่งฟังกูสักนิดเลยด้วยซ้ำ ” ผมถอนหายใจออกมาตอนที่อีกคนเถียงกลับ ก่อนจะหันไปทางอื่น “ เรามาลองคุยกันในตอนที่เราทะเลาะ แบบสองคนสักครั้งเถอะมึง ก็นี่มันเป็นปัญหาของเราไม่ใช่เหรอวะ มันเป็นความรักของเรา แล้วทำไมเราต้องดึงคนอื่นให้เข้ามาช่วย ทั้งๆ ที่เราควรเคลียร์กันเอง ”


ผมหันไปมองอีกคนที่พูดออกมาแบบนั้น เมดออกแรงบีบมือที่กุมผมให้แน่นขึ้นไปอีกราวกับย้ำความต้องการนั้นของตัวเอง

“ จะทะเลาะกันแรงๆ ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เคลียร์กันเองเถอะนะอาฟ เจไม่ได้อยู่กับเราไปตลอดทุกครั้งที่เรามีปัญหากันนะมึง แต่คนที่จะอยู่ทุกครั้งคือเรา เพราะงั้นเราก็ควรมานั่งเคลียร์กันเองดูบ้าง มึงก็พูดในสิ่งที่มึงรู้สึกแบบใจเย็นๆ แล้วกูก็พูดในสิ่งที่กูรู้สึกอย่างใจเย็น
 เจไม่ใช่กูมันตอบไม่ได้ทุกคำถามหรอก กูสิ ที่ตอบมึงได้ทุกคำถาม ถึงมันจะจริงอยู่ที่กูไม่ใช่เพื่อนสนิทมึงที่รู้ใจมึงไปหมด แต่กูคือคนรักของมึงนะ แล้วนี่ก็คือปัญหาของเราไม่ใช่เหรอ เราต้องช่วยกันแก้สิวะ อย่ามัวแต่ไปร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเลย เค้าไม่ใช่เรา เค้าไม่ได้เข้าใจเราไปหมดหรอก ”

“ แต่กูก็ไม่ได้อยากจะคุยกับมึงอย่างใจเย็น ” ผมยกยิ้มบอกอีกคน “ กูไม่อยากจะฟังเหี้ยอะไรอยากมึงทั้งนั้น กูไม่แม้แต่อยากเห็นหน้ามึงด้วยซ้ำเมด ”

“ แล้วเราจะมาจบลงกันตรงนี้น่ะเหรอ ตรงที่ไม่มีใครคิดจะฟังใครงั้นเหรอวะ ” เรามองหน้ากัน “ มึงอาจจะมองว่านี่คือคำแก้ตัว กูรู้ว่ามึงไม่อยากจะอยู่ตรงนี้เพราะมันจะทำให้มึงยิ่งหงุดหงิด กูรู้ว่าทุกครั้งที่เราทะเลาะมึงต้องเดินหนีเพราะมึงไม่อยากจะพูดรุนแรงกับกู แต่ครั้งนี้ช่วยนั่งฟังมันสักครั้งจะได้มั้ย ช่วยฟังในสิ่งที่กูพูดสักครั้งเถอะนะ ”

ผมไม่ได้อยากฟัง ผมยังคงยืนยันคำนี้ที่ออกมาจากในความรู้สึก ผมเหนื่อยที่จะยืน ผมแค่อยากผ่อนตัวเองลงนอนสักพัก ถึงมันจะจริงอย่างที่อีกคนพูดว่านี่คือเรื่องของเรา มันก็มีแค่เราที่ต้องหันหน้าเข้าหากันแล้วพูดคุยและไม่ควรดึงคนอื่นเข้ามาช่วยเหลือ มันจริงอยู่ที่คนอื่นพวกนั้นถึงแม้จะเป็นเพื่อนแต่ก็ไม่ได้อยู่กับเราตลอดเวลา แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ไม่ได้อยากจะหันหลังให้เมด

‘ หัวใจกูแม่งต้องเจ็บอีกเท่าไหร่กันวะ พอก่อนได้มั้ย ’ ผมแค่อยากจะขอร้องมัน แต่ถึงอย่างงั้นมือนั้นก็ยังฉุดกันให้นั่งลง ก่อนที่เมดจะบีบมือผมเบาๆ แล้วในตอนที่หันไปมองมันนั้นอีกคนก็ยิ้มออกมาทั้งน้ำตาที่ไหลเปื้อนแก้ม

“ นั่งพักให้ใจเย็นก่อนก็ได้ แต่อยู่ด้วยกันตรงนี้นะมึง อย่าไปไหนเลย ” อยากเอ่ยถามมันว่าทำไมต้องใจเย็น คำก็ใจเย็น สองคำก้ใจเย็น ใจเย็นเหี้ยอะไรกูเห็นเมียกูนั่งอยู่กับผัวเก่า แต่ทว่าคำถามนั้นผมเองก็รู้คำตอบอยู่แล้ว

ทุกปัญหาในชีวิตคนเมื่อเกิดขึ้นก็ต้องใจเย็น ต้องมีสติ เพราะมันจะทำให้เราได้คุยกันอย่างเปิดกว้างแบบที่ไร้การตอบโต้ชวนทะเลาะและหวังจะเอาชนะอีกฝ่ายแต่เพียงอย่างเดียว


ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ผมถอนหายใจออกมา ไม่ว่ายังไงก็ขัดขืนสิ่งที่ต้องเผชิญอยู่ตรงหน้านี้ไม่ได้ เอาเข้าจริงมันก็แค่ฟัง แต่ที่ยากกว่าคำว่าฟัง คือการรับรู้อะไรก็ตาม ที่บางครั้งเราเองก็ไม่อยากรับรู้และไม่อยากนึกถึง แต่ถึงอย่างงั้น เราก็ต้องฟัง  ในตอนนั้นเมดปล่อยมือลงจากผม ก่อนจะขยับตัวมานั่งอยู่ข้างกันอย่างเว้นระยะห่างแบบไม่มาก เรามองหน้ากันก่อนที่เมดจะเป็นคนเอ่ยถามขึ้นก่อน

“ ใจเย็นลงบ้างยัง ” ไม่ได้ตอบคำถามนั้น ผมแค่นิ่ง “ จริงเหรอวะ ที่มึงเป็นคนส่งนมนั่นมาให้กู ”

“ อื้ม ”

“ งั้นเอมก็เป็นเพื่อนมึงงั้นเหรอ ”

“ อื้ม เพื่อนอีกคนที่ยังไม่ได้แนะนำให้รู้จัก ” ผมบอกมัน “ คนที่กูเคยบอกมึงว่ามีเพื่อนคนนึงแต่ไว้เจอกันแล้วค่อยแนะนำ ”

“ จำได้ ” เมดบอก “ แล้วทำไมตอนนั้นไม่บอก ”

“ ไม่อยากให้มึงเสียใจ ” ไมได้หันไปมองอีกคนในตอนที่ตอบ สายตาของผมมันแค่มองไปข้างหน้า “ ยังไงก็ผ่านไปแล้ว พูดไปมึงก็เสียใจเปล่าๆ กูเลยไม่อยากพูด ”

“ งั้นเหรอ งั้นเพื่อนคนนั้นคือเอมสินะ แล้วมึงรู้ได้ไงว่า กูชอบกินนมช็อกโกแลตยี่ห้อนั้น ”

“ ก็กูมองมึงอยู่ตลอด ” คำตอบของผมทำให้อีกคนเงียบไป ตอนที่เหลือบไปมองมันเมดถอนหายใจออกมามันหลับตาลงอยู่สักพัก

“ อาฟ มันไม่จริงหรอกนะที่มึงพูดน่ะ ” ผมเงียบในตอนที่อีกคนเอ่ยบอก “ ที่บอกว่ามึงไม่ได้เป็นอะไรสักอย่าง ไม่ได้มีความสำคัญในชีวิตกู เรื่องที่มึงเสียใจอยู่ มันไม่จริงหรอกนะ ”

“ เหรอ ” ในใจที่ยังคัดค้านตอบออกไปแบบนั้น เมดก็ถอนหายใจออกมา

“ เมื่อวานมันแย่มากเลยมึง ตอนที่จิงเดินเข้ามาหากูแล้วบอกความจริงเรื่องนมนั่น กูแม่งโคตรช็อก กูร้องไห้อยู่คนเดียวเงียบๆ ตั้งนาน มันเป็นความรู้สึกที่ว่า กูทนอยู่กับไอ้เหี้ยนั่นทำไมตั้งนาน ทั้งๆ ที่มันทำกับกูถึงขนาดนั้น กูรู้สึกเสียดายเวลา แล้วกูก็รู้สึกอายตัวเองที่ก่อนหน้านี้กูบอกกับตัวเองว่า ที่กูทนอยู่กับบินได้นานเพราะกูคิดว่ามันคือคนที่ให้นมนั่นกับกู คนที่เป็นรักครั้งแรกของกู กูเล่าน้องเดย์ว่า เพราะมันเคยเป็นความสุขของกูเหมือนกันกูเลยยังทนมันได้ในตอนนั้น แต่พอกูรู้ความจริงว่า จริงๆ แล้วมันไม่ใช่คนนั้น กูแม่งโคตรอายเลย มันเหมือนไม่เหลือเหตุผลอะไรให้กูอ้างอีก คำพูดที่อ้างว่าทำไมกูถึงโง่อย่างงั้นในตอนนั้น อ้างว่าทำไมกูถึงทนอยู่ได้ตั้งนาน มันไม่มีเหตุผลอะไรอีก แล้วสุดท้ายกูก็ต้องยอมรับ ว่ากูมันทั้งโง่ ทั้งเสียเวลา แต่เพราะกูสัญญากับมึงไว้แล้วว่ากูจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้อีก กูเลยต้องทำเป็นไม่สนใจ แล้วก็เดินลงไปหาน้องเดย์ที่มารับ ทั้งๆ ที่ตอนนั้น กูแม่งโคตรคิดถึงมึงเลย ”  ผมหันไปมองอีกคนในตอนนั้น เมดยิ้มกับตัวเอง

“ กูแค่อยากให้มันเป็นมึงที่มารับกู รู้มั้ยว่าตอนนั้นกูอยากจะกอดมึงมากๆเลยอาฟ กูอยากให้มึงปลอบกูต่อให้เป็นคำพูดเหี้ยๆ อย่างที่มึงชอบพูด กูก็ยังอยากฟัง มันเหมือนขอแค่กูมีมึงอยู่ข้างๆ ก็พอ กูแค่อยากมีมึงเท่านั้น ยังจำตอนที่เราคุยโทรศัพท์กันได้มั้ย เมื่อคืนที่กูบอกมึงว่า วันนี้กูเหนื่อยมากน่ะ ”

“ อื้ม ”

“ มึงคงคิดว่ากูพูดถึงเรื่องเรียนใช่มั้ย ”

“ อื้ม ” ผมตอบมันซ้ำคำเดิม ตอนนั้นก็คิดแบบที่มันพูดจริงๆ ผมคิดว่าเมดเครียดเรื่องเรียน เพราะวิชาที่มันเรียนอยู่ผมเคยฟังมันบ่นบ่อยๆ ว่ายากมาก แล้วมันก็ไม่ค่อยเข้าใจ เจ้าตัวเลยใช้วิธีอ่านหนังสือเยอะๆ เพื่อทำความเข้าใจมันตลอด

“ จริงๆ กูพูดถึงเรื่องนี้นะ เรื่องยากๆ ที่เคยผ่านมาแล้ว ก็คือ ตอนที่กูรู้ว่ามันเอากับยีนส์ ส่วนเรื่องที่ยากมากแล้วไม่รู้ว่าจะผ่านมันยังไง ก็คือเรื่องที่กูรู้ความจริง ว่าตลอดมากูโดนหลอก ”

“ อื้ม ”

“ ตอนนั้นมึงถามกลับกูว่า แล้วที่ผ่านมากูผ่านเรื่องนั้นมาได้ยังไง รู้มั้ยกูคิดถึงมึงเป็นคนแรกเลยนะ กูตอบกลับตัวเองว่า กูผ่านมันมาได้เพราะกูมีมึงอยู่ แล้วนั่นก็คือคำตอบของกู คืนนั้นก่อนที่กูจะหลับ มึงที่อยู่กับกูถึงจะเป็นแค่ผ่านสายโทรศัพท์ แต่กูก็นึกขอบคุณชีวิตเหี้ยๆพวกนั้น เพราะกูรู้สึกว่าจริงๆ ชีวิตกูมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก แล้วที่กูคิดได้แบบนั้น นั่นก็เพราะว่ากูมีมึงอยู่ข้างๆ กันนะ ” เมดหันมายิ้มให้ผม “ มึงทำให้กูตื่นขึ้นมาแล้วคิดได้ว่า ช่างมันเถอะ ก็ดีเหมือนกันที่รู้ตอนนี้กูไม่เควรเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวเพื่อให้ค่าคนอย่างงั้น  แล้วอีกอย่างคือ ถ้ารู้เร็วกว่านี้บางทีกูอาจจะไมได้เสียใจขนาดนั้น แล้วก็คงจะไม่ได้ขับรถไปฝากรอยไว้กับรถของมึง กูคิดในแง่ดีว่า ก็คิดซะว่า ความเสียใจพวกนั้น มันทำให้กูได้มาเจอกับมึงก็แล้วกัน ”

“ แล้วเรื่องไอ้บิน ” ผมถามคำถามที่ตัวเองอยากรู้ออกไป อีกคนก็หันมามองหน้ากัน

“ ก็อย่างที่พูดไปก่อนหน้านี้ กูไม่ได้ตั้งใจจะเจอมัน กูไปห้าง หาร้านหนังสือไม่เจอ แล้วเราก็เจอมันพอดี มันเลยเดินนำทางกูไปเพราะมันจะไปซื้อหนังสือเหมือนกัน แล้วตอนนั้นกูก็คิดว่า กูควรถามมันตรงๆ มากกว่าที่จะเชื่อคำพูดจากปากของจิงคนเดียว ”

“ อื้ม ”

“ กูก็ไม่รู้ว่ากูเอาความกล้ามาจากไหนทั้งๆ ที่ปกติกูไม่คิดจะยุ่งกับมัน แต่อาจจะเพราะว่ากูไมได้สนใจมันแล้วมั้ง คือต่อให้จริงหรือไม่จริง กูก็ไม่ได้กลับไปสนใจมันอีก กูเลยกล้าที่เดินเข้าไปถามมันตรงๆ แล้วตอนที่มันสารภาพออกมา ถามว่าเสียใจมั้ย มันก็นิดนึงนั่นแหละ เป็นความรู้สึกแบบที่ว่า ‘ เชี่ย เรื่องจริงวะ ’ ตอนนั้นมันขอโทษกูหลายครั้งมากๆ เหมือนว่าพูดได้แค่คำว่าขอโทษ ขอโทษที่ทำแบบนั้น ขอโทษที่ไม่บอกความจริง เป็นคำขอโทษที่กูรู้สึกเจ็บแค่เพราะว่ามันไม่สามารถย้อนเอาวันเวลาของกูกลับมาได้อีกแล้ว เป็นความรู้สึกแบบที่เสียดายเวลา เสียดายอดีตที่ควรจะเจอคนดีๆมากกว่าจมอยู่กับมันแบบนั้น  ”

“ แล้วที่มึงตอบมันคืออะไร ”

“ คำพูดที่มึงได้ยิน กูไม่รู้ว่ามึงได้ยินจากไหนถึงไหน แต่ความหมายของกูตอนที่กูพูด มันไม่ได้มีความหมายแบบที่มึงฟังแล้วตีความไปหรอก กูบอกมันไปว่า ถ้าถามว่าใครทำให้กูรู้จักคำว่ารัก คำตอบของกูก็คือมัน คำพูดที่กูพูดในความหมายนั้นคือ กูเข้าใจแล้วว่ารักจริงๆ มันไม่ได้สวยงามอย่างที่กูเคยคิด แต่มันมีทั้งความโง่ ความหลง ความบ้า เป็นความรู้สึกที่ว่า ไม่ว่าใครจะพูดยังไงหรือเตือนยังไง กูก็ยังรักมันแบบไม่สนใจใครทั้งนั้น ความรักจริงๆ มันเป็นแบบนี้ต่างหาก มันไม่ได้สวยงามเลย มันเหี้ยเอามากๆ ด้วยซ้ำไป มันทำให้เราหลง เหมือนติดอยู่ในเขาวงกต นี่แหละคือรัก ความหมายจริงๆ มันเหี้ยมากกว่าจะเป็นสีชมพูแล้วก็เป็นรูปหัวใจแบบที่ใครๆ บอกว่ามันทั้งสวยทั้งน่ารัก  ”

“ อื้ม ”

“ แล้วกูก็พูดว่ามันคือคนนั้น คนที่ทำให้กูเข้าใจว่า นี่แหละคือรักจริงๆ แล้วตอนนี้ก็ยังเป็นมันอยู่ นั่นก็เพราะ มึงไม่ได้เหี้ยขนาดนั้นไงอาฟ มึงไม่ได้สอนให้กูรู้จักความรักในมุมมองนั้น มึงให้แต่สิ่งดีๆกับกู มึงที่ปรับตัวเองตอนเรามีปัญหา มึงพยายามเข้าใจในตอนที่เราทะเลาะ มึงที่เป็นมุมมองความรักที่สวยงามอย่างที่กูเคยคิดแล้วก็ฝันไว้  คำพูดที่มึงได้ยินกูไม่ได้ชื่นชมมันหรอก กูก็แค่บอกมันว่ามันทำให้กูได้รู้ว่าความรักมันไม่สวยงามไปหมดก็เท่านั้น ” เมดถอนหายใจออกมา มันที่ยิ้มกับแววตาที่มองตรงไปข้างหน้า “ สำหรับบินกูได้เรียนรู้ว่าความรักจริงๆ นั่นคือการที่เราต้องรู้จักรักตัวเองก่อน เมื่อเรารักตัวเองแล้ว เราถึงจะหยิบยื่นความรักของเราไปให้คนอื่น เพราะถ้าเราคิดจะรักแต่คนอื่น โดยไม่รักตัวเองอย่างที่กูเคยเป็น มันก็ต้องเจ็บปวดแบบนั้นแหละ ก็ขนาดตัวเราเอง เรายังไม่รักมันแล้วปล่อยให้คนอื่นมาทำร้ายซ้ำๆเลย และแบบนั้นเราจะไปคิดไปหวังให้ใครมารักเราได้ไง มันไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก แล้วที่มึงถาม...”

“ อะไร ” ผมถามอีกคนในตอนที่เห็นว่ามันเงียบไป

“ ที่มึงถามว่าแล้วมึงละเป็นอะไรสำหรับกูบ้าง คำตอบของกูก็คือสิ่งที่กูพูดมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด  มึงคือบ้านของกูไงอาฟ มึงคือความสบายใจ เป็นคนที่ทำให้กูรู้สึกว่าแค่เรามีกันและกันอยู่ข้างๆ กูก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น มึงเป็นทั้งที่พักพิง เป็นความสุข  แล้วก็เป็นคนสำคัญที่กูจะขาดไปไม่ได้อีกแล้วในชีวิตนี้  เป็นคนที่สอนให้กูรู้ว่า ความรักที่ดีกับคนรักที่ดีมันเป็นยังไง ” มือข้างนึงเอื้อมมาจับมือของผม เมดสอดมือกอบกุมกันไว้ในตอนนั้น “ กูขอโทษนะที่ทำให้มึงเสียใจ ขอโทษที่หลายๆ ครั้งเพราะความอ่อนไหวของกูเลยทำให้มึงเจ็บปวด แต่สิ่งหนึ่งที่กูอยากจะขอให้มึงเชื่อกู คือตั้งแต่วันที่เราเจอกัน จนเป็นแฟนกัน กูไม่เคยคิดอยากจะจากมึงไปไหนทั้งนั้น แล้วก็ไม่เคยคิดจะกลับไป หรือเปลี่ยนใจจากมึงไปรักใครคนอื่น  มึงไม่ได้เพอร์เฟคหรอก แต่สำหรับกู มึงมันพอดีแล้ว ”

ความเสียใจของผมคล้ายจะเบาบางลง เป็นความรู้สึกที่เหมือนโดนกอดกันไว้ แล้วมือก็ค่อยๆ ลูบแผ่นหลังของผมอย่างใจเย็น ผมไม่มีคำถามที่ผมสงสัย เมดพูดทุกอย่างออกมาหมดแล้วในสิ่งที่ผมอยากรู้ และเหมือนมันจะมีแค่ตัวผมเท่านั้น ที่ต้องตัดสินใจว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งที่อีกคนเล่ามา ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจของผมจะตัดสินว่าจะรู้สึกยังไงต่อไป

ผมไม่มีคำตอบที่จริงจังและมั่นใจในตอนนั้น แต่สิ่งที่คิดและรับรู้ได้ในตอนนี้คือ เราเองก็ต่างเจ็บปวดกับเรื่องนี้ เรื่องที่เป็นทั้งอดีตและปัจจุบันของเรา

ผมอาจจะเผชิญโลกสีเทามามากกว่าเมด อาจจะพบเจอใครหลายคน หรือทำเรื่องคาวๆอย่างไม่จริงจังกับใคร แต่ในเรื่องความรัก ต้องยอมรับว่าเมดผ่านมามากกว่าผม ประสบการณ์จากรักครั้งเก่าสอนให้มันมีเหตุผลกับรักครั้งใหม่ของเรา รักที่ไม่ใช่แค่มอบให้ไปเท่านั้น แต่เป็นรักที่เราต้องช่วยกันค่อยๆ ปรับเปลี่ยน ที่บางทีก็ต้องตัดส่วนไม่ดีทิ้งไป แล้วก็ต่อเติมส่วนที่ขาดหายไป จนชิ้นส่วนหัวใจของเรามันต่อกันจนลงล็อกพอดี

“ ตอนที่นั่งคุยกับบินอยู่ มันถามกูด้วยนะ ”

“ ถามว่าอะไร ”   

“ ถามว่า ‘ เมดรักบินจริงๆ หรือรักเพราะคิดว่าบินเป็นเจ้าของนมนั่น ’ ” คำถามที่ทำให้ผมหันไปมองอีกคน เมดที่ยิ้มให้กันในตอนนั้น “ ทำไมมึงถึงไม่มาได้ยินคำถามกับคำตอบตอนนี้กันวะ ทำไมถึงไปได้ยินแต่คำตอบเหี้ยนั่นอยู่แค่นั้น ”

“ แล้วตอนนั้นมึงตอบมันไปว่าอะไร ”

“ กูตอบมันไปว่า กูไม่ได้รักบินคนที่กูคบเค้ามาสี่ปีหรอก กูรักบินคนที่กูคิดว่าเค้าคือเจ้าของนมต่างหาก” เมดยิ้มให้ผม  “ แล้วนั่นก็คือมึงถูกมั้ยอาฟ ”

“ อื้ม ”

“ แล้วทำไมวันนั้นมึงไม่ข้ามถนนมาหากูวะ ” ในแววตาที่ตั้งคำถามนั้นสั่นไหว ภายใต้รอยยิ้มที่กำลังยิ้มให้กันคงเกิดคำถามนับพันอยู่ในนั้น เป็นทั้งความเสียดายและความเสียใจที่ถาโถมเข้ามาใส่

เพียงแค่หวนคิดว่าบางทีเราอาจจะรักกันมาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้  เราที่ได้สร้างความทรงจำดีๆ ต่อกันมากมาย เราที่มีความสุขและไม่ต้องทุกข์ทรมานกับเรื่องน่าเศร้าพวกนั้น มันที่ตอนนี้อาจจะยังมีเพื่อนสนิท เราที่รักกันมากกว่าที่กำลังเป็น และรู้จักมากกว่าที่รู้จัก เราที่ได้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขและยาวนานตั้งแต่วันนั้น และเพียงแค่คิดแค่นั้น น้ำตาของคนที่เอ่ยถามก็ไหลออกมา ในตอนนั้นผมไม่มีคำอธิบายอะไรทั้งนั้น เพราะคำตอบเดียวที่พูดได้ก็คงมีแค่

“ ขอโทษ ” ก่อนที่จะดึงคนตรงหน้าเข้ามากอดไว้แน่นโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก

ทั้งๆ ที่ว่าบางทีมันอาจจะดีแล้วที่เราเจอกันตอนนี้ ตอนที่เราโตพอจะเข้าใจความรู้สึกของคำว่ารัก โตพอที่จะแยกแยะออกได้ว่า แฟน กับ คู่ชีวิต มันต่างกันและความรักก็ไม่ได้มีแค่ คำว่ารักเท่านั้นที่จะทำให้คนสองคนไปด้วยกันได้ แต่ทว่านั่นมันก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น ตอนนั้นผมก็แค่ไม่กล้าพอ ทุกอย่างระหว่างเรามันก็เลยเป็นแบบนี้

“ งั้นต่อไปนี้ไถ่โทษด้วยการรักกูตลอดไปเลยได้มั้ย เพราะกูเองก็จะไถ่โทษที่วันนั้นกูเข้าใจผิดไป ด้วยการรักมึงตลอดไปเหมือนกัน ”

‘ กูรักมึงมาตลอดอยู่แล้วเมด ’  แล้วนั่นคือความรู้สึกของผมในตอนที่เราโอบกอดกันไว้

............................................................

“ พี่เดย์มึงอยู่ไหนเนี้ย กูหิวแล้วเด้อ แดกชาตินี้ไม่ได้แดกชาติหน้านะ ” ผมกรอกเสียงไปตามสายด้วยความหงุดหงิด วันนี้เป็นวันจันทร์ธรรมดาที่ผมไม่ได้ไปเรียนก็เลยพาตัวเองมานอนที่คอนโดของพี่เจตั้งแต่ศุกร์ที่แล้ว แต่เพราะเกิดอาการอยากจะเดินห้างแล้วก็กินไก่ทอดกับชานมไข่มุก ก็เลยลองชวนพี่เจแต่อีกคนกลับติดเรียนไม่สามารถมาด้วยได้

เอาจริงๆ การไปเที่ยวคนเดียวมันก็ได้แหละ แต่บังเอิญว่าตอนที่ถามนั้น ผมเข้าไปนั่งเล่นใน throw up ช่วงก่อนเปิดผับพอดี คนที่เป็นบาร์เทนเดอร์ก็เลยได้ยินเข้า

‘ งั้นกูไปด้วย กูอยากกินชานมไข่มุกที่ดังๆ ’

‘ ไม่ได้ชวนมึงเลยพี่เดย์ ’ ผมบอกอีกคนก็ที่ก็ลอยหน้าลอยตาไปทางอื่น

‘ แล้วไงอะ กูจะไป กี่โมงว่ามา ไอ้อัยย์มึงไปมั้ย ’ หันไปถามเพื่อนตัวเองที่ก็พยักหน้ารับ

‘ เออ ไปดิ  ’

‘ แม่ง พวกพี่มึงคือฟังกูมั้ยเนี้ย ’ เสียงหัวเราะของพี่เจในวันนั้น ยังคงก้องอยู่ในหูผมจวบจนวันนี้ และตอนนี้ผมก็กำลังเดินวนอยู่ที่หน้าร้านไก่บอนชอนที่อยากกินแต่กลับไร้รี่แววของคนที่บอกว่าจะมา

“ อีกสามนาทีครับเด็กแรด ” อีกคนตอบผมก็ได้แต่จิ๊ปากเพราะรู้สึกว่ารอบข้างอีกคนเงียบแบบนั้น ก็คงไม่พ้นอยู่ในรถ

“ โอยยย มึงนี่นะพี่เดย์ แล้วพี่อัยย์อะอยู่ไหน หรือมึงมาพร้อมกัน ”

“ ไอ้อัยย์ไม่มา มีแค่มึงกับกูนี่แหละ คิดว่าเดทกันแล้วกัน ”
“ ใครอยากเดทกับมึง กูไม่นอกใจพี่เจเด็ดขาด แล้วมึงนี่ช้าตลอด ไม่เคยตรงเวลาเลยนะ ”

“ น่าๆ รถมันติดไง ใครมันให้กรุงเทพรถติดแบบนี้ละน้อง ”

“ ก็ถึงออกให้มันก่อนเวาสิวะทีหลังน่ะ ”

“ บ่นจัง เนี้ยๆ ถึงแล้วไง ” ถอนหายใจออกมา บอกถึงแล้วแต่รอบข้างมึงเงียบกริบ ห้างหรือโรงศพกันแน่ อยากจะถามมันแต่ก็เท่านั้น เพราะถามไปยังไงก็ต้องรออยู่ดี  ในตอนนั้นผมก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วก็เจอเข้ากับร้านหนังสือที่อยู่อีกชั้น

“ งั้นกูรอพี่มึงในร้านหนังสือนะแถวนี้นะ ”

“ เค ”

“ เค ” วางสายไปก่อนจะเก็บมือถือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินลงบันไดเลื่อนไปชั้นล่าง เพื่อตรงเข้าไปในร้านหนังสือ ผมเผลอถอนหายใจออกมาก่อนมองดูหนังสือขายดีที่ก็ไม่ใช่แนวตัวเองสักเท่าไหร่ เป็นโรคไม่ถูกกับหนังสือมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เปิดอ่านทีไรก็หลับตลอด แต่คงไม่ใช่พี่เมดรายนั้นชอบอ่านหนังสือ นอนว่างๆ ก็หยิบหนังสือมาอ่าน “ ไปดู copic ดีกว่า ”

ผมเดินลึกเข้าไปด้านในตรงโซนเครื่องเขียน ก่อนจะหันไปดูขนมลดราคาผมยืนดูมันอยู่สักพักแล้วเลือกมาสองสามห่อเพราะคิดว่าพี่เจคงชอบกินเลยจะซื้อไปฝากมันสักหน่อย

“ อยู่ที่ไง ” ก้มลงดูปากกาหลายสีผมหยิบมันมาดูก่อนจะที่เสียงพูดคุยที่อยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่จะชวนให้ผมหันไปมอง

“ มึงพูดหมาๆ แบบนี้ออกมาได้ไงวะ พูดออกมาได้ไงว่าให้จบกันแค่นี้ ” คำพูดที่ได้ยินชวนให้ผมหันไปมองก่อนจะขมวดคิ้วงงกับคนที่เห็น พี่จิงเพื่อนพี่เมดยืนอยู่ตรงนั้นแล้วก็กำลังคุยกับใครสักคนด้วยท่าทางจริงจัง สีหน้าไม่สู้ดีฉายออกมาจากทั้งแววตาและท่าทาง มือของเค้าเอื้อมไปจับคู่สนทนาก่อนจะถูกปัดออก

“ กูว่าเราควรจบได้แล้ว มันควรพอได้สักทีแล้วมึง ตอนนี้กูมีคนที่อยากจะจริงจังแล้ว ” เสียงคุ้นๆ ที่ตอบกลับมาชวนให้ผมสนใจจนต้องเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น ตรงชั้นหนังสือในโซนที่ไม่มีใครตรงนั้น ผมมองผ่านข้างชั้นวางก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นตอนที่เห็นว่ามันคือ

“ ไอ้เชี่ยบิน ” ผมพูดออกมาเบาๆ ก่อนอุดปากตัวเองไว้แน่นด้วยความตกใจ

“ คนที่มึงจะจริงจังด้วย ใคร ? ไอ้ยีนส์น่ะเหรอ แล้วทำไมมันไม่เป็นกูละ กูเองก็เป็นให้มึงได้นะ คนที่มึงจะจริงจังน่ะ มึงก็แค่ไม่เลือกกู เพราะเบื่อที่จะเอากันแล้วใช่มั้ยมึงก็เลยจะเขี่ยทิ้ง ทั้งๆที่ตลอดมากูก็อยู่ในฐานะที่ไม่ต่างอะไรกับไอ้ยีนส์เลย”

“ จิง ฟังกูนะ กูเหนื่อยแล้ว แล้วกูก็ไม่อยากจะคบใครทีละหลายๆ คนแล้ว กูอยากจะจริงจังกับยีนส์เข้าใจที่จะพูดมั้ย ”

“ เพราะอะไร ทำไมต้องเป็นยีนส์วะ เพราะ..”   

“ เพราะกูคิดว่ากูรักยีนส์  กูไม่เคยสงสารใคร แต่ตอนนี้กูสงสารยีนส์ แล้วนั่นก็เป็นเพราะว่า กูรักยีนส์ ” พี่จิงเงียบไป เค้าที่เงียบนิ่งอยู่นานก่อนจะถอนหายใจออกมา ตอนนั้นน้ำตาของอีกคนมันไหล

“ แล้วกูละ มึงไม่สงสารกูเลยเหรอ กูเองก็รักมึงเหมือนกัน แล้วทำไมมันไม่ใช่กูละ กูเองก็มีอะไรกับมึงลับหลังเมดเหมือนกันกับไอ้ยีนส์แต่ทำไมสุดท้ายถึงเลือกยีนส์แต่ไม่ใช่กูละวะบิน  ”


“ เสือกเรื่องชาวบ้านอยู่เหรอเด็กแรด ” เสียงกระซิบที่ดังขึ้นอยู่ข้างหู ผมหันไปมองทันทีด้วยความตกใจขาที่ถอยหนีชนเข้ากับชั้นหนังสือแต่โชคดีที่พี่เดย์อุดปากผมที่กำลังร้องด่าไปก่อนไม่ต่างกับผมที่ก็เอื้อมมืออุดปากอีกคนไว้เหมือนกัน เพราะกลัวว่าจะส่งเสียงอะไรออกไปจนทำให้อีกฝ่ายรู้ เราที่มองหน้ากันใช้สายตาพูดคุยและตกลงกันว่าจะไม่ส่งเสียงอะไรออกมาก่อนที่ต่างคนจะค่อยๆ ปล่อยมือออกจากกัน แล้วตอนนั้นพี่เดย์ก็กระซิบกับผม “ นั่นมันคนที่เข้ามาคุยกับกูเรื่องพี่เมดวันก่อนนี่หว่า ”

“ ห๊ะ ? ใครวะ เชี้ยบินเหรอ ”

“ เปล่า อีกคน ” คนข้างๆ ชี้ไปที่พี่จิงผมที่เห็นแบบนั้นก็เลยดึงอีกคนให้เดินออกมาจากตรงนั้น เราออกมานอกร้านก่อนจะขึ้นบันไดเลื่อน ผมแค่อยากจะไปให้ไกลที่สุดก่อนที่จะพูด

“ มึงหมายความว่าไงอะพี่เดย์ พี่จิงมาพูดอะไรกับมึง ”

“ ก็เมื่ออาทิตย์ก่อนตอนสัดพี่ไปสิงคโปร์กูก็ทำหน้าที่ไปรับไปส่งพี่เมดใช่มั้ย ” พยักหน้ารับอีกคนก็เล่าต่อ “ แล้วตอนนั้นที่ไปนั่งรอรับพี่เมอที่หน้าคณะ คนคนนี้ก็เข้ามาคุยกับกู มันถามว่ามารับเมดเหรอ แล้วก็บอกว่า คงนานหน่อยเพราะไม่รู้ไปร้องไห้อยู่ที่ไหน ”

“ เหรอวะ ”

“ แต่ตอนนั้นกูไม่รู้ว่าเรื่องอะไรไง แล้วตกลงมันเรื่องอะไรวะ ” คำถามที่ทำให้ผมนิ่งไป และเพราะไม่รู้จะเป็นอย่างที่คิดหรือเปล่า ผมก็เลยทำได้แค่ส่ายหน้า

“ ไม่มีอะไรหรอกมึง กูแค่เห็นว่ามันเป็นแฟนเก่าพี่กู กูก็เลยยืนฟังเท่านั้นอะ ”

“ อ๋อ ขี้เสือกนี่เอง ” พี่เดย์บอกก่อนจะเอื้อมมือมากอดคอผม “ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย งั้นเราไปกินไก่กันเถอะ กูโคตรรรรรหิวเลย แล้วเดี๋ยวขับรถไปซื้อชาไข่มุกด้วยกันนะ มึงอยากจะกินร้านไหนเด็กแรดเลือกเลยนะ ป๋าเดย์เลี้ยงเองครับ ” ผมไม่ได้ตอบในสิ่งที่พี่เดย์ชวนคุยในตอนนั้น เพราะสมองมันเอาแต่คิดทบทวนกับสิ่งที่ได้ยิน

‘ แม่ง.. นี่เรื่องจริงเหรอวะ ’ สรุปว่า นอกจากไอ้ยีนส์ ก็ยังมีไอ้จิงด้วยเหรอวะ ที่ไอ้เหี้ยบินนอกใจพี่เมดไปเอาด้วย
 
.......................................................................

ช้าก่อน อานนท์

ก่อนอื่นขอโทษที่นิยายมาไม่ทันวันศุกร์นะคะ นิยายเข้าสู่ช่วงจบแล้ว คิดว่าอีกสองตอนจะจบ แต่ว่า นิยายก็ยังไม่หยุดอัพหรอกนะคะ เพราะว่า เราก็ยังจะอัพเรื่องราวของอาฟเมดต่อไป ในตอนพิเศษ เพราะฉะนั้น ฝากติดตามตอนจบไปจนถึงตอนพิเศษสุดท้ายที่จะลงเลยนะคะ

ป.ล. สิ่งที่เขียนไปทั้งหมด อาจจะดูไม่เกี่ยวข้อง แต่มันมีความหมายเสมอ

ฝากแท็ก #ผับชั้นสาม ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์จ้า 
 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:  บินนี้เหี้ยจริงๆ เอาเพื่อนทั้ง 3 คนเลย

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
ขอบคุณเมดที่รั้งอาฟไว้ให้ฟังให้ได้
ไม่งั้นก็คงไปกันใหญ่ ไม่เข้าใจกันอีก

จิง ตัวร้ายจริงๆ

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
เพื้อนเมดแต่ละคนคือแบบ...... ก็เหี้ยดี  :z6:

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
 ……

ดีจริงที่เมดกับอาฟเข้าใจกันได้ เคลียร์กันเองคุยกันเอง จับมือกันเดินต่อ

คู่บิน ยีนส์ จิง ก้อคงต้องรับกับวิบากกรรมกันไปนะ

ความจริงเฉลยทุกอย่าง … เชียร์สสสส


 :katai2-1:  :katai3:  :katai2-1:  :katai3:  :katai2-1:  :katai3:  :katai2-1:  :katai3:


……

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ในที่สุด ความจริงก็เปิดเผย
สมใจไหมจิง สุดท้ายแล้วก็ไม่เหลืออะไร
ร้ายที่สุดคือจิง น่าสงสารสุดคือเมด
แต่คนที่เจ็บสุดคือยีนส์ เพื่อนที่รักและไว้ใจ

เมดเอ้ยยย สู้มากค่ะหนู ยอมแล้ว
ต้องแบบนี้สิ ปล่อยให้อาฟโวยไป
แต่อย่าปล่อยให้หายไป ถูกแล้ว
ต่อให้โกรธขนาดไหน ก็อย่าหนีหน้า
เอ็นดูเมดมาก เมดใจเย็นมากเพื่อให้ได้บอกอาฟ

อาฟบางทีก็กลายเป็นคนโง่แบบโง่เลย
ไม่ฟัง ไม่สนใดๆ ประสบการณ์เยอะน้อยไม่ช่วยนะ
ถึงอาฟจะไม่เคยรัก แต่ต้องเรียนรู้ที่จะรักนะ
มันใช่ที่ทุกอย่างคือการแลกเปลี่ยน
ไม่ใช่ให้อย่างเดียว รับด้วย เข้าใจด้วย

วิวคือผู้เผือกที่แท้จริง และเจอของจริงตลอด

รอดูอาฟจะแก้ตัวกับความจัดเต็มไปรอบนี้ ยังไง

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Aoya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 906
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-3
โอ้ยยย ขอบคุณมากมายเลยค่ะ นึกว่าจะได้กินมาม่าอีก
หายใจหายคอโล่งเลย โตขึ้นแล้วนะคะทั้งสองคน
ส่วนจิง นางน่าจะขาดความอบอุ่นนะ ดูจะอิจฉาเพื่อนไปหมด   :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ว่าแล้วตัวร้ายสุดคิอจิง จริงๆ  :z6: :z6: :z6:
แล้วที่ว่าเป็นอีกคนที่บินไปยุ่ง นอกใจเมด กลุ่มเพื่อนเมด ก็ใช่จิงจริงๆ  OMG
เพื่อนรักที่เป็นเพื่อนชั่ว หักเหลี่ยมโหด
บิน นี่โคตรเลว โคตรชั่วสุดๆของการเป็นคนรักเลย
สรุปรอบตัวเมด มีแต่คนชั่วช้าสาระเลว เมดมีประกายออร่าวิ้งๆเลย
นี่แสดงว่ายีนส์ ก็ไม่รู้เรื่องที่บินนอกใจกับจิงมาตลอดเหรอ  :really2:
โอ้......สุดท้ายจิงก็ถูกบินทิ้ง กร๊ากกกกกกกกกกกกก 
นี่มันสมองคนเลว คิดพลาดได้ นรกตอบแทนนายแล้ว     :m20: :laugh: :pigha2:
ไปลงนรกเสียเถอะจิง ยินดีด้วย ฮ่าๆๆ  นายทำตัวเองนะ  :pigha2: :laugh: :m20:

เมด ทำให้อาฟเข้าใจได้ด้วยตัวเอง
ไม่ต้องผ่านเพื่อนสนิทอย่างเจ เยี่ยมมากกกกก
อาฟนี่ เก่ง ดีแต่โมโหร้าย ไม่พยายามเข้าใจเมดซะเลย  :เฮ้อ:
ดีนะ ที่เมดใจเย็น ไม่งั้น ก็ทางใครทางมันไปแล้ว
อาฟ  เมด   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
เข้าใจกันแล้ว   :katai2-1: :mew1:    ส่วนบินและเมียๆก็ปล่อยไปเถอะ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ไม่เข้าใจเลย บินมีดีตรงไหน หักหลังเพื่อนกันได้ทั้งคู่

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
 :pig4: :mc4: :mc4: :pig4:


ดีใจที่ในตอนนี้เห็นการปรับตัวของทั้งอาฟและเมด แถมเรื่องราวคนส่งนมที่เป็นประเด็นมานานถูกเปิดเผยสักที

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
พี่อาฟมาหวานกับพี่เมดเร็วๆๆ  ส่วนคู่ ยีน บิน ของ ช่างแม่งเหอะ อ่านแล้วปวดตับกับความสัมพันธ์มากกกกกกกก   จะคบจะเลิกจะจริงจัง ก็เรื่องของมึงงง
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ NiNJA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
สนุกมากเยยย ละคือฉากเรียกน้ำตาเยอะมาก
ร้องไห้จนตาบวมกันไปเลยจ่ะ :hao5:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ
ชอบน้องเดย์ อยากได้น้องเดย์ ไอ้เด็กบ้าเอ๊ยยย
แล้วร้องไห้ไปพร้อมพี่อาฟเลยอ่ะ หัวใจพี่แม่งได้อ่ะ
แล้วบินนะ ตั้งแต่อ่านมาทั้งเรื่อง คือไม่เคยคิดเลยอ่ะว่าจะได้ยินบินบอกว่าอยากจริงจังกับใครสักคนบ้างแล้ว
คือน้ำตาจะไหล แบบมึงเอ๊ย มันคิดได้ว่ะ ส่วนจิงมาถามว่าทำไมต้องเป็นยีนส์ๆ เอ้า ก็มึงบ้าอ่ะ อิบินไม่เอาก็ถูกแล้ว

ปล.ชอบน้องเดย์กับเด็กแรด ไอ้บ้าเอ๊ย เอา2คนนี้มาเจอกันนี่แบบ เหมือนคงความบ้าบอที่แข็งแกร่ง

ออฟไลน์ snoopy

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
เอ่อ ตอนนี้สงสารยีนส์แล้ว รู้มั้ยเพื่อนสนิทมันร้ายขนาดนี้

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ใจแป้วมากตอนอาฟอาละวาด กะว่าอีกแล้วรอบนี้จะแตกหักมั้ยรอยร้าวเยอะเหลือเกิน ดีใจมานิดนึงที่ปรับความเข้าใจกันได้แต่ก็นะลึกๆก็กลัว มันมีช่องว่างมีรอยร้าวในความสัมพันธ์มากจริงๆ เอาใจช่วยนะยังไงก็ตาม
ส่วนเรื่องเพื่อนๆเมดนี่แบบเกินเยียวขาจริงๆ เลวกันสุดมาก

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เวรกรรมลงโทษไอ้เหี้ยทีเถอะ แบบสายด่วยมาเลยได้ไหม

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โป๊ะแตกแล้วคุณบิน ทำไมซื้อหวยไม่ถูกล่ะเนี่ยแล้วคนรู้ดันเป็นเด็กแรดอีก :hao7: เสียน้ำตาไปเยอะมากกับตอนนี้  :hao5:อาฟใจเย็นขึ้น ดีแล้วๆ พอเปิดใจกันมากขึ้นจะรักกันยิ่งกว่าเดิม รอความหวานน้ำตาลขึ้นของคู่นี้นะคะ ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ฮืออออออออออออออออ ในที่สุดก็มาแล้วคิดถึงมากๆเลยค่ะ มาตามดูทุกวันเลยยย
จิงจริงๆด้วยยยยยย แงงงงง ทำไมทำกับเมดกันแบบนี้
ชื่นชมพี่อาฟตอนนี้มาก เรานึกว่าจะดราม่าไปไกลแล้วว พี่อาฟเติบโตขึ้นอีกสเต็ปแล้วว
 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ SHmnex

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ดีใจที่อาฟฟังเมด ดีใจที่อาฟอดทนใจเย็น รักแบบรักที่น่ารัก
❤️

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
     ชอบคุณพ่ออาฟเหมือนเป็นเพื่อนมากกว่าคุยกัน กู มึงกันได้ไม่หัวโบราณรับลูกสะไภ้ผู้ชายได้
     ปัญหานมกล่องก็คลี่คลายหายคาใจเมดแล้ว
     รอดูความแตกหักของจิงกับยีนต์หลังจากบินปฎิเสธจิงเราว่าจิงต้องไปบอกความจริงใช้สามีร่วมกันมานานกับยียต์แน่ๆเพื่อนสนิทตอแหลหักหลังดามเหล็กก็เอาไม่อยู่แล้ว
        จะตีพิมพ์รวมเล่มมั้ยจะได้รอจ่าย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2018 00:15:04 โดย Chompoo reangkarn »

ออฟไลน์ chaotic69

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
คำว่ารักมาอยู่ตลอดของพี่อาฟคือจบทุกปัญหาจริงๆ
ตอนแรกคิดว่าต้องรอเอมมาเฉลยเรื่องนมแล้วซะอีก

จิงควรกรรมตามสนองอย่างสาสมในฐานะร้ายกว่าใคร

ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้เดย์จะปรองดอง555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด