ตอนที่ 47
ก้าวขาเดินลงบันไดไปทีละขั้นอย่างเชื่องช้า ความรู้สึกว่างเปล่าที่กำลังรู้สึกนี้ไม่ต่างอะไรไปจากวันนั้น วันที่เปิดประตูคอนโดเข้าไปเจอเข้ากับเสื้อผ้าที่ถูกปลดเปลื้องกระจายไปทั่วห้อง และในห้องนอนของผมนั้น บนเตียงก็มีคนสองคนกำลังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันอยู่ซึ่งคนหนึ่งคือคนรักและอีกคนก็คือเพื่อนสนิท
คงจะจริงที่ว่าความลับไม่มีในโลก และไม่ว่าเมื่อไหร่ความจริงก็คือสิ่งที่เราต้องเผชิญอยู่แล้ว แม้บางครั้งมันจะพร้อมกับเรื่องน่าเศร้าก็ตาม
‘ บินไม่ใช่คนคนนั้น มันโกหกมึง ’ เสียงของจิงที่ดังอยู่ในหัวของผม ไม่ต่างอะไรจากการตั้งค่าเล่นซ้ำเพลงโปรดในเพลย์ลิสต์ แต่ก็ผิดตรงที่ว่า ท่อนเนื้อหาที่กำลังเล่นซ้ำอยู่นี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากฟัง และภาพประกอบที่กำลังฉายอยู่ในหัวก็เช่นกัน มันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะเห็นอีก
ภาพวันที่บินกำลังเดินตรงเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มและคำสารภาพรักพร้อมกับนมขวดนั้นในมือที่ถูกยื่นมาให้ บรรยากาศแสนสุขในวันนั้น ถูกถมกลบด้วยความจริงที่ได้รู้ในวันนี้ว่า นั่นมันก็แค่เรื่องโกหก ไม่มีผู้ชายคนที่ได้ชื่อว่า puppy love ไม่มีคนที่พยายามเพื่อผม ไม่มีคนที่มั่นคงอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างเป็นแค่ภาพลวงตา และคำที่ผมเคยปลอบใจตัวเองในวันที่เสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหล่านั้นก็เช่นกัน มันเป็นแค่คำพูดงี่เง่าของคนโง่ที่ไม่เคยรู้อะไรเลยอย่างผม
หวนคิดถึงตอนที่นั่งกินมื้อเที่ยงกับน้องเดย์ ผมที่เล่าเรื่องราวแห่งความทรงจำด้วยความสุข ผมที่บอกกับน้องว่า ‘ ถึงมันจะเคยเหี้ยยังไง แต่ครั้งหนึ่งมันก็เคยเป็นความสุขของผม ’
ช่างน่าตลกสิ้นดี พอคิดว่าตัวเองก็เอาความสุขนั้นมาเป็นข้ออ้างแล้วทนอยู่กับชีวิตรักเหี้ยๆ นั่นถึงสี่ปี ทั้งๆ ที่หลายครั้งผมเคยสงสัยและตั้งคำถาม ‘ ความพยายามกับความมั่นคงของมึงที่เคยทำอะไรเพื่อกู ความรักที่มึงเคยให้กู แบบก่อนที่เราจะคบกันมันหายไปไหนหมดวะ ’ แล้ววันนี้ผมก็ได้รู้คำตอบ
ไม่มีอะไรหายไปหรอก มันก็แค่ไม่เคยเกิดขึ้นก็เท่านั้น
ครืด ครืน ครืน
เสียงสั่นของโทรศัพท์ที่ดังอยู่ในกระเป๋ากางเกงปลุกผมที่กำลังเดินลงบันไดอย่างเชื่องช้าหยุดนิ่งลงแล้วหยิบมือถือที่กำลังสั่นนั้นขึ้นมาดู บนหน้าจอที่ปรากฏชื่อของคนที่โทรเข้ามาชวนให้ผมสูดลมหายใจเข้าไปเพื่อลบเลือนความรู้สึกที่กำลังเศร้าพวกนั้น ยกมืออีกข้างปาดน้ำตาลวกๆ แล้วกลืนน้ำลายเพื่อปรับเสียงก่อนจะกดรับ
“ ครับ น้องเดย์ ”
“ พี่เมดอยู่ไหน น้องเดย์รออยู่ที่หน้าคณะแล้วนะ ”
“แป๊บนึงนะ อาจารย์ขอคุยกับพี่เมดน่ะ ”
“ ทำไมเสียงแปลกๆ ร้องไห้เหรอ ” คำถามที่ทำให้นิ่งก่อนจะยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมาให้กับปลายสาย
“ เปล่าๆ ในห้องอากาศมันเย็นมาก แน่นจมูกไปหมดละ ”
“ โอเค จอดรอที่เดิมนะ ลงมาแล้วจะเห็นคนที่หล่อที่สุดในโลกนั่งคอยอยู่ในรถสุดเท่ ”
“ ขอวางสาย ”
“ ฮ่าๆ ” เสียงหัวเราะที่ส่งกลับมาชวนให้ยิ้มแม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่กำลังรู้สึกแย่มากแค่ไหนก็ตาม ผมกดวางสายที่โทรเข้ามานั้นลงก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
เอาเข้าจริงก็ไม่อยากจะไปไหนเลย ผมแค่อยากจะนั่งลงนิ่งๆ แล้วปล่อยให้น้ำตาที่อยากจะไหล ไหลลงมาเท่าที่ใจกำลังเจ็บปวด โดยไม่ต้องใช้สมองขบคิดหรือหาเหตุผลอื่นใด เพราะผมก็แค่คนสูญเสียที่ตอนนี้ไม่สามารถหาเหตุผลอะไรให้กับความรักครั้งก่อนได้อีกแล้ว
‘ ถึงมันจะเหี้ย แต่ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นความสุขของผม ’ เพราะต่อจากนี้ ประโยคนี้ก็จะใช้เป็นเหตุผลไม่ได้อีก
ผมพาตัวเองเดินตรงมาที่ห้องน้ำ บนกระจกใสตรงอ่างล้างหน้าที่สะท้อนใบหน้าที่มีแต่คราบน้ำตานั้น ผมเปิดก๊อกน้ำก่อนจะก้มลงล้างหน้าตัวเองให้ความเศร้าพวกนั้นมันหายไป ยิ่งนึกถึงอดีตก็ยิ่งเวทนา ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าทนอยู่ทำไม แค่ครั้งเดียวที่เสียใจเพราะแฟนนอกใจไปหาคนอื่น คนปกติก็ให้โอกาสกันแค่ครั้งสองครั้ง แต่ผมกลับให้โอกาสมันหลายครั้งจนแทบจะนับไม่ไหว แล้วพอคิดว่าเหตุผลที่กล่าวอ้างกับตัวเองในวันนั้นคือแค่นมขวดเดียวขวดนั้น ทั้งๆ ที่มันก็แค่โกหก มือของผมเริ่มถูหน้าตัวเองแรงขึ้น ผมอยากจะลบทุกอย่างออกไปให้หมด ลบเลือนทั้งความเสียใจ และความทรงจำนี้ให้กลายเป็นคนที่ไม่รู้สึกอะไรเลยก็ยิ่งดี
เพราะผมพาตัวเองที่อยู่ในสภาพนี้ออกไปหาคนที่รอกันอยู่ไม่ได้ อาฟเองก็ไม่ควรรู้เรื่องนี้ รู้ไปก็ไม่ได้ทำให้มันรู้สึกดีขึ้น โดยเฉพาะถ้าออกจากปากผมที่เอ่ยเล่ามันด้วยน้ำเสียงเศร้าอย่างเช่นตอนนี้ ทั้งๆ ที่จริงผมเองก็อยากจะกอดมันไว้แล้วบอกเล่าเรื่องเจ็บปวดพวกนี้ให้มันฟัง บอกกับมันว่าผมทรมานที่สุดที่ต้องทิ้งเวลาหลายปีแล้วจมปลักอยู่แบบนั้นกับคนที่ไม่แม้จะเคยคิดทำอะไรเพื่อผม คนที่ฉกฉวยความรักของผมไปด้วยคำโกหก คนที่ได้ทุกอย่างจากผมไปเป็นคนแรกแล้วก็ย่ำยีทำลายมันโดยไม่เห็นค่าอะไรทั้งนั้น มันที่เอาความพยายามของคนอื่นที่รักผม มาทำลายผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบไม่เหลือชิ้นดี ทั้งๆ ที่คนที่เป็นเจ้าของความสุขของผมจริงๆ นั้น ไม่เคยได้ทำมันเลยสักครั้ง
แต่เพราะอาฟไม่ชอบให้ผมพูดถึงบิน ไม่ชอบให้ผมพูดถึงอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับอดีตพวกนั้น เราที่สัญญากันเอาไว้ว่าจะเดินไปข้างหน้า และถ้าวันนี้ผมเผลอหลุดปากพูดออกไปอย่างเอาแต่ใจ เพียงแค่อยากจะให้มันกอดปลอบ ก็ไม่รู้ว่าในความรู้สึกจริงๆ ของอาฟจะเข้าใจไปในทางเดียวกันกับคนพูดอย่างผมรึเปล่า และถ้าเราต้องมาทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้อีกครั้ง ผมว่า ตัวผมก็ควรเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวคนเดียวคงจะดีกว่า
หยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดหน้าตอนที่ถอนหายใจออกมากับตัวเองตรงหน้ากระจกนั้น สูดลมหายใจแล้วยิ้มให้กับคนในนั้น ผมพูดกับตัวเองอยู่ในใจ ‘ เข้มแข็งไว้นะมึง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ’ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องน้ำแล้วตรงไปหาคนที่ตอนนี้ออกมานั่งคอยกันอยู่ที่เก้าอี้ว่างตรงหน้าตึกคณะแทนที่จะเป็นบนรถแบบที่บอกกันเอาไว้
“ น้องเดย์ ขอโทษที ” ผมเอ่ยทัก คนที่เหมือนจะก้มหน้าเล่นเกมอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองกันแล้วยิ้มให้
“ ไม่เป็นไร แล้วนี่คุยกับอาจารย์เสร็จแล้วเหรอ ”
“ อื้ม ” พยักหน้ารับอีก “ ไปกันเถอะ ”
“ โอเค ” น้องเดย์เดินนำผมออกไปตรงลานจอดรถ ที่อยู่ไม่ไกลจากที่อีกคนนั่งเท่าไหร่ เราเข้าไปนั่งด้านในพร้อมกันแล้วตอนที่เครื่องยนต์ถูกสตาร์ท น้องก็หันมาถามผม " พี่เมดร้องไห้เหรอ ”
ผมนิ่งไปตอนที่ได้ยินคำนั้น สายตาเลิ่กลั่กที่หันไปมองรอบข้างแบบซ้ายทีขวาทีก่อนจะทำเป็นยิ้มกว้างออกมาพลางตีหน้างง แม้ใจจะเต้นแรงแค่ไหนก็ตาม เพราะผมรู้ดีว่าถ้าน้องเดย์รู้ มันก็ต้องบอกอาฟ แล้วผมก็ไม่อยากจะให้มันเป็นแบบนั้น
“ ไปเอามาจากไหน ” หันไปถาม แต่อีกคนก็แค่ขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วพิงหลังลงกับเบาะรถ
“ กูว่าแล้ว โดนหลอกแน่ๆ ดีนะยังไม่บอกไอ้สัดพี่ ”
“ ห๊ะ ? ” ได้แต่สบถงงๆ กับสิ่งที่ได้ยิน แม้จะนึกโล่งใจที่น้องไม่ได้รู้สึกเห็นความเปลี่ยนแปลงของผม แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังงงกับสิ่งที่ได้ยินอยู่ดี “ หมายความว่าไงวะ อะไรโดนหลอก ”
“ ก็เมื่อกี้ตอนที่น้องเดย์นั่งรอพี่เมดอยู่ที่โต๊ะ เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของพี่เมดก็เข้ามาหาน้องเดย์แล้วก็ถามว่า มารับพี่เมดเหรอ เดย์ก็ตอบไปว่า ครับ แล้วเค้าก็บอกว่า งั้นต้องรอสักพักนะ เพราะพี่เมดไม่รู้ไปร้องไห้อยู่ที่ไหนเหมือนกัน ”
“ ใครวะ ไอ้ยีนส์เหรอ ” ผมถามน้องเดย์ก็ส่ายหน้า
“ น้องเดย์ไม่รู้หรอก แต่คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดกับพี่เมดเพราะเค้ามาทักน้องเดย์ไง ” อีกคนว่าก่อนจะยักคิ้วให้ เบรกมือที่ถูกดึงลงก่อนจะขยับเปลี่ยนเกียร์เพื่อให้รถเคลื่อนตัวออกจากที่จอด
“ แล้วไม่ใช่คนที่วันนั้นพี่เมดเคยให้ดูรูปเหรอ คนที่ถ่ายรูปคู่กับแฟนเก่าพี่เมดน่ะ ”
“ จำไม่ได้แล้ววะ วันนั้นก็เห็นแป๊บเดียวเอง ” น้องว่ายิ้มๆ “ แต่เพื่อนพี่เมดนี่ คือดูก็รู้เลยนะว่าไม่น่าจะคิดเรื่องดีอยู่ในหัว ตอนที่เค้าเข้ามาพูดกับน้องเดย์นะ รู้มั้ยว่าท่าทางเค้าแม่งเหมือนจะเยาะเย้ยกันเลย สายตาที่มองนี่แบบ โคตรเหยียดหยามอะ เป็นลักษณะของคนที่ถ้าพูดอะไรกับเรา ไม่รู้ว่าเชื่อได้สัก 10% มั้ย โคตรไม่น่าไว้ใจเลย ”
“ เหรอวะ ” ได้แต่พูดออกมาเสียงเบาๆ กับประโยคสุดท้ายที่คนข้างกันพูด อยู่ๆ ในใจก็คิดลังเลขึ้นมาถึงเรื่องที่วันนี้จิงเอามาบอกกัน จะเป็นไปได้มั้ย คือยีนส์หลอกจิง แล้วจิงก็หวังดีกับผมเลยมาบอกผมอีกทีนึง “ นี่น้องเดย์ ”
“ ครับ ”
“ ถ้าสมมุติว่าเพื่อนที่เหี้ยกับน้องเดย์มากๆ มาบอกเรื่องอะไรสักอย่างกับน้องเดย์ น้องเดย์จะเชื่อมันมั้ย ”
“ ถามอะไรอย่างงั้นพี่เมด เอางี้ดีกว่า ใครแม่งจะโง่เชื่อบ้างวะ ” กูไง.. ผมได้แต่ตอบน้องในใจตอนที่อีกคนหันมาพูดยิ้มๆ “ แต่มันก็ต้องดูด้วยนะว่าเพื่อนคนนั้นเป็นใคร สมมุติมันเหี้ยกับเราก็จริงแต่ว่ามันก็เคยดีกับเรา ก็อาจจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก็ต้องดูด้วยว่าเรื่องนั้นสำคัญสำหรับเรามั้ย ถ้าไม่สำคัญ ก็ไม่มีความหมายอะไรที่ต้องสืบความเรื่องนั้นว่ามันจริงหรือไม่จริง แต่ถ้าเรื่องสำคัญก็คงต้องสืบ ว่าจริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่ ”
“ งั้นเหรอ ”
“ แล้วพี่เมดถามทำไมอะ ” คำถามที่ทำให้ผมหันไปหาน้องที่ตอนนั้นก็มองผมอยู่เช่นกัน “ เพื่อนมาพูดอะไรกับพี่เมดรึเปล่า ”
“ เปล่า ” ผมบอกอีกคนไปตามสัญชาตญาณที่ต้องหลบเลี่ยง “ แค่อยู่ๆ นึกขึ้นมาได้น่ะ ก็น้องเดย์พูดว่า เพื่อนพี่เมดดูไม่น่าไว้ใจ เชื่อไม่ได้ ”
“ แล้ววันนี้มันเข้ามายุ่งกับพี่เมดมั้ย ”
“ ไม่เลย วันนี้เรียนหนักจะตายมันไม่มีแรงมายุ่งหรอก ” ผมส่ายหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วพิงตัวเองลงกับเบาะที่นั่ง ผมหลับตาลงทั้งที่สมองยังตั้งคำถามให้ครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องนั้น ‘ แล้วคนอย่างพวกมึง กูควรเชื่อได้มากแค่ไหนวะ ’
“ ถ้าง่วงขยับเบาะนอนเลยก็ได้นะพี่เมด ตอนเย็นรถติด คงอีกนานกว่าจะถึง ”
“ ไม่ได้ง่วงหรอก ” ผมบอกน้องก่อนจะถอนหายใจทั้งๆ ที่หลับตาอยู่แบบนั้น “ แค่พักสายตาน่ะ พอดีปวดหัว ”
“ เรียนหนักมากเลยสินะวันนี้ ”
“ อื้ม มันยากมากๆ เลย ” แต่ไม่ใช่เรื่องเรียนหรอก เรื่องความรู้สึกน่ะ ที่มันหนักมาก
“ งั้นวันนี้ก็ไม่ต้องไปผับมั้ยละ เดี๋ยวน้องเดย์พาไปกินข้าวแล้วจะพาไปส่งที่คอนโดเลย พี่เมดจะได้อาบน้ำกินยาแล้วก็นอนพักสักหน่อย เพราะถ้าไปทำงานต่อน้องเดย์ว่าไม่น่าไหวแล้วนะตอนนี้ หน้าพี่เมดคือดูโคตรเหนื่อยอะ ”
“ ก็ดีเหมือนกันนะ ” ผมตอบแบบไม่คิดอะไรให้มาก ตอนนี้ใจทั้งใจมันอยากจะนอนนิ่งๆ อยู่คนเดียวมากกว่าไปยืนฉีกยิ้มทักทายใครๆ ในผับ แล้วอีกอย่างถ้าไปอยู่ตรงนั้นผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเผลอแสดงความรู้สึกอะไรออกมา คนน่ากลัวที่สุดก็คือ เจ มันไม่ใช่คนที่ผมหลบเลี่ยงได้ง่ายๆ เลย แล้วถ้าเจรู้อาฟก็ต้องรู้อีก เพราะฉะนั้นตัดไฟตั้งแต่ต้นลมน่าจะดี นั่นคือ ไม่ไปดีกว่า
“ แล้วนี่กินอะไรกันดี ”
“ เอาคำตอบจริงๆ มั้ย ” ผมลืมตาตอนที่หันไปบอกอีกคน “ ไม่อยากจะกินอะไรเลยว่ะ อยากนอน ”
“ งั้นทางนี้ก็จะตอบจริงๆ เหมือนกันจ้ะว่า ไม่ได้จ้า เดี๋ยวสัดพี่ฆ่าน้อง ” หลุดยิ้มออกมากับคำพูดนั้น ก่อนที่ผมจะหันออกไปมองนอกหน้าต่างรถ
ท้องฟ้าที่ดูไม่สดใสเท่าไหร่ ฝนที่เหมือนกำลังตั้งเค้า ทุกอย่างดูอึมครึมเป็นสีหม่นเทาไปหมด ท่าทางว่าอีกไม่นานฝนก็คงจะตกลงมา แล้วคนที่เดินอยู่ข้างนอกนั่นก็คงต้องหาที่กำบังกันยกใหญ่
หัวใจของผมก็คงเหมือนกับอากาศวันนี้สินะ ทั้งมืดครึ้มและหม่นเทา ฝนที่กำลังตกหนักอยู่ในตอนนี้ ผมไม่มีที่หลบไปไหนเลย ทำได้แค่ยืนเปียกปอนอยู่แบบนั้น เพราะคนที่เป็นร่มของผมวันนี้เค้าไม่อยู่
“ คิดถึงอาฟว่ะ อยากกอดมัน ” น้ำตาของผมไหลทั้งๆ ที่พยายามกัดฟันเพื่อจะไม่ร้องไห้ แต่แล้วมันก็กลั้นไว้ไม่ไหว แค่อยากจะกอดมันไว้จริงๆ อยากร้องไห้บนไหล่นั้น อยากได้รับอ้อมกอดและคำปลอบโยนที่ถึงจะมาในรูปแบบของการกวนตีนก็อยากฟัง ผมแค่อยากจะมีมันอยู่ข้างกันในวินาทีนี้ วินาทีที่สภาพอากาศภายในใจมีแต่ลมแห่งความเศร้ากำลังกระโชกแรง
“ พี่เมดร้องไห้ทำไมวะ เฮ้ย พี่เมด พี่เมดร้องไห้ทำไม ” เสียงที่ดูตกใจของน้องเดย์ทำให้ผมแค่ส่ายหน้าก่อนจะก้มหน้าลง “ พี่เมด ”
“ แค่คิดถึงอาฟน่ะ คิดถึงมากๆ เลย ”
“ โอ๋ๆ ไม่ต้องร้องไห้นะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเย็นๆ สัดพี่มันก็กลับแล้ว อย่าร้องไห้เลยนะ ”
“ อื้ม ” พยักหน้ารับคำตอบนั้นอย่างว่าง่าย พลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปในปอดแล้วหันไปมองอีกคนที่กำลังมองผมด้วยสายตาเป็นห่วง “ ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ น้องเดย์ พี่ไม่ได้เป็นอะไรแค่คิดถึงไอ้อาฟเฉยๆ ”
“ ก็เป็นห่วงพี่เมดไง แล้วนี่วันทั้งวันนี้ สัดพี่มันไม่ได้ติดต่อพี่เมดมาเลยเหรอ ”
“ ก็ทักมาตอนเช้าแล้วก็หายไปเลย ”
“ ส้นตีน ” อีกฝ่ายสบถ “ เห้ออ แต่ว่ามันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ เวลาไปสิงคโปร์กับพ่อก็มีแต่ธุระกับนักธุรกิจที่นั่นทั้งวัน เอามือถือมาเล่นก็ไม่ได้เพราะว่ามันจะดูเหมือนเราไม่สนใจ ”
“ พี่เมดเข้าใจ มันก็แค่คิดถึงน่ะ ยิ่งเจอเรื่องหนักๆ ก็ยิ่งอยากมีมันอยู่ใกล้ๆ เหมือนทุกวัน ”
“ หมายถึงเรื่องเรียนใช่มั้ย ”
“ อื้ม ” พยักหน้ารับน้องก่อนจะเช็ดน้ำตาตัวเองอีกครั้ง ผมทำเป็นหัวเราะออกมา “ โคตรน่าอายเลยว่ะ อย่าไปบอกใครนะ ว่าพี่เมดร้องไห้หามัน โดยเฉพาะไอ้อาฟ ถ้ามันรู้ว่าพี่เมดร้องไห้เพราะคิดถึงมัน แม่งต้องล้อไม่หยุดแน่ ”
“ ไม่บอกหรอก แต่อย่าร้องไห้อีกนะเพราะสัดพี่มันก็ต้องคิดถึงพี่เมดเหมือนกันนั่นแหละ ” น้องเดย์บอกผมยิ้มๆ ที่ก็พยักหน้ารับคำพูดนั้น “ งั้นเราไปหาอะไรกินกันดีกว่านะ พี่เมดอยากจะกินอะไร ”
“ ข้าวหน้าหมูชาชู ”
“ โอเค แวะห้างนี้เลยแล้วกัน ” ผมหันไปมองห้างที่น้องเดย์บอกมันเป็นห้างใหญ่ที่ไม่ไกลจากมหา’ลัยผมเท่าไหร่นัก แต่ทว่าตอนนี้เราต้องมาชะลอรถก่อนถึงห้างเพราะติดไฟแดงพอดี
“ นี่น้องเดย์ พี่เมดถามหน่อยสิ ”
“ ถามว่า ”
“ น้องเดย์เคยร้องไห้เสียใจกับอดีตมั้ย ”
“ หมายถึงยังไงวะ ”
“ ก็แบบ.. อื้ม พวกเรื่องที่ถึงแม้เราจะรู้ว่าแก้ไขไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังเสียใจอยู่ดี ” คำถามที่ทำให้คนข้างตัวผมหันมายิ้มให้
“ ใครแม่งไม่มีเรื่องเสียใจในอดีตบ้างวะ ทุกคนแม่งก็มีเรื่องเหี้ยๆ ในอดีตที่อยากจะเปลี่ยนเป็นของตัวเองทั้งนั้น อย่างพี่เมดเองถ้าทำได้ก็คงไม่อยากจะเป็นแฟนกับไอ้เชี้ยบินนั่นหรอกใช่มั้ยละ ”
“ อื้ม ” ผมหันไปยิ้มให้น้อง “ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้แล้วละก็ วันนั้นจะไม่ไปหลังโรงเรียนหรอก จะไปกินชาบูร้านเปิดใหม่แทน ”
“ ฮ่าๆ ” คนข้างๆ หัวเราะออกมาผมก็หันไปย้ำ
“ จริงๆ นะ ไม่ก็ พอตอนที่ไอ้เหี้ยนั่นบอกว่า มันเป็นคนซื้อนมมาให้พี่เมดทุกวัน พี่เมดก็จะเดินไปถามเพื่อนคนที่มันฝากมาให้ว่าจริงมั้ย ไม่ก็ตั้งคำถามอะไรสักอย่างเช่นว่า เมื่อวานมึงฝากเพื่อนมึงมาบอกกูว่าอะไร ”
“ แล้วพี่เมดรู้มั้ย อดีตแบบไหนเหี้ยที่สุด ”
“ แบบไหน ”
“ ก็แบบที่ว่าถึงมันจะเป็นอดีตไปแล้วแต่ก็ยังกลับมาทำให้เราเสียใจในปัจจุบันไง ” ยกยิ้มให้กับคำตอบนั้นก่อนจะพยักหน้ารับขึ้นลง
“ อื้ม จริงที่สุดเลย ”
“ จะเล่าอะไรให้ฟังนะ น้องเดย์กับไอ้อัยย์สนิทกับมาตั้งแต่เด็กแล้วใช่มั้ยละ แล้วสมัยม.ปลายเราก็มีกลุ่มเพื่อนแบบใหญ่มากเป็นสิบคนเลย แล้ววันหนึ่งไอ้เหี้ยอัยย์มันก็ไปชอบผู้หญิงคนหนึ่งเข้า หน้าตาน่ารักมาก เค้าบอกมันว่าโสด พวกมันเลยคบกัน คบกันนานด้วยนะสักแปดเดือนได้มั้ง ผู้หญิงคนนั้นนะตรงสเปกมันสุดๆ แต่แล้วสุดท้ายผู้หญิงก็ขอเลิกกันแบบงงๆ งงว่าผิดอะไรทั้งๆ ที่ก็รักกันดีอยู่ ตอนนั้นมันก็เฮิร์ทมาก อารมณ์แบบ กูดีเกินไปเหรอวะเค้าถึงไม่ชอบ แล้วสุดท้ายพอทำใจได้นะ แม่งก็มารู้ว่าที่โดนบอกเลิกอะ เพราะผู้หญิงคนนั้นกลัวแฟนจับได้ว่าคบซ้อน ”
“ ห๊ะ ? ” ผมเอียงหน้างงตอนที่น้องเดย์เล่าถึงตรงนั้น “ หมายถึงว่าผู้หญิงคนนั้นคบกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะมาคบกับน้องอัยย์อย่างงั้นเหรอ ”
“ ใช่ แต่ที่พีคที่สุดก็คือ แฟนของแม่ง ก็คือเพื่อนในกลุ่มเรานั่นแหละ ส่วนที่บอกเลิกกับไอ้อัยย์นั่นก็เพราะว่ามันใกล้ตัวมากเกินไป ผู้หญิงกลัวแฟนจะจับได้เลยขอเลิกไปก่อน ”
“ งั้นถ้าไม่ใกล้ตัวก็คงจะคบซ้อนไปแบบนั้นสินะ ”
“ คิดว่าน่าจะใช่ ” คนเล่าพยักหน้ารับ
“ แล้วตอนนั้นน้องอัยย์เป็นไง ”
“ แม่งก็คงรู้สึกเหี้ยน่าดูอะ แต่มันก็ไม่แปลกเปล่าวะ เป็นใครแม่งก็ต้องรู้สึกเหี้ยทั้งนั้น ตอนแรกเข้าใจว่าเลิกกันเพราะเราดีเกินไป แต่พอทำใจได้ ก็เสือกมารู้ว่าจริงๆ แม่งคบซ้อน เป็นควายให้จูงอยู่ตั้งหลายเดือน สงสารมันเหมือนกันนะพี่เมด น้องเดย์ยังจำได้เลยว่ามันพูดกับน้องเดย์ว่า กูอุตส่าห์ทำใจได้แล้วแต่ยังเสือกกลับมาทำให้เจ็บอีก เหี้ยดีจริงๆ ตอนนั้นไม่น่าไปคบกับแม่งเลย ”
“ พี่เมดเข้าใจเลยว่ะ ” ผมบอกแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วพยักหน้ารับ “ ความรู้สึกของน้องอัยย์ตอนที่พูดว่า อุตส่าห์ทำใจได้แล้วแต่ยังเสือกกลับมาทำให้เจ็บอีก อะไรแบบนั้นมันแบบ..” ผมนึกถึงเรื่องตัวเองขึ้นมาในวินาทีนั้น “ อื้ม เหี้ยดีจริงๆ นั่นแหละ ”
“ แต่จะทำยังไงได้วะ หัวใจแม่งก็เหมือนห้องห้องหนึ่งนั่นแหละพี่เมด ก็มันไปเสือกเปิดประตูต้อนรับเค้าให้เข้าไปเอง สุดท้ายพอเค้าเข้ามาทำพัง ทำรก แล้วจะไปโทษใครได้ มันก็ต้องโทษตัวเองนั่นแหละที่ไปอนุญาตให้เค้ามา ” คนข้างกันบอกแบบนั้นก่อนจะดึงเบรกมือลงแล้วเคลื่อนรถไปข้างหน้าในตอนที่สัญญาณไฟเปลี่ยนสี
“ นั่นสินะ ” ผมเองก็คงเป็นแบบนั้นที่ดันไปเปิดประตูอนุญาตให้คนอื่นเข้ามาในห้อง มันที่ตอนนั้นทำรก ทำพังไปหมดทุกอย่าง แต่ไม่คิดจะไล่ออก เพราะคิดว่าเป็นเจ้าของห้อง แล้วทุกอย่างในวันนั้นผมก็ตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งหมด ตัดสินใจที่รักและให้อภัยด้วยตัวเอง ก็อย่างที่น้องเดย์บอก ‘ แล้วแบบนั้นจะโทษใครได้ ตัวเองก็ทำตัวเองทั้งนั้น ’
“ แล้วตอนนั้นไอ้พี่เจมันก็ด่าไอ้อัยย์ด้วยนะ มันบอกว่าจะไปเสียใจให้กับอดีตทำไมไร้สาระ มูฟออนได้แล้ว ฟังแล้วโคตรอยากจะถมน้ำลายใส่หน้า เก่งนักเรื่องชาวบ้าน ตอนนั้นตัวเองก็ใช่ว่าจะมูฟออนจากพี่ข้าวได้ที่ไหน คนมันเสียใจก็ปล่อยให้มันเสียใจไปสิวะ มันจะร้องไห้เพราะเรื่องในอดีตที่แก้ไขไม่ได้แล้วมันจะทำไม ก็ปัจจุบันมันเจ็บอะ มันก็แค่ต้องร้องไห้เปล่าวะ มึงแม่งไม่ใช่คนเสียใจก็ปากดีได้สิวะ ทำแบบนั้นสิ ทำแบบนู้นสิ มูฟออนสิ Kเถอะ ไม่ใช่เรื่องตัวเองแม่งก็พูดได้หมดแหละว่าต้องทำยังไง แล้วถามว่าคนเสียใจมันรู้มั้ยว่าต้องทำยังไง มันรู้ มันรู้หมดนั่นแหละ มันก็ทำอย่างที่มึงพูดมาว่าต้องมูฟออน แต่มันก็ไม่ได้ทำง่ายอย่างที่พูดขนาดนั้นไง ”
“ อื้ม ”
“ ไอ้อัยย์เองกว่าจะลืมได้ก็ตั้งนานนะพี่เมด แต่เห็นชัดว่าลืมจริงๆ ก็ตอนที่เข้ามหา’ลัยแล้วมันไม่ได้เจอเพื่อนตอนม.ปลายแล้วนั่นแหละ คือพอเราไม่เจอสิ่งที่ทำให้เสียใจ เหมือนห่างออกมา มันก็ลืมได้ง่ายขึ้น ” อีกคนพูดก่อนจะยักไหล่ “ น้องเดย์ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ต้องไปเร่งเร้าให้มันลืมหรอก เพราะสุดท้ายแม่งก็มีแค่เวลากับจังหวะชีวิตเท่านั้นแหละ ที่จะทำให้เรามูฟออนออกมาจากความเสียใจนั้นจริงๆ ” คนพูดถอนหายใจออกมาก่อนจะส่ายหน้าราวกับเรื่องที่เล่าเป็นเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดทุกครั้งที่พูดถึง “โชคยังดีที่พอเข้ามหา’ลัยจังหวะชีวิตมันเปลี่ยน ไม่ต้องเจอเพื่อนกลุ่มเดิม แล้วพอไม่เห็นอะไรเดิมๆ ทุกอย่างมันก็เปลี่ยน นี่ถ้ายังอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม ดูท่าว่ามันก็คงยังไม่มูฟออนหรอก เพราะยิ่งเห็นยิ่งได้รู้อะไรมากขึ้นมันก็ยิ่งเสียใจ ”
“ อื้ม ”
“ พี่เมด ทำไมเงียบไปเลยวะ ” น้องเดย์หันมามองกันตอนที่เห็นว่าผมได้แต่ตอบรับคำพูดที่อีกคนเอ่ยแบบสั้นๆ
“ ตกใจ ที่น้องเดย์มีสาระน่ะ ”
“ นี่ชมใช่มั้ย ”
“ ชมสิ ” ผมบอกแต่อีกคนก็แค่หันกลับมองตรงทางข้างหน้าแล้วขมวดคิ้วคิดอยู่แบบนั้น
“ ทำไมน้องเดย์ไม่ค่อยมั่นใจเลย ” ประโยคที่หลุดออกจากปากอีกคนชวนให้เสียงหัวเราะดังลั่นของผมเกิดขึ้นในรถคันนี้เป็นช่วงเวลาดีๆ แบบสั้นๆ ที่ทำให้บรรยากาศอึมครึมในใจของผมมันหายไปอย่างฉับพลัน
กลับมาถึงคอนโดหลังจากที่แวะกินข้าวหน้าหมูชาชูกันเสร็จเรียบร้อย ผมเดินขึ้นมาบนห้องแล้วหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงเป็นอย่างแรกในตอนที่มาถึง ผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะนอนลงบนเตียงทั้งอย่างงั้น ฝ้าเพดานขาวที่มองดูอยู่ชวนให้รู้สึกเหงายังไงบอกไม่ถูก ความเงียบที่ดูอ้างว้าง แต่ก่อนที่ผมจะคิดอะไรฟุ้งซ่านไปมากกว่านั้น มือถือที่วางอยู่ข้างตัวก็สั่นเพราะสายโทรเข้า
ครืน ครืน ครืน
“ ได้ข่าวว่าโดดงานเหรอคุณเลขา ” สาบานเลยว่านี่ไม่ใช่ประโยคที่ผมอยากฟัง แต่ถึงอย่างงั้นผมกลับยิ้มกว้างออกมาตอนที่ยินเสียงจากปลายสายนั่น หัวใจที่กำลังหดหู่มันพองโตราวกับดอกไม้นับพันในสวนที่บานขึ้นพร้อมกัน อยากจะเอื้อมมือไปกอดมันเหลือเกินแต่ก็ทำได้แค่ดึงหมอนของอีกคนที่วางไว้ข้างตัวเข้ามากอดไว้แทน “ เมด ”
“ อาฟ กูคิดถึงมึง ” มันเป็นความรู้สึกสั้นๆ ของผมในตอนนี้ที่พอจะบอกอีกคนได้ แต่ทว่าปลายสายนั้นกลับเงียบไป อาฟไม่ได้พูดอะไรต่อ และถ้าหากไม่ใช่การเข้าข้างตัวเองจนมากเกินไป ผมคิดว่าคนที่สิงคโปร์คงกำลังยิ้มกว้างอยู่
“ เมื่อเช้ามีคนปากดีบอกกูว่าแค่สองวัน มึงคุ้นๆ มั้ยว่าใคร ” แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นผมที่หลุดยิ้มออกมาบ้างกับคำพูดของอีกคน
“ ใช่กูเป็นคนพูดเหรอ แต่ถ้าใช่ไอ้เชี้ยนั่นก็คงวิ่งไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ”
“ แล้วทำไมไม่ไปทำงาน ”
“ น้องเดย์บอกมึงว่าไงละ ”
“ ยอกย้อน ” อาฟบอกกัน “ แล้วกินยารึยัง ”
“ ยังเลย ” สารภาพออกไปตามตรงก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ใจหนึ่งก็อยากจะให้อาฟเปิดวิดีโอคอลแบบเห็นหน้า แต่ความคิดนั้นเป็นอันต้องหยุดลงเพราะรู้สึกว่า ถ้าเกิดว่าผมเห็นหน้าอีกคนตอนนี้น้ำตาที่ไม่อยากจะให้ไหลออกมาอีกแล้วต้องพรั่งพรูออกมาไม่ต่างอะไรกับพายุเข้าแน่ๆ
“ ไปกิน ”
“ ขี้เกียจ ”
“ ดื้อ ” ทุกอย่างเงียบไปในตอนนั้น ผมนอนฟังเสียงลมที่ดังมาจากอีกฝั่งอาฟคงอยู่ข้างนอก ตรงที่ไหนสักที่หนึ่งของสิงคโปร์
“ แล้วตอนนี้มึงทำอะไรอยู่ ”
“ รอเวลาเข้างาน ”
“ งานวันเกิดของเพื่อนพ่อน่ะเหรอวะ ”
“ อื้ม ”
“ งั้นก็ต้องใส่สูทแล้วสิ ถ่ายมาให้กูดูด้วยนะ อยากรู้ว่าหล่อสู้กูได้เปล่า ”
“ คงเหมือนมึงเอาอาหารระดับภัตตาคารในโรงแรมหรูห้าดาวไปเปรียบเทียบกับซาลาเปาในตู้ของเซเว่นที่แม่งนึ่งแล้วนึ่งอีกนั่นแหละ ” หลุดยิ้มออกมากับคำเปรียบเทียบที่ได้ยิน ผมส่ายหน้าและอดไม่ได้เลยที่จะด่ามัน
“ มั่นหน้า เปรียบเทียบตัวเป็นร้านอาหารหรู เบ้าหน้ามึงตอนตื่นนอนกูให้มากสุดก็ได้แค่ลาบเป็ดยโสธรแหละไอ้สัด ” เสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังมาจากปลายสาย ชวนให้ผมยิ้มตามก่อนจะย้ำ “ ถ่ายรูปมาให้กูดูด้วยนะ อยากรู้ว่าใส่สูทแล้วแฟนกูจะหล่อมากเปล่า ”
“ อื้ม รู้แล้ว ”