ตอนที่ 43
น้ำตาซึมผ่านเสื้อลงมาตรงช่วงไหล่ ความเปียกที่แผ่กระจายเป็นวงนั้น มองด้วยตาอาจจะเห็นแค่วงกลมขนาดกลางนั้นอยู่แค่บนเสื้อ แต่ความจริงมันกลับขยายวงกว้างจนกัดกินใจผมไปหมด เสียงสะอึกสะอื้นยังคงไม่จางหายไป มันยังคงดังก้องอยู่ภายในรถแคบๆนี้
ครั้งล่าสุดที่เมดร้องไห้อย่างหนักขนาดนี้ เท่าที่จำได้ คือตอนที่มันบอกตัดขาดกับคนรักเก่าด้วยความกล้าหาญทั้งที่ใจยังเจ็บช้ำ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนมันจะร้องไห้หนักกว่าครั้งนั้นหลายเท่านัก
“ ขอโทษอาฟ กูขอโทษ กูจะไม่ทำอีก จะไม่ทำอีกแล้ว ขอโทษนะ ขอโทษที่ ที่ อึก ที่ทำให้มึงเสียใจขนาดนี้ ขอโทษ กูขอโทษนะ กูไม่ได้ตั้งใจ ต่อไปนี้กูจะคิดให้มากกว่านี้ จะไม่คิดอะไรเอาแต่ใจแบบนี้อีก ฮือๆ ” ประโยคที่ฟังดูวกวนและไม่ได้ศัพท์อะไรนั่นถูกพูดออกมาทั้งน้ำตาที่ไหลไม่มีหยุด
หัวใจมันว่างเปล่า ผมรู้สึกสับสน ภายในใจนี้ไม่ต่างอะไรกับกล่องสี่เหลี่ยมที่ถูกอัดแน่นไปด้วยชิ้นส่วนของความรู้สึกที่แตกต่างกัน มันเป็นทั้งคนรักที่ไม่อยากให้เสียใจ และเป็นความเสียใจที่เกิดจากคนรัก
“ ขอโทษ ” ผมเอ่ยบอกคนในอ้อมกอดออกไปอย่างงั้น อยู่ๆปากก็พูดออกไปแบบนั้นเมื่อได้นิ่งเงียบแล้วคิดถึงอะไรหลายอย่าง ราวกับเป็นจิตใจที่สั่งให้ทำไม่ใช่สมอง “ ขอโทษที่ตอนนั้นบอกว่ามึงไม่รักกู ทั้งๆที่จริงมึงก็รัก ”
แต่แค่ในความรัก ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกมากกว่าอยู่แล้ว ทุกอย่างมันเลยออกมาในรูปแบบที่กำลังเป็น
‘ ก็เสือกเลือกอยู่ในตำแหน่งนี้เองจะโทษใคร ’
ตำแหน่งที่รักมากกว่า และ ให้ไปมากกว่า สุดท้ายก็ต้องเจ็บมากกว่า นั่นคือสัจธรรม
เมดเองก็ไม่ได้ขอ ว่าอยากจะมาเป็นโลกทั้งใบของผม ไม่เคยพูด ว่าอยากจะมีความสำคัญที่สุดในชีวิต ไม่เคยแม้จะบอกว่า ต้องรักเค้ามากที่สุดและต้องให้เค้าทุกอย่างในสิ่งที่ผมมี เมดไม่เคยบอกอะไรแบบนั้น มีแค่ผมเองที่เลือกจะให้เค้าไป ให้ไปโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ร้องขออะไรทั้งนั้น ให้จนบางทีก็ลืมไปว่า ในความรัก คนที่รักมากกว่าไม่ใช่ผู้ชนะ แต่เป็นแค่คนเจ็บมากกว่า และ อ่อนไหวมากกว่า ไม่ว่าจะเจอกับปัญหาอะไร
‘ มึงไม่ผิดอะไรแล้วเมด ไม่ต้องร้องไห้ มึงขอโทษกูแล้ว ทุกอย่างมันจบแล้ว จากนี้ไปก็ไปพิสูจน์กันอีกทีในอนาคต ส่วนความเสียใจที่มันยังหลงเหลืออยู่ตอนนี้ มันเป็นความผิดของกูเองมากกว่า กูผิด ที่กูรักมึงมากเกินไป ’
กอดรัดร่างในอ้อมกอดนั่นแน่นขึ้นในตอนที่คิดถึงประโยคนี้ ก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายขอโทษ ผมไม่ได้โกรธอย่างที่ตัวเองพูด แต่ผมแค่ยังรู้สึกเจ็บ กับสิ่งที่มันเกิดขึ้น และเพราะมันยังเป็นแบบนั้น เลยทำได้แค่เงียบ ผมไม่ได้อยากยิ้ม ไม่ได้อยากจะหัวเราะ หรือแม้แต่พูดอะไร แค่อยากจะปล่อยให้เวลามันผ่านไป ผมคิดว่าอะไรมันคงดีขึ้นเอง แต่นั่น คงเป็นความอึดอัดของเมด
มันไม่แปลกอะไรหรอก เพราะทุกคนก็ย่อมต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เมื่อเราทำให้คนที่รักเสียใจ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ก็ไม่มีใครอยู่เฉยๆได้ทั้งนั้น ต่างคนก็ต่างพยายามทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม ผมเข้าใจทุกอย่างนั่นดี อยากจะลืมมันไปเหมือนกันกับความรู้สึกที่ยังคงเสียใจอยู่แบบนี้ แต่เพราะมันยังอยู่ ทำยังไงก็ไม่หายไป จนผมคิดขึ้นมาได้ว่า ‘ หรือบางทีเราควรพักก่อนสักพัก ’ เหมือนอย่างที่เมดบอกว่า ‘ ขอกลับบ้านได้มั้ย ’ กลับไปนั่งพักในที่ที่สบายใจสักหน่อย เผื่ออะไรมันจะดีขึ้น
“ อาฟ ”
“ อยากกลับบ้านจริงๆมั้ย ” ผมถามคนที่เอ่ยเรียกชื่อกัน เมดดึงตัวเองออกจากช่วงไหล่ แววตาเรียวที่เคยยิ้มกว้างให้ผมมันบวมแดงเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เอื้อมมือไปลูบหัวอีกฝ่ายนึงเบาๆ ผมไม่ได้อยากจะทำในสิ่งที่คิดหรอก ไม่อยากจะให้มันห่างตัวด้วยซ้ำ ผมกลัวเมดคิดมากเมื่อต้องอยู่คนเดียว แต่ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วมันแย่ งั้นจะดีกว่ามั้ยถ้าต่างคนต่างคนลองกลับไปอยู่กับตัวเองสักชั่วโมงสองชั่วโมงหรือมากกว่านั้น
บางทีชิ้นส่วนที่มันไม่ลงล็อกตอนนี้ เมื่อนั่งพักให้ความคิดมันตกตะกอน ทั้งผมทั้งเมดอาจจะกลับมาต่อกันติดได้เหมือนเดิม เพราะเราก็ไม่ได้ปล่อยมือ แค่คลายความแรงของการดึงเชือกที่เรากำลังจับอยู่คนละฝั่งนั่นลง เพื่อให้เราได้นั่งคิดอะไรบ้าง
“ หมายความว่ายังไง ” เมดถามเสียงสั่น แววตาของมันวูบไหวไปกับความรู้สึกที่เดาทางคนอย่างผมไม่ออก “ ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกกันใช่มั้ย ”
“ ใจเย็นก่อน ” ผมบอกมันก่อนจะจ้องลงไปในแววตานั้น “ มึงบอกอยากจะกลับบ้านไม่ใช่เหรอ ถ้ามันดีกว่าการอยู่กับกู งั้นก็กลับ กูจะพามึงไปส่งเอง ”
ในรถนั้นเงียบไป เป็นหลากหลายความรู้สึกของเราที่เกิดขึ้นภายในนาทีสั้นๆนั้น ผมเองก็ไม่อยากจะให้มันรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ ไม่อยากจะให้มันเครียด ร้องไห้ หรือฝืนทนอึดอัดอยู่กับผม คนที่ยังไม่อยากจะพูดอะไรทั้งนั้นในตอนนี้ มันมีแต่จะยิ่งทำให้ทุกอย่างของเราแย่ลงเรื่อยๆ
เรื่องบางเรื่องควรยอมรับว่าคือปัญหา ดีกว่าดึงดันจะไปต่อด้วยความรู้สึกดื้อดึงไม่ยอมรับ ทั้งๆที่ยังไร้ทางออก
“ มึงว่ามันดีมั้ย ” ผมเอ่ยถาม เพราะอยากให้มันรู้สึกว่านี่คือเรื่องของเรา ที่ต้องตัดสินใจด้วยกันไม่ใช่ความคิดของใครคนใดคนนึง
“ กูไม่รู้ ” เมดส่ายหน้าไปมา “ กูแค่อยากจะให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม ทั้งๆที่กูเองก็รู้ว่ามันยากที่จะทำให้เราเป็นแบบนั้นภายในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง กูมันคนเห็นแก่ตัวกูรู้ กูเอาแต่ใจกูก็รู้ แต่ว่าอาฟ มึงจะหายไปนานมั้ยวะ แล้วจะกลับมาใช่มั้ย ”
“ กูไม่เคยหายไปไหน ” ถอนหายใจออกมาตอนที่มองสบกับแววตานั้น
ตั้งแต่ที่เราเจอกันจนถึงตอนนี้ ผมไม่เคยหายไปไหนไกลจากเมด เหมือนอย่างที่เมด ก็ไม่เคยหายไปไหนไกลจากใจของผม ทั้งๆที่เคยคิดว่าลืมไปแล้ว แต่พอมาเจอกัน ผมถึงรู้ว่าภายในใจ เมดก็ยังอยู่ตรงนั้น ตรงที่หลังโรงเรียน เหมือนในวันที่เราเจอกันครั้งแรก ไม่เคยหายไปไหน
“ แต่กูไม่อยากจะให้มึงรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้อีก ขอโทษที่บอกว่ามึงเป็นเด็กที่เอาแต่หนีปัญหา แต่กูมานั่งคิดว่าถ้าเราดึงดันที่จะอยู่ด้วยกัน แต่กูก็ไม่มีอารมณ์จะพูดคุยเล่นๆกับมึงเหมือนเดิม ไม่มีอารมณ์จะยิ้มกับมึง หรือคุยกับมึง กูว่าเราควรห่างกันสักพักก่อนอย่างที่มึงบอกก็น่าจะดีกว่า เผื่อจะคิดอะไรได้มากขึ้น ”
“ ไม่เลิกกันนะ ” มันถามย้ำด้วยความกลัวที่อยู่ในใจ เมดเอื้อมมือมาจับมือของผม มันบีบแน่นเท่ากับความรู้สึกที่ตัวเองกำลังรู้สึกก่อนจะก้มหน้าลง “ ตอนแรกกูคิดว่ามันอึดอัด เลยอยากจะห่างกันสักพัก กูคิดว่าตัวเองอยากจะไปนั่งพักสักสองสามชั่วโมงแล้วค่อยกลับมาสู้ใหม่ แต่พอมึงบอกจะห่างจริงๆ กูกลับรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูกเลยวะ ”
“ เมด ”
“ ก็ตั้งแต่ที่เราคบกันมา ไม่ว่าเราจะมีปัญหาอะไรกัน มึงไม่เคยปล่อยกูให้ห่างจากมึงไปไหนเลยสักครั้ง แต่พอตอนนี้กูมานั่งฟังมึงบอก ว่างั้นก็ลองถอยไปพักดู กูรู้นะว่ามันคือทางที่ดีที่สุด เราตอนนี้คือต้องถอยออกมาก่อนเพื่อให้ทั้งมึงแล้วก็กูได้คิดอะไรเงียบๆ แต่มันก็อดกลัวไม่ได้เลย ไม่รู้ทำไม คงเพราะกูผิดด้วยมั้ง ก็กูทำผิดกับมึง กูเลยกลัวว่ามึงจะไม่กลับมาอีก ”
ดึงมือที่ถูกกุมนั้นออก ผมเอื้อมไปประคองใบหน้าที่ก้มอยู่นั้นให้เงยขึ้นมา แววตาที่แดงก่ำ หน้าตาของอีกคนมีแต่คราบน้ำตาที่ดูแทบไม่ได้ ผมเผลอยกยิ้มเล็กๆกับตัวเองเพราะคิดอยากจะพูดออกไปว่า ‘ ถ้ามึงรู้ว่ากูรักมึงมากขนาดไหน มึงจะไม่กลัวอะไรแบบนี้เลย ’ แต่เพราะมีหลายอย่างที่มึงยังไม่รู้ เลยทำให้มึงกลัวแบบนี้
จูบลงไปที่แก้มข้างนึง ก่อนจะย้ายไปจูบที่อีกข้าง ผมไล่ลงต่ำมาจูบที่ริมฝีปากโดยไม่พูดอะไรสักคำ อ้อมแขนนั้นกอดเมดไว้แน่น แน่นจนรู้สึกว่าอีกคนคงจะอึดอัด แต่ผมแค่อยากจะบอกมันด้วยจากทั้งการกระทำและคำพูดเพื่อให้อีกคนมั่นใจ
“ จำไว้ว่าสิ่งที่มึงคิด มันจะไม่มีทางที่จะเกิดขึ้น ”
เพราะกูมั่นใจในตัวเองมาก ไม่ว่าจะเจ็บแค่ไหน สุดท้ายกูก็ยังรักแค่มึง
ผละออกจากอีกคนหลังจากที่พูดจบ เมดถอนหายใจออกมาในตอนนั้นมันจ้องมองผมอยู่นานก่อนจะดึงตัวเองเข้ามากอดอีกครั้ง จูบลงที่ริมฝีปากของผมก่อนจะดึงตัวเองไปนั่งนิ่งที่เบาะรถเหมือนเดิม ราวกับจะบอกกันว่ามันพร้อมแล้วสำหรับการตัดสินใจที่ต่างฝ่ายจะไปห่างกันไปพักก่อนของเรา แต่ถึงอย่างงั้นสองมือขาวก็ยังกำเข้าหากันไว้แน่น
เมดไม่ใช่คนเข้มแข็งอะไรผมรู้ดี แม้ในตอนนี้มันก็ยังกลัวในสิ่งที่คิดและบอกกันเมื่อครู่ แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ไม่ได้อ่อนแอ ถึงขนาดไม่ฟังเหตุผล เมดรู้ดีว่าตอนนี้ระหว่างเราควรทำอะไรสักอย่าง แล้วในตอนนั้นผมก็เอื้อมมือไปจับมือขาวนั่นไว้ บีบมันแน่นอยู่สักพักก่อนจะปล่อยออก แล้วเปลี่ยนมาจับเกียร์ ขยับมันเพื่อให้รถออกตัวเคลื่อนไปข้างหน้า
ในระยะทางไกลที่ไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุยหรือเสียงหัวเราะเหมือนอย่างเคย เราไม่แม้จะเปิดเพลง แต่กลับปล่อยให้ความเงียบดึงเราให้จมลงไปกับความคิดที่ไม่มีเสียงใด ผมจอดลงที่หน้าคอนโดของเมด เกียร์ถูกขยับเปลี่ยนเป็นจอดนิ่ง เบรคมือที่ดึงขึ้นส่งสัญญาณบอกกับคนข้างตัวผมว่า ‘ ได้เวลาลงไปแล้ว ’ แต่ถึงอย่างงั้นเราก็ยังเงียบให้กัน แล้วก็นั่งนิ่งอยู่แบบนั้นไม่ไปไหน
บางทีความเงียบคงเป็นสิ่งดีที่สุดแล้วในตอนนี้ ไม่ต้องมีคำพูดอะไร เพราะไม่ว่าจะประโยคไหนก็ไม่สามารถบรรยายความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจนี้ เพราะเราต่างก็รู้ดีว่าไม่มีใครที่ไม่เสียใจ
ผมเอื้อมมือไปจับมือของเมดที่วางนิ่งไว้บนตักนั้น เมดเองที่ก็เอื้อมมือมาจับมือของผม เราออกแรงบีบมือของกันและกันส่งผ่านกันเป็นคำพูดที่อยากเอื้อนเอ่ยทั้งหมด มันเป็นทั้งความรู้สึกรัก ความรู้สึกกลัว และความรู้สึกที่ไม่อยากจะให้ไปไหน เป็นความเสียใจที่รู้ว่าเพราะมันไม่มีทางเลี่ยงแล้ว และนี้คือทางที่ดีที่สุด
เรานิ่งเงียบอยู่นาน นานจนต่างฝ่ายต่างค่อยๆคลายมือที่บีบกันนั่นลง เมดปล่อยมือข้างนึงจากมือของผม มันเอื้อมไปเปิดประตู ก่อนจะลุกเดินออกไปจากรถโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เสียงประตูที่ปิดลง คือเสียงที่ดังที่สุดในตอนนั้น ผมไม่แม้จะหันไปมองข้างตัว ไม่แม้จะดึงมือตัวเองที่วางอยู่บนเบาะออกจากที่ที่อีกคนเคยกุมมันไว้ ความรู้สึกทรมานของการไม่มีกัน พุ่งเข้าชนรวดเร็วเพียงแค่วินาทีถัดมาหลังจากได้ยินเสียงนั้น
น่าแปลก ที่น้ำตาของผมไหลออกมาช้าๆ อย่างไม่รู้ตัว เผลอหันไปมองข้างตัวนั้นที่มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีเมดอีกแล้ว เค้าเดินออกไปแล้ว แต่ทุกอย่างยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ
ภาพที่อีกคนนั่งมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ส่งยิ้มให้กับสรรพสิ่งรอบตัว แล้วก็หันมายิ้มให้ผมพลางชี้ชวนดูบางสิ่งที่สนใจ ทุกอย่างราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ทั้งๆที่ตลอดทั้งวันนี้ไม่ได้มีอะไรแบบนั้น แต่มือที่เราเอื้อมจับกันนั้นยังคงรู้สึกอุ่นอยู่ ผมกำมือข้างนั้นของตัวเองเบาๆ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมา หน้าจอที่ปลดล็อกฉายภาพคนที่นั่งข้างกันแล้วเอียงยิ้มมาให้ ตรงหน้าจอเมนูที่แอบตั้งเอาไว้
ผมเผลอยิ้มให้ภาพนั้น ก็จริงอย่างที่ใครบางคนบอก สำหรับคนบางคน จากเราไปได้แค่ตัว เพราะเค้ายังคงอยู่เสมอในความทรงจำ เหมือนภาพถ่ายของเราในวันเก่า ที่ความรู้สึกในรูปนั้นมันจะยังคงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงไป
และนี่ คือ การไม่มีกันและกัน
เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึก ว่ามันเศร้าขนาดนี้
หย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาภายในห้องที่มืดมิด ไม่รู้ว่าระยะทางจากคอนโดเมดกลับมาที่คอนโดของผมคันเร่งที่เหยียบนั้นมันมีอัตราเร่งเท่าไหร่ ผมไม่ได้มองเข็มที่เหวี่ยงไปมาอยู่บนหน้าจอนั่น รู้แค่ว่าไม่มีไฟแดงแยกไหนที่หยุดผมไว้ได้สักแยก ผมนั่งนิ่งอยู่นาน นานจนแสงแดดจากภายนอกสอดผ่านม่านเข้ามาจนทำให้ทั้งห้องสว่างขึ้นทันตา
ในสมองของผมว่างเปล่า มันไม่มีอะไรทั้งนั้นที่ควรคิด เพราะสิ่งเดียวที่มีคือหน้าของคนที่คอยอยู่ข้างกันมาตลอด ผมเผลอมองไปที่ครัว ปกติในช่วงเช้าที่มีเรียนอีกคนจะยืนชงกาแฟอยู่ตรงนั้น ใบหน้ายิ้มแย้มที่บทจะกวนตีนก็ต้องเอ่ยบอกว่า ‘ รำคาญ ’กันเป็นประจำ ทั้งๆที่ตอนนั้นผมเองก็ใจเต้นแรง
ครืน ครืน ครืน
สายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาปลุกให้ผมที่กำลังดำดิ่งลงสู่ความเศร้านั้นหันไปสนใจ หน้าจอฉายแสงสว่างของชื่อเพื่อนสนิท เจ เป็นคนโทรเข้ามา ผมเผลอถอนหายใจออกมา ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นเด็กวิวที่โทรไปหามัน แล้วบอกเล่าเรื่องของผมกับเมดให้ฟัง มันเลยโทรมาหาผม
“ ว่าไง ” ตอบปลายสายหลังจากที่กดรับ อีกฝั่งก็หัวเราะออกมา “ ถ้ามึงจะโทรมาเพื่อหัวเราะก็วางไป ”
“ อยากกินชีวาสรีกัลขวด 25 ปีในห้องมึงมีมั้ย ” ถอนหายใจออกมาก่อนจะมองไปที่เคาน์เตอร์ครัวแล้วเห็นว่ามันวางอยู่ขวดนึง
“ มี ”
“ อีกยี่สิบนาทีถึง ”
“ ใครอนุญาตให้มึงมา ”
“ เมด ” คำตอบสั้นๆนั้นชวนให้ผมขมวดคิ้ว “ เมื่อกี้เมดโทรมาหากู บอกให้ช่วยไปดูมึงหน่อย มันไม่อยากให้มึงอยู่คนเดียว เชี่ยเดย์มันก็ไม่อยู่ห้อง ”
“ คนอย่างมึงน่าจะปล่อยให้กูตายไป ”
“ ตอนแรกกูก็คิดอย่างงั้น เพราะถ้ามึงตายไอ้เมดมันก็โสดอีกครั้ง กูก็จะได้จีบต่อ แต่พอมาคิดว่า ยังไงกูก็มีเด็กวิวอยู่แล้ว พี่น้องจะขัดใจกันคงไม่ได้ คนดีอย่างกูเลยไปหามึงดีกว่า ปล่อยให้มึงตายได้ไง ใครจะจ่ายเงินเดือนกูจริงมั้ย ”
“ พูดมาก จะมาก็รีบมา ” ผมกดวางสายก่อนจะโยนมือถือลงที่โซฟาข้างตัว
นั่งอยู่แบบนั้นไม่นานประตูหน้าห้องก็เปิดออก ถือว่าโชคดีที่ผมเคยให้กุญแจห้องกับคีย์การ์ดของคอนโดนี้ไว้กับเจเผื่อเวลาฉุกเฉิน รอยยิ้มของเพื่อนสนิทยกยิ้มราวกับจะสมน้ำหน้า เจไม่ได้ทักผม มันเดินตรงไปที่ในครัว หยิบแก้วเหล้ามาสองใบพร้อมกับเหล้าที่อยู่บนตู้ มันทำเหมือนที่นี่คือบ้านตัวเอง
“ กินเป็นเพื่อนกูหน่อย กินคนเดียวเหงา ”
“ มึงไม่หลับไม่นอนหรือไง ” เจวางแก้วลงบนโต๊ะมันรินเหล้าให้ผมในตอนที่เอ่ยถาม
“ ถามตัวเองก่อนมั้ยว่าทำไมไม่หลับไม่นอน ” ยักคิ้วให้กันก่อนจะยื่นเหล้าให้ผมที่ก็รับมา เจดึงแก้วเหล้าขึ้นมาชนแก้วผมจนเกิดเสียง มันชูขึ้นก่อนจะกิน “ กูแค่นอนไม่หลับเลยอยากแดกเหล้าให้หลับสักหน่อย ”
“ เมดมันเป็นไง ” ผมหลุดถามในสิ่งที่อยากรู้ออกไป คนตรงหน้าก็เหลือบมองกัน “ กูหมายถึงน้ำเสียง ”
“ เหมือนไม่สบาย เสียงก็อู้อี้ตามประสาคนร้องไห้ ”
“ อื้ม ” รอบตัวเราเงียบลงอีกครั้ง ผมยกเหล้าในมือขึ้นมากินก่อนจะเปิดฝาขวดแล้วรินมันใส่แก้วอีกครั้ง ตอนนั้นเจที่มองผมอยู่นานก็เอ่ยถาม
“ ถามจริง ตอนนี้อาการเป็นไงบ้าง ” เหลือบมองคนถามอีกคนก็ขยายความ “ ทั้งมึงทั้งไอ้เมด ”
“ มึงเสือกอะไรวะ ” ผมบอกมัน “ ก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติม เหมือนที่เล่าไปวันนี้ทั้งหมด ทุกอย่างมันก็มีแค่นั้น ”
“ เหรอวะ ” เจตอบรับแค่นั้นก่อนที่มันยกเหล้าขึ้นดื่ม “ แล้วทำไมมึงยังเป็นแบบนี้วะ เมดมันก็ขอโทษมึงแล้วไม่ใช่เหรอไง “
“ อื้ม ขอโทษแล้ว ”
“ แล้วทำไมมึงยังอยู่ในสภาพแบบนี้วะ มึงกับไอ้เมดนี่ยังไง ”
“ แล้วไอ้เมดมันบอกมึงว่าไง ” หันไปมองอีกคนที่ก็ถอนหายใจออกมา ผมเชื่อว่ามันต้องถามอีกฝ่ายมาแล้ว ไม่งั้นไอ้เจคงไม่มาที่นี่ แค่คำสั่งของไอ้เมด ไม่ได้ทำให้อีกคนแสดงความเป็นคนดีขนาดนี้ แต่เจต้องคิดแล้วว่าอาการผมคงหนัก มันเลยมา
“ บอกว่าห่างกันสักพัก ”
“ ก็ตามนั้น ”
“ กูพามันไปส่งที่คอนโด กูว่าห่างกันสักพักไปนั่งคิดอะไรเงียบๆน่าจะดี ” บอกแบบนั้นอีกคนก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับเสียงเกาหัวที่ก็คงหาความเข้าใจอะไรไม่ได้ในสิ่งที่เราสองคนกำลังเป็นอยู่ตอนนี้
“ จะห่างกันทำเหี้ยอะไรวะ ยิ่งห่างมันยิ่งดีเหรอวะ ไม่ใช่ยิ่งคิดมากเหรอสัดกูถามหน่อย ที่ไอ้เมดมันยังร้องไห้ก็เพราะห่างกัน แล้วมึงอยู่ในสภาพเหี้ยแบบนี้ก็เพราะห่างกันไม่ใช่เหรอวะ ”
“ ถ้าอยู่ใกล้ๆแล้วมันเหี้ย มึงจะให้มันอยู่กับกูทำไม ” ผมหันไปถามเพื่อน “ อยู่ใกล้กัน แสดงออกว่าเข้าใจกันทั้งๆที่ไม่ได้เข้าใจจริงๆ สุดท้ายทุกอย่างมันก็ยังเหมือนเดิม เลิกทะเลาะกันตอนนี้ ไม่พ้นสามเดือนก็คงทะเลาะกันเรื่องนี้อีก มันก็วนอยู่เหมือนเดิมซ้ำๆ แล้วเมื่อไหร่เรื่องนี้มันจะจบ ”
“ มึงก็เลยห่างกันเพื่อมานั่งทำความเข้าใจ งั้นกูขอถาม มึงเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างมั้ย ” ผมเงียบไม่ได้ตอบอะไรเพื่อนสนิท ในตอนนั้นอีกคนก็แค่พูดขึ้น “ ให้อภัยเมดมันได้แล้วสัดอาฟ ”
“ ให้อภัยทำไม กูไม่ได้โกรธเมด ที่กูห่างกับมันตอนนี้ กูไมได้โกรธมัน ” ผมบอก อีกคนก็ชะงักเหล้าที่กินก่อนจะยกยิ้มแล้วหันมามองกัน เจคงคิดว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่ผมพูด ผมที่กำลังหน้านิ่งอยู่ตอนนี้ มือที่กำลังจับแก้วเหล้าแต่ไม่ได้ยกมันขึ้นมาดื่มแต่อย่างใด ผมที่กำลังคิดว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไร “ กูไม่ได้โกรธเมด ” ย้ำบอกมันแบบนั้น “ กูเข้าใจทุกอย่างในสิ่งที่มันทำ ในสิ่งที่มันคิด กูรู้ว่ามันรักกูจริงๆถึงแม้มันจะตั้งใจถ่ายภาพพวกนั้นเพื่อจะอัพให้เพื่อนมันดู กูเข้าใจว่ามันเจ็บปวดในสิ่งที่เพื่อนมันเยาะเย้ยมัน กูเข้าใจทุกอย่าง กูไม่ได้โกรธ กูรู้ว่ามันขอโทษกูแล้ว ทุกอย่างไปดูกันในอนาคตว่ามันจะปรับตัวมั้ย แต่ถึงอย่างงั้นกูก็เจ็บ มึงเข้าใจมั้ยว่ากูกำลังเจ็บ แต่มันเพราะอะไรวะ มันเพราะอะไรกัน ทำไมกูยังเจ็บอยู่แบบนี้ เพราะกูรักมากเลยเหรอวะ หรือเพราะกูคาดหวังอะไรจากมันวะ กูถึงยังเจ็บแบบนี้ กูคาดหวังว่าจะเห็นภาพของเรา คาดหวังว่าคำพูดนั้นจะหมายถึงกู แต่สุดท้าย ทุกอย่างมันไม่ใช่ เมดบอกรักกูเพื่อคนอื่น ” ผมหยุดหัวเราะก่อนจะก้มหน้าลง “ แม่งเหี้ยดี เหี้ยตรงที่ว่า กูตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้าวันนั้นเพื่อนมันไม่เยาะเย้ย เมดจะอัพภาพคู่ของเรารึเปล่า แล้วคำตอบที่กูรู้สึก นั่นก็คือ ไม่ ”
“ สัดอาฟ ” เจนิ่งไปตอนที่พูดออกมาราวกับคำสบถในตอนที่ผมพูดจบ มันรินเหล้าให้ผม เป็นคำปลอบโยนที่ไม่ต้องพูดอะไรให้ยืดยาวกว่านั้น
“ กูไม่ได้โกรธมัน ทุกอย่างผ่านไปแล้ว แก้ไขเหี้ยอะไรไม่ได้ แต่กูก็ยังมีสิทธิ์เจ็บไม่ใช่เหรอวะ กูมีสิทธิ์เจ็บในสิ่งที่มันทำกับกู กูมีสิทธิ์ที่กูจะยังไม่ลืม ทั้งๆที่กูก็รู้ว่าการที่กูเป็นแบบนี้มันยิ่งแย่ลง กูเองก็พยายามหาทางอยู่เหมือนกันว่าต้องทำยังไง แต่เพราะกูไม่รู้ไงมึง กูเลยได้แต่เงียบให้มัน ไม่อยากจะพูดอะไรกับมัน กูกลัวว่าถ้ากูพูดออกไป กูจะพูดอะไรแบบนี้ พูดว่ากูเจ็บ เจ็บที่มันทำกับกู แล้วผลจากการที่กูพูดคืออะไร เมดก็ร้องไห้ แล้วก็บอกอีก ว่า ขอโทษ ” ผมหยุดยิ้มออกมาก่อนจะหัวเราะ “ ถ้าคำขอโทษมันทำให้กูหายเจ็บได้มึงพูดเถอะ กูก็อยากฟัง แต่ช่วยอะไรไม่ได้เลย กูยังเจ็บอยู่ ต่อให้แม่งขอโทษกูอีกสิบล้านครั้ง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้ว และที่เหี้ยกว่านั้นคืออะไรรู้มั้ย ” ผมมองหน้าเจที่มันเองก็มองหน้าผม “ ที่มันเหี้ยกว่านั้นคือ กูแม่งไม่อยากทำให้เมดร้องไห้อีกแล้ว กูเลยพยายามจะนิ่งไว้ ทั้งๆที่ตอนนั้น กูแม่งจะขาดใจอยู่แล้ว ”
ความรักมันก็เหี้ยแบบนี้ ผมกัดฟันตัวเองแน่นตอนที่มองไปออกไปทางอื่น คนที่รักมากมันก็เหี้ยแบบนี้ เรามองข้ามความเจ็บปวดของตัวเองไปหมด แล้วมองแค่ความเจ็บปวดของคนที่เรารัก
ในตอนนี้มันไม่ต่างอะไรกับดอกธนูดอกเดียวที่ปักอยู่บนตัวเมด แต่สำหรับผมมันมีดอกธนูเป็นร้อยดอกปักอยู่ แต่ถึงอย่างงั้น ผมกลับรู้สึกเจ็บปวดกับความเจ็บปวดของมัน แม้มันจะไม่ได้ครึ่งนึงของผมเลย หนำซ้ำผมยังคงปกป้องมันไว้ เพื่อไม่ให้มันเจ็บปวดอีก
“ กูรักมันมากขนาดนี้ได้ยังไงกัน มันกลายเป็นว่า เพราะกูรักมันมาก กูเลยทุ่มเทให้มันมากไป กูเลยยังเสียใจแบบนี้ แล้วกูผิดเหรอวะ ที่กูรักมันมาก กูผิดเหรอวะ ที่กูทุ่มเท ก็กูรักของกู ” ผมถอนหายใจออกมาตอนที่หลับตาแล้วก็นิ่งคิด “ กูจะทำให้ทุกอย่างมันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ยังไงวะ กูถามตัวเอง แต่กูไม่ได้คำตอบเลย กูหันมองมันตอนที่กูไปส่งมัน กูไม่อยากให้มันลงไปจนกูถามตัวเองว่า หรือกูควรทนเจ็บ ทนๆไปเดี๋ยวมันก็ลืมแล้วก็หาย แต่ถ้าเมดอัพภาพกูกับมัน วันนั้นกูจะเข้าไปดูไอจีไอ้ยีนส์รึเปล่า ดูว่ามันอัพภาพของมันกับผัวมั้ย เมดอัพภาพกูกับมันเพื่ออะไร บอกรักจริงๆ หรือเยาะเย้ยใครอีก กูที่ต้องอยู่กับความรู้สึกแบบนั้น แล้วถ้ากูไม่อยากเป็นกูต้องทำไง กูต้องรักมันให้น้อยลงเหรอวะ กูควรคาดหวังกับมันให้น้อยลง หรือว่ายังไง กูทำอะไรได้บ้างในตอนนี้ กูเลือกทางไหนได้บ้าง ”
“ กูเข้าใจที่มึงรู้สึกนะสัดอาฟ ” เจพูดก่อนจะถอนหายใจแล้ววางแก้วเหล้าลงบนโต๊ะ “ มึงไม่เคยจริงจังกับใคร แล้วพอมึงมาจริงจังกับเมด มึงก็ทุ่มให้เค้าแบบไม่คิด มึงไม่รู้ว่าสิ่งที่มึงให้มันไป มันเยอะมากไปหรือน้อยไป มึงไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น กูรู้ มึงคิดแค่ว่า มึงอยากให้มันไป ให้ไปทั้งหมดในสิ่งที่มึงมี แต่การที่มันเกิดปัญหาขึ้น มึงจะมาบอกว่า พอแล้ว ให้ความรักน้อยลงดีกว่า มันใช่เหรอวะ กูว่ามันไม่ใช่เลย ทางที่ดีมึงนั่งคิดดีกว่าว่าอะไรคือ ต้นเหตุของปัญหา อย่าแก้ที่ปลายเหตุสิวะ การที่มึงรักมันมาก ไม่ใช่เรื่องที่ผิดนะสัด ”
“ เหรอวะ ”
“ มึงลองคิดดูให้ดีก่อนมันเริ่มต้นจากอะไร ก่อนที่มึงกับเมดจะมามีปัญหากันแบบนี้ มันเริ่มจากไอ้ยีนส์ใช่มั้ย ไอ้ยีนส์มันทำไอ้เมดก่อน ไอ้เมดก็เลยตอบโต้กลับ โอเค มันผิดที่ลงภาพคู่มึง แต่ทำเพื่อเยาะเย้ยคนอื่น กูว่าอันนั้นมันก็น่าตี แต่การที่มึงเสียใจอยู่ตอนนี้ มันเป็นเพราะเมดอัพภาพแรกของมึงกับมันเพื่อเยาะเย้ยคนอื่น หรือเพราะมึงคิดว่าเมดยังรักไอ้บินอยู่กันแน่วะ ”
แก้วเหล้าที่กำลังจะถูกยกขึ้นมาถูกวางนิ่งลงบนโต๊ะตอนที่เจเอ่ยถามผม “ ลองคิดให้ดีก่อนว่าตอนนี้ ที่มึงกำลังเสียใจอยู่ มึงเสียใจเพราะอะไรกันแน่ เมดทำมันผิดจริง แต่มันแค่เยาะเย้ยเพื่อนมัน ว่ามันก็มีแฟนที่ดีอย่างมึงอยู่ข้างๆ ไม่ใช่เหรอ แต่มึงละ มึงคิดอะไร มึงคิดว่า เมดอัพภาพมึงเพราะไม่ได้รักมึงจริงๆ มึงคิดว่าเค้าอัพเพราะแค่เยาะเย้ยกันเท่านั้น ไม่ได้คิดจะถ่ายรูปมึงจริงๆ มึงเลยเศร้า เสียใจ มึงคิดอะไรแบบนั้นมั้ย ถ้าใช่ กูว่าไม่ใช่เมดคนเดียวหรอกที่ควรเริ่มต้นใหม่ มึงเองก็ด้วยอาฟ มึงเองก็ควรเริ่มต้นใหม่ได้แล้ว เมดเป็นแฟนมึงนะ ตอนนี้มันเป็นแฟนมึง แล้วมึงจะยังคิดอยู่ทำไม ว่าเค้ายังรัก ยังแคร์คนเก่าอยู่ เลิกคิดได้แล้วสัด คิดว่าเมดรักมึงได้แล้ว อย่าคิดเข้าข้างตัวเองว่ามึงรักเค้ามากสิ คิดด้วย ว่าเค้าเองก็รักมึง มันไม่รักมึง มันไม่อยู่กับคนอย่างมึงหรอก ” คนที่พูดเตือนสติถอนหายใจออกมา มันยกเหล้าขึ้นดื่มก่อนจะรินใหม่แล้วกินเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
ทุกอย่างในตอนนั้นมันเงียบ ผมเองก็ได้แต่จมอยู่กับความคิดของตัวเองในคำพูดที่ถูกถามไถ่ ‘ มันก็มีส่วนจริงอย่างงั้น ’ เพราะยังคิดก็เลยยังอ่อนไหว ไม่ใช่เพราะเมดไม่ชัดเจนหรอก
ตลอดเวลามันก็ชัดเจนมาตลอดสำหรับความรู้สึกที่ให้กัน มันมีเหตุผล รับฟังกันทุกอย่าง ในบางครั้งผมยังรู้สึกเลยว่า เราไม่ได้เหมือนแฟนเท่าไหร่ แต่มันเหมือนคนรัก ที่กำลังอยู่ด้วยกันในฐานะคู่ชีวิตที่จริงจัง แต่ทว่าทุกครั้งที่ทะเลาะกัน ไม่ว่าจะหนักเบาแค่ไหน ชื่อของคนคนนั้นก็ผุดขึ้นมาเป็นบุคคลที่สามระหว่างเราเสมอ โดยตัวผมเองที่เริ่มคิด ว่าอีกฝ่ายคงยังรัก ผมยังติดอยู่ในอดีตที่เจ็บปวดเหล่านั้น ทั้งที่ปากก็บอกให้เมดเริ่มต้นใหม่ แต่เหมือนผมเองจะยังไม่ได้เริ่มต้นเลย ผมยังคงติดอยู่กับวันเก่าที่เห็นเมดกับใครคนนั้นรักกัน ทั้งๆที่วันนี้ คนที่ยืนข้างเมดคือผม ไม่ใช่มัน