ตอนที่ 40
ผมรู้สึกร้อน เหงื่อเม็ดเล็กถูกขับออกมาเพื่อบรรเทาความรู้สึกที่ร่างกายในตอนนี้กำลังเผชิญ มันเป็นทั้งความสุข ความทรมาน ผสมปนเปไปกับความต้องการจนแยกไม่ออก จูบที่ลึกซึ้งและดูดดื่ม ผมห่อไหล่ของตัวเองสลับผลัดเปลี่ยนไปกับการผ่อนมันลงเป็นจังหวะราวกับกำลังอยู่ในเกมส์ต่อสู้ที่กำลังผลักรุกผลัดรับอย่างดุเดือด และถึงจะไม่เชี่ยวชาญเท่ากับผู้ร่วมเล่น แต่ถึงอย่างงั้น ผมก็จะไม่ขอยอมแพ้ในเกมส์นี้เด็ดขาด
กิจกรรมบนเตียงยังคงดำเนินไป ร่างกายเปลือยเปล่าเองก็เช่นกัน มันยังคังเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกต้องการ บนเตียงขนาดใหญ่ในห้องของเรา แอร์เปิดในอนุหภูมิปกติเหมือนทุกวันแต่ตอนนี้มันกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกเย็นสบายแต่อย่างใด ร่างของผมนั่งทับอยู่บนร่างโปร่งของอาฟที่ตอนนี้เริ่มกระชับมือที่จับอยู่ตรงเอวของผมให้แน่นขึ้นเพื่อช่วยควบคุมจังหวะให้ผม ที่เหมือนกำลังถูกสั่งทำโทษให้ต้องดึงตัวเองขึ้นลงอยู่แบบนั้นโดยมีแค่ส่วนเชื่อมต่อของความต้องการสอดเกี่ยวกันไว้
ความเจ็บปวดจากแรงเสียดสีของส่วนกลางที่สอดเข้าออกมาในร่าง ราวกับการยัดนิ้วลงไปในปากขวดแก้วที่คับแน่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันมีความคิดส่วนนึงของสมองสั่งการว่าให้ ‘ หยุด ’ ในตอนที่กำลังดึงตัวเองขึ้นลงท่ามกลางความร้อนรุ่มนี้ แต่ทว่าความต้องการของจิตใจก็ไม่สามารถสั่งการให้หยุดมันได้ จะมีก็แต่การเรียกร้องอย่างเอาแต่ใจแบบไม่สิ้นสุดว่า ‘ มากกว่านี้ เร็วกว่า และ ลึกกว่านี้อีก ’
“ อาฟ..” เสียงของผมเบาราวกับจะมีแต่ลมออกมาตอนที่เอ่ยชื่อเรียกอีกคน ยามที่แผ่นหลังถูกดึงให้นอนราบ หัวเข่าก็ถูกดันออกให้ได้องศา จังหวะร้อนแรงอย่างใจต้องการเร่งตัวสอดเข้าออกเพิ่มมากขึ้นจนผมได้แต่กัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่นเพื่อระบายความรู้สึกที่แทบจะระเบิดออก
แรงสอดใส่ทำให้สองมือของผมโอบกอดรอบคอของอีกฝ่ายเอาไว้ เผยกดจิกเล็บสั้นกุดของตัวเองลงบนลาดไหล่นั้นอย่างไร้ความปราณีใดเมื่อแรงสอดนั่นเพิ่มมากขึ้นอีกระดับ รอยข่วนแดงมากมายคงตีตราจองร่างของชายที่อยู่เหนือตัวผม และเช่นกันรอยจูบสีกุหลาบมากมายก็คงตีตราอยู่บนตัวผมไม่ต่างกัน
ร่องรอยที่ตอกย้ำว่าทั้งจิตใจและร่างกายนี้ มีคนตรงหน้าของกันและกันเป็นเจ้าของ แต่เพียงผู้เดียว
ลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากที่พยายามหลับไปสักพัก แต่เพราะความเหนียวตัวจากเหงื่อที่ยังไม่ทันแห้ง แม้หัวใจที่เคยเต้นแรงหลังปลอดปล่อยจะค่อยๆลดอัตราเร็วลงแล้ว แต่ความเหนื่อยอ่อนพวกนั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมหลับแต่อย่างใด ผ่อนลมหายใจออกมาตอนที่กระชับรอบเอวของอีกฝ่ายไว้ ' ไม่อยากจะลุกเลยไอ้สัด '
“ จะไปไหน ” เสียงทุ้มของคนที่ผมคิดว่าหลับเอ่ยทักขึ้น อาฟกระชับอ้อมกอดของผมมันพลิกตัวมาหอมแก้มกันก่อนจะจูบเบาๆ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาแต่อย่างใด ไล่จูบลงต่ำไปที่ซอกคอ ผมเองก็พลิกตัวเองขึ้นไปนอนกอดอาฟไว้ ก่อนจะถอนหายใจออกมาแรงๆด้วยความขี้เกียจ “ เป็นอะไร ”
“ ขี้เกียจลุกไปอาบน้ำ ”
“ ก็ไม่ต้องอาบ ” บอกกันแบบนั้นก่อนจะหอมแก้มผม
เอาเข้าจริงก็โคตรชอบช่วงเวลาแบบนี้ หลังจากที่เราจบภารกิจของสิ่งที่เรียกว่า เซ็กส์ เราจะนอนกอดกันแบบที่ไม่มีใครลุกไปไหน บางทีก็เหนื่อยมากจนหลับแต่ไม่มีครั้งไหนที่ผมจะนอนยิงยาวแบบเต็มอิ่ม ไม่ว่ายังไงก็ต้องตื่นขึ้นมาอาบน้ำ การนอนจมกองเหงื่อกับคราบน้ำต่างๆที่เลอะช่วงท้องเพราะการปลดปล่อยของตัวเอง ไม่ใช่อะไรที่ผมฝืนทำได้
“ กูไม่ได้ซกมกเหมือนมึง ” ว่าแบบนั้น ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอนแล้วขยับหมุนหัวไปมา หันมองดูอีกคนที่ก็นอนมองกันเรายิ้มให้กันก่อนที่ผมจะก้มลงไปจูบที่ริมฝีปากของอีกคน “ นอนได้แล้วมึง จะหกโมงเช้าแล้ว ”
“ รีบไปอาบน้ำ กูต้องการกอดกลิ่นแป้งเด็ก ”
“ เดี๋ยวกูเดินไปหยิบไปกระป๋องแป้งมาให้มึงนอนกอด ” ผมบอกทั้งๆที่รู้ว่าอีกคนหมายความว่าอะไร ถึงความสัมพันธ์ของเราจะคืบหน้าไปเท่าไหร่ แต่สิ่งหนึ่งที่จะไม่เปลี่ยนไป คือความปากแข็งของคุณอารยะ อย่าฝันถึงคำพูดที่ว่า ‘ รีบไปอาบน้ำแล้วกลับมาให้กูนอนกอด ’ เพราะมันไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน
“ กวนตีน ” ลุกขึ้นจากเตียงนอนทั้งๆที่ร่างเปลือยเปล่า ผมไม่ได้สนใจจะหยิบเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่ตรงทางเดินขึ้นมาสวม แต่เลือกจะเดินตรงไปทั้งอย่างงั้น และอะไรแบบนั้นมันทำให้อาฟได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆไปเสียทุกครั้งตอนที่เห็น “ จะยั่วกูให้ทำอีกรอบรึไงเมด ”
“ ส้นตีนเถอะ ” หันไปบอกอีกคนตอนที่เดินเข้าไปในห้องแต่งตัวแล้วหยิบเอาผ้าขนหนูสีขาวมาผูกปิดส่วนล่างไว้ตรงเอว อาฟพลิกตัวเองแล้วมองผมไม่ละสายตาจากเตียงตรงนั้นจนทำให้ผมต้องหันไปมอง “ มึงเข้ามากูถีบจริงๆนะบอกไว้ก่อน ”
“ กลัวจัง แรงเท่ามดผลัก ”
“ อะไรที่ทำให้มึงคิดว่ากูแรงเท่ามดผลัก ”
“ ตอนที่มึงบอกว่า อาฟอย่า เมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านี้มั้ง ” หันไปสบตาอีกคนที่ก็ยักคิ้วให้กันตอนที่พูดออกมา ผมยกยิ้มขึ้นมากับหน้ากระจก
อยากจะบอกเหมือนกันว่า คุณราชสีย์เอ๋ย ใช่ว่าแมวตัวเล็กที่คิดว่าจัดการง่ายในอ้อมกอดมันจะไม่มีกรงเล็บ เพราะถึงจะเล็กแต่ถ้าได้ออกแรงแบบเต็มที่ก็คงฝากรอยให้แสบผิวอยู่เหมือนกัน แต่เพราะว่ายอมให้ต่างหาก ถึงไม่คิดจะทำอะไร ยอมนิ่งแบบหูลู่หางตก เพื่อเอาอกเอาใจแบบที่ห้อีกฝ่ายคิดว่าตัวเองชนะแล้วจะคิดจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ
พจนานุกรมขอคำว่า ‘ อย่า ’ แล้วออกแรงผลักเบาๆ ตอนที่เริ่มทำเรื่องอย่างว่า มันไม่ได้แปลว่าอย่าจริงๆหรอก แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องพูดคำว่าอย่าตอนที่ตัวเองกำลังโดนกอดจูบ ทั้งที่ในใจจริงๆแล้วก็สวนทางกับสิ่งที่พูดนั่นเหลือเกิน หรือบางทีอย่าที่ว่า อาจจะไม่ใช่ อย่าทำ แต่เป็น อย่าช้า
“ ถามจริง หลอกขายกูรึเปล่า เรื่องที่มึงกลัวเรื่องการมีเซ็กส์ ”
“ อ้าว มึงรู้แล้วเหรอ ” ทำหน้าตกใจใส่อีกคน ผมยิ้มกว้างก่อนจะเดินออกมาเก็บเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่ในห้อง โยนลงใส่ตะกร้าแต่ก่อนที่จะปิดประตูเพื่ออาบน้ำ ผมก็ไม่ลืมเอียงหน้าบอกอาฟ “ กูว่านั่นคงเพราะมึงนั่นแหละ ”
ไม่รู้ว่าคำพูดนั้นจะทำให้คนฟังหน้าแดงไปถึงไหน แต่ถ้าให้เดามันคงนอนหัวใจเต้นแรงด้วยความภูมิใจแบบสุดๆอยู่บนเตียง และนั่นก็ไม่เกินไปจากที่พูดเท่าไหร่หรอก จะบอกว่าเริ่มชอบมันด้วยซ้ำไป
ก็ผมชอบตอนที่อาฟกอด หรือแม้แต่จูบ ชอบตอนที่มันจะค่อยๆทำให้ผมมีอารมณ์ร่วมอย่างใจเย็น และเพราะทุกอย่างมันน่าหลงใหลราวกับอยู่ในหนังโรแมนติกสักเรื่องที่ผสมปนเปไปกับจังหวะน่าตื่นเต้นและเข้มข้นของการสวมกอดที่แสนตราตรึง นั่นจึงไม่มีอะไรที่ทำให้ผมรู้สึก ไม่ชอบ แต่ความรู้สึกแบบนี้ ก็คงมีแค่อาฟ ที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นได้
“ ยังไม่นอนอีก ” เปิดประตูห้องแต่งตัวออกมา ผมพบว่าคนที่คิดว่าจะนอนกลับนอนเล่นมือถืออยู่ อาฟกดปิดหน้าจอตอนที่เห็นผม มันบิดขี้เกียจก่อนจะวางมือถือไว้บนโต๊ะข้างเตียง
“ นอนไม่หลับ ” คนฟอร์มจัดว่าแบบนั้นทั้งๆปากก็อ้าหาวออกมาเต็มที่ ผมนั่งลงบนเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างอีกคนจัดผ้าห่มเรียบร้อยก่อนจะเหล่มองอาฟ ก็พอรู้ว่ามันคอยกันอยู่ทั้งๆที่ง่วงขนาดนั้นก็ไม่ยอมนอนหลับไปก่อน แต่ก็ฟอร์มจัดเหลือเกิน เลยขอแกล้องหน่อย
“ อื้ม ” ขานรับในลำคอ ผมหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาเล่นบ้าง ทำทีเป็นกดนู้นกดนี่ไปเรื่อยอีกฝ่ายก็ถาม
“ ทำไมไม่นอน ”
“ ก็เพิ่งอาบน้ำมา มันก็หายง่วงนิดๆอะมึง ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเหล่มองอีกคนที่ก็ตาจะปิดอยู่แล้ว “ มึงง่วงก็นอนก่อนได้เลย จะถ่างตารอกูทำไม ”
“ ใครรอ กูแค่เล่นเกมส์เพราะนอนไม่หลับ ”
“ งั้นเหรอ ” พยักหน้ารับยิ้มๆ ผมทำทีเป็นกดเล่นมือถือต่อ เราต่างต่างฝ่ายเงียบให้กัน เอาเข้าจริงแค่พูดว่า ‘ นอนกันเถอะมึง ง่วง มาให้กูกอดหน่อยมา ’ แค่นี้ก็ได้ดึงผมเข้าไปกอดแล้ว แต่เพราะว่านี่คือ อารยะ มันก็เลยออกมาให้รูปแบบที่ว่า
“ นอน ” พูดแบบนั้นก่อนจะหยิบมือถือผมขึ้นจากมือ มันกดล็อคหน้าจอแล้วเอาไปวางไว้ที่ฝั่งมัน และก่อนที่ผมจะได้เถียงอะไรต่อมือทั้งสองข้างนั่นก็ดึงตัวผมเข้าไปกอดไว้จนจมอก อาฟขยับตัวให้ตัวเองนอนได้ในท่าสบาย
“ เชี้ยอาฟ แม่ง บังคับกูจริง ”
“ นอนนน ” เสียงลากยาวที่บอกออกมา ก่อนใบหน้าคมจะก้มลงฝังจมูกดมที่หัว แถมยังดึงตัวเองขึ้นมาหอมแก้มอีกข้างแบบสูดลมหายใจเข้าไปแบบเต็มปอด หลุดหัวเราะตอนที่อีกคนปล่อยลมหายใจออกมาเหมือนโล่งใจ อาฟกระชับอ้อมกอดที่กอดผมไว้
“ พูดว่า นอนได้แล้วจะได้นอนกอดกันก็สิ้นเรื่องแล้วมั้ยสัด ”
“ ใครว่ากูอยากกอดมึง ” อาฟบอก “ กูแค่อยากจะนอนดมกลิ่นแป้งจากตัวแฟนกูต่างหาก ”
“ เผื่อมึงลืม กูคือแฟนมึง ”
“ ไหนมาเช็ค ” โดนหอมแก้มไปอีกฟอดแบบแรงๆ แต่ถึงอย่างงั้นต่างฝ่ายต่างก็แค่ยิ้มออกมา
“ อื้ม ใช่แฟนกูจริงๆด้วย ” แล้วสุดท้าย ผมก็ไม่เคยชนะมันได้จริงๆสักที ‘ จีบเก่งนักนะคุณอารยะ ฝากไว้ก่อนเถอะ ’ ว่าแต่ว่า..
“ นี่มึงจะนอนทั้งๆที่แก้ผ้าแบบนี้เหรออาฟ ” ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก และไม่ว่าจะติดต่อยังไงก็คงเป็นแบบเดิม คือกูไม่ได้อาบน้ำมาเพื่อนอนดมกลิ่นเหงื่อมึงไง ไอ้แฟนเวร
ช่วงเวลาบ่ายสองที่ผมกำลังนั่งอยู่บนรถ GTR คันหรูและกำลังมุ่งตรงไปที่เอกมัยซอย.12 เพื่อไปกินเมนูอาหารที่อยากจะกินมาทั้งอาทิตย์ นั่นคือหมูกรอบผัดพริกไข่ออนเซ็น มือที่หมุนปากกาที่ใช้กับไอแพตในมือ ผมฮัมเพลงที่กำลังเปิดพลางกดๆเขียนๆสิ่งที่ต้องทำวันนี้ลงไปในแอปตารางงาน ยอมรับว่าพอใช้เป็น ไอแพตก็เป็นอะไรที่ สะดวกมากๆ เพราะตอนนี้นอกจากทำงานในผับ ผมยังเอามันมาเรียน เสมือนเป็นของส่วนตัว จนลืมไปแล้วด้วยว่าเจ้านายซื้อไว้ให้ใช้ทำงาน
“ รถติดสัด ” คนขับรถบ่นเบาๆตอนที่ดึงเบรคมือขึ้นมา ก่อนจะหันมามองหน้าผม “ ถ้าไม่อร่อยกูจะฟาดมึง ไอ้เมด ”
“ อร่อย!! ” ผมหันไปย้ำมันด้วยความมั่นใจทั้งๆที่ไม่เคยได้กิน “ คนเค้ารีวิวกันเยอะแยะมึง มันต้องอร่อยสิวะ ”
“ แน่ใจนะว่าไม่ใช่พวกหน้าม้าได้เงินมารีวิว ” ยกยิ้มถามพลางยักคิ้วล้อเลียนเหมือนจะย้ำกันว่า แน่ใจแล้วนะกับสิ่งที่คิด ก่อนที่มันจะหันกลับไปมองบนถนนตรงหน้า
“ แต่ว่ามันก็น่ากินนะมึง แบบหมูกรอบชิ้นใหญ่มากอะผัดกับพริกสับที่ในน้ำมันจะมีรสซอสปรุงรสต่างๆแล้วราดลงบนข้าวสวยร้อนๆ โป๊ะด้วยไข่ออนเซ็น มึงลองคิดสภาพว่า เวลาเอาช้อนไปตักมันก็จะเยิ้มลงมาบนข้าวสวยร้อนๆ แล้วเราก็ตักมันกินพร้อมกับหมูกรอบ โอยยยยยยยยยย หิวข้าวววว รถไปสักที ไปได้แล้ว ไป๊ ” ชูมือขึ้นผลักรถคันหน้าราวกับมันจะเคลื่อนตัวออกไปได้จริงๆ อาฟที่หลุดยิ้มกว้างออกมามันส่ายหน้าไปมากับความบ้าบอของผม
ผมอยากจะกินอาหารร้านที่ว่านี้มาเป็นอาทิตย์แล้ว หลังจากดูรูปรีวิวในเน็ตก็บอกกับอาฟไว้ว่า เราต้องไปกินข้าวที่นี่ให้ได้ แต่เพราะช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาทั้งผมทั้งอาฟเรายุ่งกับงานที่ผับแล้วก็เรื่องเรียนที่มหาลัยกันมากก็เลยเพิ่งได้ว่างมากิน แล้วผมก็คาดหวังกับมันไว้สูงมาก ถึงขนาดนั่งนับวันคอย แล้วพูดกรอกหูอาฟตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า ยังไงวันนี้ก็ต้องมากิน
“ ถึงซอยแล้วเลี้ยวเข้าไปเลย ” ผมบอกตอนที่อาฟเลี้ยวรถเข้าไปด้านใน
“ ช่วยมองร้านหน่อย ” คนขับสั่งการผมก็ทำตามหน้าที่แต่เหมือนว่าจะไม่จำเป็นเพราะเข้าซอยมาไม่นาน อาฟก็จอดลงที่หน้าร้าน ผมเอียงตัวมองดูป้ายจากรถ วินาทีแรกที่เห็นรู้สึกเลยว่า ‘ มึงจะมินิมอลไปไหน ’
ลักษณะร้านเป็นโทนเหมือนบ้านสีขาวสองชั้น ป้ายชื่อร้านเป็นตัวภาษาอังกฤษเล็กๆสีดำ ผมต้นไม้ยังเหมือนจะบังมันอีก ด้านหน้าร้านมีรถจอดอยู่หลายคัน อาฟถอยเข้าจอด ตอนที่เบรคมือถูกดึงขึ้นผมก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะยิ้มกว้าง
“ ตื่นเต้นๆ จะได้กินแล้ว ”
“ ปัญญาอ่อน” คนขับบ่นยิ้มๆพลางเปิดประตูรถออกไปด้านนอก
กดล็อครถเรียบร้อย ผมก็เดินไปยืนข้างอีกคนด้วยท่าทางตื่นเต้น เราเดินขึ้นไปเกือบถึงประตูแต่ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูเข้าร้าน กลับกลายเป็นว่าประตูไม้นั้นกลับเปิดออกมาก่อน ลูกค้าผู้ชายสามคนที่เหมือนจะกินเสร็จแล้วเดินสวนเราออกมา ผมที่ยิ้มให้เค้าตามมารยาทแล้วเดินสวนเข้าไปแต่ยังไม่ทันที่อาฟจะเข้ามาแล้วปิดประตู เสียงของหนึ่งในคนที่เดินสวนกันนั้นก็พูดกับเพื่อนข้างกายแบบไม่เบานัก
“ พวกมึง คนเดินนำเข้าร้าน น่ารักว่ะ ” ผมหันมองไปที่อาฟเป็นคนแรกตอนได้ยิน อีกฝ่ายที่ยกยิ้มมองผมก่อนจะหันไปตวัดสายตาคมใส่คนที่พูดด้วยความไม่พอใจ มันที่เหมือนจะเอ่ยอะไรออกมาตอนที่มองคนพวกนั้นที่หันมามองเราแบบตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้ยิน บรรยากาศที่ชวนให้อึดอัดนั้นผมรีบเอื้อมมือไปดึงอีกคนให้เข้ามาก่อนที่อาฟจะเผลอทำอะไรแบบไม่คิดอีก แต่ทว่าทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น
อาฟแค่มองแล้วหันกลับมาก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร เหมือนอีกคนจะนึกขึ้นมาได้ว่าผมไม่ชอบให้ตัวมันแสดงอาการแบบคนขาดสติ สายตาคมที่มองกันนิ่งๆ อาฟเอื้อมมือมากอดเอวผมแล้วดึงให้เดินเข้าไปในร้านแทน
“ หรือกูควรเก็บมึงไว้ที่บ้านดี ” หันมาพูดเสียงเบาๆ ด้วยท่าทางนิ่งๆ ผมก็ได้แต่ยิ้ม
“ ไม่เอา กูชอบไปไหนมาไหนกับมึง ”
ถ้าเป็นอาฟก่อนหน้านี้ที่จะเราทะเลาะกัน ผมว่ามันคงแสดงอาการหงุดหงิดกว่านี้ ไม่แน่ตอนนี้คงเอาแต่ยืนจ้องผู้ชายพวกนั้นจนไม่เข้าร้าน หรือไม่ก็หันมาด่าผมตอนที่ดึงให้เดินเข้าร้าน ด้วยคำพูดเจ็บแสบแบบคนไม่คิดก่อนพูดและถนัดทำร้ายจิตใจคนอื่นอย่างมันชอบทำ แต่อาฟที่ควบคุมสติได้แบบนี้ ก็บอกกับผมว่า อีกคนก็กำลังปรับตัวเองอยู่
“ ไปกินข้าวหมูกรอบกันดีกว่า มาๆ ” ลากมันมาที่เค้าเตอร์ร้านที่ด้านในค่อนข้างเล็ก จนผมรู้สึกว่ามองไปรอบๆยังอึดอัด และตอนที่ผมกำลังจะเปิดเมนูอยู่ที่หน้าเค้าเตอร์ พนักงานก็ได้พูดในสิ่งที่ผมไม่ได้อยากจะฟังออกมา
“ วันนี้ข้าวหมดแล้วนะครับ ”
“ ห๊ะ ? ” หันไปมองคนพูดแบบหน้าเสีย ใบหน้าของพนักงานร่างอวบก็แค่ยิ้มก่อนจะย้ำกับผมเหมือนเดิม
“ ข้าวหมดแล้วครับวันนี้ เหลือแค่เค้กกับเครื่องดื่มครับ ” ปล่อยมือลงจากเมนูที่กำลังดู ผมรู้สึกสิ้นหวังและหมดแรงอย่างไม่ที่เคยรู้สึกมาก่อน
ใบหน้าที่บอกบุญไม่รับชวนให้คนที่มาด้วยกลั้นยิ้มขำอยู่แบบนั้น แต่ผมไม่ได้สนใจแล้ว หันมองไปรอบๆยังมีคนกินอยู่เลย แสดงว่ามาช้าแค่นิดหน่อยเท่านั้นถูกมั้ย ผมถามตัวเองพลางถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะเงยหน้ามองอาฟที่ก็เอื้อมมือมาจับหัวผมแล้วขยี้ มันคงทั้งขำทั้งสงสาร ก็เล่นบ่นว่าอยากจะมาแดกทั้งอาทิตย์ ไม่นับเมื่อเช้าที่พูดกรอกหูกันตั้งแต่ตื่นนอน
“ จะกินมั้ย ”
“ อยากกินข้าวหมูกรอบ ” ผมบอกอีกคนเสียงเบา ตอนที่หันไปหาพนักงานอีกคนก็แค่ยิ้มเหมือนจะขอโทษแต่ผมไม่อยากจะรับรู้อะไรแล้ว
“ มันหมด ” อาฟบอก “ ไปกินอย่างอื่นแล้วกัน ”
“ อื้อ ” ตอบสั้นๆ ผมหันไปมองพนักงานที่แค่ยิ้ม แต่ในใจของผมอยากจะตะโกนออกไปสุดเสียงว่า ไม่ต้องมายิ้มเลย ทำไมมึงไม่ทำเยอะๆนี่มันแค่บ่ายสองเองนะเว้ย ไม่โอเคเลย กูโกรธ โกรธมากๆ
เดินออกมาจากร้านด้วยความเศร้า ผมเข้าไปนั่งในรถแบบไม่พูดจา จนคนข้างๆที่ยิ้มขำได้แต่หันมาจ้องกันอยู่แบบนั้น ผมที่หันมองหน้าอาฟจนอีกคนหลุดหัวเราะออกมากับสีหน้าเศร้าๆของผม
“ มึงเจ็บขี้เหรอเมด ”
“ ไม่ตลกไอ้สัด ” ผมบอกมันก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ ปัญญาอ่อนมึง ทำหน้าเหมือนใครจะตาย แค่ไม่ได้แดกข้าวหมูกรอบ ”
“ มึงไม่เข้าใจอะอาฟ มึงไม่อ่อนโยน ” หันไปบอกมันอีกคนก็แค่ถอนหายใจยิ้มๆ “ คือกูรอมาทั้งอาทิตย์ อยากกินมาตลอด แล้วสุดท้ายพอว่างได้มากิน คือแม่ง ของหมดเหรอวะ ไอ้เหี้ย แล้วที่กูรออะมึง ทำไมมันไม่ทำให้เยอะๆวะ ส้นตีน ไอ้สัดเอ้ย หงุดหงิดชิบหาย ” ถอนหายใจออกมาอีกครั้งยังคงรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจ จนอยากจะตะโกนโวยวายให้มากกว่านี้ถ้าทำได้ แต่มันคงดูว่าเยอะเกินไป สำหรับเรื่องแค่นี้ แต่ว่านั่นแหละ.. ข้างๆกันก็แฟน เราควรเป็นตัวที่สุด “ มึง กูถามจริงๆนะอาฟ ถ้ากูร้องไห้เพราะไม่ได้แดกข้าวหมูกรอบนี่ กูจะดูปัญญาอ่อนมั้ยวะ ”
“ ไอ้ที่เป็นอยู่ก็เรียกว่าปัญญาอ่อน ” อีกคนหันมาบอก อาฟที่ยิ้มอยู่แบบนั้นไม่รู้จะมีความสุขอะไรนักหนา เหมือนมันหุบยิ้มไม่ได้กับท่าทางของผมที่ไม่ได้กินข้าวหมูกรอบในตอนนี้
“ ปลอบหน่อยสิมึง ช่วยปลอบใจกูที ”
“ ปลอบเรื่อง? ” ถามยิ้มๆพร้อมกับถอนหายใจหน่ายๆ
“ เรื่องที่กูไม่ได้แดกข้าวหมูกรอบ ”
“ ปัญญาอ่อนชิบหายไอ้สัด ” นั่งมองกันอยู่แบบนั้น ก่อนจะยื่นมือมาจับหัวผมที่ก็ดึงตัวเองเข้าไปกอดอีกคนไว้ อาฟหลุดหัวเราะจนไหล่สั่น “ มึงแม่ง..”
“ กูเศร้าอะมึง มันเสียใจจริงๆนะเว้ยอาฟ แบบ คือกูอยากกินอะ ทำไมวะ แล้วจะได้กินอีกเมื่อไหร่ ”
“ ก็พรุ่งนี้เดี๋ยวมาใหม่ ” เจ้าของเสียงทุ้มปลอบกันแบบนั้น “ พรุ่งนี้พามาตั้งแต่เก้าโมงเลย จะได้กินตอนสิบโมงดีมั้ย ” ใจบางไปหมดแล้ว เป็นคำว่า ‘ ดีมั้ย ’ ที่อ่อนโยนที่สุดตั้งแต่คบกันมาเลย
“ แล้วถ้ามันหมดอีกอะมึง ”
“ วันถัดไปก็มาใหม่ ”
“ แล้วถ้ามันหมดอีกอะ ”
“ ก็ไม่ต้องแดกแล้วไอ้สัด ” ผมหลุดหัวเราะออกมา อาฟก็ยิ้มก่อนจะดึงตัวเองออกจากตัวผม “ ไปนั่งนิ่งๆ แล้วคิดใหม่ว่าจะกินอะไร ”
“ อยากกินข้าวหมูกรอบ ” หันไปมองประตูร้าน ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะหันมามองอีกคน “ มึงอยากจะกินอะไรมั้ย กูคิดไม่ออกแล้ววะ มันท้อ ”
“ ปัญญาอ่อนซะจริง ”
“ มึงไม่เคยมีโมเม้นท์แบบนี้เหรอ แบบว่าตั้งใจจะทำอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายกลับไม่ได้ทำ มันเฟลนะเว้ย กูโคตรไม่ชอบเลย เวลาวางแผนอะไรในชีวิตแล้วไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ ” พิงหลังตัวเองลงกับเบาะ รถที่เคลื่อนตัวออกจากหน้าร้านเข้าสู่ตัวถนนใหญ่ อาฟที่ตอนนั้นเอาแต่มองไปข้างหน้าก็พูดขึ้น
“ ก็เคย แต่เรื่องกูมันไม่ใช่เรื่องปัญญาอ่อนแบบมึง ”
“ เค้าเรียกว่า ให้ความสำคัญกับเรื่องเล็กๆ ” เถียงมันออกไปแบบนั้นก่อนที่ผมจะโดนอีกคนหันมามองแล้วได้แต่ส่ายหน้า
“ ช่างเถียง ”
“ แล้วมึงมีเรื่องอะไรของมึงที่เคยเฟลแบบสุดๆทั้งๆที่มันก็เป็นเรื่องไร้สาระมั้ยวะ ” ผมถามด้วยความอยากรู้ เพราะคนทุกคนมันต้องเรื่องไร้สาระที่เราจริงจังสักเรื่องในชีวิต เรื่องที่พอหวนกลับมาคิดถึง เราก็ได้แต่ถามตัวเองว่า นี่กูหงุดหงิดขนาดนั้นได้ยังไงกัน
“ ขี้เสือกจัง ”
“ อยากรู้เรื่องแฟนไม่ได้เหรอ ” พูดแซวกับคนที่เหลือบมองกันทันที ผมที่เอียงหน้ายิ้มมองหน้ามันแต่อาฟก็ยังเก็กไม่สนใจแม้จะหูแดงจนลามไปถึงคอแล้วก็ตาม “ ไม่ต้องกลั้นยิ้ม จะยิ้มก็ยิ้มออกมาเลย เขินกูก็บอกอารยะ ”
“ โดนกูถีบสักทีดีมั้ยเมด กวนตีนกูจัง ” หันมาบอกกันยิ้มๆ ผมก็ได้แต่หัวเราะก่อนจะเอานิ้วไปจิ้มที่ไหล่มัน
“ น้องเมดก็ล้อพี่อาฟเล่น เห็นพี่อาฟเขินแล้วมีความสุข ”
“ ที่เป็นอยู่นั่นก็เพราะมึง ” อีกคนพูดเสียงทุ้มก่อนจะดึงเบรคมือขึ้นเพราะข้างหน้าฉายสัญญาณไฟสีแดงขึ้นมา มือที่จับเบรคเปลี่ยนมาจับมือผม แล้วตอนที่ใบหน้าคมนั่นดึงหน้าเข้ามาใกล้ อาฟก็ยกยิ้มพร้อมกับเลื่อนเข้ามาใกล้กัน สายตาคมที่มีความหมายนั่นจ้องมองผม “ ที่พี่อาฟเป็นแบบนี้ก็เพราะน้องเมดไงครับ ”
“ โอเค มึงชนะอาฟ ” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะหันไปมองทางอื่นทันที เสียงหัวเราะถูกใจของคนขับรถดังลั่นรถ ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มแล้วเอาแต่บอกใจตัวเองให้เต้นเบาลงหน่อย อย่าไปหลงกลให้กับคนกวนประสาทพรรคนั้น นั่นมันไม่ใช่ร่างจริงของมันสักหน่อย มันตอแหล
“ ตกลงจะกินอะไร ”
“ ซีjโครงหมูมั้ย อยากกินสเต็กซี่โครงหมูอร่อยๆ กับข้าวผัดกระเทียม ”
“ งั้นพี่แวะห้างนะครับน้องเมด ”
“ เงียบไปเลยไอ้สัด ” ยื่นมือไปปิดปากมันอีกคนก็เอายิ้มกับท่าทางหงุดหงิดของผม อาฟจูบที่ฝ่ามือที่ผมปิดปากมันไว้ก่อนจะจับแล้วดึงมันลงกุมกันไว้ แววตาขี้เล่นยังคงปั่นประสาทกันไม่เลิก มันรู้ดีว่าผมแพ้เวลาที่ตัวมันใช้คำพูดแทนตัวที่มันดูน่ารักแล้วก็คำพูดหวานๆ
“ สั่งให้พี่อาฟเงียบทำไมละครับ น้องเมดไม่ชอบเหรอ ”
“ มึงแม่ง พอแล้ว กูเขินไอ้เหี้ยอาฟ ” หันหน้าไปอีกทาง หัวใจผมเต้นแรงไปหมด แก้มแดงจนเพราะการถูกแกล้งจนอีกคนยังยกมืออีกข้างที่ว่างขึ้นมาจับแล้วหยิกมันเบาๆ อาฟยิ้มตอนที่ผมหันไปมองมันด้วยหางตาก่อนจะฝากคำดูถูกไว้ให้จำสั้นๆ
“ ไอ้อ่อน ”
“ กูแค่ไม่คิดสู้มึงเท่านั้นแหละสัด ” ยังคงปากเก่ง ทั้งๆที่ก็รู้ว่าตัวเองไม่ถนัดเก็บอาการ อาฟเบิกตาขึ้นมันมองผมยิ้มๆพลางพยักหน้ารับคำพูดนั้น
“ อย่าดีแต่ปากแล้วกัน ”
“ พี่อาฟก็อย่าแกล้งน้องเมดสิครับ ” ผมพูดเสียงอ่อนแบบไม่ให้อีกคนตั้งตัว จ้องตาอีกคนแบบที่เด็กเล็กๆชอบทำเวลาออดอ้อน มันไม่ใช่ท่าทางที่ผมเคยทำ เพราะรู้สึกปัญญาอ่อนจนเกินจะรับไหว แต่ดูเหมือนว่ามันจะได้ผลเกินคาด เพราะตอนนี้คนโดน โจมตีเหมือนนิ่งไปแล้ว อาฟยกมือขึ้นจับหัวตัวเองมันหันไปมองนอกหน้าต่าง ผมรู้ว่ามันกำลังกลั้นยิ้ม และนี่ก็เป็นเวลาที่ดีที่สุด “ พี่อาฟคร๊าบ พี่อาฟของน้องเมด พี่อาฟจ๋า อย่าแกล้งน้องเมดเลยนะ ” เอาหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น อาฟเหล่มองผมก่อนจะหันตัวเองมากอดคอผมแล้วดึงเข้าไปจูบ
“ ทำไมน่ารักขนาดนี้ละครับไอ้สัด ” ราวกับคำสบถที่พูดออกมา ริมฝีปากที่แนบสนิทพยายามจะดันลิ้นให้เข้ามาในปากผม ก็แบบนี้ทุกที สู้ไม่ได้ด้วยคำพูดมันก็ชอบเล่นโกงด้วยด้วยจูบกัน แต่สุดท้ายคนแพ้ก็คือผมที่เผลอไผลไปกับจูบดูดดื่มนั้น และเหมือนว่ามันจะกินเวลายาวนานจนสัญญาณไฟเขียวปรากฏขึ้นอาฟถึงจะยอมปล่อย
“ เล่นโกงกับกูตลอดเลยไอ้เหี้ย ” ผมบอกตอนที่อาฟหันไปขยับเกียร์แล้วขับรถ กัดริมฝีปากล่างของตัวเองเบาๆจ้องหน้าอีกคนแบบไม่พอใจแต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่รับรู้ อาฟแค่ยักคิ้วให้ผมก่อนจะเอื้อมมือมาจับแก้มแล้วเขย่า “ พอกูจะชนะมึงก็แม่งแบบนี้ทุกทีเลย ”
“ สู้ด้วยการยั่วยวนกูกลับสิ กูอาจจะแพ้ก็ได้นะ ”
“ ไม่มีทาง! ”
“ ทำไมมึงไม่ลองอยากจะเอาชนะกูแบบขาดลอยบ้างละ ”
“ ทำแล้วกูจะได้อะไร มีแต่เสียเปรียบ มึงแม่งก็ได้กำไรอยู่คนเดียว ไม่ว่ามึงจะหอมแก้มกู หรือกูจะหอมแก้มมึง ก็มีแต่มึงได้กำไรคนเดียวไม่แฟร์เลยสัด ”
“ แย่จัง เหยื่อรู้ตัว ” ทำทีเป็นตีหน้าเศร้ากวนตีนก่อนจะหันมาบอกเสียงอ่อนคล้ายจะอ้อน “ แล้วน้องเมดไม่อยากให้พี่อาฟหอมแก้มเหรอครับ ” ได้แต่มองหน้าอาฟนิ่งๆ เอาเข้าจริงตอนนี้มันอยู่ในอาการมีความสุข ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หลังจากจูบผม จนอยากจะตบหัวมันแรงๆสักทีด้วยความหมั่นไส้
“ ถามจริงๆ มึงชอบสินะ เวลาได้ยินใครพูดพี่อาฟคะ พี่อาฟขา ใจอ่อนยวบเลยสิ ” ผมเหล่มองมันหลังจากเงียบไปสักพัก อาฟที่หันมายิ้มให้ผมมันไม่ได้ตอบอะไร “ กับพวกสาวๆที่มึงเคยนอนด้วย เค้าพูดเอาใจมึงแบบนี้หมดรึเปล่าวะ ”
“ มึงไม่รู้เหรอ ว่ากูแพ้อะไรแบบนี้กับแค่คนที่กูชอบ ” สายตาที่หันมามองกัน มันจริงจังจนผมไม่กล้าพูดออกไปว่า ‘ ยังไม่เลิกจะเอาชนะกันอีกรึไง นี่ก็ให้ชนะแล้ว ชนะไปเลย จะมาน็อคเอ้าท์อะไรกูอีก ไม่ต้องแล้ว ยอมแล้วอาฟ เมดยอมอาฟแล้วครับ ’
“ งั้นถ้าคืนนี้มึงยอมซื้อเหล้า เพราะแค่เซลล์อ้อนมึง กูจะเอาขวดเหล้านั่น ทุบหัวมึง ” คนขับรถที่เอาแต่มองไปยังทางข้างหน้า หลุดหัวเราะออกมาก่อนจะหันมามองกันอีกครั้งในตอนนั้นอาฟยกยิ้ม
“ อย่ามาหึงไม่มีเหตุผล ” พูดสั้นๆแค่นั้น ก่อนจะดึงตัวเองเข้ามาจูบผมอีกครั้ง มันยักคิ้วให้กัน “ มึงเป็นคนบอกไว้ จำไม่ได้เหรอ ”
ผมได้แต่นิ่งไม่ตอบอะไร เสียงเพลงที่ดังขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศในนั้น แต่ผมกลับไม่ได้ฟังเลยว่ามันคือเพลงอะไร หรือมีทำนองแบบไหน ยอมรับเลยว่า ถ้ามันคือการปั่นประสาทเล่นๆ ตามประสาคนกวนตีนแบบอาฟ ผมถือว่ามันได้ผล แต่ถ้ามันคือคำพูดเตือน ผมเองก็ไม่รู้หรอก ว่าถึงคราวตัวเองบ้าง จะยังมีเหตุผลกับเรื่องพวกนั้นแบบที่เคยมีอยู่หรือเปล่า