คนโปรด 17.2 (ต่อ)
เหตุการณ์นั้นทำให้ผมอยากรีบกลับคอนโดฯ แต่ผมก็ยังนั่งดื่มต่อเพื่อไม่ให้ใครเห็นความผิดปกตินี้ ผมดื่มไม่หยุด ทั้งๆที่รู้สึกตัวแล้วว่าเริ่มเมาแต่ก็ไม่สามารถลบความรู้สึกที่เพิ่งเกิดขึ้นได้เลย
ทำไมวะ!!!
เมื่อถึงเวลาเลิกงานผมก็กลับ ไม่กล้าไปไหนคนเดียวต่ออีก ผมถึงคอนโดฯก็อาบน้ำเปลี่ยนชุด ทั้งที่ง่วงแต่มันกลับหลับไม่ลง ผมลุกขึ้นไปค้นตัวเสื้อผ้าก่อนจะค้นหาของที่ผมไม่ได้ใช้หลายปีออกมา
มันเป็นยาคลายเครียดชนิดรุนแรง ผมเคาะออกมา2เม็ดแล้วโยนใส่ปากทันที
คุณอาจไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงได้มีปฏิกิริยารุนแรงแบบนี้หลังจากที่เจอมัน
หลังจากผมออกมากับไอ้ทศเมื่อห้าปีก่อน ไม่กี่สัปดาห์ต่อมามันก็เริ่มสังเกตความผิดปกติของผม
ผมหวาดกลัวผู้คน โดยเฉพาะผู้ชาย
ใจมันสั่น ไร้เรี่ยวแรง กลัวจนทำอะไรไม่ถูก
ไอ้ทศมันไม่รู้จะทำอย่างไรจึงเรียกเกรย์มาดูอาการผม เขาวิเคาะห์อาการคร่าวๆของผมว่าอาจเป็นอาการของโรคPTSD เป็นอาการความเครียดหลังจากเหตุการณ์สะเทือนใจอย่างรุนแรง
ผมใช้เวลารักษาเป็นปีถึงจะสามารถกลับเข้าสังคมไปใช้ชีวิตตามปกติได้
แต่ถึงกระนั้น ผู้ชายที่แตะต้องตัวผมได้ก็มีอยู่น้อยมาก ต้องเป็นคนที่ผมสนิทและวางใจด้วยเท่านั้น
เกรย์ก็บอกว่าผมยังไม่หายสนิทจากโรคนี้
ผมไม่รู้ว่าอาการที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้มันใช่โรคเดิมไหม แต่ผมรู้สึกไม่ดีเอามากๆเลยล่ะ
ผมพยายามข่มตานอนทั้งๆที่กินยาไปแล้วตั้งสองเม็ด มันมีฤทธิ์ทำให้ง่วงแต่ผมกลับไม่หลับ
ผมตัดสินใจออกจากห้อง ดิ่งไปที่ลิฟท์แล้วกดชั้น40
หวังว่าไอ้ทศจะยังไม่นอนนะ
รอไม่นานมันก็มาเปิด มันดูแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ให้ผมเข้าไปในห้อง
ผมขอนอนห้องเล็กมัน อย่างน้อยก็จะได้อุ่นใจว่ามีเพื่อนอยู่ใกล้ๆ
ไอ้ทศปฏิเสธและให้ผมไปนอนที่ห้องใหญ่กับมันและไอ้รันต์
ไอ้รันต์เมาหลับไปแล้ว ผมล้มตัวนอนอีกฝั่ง ไอ้ทศก็นอนอีกฝั่งโดยมีไอ้รันต์นอนคั่นกลางไว้ ล้มตัวนอนได้ไม่ทันไรไอ้น้องรันต์มันก็กลิ้งตัวมากอดผมเฉย
“เชี่ย! ไอ้น้องรันต์มึงมากอดกูทำไมเนี่ย กูไม่ใช่หมอนข้างนะเว้ย”ผมสบถ อีกอย่างคือผัวมึงมองกูตาเขม็งเลย กูเพื่อนมึงนะสัส สุดท้ายไอ้ทศก็ตัดสินใจนอนคั่นตรงกลางแทน
“หึๆ หวงเมียเว่อร์สัส”ผมเอ่ยแซวมันเบาๆ มันไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เงียบไปสักพักจนผมนึกว่ามันหลับไปแล้ว อยู่มันก็เอ่ยถามขึ้น
“เขามาใช่ไหม?”
“…”
“กูขอโทษที่ดูแลมึงได้ไม่ดีพอ” ทศกัณฐ์พูดสั้นๆ
“ไม่ใช่ความผิดมึงซะหน่อย ถ้าจะมีคนผิด คนนั้นๆ คือมัน ไม่ใช่มึง” ผมยกแขนก่ายหน้าผาก เหม่อมองผ่านความมืดออกไป
“กูจะช่วยมึงให้ถึงที่สุด มึงอย่าคิดมากเลย ถ้ามีอาการเหมือนช่วงนั้นให้รีบกินยา รู้รึเปล่า” เสียงทศกัณฐ์ดึงผมออกจากภวังค์
“อือ มึงไม่ต้องเป็นห่วงกูหรอก กูเข้มแข็งขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ นี่สมิธคนใหม่ไง” ผมพูดเสียงสดใส แม้เสียงหัวเราะจะดูขมขื่นอยู่บ้าง แต่ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นแน่
เพราะผมจะไม่ยอมให้ไอ้ผู้ชายสารเลวคนนั้นข่มเหงผมฝ่ายเดียวได้อีกต่อไป
+++++++++++++++++++
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ไอ้ทศทะเลาะกับไอ้รันต์หนัก มันพลั้งไปข่มขืนไอ้รันต์อีก ผมโกรธมาก ชกหน้าเพื่อนจนมือแตก แต่ก็เข้าใจเหตุผมของมัน
ไอ้ทศป่วยหนัก ช่วงที่ร่างกายมันผิดปกติมันจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ช่วงนั้นแม้แต่คนที่อยู่ใกล้ชิดมันมากๆก็ห้ามเข้าใกล้เด็ดขาด ผมไม่รู้จะด่าหรือตีมันต่อได้ยังไง สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยให้เป็นเรื่องมันสองคน
แต่ในเช้าวันต่อมาคนที่ผมไม่คิดว่าจะปรากฏตัวที่นี่ก็ได้ปรากฏขึ้น
เกรย์ แอนเดอร์สัน
ผมกระโดดกอดเขาทั้งที่โตขึ้นจากเมื่อก่อนมาก
เขาก็เป็นอีกคนที่ช่วยเหลือผมไว้หลายอย่างทั้งๆที่เป็นเพื่อนกับไอ้เหี้ยนั่น
เกรย์ถามเรื่องไอ้ทศนิดหน่อยก่อนจะวกมาเข้าเรื่องผมแบบงงๆ
เกรย์กดไหล่ผมให้นั่งลงที่โซฟาตัวเดี่ยว ส่วนเขาเดินไปลากเก้าอี้แล้วนั่งไขว่ห้างมือประสานกันไว้ที่ตักเผชิญหน้ากับผม
“กินข้าวหรือยัง?” เขาถามเรียบๆสบายๆ
“ยัง เดี๋ยวค่อยกิน”
“ทำไมไม่กิน มันสายแล้วไม่ใช่หรอ” น้ำเสียงของเกรย์ยังคงสบายๆอยู่
“ก็...ก็ยังไม่หิวเท่าไหร่” ผมกวาดสายตาล่อกแล่ก แต่ก็ตอบทุกอย่างไปตามความจริง
“อ่อ...แล้วเรียนเป็นยังไงบ้าง เครียดรึเปล่า?”
“ก็เรื่อยๆ ไม่เครียดอ่ะ โง่อยู่แล้ว บางทีก็ลอกไอ้ทศ ถูไถให้เกรดมันผ่านโปรฯ”
“อือฮึ...นอนกับผู้หญิงครั้งล่าสุดตอนไหน”
“เมื่อคืนก่อน” ผมตอบ สบตากับนัยน์ตาสีอ่อนของเกรย์ตรงๆ
“ผู้ชายล่ะ?”
“เกรย์!!! ผมไม่ใช่เกย์เว้ย!”ผมสวนกลับอย่างหัวเสีย แต่เกรย์กลับยิ้มให้บางๆ แล้วถามเรื่องราวในชีวิตประจำวันของผมไปเรื่อยๆ
“...มีอะไรอยากเล่าให้พี่ฟังไหม?” เกรย์พูดเสียงนุ่ม มือลูบผมสีเข้มของผมอย่างอ่อนโยน ผมหลุบสายตาลงต่ำอย่างใช้ความคิด
“ผม...เจอมัน” ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะตอบ จากนั้นก็ก้มหน้ามองพื้น มือทั้งสองบีบเข้าหาตัวเองจนแน่น
“อาการตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” เกรย์ถามเสียงเรียบ ไร้คำปลอบโยนใดๆจากปากเขา
“มันคลื่นไส้ ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดและผม...กลัว”ผมกัดปากตัวเอง ตัวสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อนึกถึงความรู้สึกตอนนั้น
“ใจเย็นๆ มันทำอะไรสมิธไม่ได้หรอก” เกรย์นวดหลังมือผมให้ผ่อนคลาย ทำให้ผมผ่อนคลายขึ้นตัวหยุดสั่นแล้วเกรย์จึงพูดต่อ
“รู้อะไรไหม จริงๆสมิธก็ปกติเหมือนคนทั่วไป เพียงแต่ยังติดอยู่แค่นิดเดียว”
“อะไรหรอ” ผมเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“สมิธ คุณกำลังยึดติดอะไรไว้อยู่รึเปล่า?” เกรย์พูดยิ้มๆพร้อมนวดมือให้ ผมกำมือแน่นแววตาฉายชัดถึงความเจ็บปวดเมื่อนึกถึง
“ผมกลัว กลัวมัน...แค่ได้ยินเสียงก็สั่นไปหมดแล้ว”
“แล้วไม่อยากหายกลัวเหรอ” เกรย์เอ่ยเสียงทุ้มฉีกยิ้มให้ผมด้วยความอ่อนโยน
“อยากดิ!” ผมรีบโพล่ง ทำไมผมจะไม่อยากลืมคนเลวๆพรรค์นั้น มันทำให้ผมต้องตกนรกทั้งเป็น แม้อยากตาย...ก็ตายไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นก็เผชิญหน้ากับความกลัวแล้วเอาชนะมันซะ”
“ไม่เอา!”ผมส่ายหน้าปฏิเสธทันใด เผลอชักมือกลับจากมือเกรย์ สายตามองเกรย์อย่างหวาดหวั่น ถ้าให้ผมต้องไปเผชิญหน้ากับมันตอนนี้อีก ฆ่าผมให้ตายซะยังจะดีกว่า
“งั้นก็หนีมันไปตลอดชีวิตนั่นแหละ”เกรย์ไหวไหล่พูดเรียบๆ เขามันโหดเหี้ยมก็ตรงนี้ชอบบังคับให้ผมทำในสิ่งที่ฝืนใจสุดๆ
“เกรย์...ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วหรอ”ผมถามเสียง
“ไม่มี...ฟังนะสมิธ ผมไม่ได้บอกให้คุณเผชิญหน้ากับมันคนเดียวสักหน่อย ตอนนี้คุณมีคนที่พร้อมจะอยู่ข้างคุณมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน พี่ หรือรุ่นน้อง ใช่ไหม?” ผมพยักหน้ารับ “ห้าปีมานี้มันได้ก้าวล้ำมาหาคุณรึเปล่า?ได้เดินเข้ามาเฉียดใกล้ให้คุณรู้สึกอะไรไหม? คุณสามารถนอนกลับใครก็ได้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนคนอื่นมีสิทธ์มองได้แค่ปลายเท้าคุณเท่านั้น จะแตะเนื้อต้องตัวยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย ถูกต้องไหม?” ผมเงียบ
นึกถึงช่วงเวลานั้นก็ถูกอย่างที่เกรย์บอกทุกอย่าง มันรักษาสัญญา ไม่เคยย่างกรายเข้ามาใกล้เขาอีกเลย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้ว่าตัวเขาเองอยู่ในสายตามันตลอด ทศกัณฐ์ก็ไม่เคยปิดบังผมเรื่องนี้มันบอกว่าเรื่องนี้มันอยู่เหนือข้อตกลง
ตัวผมอยู่ในกรงเหมือนเดิมเพียงแต่มันขยายใหญ่ขึ้น หลอกให้ตายใจว่าได้อิสระกลับคืนมา ผมรู้แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าต้องอยู่แบบเดิม ชีวิตที่เป็นได้เพียงทาสอารมณ์ของมัน
เป็นคนโปรดอะไรนั่น ที่ไม่เคยมีค่าเลย
“คุณไม่ได้พูดเพื่อช่วยเพื่อนตัวเองหรอกใช่ไหม” ผมถามอย่างหวาดระแวงก่อนที่เกรย์กระตุกยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ตลอดห้าปีกว่าที่ผ่านมายังทำให้คุณเชื่อใจผมไม่ได้อีกหรอ ถึงแม้มันจะเป็นเพื่อนสนิทแต่สิ่งที่มันทำกับคุณก็ค่อนข้างจะเลวร้ายเกินไป ผมไม่อยากพูดเพื่อให้คุณให้อภัยมัน แต่การที่คุณโกรธเกลียดมันไปก็เท่านั้น คุณจะไม่สามารถลืมมันได้เลย”
“แล้วผม...ต้องทำอย่างไรบ้าง” ผมเอ่ยถามอย่างลังเล
“เริ่มจากดูรูปก่อนเป็นไง?” เกรย์ฉีกยิ้มอย่างกระตือรือร้น หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเสิร์ชหารูปเพื่อนเขา มันหาไม่อยากหรอก ในเมื่อมันคือนักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งรัสเซีย-อังกฤษ วัย29 ปี เป็นนักธุรกิจที่กำลังมาแรงในช่วงนี้
เกรย์ยื่นรูปผู้ชายตัวสูง ผมยาวสลวยสีทองถูกมัดรวบตึงไว้ด้านหลัง มันอยู่ในชุดสูททรงทันสมัย ดวงตาคมกริบสีเขียวมรกต พร้อมร้อยยิ้มที่มุมปากอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว กรอบหน้าเรียวออกคม ดูยังไงมันก็แค่ไอ้ผู้ชายหน้าหล่อออกหวานท่าทางใจดีคนหนึ่ง ใครจะคิดว่ามันคือปีศาจในคราบมนุษย์
ผมเบ้ปากใส่รูปที่เห็นเหยียดๆ
“เฮ้ยๆ โทรศัพท์พี่” เกรย์รีบห้ามเมื่อเห็นคว้าโทรศัพท์เขาไปแล้วทำท่าจะขว้างทิ้ง ผมจึงทำท่าโก่งคออ้วกใส่โทรศัพท์แล้วคืนให้เกรย์ที่หัวเราะลั่นห้อง
“ขำอะไรเล่า” หน้ายุ่งชกไหล่หมอประจำตัวเบาๆ
“ฮ่าๆๆ โอเคๆ ด่านแรกผ่าน มาขั้นตอนต่อไปกัน” กว่าเกรย์จะหยุดหัวเราะได้ก็กินเวลาร่วมสิบนาทีแล้วเข้าสู่โหมดจริงจัง
“อะไรอีก” ผมมองเกรย์อย่างหวาดระแวง จริงอยู่ที่เห็นรูปแล้วผมไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวชัดเจนอะไร แม้ในใจจะกระตุกนิดๆแต่ความขยะแขยงเมื่อครั้นเห็นหน้าก็ยังมากมายไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเป็นเพียงรูปภาพจึงกล้าต่างหาก
ในรูปมันทำอะไรผมไม่ได้ แต่ถ้าเป็นคนจริงๆลองคิดดูเล่นๆว่าผมจะโดนอะไร?
“ฟังเสียง”เกรย์ตอบกลับมา
“ไม่เอา!” ผมแย้งรีบลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อจะหนีไปแต่ก็โดนเกรย์จับแขนเอาไว้ก่อน
“จะหนีหรือ? เข้มแข็งหน่อยสิ ไหนทศกัณฐ์บอกว่าไม่เหมือนเดิมแล้วไง” เกรย์พูดเรียบๆ แววตาเขามีแต่ความเย็นชา ผมไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาเป็นเพื่อนกัน ผมกำหมัดแน่นแต่ก็ยอมในที่สุด
“เก่งมากเด็กดี” เกรย์ลูบหัวพร้อมยิ้มให้บางๆ มือแกร่งกดหมายเลขต่อสายถึงอีกคน เกรย์จัดการเปิดลำโพงโทรศัพท์ รอสายนานจนเกือบจะตัด แต่ก็มีสัญญาณกดรับพร้อมเสียงทุ้มที่เปล่งออกมาเป็นภาษาอังกฤษ
“ว่าไง” เสียงทุ้มโทนต่ำ ทำลมหายใจผมติดขัดขึ้น เกรย์ลูบมือผมเบาๆก่อนจะกรอกเสียงคุยกับปลายสาย
“ทำอะไรอยู่วะ” ปลายสายเงียบไปนิดก่อนจะเอ่ยตอบ
“...ทำงาน ถามแปลกนะมึง” น้ำเสียงมันมีความแคลงใจเล็กน้อย
“ฮ่าๆๆ กูก็ถามไปงั้นแหละ” เกรย์พูดสบายๆ
“เหรอ แล้วมึงล่ะ ทำอะไรอยู่”
“กูก็พักผ่อนอ่ะ ไม่ได้ทำงานจนเงินทับตายเหมือนมึง”
“มึงอยู่กับมิทตี้ใช่ไหม” ปลายสายโพล่งออกมาโดยที่คนฟังไม่ทันตั้งตัว ผมตาเบิกกว้างอย่างตกใจมือกำเข้าหากันแน่นยิ่งกว่าเดิม มันรู้ได้ยังไง?
“…”
“อยู่จริงๆสินะ ไงมิทตี้” มันพูดย้ำความคิดตัวเองน้ำเสียงที่เอ่ยกับผมเปลี่ยนเป็นอีกโทน ผมที่ได้ยินแทบจะอาเจียนออกมา ดวงตาแดงก่ำด้วยความกลัว เขา
ผมเกลียดผู้ชายคนนี้ที่สุดก็ตรงที่มันรู้ทันคนอื่นไปเสียทุกเรื่อง ฉลาดมากจนน่ากลัว
“เชี่ยไรของมึง กูไม่ได้อยู่กับน้อง” เกรย์ทำเป็นแก้ตัวกลบเกลื่อน แต่ท่าทางมันจะไม่เชื่อ
“หึๆ ให้มันโทรหาพี่ คิดถึงกันหรือไง?” มันไม่สนใจเสียงท้วงจากเกรย์ แต่บทสทนาเหมือนส่งถึงผมแทนอย่างมั่นใจ
เกรย์อ้าปากพูดไม่ออกเสียงว่า ‘อดทนไว้’ ผมกัดฟันแน่นอย่างอดทน
“…”ผมอดทนเงียบอย่างที่เกรย์บอก ทั้งที่ใจเต้นเร่าอยากด่ามันสักคำด้วยความเกลียด
“เอ...หรือจะให้พี่ไปหาดี พี่ก็เริ่มคิดถึงมิทตี้แล้วแฮะ” มันยังยั่วยุผมไม่เลิก เกรย์เห็นท่าไม่ดีก็เตรียมจะตัดสายแต่ผมเร็วกว่ากลับคว้าโทรศัพท์จากมือเขามาจ่อปากแล้วตะคอกสุดเสียง
“มึงจะไปตายที่ไหนก็ไป!!! ไม่ต้องมาเสือกคิดถึงกู! กูขยะแขยง...มึงได้ยินไหมว่ากูเกลียดและขยะแขยงมึง!!” ผมหอบแฮ่ก เพราะใส่อารณ์ไปมากจนเหนื่อย
“หึๆ ปากดีจริงๆ อย่างนี้มันน่าจับจูบให้หายซ่า” แม้มันจะยังมีเสียงหัวเราะติดอยู่ แต่น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปก็เรียบเย็นจนน่าขนลุก
มันเริ่มหงุดหงิดแล้ว
“มึงอย่าคิดว่ากูจะกลัว กูไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว” ผมพูดเสียงเข้มลอดไรฟัน พยายามข่มใจไม่ใช้อารมณ์จะได้ไม่บ้าหลงเดิมตามเกมส์มันอีก
ถึงแม้ในใจผมจะหวาดหวั่นเพียงใดแต่ผมจะไม่มีทางเผยมันออกมาให้ไอ้ชั่วนั่นได้เห็นความอ่อนแอของผมอีก
“แล้วพี่จะคอยดูว่านายจะเปลี่ยนไปสักแค่ไหน...แต่รู้อะไรไหมสมิธต่อให้นายเปลี่ยนไปสักแค่ไหนนายก็ไม่มีทางหนีพี่พ้น...ดูจากชื่อนายเป็นตัวอย่างสิ ติ๊ด!” มันพูดยังไม่ทันจบประโยคดีผมก็รีบชิงตัดทิ้งสายทันที
ผมส่งโทรศัพท์ให้เกรย์ เดินลิ่วไปห้องน้ำเปิดก๊อกแล้วกวักน้ำสาดใส่หน้าตัวเองหลายๆทีเพื่อเรียกสติ เงยหน้าขึ้นมองเงาตัวเองในกระจกแล้วเหยียดยิ้มออกมาอย่างสมเพชในโชคชะตาตัวเอง
นั่นสินะ...ผมจะหนีจากมันได้ยังไงกัน เพราะตอนนี้คือ สมิธ ฮาล์น
ต่อให้ตาย ผมก็ยังเป็นสมบัติของมันอยู่ดี
++++++++++++++++++++
อ่า ตอนหน้ามาดูเฉลยว่ามิทตี้เป็นฮาล์นได้ยังไง สำหรับตอนนี้อาจคุ้นๆเพราะเป็นช่วงไทม์ไลน์ที่ซ้อนทับกับเรื่องใจยักษ์นะคะ เพียงแค่เปลี่ยนเป็นมุมมองของสมิธและเพิ่มรายละเอียดจ้า
