-12-
จากคิดที่ว่าจะอาศัยอยู่แค่วันสองวัน ตอนนี้ผ่านมาแล้วเป็นอาทิตย์จนหน้าตาของผมกลับมาเป็นปกติ แม้จะยังมีรอยเขียวหลงเหลือแต่ก็แทบมองไม่เห็น ตู้เสื้อผ้าตู้ใหญ่มีเสื้อผ้าขนาดไซส์ของผมแขวนอยู่ค่อนตู้ เพิ่งรู้ว่ามันเยอะ ทั้งที่ปฏิเสธแทบทุกครั้ง แต่สุดท้าย ชุดที่ถูกนำมาให้เลือกก็จะแขวนอยู่ในตู้เสมอ
สายเปย์ตัวจริงนะ
วันนี้ก็เป็นอย่างเช่นทุกวันที่ผมนั่งรถคนสวยไปทำงานกับเจ้าของคลับ นายจักรพรรดิที่ตอนนี้ผมเรียกติดปากว่าบอส แม้จะถูกบังคับให้เรียกพี่หนึ่ง แต่มันก็ไม่ชินปาก สุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลย
การทำงานของผม จากวันแรกที่รู้สึกเคอะเขินบ้าง ตอนนี้แค่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็รีบพุ่งไปรอหน้าประตูแล้ว เสียงที่เคยรำคาญในตอนแรก ก็เปลี่ยนไป คงเพราะผมได้ยินทุกวันจนมันชินชาไปแล้ว หูฟังที่คล้องคออยู่ก็ไม่ได้ใช้งานมันอีกเลย
“กระวานไปหยิบของที่รถเจ๊ให้หน่อยสิ” เจ๊พิมพ์เดินเข้ามาสะกิดผมยิกๆ พลางส่งกุญแจรถให้ เห็นแบบนี้แกขับรถสปอร์ตราคาหลายล้านเชียวนะครับ “รองเท้าคู่นี้มันกัดทนไม่ไหว ถ้าเดินไปได้เจ๊คงไม่ขอร้อง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ” ยิ้มอย่างจริงใจส่งให้คนที่ผมเคารพและรัก รู้สึกเหมือนได้พี่สาวเพิ่ม จากเดิมมีแค่พี่ชาย น้องชายและน้องสาว ตอนนี้ได้พี่สาวเพิ่มมาอีกคน รู้สึกดีไปอีกแบบ
ผมเดินออกจากคลับไปที่รถสวยสีแดงเพลิง หลังรถหรูมีกล่องรองเท้าจำนวนมาก จังหวะที่หยิบกล่องที่ต้องการออกมาพลางเงยหน้า จังหวะนั้นมีรถลีมูซีนคันยาววิ่งเข้ามาจอดเทียบหน้าประตูคลับ ผมยืดคอมองอย่างสนใจ ไม่แน่ ลูกค้ารายนี้อาจเป็นเศรษฐีระดังพันล้าน มารถแพงขนาดนี้
ประตูด้านหลังเปิดออก คนลงจากรถทำให้ผมตกใจจนกล่องรองเท้าในมือร่วง รอยยิ้มหวานที่น่ามองถูกส่งไปให้คนที่ยังนั่งอยู่ในรถเป็นรอยยิ้มที่ผมมองว่าสวยมาก พอรถคันนั้นวิ่งออกไป ผมก็รีบเดินเข้าไปหาด้วยความสงสัยใคร่รู้อย่างที่สุด
“หอม” เรียกปุ๊บ เจ้าของชื่อก็หันมายิ้มแย้ม “ทำไมถึง...” ผมชี้ไปยังรถคันเมื่อกี้ และดูหอมจะเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังจะถาม
“คุณกันน่ะ” ผมรู้ว่าเขาชื่อกัน แต่สิ่งที่อยากรู้มากกว่านั้นคือ... “มาด้วยกันได้ยังไง จะถามแบบนี้ใช่ไหม” ว่าแล้วก็รีบพยักหน้ารัวๆ จนหอมหัวเราะออกมา “ก็แบบว่า”
“คบกันเหรอ” พูดจบ หน้าขาวเนียนของหอมก็ขึ้นสีระเรื่อ “เรื่องจริงเหรอเนี่ย ตั้งแต่เมื่อไหร่” นี่ผมตกข่าวไปหรือนี่ จะว่าไปก็ไม่ค่อยได้เจอหอม พักเที่ยงก็ไม่เจอ ผมยังคิดว่าตึกอีกฝั่งลูกค้าคงแน่นมากจนหาเวลาออกมาข้างนอกไม่ได้ ที่ไหนได้... “หอมแน่ใจคุณกันอะไรนั่นแล้วเหรอ”
“ไม่รู้สิ แค่เขาไม่รังเกียจหอม ก็พอแล้ว” ใบหน้าหวานยิ้มอ่อน แต่แววตาช่างดูมีความสุข “กระวานก็รู้ว่าหอมทำงานอะไร หาคนจริงใจก็แทบไม่มี แต่คุณกันเขาไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย เขาให้เกียรติหอมมาก”
“ดีจริง” ผมพูดออกไปจากใจจริง ตอนนี้ความคิดของหอมกำลังลอยมาเข้าหูของผม ให้เกียรติที่ว่าคงไม่ใช่แค่เรื่องการวางตัวอย่างเดียว “ถ้าเขาทำให้หอมมีความสุขได้ กระวานก็ดีใจด้วยนะ” การที่เราจะมีอะไรกับใคร ยิ่งเป็นคนที่เรารัก ความสุขก็จะเกิดขึ้นจนแทบไม่ต้องเอื้อนเอ่ยออกมา
“ว่าแต่กระวานเถอะ มีความสุขเหมือนกันใช่ไหมล่า” อยู่ๆ ผมก็กลายเป็นประเด็นเฉย พอตีหน้างง หอมก็กระแซะใหญ่ “กับบอสน่ะ”
“อะไรกับบอส หอมพูดอะไรไม่เห็นเข้าใจ”
“ก็แหม ตอนนี้เขารู้กันทั้งคลับแล้ว ว่ากระวานกับบอสคบกันอยู่” แทบสะดุดน้ำลายตัวเองหลังจากได้ยิน แม้จะส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆ แต่หอมก็ยังไม่หยุดพูด “รู้ไหม คนทั้งตึกอิจฉากระวานกันหมด”
“อิจฉาเรื่องอะไร แล้วหอมก็กำลังเข้าใจผิด เรากับบอสน่ะ...เดี๋ยวนะ หรือเพราะเรื่องนี้ทุกคนเลยมองเราแปลกๆ แถมไม่มีใครกล้าเข้ามาคุยด้วย”
จะว่าไป ตอนนี้แทบไม่มีพนักงานคนไหนกล้าคุยกับผม หรือหากจะคุยก็ก้มหน้าก้มตาไม่มีท่าทางกระโชกโฮกฮากอย่างแน่ก่อน กอดคอตบหัวก็ยิ่งไม่มี แถมเวลาลูกค้ามาหากผมเดินเข้าไปหา พนักงานคนอื่นๆ ก็จะถอยกันหมด
ต้นเหตุมาจากเรื่องเข้าใจผิดเรื่องนี้สินะ
“กระวานกับบอสยังไม่ได้ลึกซึ้งกันเหรอ” คำถามของหอมเรียกสติของผมให้กลับมา “ไม่อยากจะเชื่อ”
“ไม่อยากจะเชื่ออะไร”
“กระวานทนความร้อนแรงของบอสได้ยังไง”
“มันไม่มีอะไรทั้งนั้น”
“แหม”
“ไม่ต้องมาแหม รีบๆ ไปทำงานเลย”
“สั่งอย่างกับเป็นเมียเจ้าของ เอ้ หรือเป็นแล้ว”
ผมจัดการคนพูดมากด้วยการตีแขน หากเป็นคนอื่นคงถีบไปแล้ว แต่นี่เพราะเป็นหอม เป็นคนที่น่าทะนุถนอมเลยทำเพียงแค่นั้น เสียงหัวเราะยังดังเข้ามาให้ได้ยิน แต่นั่นไม่น่าสนใจเท่าสิ่งที่ผมกำลังวิตก
ทุกคนกำลังเข้าใจผมผิด! ไอ้กระวานอยากทึ้งหัวจนผมร่วงให้หมดหัว
เมื่อต้องกลับเข้าไปในสถานที่เดิมๆ แต่ทุกอย่างกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ผมคอยสังเกตท่าทางของทุกคนที่ดูจะเกรงใจผมมาก แต่ยังดีที่เจ๊พิมพ์กับดีนยังทำตัวเป็นปกติกับผมอยู่ ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย
ความอึดอัดในช่วงเช้ากำลังหมดไปจนพักเที่ยง ผมแยกออกมาด้านหลังเพราะอยากสูดอากาศที่สวนหย่อมเล็กๆ ตรงทางเชื่อม แต่แล้วผมก็คิดผิด เมื่อปัญหาใหญ่ที่ผมกลัวกำลังเกิดขึ้น ทันทีที่ผมเงยหน้าจากเท้าตัวเองสบตาเข้ากับคนรู้จักที่กำลังนั่งอยู่บนรถตู้เต่าสีชมพู ด้านข้างตัวรถติดสติ๊กเกอร์รูปปิ่นโตสีชมพูดังชื่อของร้าน
“พี่กระวาน!”
“กอล์ฟ?”
ฉิบหายแล้ว
“พี่มาทำอะไรที่นี่ แล้วทำไมถึงแต่งตัวเหมือนพนักงานอาบอบนวด ไหนเถ้าแก่บอกพี่ไปทำงานบริษัทเอเจนซี่อะไรนั่นไง”
“เรื่องมันยาว ลงมาคุยกันก่อน” ตอนนี้มือและขาผมสั่นไปหมด คนที่ผมเรียกก็ไม่ยอมลงจากรถ แถมสตาร์ทเครื่องไว้อีก “กอล์ฟ ลงมาตกลงกันก่อน”
“ไม่ เรื่องนี้ต้องรู้ถึงหูเถ้าแก่ พี่จะมาทำงานที่อาบอบนวดได้ยังไง มันไม่ถูกต้อง”
“ก็รู้ แต่มาคุยกันก่อน”
พูดยังไม่ทันจบ รถของร้านก็วิ่งฉิวออกไปโดยที่ผมวิ่งตามไม่ทัน ตายแน่ไอ้กระวาน ตายอย่างเขียดโดนรถทับแน่ โดนพ่อกับแม่กระทืบไส้แตกแน่ ไม่อยากจะนึกสภาพตัวเองเลยให้ตายสิ และสิ่งที่กลัวก็ไม่รอช้า ไม่ถึงห้านาทีก็มีโทรศัพท์ดังขึ้น พอกดรับคำสั่งเฉียบขาดให้กลับบ้านก็กระแทกเข้ารูหูก่อนจะวางสายไปโดยไม่รอคำตอบใดๆ
จบสิ้นแล้วกระวานเอ๋ย
ผมเดินคอตกไปขอกลับบ้านก่อน เจ๊พิมพ์พยักหน้าเมื่อรู้ถึงสาเหตุว่าทำไมผมต้องกลับบ้านก่อนจะหยิบพระที่วางอยู่บนหลังตู้มาให้ผมองค์หนึ่งพร้อมประโยคอวยพร
“ขอให้พระรอดคุ้มครองให้รอดปลอดภัยนะกระวาน”
ผมควรรู้สึกดีใช่ไหมเนี่ย
เดินเข้าห้องล็อกเกอร์เพื่อเปลี่ยนชุด มองหน้าตัวเองในกระจกแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ความลับมันไม่มีในโลก ถึงไม่รู้วันนี้ วันหน้าก็ต้องรู้ ให้กำลังใจตัวเองเสร็จก็ดึงประตูเปิดแล้วก็ต้องตกใจเมื่อมีคนยืนอยู่
“บอส มีอะไรกลับผมหรือเปล่า”
“โดนเรียกกลับบ้านเหรอ” พยักหน้าแทนคำตอบ รู้สึกไร้เรี่ยวแรงมากตอนนี้ เพราะยังนึกภาพไม่ออกว่าจะโดนอะไรบ้าง ไม่อยากทะเลาะกับคนในครอบครัวเลย “เดี๋ยวฉันไปส่ง”
“ไม่เป็นไร ผมกลับเอง”
แล้วเคยฟังผมซะทีไหน ข้อมือถูกจับแล้วดึงให้เดินตาม ท่ามกลางสายตานับสิบๆ คู่ที่มองมา บ้างก็กระซิบกระซาบคุยกัน แน่นอนว่าต้องคุยเรื่องผม แต่หากมีเวลามากกว่านี้ ผมคงจะหยุดอธิบายในสิ่งที่พวกเขาคิดกัน
ผมยังไม่ได้ฟิชเชอริ่งกับบอสเว้ย อย่าคิดท่าทางลีลาไปก่อน
ตลอดทางที่นั่งรถมา มือของผมถูกมือใหญ่กุมมาตลอด หลายครั้งที่ผมถอนหายใจ มือใหญ่นั่นจะบีบเบาๆ ให้รู้สึกว่ายังอยู่ข้างๆ แม้มันจะรู้สึกดีมาก แต่ก็สลัดความเครียดออกไม่ได้ จนรถคันแพงจอดนิ่งที่หน้าร้าน ผมก็เริ่มกระสับกระส่าย
“ให้เข้าไปด้วยไหม” น้ำเสียงทุ้มมาพร้อมสายตาเป็นห่วงเป็นใย แต่ผมเลือกจะส่ายหน้าตอบกลับ “จะรออยู่ตรงนี้นะ”
“ครับ”
ทุกก้าวที่เดินไปข้างหน้า ผมจะนับเลขอยู่ตลอดเพื่อให้มีสติ จนเหยียบพื้นของร้านผมก็เงยหน้าขึ้น เจอสายตาที่จ้องมองด้วยความโกรธ พ่อปรี่เข้ามาหา ผมรีบยกแขนขึ้นกันหน้าตัวเองไว้เผื่อโดนต่อย แต่เปล่าเลย พ่อเดินเข้ามาหาแล้วดึงให้ผมเข้าไปนั่ง แอบเห็นเพกาอยู่หลังร้าน พ่อคงสั่งไม่ให้ออกมาแน่
“มีความจริงอะไรจะบอกพ่อไหมกระวาน” พ่อยืนกอดอกอยู่ตรงหน้า เยื้องๆ ไปคือไนท์ แล้วก็ไอ้คนขี้ฟ้องอย่างกอล์ฟ ที่หลบอยู่หลังซัน “กระวาน” พ่อเรียกอีกทีจนผมหันกลับมามอง “บอกความจริงพ่อ ว่าทำไมกระวานต้องไปทำงานที่นั่น ทำไมต้องโกหกพ่อกับแม่ว่าไปทำงานกับเพื่อน ทำไมกระวาน”
“กระวานทำแหวนเขาหาย” โพล่งออกไป พ่อดูตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจนเซไปด้านหลัง โชคดีที่ซันขยับเข้ามารับ ไม่งั้นอาจล้มก็ได้ “แหวนที่แม่เขาให้ ไม่มีขายที่ไหน กระวานทำของเขาหาย”
“ก็เลยต้องทำงานใช้หนี้เหรอ” พ่อถามอย่างไร้เรี่ยวแรง ยิ่งพอผมพยักหน้ารับ พ่อก็ทรุดนั่งกับเก้าอี้ “ทำไมกระวานไม่บอกเรื่องนี้กับพ่อ หรือกระวานเห็นว่าพ่อกับแม่ไม่สำคัญ”
“ไม่ใช่นะ กระวานรักพ่อกับแม่ รักพี่ไธม์ โป๊ยกั๊กแล้วก็เพกามาก”
“ก็แล้วทำไมไม่บอกเรื่องสำคัญแบบนี้ เราทุกคนจะได้ช่วยกันแก้ปัญหา”
“ก็กระวานไม่อยากให้ทุกคนมาเดือดร้อนกับเรื่องนี้ กระวานทำเองก็ต้องชดใช้ มันถูกแล้ว”
“แหวนนั่นมันวงเท่าไหร่ เดี๋ยวพ่อจะใช้คืนให้ เงินในบัญชีพ่อก็มี”
“สิบล้าน”
“สิบล้าน!!”
เสียงตะโกนออกมาหลายเสียงจนแยกไม่ออกว่าเสียงใครสูงหรือต่ำกว่า รู้แค่ว่าพ่อร้องหายาดมแล้วตอนนี้
“กระวานขอโทษนะพ่อ”
“จะเป็นลม” ไนท์รีบเอาพัดมาพัดให้พ่อผม ก่อนที่จะได้ยาดมจากซัน “แหวนอะไรราคาตั้งสิบล้านน่ะกระวาน”
“มันเป็นแหวนที่พ่อทำให้แม่ของเขา เป็นแหวนที่มีวงเดียวในโลก หัวแหวนเป็นไพลินเม็ดใหญ่ ตัวแหวนแกะสลักเป็นรูปเกลียว” ก่อนจะบรรยายมากกว่านี้ พ่อก็รีบยกมือขึ้นให้หยุดพูด “กระวานก็ไม่รู้ว่าไปทำหายไว้ที่ไหน แต่มันหาไม่เจอจริงๆ กระวานเลยต้องทำงานใช้หนี้”
พูดไม่ทันจบ พ่อก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าหลังร้านไป ไม่นานก็ออกมาพร้อมซองเอกสารบางอย่าง
“โฉนดของร้านนี้ ถ้าขายคงได้มากพอที่จะใช้หนี้”
ทุกคนได้ยินต่างก็สบถกันจนเสียงหลงรวมทั้งผม และก่อนที่จะมีใครพูดต่อ หน้าร้านก็มีคนมายืนจังก้า ทำให้ทุกสายตาหันไปมองอย่างสนใจ นายจักรพรรดิไม่รู้สึกรู้สากับการถูกจ้อง เขายังก้าวขาเดินเข้ามาด้วยท่าทางสบายๆ เป็นผมซะอีกที่เหงื่อตกแทน
“บอสจะเข้ามาทำไม” กระซิบถามเมื่อคนมาใหม่หยุดอยู่ข้างๆ
“ผมคงรับโฉนดของที่นี่ไม่ได้หรอกครับ” นายจักรพรรดิไม่ได้สนใจคำถามผมเลย สายตาคมจ้องพ่อผม หากริมฝีปากไม่ติดรอยยิ้มไว้ ผมคงคิดว่าเขากำลังหาเรื่องพ่อผมอยู่แน่ เล่นจ้องชนิดที่ไม่วางตาขนาดนั้น
พ่อผมหน้าตาน่ารักล่ะสิ มีหลายคนที่ติดใจทั้งฝีมือและหน้าตาพ่อผมมามาก
“ทำไมจะรับไม่ได้ กระวานเป็นลูกผมๆ ก็ต้องช่วย” พ่อยังไม่ยอม แถมตอนนี้ขยับมายืนประชันหน้ากันอีก “นี่โฉนด”
“บ้านคุณสอนลูกให้ไม่มีความรับผิดชอบหรือ” แทบจะทันทีที่ประโยคนั้นจบลง ผมรวมถึงทุกคนในร้านพากันเบิกตาโต
“คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
“ผมแค่คิดว่า ปัญหาที่กระวานก่อขึ้น เขาควรเป็นคนแก้เอง” ผมกลืนน้ำลายเมื่อถูกหันมามองหน้า “หรือคุณพ่อว่าไงครับ” น้ำลายที่กลืนเมื่อกี้แทบพ่นออกมาหลังจากได้ยินคำเรียก
“มันก็...” พ่อผมอึกอักพูดไม่ออก
“แล้วผมก็ไม่ได้ใช้งานอะไรกระวานหนักเลย เขาแค่มีหน้าที่ต้อนรับลูกค้าที่มาใช้บริการก็แค่นั้น”
“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ จะให้กระวานทนอยู่ในสถานที่ๆ มีแต่คนคิดเรื่องอย่างว่าได้ยังไง” พ่อทำหน้าเครียดพลางหันมามองผม “กระวานทนฟังได้เหรอ ไหนเคยบอกพ่อว่า ไม่อยากไปอยู่ในที่คนเยอะๆ ที่ๆ มีแต่คนคิดเรื่องพรรค์นั้นไง”
“ตอนแรกกระวานก็คิดแบบนั้น แต่พออยู่ๆ ไปมันก็ชิน” พูดเสียงอ่อย “กระวานขอโทษนะพ่อ แต่กระวานจะรับผิดชอบเอง” ผมเดินเข้าไปกอดพ่อ “กระวานขอโทษ”
“เอาเถอะ ถ้ากระวานตัดสินใจแล้ว พ่อก็จะไม่ยุ่ง เหมือนที่เคยบอกไป แต่ถ้าปัญหามันหนักเกินที่จะแบกไหว กระวานต้องบอกนะ ห้ามเก็บเงียบแบบนี้อีก ไม่งั้นพ่อจะตัดออกจากกองมรดก”
“พ่อละก็”
จากความตึงเครียด ตอนนี้ภายในร้านเริ่มมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะมาบ้าง
“แต่พ่อต้องบอกแม่นะ กระวานจะถูกแม่ลงโทษยังไงพ่อก็จะไม่ยุ่ง”
“ครับ” ก้มหน้ายอมรับผิด “แต่พ่อกับทุกคนอย่าบอกโป๊ยกั๊กนะ กระวานไม่อยากให้เกิดเรื่อง นิสัยมันเป็นยังไงทุกคนน่าจะรู้ดี” แล้วทุกคนก็พยักหน้ารับรวมทั้งเพกาที่แอบฟังอยู่ห่างๆ ด้วย
จบแล้ว รอดซะที
“คุณเป็นเจ้าของอาบอบนวดใช่ไหม” อยู่ๆ พ่อก็ถามขึ้น สายตาดุที่ผมแทบไม่เคยเห็นพุ่งตรงไปยังคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างผม “ผมขอฝากลูกผมด้วยนะ กระวานดูภายนอกอาจเหมือนคนปกติ แต่เขา...”
“คุณพ่อจะบอกว่าเขา...ไม่ปกติเหรอครับ”
“บอส”
ผมรีบขัดกลางปล้องเมื่อถูกกล่าวหาว่าสติไม่ดี นายจักรพรรดิฟังพ่อผมยังไม่จบดีก็สรุปเอาเอง แถมพ่อผมชี้หู แต่เขาดันชี้ไปที่ขมับตัวเอง แต่นั่นมันก็ทำให้ทุกคนหลุดหัวเราะ รวมทั้งพ่อและคนพูดด้วย มีเพียงผมที่หน้าบูดเป็นตูด
“เรื่องบางเรื่อง ผมก็ไม่สามารถบอกได้”
“ผมไม่เร่งรีบอยู่แล้ว”
“ก็ดี”
นี่พ่อกับนายจักรพรรดิคุยกันเรื่องอะไรอยู่ ทำไมผมถึงไม่รู้
ปัญหาหนักหัวไปในทางที่ดี พ่อผมเลยโชว์ฝีมือทำกับข้าวเลี้ยงทุกคนซะเลย ได้ยินไอ้คนขี้ฟ้องบอกลาภปาก ดีแค่ไหนแล้วที่ผมไม่กระทืบมันข้อหาปากมาก แต่มันก็ทำให้ผมสบายใจขึ้นที่ไม่ต้องปิดบังอีก ผมรู้สึกผิดทุกครั้งที่ต้องโกหกเวลาออกไปทำงานและเวลากลับดึก ตอนนี้โล่งอย่างที่สุด
***
แล้วมื้อเที่ยงที่ค่อนไปทางบ่ายแก่ก็จบลง พ่อยืนส่งผมไปทำงานโดยมีเพกาโบกมือหยอยๆ พร้อมรอยยิ้มหวาน เมื่อกี้สั่งไปแล้วเชียวว่าห้ามยิ้มให้นายจักรพรรดิ เกิดหลงชอบน้องสาวที่น่ารักของผมจะทำยังไง แล้ววันนี้โรงเรียนก็ดันหยุดอีก ได้เจอเรื่องดีเลย
“พ่อนายน่ารักดีนะ น้องสาวก็ด้วย”
“ชมพ่อได้ แต่ห้ามชมน้องผม” ขู่ฟ่อๆ ด้วยสายตาจนถูกขำ “ห้ามแม้แต่จะคิดมิดีมิร้าย” ลองคิดให้ผมได้ยินดูสิ มาเฟียก็มาเฟียเถอะ
“ว่าแต่ คนที่ชื่อโป๊ย...เซียน ใช่ไหม เขาเป็นใคร เป็นแฟนนายเหรอถึงกลัวไม่อยากให้รู้” ผมไม่ได้ตอบอะไรนอกจากหัวเราะจนน้ำตาไหล น้องผมกลายเป็นยาดมไปแล้ว “หัวเราะทำไม ฉันพูดอะไรผิดเหรอ”
“อื่อ” พยักหน้าทั้งที่ยังขำ
“อะไรที่มันผิดล่ะ” คนไม่รู้ตัวยังทำหน้างง “กระวาน บอกมาสิ”
“ชื่อมันผิด”
“ชื่อผิด? โป๊ยเซียนน่ะเหรอ แล้วเขาไม่ได้ชื่อนี้เหรอ”
“โป๊ยกั๊กต่างหาก โป๊ยเซียนนั่นมันยาดมแล้ว” ว่าแล้วก็หัวเราะอีกรอบ คราวนี้คนพูดชื่อผิดก็หลุดขำออกมาด้วย “ถ้ามันรู้ว่าถูกเรียกว่าโป๊ยเซียน คงควันออกหูแน่”
“แฟนเหรอ” ทำไมถึงรู้สึกเสียงเข้มแปลกๆ จากที่ยิ้มเมื่อกี้ ตอนนี้หน้าตึงพอสมควร ผมแกล้งทำนิ่งจนถูกมือใหญ่ยื่นมาบีบปาก “จะตอบไม่ตอบ”
“ตอบๆ” เสียงอู้อี้เพราะปากเหมือนปลาบู่
“ตอบว่า?”
“บอสถามว่าอะไรนะ”
มีเสียงจิ๊จ๊ะมาให้ได้ยินก่อนจะพูด “ถามว่าเป็นแฟนเหรอ คนที่ชื่อโป๊ย...กั๊ก” นายจักรพรรดิดูไม่มั่นใจเท่าไหร่ในการเรียกชื่อน้องผม ตลกดี แต่ชื่อมันก็เรียกยากจริงๆ นั่นแหละ
“น้องชายแท้ๆ คลานตามผมมาเลย” บอกไปปุ๊บ ก็ได้เห็นรอยยิ้มจากคนถามทันที “ที่ผมไม่อยากให้รู้ ก็เพราะน้องผมมันคนเลือดร้อน กลัวว่าจะมาหาเรื่องที่คลับ”
“เหรอ” ดูเป็นคำพูดที่ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ “โป๊ยกั๊กนี่ ชื่อมาจากไหน แปลกดี”
“เครื่องเทศชนิดหนึ่ง”
“กระวานก็ใช่ โป๊ยกั๊กก็ใช่ ยังมีอีกไหม”
“พี่ชายคนโตผมชื่อใบไธม์”
“ชื่อนี้ฉันรู้จัก ใส่อาหารอร่อยดี แล้วน้องสาวที่น่ารักเมื่อกี้ล่ะ ชื่ออะไร”
“เพกา แต่บอสห้ามยุ่งเด็ดขาด น้องผมยังเด็ก ไม่เหมาะกับมาเฟียด้วย” เหล่ตามองคนที่ดูไม่น่าไว้ใจ เวลาพูดถึงเพกา นายจักรพรรดิจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทุกที ยังดีที่เขาไม่ได้คิดเรื่องแบบนั้นด้วย แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ น้องเพกายิ่งเป็นคนน่ารัก จิตใจดีแถมยิ้มสวยอยู่ด้วย
“แล้วใครล่ะที่เหมาะกับมาเฟีย”
“จะไปรู้ได้ไงเล่า บอสอยากได้คนไหนก็จิ้มสิ หล่อ รวย ใครๆ ก็อยากได้”
“กระวานล่ะ”
“อะไร”
“ไม่อยากได้เหรอ”
“อยากได้อะไร”
“ไม่อยากเป็นคนของมาเฟียเหรอ”
สะบัดหน้าไปมองจนคอแทบจะหลุดออกจากบ่า รอยยิ้มที่ส่งมากับแววตาที่จ้องมองมันดูจริงจังไม่มีความตลกหรือล้อเล่นแม้แต่น้อย ผมเจอผู้ชายหล่อระดับพระเอกมาเป็นร้อย ใจเต้นนับครั้งไม่ถ้วนเวลาอยู่ใกล้ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนหรือคนไหนที่เขย่าหัวใจผมได้มากขนาดนี้ มากซะจนได้ยินเสียงจังหวะการเต้นที่ชัดเจน
“ว่าไง”
“บอสพูดเป็นเล่น” แกล้งเฉไฉและให้ดูเป็นเรื่องน่าขบขัน แต่คนที่นั่งหลังพวงมาลัยยังนิ่ง “บอสมองถนนสิ เดี๋ยวรถก็ชนหรอก”
“ติดไฟแดงอยู่ไม่เห็นหรือไง”
ถ้าเป็นละครละก็ คงมีเสียงแป่วดังแทรกขึ้นมากับฉากเมื่อกี้แน่ ผมได้แต่หันไปมองนอกหน้าต่าง โดยที่ดวงตากระพริบถี่เกินความจำเป็น
“ผมลางานแล้วๆ ทำไมต้องมากับบอสด้วยเนี่ย”
“เปลี่ยนเรื่องตลอด” พอดีกับสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว สายตาที่มองตาเลยต้องหันไปสนใจทางข้างหน้า “ไปเอารถไง หรือจะทิ้งไว้ที่นั่น”
“แล้วบอสจะโมโหทำไมเนี่ย” ใส่อารมณ์ด้วย
“ไม่บอก”
“เอ๊า” นี่ผมกำลังคุยกับนายจักรพรรดิ เจ้าของอาบอบนวดที่มีแต่คนเกรงขาม หรือผมกำลังคุยกับเด็กประถมที่แสนขี้งอนอยู่กันแน่ “ถ้าบอสได้รู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับผม บอสอาจจะถอยห่างจากผมก็ได้” เมื่ออีกคนดูจริงจัง ผมก็เลยจริงจังบ้าง ประโยคที่ผมบอก ฟังดูเหมือนจะงงๆ แต่เพราะมันคือเรื่องที่ผมกำลังซ่อนอยู่ ความลับที่ไม่อยากให้ใครได้รู้ เป็นสิ่งที่ทำให้คนสนิทตีห่างผมมาแล้ว และผมก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นอีก เพราะผมคงทนไม่ได้หากคนที่ผมเผลอรู้สึกดีด้วยทำร้ายจิตใจ
“อย่าตัดสินกันจากสิ่งที่นายเคยผ่านมา จำไว้”
...TBC
เมื่อวานไม่ได้ลง ต้องขออภัยจริงๆ ค่าา
ยังไงแล้ว ขอฝากคู่กระวานด้วยนะคะ หากขาดๆ เกินๆ ขออภัยจริงๆ ค่า จะพยายามพัฒนาให้มากกว่าเดิม
แล้วพบกันตอนหน้าค่าา (-/l\-)~~