,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,,[ตอนพิเศษ ตึก2ต้องห้าม][P.6] /{02/03/62}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,,[ตอนพิเศษ ตึก2ต้องห้าม][P.6] /{02/03/62}  (อ่าน 30530 ครั้ง)

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
แหวนอยู่ไหนน่ะ  :hao4:

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
แหวนอยู่ไหนน่ะ  :hao4:


เราว่าจักรพรรดิซ่อนไว้เองมากกว่า  :z1: :z1: :z1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
หายไปนานมากกกกกกกนึกว่านักเขียนจะเทซะแล้ว ขอบคุณที่มาต่อให้นะคะ จักรพรรดิคงเริ่มสงสัยอะไรแล้วแน่ๆ แต่คงไม่มองส่ากระวานมาร้ายหรอกนะ แล้วแหวนนี่สรุปหายจริงเหรอ หายไปไหนอะ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ความเผือกของกระวานเป็นเรื่องเลยจ้า
ไม่ได้อยากรู้ธรรมดา อยากรู้มาก 5555
แล้วแน่ใจหรอว่าแหวนหายจริง โดนหลอกซะละมั้ง

คุณหนึ่งนี่ยังไงคะ ชอบมาก่อกวนกระวานนะ
ติดใจกระวานล่ะสิ คนกวน แอบเปรี้ยวใจเบาๆ
อยากให้เค้ามาอยู่ใกล้เลยหาเรื่องให้หรอ

เป็นกระวานชีวิตลำบากไปอีก คือได้ยินแต่เรื่องไม่รื่นรมย์
แต่ก็ใช้ชีวิตผ่านมาได้แบบกวนๆ เกรียนๆ ด้วยนะ  o13


ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5

-8-





        จากวันที่ผมช่วยให้บริษัทมีลูกค้าวีไอพีเพิ่มนั้น มันก็ไม่ทำให้ผมได้อภิสิทธิ์เหนือคนอื่น ผมก็ยังคงต้องจำรายชื่อหมอนวดทุกคน จำหน้าตา สัดส่วนทุกอย่างเพื่อเตรียมเริ่มงาน และตั้งแต่มาทำงานที่นี่ ผมกลับบ้านค่อนข้างดึก ยังดีที่ผมโกหกไปว่าทำงานเอเจนซี่ ซึ่งมันทำงานไม่เป็นเวลาอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้น คงโดนคาดคั้นอย่างหนัก หรือไม่ก็ถูกแม่ใช้ลูกค้าผีมาคาดคั้นผมแทนแน่


   พูดแล้วก็ขนลุก


   “กระวาน บอสเรียกขึ้นไปพบน่ะ” พนักงานเชียร์แขกของที่นี่มาสะกิดไหล่เรียก ผมยิ้มขอบคุณก่อนจะปิดแฟ้มหนาลง

   จะเรียกไปหาทำไม ไม่มีเรื่องอะไรสักหน่อย

   คนเรียกผมนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม ทันทีที่ผมเดินเข้าไป นายจักรพรรดิก็เงยหน้าขึ้นมามอง พลางชี้ให้มานั่งตรงหน้าเขา พอทิ้งตัวนั่งลงห้องทั้งห้องก็เงียบ ความอึดอัดเข้าจู่โจมผมทันที

   “ที่ผมเรียกคุณมา” อยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นจนผมสะดุ้ง “เพราะลืมไปว่า เรายังไม่ได้คุยเรื่องเงินเดือน” ผมปล่อยให้เขาพูดต่อโดยไม่ขัด อยากรู้เหมือนกันว่าผมจะได้เงินเดือนเท่าไหร่ บวกลบคูณหารไปกี่ปีถึงจะใช้หนี้หมด “จากที่ประเมินความสามารถกับเซ้นส์ของคุณแล้ว เงินเดือนที่ผมจะให้ก็ประมาณ...”

   “หนึ่งแสน!” ตกใจทำตาโตเมื่อเห็นจำนวนเงินที่ระบุในกระดาษตรงหน้า นายจักรพรรดิยื่นแฟ้มสัญญาว่าจ้างมาให้ผม “เงินเดือนผมเดือนละแสนเหรอครับ” ภายนอกอาจดูตกใจ แต่ภายในดีใจราวกับลิงโลด ก่อนจะถูกยิงลิงตัวนั้นทิ้งด้วยประโยคของนายจ้าง

   “หนึ่งแสน หักค่าแหวนที่คุณทำหาย เจ็ดหมื่น”

   “หักเจ็ดหมื่นก็เหลือสามหมื่น มันก็เท่ากับคนอื่นๆ”

   “ก็ใช่ไง”

   “แล้วคุณบอกจะให้เดือนละแสนทำไม”

   “ก็ถ้าเดือนละสามหมื่น คุณต้องทำงานที่นี่กี่สิบปีถึงจะใช้หมด” จะอ้าปากเถียงก็ถูกยกมือห้าม “อีกอย่าง สัญญาระบุแบบนั้น แต่อ่านหมายเหตุท้ายกระดาษด้วย”

   ว่าแล้วผมก็รีบใช้สายตาสั้นร้อยกว่าอ่านตามที่บอก หมายเหตุด้านล่างระบุว่า เงินเดือนจะถูกหักเพิ่มหากยอดลูกค้าไม่ได้ตามเป้าหมายที่กำหนด มันมีแบบนี้ด้วยเหรอวะ เอาไปฟ้องกรมแรงงานได้ไหมเนี่ย

   “นี่มันแรงงานทาสชัดๆ”

   “งั้นคุณก็หาแหวนผมให้เจอสิ”

   ทำไมชอบเอาเรื่องนี้มาพูดอยู่เรื่อยวะ ชักจะโมโหแล้วนะ

   “มันจะมากไปแล้วนะ!” ตบโต๊ะเสียงดังพลางจ้องหน้าคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง

   “หรือไม่ทำก็ได้นะ”

   “ทำ!”

   “ก็แค่นั้น”

   ได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัดเพราะทำอะไรไม่ได้ ชีวิตไอ้กระวานคนนี้ทำไมต้องมาถูกคนอื่นข่มเหงกันแบบนี้ด้วย ผมเดินคอตกออกจากห้อง รู้สึกหมดแรงไม่อยากทำอะไรต่อ หนึ่งแสนที่จะได้หายวับไปกับตา ถึงแม้เงินสามหมื่นจะมากก็เถอะ แต่กว่าจะได้ ผมต้องได้ลูกค้าวันหนึ่งไม่ต่ำกว่าสิบคน สำหรับผมแล้วมันก็ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายที่ต้องไปแย่งลูกค้ากับคนอื่นๆ เผลอๆ อาจโดนเขม่นเอา


   อุตส่าห์หนีการต่อสู้การหางานมาแล้ว สุดท้ายก็ต้องวนกลับมาเจอแบบเดิม เหนื่อยอีกแล้วไอ้กระวาน




****


   
   แล้ววันแห่งการต่อสู้ก็มาถึง ความตื่นเต้นที่ไม่คิดว่าจะมีก็เกิดขึ้น เหงื่อออกทั้งมือและเท้าเต็มไปหมด ผมยืนอยู่ตรงหน้าห้องกระจก รอเวลาที่ลูกค้าจะเข้ามา พนักงานที่ยืนอยู่ด้วยกันมีประมาณสิบกว่าคน ไม่รวมพนักงานเสิร์ฟที่เตรียมเครื่องดื่มไว้บริการ 
 
   เอาวะ สู้ไม่ถอยละงานนี้

   เสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามาทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเดิม ต่างจากทุกคนที่มีสีหน้าเรียบเฉย และพอเห็นหน้าลูกค้ากลุ่มแรก พวกหน้าบึ้งก็รีบฉีกยิ้มราวกับถูกของเข้า มีแบบนี้ด้วยเหรอวะ มัวแต่ตะลึงจนพนักงานคนอื่นๆ แย่งบริการลูกค้าไปเสียหมด

   “ช้านะ” เสียงกระซิบชิดใบหูทำเอาผมสะดุ้ง พอหันไปดูถึงเห็นว่าเป็นใคร “มัวแต่เหม่อแบบนี้จะไปสู้ใครเขาได้”

   “เดี๋ยวก็ได้เองแหละ” ตีรวนใส่ ไม่สนว่าคนที่คุยด้วยจะเป็นถึงเจ้าของที่นี่ “คุณเปลี่ยนน้ำหอมเหรอ กลิ่นแปลกๆ”

   “สนใจน้ำหอมผมด้วยเหรอ” คนถามยกยิ้มมุมปากอย่างน่าหมั่นไส้

   “ไม่ได้สนใจสักนิด มันลอยมาเข้าจมูกเอง”

   “ลอยเข้าจมูกเองแต่ก็รู้ว่าผมเปลี่ยน เหตุผลฟังขึ้นดีนะ”

   “คุณไม่ทำงานเหรอ ถึงว่างลงมาหาเรื่องผมเนี่ย”

   ไม่ได้สนใจคนรอบข้างที่มองมาด้วยสายตาตกตะลึง ผมไม่รู้หรอกว่าคนที่นี่จะเกรงกลัวนายจักรพรรดิแค่ไหน แต่สำหรับผม เขาก็คน ผมก็คน แม้เขาจะเหนือกว่าตรงที่เป็นนายจ้างก็เถอะ

   “พอดีงานเสร็จเร็วเลยลงมาตรวจความเรียบร้อย”

   มาตรวจความเรียบร้อยหรืออยากมาจับผิดผมกันแน่

   “งั้นเชิญคุณบอสตรวจตามสบาย ผมขอตัวไปรับลูกค้าก่อน”

   เดินปั้นปึงออกมาโดยมีเสียงหัวเราะตามหลัง ผมว่านะ เขามาจับผิดผมแน่นอนไม่ต้องฟันธงก็รู้ แต่ตอนนี้ต้องเลิกสนใจคนนิสัยเสียก่อน คนที่ผมควรสนใจคือตาลุงผมขาวคนนี้ ถ้าให้เดาอายุจากการคาดคะเนด้วยสายตาคงราวๆ เจ็ดสิบขึ้น แต่ความคิดจิตสำนึกของลุงยังเหมือนคนอายุสามสิบกว่า ฟิตจริงนะลุง

   “ผมอยากได้คนจับเส้นลึกๆ น่ะ เอาแบบลึกๆ แน่นๆ เน้นๆ” คำพูดและแววตาแสดงออกอย่างชัดเจนจนผมต้องเม้มริมฝีปาก “ขอแบบนี้นะ หุ่นแบบนี้”

   “ครับผม ชัดแจ๋วเลยครับ” ความคิดลุงชัดแจ๋วเลยจริงๆ ผมเดินพาลุงแกมาที่หน้าห้องกระจก หรือคนทั่วๆ ก็จะเรียกตู้กระจกก็เถอะ ใช้สายตาเลือกๆ ดูแล้วก็เจอ “คนนั้นเป็นไงครับ ตรงตามที่คุณลูกค้าตรงการเป๊ะเลย หุ่นแบบนี้” ทำมือวาดรูปทรงหุ่นให้ดู “แถมนวดได้แน่นและลึก รับรองเส้นที่จมๆ อยู่เด้งดึ๋งขึ้นมาแน่”

   “ดีๆ เอาคนนั้น แหม มาทุกครั้งไม่เคยมีใครจัดถูกใจแบบนี้สักที ผมชอบ” ยิ้มแห้งๆ ส่งให้ มือก็กดเรียกหมายเลขที่ลุงแกเลือก “นี่รางวัลนะ คราวหน้าจะเรียกอีก” โดนตบไหล่เน้นๆ จนเกือบทรุด

   “ขอบคุณครับ หากคราวหน้าต้องการบริการถูกใจ เรียกใช้ผมได้นะครับ”

   โบกมือให้กับลูกค้ารายแรกของผมที่เดินควงหมอนวดสาวหุ่นดีเข้าไปในลิฟต์ จบสิ้นแล้วชีวิต แค่คนแรกหูผมก็อื้อไปหมด ไม่อยากจะคิดว่าวันๆ หนึ่งต้องเจอแบบนี้อีกเป็นสิบเป็นร้อยความคิด ผมคงจะเป็นบ้าเข้าสักวัน

   “เก่งนี่ แป๊บเดียวก็ได้ทิปแล้ว” เสียงลอยมาแต่ไกล พร้อมๆ กับคนพูดที่เดินเอื่อยๆ เข้ามาหา

   “คุณบอสมาจับผิดผมจริงๆ ใช่ไหม” ที่ผมเรียกบอสก็เพราะเป็นกฎ และการพูดเรียกลูกค้าหรือขอบคุณลูกค้า ผมก็ถูกฝึกมาให้ท่องจำเป็นร้อยๆ ครั้ง เคยแอบนอนหลับแล้วละเมอจนโป๊ยกั๊กตกใจคิดว่าผมถูกลูกค้าแม่ (ผี) ยืมร่าง

   “ผมมาตรวจงาน” ยังย้ำคำเดิมอีก

   “แต่ผมถามพนักงานคนอื่นๆ แล้ว เขาบอกคุณบอสจะให้ผู้ช่วยอย่างดีนมาตรวจ หากไม่มีแขกคนพิเศษคุณบอสจะไม่ลงมา โอ๊ย” ถูกดีดหน้าผากอย่างแรงจนหน้าเบี้ยว

   “เรียกแค่บอสก็พอ คุณไม่ต้อง”

   “บอกดีๆ ก็ได้” บ่นอุบอิบพลางลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ “ได้ครับบอส จะเรียกแค่บอสก็พอ”

   “นู้น ลูกค้ามาแล้ว ช้าอดนะ” ผมมองปากแดงๆ ยื่นไปทางประตูก็เห็นลูกค้าเดินเข้ามากลุ่มใหญ่

   เอาวะ ใช้พลังพิเศษให้คุ้มค่ากับการที่มันติดมาสักหน่อย แต่ตอนนี้ผมต้องแยกเสียงคนในห้องนี้ให้ได้ก่อน มันปนกันไปมาจนไม่รู้ความคิดพวกนั้นเป็นของใคร





***

   
   “จะตายแล้ว” นอนแผ่หลาบนเตียงนุ่มของตัวเอง กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่พ่อใช้ยังหอมแม้ไม่ได้ซักมาเป็นอาทิตย์ก็ตาม ผมหลับตาปล่อยให้สมองและหูได้พัก หลังจากใช้งานมันมาทั้งวัน พอปล่อยไปเรื่อยๆ ก็ผล็อยหลับ มารู้ตัวก็ตอนที่ถูกเขย่าปลุก

   “ไม่อาบน้ำเหรอกระวาน เดี๋ยวเตียงก็เหม็นหรอก” โป๊ยกั๊กเรียกด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ปกติจะชอบหาเรื่องทะเลาะกันประจำก็เถอะ “ตัวกระวานเหม็นบุหรี่มากเลยนะ ถ้าพ่อกับแม่ได้กลิ่นละก็ โดนบ่นหูชาแน่”

   ผมว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติแล้วล่ะ

   “นาย ไม่ใช่โป๊ยกั๊ก?” พอคิดได้แบบนี้ผมก็ดีดตัวไปชิดกำแพง สายตาจ้องคนที่หน้าตาเหมือนน้องชายของผม ไม่สิ มันคือน้องชายของผม แต่ตอนนี้ไม่ใช่คนเดิม “วันนี้...”

   “แรมสิบห้าค่ำน่ะ” ว่าเสร็จก็ลุกไปชี้ปฏิทินริมหน้าต่าง

   “กานพลูเหรอ” ถามอย่างไม่มั่นใจ แต่พอเห็นรอยยิ้มกว้างของอีกฝ่ายก็ทำให้มั่นใจได้ทันที “ชอบทำให้ตกใจอยู่เรื่อย หัวใจจะวายตายอยู่แล้ว”

   “กระวานก็อย่าขี้กลัวสิ”

   “ก็ไม่ได้อยากขี้กลัวสักหน่อย”

   “งั้นก็ควรชินได้แล้ว เจอกันออกจะบ่อย”

   ไม่ชิน และไม่มีทางชินด้วย จะให้ชินได้ยังไงในเมื่อปกติแล้ว กานพลูจะอยู่แค่ในกระจกเวลาโป๊ยกั๊กส่องหรือเดินผ่าน คงยังไม่ลืมใช่ไหมครับ ว่าพลังพิเศษของโป๊ยกั๊กคือการมีอีกคนที่สะท้อนผ่านเงาของกระจก ที่สำคัญ นิสัยต่างกันสุดขั้ว และพลังนั้นยังมีส่วนที่พิเศษขั้นกว่า คือทุกๆ แรมสิบห้าค่ำ คนในกระจกจะกลืนโป๊ยกั๊กให้หายไปและจำอะไรไม่ได้ในช่วงที่ถูกสลับตัว

   มันเป็นพลังพิเศษที่ผมไม่ขอเลือกมี ขืนผมมีอีกคน คงหลอนน่าดู

   ผมค่อยๆ เดินให้ห่างกานพลูเพื่อไปเข้าห้องน้ำ พอปิดประตูได้ก็ค่อยหายใจโล่งหน่อย แม้เสียงหัวเราะด้านนอกจะดังเล็ดลอดเข้ามาก็เถอะ

   ทำไมวันนี้ผมเจอแต่เรื่องที่ทำให้เหนื่อยแบบนี้ จะมีสักวันไหมที่ผมไม่ต้องทำอะไร นอนโง่ๆ อยู่บนเตียงแต่ก็มีความสุข อะไรแบบนี้น่ะ

   ใช้เวลาอาบน้ำไม่นานผมก็เดินออกมา แล้วก็ตกใจตามเดิมเมื่อกานพลูนอนตะแคง ใช้ฝ่ามือค้ำศีรษะเอาไว้บนเตียง ดวงตาจ้องมองผมอยู่ตลอด

   “มองทำไม” รีบวิ่งขึ้นเตียงพลางดึงผ้าห่มมาคลุมถึงตา

   “ตลกกระวานน่ะสิ เราเจอกันเป็นสิบกว่าปีแล้วนะ” น้ำเสียงเจือขำ ไม่ทำให้ผมตลกไปด้วย “กระวานไปทำงานอะไรมาเหรอ เห็นโป๊ยกั๊กบ่นให้ฟังว่ากระวานทำตัวแปลกๆ” นั่นไง มันต้องมีคนสงสัยแน่ๆ

   “ก็งานบริษัทเอเจนซี่นั่นแหละ” รีบบอกปัด และพยายามบังคับลูกตาตัวเองไม่ให้กรอกไปมาเป็นพิรุธ

   “โกหก เราไม่เชื่อหรอก” รู้สึกได้ถึงเตียงที่ยุบตัวลง “กระวานแอบทำอะไรไว้แล้วกลัวพ่อกับแม่จับได้ใช่ไหมล่า”

   “มาทำอะไรตรงนี่เนี่ย” ร่นผ้าห่มลงมาในระดับสายตามองเห็น หน้าของโป๊ยกั๊กที่มีรอยยิ้มก็โผล่เข้ามา ผมรีบเด้งไปชิดกำแพง “ก็เป็นแบบนี้จะไม่ให้กลัวได้ไงเล่า”

   “กระวานก็บอกมาสิ ว่าไปทำงานอะไร บอกเราได้นะ รับรองเราจะไม่บอกโป๊ยกั๊กแน่” ผมเม้มปากมองคนตรงหน้าอย่างลังเล “มีคนให้ระบายดีกว่านะ เราฟังเก่งมาก ฟังเรื่องของโป๊ยกั๊กจนชินแล้ว”

   “ห้ามบอกโป๊ยกั๊กนะ สัญญาก่อน”

   “อืม จับมือก็ได้”

   “ไม่เป็นไร”

   ถึงร่างกายและหน้าตาจะเป็นน้องชายผมก็เถอะนะ

   “งั้นเล่ามาได้เลย ก่อนจะหมดคืนนี้ไป”

   ตอนแรกก็ดูลังเล แต่พอได้เริ่ม ผมก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้กานพลูฟังตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากฟังเสร็จ กานพลูก็นิ่งไปก่อนจะค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมาบางๆ

   “กระวานแน่ใจเหรอว่าไม่ได้หยิบติดมือไปไหน”

   “มากถึงมากที่สุด”

   “ปัญหาทุกอย่างอยู่ที่แหวน ถ้าเราหามาคืนได้ ทุกอย่างก็จบ”

   “ใช่ แต่จะไปหาที่ไหนล่ะ ในเมื่อลูกน้องเขาหาทั่วแล้วก็ไม่เจอ แทบเลาะกระเบื้องด้วย” พอคิดแล้วก็ได้แค่เครียด “ขอบใจนะที่ฟัง พอได้ระบายรู้สึกดีขึ้นเยอะ”

   “สู้ๆ นะกระวาน ทุกอย่างต้องดีขึ้น แล้วก็นะ จากที่ฟังมา เจ้าของอาบอบนวดเขาก็ไม่ได้ใจร้ายกับกระวานเลย หรือเขาจะชอบ...”

   “ห้ามพูดคำนั้นออกมานะ” รีบชี้นิ้วสั่งก่อนที่กานพลูจะพูดจบ เพราะแค่คิดก็ผิดมากแล้ว

   “ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะมองกันที่รูปร่างภายนอก แต่ก็ยังมีส่วนน้อยที่ไม่ได้ใส่ใจ ตรงนี้ต่างหาก ที่เขาสนใจน่ะ”

   “นมเหรอ”

   “หัวใจต่างหากกระวาน ชอบทำเป็นเล่น”

   “อ่าว ก็เห็นชี้ที่หัวนม” แล้วผมกับกานพลูก็หัวเราะออกมา รู้สึกคลายเครียดไปได้เยอะ “เราจะสู้ ไม่แน่หากสวรรค์เมตตา แหวนนั่นอาจปรากฏกายขึ้นสักวัน”

   “ฟังแล้วมันเหมือนประโยคของละครเช้าวันหยุดเลยนะ”

   “ก็พอดูบ้าง”

   เราสองคนคุยกันอีกไม่กี่ประโยค กานพลูก็ขอตัวไปนอนเพราะใกล้เช้าแล้ว จะว่าไป ผมก็ต้องรีบนอนเหมือนกัน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปทำงานอีก พูดถึงเรื่องงานที่ต้องทำก็พาให้จิตใจห่อเหี่ยวเป็นใบตองตากแดด เฮ้อ



   เข้าเช้าวันใหม่ที่แสนจะไม่สดใส ผมตักข้าวต้มกุ้งเข้าปากคำใหญ่ ต้องกินข้าวเรียกพลังกายเตรียมไว้ให้มากๆ วันนี้ยังต้องเจอคนอีกเยอะ เสียงอีกแยะ
 
   “เอ่อกระวาน แม่ซักกางเกงของลูกเจอแหวน...”

   “แม่เจอแหวนเหรอ หน้าตาเป็นไง มีหัวแหวนเป็นสีน้ำเงินไหม” ถามรัวๆ จนแม่ต้องยกมือปิดปาก ผมก็ยังพยายามถามต่อ ทำเอาเพกาขำหนัก

   “ถามมาขนาดนี้จะให้แม่ตอบตรงไหน” แล้วผมก็ได้ค้อนวงใหญ่จากแม่ “เนี่ย แหวนวงเนี่ย เกือบทำเครื่องซักผ้าแม่เสีย” ทำตาโตดูแหวนที่แม่วางบนโต๊ะ แหวนเงินเรียบๆ ซึ่งเป็นของผมเอง ใจห่อเหี่ยวมากกว่าเดิมอีก เมื่อกี้ฟูฟ่องเหมือนจะลอยได้ “อ่าว ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

   “ถามถึงแหวนที่มีหัวสีน้ำเงิน? กระวานไปก่อเรื่องอะไรมาอีกหรือเปล่า” สะดุ้งจนสำลักน้ำเมื่อถูกพ่อจี้คำถามใส่ “มีพิรุธด้วย”

   “ก็แค่ถามเฉยๆ กระวานไม่ได้ไปก่อเรื่องอะไรเลย” พยายามปรับเสียงตัวเองให้เป็นปกติ แต่เหมือนเส้นเสียงจะไม่คงที่ ขึ้นๆ ลงๆ ตามสายตาที่ถูกกดดัน “กระวานไปทำงานดีกว่า เดี๋ยวเข้างานสาย”

   “พี่กระวานยังไม่ได้หอมแก้มเพกาเลย” ก่อนจะลุกไป มือขาวน้อยๆ ก็ดึงที่ชายเสื้อ ผมโฉบเข้าหอมแก้มน้องสาวสุดน่ารักสองฟอดใหญ่ๆ มีเสียงฮึดฮัดจากโป๊ยกั๊กที่นั่งอีกฝั่ง พอเห็นหน้ามันแล้วก็พาลให้นึกถึงตอนระบายเรื่องทุกอย่างกับกานพลู

   “กระวานไปทำงานก่อนนะ เจอกันตอนค่ำๆ ครับ”

   “ค่ำที่ไหน ดึกทุกวัน บางวันเกือบเช้า”

   “กินข้าวเงียบๆ ไปเลยโป๊ยกั๊ก”

   “พ่อดูสิ พี่กระวานชี้หน้าผม”

   “เราก็อย่าไปหาเรื่องพี่เขาสิ”

   “พ่อดูสิ แม่ว่าผม”

   “พี่โป๊ยกั๊กไม่น่ารักเลย”

   “พ่อดูสิ เพกาก็ว่าผม ทำไมทุกคนถึงไม่รักผม...แม่ ขอข้าวต้มอีกชามครับ”

   ครอบครัวผม ช่างวุ่นวายซะจริงๆ



...TBC

เริ่มงานวันแรกก็ถูกจับตามองซะแล้ว กระวานจะรอดไหมคะนี่

ยังไงก็ ขอฝากกระวานด้วยนะคะ เป็นเรื่องที่ช้าสุดเลย เรื่องอื่นเขานำหน้าไปไกลโพ้นทะเล T^T

ขอบพระคุณค่าาาาา แล้วเจอกันเด้อจ้าา (ยกมือกราบตักงามๆ)

(ปล. กานพลูคือเงาสะท้อนในกระจกของโป๊ยกั๊กนะคะ สามารถอ่านได้จากเรื่องของพี่ทรายค่ะ)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
รับพนักงานเพิ่มไหมคะ รายได้ดีจัง

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
บอสมาจับผิดกระวานแน่ๆเลย สู้ๆนะกระวาน ขอบคุณมาค่ะ มาต่อตอนใหม่ไวๆนะคะ :กอด1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
น่าสงสารโป๊ยกั๊ก  :laugh: เราว่าคุณหนึ่งต้องมีแผนแน่เลยแหวนสำคัญขนาดนั้นไม่นึกโกรธกระวานเลยนะ  :z1:  แต่ตลกตรงเงินเดือนอะ  :laugh:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
5555 ทำไมกานพลูแม่นแบบนี้
ใช่แน่เลยค่ะ ขนาดเล่า ยังพอดูออก

คุณบอสตามติด ประชิดตัว ลงมาตรวจงานตลอด
แล้วแบบนี้จะไม่ให้คิดยังไงไหว ชอบกระวานแล้วสิ
เอิ่มมม ให้เงินเดือนหนึ่งแสน หักเจ็ดหมื่น อันนี้คือช่วยเนาะ
ไม่อยากให้สงสัยใช่ไหม

กระวานเป็นคนตลก ดีใจเก้อไปเลย ดีนะไม่หัวใจวาย
แล้วตกใจกานพลูเบอร์ใหญ่ สิบกว่าปีไม่มีชิน
สงสารหูกระวาน หูดับ แล้วร่างก็ยังพังอีก

บอสอย่าทำเนียนนาน สงสารกระวาน ได้ยินเรื่องไม่จรรโลงเยอะเกิน

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่...อิบอสตีเนียนนะจ๊ะ  แอบปิ๊งกระวานหล่ะสิท่า 

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ต้องถามกานพูลแล้วล่ะ ว่ากระวานมีอะไรดี คุณหนึ่งถึงได้ตามติดซะขนาดนี้  o18

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
อดคิดไม่ได้เลยว่าคุณบอสเจอแหวนแล้วแต่อยากให้กระวานอยู่ใกล้ๆอ่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ตั้งแต่เจอกระวานนี่คุณบอสผิดลุคไปโขเลยนะคะ แหมมม มีตามลงมาดูด้วยใช่หน้าที่เหรอ หืมม? อ่านๆไปแอบคิดว่าเป็นพี่โชกับนังกลอยแล้วนะเนี่ย ฮ่าๆๆ

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5

-9-




       จากการทำงานวันแรก สู่อาทิตย์ที่สองของเดือน ผมยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างไม่มีลดละ เผลอๆ ตอนนี้ผมทำยอดทะลุข้อตกลงในสัญญาแล้วด้วยซ้ำ การมีพลังพิเศษมันก็ดี (นิดหนึ่ง) เหมือนกัน

   “บอกเคล็ดลับหน่อยสิกระวาน ทำยังไงให้ลูกค้าชอบน่ะ” บรรดาพนักงานเชียร์แขกต่างพากันมาถามหาเคล็ดลับจากผมอย่างเซ้าซี้ บางคนก็ทำเหมือนสนิททั้งที่เพิ่งเคยคุยกันครั้งแรก อย่างคนๆ นี้ที่พยายามเข้าหาและคุยกับผมมากสุด “กระวาน” เสียงอ้อนสุด

   “เราไม่มีเคล็ดลับอะไรเลยจริงๆ” บอกตามความจริงแต่ก็ยังไม่มีเชื่อแถมแอบเบ้ปากใส่ผมอีก มันน่าบอกไหมล่ะแบบนี้ 

   “กระวานใจร้าย”

   “ขอโทษจริงๆ นะ แต่เราไม่มีเคล็ดลับจริงๆ”

   “ถ้าไม่มีเคล็ดลับ แล้วทำไมถึงเลือกถูกใจลูกค้าทุกคน แถมใช้เวลาแป๊บเดียวด้วย”

   “ก็เพราะการสังเกตแล้วก็เซ้นส์ส่วนตัวมั้งนะ”

   “เซ้นส์เหรอ? มันยังไงล่ะ”

   “นั่นสิ”

   ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ส่งไปให้ ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง ถึงบอกเรื่องพลังพิเศษไปก็คงไม่มีใครเชื่อ เผลอๆ จะคิดว่าผมบ้าหรือเพี้ยนไปอีก

   “จะคุยกันอีกนานไหม ไม่คิดจะเปลี่ยนให้คนอื่นมาพักบ้างหรือไงเจ้าพวกนี้” เสียงแวดขึ้นจากหน้าลิฟต์ ทำเอาผมกับพนักงานที่พักก่อนแตกกระเจิง แต่ก่อนที่ผมจะเดินตามทุกคน เจ๊พิมพ์ก็เรียกเอาไว้ซะก่อน “กระวาน บอสเรียกนายนะ ขึ้นไปพบก่อนลงไปทำงานด้วย”

   “ผมเหรอ”

   “แล้วนายชื่อกระวานหรือเปล่า...” พูดไม่ทันจบ เสียงริงโทนดนตรีแนว EDM ก็ดังขัดขึ้น เจ๊พิมพ์คุยไปสายตาก็ปรายตามามองผม “กระวาน บอสสั่งว่า ไม่ต้องขึ้นไปแล้วนะ”

   “อ่าว”

   “ตามนั้น ลงไปทำงานได้”

   คนเราจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ขนาดนั้นเลยเหรอ ผมเดินมึนๆ ลงไปชั้นล่าง เห็นลูกค้ายืนมองหมอนวดในตู้ด้วยความลังเลผมก็รีบเดินเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้ม

   “ให้ผมช่วยไหมครับ” ประโยคที่พูดซ้ำๆ มาทั้งอาทิตย์

   “คือผม แบบผม...ผมแบบ”

   ระหว่างที่ลูกค้าตรงหน้าอึกอัก ผมก็ลอบสังเกตคนในความคิดของเขา แต่มีสิ่งหนึ่งที่แว๊บเข้ามาทำให้ผมละสายตาจากห้องกระจกกลับมาที่ลูกค้า

   “ผมว่า เรื่องบนเตียงไม่จำเป็นต้องมาหาประสบการณ์จากนอกบ้านนะครับ” บอกพร้อมรอยยิ้ม “คุณลูกค้าอาจจะรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ลองเรื่องใหม่ๆ แต่ถ้าคนที่คุณรักรู้ เขาอาจจะเสียใจนะครับ”

   “นี่คุณ...” ทันทีที่ผมพูดจบ ลูกค้าตรงหน้าก็ขมวดคิ้ว “คุณหมายความว่ายังไง แล้วคุณรู้ได้ยังไงเรื่องผม”

   “เรื่อง? อ๋อ เพราะผมสังเกตท่าทางของคุณลูกค้าที่ดูอึกอัก แปลว่าต้องมีคนที่รักมากรออยู่แล้ว ใช่ไหมครับ” มั่วให้สุด แท้จริงผมได้ยินความคิดพวกนี้ออกมาจากตัวเขานั่นแหละ พอจะเลือกก็รู้สึกผิดกับคนรัก แต่ถ้าไม่ลองก็กลัวเวลามีอะไรกันคนรักจะไม่ถูกใจ “เรื่องบางเรื่อง ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญหรอกนะครับ แค่มีความรักให้กัน ผมว่ามันดีออกนะ”
 
   “คือผม...”

   “หรือถ้าคุณลูกค้าสนใจคนไหน บอกผมได้นะครับ”

   “ไม่ดีกว่า ขอบคุณนะครับที่เตือนสติ ไม่คิดเลยว่าที่นี่จะดีขนาดนี้ ไว้ผมจะแนะนำเพื่อนให้มาใช้บริการบ้าง”

   “ขอบคุณนะครับ ถ้าหากรู้สึกปวดเมื่อย แวะมาใช้บริการได้ทุกเมื่อนะครับ”


   แม้จะแอบเสียดายยอดลูกค้าที่จะเพิ่มขึ้นในลิส แต่ผมก็รู้สึกภูมิใจที่ทำให้คนไม่นอกใจกัน คนดีเขารู้สึกกันแบบนี้นี่เอง


   “ทำที่นี่เสียลูกค้ายังมายืนยิ้มอยู่ได้นะ” เสียงจากด้านหลังทำเอาสะดุ้ง ก่อนคนพูดจะเดินมายืนข้างๆ พร้อมใบหน้านิ่ง แต่มุมปากยังติดรอยยิ้มอยู่ “ทำไมไม่ขึ้นไปหา”

   “ก็บอสบอกเองว่าไม่ต้องขึ้นไป”

   “งั้นเหรอ”

   รอยยิ้มมุมปากนั่นทำเอาผมคิ้วกระตุก ตั้งใจมาหาเรื่องสินะ

   “แล้วบอสมาทำไม” แถมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเกือบครึ่ง โชว์แผงอกล่ำๆ ทำเอาความคิดเรื่องบนเตียงดังเซ็งแซ่ “ปวดหูชะมัด”

   “บ่นอะไร”

   “เปล่าสักหน่อย” พูดแทบไม่มีเสียงก็ยังหูดีได้ยินอีก “ว่าแต่ คุณบอสมาทำไม หรือมีอะไรกับผมหรือเปล่า”

   “ก็มาตรวจงานตามปกติ” แต่ผมว่า มาจับผิดผมแน่ๆ ดูไม่เห็นนายจักรพรรดิจะพูดหรือมองจับผิดใครนอกจากผม “หิวข้าว” ว่าแล้วก็ลูบท้องตัวเองไปมา ผมเหล่ตามองครู่เดียวก็ไม่ได้สนใจอีก จนประโยคหิวข้าวถูกพูดย้ำ

   “หิวก็ไปกินสิครับบอส”

   “คุณเรียบร้อยแล้วเหรอ”

   “ครับ”

   นึกถึงช่วงที่ผ่านมา ผมต้องคอยหลบไนท์ไม่ก็กอล์ฟที่ต้องมาส่งอาหารที่นี่แทนผม ลำบากทุกเรื่องจริงๆ

   “แต่ดีนไม่อยู่” ได้แต่ย่นคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ “ดีนไม่อยู่”

   “ไม่อยู่แล้วทำไม หรือบอสรอให้ดีนเอาข้าวมาให้?”

   “เปล่า”

   “แล้วมันทำไม อย่าบอกว่ากินข้าวคนเดียวไม่ได้น่ะ? ตลกน่าบอส” กะจะหัวเราะออกมา แต่นัยน์ตาที่สั่นไหวระริกนั่นทำให้ผมต้องเม้มริมฝีปาก “ก็ได้ แต่ผมไม่กินแล้วนะ อิ่มจนท้องจะแตกแล้ว”




***



   ซะที่ไหน พอเจอข้าวผัดกลิ่นหอมๆ ท้องก็ดันร้องขึ้นมาอีก พ่อนะพ่อ ทำไมต้องทำให้มันดูหอมและน่าอร่อยขนาดนี้ ข้าวผัดทะเลที่แน่นไปด้วยเครื่องอย่างกับยกทะเลมาอยู่ในจาน

   “คนเรานี่นะ” เสียงพูดเจือขำขึ้นจมูกทำให้ผมตวัดสายตาขึ้นมอง จะเถียงก็ไม่ได้ ในเมื่อปากยังเคี้ยวข้าวอยู่ “แต่ข้าวร้านคุณนี่อร่อยหมดทุกอย่างจริงๆ”

   “คะน้าหมูกรอบไม่ใส่ผักก็อร่อยใช่ไหม”

   “ล้อผมเหรอ”

   “ก็อยากแกล้งผมทำไม”

   “แค่อยากรู้ ว่าจะจัดการกับปัญหายังไงก็แค่นั้น”

   “เอาผักออกก็จบ ยอดเยี่ยมมากใช่ไหมล่ะ”

   “มาก”

   รู้หรอกว่านั่นคือการพูดประชด แต่ผมก็ลอยหน้าลอยตากินข้าวผัดฝีมือพ่อต่อ ที่รู้ว่าพ่อทำก็เพราะรสชาติจะพอดี หากเป็นผู้ช่วยพ่ออย่างซัน จะหวานนำออกมานิดๆ ผมไม่ได้เก่งแค่เรื่องฟังเสียงบนเตียงหรอกนะครับ เรื่องรสชาติก็ยอดเยี่ยมเหมือนกัน ไม่งั้นพุงไมหลามขนาดนี้หรอก

   หลังจากจัดการข้าวจนเกลี้ยง ผมก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ เพราะเดี๋ยวถูกหักเงินหากไม่ได้ลูกค้าตามยอด แต่พอเดินออกมา นายจักรพรรดิก็เดินตามออกมาด้วย พอหันไปมอง เขาก็ทำหน้านิ่งๆ มือสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกง จากที่คิดว่าเขาจะแยกไปทำธุระต่อ แต่กลับตามผมลงมาชั้นล่างด้วย ทำเอาพนักงานและคนอื่นๆ มองมาเป็นตาเดียว

   มันจะดีกว่านี้ถ้านายจักรพรรดิไม่เดินชิดผมขนาดนี้

   “บอสตามผมมาทำไมเนี่ย”

   “ไม่ได้ตาม ผมมาตรวจความเรียบร้อยของคลับ”

   ได้แต่ถอนหายใจเพราะทำอะไรไม่ได้ เจ๊พิมพ์ยืดคอมองจากห้องตัวเองแต่ก็ไม่ได้เดินออกมา

   “ไปตรวจทางอื่นบ้างสิ จะเดินตามผมทำไม”

   “ที่นี่คลับผมๆ จะเดินไปทางไหนก็ได้”

   ตีรวนกวนโมโหสุดๆ

   “บอส ผมจะทำงาน”

   “ก็ทำไปสิ ผมไม่ได้ยืนขวางคุณนี่”


   ไม่ยืนขวาง แต่เดินตามนี่สิ


   “ถ้าบอสไม่ไป ผมจะนั่งพื้นแล้วร้องไห้ละนะ”

   ไม่ได้แค่ขู่ เพราะตอนนี้ผมลงไปนั่งที่พื้นแล้ว คนที่เดินไปมาต่างหันมาสนใจให้พรึ่บ

   “ไปก็ได้ ตั้งใจทำงานอย่าอู้”

   สุดท้ายแล้ว นายจักรพรรดิก็เดินหายเข้าไปในลิฟต์และคงจะกลับไปทำงานของตัวเอง เฮ้อ เกิดเป็นไอ้กระวานทำไมมันต้องเหนื่อยกับทุกเรื่อง เริ่มอิจฉาพี่น้องของตัวเองซะแล้วสิ ทุกคนคงจะสบายกันหมด โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม ผมปัดก้นที่นั่งกับพื้นได้แค่สองที เสียงคุยกันหน้าประตูก็ดังขึ้น ก่อนกลุ่มคนที่เดินเข้ามาจะมองซ้ายมองขวาหาอะไรสักอย่าง

   “สวัสดีครับคุณลูกค้า” พนักงานเชียร์แขกที่ว่างรีบเข้าไปต้อนรับ ผมกำลังจะเดินเข้าไปสมทบก็ได้ยินประโยคด่ายาวๆ ก่อนคนกลุ่มนั้นจะเริ่มถีบโต๊ะและเก้าอี้ข้างๆ

   พวกนักเลงเหรอวะ ฉิบหายแล้ว

   ตอนนี้ทั้งลูกค้าและพนักงานต่างร้องเสียงหลง พร้อมทั้งรีบไปหาที่หลบ แจกันดอกไม้ถูกปาลงพื้นจนเศษกระเด็นไปโดนแขนของคนที่หลบไม่ทัน ผมรีบวิ่งเข้าไปดูแล้วพาไปหลบอีกฝั่ง

   “อะไรกันฮะ พวกคุณเป็นใคร มาทำลายข้าวของคลับเราแบบนี้ได้ยังไง” เจ๊พิมพ์ออกมาจากห้องเดินปรี่เข้าไปตะโกนด่า แต่พวกนั้นกลับไปฟังอะไร แถมตบหน้าเจ๊พิมพ์จนล้มลงกับพื้น

   มากไปแล้วเว้ย

   “ก็กูอยากจะทำ กูก็ทำไง มีอะไรหรือเปล่าล่ะ” ไอ้คนที่ตบหน้าเจ๊พิมพ์ว่าแล้วหัวเราะออกมาอย่างกับตัวร้ายในละคร “คลับเหี้ยๆ แบบนี้ ต้องทำลายทิ้งให้หมด” พูดเสร็จก็คว้าขาเก้าอี้ไม้ที่หัก เตรียมยกขึ้นจะฟาดซ้ำ

   “ไอ้สัด รังแกผู้หญิง หน้าตัวเมีย ไปเอากระโปรงแม่มึงมาใส่ไป” ผมทนไม่ไหวรีบวิ่งเข้าไปถีบจนไอ้นั่นกระเด็น ก่อนจะรีบพยุงเจ๊พิมพ์ให้ลุกขึ้นเพื่อจะไปหาที่หลบ แต่ขาก้าวได้แค่ก้าวเดียว หัวของผมก็ถูกกระชากจนหนังศีรษะแทบหลุด ไอ้บ้านั่นมันกระชากผมของผม

   “มึงกล้าถีบกูเหรอวะ ไอ้พนักงานกระจอก”

   “มึงสิกระจอก ไอ้สัด” เอื้อมมือไปจับมือมันที่จิกผม ก่อนจะบิดข้อมือให้ริ้ว แม้ต้องออกแรงมากสักหน่อยแต่ก็ทำให้มันร้องโอดโอยได้ ต้องขอบคุณโป๊ยกั๊กที่มันสอนวิชาป้องกันตัวให้ นี่ถ้าผมขยันซ้อมคงจะเก่งกว่านี้

   “กล้าทำร้ายกูเหรอ” แล้วหมัดโตๆ ก็พุ่งเข้าหน้าผมอย่างจัง เป็นเพราะผมไม่ระวังตัวด้วยเลยเข้าเต็มโหนกแก้ม หน้าชาไปครึ่งซีกเลยทีเดียว “ตายเถอะมึง”

   เบิกตากว้างเมื่อเห็นหมัดนั่นเตรียมพุ่งมาหาอีกรอบ แต่ก็ไม่มี ผมหรี่ตาขึ้น กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยออกมาจากด้านหลังของคนที่ที่คว้าหมัดนั่นไว้ นายจักรพรรดิใช้มือยึดข้อมือใหญ่ไว้ ก่อนจะยกเท้าขึ้นถีบเข้าท้องแล้วเหวี่ยงคนที่ตัวใหญ่กว่าล้มลงที่พื้น
 
   บราโว่ บราโว่

   “กล้าดีนี่ เข้ามาหาเรื่องถึงที่นี่” ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้หน้าตาคนพูดจะเป็นยังไง แต่น้ำเสียงเย็นวูบวาบชวนขนแขนลุกสุดๆ “พวกกระจอก ถูกจ้างมาเท่าไหร่ล่ะ”

   “มึง” ไอ้คนที่ถูกล้มเตรียมจะพุ่งเข้ามา แต่ก็ถูกขายาวๆ นั่นถีบกระเด็นไปอีก ส่วนพวกที่มาด้วยก็เจอไม่ต่างกัน เพราะการ์ดชุดดำของคลับกรูเข้ามาเยอะกว่าเดิม พร้อมกับรุมสะกำจนสภาพเละ

   “กลับไปบอกคนจ้างด้วยนะ อายหมาบ้าง” ไม่พูดเปล่า ยังยกเท้าเหยียบไหล่ไอ้คนนอนหัวแตกเพราะถูกเศษแจกันบาด

   กรรมตามทันจริงๆ

   เรื่องวุ่นๆ จบลงทันทีเมื่อดีนพาลูกน้องเข้ามาสมบทอีกชุดใหญ่ ไม่รู้หายไปไหนกันมา พวกนักเลงถูกหิ้วออกจากคลับด้วยสภาพไม่น่าดู ผมละกลัวว่าบางคนอาจทนพิษบาดแผลไม่ไหว

   “เจ๊เป็นอะไรมากไหม เจ็บหรือเปล่า” ผมย่อตัวนั่งข้างเจ๊พิมพ์ ใบหน้าสวยมีรอยฝ่ามือเด่นชัด “ขอโทษที่ผมช่วยเจ๊ไม่ได้”

   “ทำไมจะไม่ได้ หากไม่ได้กระวาน เจ๊คงตายคาตีนมันไปแล้ว” เจ๊พิมพ์พยายามยิ้มให้ผม ก่อนเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้านายตัวเอง “ขอบคุณนะคะบอส ที่ช่วยพวกเรา”

   “พวกคุณเป็นคนของผมๆ ก็ต้องช่วย” รอยยิ้มตรงมุมปากทำเอาผมเผลอยิ้มตาม ก่อนคนพูดจะหันกลับไปมองที่ประตูทางเข้า “กล้าเหยียบถิ่นกูเลยเหรอ”




**

   ข้าวของชั้นหนึ่งถูกทำลายไปเยอะ เลยต้องปิดคลับ ลูกค้าทุกคนได้บัตรส่วนลดห้าสิบเปอร์เซ็นสำหรับการมาใช้บริการครั้งใหม่ โดยนายจักรพรรดิออกปากขอโทษทุกคนเองอย่างไม่ถือตัว เมื่อคลับปิด ทุกคนก็ช่วยกันทำความสะอาด หากใครเจ็บก็ต้องรักษาก่อน ซึ่งส่วนมากก็เจ็บกันคนละนิดละหน่อย

   “เจ็บๆ” ผมร้องเมื่อถูกเจ๊พิมพ์เอาน้ำแข็งประคบที่โหนกแก้ม

   “อย่าสำออย เป็นลูกผู้ชายทนเจ็บหน่อยสิยะ” ว่าแล้วตัวเองก็หน้าเบ้หลังจากถูกทายาที่หน้า ผมหลุดขำออกมาไม่สนดวงตาที่ถลึงมอง “ไม่รู้บอสจะจัดการยังไงนะ”

   “เคยมีแบบนี้ไหมครับ”

   “มีช่วงแรกๆ ที่บอสขึ้นรับตำแหน่ง แต่มันก็นานมากแล้ว”

   “งั้น ไอ้พวกที่มาพังคลับวันนี้ มันมาจากไหนกัน”

   “เดาไม่ยาก” ผมเลิกคิ้วมองหน้าเจ๊พิมพ์ด้วยความสงสัย พอคนถูกจ้องรู้ตัวก็รีบอธิบายเพิ่มเติม “คลับเราอยู่กันมานาน ไม่ว่าคลับไหนจะเปิดก็สู้ไม่ค่อยได้ สุดท้ายก็ต้องปิดตัวลง แต่มันมีอยู่ที่หนึ่ง ที่มันยังอยู่ แถมคอยตัดแข้งตัดขาคลับเราอยู่เรื่อย”

   “ตัดแข้งตัดขา?”

   “หมายถึง คอยแย่งลูกค้า กับพนักงานของเราไปด้วยวิธีหมาๆ” รีบพยักหน้าเมื่อได้ฟัง “ไม่นานมานี้ก็แย่งหมอนวดดาวเด่นของเราไป” เจ๊พิมพ์มองซ้ายมองขวาแล้วยื่นหน้ามากระซิบข้างหูผม “ดีนกระซิบบอกเจ๊ว่า ลูกชายเจ้าของคลับนั่นฉุดคนของเราไปข่มขืน แล้วถ่ายคลิปเก็บไว้ ก็เลยไม่กล้ากลับมา”

   “ทำกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ” มันมากเกินไปแล้วนะ “ทำไมไม่แจ้งตำรวจละครับ”

   “คลับนั้นมีตำรวจใหญ่เป็นหุ่นส่วนน่ะสิ อีกทั้ง ดีนบอกว่าพวกนั้นค้าขายผิดกฎหมายด้วย แล้วที่มันอยากทำลายคลับเรา เพราะจะได้ปล่อยของสะดวก”

   ใช้คลับเป็นสถานที่ปล่อยของ แถมมีตำรวจหนุนหลังอีก นี่ผมกำลังฟังบทละครอยู่หรือเปล่า มันมีในชีวิตจริงด้วยเหรอเนี่ย แทบไม่อยากเชื่อ งั้นวันที่นายจักรพรรดิถูกลอบยิงก็ จากคนพวกนั้นสินะ มิน่าถึงไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองเล่นยิงกันซะกลางเมืองแบบนั้น ถ้าเกิดผมไม่ต้องหลบซ่อนมาทำงานที่นี่ คงไปปรึกษาพี่ไธม์ที่ทำงานเป็นตำรวจลับแล้ว ว่าจะจัดการเรื่องพวกนี้ยังไง

   “คลับนี้ไม่มีสิ่งผิดกฎหมายเหรอครับ” ถามด้วยความไม่รู้ แต่ก็ถูกเจ๊พิมพ์เขกหัวจนต้องมุ่ยหน้าด้วยความเจ็บ

   “ไม่มีย่ะ อาบอบนวดที่นี่มีใบอนุญาตนะยะ” ผมดูสายตาที่กรอกไปมาของเจ๊แกแล้ว ก็คงมีอะไรนิดๆ หน่อยๆ แต่พูดออกมาไม่ได้ “รีบกลับบ้านไปได้แล้ว ของก็เก็บหมดแล้ว”

   “แล้วพรุ่งนี้...”

   “พรุ่งนี้ก็ทำงานเหมือนเดิม ห้ามเลท ห้ามลา อย่ามาอ้างว่าช่วยฉันจนหน้าเขียวแล้วมาขอลา ฉันไม่อนุญาตนะยะ”

   “ผมไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า ว่าแต่ ผมหน้าเขียวเหรอครับ” รีบยกมือคลำหน้าตัวเอง รู้สึกปวดที่โหนกแก้มเหมือนกัน ก่อนที่จะถามมากกว่านั้น กระจกอันเล็กๆ ก็ถูกส่งมาให้ รับมาก็รีบส่อง “ฉิบหาย” เผลอสบถออกมาเสียงดังจนต้องโค้งศีรษะขอโทษเจ้าของห้อง

   หน้าผมเขียวไปครึ่งซีกเลยอะ น่ากลัวมาก เหมือนเอาสีเขียวกับสีม่วงผสมกันแล้วทาหน้าผมเลย

   “โดนต่อยจนหน้าหงายขนาดนั้น ไม่เขียวก็ช้ำในแล้วล่ะ”

   เสียงเล็กๆ ลอยผ่านเข้าหูมา แต่ผมไม่ได้สนใจ เพราะตอนนี้ในสมองผมกำลังหาวิธีตอบคำถามครอบครัวอยู่ คำเตือนของพ่อสะท้อนกลับมาอีกจนน้ำตาแทบไหล


   ‘อย่าสร้างเรื่องอีกนะกระวาน’


   แล้วแบบนี้ผมจะแบกหน้าเขียวม่วงกลับบ้านได้ยังไง ถึงแม้จะหลบพ่อกับแม่ได้ แต่โป๊ยกั๊กต้องเห็น ลำบากอีกแล้ว

   “ทำแผลกันเสร็จหรือยัง” เสียงทุ้มดังมาจากหน้าประตูห้อง ทั้งผมแล้วก็เจ๊พิมพ์รีบลุกขึ้นยืนอัตโนมัติ จนคนมาใหม่หลุดขำออกมา “ถ้าเสร็จแล้วก็แยกย้ายกลับบ้าน”

   “แล้ว บอสจะจัดการยังไงคะ” ตอนนี้ผมเงียบอย่างเดียว เพราะไม่อยากยุ่งเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ก็แค่ฟังๆ ไปงั้น “พิมพ์เห็นดีนพาคนออกไป...”

   “ก็แค่ไปเตือนเฉยๆ ว่าแต่ หน้าเขียวเหมือนตัวฮักเลยนะ” พูดแล้วก็ขำออกมา พลอยทำให้เจ๊พิมพ์ขำไปด้วย จะมีแค่ตัวหน้าเขียวเหมือนฮักอย่างผมที่ตีหน้าบึ้ง “ทำหน้าแบบนั้นยิ่งเหมือน”

   “พิมพ์เห็นด้วยค่ะบอส”

   “แหม เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะครับ” ยิ่งโดนหัวเราะ หน้าผมก็ยิ่งตูม “เจ๊พอจะรู้จักห้องพักที่ใกล้ๆ แล้วนี้ไหมครับ”

   “ทำไม หรือทะเลาะกับที่บ้าน?”

   “ก็หน้าเขียวแบบนี้ ผมจะกลับบ้านยังไง โดนพ่อตีตายเลย”

   “แปลว่าชอบก่อเรื่องสินะ ห้องพักของที่นี่ก็มี นายเป็นพนักงานก็พักได้ แต่เอ...ไม่รู้จะมีห้องว่างหรือเปล่า”

   “เจ๊ช่วย...” พูดไม่ทันจบแขนก็ถูกดึง “บอสจับแขนผมทำไม” พอถามก็ไม่ได้คำตอบ แต่กลับถูกดึงออกจากห้อง ขนาดเจ๊พิมพ์ยังงงเป็นเพื่อนผม “บอสจะพาผมไปไหน”

   “ก็คุณหาที่พักอยู่”

   “ใช่ แล้ว?”

   “ไปนอนกับผมสิ”

   “ฮะ?”

   “ผมหมายถึง ไปนอนที่ห้องผม คุณคิดอะไร”

   “ทำไมผมต้องไปนอนห้องบอส” เกือบหลุดปากไปแล้วว่าคิดเรื่องอย่างว่า เล่นพูดกำกวมซะขนาดนั้น

   “คุณไม่อยากไปหาแหวนเหรอ” พอได้ยินผมก็นิ่งทันที “ถ้าคุณไปนอน ก็จะมีโอกาสหาแหวนที่คุณทำหาย ไม่สนใจเหรอ”
 
   พูดอีกก็ถูกอีก ผมกัดริมฝีปากล่างพยายามใช้สมองที่มีค่อยประมวลผล แต่ขาสองข้างก็ก้าวตามแรงดึงจนไปถึงรถสีดำที่จอดรอด้านหน้า

   “เดี๋ยวๆ” ยังไม่ทันได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ ผมก็ถูกดันให้เข้าไปนั่ง พร้อมๆ กับนายจักรพรรดิที่ตามเข้ามา ทำให้ผมต้องขยับไปนั่งชิดด้านใน “ผมยังไม่ได้ตอบบอสเลยนะ”

   “ดีน ออกรถ” ไม่ฟังที่ผมพูดเลยสักนิด แถมดีนที่นั่งประจำคนขับก็ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากฟังคำสั่งของเจ้านายตัวเอง




   เส้นทางที่ไม่น่าจะเป็นทางเข้าเมือง รถคันสวยมุ่งหน้าไปที่ไหนสักที่ ซึ่งผมก็ได้แต่เดาว่าปลายทางอาจจะเป็นคลับที่จ้างคนเข้ามาหาเรื่อง

   เดี๋ยวนะ แล้วพาผมมาด้วยเนี่ย คิดว่าผมจะช่วยอะไรได้ นอกจากฟังเสียงความคิดเรื่องบนเตียงได้แล้ว ผมก็ทำอะไรไม่เป็น นอกจากเป็นภาระ เขาจะรู้ไหม ว่าพาผมมาทำให้ตัวเองลำบาก

   “คือบอส...”

   “แวะทำธุระแป๊บเดียว คุณรออยู่ในรถนี่แหละ”

   “คือผม...”

   “ไม่นานหรอก”

   “มันแบบ...”

   “ผมไม่ทำให้คุณเป็นอันตราย เชื่อผม”

   ก็น่าเชื่ออยู่หรอก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ผมจะถาม ที่จะถามคือ...เอาผมมาด้วยทำไม! ก็ได้แต่ถามในใจเพราะตอนนี้ทั้งรถเหลือแค่ผมนั่งอยู่คนเดียว อาบอบนวดคู่แข่งตั้งอยู่ตรงหน้า ตึกสูงสามชั้นดูอึมครึมไม่น่ามาใช้บริการสักเท่าไหร่ ผมสอดสายตามองไปรอบๆ ก่อนสะดุ้งเมื่อเห็นคนวิ่งออกมาจากตึกราวกับไฟไหม้ สีหน้าท่าทางแต่ละคนดูตื่นตกใจ

   เกิดอะไรขึ้นเนี่ย

   ท่ามกลางความวุ่นวายในฝูงคน ผมก็เห็นคนที่โดดเด่นออกมาอย่างน่าประหลาดใจ คล้ายกับมีออร่าบางอย่างแผ่ออกมา นายจักรพรรดิเดินนำหน้าดีนและลูกน้องอีกห้าคน ทุกคนอยู่ในสภาพปกติ เสื้อสูทยังคงเรียบตึงเหมือนเพิ่งรีด

   “เสร็จแล้วเหรอ” ถามคนที่สัญญาว่าผมจะไม่เป็นอันตรายใดๆ นายจักรพรรดิหันมายิ้มบางๆ ให้ผมก่อนพยักหน้าลง เพียงแค่นั้นผมก็ต้องลอบถอนหายใจ กลัวจะเกิดอะไรใหญ่โตขึ้น เจ๊พิมพ์บอกเองว่าที่คลับนี้มีหุ้นส่วนเป็นตำรวจ “มันจะไม่เป็นอะไรเหรอ”

   “ห่วงผมเหรอ” เกลียดรอยยิ้มตรงมุมปากนั่นจริงๆ “ก็อย่างที่บอก แค่มาเตือนเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร ไม่ต้องห่วง”

   “ขอให้จริงเถอะ”

   “เชื่อผมแล้วไม่มีผิดหวัง”

   “ครับๆ”

   อยากดึงตัวหลบแต่ก็ดันอยู่เฉยให้มือใหญ่นั่นขยี้ผมซะฟู หรือเขาจะเห็นผมเป็นหมาวะ แต่ดีนะ ที่เมื่อเช้าสระผมมา ไม่งั้นคงเหนียวมือแน่

   “กลับบ้านเรากัน”

   ผมว่า หูผมอาจเพี้ยนที่ได้ยินประโยคเมื่อกี้ ผมควรอยู่เฉยๆ ใช่ไหม มันไม่มีอะไรหรอกน่า....ใช่ไหม


...TBC

ฉายาตอนนี้ต้องมา กระวานหน้าเขียว 5555

เจอกันตอนหน้าค่าาา

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
เอาอีกๆๆๆๆ  :z1: ว่าแต่วิธีการจีบของผู้บ่าวสมัยนี้มันแนบเนียนจริงๆนะ  o18

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิบอสคิดไม่ซื่อแน่ ๆ   

แต่...ทำไมกระวานจึงไม่ได้ยินความคิดบอสเรื่อง...ที่มีต่อกระวานบ้างเลยหล่ะเนี่ย?

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ไปค้างกับเขา เพื่อหาแหวน แต่คิดว่าหาไปก็คงไม่เจออ่ะ สงสัยแหวนอยู่กับกอลัมแน่ ๆ  :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5

-10-





       “จำทางห้องน้ำได้ใช่ไหม” เจ้าของห้องถามระหว่างปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกจนเกือบหมดรังดุม เผยให้เห็นกล้ามหน้าท้องที่แน่นมากจนน่าอิจฉา “ตามสบายนะ คิดซะว่าเป็นห้องของคุณ” พูดพร้อมทิ้งตัวนั่งที่โซฟาตัวนุ่ม

   “ห้องผมไม่ได้กว้างแบบนี้” ตอบด้วยความกวน แต่คนถูกกวนไม่ได้สนใจ ขายาวๆ สองข้างยกขึ้นพาดโต๊ะกระจกตัวเตี้ยด้านหน้า “บอสอยู่คนเดียวเหรอ”

   “ก็มีคุณอยู่ด้วยนี่ไง จะอยู่คนเดียวได้ไง” ไม่รู้เป็นการตีรวนกลับมาหรือเปล่า แต่ผมสะดวกคิดแบบนั้น ไม่อยากเชื่อสมองส่วนตัวร้ายที่กำลังปลุกปั่นให้ผมคิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ “อาบน้ำได้นะ ผ้าเช็ดตัวอยู่ในตู้ ส่วนเสื้อผ้าอยู่ประตูขวา ถ้าคุณเปิดเข้าไปจะเจอ”

   แม้จะงงๆ แต่ผมก็เดินเข้าห้องน้ำ วันนั้นไม่ได้สำรวจอะไรเลยเพราะมัวแต่ดูแลคนเจ็บ พอมาตอนนี้ให้เห็นอีกครั้งถึงต้องต้องร้องโอ้โหออกมา ทั้งพื้นและผนังน่าจะทำมาจากหิวอ่อน ดูสวยมาก ว่าแต่ นี่ไม่ใช่เวลามาตกตะลึงห้องน้ำสวยๆ ผมควรหาแหวนมากกว่า...อยู่ไหนวะ

   ผมลองจำลองเหตุการณ์วันนั้น เริ่มจากทำท่าแบกคนเจ็บเข้ามานั่ง เสร็จแล้วก็เลิกเสื้อเขาขึ้นเพื่อดูแผล เห็นแผลก็ตกใจจนเกือบล้ม (นี่ผมต้องย้อนละเอียดขนาดนี้ด้วยเหรอเนี่ย) ผมเดินไปหาผ้าขนหนูในตู้ แล้วก็มาชุบน้ำเช็ดแผลให้ เช็ดตามตัว และดีนก็เข้ามา...ภาพในห้องน้ำแค่นั้น


   แล้วผมถอดแหวนไปไว้ที่ไหนวะ


   “เชี่ย” ลุกขึ้นยืนแล้วสะดุ้งจนเกือบล้ม เห็นหน้าเขียวช้ำตัวเองในกระจกเลยตกใจ บ้าไปแล้ว ตกใจตัวเองเนี่ย “กี่วันจะหายช้ำวะ” ลูบหน้าตัวเองเบาๆ แล้วต้องซี๊ดปากด้วยความเจ็บ พรุ่งนี้ค่อยแวะซื้อยาทา จะได้หายช้ำไวๆ

   อาบน้ำด้วยความไวประหนึ่งวิ่งผ่าน ไม่ใช่ขี้เกียจหรอกนะครับ แต่ผมรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องอาบน้ำแล้วเห็นรูปร่างเปลือยของตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ รู้สึกกระดากแปลกๆ นี่ยังดีที่ไม่ใช่ห้องของผม ไม่งั้นอาจจะได้เห็นกานพลูแก้ผ้าล่อนจ้อนหลังจากโป๊ยกั๊กอาบเสร็จแน่ คงหลอนพิลึก

   ออกมาจากห้องน้ำก็เจอเจ้าของห้องนั่งละเลียดไวน์ในแก้วทรงสูง ดูเป็นคนรวยอย่างที่เคยเห็นในละครเสียจริง แต่นี่ คนรวยตัวเป็นๆ

   “อาบไวแบบนี้ ขี้ไคลไม่หลุดหรอกมั้ง” ดวงตาคมจ้องมองมาทางผม ก่อนจะดื่มไวท์แดงในแก้วจนหมด

   “เดี๋ยวก็เมาหรอก” บ่นแค่ให้ตัวเองได้ยิน แต่กลับเห็นรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่ริมฝีปากอีกคน “บอสไปอาบน้ำสิ”

   “อยู่นอกเวลางานไม่ต้องเรียกฉันว่าบอสหรอก” ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินสรรพนามที่เปลี่ยนไป แต่คนพูดคงยังไม่รู้ตัว “เดี๋ยวรอรับอาหารด้วย กำลังขึ้นมา”

   “เดี๋ยวบอส” รีบรั้งไว้ก่อนเจ้าของห้องจะไปอาบน้ำ “แล้วจะให้ผมเรียกว่ายังไง คุณจักรพรรดิเหมือนเดิม?”

   “เรียกว่าอะไรดีน้า” นายจักรพรรดิกอดอก ใช้มือข้างขวาเกาคางตัวเองไปมาอย่างใช้ความคิด “เรียกพี่หนึ่งดีไหม”

   “หา?”

   “ก็นายอายุน้อยกว่าฉันนี่”

   “ผมหมายถึง ผมต้องเรียกว่าพี่หนึ่งไปทำไม คือเราสนิทกันถึงขั้นเรียกกันแบบนั้นได้เหรอครับ”

   “ถ้าใจเราสนิท มันก็สนิทเอง”

   มีแบบนี้ด้วยเหรอวะ ตรรกะโคตรแปลก

   “งั้นเอาตามที่บอสสบายใจเลย ผมยังไงก็ได้”

   “อย่าลืมเรียกพี่หนึ่งล่ะ บอสน่ะ เก็บไว้ตอนอยู่ที่ทำงานก็พอ”
 
   ผมพยักหน้ารับคำส่งๆ ไป จะทำตามหรือเปล่าก็ต้องมาคิดดูก่อน อยู่ๆ จะบอกว่าสนิทกันมันก็ตะขิดตะขวงใจแปลกๆ คนระดับนายจักรพรรดิ เจ้าของคลับอาบอบนวดชื่อดัง ร่ำรวยระดับพันๆ ล้าน จะมาสนิทกับลูกเจ้าของร้านอาหารฟิวชั่นฐานะปานกลางได้เหรอ


   นี่มันชีวิตจริง ไม่ใช่นิยายสักหน่อย


   มัวแต่ปล่อยให้ความคิดสองฝั่งตีกันไปมาก่อนจะสะดุ้งเสียงโทรศัพท์ ผมเดินไปรับที่โต๊ะข้างโซฟาก็ไม่ใช่ แล้วเสียงมาจากไหนวะ ลองเดินตามไปเรื่อยๆ จนไปเจอโทรศัพท์ติดผนังตรงหน้าประตูทางเข้าห้อง

   “กดตรงไหนเนี่ย” ยกหูรับแล้วแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร หน้าจอแสดงให้เห็นคนที่อยู่ด้านนอก ปากเขาขยับ แต่ผมไม่ได้ยิน “หรือจะสีเขียว” พอกดปุ๊บ เสียงคนด้านนอกก็พุ่งเข้าหูปั๊บ จนต้องรีบดึงหูโทรศัพท์ให้ห่าง “ดีนเหรอ”

   (ช่วยเปิดประตูให้ผมหน่อยสิครับ) เมื่อกี้ก็คงพูดประมาณนี้ เดาได้จากการอ่านปาก

   “มันกดตรงไหนผมไม่รู้” กลัวว่ากดมั่วห้องจะระเบิดเอา

   (ปุ่มที่มีคำว่า Open ข้างๆ ปุ่มสีเหลือง เห็นไหมครับ)

   รู้วิธีผมก็รีบกด ได้ยินเสียงกลอนประตูปลดล็อกแทบจะทันที ก่อนคนมาใหม่จะส่งยิ้มมาให้แต่ในใจคงหัวเราะผมแน่ ก็คนมันไม่เคยอยู่ห้องหรูๆ ไฮเทคแบบนี้นี่

   “เปิดยากเปิดเย็นซะจริง” ทำเป็นบ่นแก้เก้อสักหน่อย

   “เดี๋ยวก็ชินครับ” ดีนว่าขำๆ แต่ผมไม่ขำ จะชินได้ยังไงพูดพิลึก “มื้อค่ำได้แล้วครับ” มือยื่นพิซซ่าถาดใหญ่สองถาดมาให้ผม แต่สายตากลับกวาดมองเข้าไปด้านใน

   “บอสอาบน้ำอยู่ ดีนจะเข้ามาไหม” ไปสนิทกันตอนไหนผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า ผมเรียกแทนคนตรงหน้าด้วยชื่อไปแล้ว และดูเขาจะไม่ได้ว่าอะไร

   “ไม่ดีกว่าครับ คุณหนึ่งต้องการเวลาส่วนตัว” พูดพร้อมรอยยิ้มเช่นเดิม แต่ก่อนที่ดีนจะเดินออกไป ผมก็รีบรั้งแขนเขาไว้ “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

   “อยากถามอะไรหน่อยได้ไหม แค่นิดเดียว”

   “ถามได้สิครับ”

   “ปกติแล้ว บอสเขากินข้าวคนเดียวไม่ได้เหรอ”

   “ครับ? หมายถึงอะไร”

   “ก็แบบ บอสต้องมีคนนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนทุกครั้งเลยเหรอ ปกติดีนต้องนั่งเฝ้าตลอดหรือเปล่า”

   “ไม่นี่ครับ ปกติคุณหนึ่งก็ทานข้าวคนเดียว จะมีก็แค่เวลาออกไปข้างนอกที่บางครั้งผมจะนั่งทานด้วย อย่างเช่นไปที่ร้านคุณวันนั้น”

   “อ่าว แล้วเมื่อเช้า...”

   “เมื่อเช้าอะไรหรือครับ”

   “เปล่าๆ ไม่มีอะไร ขอบคุณนะครับสำหรับพิซซ่าถาดใหญ่” ได้กลิ่นท้องก็ร้องโครกครากแล้ว

   “ไม่เป็นไรครับ ปกติผมก็ต้องเอามื้อเย็นขึ้นมาให้อยู่แล้ว”

   “ดีนก็อยู่ในตึกนี้เหรอ?”

   “ห้องผมอยู่ชั้นล่าง มีอะไรก็โทรสั่งได้นะครับ” พูดจบก็ส่งยิ้มมาให้ แต่ผมเห็นหรอก ว่าดีนมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “อย่าลืมพับขากางเกงนะครับ เดี๋ยวสะดุดล้ม”

   “ก็เจ้านายคุณตัวใหญ่อย่างกับยักษ์” แยกเขี้ยวใส่จนดีนขำออกมา แต่ไม่นานก็ต้องแตกกระเจิงเมื่อยักษ์ที่ผมว่ากระแอมเสียงดัง ดีนรีบก้าวขายาวออกไป เหลือแค่ผมที่ต้องหันไปเผชิญหน้าพร้อมส่งยิ้มแห้งๆ “มื้อเย็นมาแล้ว”

   “ขนาดฉันอยู่ห้องด้วย ยังกล้านินทานะ” พูดเฉยๆ ไม่พอ ยังเดินเข้ามาดีดหน้าผากผมอีก

   “นี่เราสนิทกันถึงขั้นทำร้ายกันได้แบบนี้เหรอ” โวยวายพลางลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ ไม่ได้เจ็บมาหรอกครับ แกล้งสำออยไปงั้น

   “ห้องฉันไม่เคยให้คนไม่สนิทเขามาเหยียบ” เม้มปากทันทีที่ได้ยิน คนพูดดูเหมือนไม่ใส่ใจ มือใหญ่นั่นดึงชิ้นพิซซ่าที่ยืดยาวขึ้นจากกล่อง “ท้องนายร้องนะ เสียงดังด้วย”

   “ไม่ต้องพูดออกเสียงก็ได้” อายสิครับ เห็นความน่ากินด้วยตา กับได้กลิ่นความอร่อยทางจมูก แค่นี้ก็ทำให้กรดในท้องผมทำงาน เอาซะแสบไปหมด

   พิซซ่าโฮมเมดรสชาติอร่อย ชีสเน้นๆ หน้าแน่นๆ ทำเอาจุกจนแทบขยับตัวไม่ไหว ตอนแรกคิดว่าถาดเดียวน่าจะพอ แต่เอาเข้าจริง ผมกับเจ้าของห้องเฉลี่ยแล้วกินกันไปคนละถาดด้วยซ้ำ

   “หาแหวนเจอไหม” คำถามที่ทำให้ตาปรือๆ ของผมเปิดขึ้น เพราะความอิ่มผมเลยส่ายหน้าเป็นคำตอบ “แล้วจำไม่ได้เหรอ ว่าวางไว้ที่ไหน”

   “จำลองเหตุการณ์เหมือนวันนั้นแต่ก็นึกไม่ออก” พูดจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะ “บอสขำอะไร”

   “นายตลกดี”

   “หน้าตาก็ดีด้วย”

       ใครไม่ชม ก็ชมตัวเองนี่แหละ

   เพราะมัวแต่หิว เลยไม่สังเกตว่าเจ้าของห้องยังอยู่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำ แถมยังนั่งอ้าขากว้างจนเห็นทะลุไปถึงต้นขาด้านในที่ขาวเนียน

   “มองอะไร แอบดูเหรอ” โดนจับได้ก็รีบหันหน้าหนี โดยมีเสียงหัวเราะดังอยู่ด้านหลัง “อยากดูก็บอก จะเปิดให้ดู”

   “ผมไม่ได้โรคจิต” เอาจริงๆ ผมก็ใจสั่นเหมือนกันนะ ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ทำให้ผมใจเต้นได้เหมือนกัน ว่าแล้วผมก็หันกลับไปเผชิญหน้าอีกรอบ และดูเหมือนนายจักรพรรดิก็มองผมอยู่แล้วเลยทำให้สายตาเราประสานกัน “มองผมทำไม”

   “ก็นายหันกลับมาเอง”

   “เออว่ะ” แล้วผมจะยอมรับออกมาทำไม “คืนนี้จะให้ผมนอนที่ไหน โซฟาตัวนี้เหรอ” มันก็นุ่มน่านอนเหมือนกันนะ ความยาวน่าจะพอดีตัวผมเลย แถมกว้างเหมาะสำหรับคนอวบแบบผมด้วย

   “เตียงสิ นู้นไง” คำว่านู้นไงเรียกสายตาผมให้หันไปมอง เตียงคิงไซส์ตั้งเด่นอยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้อง “อย่าลืมแปรงฟัน เดี๋ยวฟันผุ”

   “ผมไม่ใช่เด็กสักหน่อย” พูดเหมือนพ่อผมเลย ตอนเด็กๆ ผมไม่ค่อยชอบแปรงฟัน พ่อเลยจะเตือนทุกครั้ง แถมยังให้โป๊ยกั๊กนั่งเฝ้าจนกว่าจะแปรงเสร็จอีก อ้อ ที่น้องชายผมนั่งเฝ้าได้ก็เพราะได้ค่าตอบแทนด้วย มีแต่ได้กับได้ เอาเปรียบผมสุดๆ

   เดินซุยๆ เข้าห้องน้ำอีกรอบ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เมื่อกี้ผมก็อาบแต่ทำไมไม่รู้สึกหอมแบบนี้ ว่าแล้วก็ยกแขนตัวเองขึ้นมาดม อืม...หอมจริงๆ ด้วย

   เดี๋ยวนะ แปรงฟันผมไม่มีนี่

   “แปรงใหม่อยู่ในตู้” สะดุ้งจนใจสั่น อยู่ๆ นายจักรพรรดิก็เข้ามา แถมยืนคร่อมผมไว้ทั้งตัว โดยที่เขากำลังเปิดตู้ที่อยู่ด้านบนตรงที่ผมยืนอยู่ “นี่ของนาย”

   “ขอบคุณ” ตอบรับเสียงเบา ทำไมรู้สึกหวิวในใจพิกล

   หลังจากหยิบแปรงสีฟันอันใหม่ให้ผมแล้ว เขาก็เดินออกไป แต่ผมก็ยังไม่ไว้ใจ บ่อยครั้งจะหันกลับไปมอง กลัวว่าจะเข้ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงอีก ห้องน้ำอะไรไม่มีกลอนประตู ราคาก็ถูกจะตาย ติดไว้หน่อยก็ไม่ได้ ผมใช้เวลาแปรงฟันทำธุระส่วนตัวไม่นานก็ออกมา ตอนนี้เจ้าของห้องกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง บนตัวมีแฟ้มเอกสารวางอยู่

   “เออ...” ยืนเก้ๆ กังๆ ไม่กล้าขึ้นเตียง

   “ขึ้นมาสิ ข้างๆ ผม” เจ้าของเสียงพูดไม่แม้แต่จะลดแฟ้มลงมามอง มีเพียงมือใหญ่ที่ตบเตียงว่างข้างๆ ให้ผมขึ้นไป เอาวะ กินฟรี อยู่ฟรี นอนฟรี

   คลานขึ้นเตียงช้าๆ กำลังจะสอดตัวใต้ผ้าห่ม คนข้างๆ ก็วางแฟ้มลงตัวบน เอาซะผมสะดุ้ง

   “ตกใจ” คนทำผมตกใจยังขำ “ทำไมบอสไม่ไปใส่ชุดนอนให้มันดีๆ” แกล้งถามไปงั้น

   “ปกติฉันไม่ใส่อะไรนอนด้วยซ้ำ ว่าแล้วก็ร้อนเลย” คนร้อนกระพือเสื้อคลุมอาบน้ำจนแทบหลุดออกจากไหล่ แถมด้านล่างก็แหวกเกือบถึงกลางลำตัวแล้ว

   “ร้อนอะไร หนาวจนหิมะจะตกในห้องอยู่แล้ว” ยี่สิบองศานี่ไม่ร้อนเลยนะครับ ขนาดผมสวมชุดนอนโคร่งๆ ยังหนาว

   “นี่อุณหภูมิปกติในห้อง ที่จริงต้องลดมากกว่านี้ แต่เพราะวันนี้นายมานอนด้วยเลยเพิ่มให้”

   “เพิ่มให้แล้วเหรอครับเนี่ย” ถ้าไม่เพิ่ม จะนอนที่เท่าไหร่กัน คนหรือนกเพนกวินวะ “เออนี่บอส” ผมนอนตะแคงใช้ฝ่ามือรองศีรษะขณะถาม

   “พี่หนึ่งสิ”

   “จะพี่หนึ่งหรือบอสก็คนๆ เดียวกันนั่นแหละ”

   “กวน”

   “คือผมอยากขอร้องอะไรสักอย่างได้ไหม” เพราะมันคาใจมานาน อยากรู้เหลือเกิน “ได้ไหม” ดัดจริตปรับเสียงให้คล้ายกับเสียงอ้อน นี่ถ้าเสื้อนอนไม่ใช่แขนยาว จะโชว์ขนแขนที่ลุกชันให้ดูแล้ว

   “ขอร้องอะไร” นายจักรพรรดิขยับตัวลุกนั่ง หลังพิงตัวเตียง พร้อมกับโยนแฟ้มงานลงข้างเตียง

   “บอส...ช่วยคิดอะไรบางอย่างหน่อยได้ไหม”

   “คิดอะไรบางอย่าง? หมายความว่าไง ให้ฉันคิดอะไร”

   “ก็แบบว่า” จะพูดดีไหมวะ แต่ถ้าไม่ลองมันก็ค้างคาใจอยู่แบบนี้ “ก็แบบว่า...”

   “ว่า?”

   “ห้องบอสมีหนังสือผู้ใหญ่ไหม” ยังไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ เกรงใจสายตาที่สบกับผมอยู่

   “หนังสือผู้ใหญ่? หนังสือเรียนเหรอ หรือว่าหนังสืออ้างอิงอะไร นายจะเอาไปอ่านเหรอ”

   “ผมหมายถึงหนังสือโป๊ นี่บอสไม่รู้ความหมายจริงๆ หรือว่าแกล้งโง่” ปากไวด่าออกไป จนนายจักรพรรดิหน้าตึงขึ้นมา “ขอโทษครับ” ว่าแล้วก็ตบปากตัวเอง

   “จะเอาหนังสือโป๊ไปทำไม หรือมีอารมณ์อยากให้ฉันช่วย?”

   “ไม่ได้มีอารมณ์ คิดอะไรเนี่ย” รีบแย้ง แต่ชั่วครู่ เหมือนจะมีเสียงความคิดแว่วเข้าหูผมมา มาถูกทางละ อยากจะรู้ว่าพลังพิเศษผมจะใช้กับคนๆ นี้ได้หรือเปล่า “ผมแค่อยากให้บอสลองคิดเรื่องอย่างว่าดู”

   “ทำไมฉันต้องคิดด้วย”

   พอเจอคำถามกลับ ผมก็ต้องยกมือขึ้นเกาหัว จะหาคำอธิบายง่ายๆ ยังไงให้เขาเข้าใจดี

   “ก็แบบว่า อยากให้ลองคิดสักนิดนึงก็ได้ ผมไหว้ล่ะ นะ”

   “แปลกคน”

   “ใช่ ผมแปลกคน บอสช่วยคิดหน่อยได้ไหม สักนิดก็พอ เอางี้ บอสลองนึกภาพผู้หญิงรูปร่างดี หน้าอกใหญ่ สะโพกผาย”

   “แล้ว?”

   “ก็ลองคิดดูว่าถ้าเจอ บอสจะคิดยังไง” ตอนนี้ผมเริ่มสับสนใจการหาคำอธิบายของตัวเอง เหมือนยิ่งพูดตัวเองก็ยิ่งงง “ไม่ต้องคิดก็ได้ ผมจะนอนแล้ว” พูดจบก็พลิกหันหลังพลางกระชับผ้าห่มแน่น

   “อ่าว งอนไปอีก” แรงสะกิดที่ไหล่ แม้จะมีผ้าห่มอยู่แต่ก็รู้สึก “งอนพี่เหรอ”

   “ไม่ได้งอน” บอกเสียงสะบัด พอได้ยินคำว่าพี่ออกมาก็รู้สึกแปลกๆ

   “หันมาคุยกันดีๆ เดี๋ยวจะลองคิดให้ เร็วๆ”

   “ไม่ต้องแล้ว ผมจะนอน”

   “กระวาน หันมาคุยกันก่อน”

   “หนัก” แอบตกใจที่คนด้านหลังยกขาขึ้นมาพาดบนสะโพกของผม

   “เร็วกระวาน อย่าขี้งอนเป็นเด็ก”

   “ก็บอกว่าไม่ได้งอนไง”

   สุดท้ายก็ต้องหันกลับไปหา สิ่งแรกที่เห็นคือหน้าหล่อที่อยู่ในระดับเอชดีเห็นทุกรูขุมขน ลมหายใจมีกลิ่นมิ้นท์จางๆ ลอยเตะจมูกจนผมต้องขยับตัวให้ห่าง ดีที่เตียงกว้าง


   ทั้งหน้า ทั้งอกกำลังจะทำให้ผมอยากกลับบ้าน


   “หน้าช้ำขนาดนี้ กี่วันถึงจะหาย” ขนาดผมขยับตัวออกมา แต่ก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อมเลย มือใหญ่ยื่นมาแตะรอยช้ำบนโหนกแก้มผมเบาๆ “ต่อไปก็ระวังตัวให้มากกว่านี้ อย่าทำให้ตัวเองเจ็บ เข้าใจไหม”

   “ไม่มีใครอยากเจ็บหรอก” เคลิ้มจนแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอ “บอสเข้าไปในคลับนั้น ไม่ได้ไปฆ่าใครใช่ไหม”

   “ฉันไม่ได้โหดขนาดนั้น แค่เข้าไปคุยดีๆ”

   คุยดีๆ บ้าอะไร คนวิ่งออกมาอย่างกับหนีไฟไหม้ ไม่ก็แผ่นดินไหว

   “บอส...”

   กำลังจะพูดแต่ถูกนิ้วมือแตะที่ริมฝีปากซะก่อน และสิ่งที่ผมสงสัยก็ค่อยๆ เด่นชัดขึ้น

   ความคิดของคนตรงหน้า ดังชัดเต็มๆ สองรูหู พลังพิเศษของผมไม่ได้มีข้อจำกัดกับใคร มันยังคงทำงานได้อย่างดีเช่นที่เป็นมา และมันจะดีมากกว่านี้ ถ้าสิ่งที่ผมกำลังได้ยิน ไม่ใช่เรื่องของผม แววตาอ่อนโยนที่มองในระยะประชิด รอยยิ้มบางๆ แต่แฝงด้วยความจริงใจ ความอบอุ่นจากร่างกายที่ถึงแม้ไม่ได้สัมผัสแต่ก็แผ่ซ่านออกมา

   บอสอย่าคิดเรื่องแบบนั้นกับร่างกายของผมสิ อย่าคิดว่าปากผมน่าจูบ อย่าคิดว่าซอกคอผมจะหอม และอย่าคิดทะนุถนอมตัวผม บอส อย่าคิดแบบนั้นสิเว้ย


   แล้วแบบนี้ ผมจะกล้านอนหลับตาไหม


   “ห้ามลักหลับผมเด็ดขาด” กำชับเสร็จก็รีบหันหลังกลับ พลางยกมือขึ้นมากุมหัวใจตัวเองที่มันกำลังเต้นแรง ไม่สิ กระวานคนนี้จะต้องไม่รู้สึกดีกับคนอื่น แถมรู้สึกช่วงเวลาสั้นๆ ด้วย อย่าเป็นคนใจง่ายหลงรักใครไปเรื่อย “บอส...”

   “เริ่มหนาวแล้วนะเนี่ย”

   “หนาวก็เพิ่มแอร์สิ”

   “เพิ่มก็ร้อน”

   จะร้อน จะหนาวทำไมต้องมากอดผมด้วย แค่เมื่อกี้หัวใจผมก็เต้นแรงอยู่แล้ว ยิ่งโดนกอดแบบนี้ กะจะฆ่าผมเลยใช่ไหม ทั้งที่ผมเป็นคนหวงร่างกายตัวเอง แต่ทำไมกลับยอมนอนนิ่งให้ถูกกอด

   หรือเพราะผมกำลังหวั่นไหว?

        แล้วผมควรทำยังไงดี


...TBC

กระวานกำลังจะทำให้ความคิดของพี่หนึ่งเปลี่ยนจากงานเป็นหื่นนะเนี่ยยยย

แล้วพบกันตอนหน้าค่าาาา

กราบขอบพระคุณทุกๆ คนค่าา รักกกกกก

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
ทำตามเสียงหัวใจค่ะกระวาน  ......อ่าว ไม่ได้ถามเราเหรอ เอ้ออออ 5555

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
มารัวๆแบบนี้มันก็ดีกับใจค่ะขอบคุณนะคะ เราก็นึกว่าพลังของกระวานจะใช้กับบอสไม่ได้ซะอีก ที่ไหนได้เพราะบอสไม่คิดตะหากแต่มาคิดกับกระวานนี่แหละ แล้วผับตรงข้ามเป็นของใครกัน กล้ามากที่มาทำลายข้าวของแบบนี้ คิดว่าต้องเกี่ยวกับปมของบอสแน่ๆ

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ได้ยินเสียงความหื่นนิดๆของพี่หนึ่งแล้ว  :hao7: ขอบคุณมากค่ะ

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
อ้างถึง
บอสอย่าคิดเรื่องแบบนั้นกับร่างกายของผมสิ อย่าคิดว่าปากผมน่าจูบ อย่าคิดว่าซอกคอผมจะหอม และอย่าคิดทะนุถนอมตัวผม บอส อย่าคิดแบบนั้นสิเว้ย   

คิดแบบนี้แล้วจับกดเลยเถอะอย่าได้รอช้า  o18 แล้วก็อยากจะแหมมมมมมมให้ยาวถึงดาวอังคาร กับคำว่า"ถ้าใจเราสนิท มันก็สนิท"เจง เจง
อยากได้สติ๊กเกอร์แบะปากอะ   :hao3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
กระวานของเราจะไม่โสดแล้ว

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ในที่สุดก็ได้ยินเสียงจากหัวใจพี่หนึ่งเสียทีนะกระวาน  :laugh:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

บอสชอบคนอวบอั๋นสินะ  อิอิ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

ง้อออออว เสียงของหัวใจ

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5

-11-




       “นอนหลับสบายดีไหมครับ” ดีนถามขณะผมอ้าปากหาววอดๆ รอเจ้าของห้องที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่ “ท่าทางจะไม่ได้นอน”

   “ฉันต่างหากที่ไม่ได้นอน” กำลังจะอ้าปากตอบ เสียงดังขัดมาจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมอง คนพูดกำลังกลัดกระดุมแขนเสื้อที่ข้อมือ “นอนดิ้นจนฉันแทบตกเตียง”

   “บอสอย่ามาใส่ร้าย ผมนอนเรียบร้อยจะตาย” ใครๆ ก็บอกว่าผมนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

   “อยากดูไหมล่ะ ฉันมีหลักฐาน” ว่าแล้วโทรศัพท์เครื่องแพงก็ถูกหยิบขึ้นมา เจ้าของเครื่องเลื่อนๆ หาคลิปที่ตัวเองถ่ายไว้จนผมต้องรีบวิ่งเข้าไปเกาะแขนอ้อนวอน ดีนที่ยืนรออยู่ถึงกับหัวเราะออกมา “คนเราหนีความจริงไม่ได้หรอกนะ”

   “บอสลบทิ้งเลยนะ ถ่ายทำไมก็ไม่รู้”

   “ก็รู้ว่าจะมีคนเถียงไง”

   ได้แต่เบ้ปากเมื่อไปต่อไม่ได้ หลังจากพร้อมก็ออกเดินทางไปทำงานเช่นทุกวัน ตั้งแต่ผมเริ่มทำงานที่คลับนี้ มื้อเช้าของผมจะเป็นขนมปังกับนมซะส่วนใหญ่ หรือถ้าตื่นเช้าหน่อยก็จะได้ข้าวต้มอร่อยๆ รองท้อง มีวันนี้ที่ตื่นเช้า แต่อาหารรองร้องกลับเป็นไข่ดาวไส้กรอก นั่นยังไม่อร่อยเท่าแฮมที่ผมกินแบบละเลียด จนนายจักรพรรดิต้องเอาของตัวเองมาให้ผมด้วย

   ตลกกินฟรีก็แบบนี้แหละครับ

   การจราจรคับคั่งเช่นทุกวัน ขนาดออกมาแต่เช้าก็ยังติด เมื่อไหร่จะมีใบพัดติดหลังคารถนะ หากรถติดเต็มถนนจะได้บินขึ้นท้องฟ้า ลดปัญญาไปได้เยอะมาก

   “เช้านี้ทายาหรือยัง” คำถามที่ทำให้ผมละสายตาจากป้ายโฆษณาด้านนอกกลับเข้ามาสนใจ ผมพยักหน้าลงช้าๆ เป็นคำตอบ “อีกไม่กี่วันก็คงหาย ช่วงนี้ก็อยู่กับฉันไปก่อน”

   “เดี๋ยวผมไปเช่าห้องอยู่ก็ได้ ไม่กี่วันเอง”

   “เปลืองเงินทำไมกัน”

   “แต่...” ระหว่างจะเถียง เสียงริงโทนโทรศัพท์ของผมก็ดัง พร้อมแรงสั่นสะเทือนจนต้องรีบรับ “ฮัลโหล”

   (ไม่ต้องมาห้าโหล หกโหลเลย กระวานอยู่ไหนเนี่ย ทำไมไม่กลับบ้าน) เสียงดังผ่านปลายสายแทบทะลุแก้วหู เมื่อคืนผมก็คิดที่จะโทรไปบอกที่บ้าน แต่ก็ดันลืม ซวยแล้ว

   “พอดีติดงานน่ะ เลยไม่ได้กลับบ้าน” ขอโทษที่พูดปดไป แต่ผมบอกความจริงไม่ได้

   (ติดงานก็น่าจะโทรบอกกันบ้าง พ่อกับแม่เป็นห่วงจนจะไปแจ้งความคนหายอยู่แล้ว) โป๊ยกั๊กโวยวายใส่อารมณ์ เวลานี้มันน่าจะอยู่โรงเรียนสิ หรือวันนี้วันหยุดหว่า...

   “นายอยู่โรงเรียนเหรอ” ลองหยั่งเชิงถามดู และปลายสายก็ตอบกลับมาเพียงคำว่าอื่อ “งั้นก็ไปเข้าเรียนได้แล้ว”

   (รู้แล้วน่า แต่ต่อไปถ้าจะไม่กลับบ้านก็โทรบอกด้วย อย่าทำให้มือถือเป็นแค่เครื่องประดับ เข้าใจไหม)

   “ครับๆ ทำไมขี้บ่นจังวะ” นี่น้องผมหรือพ่อผมกันแน่

   (ก็เพราะกระวานทำตัวให้บ่นเอง แล้ววันนี้จะกลับไหม)

   “ดูก่อน ไว้จะโทรบอกอีกที” แบ่งรับแบ่งสู้เพราะไม่กล้าบอกตรงๆ ว่าไม่กลับ เพราะโป๊ยกั๊กจะต้องถามหาเหตุผลอีกเป็นร้อยแน่ จบมาควรไปเป็นตำรวจแบบพี่ไธม์นะ ซักไซ้คนเก่งเสียจริง

   หลังจากวางสาย ผมก็รู้สึกว่ากำลังถูกมอง และมันก็จริง คนนั่งข้างๆ กำลังมองผมอยู่จริงๆ แถมมองด้วยรอยยิ้มแปลกๆ

   “แฟนโทรมา?”

   “น้องชายต่างหาก”

   “อ่าวเหรอ”

   ผมกำลังถูกยั่วโมโหอยู่แน่ๆ ขนาดดีนที่ขับรถอยู่ยังหลุดขำ นิสัยไม่ดีทั้งเจ้านาย ทั้งลูกน้อง



   ฝ่าการจราจรจนมาถึงคลับ ปกติผมมาทำงานเช้ากว่านี้ เพราะนี่เลยเวลาเข้างานมาเกือบชั่วโมง โดนหักเงินเดือนละก็ จะโวยวายให้ดู ลงจากรถมาได้ผมก็รีบเดินเข้าตึก ต้องตอกบัตรเข้างานด้วย อย่างกับทำงานออฟฟิตอย่างงั้นแหละ ที่จริงตอนแรกผมกังวลเรื่องชุดทำงานเหมือนกัน แต่อยู่ๆ เช้ามืดก็มีชุดทำงานแหวนอยู่หน้าตู้ ไม่รู้ใครเอาเข้าไปไว้ แถมซักซะหอม

   เข้าตึกทางด้านข้างเพื่อไปตอกบัตร ผมก็ไม่ได้สังเกตว่าจะถูกใครมองไหม เพราะคิดว่าพวกเขาคงหาว่าผมมาทำงานสาย ต้องไปโทษคนตื่นสายนู้น กว่าจะตื่น แถมทำผ้าหลุดอีก ดีที่ใส่กางเกงอยู่ ไม่งั้นผมคงได้เจอหนอนชาเขียวแต่เช้าแน่

   แค่ก้าวขาเข้าห้องโถงก็ถูกสายตาพนักงานเกือบทั้งหมดหันมาจ้องเป็นตาเดียวจนเริ่มกังวล หรือผมจะลืมรูดซิบวะ แต่พอก้มมองก็รูดปิดสนิทดี แล้วเขามองกันทำไม กำลังจะอ้าปากถาม แต่ดันมีลูกค้าเข้ามาซะก่อน ผมเลยต้องเดินไปรับ ซึ่งก็ใช้เวลาไม่กี่นาทีผมก็สามารถหาหมอนวดที่ถูกใจให้ได้ พร้อมได้ทิปอย่างงามเช่นทุกครั้ง เพราะแบบนี้สินะ ผมถึงถูกแยกจากทุกคน จากที่คิดว่าจะมีเพื่อน สุดท้ายก็โดดเดี่ยว

   ผมยังคงตั้งใจทำงาน แต่วันนี้รู้สึกปวดหัวแปลกๆ ทำให้ไม่ค่อยพร้อมที่จะต้องมาทนฟังเสียงเป็นร้อยๆ ความคิดที่ผ่านเข้ามา ผมเลยต้องออกไปหาหูฟังในรถมาเป็นตัวช่วย จังหวะที่กำลังหยิบ สายตาเหลือบไปเห็นรถลีมูซีนคันยาวโฉบเข้ามาจอด มันคงจะไม่น่าสนใจหากคนที่ลงมาไม่ใช่คนที่ผมรู้จัก ทำไมหอมเพิ่งมาทำงาน แล้วมากับใคร...อย่าบอกว่ามากับลูกค้าวีไอพีคนนั้น

   “หาอะไรหรือครับ” คำถามที่ทำให้ผมสะดุ้ง พอหันไปมองก็เจอพี่ยามที่ก้มๆ เงยๆ คงเพราะผมกำลังทำแบบนั้นอยู่แน่ๆ

   “หาหูฟังครับ” ตอบส่งๆ แบบขอไปที แต่พี่ยามกลับตีหน้ายุ่ง “ทำไมเหรอครับ”

   “หูฟังสีชมพูอันใหญ่ๆ ใช่ไหมครับ” พยักหน้าแทนคำพูด “ที่คอ”

   “คอ?”

   “มันอยู่ที่คอคุณนั่นแหละครับ”

   “อ้อ”

   พอจับปุ๊บก็เจอเลย ผมรีบโค้งศีรษะขอบคุณแล้วรีบเดินหนีเข้าตึก ไม่ใช่อะไรหรอกครับ...อาย นี่ถ้าเป็นงูละก็ มันคงงับคอผมไปแล้ว ส่วนเรื่องของหอม ไว้มีโอกาสค่อยถามก็ได้ ผมกลัวว่าหอมอาจจะถูกหลอกให้เป็นของเล่น ดูๆ แล้ว คนนั้นก็ไม่ธรรมดาเลย ทำไมผมไม่ได้ยินความคิดทั้งหมดของคนอื่นเนี่ย

   “มองอะไร” ด้วยความหงุดหงิดเลยเผลอตวาด ก่อนรีบขอโทษเมื่อคนตรงหน้าคือเจ้าของที่นี่

   “หงุดหงิดอะไร” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถาม มือใหญ่ยื่นมาจะแตะที่หน้าแต่ผมเอนตัวหนี “เป็นอะไร”

   “เปล่าครับ ผมแค่ปวดหัว บอสมีอะไรหรือเปล่า”

   “ลงมาไม่เห็นก็คิดว่าเป็นอะไรไป แล้วนี่ ไปไหนมา”

   “พอดีผมออกไปเอาหูฟังมา ถ้าบอสไม่มีอะไร ผมขอตัวไปทำงาน” เพราะไม่อยากหงุดหงิดใส่คนอื่น ผมรีบเดินแยกมาอีกทาง ไม่สนว่าจะถูกมองยังไง เพราะตอนนี้คนก็จ้องมองผมทั้งตึกอยู่แล้ว หนีจากนายจักรพรรดิมาได้ก็มาเจอเจ๊พิมพ์อีก หน้าขาวขึ้นรอยฝ่ามือเด่นชัดกว่าเมื่อวาน แม้จะปกปิดด้วยเครื่องสำอางยังไงก็ยังเห็นอยู่ดี “หน้าเจ๊ดูไม่ค่อยดีนะ”

   “หน้านายก็เหมือนกัน เขียวช้ำน่ากลัวมาก”

   หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่คนมอง ผมว่าน่าจะใช่

   “ไม่รู้กี่วันจะหาย ปวดด้วย”

   “กินยาหรือยัง”

   ไม่ใช่เสียงเล็ก แต่เป็นเสียงทุ้มที่ดังมาจากด้านหลัง ผมรีบหันกลับไปดู เจอนายจักรพรรดิที่ยืนจนชิดตัวผม เดินตามมาตอนไหนเนี่ย ทำไมผมไม่รู้ตัว

   “กินแล้ว”

   “เมื่อไหร่”

   “เมื่อเช้า”

   “โกหก”

   “ไม่ได้โกหก กินตอนบอสแต่งตัวอยู่ ไม่เชื่อถามดีนสิ”

   พูดจบคนตรงหน้าก็หรี่ตามอง แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู คนปลายสายคือดีนและสิ่งที่เขาถามคือถามว่าผมกินยาจริงหรือเปล่า นี่เขาเป็นพ่อของผมอีกคนหรือเปล่าเนี่ย ยุ่งวุ่นวายขนาดนี้ หลังจากได้คำตอบเขาก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม

   “บอสมีอะไรหรือเปล่าคะ” เจ๊พิมพ์ขัดขึ้นมา คงเพราะบรรยากาศชวนอึดอัดนั่น “มีอะไรสั่งพิมพ์ได้นะคะ”

   “ไม่มีอะไร ก็แค่มาตรวจงาน” พูดจบก็เดินไปเฉย ปล่อยให้ผมกับเจ๊พิมพ์หันมามองหน้ากันด้วยความมึนงงเพราะตามอารมณ์ไม่ถูก “ตอนเที่ยงเอาข้าวไปให้ที่ห้องด้วยนะ” ก่อนจะเข้าลิฟต์ไป ยังมิวายตะโกนมาสั่ง ผมชี้เข้าหาตัวเองซึ่งก็ได้การพยักหน้ากลับมา

   อะไรเนี่ย

   “นายเอาอะไรให้บอสกินหรือเปล่า” อยู่ๆ เจ๊พิมพ์ก็ถามออกมา ผมก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธ “แอบเอายาเสน่ห์ให้กินใช่ไหม เพราะถ้าดูจาก...รูปร่างอ้วนๆ นี่ละก็ คงไม่น่าหลง”

   “อวบครับอวบ ผมยังไม่อ้วนสักหน่อย” ค่าน้ำหนักกับส่วนสูงยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานอยู่เถอะ

   “อวบใกล้ระยะสุดท้าย”

   “เจ๊” ลากเสียงยาวจนถูกหัวเราะ “ไปทำงานดีกว่า”

   “อย่าลืมเอาข้าวเที่ยงไปให้บอสด้วยนะ ระวังจะถูกลงมาตาม เอ๊ย ตรวจงานอีก”

   ผมยกมืออุดหูแล้วเดินหนีออกมา โชคดีมีลูกค้าเข้ามาพอดีผมเลยรีบเดินเข้าไปหา งานเชียร์แขกนี่บางครั้งผมก็ว่ามันก็สนุกดีเหมือนกัน ถ้าตัดเรื่องความคิดหื่นๆ ไปน่ะนะ ผมว่า พลังพิเศษของผม เกิดมาเพื่ออาชีพนี้โดยเฉพาะ จะให้ไปทำงานอย่างอื่นหรือนั่งออฟฟิตทั้งวันมันก็คงไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่



***

        เวลาแต่ละชั่วโมงก็ไวราวกับละคร เผลอแป๊บเดียวก็เที่ยง ผมต้องเอาข้าวไปให้บอสตามที่สั่ง ไม่รู้คิดอะไรขึ้นมาหรือเพราะแค่อยากจะแกล้งผม จากที่ถามคนอื่นๆ หน้าที่นี้เป็นของดีน เพราะมีศัตรูคอยจ้องเล่นงาน ดังนั้นของทุกอย่างต้องผ่านความเห็นชอบจากลูกน้องคนสนิท ไม่เว้นแม้แต่ข้าว ต้องตรวจสอบดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบวางยาหรือใส่อะไรปนเปื้อน แล้วนี่ผมต้องตรวจสอบก่อนไหม ต้องกินข้าวในกล่องก่อนที่จะให้หรือเปล่า แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแค่หยิบข้าวกล่องขึ้นไปให้ โดยมีสายตาจับจ้องหลายต่อหลายคู่ สงสัยโดนหาว่าอู้แน่ๆ

   “ช้า” ทันทีที่โผล่หน้าเข้าไปก็ถูกตำหนิทันที ผมเหลือบตามองนาฬิกาบนผนัง มันก็เหลืออีกตั้งสองนาทีถึงจะเที่ยงวัน “แล้วข้าวในกล่องนั้นมีอะไร”

   “ไม่รู้” ตอบส่งๆ ก่อนจะเปิดต่อหน้าเจ้าของข้าวกล่อง “ข้าวผัดต้มยำทะเลรวม” บอกเมนูอย่างแม่นยำ เพราะนี่ก็เป็นอีกเมนูที่ผมชอบให้พ่อทำให้ในช่วงช่วยงานที่ร้าน ถ้าโป๊ะไข่เจียวลาวาอีกนิดนะ สวรรค์ก็สู้ไม่ได้

   “น่าอร่อยดี”

   “มันอร่อยมากต่างหาก”

   “เคยกินหรือไง”

   “บอสถามไม่คิด ข้าวมาจากร้านผมๆ ก็ต้องเคยกินสิ”

   ไม่มีเสียงตอบกลับนอกจากการขำในลำคอ ผมเดินออกจากห้องไปหยิบจานที่อยู่ห้องข้างๆ ที่รู้ก็เพราะเคยถูกใช้ให้ไปเอาน้ำดื่ม จัดการเทข้าวลงจาน จัดตกแต่งให้สวยงามก่อนยกมาวางไว้ที่โต๊ะกระจกในส่วนรับแขก นายจักรพรรดิลุกออกจากโต๊ะมานั่ง สายตาคมตวัดมองคล้ายกับจะสั่งให้ผมนั่งด้วย

   “บอส ผมกลับลงไปได้หรือยัง” การนั่งดูคนกินข้าวขณะที่ท้องเรายังว่าง เป็นความทรมานอย่างหนึ่งเลยนะครับบอกเลย “บอส”

   “ทำไมไม่เอาข้าวนายขึ้นมากินด้วยล่ะ” ถามพร้อมยื่นข้าวคำใหญ่มาจ่อที่ปาก ครั้นจะไม่กิน แต่กุ้งที่อยู่บนช้อนกลับสะกดจิตให้ผมอ้าปาก “หิวล่ะสิ”

   “ก็มันถึงเวลาพักของผมแล้ว” พูดไปเคี้ยวไป “ไปได้ยัง”

   ไม่มีคำตอบใดๆ เพราะคนที่ผมถามยกหูโทรศัพท์สั่งให้คนข้างล่างเอาข้าวขึ้นมา ทั้งที่ปฏิเสธหัวแทบชนเพดานอยู่แล้ว แต่ก็ขัดไม่ได้ ยังดีที่คนเอาขึ้นมาคือการ์ดของที่นี่ ถ้าเป็นพนักงานด้วยกันคงถูกมองมากกว่าเดิม ผมละเกลียดการถูกมองเหมือนเป็นตัวประหลาด แม้จะถูกมองแบบนั้นมาตลอดชีวิตก็เถอะแต่ก็ไม่ชอบอยู่ดี แค่ทุกวันนี้อยู่มาได้ก็เพราะการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่ใส่ใจกับใคร พอได้ข้าวกล่องมาผมก็รีบตักเข้าปากคำใหญ่ เพราะไม่อยากอยู่บนนี้นานๆ

   “เดี๋ยวก็ติดคอหรอก” คนหวังดียื่นน้ำมาให้ ผมก็รีบยกขึ้นดื่มแล้วกินข้าวต่อ ทีนี้ข้าวกับน้ำคงรวมตัวกันเป็นก้อนผมเลยสำลักจนน้ำหูน้ำตาไหล “พูดยังไม่ทันขาดคำ” เสียงบ่นแว่วมาเข้าหู

   “บอสแช่งทำไมเล่า” ไอจนแสบคอกว่าจะค่อยยังชั่ว “เสียงหายเลย” ลองกระแอมดู เสียงผมแหบมาก คงเพราะไอมากไป แต่เสียงเหมือนเป็ดกลับทำให้คนข้างๆ หัวเราะออกมา “ไม่ขำ”

   “ตลกว่ะ” แล้วนายจักรพรรดิก็ขำออกมาอีกชุดใหญ่ ผมส่งค้อนไปชุดใหญ่ทำท่าจะลุกหนี แต่ก็ถูกคว้าข้อมือไว้แล้วฉุดให้นั่งตามเดิม “โอเคๆ ไม่หัวเราะก็ได้ แต่อยู่กินข้าวเป็นเพื่อนก่อน...นะครับ”

   เหมือนเกิดดาวที่หางตาตัวเองแบบในการ์ตูนญี่ปุ่น ผมไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม เขาขอร้องผมด้วยน้ำเสียงอ้อน

   “ดีนบอก ปกติบอสก็กินคนเดียว” แม้เสียงจะแหบแต่ก็อยากพูด

   “ก็นั่นปกติ แต่นี่ไม่ปกติ”

   ผมยกมือเกาหัวไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ปกติ กับไม่ปกติ มันคืออะไรวะ

   “บอสรีบกินสิ เดี๋ยวผมลงไปทำงานสายจะถูกคนอื่นว่าเอา” ตัดบททันที รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับสายตาที่มองมา
 
   “ใครจะกล้า”

   ผมเม้มริมฝีปากไม่ตอบโต้อะไรอีก และนั่งอยู่ข้างๆ จนข้าวหมด พอผมจะลุกก็ถูกดึงอีกรอบ

   “ผมต้องไป...”

   “ขอบใจที่อยู่เป็นเพื่อน”

   ไปต่อไม่ถูกเลยทีนี้ รอยยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวที่ทำเอาใจสั่น ไอ้กระวานแกจะใจสั่นกับคนอย่างนายจักรพรรดิไม่ได้ เพราะถ้าแกใช้หนี้หมด ก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าแล้วนะ ผมพยายามบังคับตัวเองไม่ให้เผลอไปกับรอยยิ้มกว้างนั่น แม้มันจะหวั่นไหวไปนิดๆ แล้วก็ตาม

   กว่าจะออกจากห้องของนายจักรพรรดิได้ ผมก็เดินชนโซฟาบ้าง ตู้บ้าง หนักสุดคือประตูที่น่าจะเพิ่มรอยช้ำบนหน้าผากตัวเอง ยังดีที่ลงลิฟต์ถูกอยู่ พอลงมาถึงลูกค้าก็แน่นคลับ ผมรีบเดินยิ้มเข้าไปหา แต่กลับถูกเดินหนี และไม่ว่าจะเดินเข้าไปหาใคร ทุกคนก็หนี จนทนไม่ไหวต้องเดินไปนั่งที่เคาน์เตอร์ร้านกาแฟแทน

   “ทำผมมีอะไรหรือเปล่า ทำไมเขาถึงกลัว” เอ่ยถามกับพนักงานชงกาแฟที่ขำส่งมาให้ “หน้าผมตลกเหรอ”

   “ค่ะ หน้าของคุณตลก ทั้งเขียว ทั้งช้ำ แถมบวมอีก” พนักงานชงกาแฟตอบออกมาตรงๆ ทำให้ผมรีบหันไปส่องกระจกดู “คุณน่าจะขอลานะคะ”

   “ถ้าลาก็ต้องถูกหักเงินสิครับ”

   “ไม่หรอกค่ะ บอสใจดีจะตายไป” นั่นหรือคือคนใจดี ผมเบ้ปากเมื่อได้ยินคนเยินยอนายจักรพรรดิ ที่จริงก็ทุกคนที่นี่เลยก็ว่าได้ ที่ดูรักและเคารพเขา “ขอให้หายไวๆ นะคะ”

   “ขอบคุณครับ” เสียงอวยพรดังตามหลังขณะผมเดินเข้าไปหาลูกค้าอีกรอบ คราวนี้ก็ยังถูกเดินหนี ผมเลยตัดสินใจเข้าไปขอลากับคนดูแลอย่างเจ๊พิมพ์ ซึ่งก็ดูจะลาง่ายจริง ทันทีที่ผมบอก เจ๊แกก็อนุญาตทันที


   เออ ดีเนอะ ไม่ยุ่งยากอย่างที่ทำงานอื่น


   ผมเข้ามาเปลี่ยนชุดพร้อมหยิบข้าวของออกจากคลับ ผมขับพี่ชมพูออกมาเกือบจะถึงประตู พี่ยามกลับลากป้ายมาขวางไม่ให้ผมออก

   “พี่ยามเอามาป้ายมาขวางทำไม” ลดกระจกแล้วตะโกนถาม พี่ยามรีบวิ่งมาหาผมพร้อมตะเบะท่าประจำตัว “พี่ยามช่วยเอาออกให้หน่อย”

   “ไม่ได้ครับ” คำตอบกลับทำเอาผมขมวดคิ้ว

   “ทำไมไม่ได้ล่ะ ผมลางานแล้วนะ” นี่มันอาบอบนวดหรือโรงเรียนกันแน่ ถึงห้ามไม่ให้ออกก่อนถึงเวลา ขนาดมีรถลูกค้าจอดรอจะเข้ามาพี่ยามแกก็ไม่วิ่งไปเปิดให้

   “บอสสั่งมาว่า ให้รอบอสสักครู่ครับ”

   “รอบอส? รอทำไม”

   “อันนี้ผมก็ไม่ทราบ บอสกำลังลงมา กรุณารอสักครู่ครับ”

   คราวนี้พูดจบก็ดันหน้ารถผมให้ถอยหลัง จนผมต้องบอกว่าจะถอยเอง นี่มันอะไรวะ จะห้ามผมไม่ให้ออกไปแบบนี้ก็ได้เหรอ เจ้านายไม่ใช่เจ้าชีวิตสักหน่อย ผมถอยรถไปรอที่ลานจอดตามเดิม ไม่นานเจ้าของอาบอบนวดก็เดินลงมา เสื้อเชิ้ตปลดกระดุมสองเม็ดโชว์ไหปลาร้าสวย รูปร่างสูงโปร่งทำให้ดูดีแม้จะสวมแค่ชุดลำลอง พอนายจักรพรรดิเดินมาถึงก็เปิดประตูเข้ามานั่งที่ข้างๆ พร้อมบ่นว่าร้อน

   “บอสเข้ามาทำไม”

   “ขี้เกียจทำงาน” ตอบพลางพับแขนเสื้อตัวเอง “อยากออกไปสูดอากาศสักหน่อย”

   “อยากไปก็ให้ลูกน้องบอสพาไปสิ”

   “ก็นายจะไปอยู่แล้วนี่ อย่าขี้งกไปหน่อยเลยน่า เดี๋ยวฉันออกค่าน้ำมันให้”

   “มันไม่ใช่เรื่องค่าน้ำมัน”

   “ไปสิ สตาร์ทรถแบบนี้มันเปลืองน้ำมันนะ”

   ผมจะทำยังไงกับคนๆ นี้ดี

   “รัดเข็มขัดด้วย”

   สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องพาไปด้วย ผมขับรถไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ตอนแรกก็คิดจะไปหาอะไรอร่อยกินแล้วเดินเล่นที่ห้างรับแอร์เย็นๆ แต่พอมีคนมาด้วยก็ต้องเปลี่ยนแผน

   “อยากไปตลาดร้อยปี” อยู่ๆ คนที่หลับตาก็เอ่ยออกมา “รู้จักทางไหม”

   “ไม่รู้”

   “งั้นก็จอด”

   “ไม่จอด”
 
   “งั้นก็ขับตามที่บอก”

        อ้าปากจะขัด พอดีกับดวงตาคมเปิดพรึ่บแล้วหันมาจ้อง ทำให้ผมรีบเม้มริมฝีปากทันที ทำไมต้องดุกันด้วยสายตาด้วย ผมขับรถออกทางเลี่ยงเมือง ตอนแรกคิดว่าจะเป็นตลาดใกล้ๆ ตัวเมือง ที่ไหนได้ มันอยู่อีกจังหวัดซึ่งไกลพอควร สองข้างทางตอนนี้เริ่มเห็นทุ่งนาที่ต้นข้าวออกรวงสวย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของต้นกล้าทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

   แต่ความสบายนั้นอยู่ได้ไม่นานเมื่อนายจักรพรรดิขยับตัวลุกนั่ง ใบหน้าเคร่งเครียดกับคิ้วขมวดทำเอาผมสงสัย สายตาเขาเอาแต่จ้องกระจกมองข้างรถอยู่ตลอด บ่อยครั้งจะหันไปมองด้านหลัง

   “บอสเป็นอะไร”

   “เดี๋ยวเลี้ยวเข้าไปในปั๊ม”

   “ปวดขี้เหรอ”

   “มีคนตามมาต่างหาก”

   เชี่ย ตกใจยิ่งกว่าปวดขี้อีก ผมหันรีหันขวางไม่รู้จะขับต่อยังไง ดีที่มีมือใหญ่ช่วยจับพวงมาลัยบังคับรถไปด้วย จนพี่ชมพูจอดนิ่งที่ลานหน้าร้านสะดวกซื้อ ผมแอบมองรถที่หลบอยู่หน้าปั๊ม สงสัยจะตามมาตั้งแต่หน้าคลับ ทำไมผมไม่สังเกตเลยวะ

   “มันจะยิงเราเหมือนคราวก่อนไหมบอส” ในหัวเริ่มมีภาพสยดสยองจนน้ำตาเอ่อขึ้นมา

   “ไม่หรอก ถ้ามันจะยิง คงยิงไปนานแล้ว” คำตอบนั่นไม่ได้ทำให้ผมสบายใจ มือสองข้างสั่นไปหมด “อยู่กับฉัน ไม่ต้องกลัว” ความอุ่นจากมือใหญ่กำลังปลอบให้ผมสบายใจ ยิ่งแรงบีบเบาๆ ที่มือของผมผสมกับสายตาจริงจังหยุดความกลัวของผมได้ชะงัด
 
   เสียงริงโทนโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงทำให้นายจักรพรรดิละสายตาจากผมไป นิ้วยาวกดรับพลางบอกพิกัดที่อยู่ให้ปลายสายรับรู้ ให้เดาคงจะเป็นดีนแน่ๆ และไม่นานเขาก็กลับมายิ้มกว้างให้กับผม

   “ดีนเหรอ”

   “อืม ใกล้ถึงแล้ว”

   “หา?”

   งงกับคำว่าใกล้ถึงที่ได้ยิน แปลว่าดีนก็ขับตามมาห่างๆ เหมือนกันเหรอ และความสงสัยก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อมีรถสีดำคุ้นตาโฉบเข้ามาจอดข้างๆ พี่ชมพู พอดีนเปิดประตูรถข้างคนขับออกมา นายจักรพรรดิก็สั่งให้ผมรถจากรถ ตอนนั้นเองผมก็ได้รู้ว่า รถคันสวยนั้นกันกระสุน นอกจากนักการเมืองกับตำรวจแล้ว จะมีคนธรรมดาที่ไหนนั่งรถกันกระสุน ไม่เป็นคนรวยก็มาเฟียแล้วล่ะ ทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถ ผมก็รีบหันไปมองรถของตัวเองที่ดีนเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย

   “ดีนขับรถเก่ง ไม่ต้องห่วง”

   “ไม่ได้ห่วงแบบนั้นสักหน่อย”

   “ก็เห็นมอง”

   แม้จะถูกแขวะ แต่ผมก็ยังมองออกนอกตัวรถอยู่ พี่ชมพูก็ห่วง แต่ที่ห่วงมากกว่าคือ ไอ้คนที่ขับรถตามนั่นมันหายไปแล้ว สงสัยจะไหวตัวทันแหงๆ ฟู่ว เกือบไปเฝ้ายมบาลอีกรอบแล้ว ตอนนี้รถที่นั่งมุ่งหน้ากลับคลับ ก็นะ ไม่มีกะจิตกะใจออกไปเที่ยวสูดอากาศหรอก และหากไปจริงผมก็คงไม่ออกจากรถแน่ กลัวถูกเป่าสมองกระจาย ไม่คุ้มสักนิด ใช้เวลานานพอสมควรกว่ารถจะเลี้ยวเข้าไปจอดใต้คอนโดหรูและลิฟต์ก็เลื่อนทั้งรถและคนขึ้นไปชั้นจอดรถวีไอพี

   “รถผมล่ะ” ถามเพราะตอนนี้ไม่เห็นรถของตัวเอง

   “เดี๋ยวดีนก็ขับขึ้นมา” ตอบพลางหาว ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรเลย “ง่วงจัง เพิ่งจะบ่ายสี่เหรอเนี่ย”

   “จะบ่น จะหาว จะบิดขี้เกียจผมก็ไม่ได้ว่า แต่ช่วยยืดแขนยาวๆ ไปทางอื่นได้ไหม นิ้วบอสจะทิ่มตาผมอยู่แล้ว” ว่าไปก็เหมือนกระทบก้อนหิน ยิ่งพูดนิ้วยาวก็ยิ่งทิ่มหน้า แถมยังหัวเราะชอบใจที่แกล้งผมได้อีก “บอส” ช่วงที่ผมขึ้นเสียง คนขับรถหลุดขำออกมาก่อนจะกระแอมขอโทษ แต่นั่นผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่ กำลังโมโหคนแกล้งผมอยู่

   “นายนี่ตัวนุ่มยังไม่พอ แก้มยังนุ่มอีกนะ”

   “บอส”

   พูดกำกวมจนคนอื่นคิดไปไหนต่อไหนแล้ว ผมรีบเปิดประตูลงจากรถแล้วเข้ากดลิฟต์เพื่อให้ปิด แต่กดเท่าไหร่ เลขหน้าปัดดิจิตอลก็ไม่ยอมขยับ

   “มันไม่ขึ้นมาหรอกถ้าไม่ใส่รหัส” นายจักรพรรดิขำ นิ้วยาวกดใส่รหัสที่แป้นตัวเลขข้างปุ่มกดลิฟต์ เพียงแค่กดเลขตัวสุดท้ายลิฟต์ก็ทำงาน “ขึ้นห้องเรากัน”

   “บอสอย่าพูดแบบนี้สิ”

   “ทำไมล่ะ”

   “คนอื่นเขาจะคิดว่าเรา...”

        ผมเหลือบไปมองลูกน้องของนายจักรพรรดิที่ยังยืนอยู่ใกล้ๆ

   “เราทำไม”

   “ก็คิดว่าเรา...”

   “เป็นผัวเมียกัน? โธ่แค่นี้...” รีบยกมือปิดปากคนพูดมาก แถมพูดตรงเกินซะจนผมอยากมุดรูช่องไฟหนี แต่แรงผมเท่ามดคงสู้แรงช้างไม่ได้ มือที่ปิดปากถูกดึงออกอย่างง่ายดาย “จะกลัวคนอื่นไปทำไม แค่ตัวเรารู้ก็พอ”

   “คมมาก”

   “อยากโดนบาดสักครั้งไหมล่ะ”

   “ไม่ล่ะ ผมเกรงใจ”

   ผมขอกลับคำได้ไหม ตอนนี้อยากให้เขากลับไปเป็นแบบเดิม เป็นคนที่ไม่นึกถึงเรื่องใดๆ อย่างแต่ก่อน เพราะผมทนฟังไม่ได้ ผมกำลังจะบ้าตายอยู่แล้ว


...TBC

เรื่องความเสี่ยว ไว้ใจนายจักรพรรดิ ฮ่าๆๆๆๆ

แล้วพบกันค่าาาา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด