Episode 6 part1
ถึงแม้เมื่อครู่ในใจของภูจะเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมเพียงใด หากแต่เมื่อต้องมานั่งชิดติดกันบนเบาะหลังของรถแท็กซี่ กลิ่นอายจากร่างกายของอีกฝ่ายและสัมผัสแห่งความใกล้ชิดอันเป็นสิ่งที่ภูแพ้ทางมาโดยตลอดก็ทำให้เขาเกิดประหม่าขึ้นมาจนตัวแข็ง เด็กหนุ่มนั่งนิ่งตัวไม่กระดิก หน้าหันออกมองนอกหน้าต่างจนคอเกร็งค้าง ในหัวพยายามงมหาซักเรื่องมาเริ่มบทสนทนาเพื่อทำลายความเงียบน่าอึดอัดที่อบอวลอยู่เต็มห้องโดยสารของรถแท๊กซี่ในขณะนี้ หากแต่กลับเป็นกรรณที่เป็นฝ่ายเริ่มขึ้นก่อนเอง
“เรื่องเมื่อวาน ตกลงไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย?” กรรณถามขึ้น
“เรื่องเมื่อวาน? เรื่องอะไรครับ?” ภูสะดุ้ง ด้วยเมื่อวานนี้มีหลายเรื่องเกิดขึ้นเหลือเกิน
“ก็เรื่องโปสเตอร์โฆษณา เห็นนายโทรมาโวยวายใหญ่โต” กรรณชี้ชัดลงไปว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“อ๋อ…” ภูนึกขึ้นได้ “ก็คงไม่เป็นไรแล้วมั้งครับ เมื่อวานผมก็แค่ตกใจ ไม่ได้ตั้งใจจะโทรไปโวยวาย”
“ก็ดีแล้ว” น้ำเสียงของกรรณมีเสียงหัวเราะกลั้วอยู่ในลำคอ “โวยวายซะพี่ตกอกตกใจหมด นึกว่าโดนใครต่อว่ามา”
“ไม่มีอ่ะ มีแต่โดนเพื่อนล้อ” ภูบอกตามความจริง
“ล้อเรื่องอะไร เรื่องนายแบบหน้าบูดหน้าบึ้งน่ะเหรอ?” กรรณแหย่
“เรื่องได้ตากล้องไม่โปร ถ่ายออกมาดูแย่กว่าตัวจริง” ภูเย้าอีกฝ่ายกลับไป
“ขนาดไม่โปร ยังมีเด็กที่ไหนไม่รู้มาบอกว่าติดตามผลงานมาตั้งแต่เริ่ม” กรรณยกเอาเรื่องเมื่อคืนมาข่มทับ
ภูหน้าแดง เลิกต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย ที่พูดไปเมื่อครู่ก็เพียงแค่อยากจะเอาคืนที่โดนล้อ ความจริงนั้นโต้แย้งไม่ได้เลยว่าฝีมือของกรรณไม่มีข้อให้ติ ผลงานโฆษณาชิ้นแรกของเขาที่เพิ่งเปิดตัวไปได้พิสูจน์ทุกอย่างแล้ว เพราะถึงแม้สภาพอารมณ์ขณะทำงานจะไม่ได้มีความเต็มใจแม้แต่น้อย แต่ช่างภาพหนุ่มก็สามารถหามุมเก็บภาพที่ดูแล้วเหมือนเขายินยอมพร้อมใจเต็มที่มาจนได้ แวบแรกที่เห็นภาพในโปสเตอร์นั้น เขายังคิดว่าไม่ใช่ตนเองเลยด้วยซ้ำ
“แต่วันนั้นลูกค้าเค้าชอบนายมากเลยนะ” กรรณยังคงพูดต่อ “ถ้าจะเอาดีทางนี้ก็ไม่น่าจะยาก แค่ต้องไปหัดทำหน้าให้รับแขกซะบ้าง”
“ขนาดนั้นเชียว…” ภูไม่อยากจะเชื่อ เพราะเท่าที่จำได้ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปในวันนั้น ไม่น่าจะก่อเกิดความประทับใจใดๆให้กับใครทั้งสิ้น
“ช่าย…” กรรณลากเสียง “ถ้ามีงานแบบนี้อีกจะทำมั้ยล่ะ? เพราะงานโฆษณา แคทตาล๊อก หรือพวกแฟชั่นเซ็ท บางทีถ้าพี่รู้จักกับลูกค้า พี่ก็เสนอคนมาเป็นแบบให้เค้าเองได้เลย ไม่ต้องผ่านพวกโมเดลลิ่งเอเจนซี่”
ต้องชัดเจน ถึงเวลาต้องชัดเจนแล้ว ภูย้ำเตือนตัวเองเมื่อเงาแห่งความปากไม่ตรงกับใจเริ่มตั้งเค้าจะปรากฎตัวออกมา
“ก็ได้” ภูตอบตกลง หากแต่เสียงที่หลุดออกจากปากนั้นเบาจนเกือบจะเป็นกระซิบ
“ถ้าไม่อยากทำก็ไม่เป็นไรนะ” กรรณถามความสมัครใจ
มากกว่านั้นอีก ต้องชัดเจนมากกว่านั้น ภูผลักดันตัวเองให้พูดในสิ่งที่คิดออกไป อาจไม่ใช่ความในใจทั้งหมด เพราะความกล้ายังไม่มากพอ แต่ก็ขอให้มันฟังดูเป็นเบาะแสให้อีกฝ่ายระแคะระคายได้
“ถ้าพี่อยากให้ผมทำ ผมก็จะทำ” ภูกลั้นใจบอกออกไป ใจนึกสงสัยว่าตอนนี้ใบหน้าของตนกำลังแดงอยู่หรือไม่
“งั้นเหรอ…” กรรณจ้องหน้าของเด็กหนุ่ม นัยน์ตาคมคู่นั้นคล้ายจับสังเกตบางสิ่งที่เจือปนอยู่ในน้ำเสียงอีกฝ่ายได้
“อืม” ภูพยักหน้าสำทับ
“ติดใจรายได้ล่ะสิ” กรรณทำหน้าเหมือนรู้ทัน “ของคราวก่อนสงสัยลงขวดหมดแล้วมั้งเนี่ย เมื่อวานถึงได้อาบเหล้าจนชุ่มมาแบบนั้น”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะ!! ผมหมายถึง… ” ภูอ้าปากจะปฏิเสธ หากแต่รถก็มาถึงที่หน้ามหาวิทยาลัยเสียก่อน
“โดนรู้ทันแล้ว ไม่ต้องมาแก้ตัว รีบไปเรียนได้แล้ว” กรรณดันเร่งให้เด็กหนุ่มลงจากรถ ก่อนจะปิดประตูเขาชะโงกหน้ามาพูดทิ้งท้าย “แล้วถ้ามีเวลาว่างก็หัดยิ้มให้คล่อง งานต่อไปถ้าหน้าบึ้งอีก จะหักค่าจ้างแล้วนะ”
ภูได้แต่ยืนมองรถแท๊กซี่สีเขียวเหลืองคันนั้นวิ่งหายไปจนลับตา ถ้อยคำที่เตรียมเอาไว้ทั้งหมดยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก ถ้าทำแล้วพี่พอใจ ผมก็จะทำ ค่าจ้างน่ะผมไม่สนหรอก… เมื่อขาดประโยคนี้ ก็ไม่แปลกที่กรรณจะเข้าใจไปว่าเขายอมรับข้อเสนอก็เพราะเงินทองมันล่อใจ ทว่าตอนนี้ก็คงช้าไปเสียแล้ว แต่ถึงกระนั้นภูก็ค่อนข้างพอใจกับความสำเร็จเล็กๆของตน อย่างน้อยวันนี้เขาก็กล้าพอจะพูดอะไรที่ตรงกับใจออกไป กล้าพอที่จะทำตัวชัดเจน แม้จะยังไม่มากพอที่จะให้อีกฝ่ายเข้าใจได้อย่างถูกต้องก็เถอะ เรื่องเข้าใจผิดเอาไว้แก้ไขกันในโอกาสหน้าก็ไม่สาย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถัดมาในวันนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ถ้าไม่นับเรื่องการถูกหักคะแนนเก็บเนื่องจากเข้าห้องเรียนช้ากว่าเวลาไปเกือบยี่สิบนาทีแล้ว ทุกสิ่งนอกจากนั้นก็ดำเนินไปตามวิถีของชีวิตนักศึกษาอย่างที่เคยเป็นมา ภูแก้ตัวกับอาจารย์ประจำวิชาและขอต่อรองเลื่อนการส่งงานไปเป็นคาบเรียนหน้า ในขณะที่บรรดาเพื่อนร่วมคณะก็ดูจะทำตามสัญญาที่ให้เอาไว้ คือเลิกล้อเลียน ทำเหมือนภูไม่เคยปรากฏตัวอยู่บนโปสเตอร์โฆษณานั้น อาจจะมีบางคนที่เป็นพวกพูดก่อนคิดทีหลังเช่นนฤดลที่หลุดแซวออกมาบ้างแต่ก็อยู่ในระดับที่พอขำออก ไม่ได้พร่ำเพรื่อจนน่าเบื่อแบบเมื่อวาน ทั้งหมดนี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนได้ชีวิตปกติกลับคืนมาอีกครั้ง
“รอดตัวไปนะแก ดีนะที่อาจารย์ยอมเลื่อนกำหนดส่งให้” สาลี่พูดขณะเดินตามหลังภูลงมาจากอาคารเรียน
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลยแกน่ะ ถ้าเมื่อวานไม่ทิ้งให้ชั้นหลับในร้านเหล้า ป่านนี้ชั้นก็มีงานมาส่งอาจารย์แล้ว ไม่ต้องมาโดนบ่นแบบนี้หรอก” ภูช่วยเตือนความจำให้เพื่อนซี้ผู้ซึ่งเหมือนจะลืมไปแล้วว่าก่อวีรกรรมอะไรไว้
“แล้วก็เป็นชั้นอีกนั่นแหละ ที่ไปช่วยพูดกับอาจารย์อู๋จนยอมเพิ่มเวลาส่งงานให้แก” สาลี่เอาความดีความชอบมาป้องกันตัว
“เออ แล้วแกไปพูดยังไงวะ? อาจารย์เค้าถึงยอม” ภูสงสัย เนื่องจากกิตติศัพท์ของอาจารย์อู๋เป็นที่เลื่องลือรู้กันดีว่าเด็ดขาดไม่มีการผ่อนปรน
“ก็คนเรามันต้องมีวาทศิลป์เว้ย เวลาคุยน่ะเราต้องรู้จักอ่อนน้อม” สาลี่แสดงท่าทางประกอบด้วยการน้อมตัวลงจนคอเสื้อนักศึกษาเปิดเห็นชั้นใน “การแต่งตัวก็มีส่วนช่วยได้มาก แต่งตัวเหมาะสมกับโอกาสก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ก่อนเข้าห้องพักอาจารย์น่ะ กระดุมเม็ดบนแกะออกซักสองเม็ด เท่านี้คุยอะไรอีกฝ่ายก็ยอมหมดแล้ว”
“นี่มหาลัยฯนะ ไม่ใช่ซ่อง” ภูส่ายหน้าระอากับความกร้านโลกของเพื่อน
“ผลลัพท์สำคัญกว่าวิธีการ ไม่เคยได้ยินคำนี้หรือไง?” สาลี่เอาศอกกระทุ้งแขนภู
เมื่อเดินมาถึงชั้นล่างของตึกเรียน วันนี้คนที่จับกลุ่มกันอยู่ตามโต๊ะหินอ่อนด้านหน้าตึก นอกจากจะเป็นกลุ่มนักศึกษาหน้าเดิมที่เป็นเจ้าประจำแล้ว ภูยังเห็นนักศึกษาหญิงหน้าตาไม่คุ้นอีกจำนวนหนึ่งที่มายืนด้อมๆมองๆอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนั้น เมื่อเห็นภูเดินลงมาหนึ่งในนั้นก็รีบฉุดแขนเพื่อนอีกคนที่ยืนละล้าละลังอยู่เดินตรงเข้ามาหา
“พี่พิภู ปีสอง สถาปัตย์ ใช่มั้ยคะ?” เด็กสาวคนที่เดินนำหน้ารัวคำถามใส่ภูทันทีที่เดินมาประชิดถึงตัว
“คะ… ครับ” ภูดีดตัวกระเถิบถอยหลัง ตกใจจนตั้งตัวไม่ทัน
“ออกไปเลย อย่ามาแอ๊บเขิน” เด็กสาวคนเดิมหันไปยื้อยุดฉุดกระชากให้เพื่อนที่ยืนเหนียมอายอยู่ออกมาข้างหน้า
เมื่อสู้แรงเพื่อนไม่ไหว เด็กสาวผมยาวเค้าหน้าออกไปทางชาวแดนอาทิตย์อุทัยก็ถูกผลักดันจนออกมายืนประจันหน้ากับภู แต่เมื่อสบสายตาของหนุ่มรุ่นพี่ที่กำลังมองมาที่ตนด้วยความสงสัย เธอก็หน้าแดงก่ำด้วยความอายและก้มหน้าหลบลงไปมองพื้นอีกรอบ จนในที่สุดเพื่อนที่มากับเธอก็ดูจะเหลืออดเหลือทนเต็มทีจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายออกหน้าดำเนินการให้เสียเอง
“พี่พิภูคะ หนูชื่อส้ม แล้วนี่พิม ที่มาวันนี้ก็คือจะบอกว่า พิมเนี่ยมันปลื้มพี่มากเลยอ่ะ” เธอบอกออกมาโต้งๆ จนเจ้าตัวที่ถูกกล่าวถึงรีบยื่นมือมาปิดปากไม่ให้พูดต่อ ส้มรีบแกะมือเพื่อนออกแล้วพูดต่อ “แต่พี่ไม่ต้องคิดมากนะคะ พวกหนูไม่ได้จะมาทำให้พี่ลำบากใจอะไรหรอก แต่พวกหนูตั้งใจว่าจะเป็นแม่ยกให้พี่เองค่ะ”
“แม่ยก? มันคืออะไรครับ?” ภูตามไม่ทันกับสิ่งที่เด็กสาวตรงหน้าพูดอยู่
“อารมณ์ประมาณแฟนคลับ ช่วยติดตามผลงาน ช่วยโปรโมทผลงานอะไรแบบนี้น่ะค่ะ” ส้มอธิบาย
“อ้อ แบบนี้เอง แต่ไม่เป็นไรครับน้อง พี่คงไม่ได้มีผลงานอะไรให้น้องติดตามหรอก” ภูยิ้มแห้งๆ มือเกาหัวแก้เขิน “ไอ้ใบปิดโฆษณาที่พวกน้องเห็นกันพี่ก็แค่โดนขอให้ไปช่วยเค้าเฉยๆ”
“เดี๋ยวก็มีค่ะ ต้องมีแน่นอน” เด็กสาวอีกคนที่ชื่อพิมพูดขึ้นบ้างหลังจากยืนรวบรวมความกล้าอยู่นาน “หนูก็เลยอยากติดตามพี่ตั้งแต่ก้าวแรกตอนนี้เลย”
“อุ๊ยตาย… ชีวิตดารา” สาลี่ปากยื่นปากยาวมาจากข้างหลังจนภูต้องกระทุ้งศอกใส่ให้เงียบ
“ใช่ค่ะ ขนาดงานแรกของพี่ พิมมันยังปลื้มจนเก็บโปสเตอร์ไปติดไว้ในห้องนอนเลย”
ส้มพูดได้เท่านั้นก็โดนพิมผู้ซึ่งยามนี้ถูกความอับอายรุมเร้าจนหน้าแดงเป็นผลสตรอเบอรี่สุกบีบคอจนลิ้นจุกปาก จนเมื่อยกสองมือขึ้นเป็นสัญญาณว่ายอมจำนนแล้วนั่นละอีกฝ่ายถึงยอมปล่อย พิมสูดลมหายใจเข้าพยายามตั้งสติจนเมื่อความเขินอายสร่างซาลงบ้างแล้วจึงค่อยพูดต่อ
“ไม่ต้องลำบากใจนะคะ พี่ก็ใช้ชีวิตเหมือนที่เป็นมา พวกหนูก็จะสนับสนุนพี่ในทุกการตัดสินใจค่ะ” พิมชี้ไปยังเพื่อนกลุ่มที่รออยู่ข้างหลัง ใบหน้าของเธอยังคงแดงเรื่อ
เมื่ออยู่ต่อหน้าแววตาอันเปี่ยมไปด้วยความปลาบปลื้มอย่างจริงจังและแน่วแน่เช่นนั้น ภูก็จนปัญญาจะหาเหตุผลที่ฟังดูเข้าทีมาบอกปัดความปรารถนาดีที่อีกฝ่ายมอบให้ ทั้งโดยส่วนตัวแล้วเด็กหนุ่มก็เชื่อมาตลอดว่าการมีคนมาชื่นชอบหรือรักใคร่ยังไงก็ย่อมดีกว่ามีคนเกลียดชังอยู่แล้ว และอีกอย่างหากเขาไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันต่อจากนี้ ไม่นานทั้งหมดก็คงจะเบื่อและเลิกรากันไปเอง ไม่จำเป็นจะต้องพูดปฏิเสธให้เกิดรู้สึกว่าหักหาญน้ำใจกัน
“โอเค เอาเป็นว่าถ้าพวกน้องอยากทำพี่ก็ไม่ขัดข้อง” ภูยอมตกลง “แล้วพี่ต้องทำอะไรบ้าง?”
“ไม่ยากค่ะ เริ่มแรก หนูขอแค่โซเชียลของพี่ เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม อะไรก็ได้ที่พี่ใช้อยู่นะคะ” พิมกุลีกุจอหยิบโทรศัพท์มือถือของตนออกมาจากในกระเป๋าสะพายใบเล็ก
ภูให้ข้อมูลตามที่อีกฝ่ายขอมา พิมรีบกดค้นหาผู้ใช้และแอดทีละรายการจนกระทั่งมาถึงอินสตาแกรมของภู เธอก็เงยหน้าจากจอโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยความสงสัย “ไอจีพี่ไม่ได้ลงรูปอะไรเลยเหรอคะ?”
“แหะๆ คือพี่ไม่ค่อยชอบถ่ายรูปน่ะ” ภูอธิบายสาเหตุแห่งความว่างเปล่าในอินสตาแกรมของตน “อีกอย่างที่ผ่านมาพี่แค่เอาไว้ติดตามส่องดูรูปจากแอคเคาท์อื่นเท่านั้นเอง”
“ใช่ค่ะน้อง อีตานี่น่ะ นางอายชัดๆ เวลาเพื่อนถ่ายรูปกันชอบหลบไปอยู่นอกกล้อง” สาลี่ยื่นหน้ามาพูดเสริม
“งั้นหนูจะตั้งไอจีใหม่อีกแอคเคาท์นึง เป็นของแฟนคลับ เอาไว้อัพเดทภาพหรือวีดีโอของพี่ที่พวกหนูหามากันเองแล้วกันนะคะ” พิมเสนอ “เวลาพี่มีงานหรืออัพเดทอะไร ก็บอกหนูก่อนเลยนะคะ แล้วหนูจะกระจายข่าวให้เอง”
เมื่อความเคอะเขินเริ่มจางหายไป ความคล่องแคล่วเป็นงานที่เข้ามาแทนที่ก็ทำให้ภูอดทึ่งในตัวเด็กสาวรุ่นน้องไม่ได้ คนประเภทนี้นี่แหละที่ทำให้เขารู้สึกหลงยุคหรืออยู่ผิดที่ผิดทางได้เสมอ เพราะถึงแม้พิมจะอายุห่างกับเขาไม่น่าจะเกินสองปี แต่ความรู้ความเข้าใจในโลกสมัยใหม่ของเธอกับเขานั้นห่างกันจนแทบหาระยะไม่ได้ ภูไม่เข้าใจว่าทำไมกลุ่มแฟนคลับของดารานักร้องถึงมีชื่อเรียกแทนตัวพวกตนเป็นคำแปลกๆ ไม่เข้าใจถึงความสนุกในการไปยืนเบียดเสียดดูคอนเสิร์ทจากที่นั่งห่างไกลซึ่งมองแทบไม่เห็นตัวนักร้องบนเวที สาลี่ ตฤณ และเพื่อนคนอื่นๆมักจะล้อเลียนภูเสมอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉายามนุษย์ถ้ำถูกตั้งขึ้นโดยรุ่นพี่เมื่อภูบอกกับทุกคนว่าไม่ได้ใช้โปรแกรมแชทที่เรียกว่าไลน์ เดือดร้อนถึงสาลี่ต้องมาสมัครเปิดใช้งานและสอนวิธีใช้ให้กับเขาทีละขั้นตอนเหมือนเด็กหัดเดิน แต่ถึงจะใช้เป็นแล้วก็น้อยครั้งที่ภูจะเปิดแอพลิเคชั่นนี้ขึ้นมาอ่านหรือพิมพ์ข้อความตอบกลับไป ด้วยรู้สึกเป็นการส่วนตัวว่าถึงยังไงการโทรคุยด้วยเสียงก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ยุคก่อนหน้านี้คนเราดิ้นรนจะเป็นจะตายเพื่อพ้นจากการพิมพ์หรือเขียนจดหมายซึ่งสื่อสารอารมณ์ได้ไม่ครบถ้วนไปสู่การสื่อสารระยะไกลด้วยเสียง เมื่อปัจจุบันวิวัฒนาการทางสังคมดูคล้ายจะเป็นไปอย่างย้อนศร ภูซึ่งมีความเป็นขบถต่อยุคสมัยอยู่เล็กน้อยเป็นทุนเดิมจึงค่อนข้างจะยอมรับเรื่องนี้ได้ยาก