Chapter 26: วันครบรอบ
มีนารู้สึกว่าธีรเชษฐ์มีบางอย่างในใจตั้งแต่วันที่อีกฝ่ายออกไปทำธุระ แต่วันนี้ท่าทีของธีรเชษฐ์ยิ่งดูเหม่อลอยจนน่ากังวลกว่าปกติ ร่างสูงขังตัวเองอยู่ห้องนอนมาตั้งแต่เช้า ไม่ได้ออกไปทำงานแม้จะแต่งกายด้วยชุดสูทสีดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้า
“คุณเชษฐ์ครับ อาหารเช้าเสร็จแล้วนะครับ…” เมื่อเคาะประตูไม่มีเสียงตอบรับ มีนาจึงกลั้นใจหมุนลูกบิดประตูด้วยแรงที่ทำให้เกิดเสียงน้อยที่สุด “ขออนุญาตนะครับ…”
เห็นได้ชัดว่าคนในห้องไม่ได้ยินเสียงเขาเข้ามา ธีรเชษฐ์ยังคงนั่งก้มหน้าอยู่บนเตียง ในมือมีกรอบรูปที่มีนาจำได้ว่าเคยเห็นวางคว่ำอยู่ภายในลิ้นชักหัวเตียงของร่างสูงตอนทำความสะอาด แม้จะไม่เคยกล้าหงายขึ้นดูว่าเป็นรูปอะไรก็ตาม
ร่างเล็กค่อยๆทรุดตัวลงบนพื้นข้างกายธีรเชษฐ์ มือเรียวเอื้อมไปแตะที่แขนของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา คนที่จมอยู่ในโลกส่วนตัวขยับเล็กน้อย หันมามองมีนาด้วยสีหน้าราวกับเพิ่งเห็นเด็กหนุ่มเป็นครั้งแรก
“อาหารเช้าเสร็จแล้วครับ” มีนาเอ่ยเสียงเบา “ทานซักหน่อยนะครับ”
“อืม เดี๋ยวฉันออกไป”
เสียงทุ้มแหบพร่า มีนาลอบสังเกตว่าดวงตาสีควันบุหรี่ที่มักจะไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกมามากนักแดงระเรื่อ แต่ไม่กล้าถาม
หลังจากมีนากลับออกมาจากห้องนอนได้สักพัก ร่างสูงก็เปิดประตูออกมา ใบหน้าคมเรียบนิ่งไม่แสดงความรู้สึก เด็กหนุ่มขยับตัวอย่างอึดอัดกับบรรยากาศตึงเครียดในห้อง ทั้งที่เขาคิดว่าเรื่องระหว่างพวกเขากำลังเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นแล้วแท้ๆ…
“ไม่มีเรียนเหรอ?” ธีรเชษฐ์ถามด้วยน้ำเสียงอิดโรยหลังรวบช้อนส้อมของตัวเอง
“มีเรียนตอนบ่ายครับ” ร่างเล็กตอบ แม้เขาจะไม่อยากทิ้งให้อีกฝ่ายอยู่ในสภาพแบบนี้คนเดียวก็ตาม
ธีรเชษฐ์เพียงแต่พยักหน้ารับรู้ เด็กหนุ่มลอบมองร่างสูงที่นิ่งไปอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มเก็บจานชาม ใช้การล้างจานเป็นข้ออ้างเอาตัวเองออกจากสถานการณ์น่าอึดอัดนี้
ครืดดดด
ร่างเล็กขมวดคิ้ว วางกองจานชามขนาดย่อมลงในอ่างล้างจานแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมารับสาย
“มีอะไรรึเปล่าซัน?”
“มีน วันนี้รบกวนส่งเลคเชอร์บ่ายมาให้หน่อยได้มั้ย ฉันคงไม่ได้เข้า” เสียงไม่สู้ดีของลูกชายคนเล็กของบ้านทรัพย์ดำรงทำให้มีนารู้สึกไม่สบายใจ เด็กหนุ่มเหลือบมองคนพ่อที่นั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะทานอาหาร แล้วถามคนปลายสายอย่างสงสัย
“มีอะไรรึเปล่าซัน เสียงไม่ดีเลย”
“พอดี…วันนี้เป็นวันครบรอบวันที่แม่ฉันเสียน่ะ ฉันจะไปทำความสะอาดสุสานกับพี่ๆ คงกลับไปไม่ทันเรียน”
มีนารู้สึกเหมือนเลือดในร่างกายเย็นเฉียบ ท่าทีประหลาดของธีรเชษฐ์ดูมีเหตุผลขึ้นมาในสายตาของเด็กหนุ่ม
“เรา…ก็ไม่น่าจะได้ไปเรียนวันนี้ มีธุระนิดหน่อย ขอโทษนะ”
ร่างเล็กประหลาดใจที่การตัดสินใจนั้นง่ายมากสำหรับเขาทั้งที่เด็กหนุ่มไม่เคยขาดเรียนเองหากไม่มีทางเลือก
”อ๋อ ไม่เป็นไร เดี๋ยวขอพายุเอา” ทินกรวางสายไปหลังจากนั้น มีนาเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกง ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความกังวลยังคงไม่ละไปจากร่างสูง
“คุณเชษฐ์ครับ…วันนี้จะออกไปไหนรึเปล่าครับ”
เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือเล็กที่แตะลงบนไหล่ของตนอย่างแผ่วเบา แววตาของร่างสูงว่างเปล่าเหม่อลอย บีบหัวใจคนมองจนมีนานึกอยากดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้ให้แน่น
“ไม่มี” คำตอบนั้นทำให้เด็กหนุ่มเอียงคออย่างประหลาดใจ และท่าทีนั้นกระตุ้นความสงสัยของคนเหม่อลอยมาตลอดทั้งเช้า
“ทำไม? คิดว่าฉันจะต้องไปไหนเหรอ?”
“คือ…” มีนาก้มหน้าหลบสายตาจ้องจับผิด รู้สึกเหมือนตัวเองล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของธีรเชษฐ์โดยไม่ได้รับอนุญาต
“คุณทินกรบอกว่าวันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของคุณเกศรา ผมเลยคิดว่า…”
“ไม่หรอก เด็กพวกนั้นคงโกรธถ้าฉันเข้าไปยุ่งในวันครอบครัวของพวกเขา”
“แต่ว่า…” คุณเชษฐ์ก็เป็นครอบครัวของพวกเขาไม่ใช่เหรอครับ?
“เชื่อเถอะ ไม่มีฉันพวกเขาจะมีความสุขกว่า” ธีรเชษฐ์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “ตอนบ่ายฉันคงไม่ได้ไปส่งนะ ไปเรียนเองได้ใช่
มั้ย?”
“พอดีวันนี้อาจารย์เขายกเลิกคลาสน่ะครับ” มีนาโกหก หากเป็นเวลาปกติน้ำเสียงสั่นๆและแววตาล่อกแล่กของเด็กหนุ่มคงจะทำให้ถูกจับได้อย่างง่ายดาย แต่ธีรเชษฐ์ในตอนนี้เพียงพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจแล้วกลับเข้าห้องนอนไป
มีนามองตามร่างสูงไปด้วยสายตาเป็นกังวล แต่ไม่กล้ารบกวนความเป็นส่วนตัวของธีรเชษฐ์ในตอนนี้
การไม่สามารถแม้แต่จะไปเยี่ยมหลุมศพของคนที่รักในวันครบรอบวันเสียชีวิตเป็นเรื่องที่เขาคิดว่าเป็นบทลงโทษที่รุนแรงเกินไปแม้ว่าความผิดของธีรเชษฐ์จะเป็นอะไรก็ตาม
เด็กหนุ่มตัดสินใจใช้เวลาว่างทำความสะอาดห้องไปเรื่อยๆโดยหวังว่าคนข้างในจะส่งสัญญาณบางอย่างให้เขารับรู้ว่าสามารถเข้าไปได้
แต่เวลาผ่านไปจนถึงช่วงบ่ายก็ยังคงไม่มีวี่แววของสัญญาณดังกล่าว
มีนาประคองถาดอาหารกลางวันไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง เคาะประตูเบาๆเพื่อขออนุญาตแต่ไม่มีเสียงตอบรับจากภายใน เด็กหนุ่มชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจแง้มประตูเปิดเข้าไป
ร่างสูงที่เขาเป็นห่วงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ยังคงอยู่ในชุดสูทสีดำสนิทที่ใส่ออกมาก่อนหน้านี้ ในมือมีกรอบรูปที่มีนาคาดว่าคงไม่พ้นเป็นรูปภรรยาที่ล่วงลับ เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในห้องนั้นกลับทำให้มีนารู้สึกเหมือนตนได้เห็นสิ่งที่ตนไม่ควรไปเห็นเข้า เด็กหนุ่มตั้งใจจะปิดประตูกลับออกไป แต่สีหน้าเจ็บปวดของคนที่ยังคงจมอยู่ในฝันร้ายทำให้เขาตัดใจทิ้งคนตรงหน้าไม่ลง
“คุณเชษฐ์ ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้วครับ”
มีนาเขย่าไหล่กว้างเบาๆ ธีรเชษฐ์ขยับเล็กน้อย เปลือกตาหนาปรือขึ้นอย่างง่วงงุนก่อนที่ร่างสูงจะยันตัวขึ้นนั่งบนเตียง
“ฉันไม่ค่อยหิว…เธอกินไปก่อนเถอะ”
มีนาวางถาดอาหารกลางวันลงบนชั้นข้างหัวเตียงแล้วนั่งลงข้างชายหนุ่ม เขาไม่อยากล่วงล้ำพื้นที่ส่วนตัวของธีรเชษฐ์ แต่เด็กหนุ่มก็ไม่อยากปล่อยให้คนตรงหน้าจมอยู่กับความเศร้าเพียงลำพัง
สุดท้าย ร่างเล็กจึงเลือกที่จะลุกขึ้นจัดเก็บห้องนอนของอีกฝ่ายเงียบๆ แม้ว่าห้องของธีรเชษฐ์จะไม่ค่อยมีอะไรให้จัดเก็บมากนักก็ตาม
มีนาเก็บชั้นหนังสือไปได้สองชั้นเมื่อแขนแข็งแรงโอบเอวบางรั้งเข้ามาในอ้อมกอด
“ชั้นนั้นเพิ่งเก็บไปเมื่อวานไม่ใช่เหรอ?” เสียงทุ้มกระซิบถามชิดริมหู มีนายิ้มเจื่อนเมื่อถูกจับได้ แต่ไม่คิดจะแก้ตัวอะไรกับร่างสูง
ธีรเชษฐ์ยิ้มขำ แม้รอยยิ้มนั้นจะส่งไปไม่ถึงดวงตาแต่มีนาก็ยังดีใจที่เห็นอีกฝ่ายยิ้มได้
“เป็นห่วงฉันรึไง?”
“ครับ” มีนาพยักหน้ารับอย่างไม่คิดแก้ตัว แต่สีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดของคนอายุมากกว่าทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตนเพิ่งพูดอะไรผิดไป “มะ…ไม่ได้เหรอครับ?”
ธีรเชษฐ์ยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตัวเองอย่างอ่อนเพลียหัวใจ นี่คือจุดจบของพวกเสี่ยใหญ่ที่คิดว่าตัวเองรับมือเด็กน้อยตาใสพวกนี้ได้สินะ
โลหะเย็นที่สัมผัสกับใบหน้าคมทำให้ร่างสูงชะงัก ธีรเชษฐ์พิจารณาแหวนเงินเกลี้ยงเกลาบนนิ้วนางข้างซ้ายที่ปกติมักจะถูกเก็บไว้บนลิ้นชักหัวเตียงของตน มีนามองตาการกระทำนั้นอย่างฉงนสงสัย ร่างเล็กสะดุ้งก่อนจะรีบหลบสายตาของธีรเชษฐ์เมื่ออีกฝ่ายละสายตาจากแหวนแต่งงานของตนมายังเด็กหนุ่มตรงหน้า
“เย็นนี้ไม่ต้องทำอาหารเย็นนะ” มีนาพยักหน้ารับคำ ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายถอดแหวนแต่งงาน
ของตัวเองออกและวางมันกลับลงไปในลิ้นชักพร้อมกับกรอบรูปที่นอนกอดมาตลอดทั้งวัน “ฉันจะพาออกไปกินข้างนอก”
ธีรเชษฐ์ดันลิ้นชักหัวเตียงกลับเข้าไปแล้วไขกุญแจปิด ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยังคงมองตามการกระทำของเขาพร้อมแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ก่อนจะยื่นกุญแจดอกนั้นให้กับมีนา
“ฝากเก็บไว้หน่อยได้มั้ย?”
“ครับ…” มีนาพยักหน้ารับ ก้มมองกุญแจในมือด้วยสีหน้างุนงง แต่เมื่อเห็นว่าธีรเชษฐ์ดูจะอารมณ์ดีขึ้นมากหลังจากนั้น เด็กหนุ่มจึงเลือกที่จะไม่คิดมากให้ปวดหัว
ถ้าหากการกระทำทั้งหมดก่อนหน้านี้ของภรัณยูยังไม่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนรักที่เฮงซวยที่สุดในโลก สิ่งที่เจนจิรากำลังพูดอยู่ตอนนี้ก็ทำให้เขามั่นใจถึงสถานะนั้นอย่างไม่มีข้อกังขา
“ภัทร? เป็นอะไรไปอีกล่ะ ทำงานหนักไปรึเปล่าช่วงนี้ ชักจะเหม่อบ่อยขึ้นทุกวันแล้วนะ” เจนจิราติงลูกน้องของตนอย่างเป็นห่วง ภรัณยูกล่าวขอโทษหญิงสาวในชุดกระโปรงสอบสีดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้าหลังจากแวะทำบุญให้กับภรรยาที่ล่วงลับของท่านประธาน ยังคงไม่เข้าใจว่าในบรรดาวันเกิดและวันครบรอบต่างๆในความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งหมด วันที่เขาเลือกที่จะปล่อยให้ทินกรอยู่คนเดียวตามคำขอคือวันครบรอบวันเสียชีวิตของมารดาของเด็กหนุ่ม
เขาไม่รู้ว่าคำว่า ‘อยากอยู่คนเดียวซักพัก’ ของทินกรหลังจากวันนั้นมันนานแค่ไหน แต่การปล่อยให้ทินกรต้องอยู่คนเดียวในวันที่เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงการสูญเสียของอีกฝ่ายเป็นสิ่งที่ภรัณยูรู้ว่าไม่มีคนรักดีๆที่ไหนทำ
แต่จะให้เขาทะเล่อทะล่าเดินเข้าไปในสุสานในตอนนี้ก็คงจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
“พี่แจนครับ แล้วปกติทุกปีใครเป็นคนไปทำความสะอาดสุสานเหรอครับ?”
“คุณธาร ลูกชายคนรองของท่านประธานน่ะจ้ะ แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่ทั้งคุณทินทั้งคุณเมฆากลับมา คงจะไปช่วยกันทั้งสามพี่น้องนั่นแหละ” เจนจิราอธิบายด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
“แล้วท่านประธาน…”
“คงไม่ได้ไปด้วยหรอก เรื่องทางบ้านน่ะ” หญิงสาวรุ่นพี่ตอบกว้างๆ ก่อนจะยิ้มอย่างรู้ทัน “ฮั่นแน่ เป็นห่วงคุณทินล่ะสิ”
“เอ๊ะ? ผม…” เมื่อถูกทักอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้คำปฏิเสธติดอยู่ที่ริมฝีปากแต่ไม่สามารถออกมาเป็นคำได้ เจนจิราส่ายศีรษะยิ้มๆ
“ไม่ต้องปฏิเสธหรอกภัทร คุณทินเธอเป็นเด็กดี อยู่กับใครใครก็รัก ภัทรอยู่กับคุณทินบ่อยขนาดนั้นจะเป็นห่วงบ้างก็ไม่แปลกหรอก”
“…”ภรัณยูพยักหน้าตามน้ำ ไม่คิดแก้ไขความเข้าใจผิดของหญิงสาวรุ่นพี่
หากในระหว่างการประชุมเขาเหม่อลอยกว่าปกติ ภรัณยูก็เก็บความรู้สึกได้มากพอที่จะไม่เป็นที่สังเกตของผู้เข้าร่วมการประชุม ร่างโปร่งคิดไปว่าตัวเองรอดพ้นจากการถูกตำหนิไปได้ด้วยดีเมื่อเลขาของท่านประธานที่วันนี้เข้าประชุมแทนทั้งธีรเชษฐ์และเมฆาเอ่ยปากขอให้เขารออยู่ก่อน
“ขอโทษครับคุณมธุวัน…”
“ขอโทษ? เรื่องอะไรเหรอครับ?” มธุวันเลิกคิ้ว คนที่คิดว่าตัวเองถูกเรียกมาด่าชะงัก ไม่มั่นใจว่าถ้าอย่างนั้นตนถูกเรียกมาด้วยเรื่องอะไร
“เอ่อ…คุณมธุวันมีอะไรให้ผมทำรึเปล่าครับ?”
“…” ถึงคราวมธุวันที่เป็นฝ่ายนิ่งไป ภรัณยูยืนรอฟังชายหนุ่มอายุน้อยกว่าอย่างใจเย็น เพราะไม่บ่อยนักที่ใครจะได้เห็นคุณมธุวันอ้ำอึ้งแบบนี้
“วันนี้…เป็นวันที่หนักสำหรับทุกคนในบ้านนั้น ไม่ใช่แค่คุณทินกร…” เลขาหนุ่มเอ่ยขึ้นในที่สุด “ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจนเกินไป ผมรบกวนคุณช่วยดูคุณเมฆาด้วยจะได้มั้ยครับ?”
“เอ๊ะ…”
ภรัณยูกระพริบตาปริบๆ ทั้งที่เขาเคยเห็นมธุวันกับเมฆานอกเวลางาน เห็นมธุวันกับเมฆาด้วยกันที่คฤหาสน์ทรัพย์ดำรง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่ลูกชายคนโตของท่านประธานกับเลขาหนุ่มจะมีอะไรในกอไผ่มากกว่าที่ตาเห็น
“ผมแค่เป็นห่วงเขาในฐานะมนุษย์ร่วมโลกคนนึง” มธุวันเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาสีเทาอมฟ้าไม่เผยความรู้สึก “อย่างน้อยคุณทินกรกับท่านประธานยังมีคนอยู่ด้วยในเวลาแบบนี้”
“ถ้าอย่างนั้น…ทำไมคุณมธุวันถึงไม่ไปหาคุณเมฆาล่ะครับ?”
ภรัณยูหวังว่าน้ำเสียงของตัวเองจะฟังดูบริสุทธิ์ใจพอที่คนตรงหน้าจะรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจกวน มธุวันส่ายหน้า เก็บเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะประชุมแล้วเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มอายุมากกว่าด้วยแววตาที่ทำให้ภรัณยูรู้สึกว่าร่างกายของตนลีบเล็กลง
“ผมไม่ใช่เพื่อนของเขา เราเรียกกันว่าคนรู้จักไม่ได้ด้วยซ้ำ…” ภรัณยูลอบกลืนน้ำลาย รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวพวกเขาหนักอึ้งขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ถือว่าผมขอร้องแล้วกัน“
เขาอยากจะบอกเลขาหนุ่มที่เดินออกจากห้องไปหลังจากนั้นเหลือเกินว่าไม่ว่าใครที่สอนวิธีการขอร้องกับมธุวันสอนอีกฝ่ายมาผิดอย่างไม่น่าให้อภัย
แต่ภรัณยูรู้ดีว่าตอนนี้เขามีปัญหาใหญ่กว่านั้นมาก
”คุณเชษฐ์ เรากำลังจะไปไหนกันเหรอครับ?”
มีนาถามขึ้นหลังจากพวกเขาออกมาจากคอนโดได้ระยะหนึ่ง ธีรเชษฐ์เพียงแค่บอกให้เขาแต่งตัวน่ารักๆสำหรับมื้อเย็นแต่ไม่ได้บอกจุดหมายปลายทางของพวกเขา หากเป็นวันปกติ มีนาอาจจะแต่งกายด้วยเสื้อยืดกางเกงขายาวเหมือนทุกครั้งที่ร่างสูงไม่ได้จำเพาะเจาะจงการแต่งกายของเขา แต่วันนี้เด็กหนุ่มเลือกที่จะใส่เสื้อแขนกุดมีฮู้ดสีเข้มกับกางเกงขาสั้นที่แม้จะไม่ได้สั้นกุดจนหนาวขาแต่ก็ไม่ยาวคลุมเข่าให้เขาสบายใจเหมือนตัวอื่น
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เสื้อผ้าที่มีนารู้สึกสบายใจที่จะสวมใส่ที่สุด แต่แววตาพึงพอใจของธีรเชษฐ์ที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกหน้าแดงวาบนั้นคุ้มค่ากับความไม่สบายกายของเขาอย่างมาก
แทนคำตอบ คนขับเลี้ยวเข้าไปในร้านจอดรถของร้านอาหารอิตาเลี่ยนขนาดไปเล็กไม่ใหญ่ร้านหนึ่ง ตัวร้านตกแต่งด้วยสีขาวและต้นไม้เถาวัลย์ปลอมที่ช่วยให้ทุกอย่างไม่ดูสว่างจ้าจนเกินไปในแสงไฟสีส้มนวล แม้ว่านี่จะไม่ใช่ร้านอาหารริมทางราคาย่อมเยาว์ แต่มีนาก็ดูออกว่ามันไม่ใช่ภัตราคารหรูที่แต่ละจานสามารถซื้อข้าวในโรงอาหารมหาวิทยาลัยได้เป็นเดือนอย่างที่ธีรเชษฐ์ชอบพาเขาไป
ร้านนี้เป็นร้านอาหารบรรยากาศดีที่ราคาอยู่ในหลักร้อยต้นๆ ทำให้มีทั้งคนวัยทำงานและครอบครัวมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก
“คุณธีรเชษฐ์ สวัสดีครับ ทางร้านจัดโต๊ะเดิมไว้ให้....” บริกรหนุ่มชะงักเมื่อเห็นร่างเล็กที่เกาะอยู่ข้างกายชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิท “หรือว่าจะคุณธีรเชษฐ์สนใจจะนั่งที่อื่น...”
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก” ธีรเชษฐ์เอ่ยพร้อมรอยยิ้มตามมารยาท ทำให้มีนาที่ไม่เคยเห็นร่างสูงทำตัวแบบนี้กับพนักงานเงยหน้ามองชายหนุ่มอย่างประหลาดใจ บริกรหนุ่มเดินนำพวกเขาไปยังโซนที่ถูกจัดให้โต๊ะแต่ละตัวกระจายกันอยู่มากกว่าส่วนอื่นของร้าน และถูกกั้นจากส่วนอื่นด้วยกำแพงพุ่มไม้ปลอมสูงระดับเอว แม้จะไม่ได้เป็นส่วนตัวมาก แต่ก็ไม่ได้อยู่ท่ามกลางผู้คนเช่นกัน
มีนานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับร่างสูง ธีรเชษฐ์ยื่นเมนูให้เด็กหนุ่มสั่งอาหาร กิจกรรมเล็กๆที่ร่างสูงเริ่มให้เขาทำบ่อยขึ้นเรื่อยๆก่อนหน้าที่เขาจะทำให้ธีรเชษฐ์โกรธในวันนั้น
มีนาหันไปสั่งอาหารกับบริกร แม้จะไม่ได้ลนลานเหมือนครั้งแรกๆ แต่สายตาของเด็กหนุ่มยังคงเหลือบมองธีรเชษฐ์เป็ฯระยะอย่างของความเห็นชอบ ซึ่งอีกฝ่ายเพียงแค่นั่งนิ่งไม่คิดจะเสนอความคิดเห็นอะไร
“คุณเชษฐ์มาร้านนี้บ่อยเหรอครับ” มีนาเอ่ยขึ้นหลังจากพับเมนูส่งกลับไปให้บริกร ธีรเชษฐ์ส่ายหน้า
“เปล่าหรอก แค่ปีละครั้งเท่านั้นแหละ”
“เอ๊ะ...ถ้าอย่างนั้นทำไม...” ทำไมบริกรคนนั้นถึงทักเหมือนกับชายหนุ่มเป็นลูกค้าประจำแบบนั้น
“ฉันมาที่นี่ทุกวันนี้ของปีหลังเกศเสีย” ธีรเชษฐ์ตอบ ยกแก้วไวน์ที่มีนามั่นใจว่าตนไม่ได้สั่งขึ้นจิบ “ฉันขอเขาแต่งงานที่นี่ ที่โต๊ะนี้”
มีนารู้ว่าเขาควรจะดีใจที่อีกฝ่ายยอมเผยตัวตนของตัวเองให้เขารู้ด้วยความสมัครใจ แต่เขากลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังก้าวล้ำพื้นที่ส่วนตัวของธีรเชษฐ์และภรรยาที่ล่วงลับ
เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อจากนั้น ทุกอย่างในหัวดูเป็นหัวข้อที่ไม่เหมาะสมจะพูดหลังประเด็นการสูญเสียคนรักนั้น มีนาก้มหน้างุดตามความเคยชิน หวังว่าอาหารที่สั่งจะมาเสิร์ฟโดยเร็วเพื่อช่วยให้เขามีอะไรเปลี่ยนประเด็น
ทว่าเมื่อจานอาหารถูกวางลงตรงหน้า มีนาพบว่าตัวเองยังคงไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร
“พื้นร้านอาหารมันมีอะไรน่าสนใจขนาดนั้นเลยรึไง?” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
เขาเกลียดเวลาที่มีนาไม่ยอมมองหน้าเขา แม้จะรู้เหตุผลดีแต่เขาก็ยังเกลียดทุกครั้งที่เด็กหนุ่มมีท่าทีเหมือนอยากจะอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีเขาอยู่ด้วย
“ขะ…ขอโทษครับ” มีนรีบเงยหน้าขึ้น แต่ก็ก้มลงไปอีกแทบจะในทันที ธีรเชษฐ์หลับตาข่มอารมณ์ที่คุกรุ่น ทานอาหารของตัวเองไปอย่างไม่สบอารมณ์่
“เอ่อ...คุณเชษฐ์ครับ..” มีนาเอ่ยด้วยน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ ไม่รู้ว่าทำไมความคิดบางอย่างถึงได้โผล่เข้ามาในหัวของเขาใน
ตอนนี้ แต่เขาคิดว่าในวันครบรอบวันที่ธีรเชษฐ์สูญเสียคนในครอบครัวไปอย่างวันนี้จะทำให้ชายหนุ่มต้องการคนในครอบครัวกลับมา
เจ้าของชื่อไม่ตอบ แต่วางส้อมกับมีดลงเป็นเชิงอนุญาตให้เด็กหนุ่มตรงหน้าพูดต่อ
“คือ…วันเสาร์หน้าจะมีงานออกซุ้มของคณะ...”
“ไม่อนุญาต” ชายหนุ่มตอบทันทีอย่างไม่ให้เสียเวลา
เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางยอมให้เขาไป แต่จุดประสงค์ของมีนาที่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้อยู่ตรงนั้น
“ผมไม่ไปอยู่แล้วครับ เขาไม่ได้บังคับ” มีนตอบเสียงแผ่ว “แต่...คือ...”
“…”ชายหนุ่มกอดอกรอคำพูดที่หลุดออกมาจากปากอีกฝ่ายทีละคำอย่างอดทน
“งานวันเสาร์นี้ คุณธารก็จะไปช่วย...”
ธีรเชษฐ์ชะงักมือที่กำลังเอื้อมไปหยิบแก้วไวน์ของตน สีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดของอีกฝ่ายทำให้มีนาห่อไหล่ด้วยความหวาดกลัว
“เธอต้องการจะสื่ออะไร มีนา?”
“ผมแค่คิดว่า คุณธารน่าจะดีใจ....” เด็กหนุ่มก้มหน้างุด แต่ถูกมือใหญ่เชยคางมนขึ้นให้มองมาที่ตน ธีรเชษฐ์โน้มตัวเข้าไปใกล้ร่างบางจนใบหน้าของพวกเขาแทบไม่เหลือช่องว่างระหว่างกัน ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น
“ฉันเอ็นดูเธอมากนะมีน ถ้าเป็นคนของฉันคนอื่น เธอได้หายตัวไปตั้งแต่วันแรกที่ธารรับรู้การมีตัวตนอยู่ของเธอแล้ว”
“ครับ...ผมทราบ” มีนตอบเสียงสั่น
เขารู้ เขารู้ตัวดีว่าโชคดีแค่ไหนที่ตนอยู่นอกกฏเกณฑ์ที่ร่างสูงตั้งไว้ให้คู่นอนของตัวเอง
“อย่าเอาเรื่องที่เหนือการควบคุมของเธอมาคิดให้รกสมองเลย ยิ่งเธออยากจะซ่อมแก้วที่แตกมากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะทำให้เธอผิดหวังมากขึ้นเท่านั้น” ธีรเชษฐ์ละมือจากใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เรื่องของลูกชายฉัน ให้ฉันจัดการเอง”
“แต่คนเป็นลูก อยากจะตัดยังไงก็ตัดพ่อแท้ๆของตัวเองไม่ขาดหรอกนะครับ” มีนยังคงดึงดันแม้น้ำเสียงจะสั่นด้วยความหวาดกลัว
“เชื่อเถอะ คนอย่างธาร อยากทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้นนั่นแหละ”น้ำเสียงของธีรเชษฐ์ฟังดูภาคภูมิใจอย่างน่าประหลาด และนั่นทำให้มีนารู้ว่าความรักที่ชายหนุ่มมีต่อบุตรชายคนรองยังคงไม่จางหาย“เรื่องนั้นเขาได้ฉันมาเต็มๆ"
“แต่ว่า...”
“มีน ถ้าเธอยังไม่หยุด ฉันจะทำให้สมองเธอคิดอะไรไม่ออกนอกจากชื่อของฉัน..” ธีรเชษฐ์เอื้อมมือไปกุมมือเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะ ดวงตาสีควันบุหรี่ที่เจือไปด้วยแววข่นมัวก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยประกายหยอกเย้า “...ที่นี่ ตรงนี้ ตอนนี้ เอามั้ย?”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าพรืด หยิบขนมปังเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆอย่างว่าง่ายด้วยสีหน้าแดงก่ำ
“เด็กดี...” มีนาไม่คิดว่าเขาจะสามารถได้ยินคำนั้นได้โดยไม่รู้สึกถึงความปั่นป่วนในอกได้อีกตลอดชีวิต“คืนนี้ฉันจะให้รางวัล...”
มีนาก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารของตนอย่างขยันขันแข็ง ไม่อยากขุดหลุมฝังตัวเองให้ลึกลงไปกว่านี้
ธีรเชษฐ์ยกแก้วไวน์ของตัวเองขึ้นจิบด้วยสีหน้าขบขัน แต่แววตาของชายหนุ่มหม่นลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงคนที่จู่ๆก็โผล่ขึ้นมาในบทสนทนาหลังจากที่อีกฝ่ายเดินออกไปจากชีวิตเขามานานถึงสี่ปี
‘พ่อครับ...พ่ออยู่ที่ไหน พี่เมฆแย่แล้ว...’
ในวันที่นิโคไล อัลฟอนโซ่ เจ้าพ่อมาเฟียใหญ่ของอิตาลีเรียกเขาไปพบ วันที่ธีรเชษฐ์รับรู้ความจริงว่าภรรยาของตนเป็นส่วนหนึ่งของโลกมืด หญิงสาวที่เป็นเหมือนเสาต้นใหญ่ในตระกูลที่รับใช้ตระกูลอัลฟอนโซ่หันหลังให้กับทุกสิ่งที่เธอรู้จักแต่งงานกับธีรเชษฐ์เพียงเพราะบิดาของเขาเป็นมาเฟียรัสเซียที่มีอำนาจมากพอให้คนที่คิดจะตามล่าเธอเคารพยำเกรง แน่นอนว่าธีรเชษฐ์ไม่เคยรู้เรื่องนี้ เขามักจะคิดเอาเองว่าคาซีเมียร์ เจเลซนอฟ พ่อของเขาเป็นเพียงชายแก่ที่ชอบสะสมปืนเป็นชีวิตจิตใจ วันที่ความจริงกระจ่าง ธีรเชษฐ์เลือกที่จะปิดกั้นตัวเองจากความเป็นจริงแล้วย้อมใจด้วยเหล้าดีกรีแรงในคอนโดของตัวเอง ไม่ได้ใส่ใจจะชาร์จโทรศัพท์ที่แบตหมดเกลี้ยงของตน
จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นที่เขาได้สติมากพอที่จะเอาตัวเองกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ธีรเชษฐ์ค้นพบว่าลูกชายคนโตของตนประสบอุบัติเหตุรถคว่ำอาการสาหัสตั้งแต่กลางดึกของเมื่อคืน
เมื่อเขามาถึงโรงพยาบาล ภาพของธารธารา ลูกชายคนรองที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ข้างเตียงของลูกชายคนโตที่ยังคงหลับใหลทำให้ธีรเชษฐ์รู้สึกเหมือนตนกลับไปในวันที่เห็นร่างไร้ลมหายไร้ของเกศรานอนนิ่งอยู่บนเตียงโลหะอีกครั้ง
“ธาร…”
“พ่อหายไปไหนมา” เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงโกรธขึง ลุกขึ้นยืนคั่นระหว่างบิดาและพี่ชายคนโตของตน ดวงตาสีอัลมอนด์ถอดแบบมาจากมารดาแดงก่ำจากการร้องไห้มาเป็นเวลานาน “เวลาที่พวกผมต้องการที่สุด พ่อหายไปไหน”
เขารู้ว่าเขาบอกความจริงกับลูกชายไม่ได้
และต่อให้เขาทำได้ ธีรเชษฐ์ก็ไม่คิดที่จะเอาชีวิตของลูกชายเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องอันตรายแบบนี้
เขารู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำต่อจากนี้จะทำให้ธารธาราหายไปจากชีวิตของเขา แต่นั่นก็หมายความว่าเด็กหนุ่มจะปลอดภัยจากเกมอะไรก็ตามที่นิโคไลคิดจะใช้เขาเป็นหมากหลังจากนี้
เขาส่งทินกรไปอเมริกาก่อนหน้านี้ และหลังจากเมฆาหายดี ธีรเชษฐ์เชื่อว่าเขาจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้ลูกชายช่วยดูแลบริษัทสาขาของเขาที่ต่างประเทศได้สักพัก คนคนเดียวที่ยังคงอยู่ในรัศมีของอันตรายคือลูกชายคนรองของเขาที่เพิ่งสอบติดคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยไม่ไกลจากตัวเมือง
“เมื่อคืนปาร์ตี้หนักไปหน่อย สงสัยพ่อคงเมาหลับไปน่ะ” ธีรเชษฐ์ไหวไหล่ ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะหันไปตามแรงที่ส่งความเจ็บแปลบให้แล่นไปทั่วบริเวณที่กระทบกับฝ่ามือเรียว
“ออกไป” ธารธาราเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ แววตาของเด็กหนุ่มไร้ซึ่งหลักฐานว่าพวกเขาเคยแม้แต่รู้จักกันมาก่อน “แล้วอย่ากลับมาให้ผมเห็นหน้าอีก”
ธีรเชษฐ์ไม่เคยพูดว่าเขาเป็นคนดี แต่จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เคยมีอะไรที่ทำให้ร่างสูงรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเลวได้เท่ากับดวงตาเรียวที่มองตรงมาที่เขาด้วยความผิดหวังและโกรธเคืองในวันนั้น
เขาไม่หวังว่าจะได้รับการให้อภัยจากธารธาราในชีวิตนี้ สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงแอบส่งเงินให้กับวีรภัทรและคเชนทร์ เพื่อนสนิทที่เขารู้ว่าให้การช่วยเหลือลูกชายของเขา และหวังว่าธารธาราจะมีความสุขกับชีวิตที่ไม่มีเขาอยู่ในนั้น
-----------
มาแล้วววววว ฮว้ากกกกกกกกก
ตอนนี้ไรท์เปิดเรื่องใหม่สองเรื่องในเล้าเป็ดนะคะ
Soulmate from hell ด้วยรักจากนรก
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70320.0#newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70468.msg3979838#msg3979838ฝากนิยายน้องใหม่ทั้งสองด้วยนะคะ