บทที่ 52 น้ำตาที่เก็บไว้
“อ๊ะ น้ำแข็งหมดแล้ว เดี๋ยวผมเข้าไปเอาในครัวก่อนนะครับ”
ทินกรเขย่าแก้วที่เหลือเพียงก้อนน้ำแข็งเล็กจิ๋วของตนเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้น คว้าเอาแก้วของคนรักไปด้วย ภรัณยูพยักหน้า ก่อนจะหันกลับไปสนใจบทสนทนาบนโต๊ะอาหารของเพื่อนร่วมโต๊ะคนอื่นต่อ
ทินกรกล่าาวเข้าไปในห้องครัวที่ว่างเปล่า กดแก้วลงบนช่องใส่น้ำแข็งของตู้เย็นฝังผนังอย่างไม่รีบร้อน ริมฝีปากที่มักประดับด้วยรอยยิ้มร่าเริงอยู่เสมอเลือนหายไปจากใบหน้าคมเข้มอย่างช้าๆ แทนที่ด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเกคล้ายจะหลุดสะอื้นออกมาได้ทุกเมื่อ ทินกรพิงศีรษะกับบานประตูตู้เย็น แนบหน้าผากกับโลหะเย็นนิ่ง ข่มกลั้นความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาจากในอกให้กลับลงไปในที่ที่มันสมควรอยู่
งานเฉลิมฉลองที่ควรเต็มไปด้วยความสุขไม่มีที่ว่างให้กับความเจ็บปวดของเขา
ทว่าแขนเรียวที่สอดเข้ามาโอบกอดเอวสอบไว้จากด้านหลังและศีรษะของคนรักที่แนบลงมาบนแผ่นหลังกว้างดูจะไม่คิดเช่น
นั้น
“พะ…พี่ภัทรครับ?” ทินกรรู้สึกว่าอารมณ์ที่ไม่คงที่นักทำให้น้ำเสียงของตนสั่นเครือ
“จับได้แล้ว” เสียงหวานพึมพำแนบชัดแผ่นหลังกว้าง ทินกรดึงมือของคนที่โอบเขาไว้ออกอย่างเบามือแล้วหันไปเผชิญหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้างุนงง
“จับ? จับอะไรได้เหรอครับ?”
“จับซันได้แล้ว...” มือเรียวประคองใบหน้าของคนรักพร้อมรอยยิ้มจาง แววตาของคนอายุมากกว่ามีทั้งความอ่อนโยนและเจ็บปวดปะปนกันไป “เลิกหนีหน้าพี่ทุกครั้งที่ซันเจ็บซักทีได้มั้ย ให้พี่วิ่งตามแบบนี้มันเหนื่อยนะ”
ทินกรสะอึก ดวงเนตรคมจดจ้องใบหน้าอ่อนโยนของคนรักที่เขาเพิ่งสังเกตถึงความอ่อนล้าในแววตา
“ผม…”
“สามเดือนที่ผ่านมา ซันไม่เคยร้องไห้ให้พี่เห็นเลยนะ รู้ตัวรึเปล่า” มือเรียวไล้ไปตามโครงหน้าคมคายอย่างทะนุถนอม ราวกับเด็กหนุ่มร่างสูงตรงหน้าเป็นแก้วเจียระไนที่พร้อมจะแตกหักได้ทุกเมื่อ “ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว ทุกคนปลอดภัยดี ทุกคนมีความสุขแล้ว ซัน...ร้องออกมาได้แล้วนะครับเด็กเก่ง”
คำพูดของคนที่เขาไม่คิดอยากให้เห็นน้ำตาที่สุดกลับทำให้หยาดน้ำใสพรั่งพรูออกมาจากดวงตาของเด็กหนุ่มราวกับทำนบแตก ภรัณยูอ้าแขนรอรับร่างที่โถมเข้ากอดเขาไว้แน่นอย่างเต็มใจ ปล่อยให้เสียงสะอื้นจากคนที่ซุกหน้าอยู่กับซอกคอของเขาดังข้างหูอย่างไม่คิดห้าม มือเรียวลูบผมของคนรักอย่างปลอบโยน พร่ำกระซิบคำชื่นชมให้กับเด็กหนุ่มที่กล้าหาญพอที่จะปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจที่เก็บกักไว้ภายในตลอดสามเดือนหากไม่ใช่ทั้งชีวิตออกมาให้เขาได้รับรู้
เขาจำได้ดีว่าในวันนั้น แววตาของเด็กหนุ่มอ้อมกอดของเขาว่างเปล่าเพียงใด
“ซัน ตื่นได้แล้ว วันนี้มีประชุมเช้านะ”
ภรัณยูเขย่าปลุกชีเปลือยที่นอนแผ่ไม่อายฟ้าอายดินบนเตียง ตอนที่นาฬิกาปลุกดังเขายังหยวนให้ได้เพราะถึงอย่างไรทินกรก็ต้องรอใช้ห้องน้ำต่อจากเขา แต่หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว เจ้าเด็กขี้เซาบนเตียงยังคงไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาโดยง่าย ทั้งที่คนที่นอนหมดแรงบนเตียงควรจะเป็นเขาเสียมากกว่า
“ซัน ลุกขึ้นมาได้…อ๊ะ!”
ร่างของเขาถูกพลิกลงบนนอนแผ่หลาบนเตียงกว้างโดยมีเจ้าลูกหมายักษ์คร่อมทับ ทินกรฉีกยิ้มอวดฟันเขี้ยวที่แม้จะไม่น่ากลัวเท่าพี่ชายคนโต จากประสบการณ์ของภรัณยูยังคงแหลมคมกว่าชาวบ้านอยู่มาก
“พี่ภัทรใส่ชุดทำงานแล้วน่ารักที่สุดเลยครับ”
“ก็เห็นพูดแบบนี้ทุกชุด” มือเรียวดันหน้าของคนที่โน้มลงมาใกล้ออกไป “หยุดเลย เดี๋ยวก็ไปทำงานสายหรอก”
“ไม่สายหรอกครับ ประชุมตั้งเก้าโมง” ทินกรแย้ง
“เผื่อเวลากินข้าวกินปลาหน่อยเถอะ วันนี้ประชุมทั้งเช้าไม่ใช่เหรอ?”
“กินพี่ภัทรแทนไม่ได้เหรอครับ?” ทินกรต่อรองเสียงออดอ้อน แม้จะรู้ดีว่าคนรักไม่มีทางยอมให้ตนทำตามอำเภอใจ ยิ่งหลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วแบบนี้ด้วย
“ซัน ไม่ดื้อสิ ไปทำงานก่อน กลับมาค่อยว่ากัน” ภรัณยูดุคนรัก แม้ว่าคำตอบนั้นจะไม่ใช่คำปฏิเสธเสียทีเดียว ร่างสูงยิ้มร่า ผละออกจากคนใต้ร่างเพื่อไปอาบน้ำตามคำขอ แต่กลับถูกมือเรียวรั้งไว้ “เดี๋ยว…”
“ครับพี่ภั…อื้อ…”
ริมฝีปากได้รูปถูกครอบครองโดยริมฝีปากของคนรัก เด็กหนุ่มประหลาดใจได้เพียงครู่เดียวก็ตอบรับสัมผัสนั่มหยุ่นนั้นอย่างเต็มใจ เมื่อได้รับการเติมพลัง ทินกรจึงผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำพร้อมรอยยิ้มเริงร่า
ภรัณยูมองตามร่างสูงไปจนลับสายตา รอยยิ้มเอ็นดูประดับบนริมฝีปากบาง ก่อนจะลุกไปปิ้งขนมปังชงกาแฟในครัวให้เจ้าเด็กแสบที่หากไม่ทำไว้ให้คงหิ้วท้องเข้าประชุมอีกตามเคย
ทินกรดูจะปรับตัวเข้ากับตำแหน่งประธานบริษัทชั่วคราวได้ดีทีเดียว
ความกังวลของเด็กหนุ่มก่อนหน้านี้ที่คิดว่าภาระหน้าที่ที่เพิ่มขึ้นจะทำให้พวกเขาไม่มีเวลาให้กันปลิวหายไปตั้งแต่วันแรกที่พวกเขากลับมาจากบริษัทในวันแรก ภรัณยูแทบจะฉีกทึ้งเสื้อสูทราคาแพงของคนรักที่หน้าประตูบ้านจนทินกรต้องรวบร่างโปร่งอุ้มพาดบ่าขึ้นมาบนห้องก่อนที่คนรับใช้สักคนจะบังเอิญผ่านมาเห็นสภาพล่อแหลมของพวกเขา ภรัณยูไม่อยากยอมรับ แต่มาดประธานบริษัทของคนรักทำให้ชายหนุ่ม ‘เครื่องติด’ ง่ายกว่าปกติ
การร่วมรักของพวกเขาจึงเร่าร้อน รุนแรง และทำให้ทินกรที่มักจะงอแงขอทำรอบเพิ่มฟุบลงหอบหายใจไม่ต่างจากเขา
ข้อดีคือมันทำให้เด็กหนุ่มกระตือรือร้นที่จะสวมสูทผูกไทค์ให้เขาดูในทุกๆเช้า
“ไปกันได้แล้ว”
ภรัณยูยื่นขนมปังปิ้งทาเนยถั่วแผ่นหนึ่งกับกาแฟให้คนรักแล้วหยิบส่วนของตัวเองก้าวออกไปยังรถที่จอดรออยู่ ตั้งแต่ได้ใบขับขี่มาเด็กหนุ่มแทบจะไม่ยอมให้ภรัณยูได้แตะต้องพวงมาลัยอีก พวกเขามาถึงบริษัทไม่นานหลังจากนั้น และถึงแม้ในเวลาทำงาน รักษาการประธานบริษัทจะไม่มาก่อกวนเขา ภรัณยูยังคงเลือกที่จะซื้ออาหารกลางวันขึ้นไปทานบนห้องกับอีกฝ่าย
"...มาต่อกันที่เหตุระเบิดที่โรงแรมธาราสาขาxxxกันนะคะ ขณะนี้เจ้าหน้าควบควมเพลิงไว้ได้แล้ว ยังไม่ทราบว่าสาเหตุมาจากการก่อการร้ายหรืออุบัติเหตุ ทางด้านผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตยังไม่มีรายงานตัวเลขที่ชัดเจน ทั้งนี้จุดที่ระเบิดเป็นบริเวณที่อยู่ใกล้กับงานแฟชั่นโชว์ ทำให้มีผู้คนอยู่เป็นจำนวนมาก...”
ภรัณยูรู้สึกว่าถุงใส่ข้าวกล่องในมือนั้นอ่อนแรงอย่างไร้การควบคุม ร่างโปร่งเบิกตากว้างเงยหน้ามองหน้าจอของโทรทัศน์ในโรงอาหารพนักงานท่แสดงภาพของโรงแรมหรูที่มีมีเปลวเพลิงและควันหนาจนแทบมองไม่เห็นภายใน โรงแรมที่เขาจำได้ว่าเป็นที่พักของทั้งประธานและรองประธานบริษัททรัพย์ดำรงในขณะนี้ รวมถึงเลขาคนเก่งและเพื่อนสนิทของทินกร ดวงตาสีน้ำตาลไล่กวาดมองชื่อผู้บาดเจ็บที่ขึ้นบนหน้าจออย่างเป็นกังวล แม้ว่ารายชื่อจะไม่ได้ยาวอย่างที่คิด สองคนที่ปรากฏในนั้นยังคงทำให้ภรัณยูลืมหายใจไปทั่วขณะ
‘ธีรเชษฐ์ ทรัพย์ดำรง’
‘เมฆา ทรัพย์ดำรง’
ชายหนุ่มไม่ได้สนใจว่าจะมีใครมองมาเมื่อขาเรียวสับก้าวออกไปจากโรงอาหาร มุ่งตรงไปยังห้องทำงานของรักษาการประธานบริษัทในยามนี้ด้วยความร้อนรนอย่างถึงที่สุด
เขาไม่อยากให้ทินกรต้องเผชิญหน้ากับข่าวร้ายนี้ตามลำพัง
“คุณภรัณยู เข้าไม่ได้ครับ”
ทว่าเรื่องกลับไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เขาคิดเมื่อพนักงานรักษาความปลอดภัยสองคนก้าวมาขวางเขาไว้เสียก่อน
“ผมจะไปหาซัน”
การขัดขวางของคนทั้งสองยิ่งทำให้ภรัณยูรู้สึกร้อนใจ แต่พนักงานรักษาความปลอดภัยที่รู้จักเขาดียังไม่ยอมให้ชายหนุ่มผ่านเข้าไปโดยง่าย แม้จะไม่ได้ใช้กำลังกับเขาแต่ยังคงรั้งภรัณยูไว้ไม่ยอมให้เข้าไปในห้องทำงานของคนรักโดยง่าย
“คุณภรัณยู ท่านประธานสั่งห้ามไม่ให้คุณเข้าไปครับ”
“อะ…อะไรนะ?”
ภรัณยูไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ในขณะที่เขากำลังสับสนอยู่นั้น ประตูห้องของทินกรก็เปิดออก พร้อมกับร่างของคุณชายรองแห่งตระกูลทรัพย์ดำรงที่ก้าวออกมาด้วยสีหน้าซีดเซียว ดวงตาเรียวรีแดงก่ำ ผิดกับชายหนุ่มหน้าสวยที่เปี่ยมได้ด้วยความมั่นใจที่ภรัณยูเคยเห็น
“คุณธาร…”
“อย่าพึ่งเข้าไปจะดีกว่านะครับ” กระทั่งเสียงหวานยังสั่นเครือคล้ายผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ถีงอย่างนั้นอีกฝ่ายยังคงพยายามส่งยิ้มให้กับเขา
“ทำไมล่ะครับ?” ภรัณยูถามอย่างไม่เข้าใจ
“ผู้ชายบ้านผมก็เป็นซะแบบนี้นั่นแหละครับ” ธารธาราไหวไหล่ กล่าวด้วยน้ำเสียงขบขันไม่เข้ากับสถานการณ์ “เกลียดที่สุดที่คนรักเห็นเราตอนที่อ่อนแอ ชอบแบกเรื่องหนักๆไว้คนเดียว…”
“…” ภรัณยูยังคงเหลือบมองทางประตูห้องทำงานของทินกรเป็นระยะด้วยสีหน้าวิตก ยิ่งพูดแบบนี้เขายิ่งร้อนใจที่จะเข้าไปหาทินกร
“ปล่อยเขาไว้คนเดียวสักพักเถอะครับ ถ้าซันเห็นคุณกังวลแบบนี้ จะยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดนะครับ”
“…” ภรัณยูไม่อยากยอมรับ แต่จากนิสัยของคนรัก คงจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“ผมต้องไปดูอาการ…พ่อ…กับพี่เมฆที่โรงพยาบาล ยังไงทางนี้คงต้องฝากคุณภรัณยูดูแล”
คำว่า ‘พ่อ’ ฟังดูแปร่งหูอย่างน่าประหลาดเมื่ออกมาจากปากของอีกฝ่าย ภรัณยูพยักหน้ารับคำหนักแน่น เมื่อลับร่างพี่ชายรองของคนรัก คนที่ยังคงถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในห้องทำงานที่ทินกรขังตัวเองอยู่ในนั้นจึงตัดสินใจนั่งลงที่โต๊ะรับรองซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เฝ้ารอให้เด็กหนุ่มออกมาจากห้องเมื่ออีกฝ่ายพร้อมจะเผชิญหน้ากับโลกภายนอกอีกครั้ง
เวลาล่วงเลยไปจนดวงตะวันลาลับขอบฟ้า ภรัณยูที่นั่งสับปะหงกอยู่หน้าห้องผุดลุกขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออกในที่สุด
“ซัน!”
“ขอโทษนะครับพี่ภัทร ให้พี่รอซะนานเลย”
ทินกรกล่าวขอโทษขอโพยพร้อมรอยยิ้มจาง นอกจากความอ่อนล้าในแววตาแล้ว ภรัณยูแทบไม่เห็นร่องรอยของเห็นการสะเทือนใจที่ร่างสูงเพิ่งประสบ ทินกรก้มลงหยิบกระเป๋าเอกสารของร่างโปร่งที่วางอยู่บนพื้นข้างกาย
“ซัน พี่…”
“ไว้ค่อยคุยกันที่บ้านดีกว่านะครับ” ทินกรตัดบทด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เหมือนว่าคนที่ควรไก้รับการปลอบโยนคือภรัณยู ไม่ใช่ตน
ความเงียบเข้าปกคลุมรอบกายพวกเขาทั้งสอง ภรัณยูเหลือบมองเด็กหนุ่มข้างกายที่ไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่พวกเขาออกมาจากบริษัทจนถึงคฤหาสน์ มือใหญ่กำพวงมาลัยแน่นจนข้อนิ้วขึ้นสีขาว
ภรัณยูก้าวลงมาจากรถที่ทินกรวิ่งอ้อมมาเปิดประตูให้เช่นทุกวัน ริมฝีปากเรียวเผยออ้าหมายเอื้อนเอ่ยคำถามที่ค้างคาใจ ทว่าริมฝีปากของทินกรที่ประกบทาบทับลงมาปิดกั้นคำถามนั้นไปจนหมดสิ้น
“อือ…ซัน…อื้อ… พอก่อน…” เสียงหวานปนหอบปรามคนที่เลื้อยลงมาคลอเคลียซอกคอขาวอย่างลุ่มหลง “นี่มันหน้าบ้านนะ”
“ผมอยากกอดพี่ภัทร…” เสียงแหบพร่าพึมพำ ดูดเม้มผิวกายบางอย่างหลงใหลมัวเมา
“เข้าบ้านกันก่อนนะ”
ครั้งนี้ภรัณยูไม่คิดแม้แต่จะปฏิเสธ เขารับรู้ได้จากแววตาของคนรักว่าทินกรในยามนี้โหยหาการปลอบโยนเพียงใด แม้จะไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แต่เขายังคงอยากให้คนรักที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมาทั้งวันไดพักผ่อนบ้าง
“อ๊ะ…ซะ…อ๊าาา ตรงนั้…ฮะ…แรงอีก…แรง…”
ทินกรเลียริมฝีปาก เสียงครางหอบกระเส่าของคนรักที่บิดเร่าอยู่ใต้ร่างของเขามานับชั่วโมงปลุกอารมณ์รักให้โหมกระพือ สะโพกสอบสวนขยับรับสะโพกงอนงามที่บทเบียดลงมาอย่างไม่คิดยอมแพ้
แต่ความสุขสมที่ได้รับจากคนรักกลับไม่อาจกลบฝังความว่างเปล่าในอกหลังจากได้รับข่าวการบาดเจ็บของพี่ชายคนโตและบิดาได้
“อ๊ะ…ซัน…!!”
ขาเรียวตวัดโอบรอบเอวสอบกระตุกเฮือกอย่างควบคุมไม่อยู่ เช่นเดียวกับร่างสูงเหนือกายขาว ทินกรฟุบลงบนร่างของคนรักอย่างอ่อนเพลีย เสียงหอบหายใจของร่างสูงยังคงดังต่อเนื่องข้างหูของภรัณยู
มือเรียวลูบกลุ่มผมนุ่มของคนรัก ประทับจุมพิตแผ่วเบาบนแก้มสาก
“ซัน เรื่องท่านประธาน…”
“พี่ภัทร ผมเหนื่อยแล้วครับ” ทินกรตัดบท น้ำเสียงของเด็กหนุ่มอ่อนล้าดังที่ตนอ้าง แม้จะไม่เต็มใจนัก ภรัณยูยังคงยอมปล่อยหัวข้อสนทนาให้เป็นเรื่องของวันต่อไปดังที่ทินกรต้องการ
ทว่าวันแล้ววันเล่า ท่านประธานจำเป็นของเขาก็ยังคงหาข้ออ้างหลบหลีกหัวข้อสนทนากับภรัณยูอยู่ร่ำไป อ้างว่าติดประชุมบ้าง อ้างว่าต้องทำรายงานส่งอาจารย์บ้าง และทุกครั้งที่คนอายุมากกว่าตื๊อถามอย่างไม่ยอมแพ้ ทินกรเพียงแค่หันมายิ้มให้เขาแล้วตอบว่า
“ครับ ผมเป็นห่วงพ่อกับพี่เมฆ แต่ตอนนี้ทุกคนต้องการผม เอาไว้ค่อยร้องไห้หลังจากที่ทุกคนมีความสุขดีแล้วก็ยังไม่สายนี่ครับ”
ด้วยความเป็นคนที่ชอบเซ้าซี้ ต่อให้ไม่เห็นด้วยกับเด็กหนุ่มเพียงใด ภรัณยูก็ยังคงเคารพการตัดสินใจของร่างสูง
เขาไม่รู้ว่านั่นเป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่ทินกรใช้วิธีนี้ แต่ภรัณยูได้แต่หวังว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย
ทินกรไม่มีทางรับรู้ได้เลยว่าเขาโล่งใจแค่ไหนที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของอีกฝ่ายในที่สุด ร่างโปร่งโอบร่างของคนรักที่สะอึกสะอื้นจนตัวโยนไว้ในอ้อมกอดแน่น แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นอีกฝ่ายร้องไห้ แต่ความอัดอั้นตันใจที่สะท้อนในเสียงสะอื้นยังคงเสียดแทงทุกอนุภาคในร่างกายของเขายังคงเป็นสิ่งที่ภรัณยูไม่มีวันคุ้นชิน
เด็กคนนี้อดทนมานานเหลือเกิน...
“ร้องออกมาเยอะๆนะครับ เด็กเก่ง” จุมพิตเบาบางประทับบนกระหม่อมของคนรัก “ต่อจากนี้ไม่ว่าจะเรื่องอะไร พี่ช่วยซันแบกรับมันไว้เอง ให้พี่ได้กอดซันไว้แบบนี้เวลาที่ซันเสียใจได้มั้ย อย่าหนีพี่ไปอีกได้มั้ย...”
“ฮึก…พะ…พี่ภัทรทำผมขี้แย....” เสียงทุ้มพึมพำปนสะอื้น ใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้แดงก่ำซุกแน่นกับซอกคอของภรัณยู อับอายเกินกว่าจะให้อีกฝ่ายเห็นสภาพของตนนตอนนี้
“ไม่เห็นเป็นไรเลย...” ร่างโปร่งผละออกจากคนที่ดื้อดึงจะกอดเขาไว้เล็กน้อย ดวงเนตรเรียวรีหยีโค้งตามรอยยิ้มเมื่อเห็นคนรักทำปากยู่ราวกับเด็กน้อย อดไม่ได้ที่จะขโมยจุมพิตจากริมฝีปากยื่นๆนั้นอย่างเอ็นดู “พี่ชอบเด็กขี้แย”
“ไม่..ฮึก..ไม่จริงอ่ะ”
“พี่ชอบเด็กขี้อ้อน...”
“ไม่เชื่อ...”
“พี่ชอบเด็กที่ตามตื๊อพี่ทุกวี่ทุกวันไม่รู้จักเหนื่อย พี่ชอบเด็กดื้อที่ไม่ยอมทิ้งพี่ไปไหนเวลาโดนไล่ พี่ชอบเด็กนิสัยไม่ดีที่แกล้งพี่จนหมดแรงทุกคืน...” ริมฝีปากเรียวประกบปิดทับริมฝีปากของคนที่ยังคงมองเขาด้วยสายตาเคลือบแคลงใจ ประคองใบหน้าของทินกรให้รับจูบหวานล้ำที่ตนรู้ว่าอีกฝ่ายชื่นชอบหนักหนา “พี่ชอบเด็กที่ชื่อทินกรคนนี้ พี่รักเด็กคนนี้ที่สุดในโลกเลย รู้มั้ยครับ?”
“…ผมรักพี่ภัทรที่สุดเลยครับ!!”
ภรัณยูหลุดหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อร่างสูงใหญ่โถมเข้าใส่จนเข้าต้องลงไปนอนแผ่หลาบนพื้น ไม่คิดปัดป้องริมฝีปากร้อนที่ตะโบมจูบตามใบหน้าและเรียวคอระหงงส์อย่างตะกละตะกลาม โอบแขนรอบลำคอหนาพร้อมรอยยิ้มกว้าง
หลังจากนี้ เขาจะไม่ยอมให้ทินกรร้องไห้คนเดียวอีกต่อไปแล้ว....
----------------