☼ คุณในฝัน ☼ || บทส่งท้าย (16/5/2018) P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทส่งท้าย (16/5/2018) P.4  (อ่าน 41307 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 7 (27/2/2018)
«ตอบ #30 เมื่อ01-03-2018 21:28:01 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ดูจากเคมีแล้ว  พระเอกคงจะเป็นพี่เข้มกระมัง

ออฟไลน์ สีฝุ่น

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 8 (6/3/2018)
«ตอบ #31 เมื่อ06-03-2018 16:29:23 »



-     8   -

 
แสงแดดจ้า

 

ทะเลสีฟ้าคราม

 

เสียงคลื่นกระทบฝั่ง

 

ความร้อนกระทบหน้าจนร้อนผ่าว

 

ปลายเท้าที่ย่ำอยู่บนพื้นทราย

 

รอยยิ้มกว้างของคนตรงหน้า

 

วาจาแสนอบอุ่น

 

‘Happy Anniversary ครับวาด’

 

‘ไม่มีคำอื่นพูดแล้วหรอ’

 

‘พูดไม่ค่อยเก่งแต่รักหมดใจ’

 

‘แหวะ’

 

‘หมั้นไว้ก่อนนะ’

 

แหวนสีเงินถูกสวมใส่

 

‘อื้มม’

 

รอยยิ้มแห่งความสุข

 

 

บางครั้ง

 

ความฝันก็หวานเลี่ยนเสียจนมดต้องยอมแพ้

 

.

.

.

.

.

เหอะ

 

หวานกันมากงั้นหรอ

 

ครบรอบงั้นหรอ

 

หมั้นไว้ก่อนงั้นหรอ

 

เป็นฝันที่มีความสุขเสียเหลือเกินนะภาพวาด

 

ตัดภาพมาที่ความจริงสิ

 

ยังไม่เคยจะได้เจอกันด้วยซ้ำ

 

มีตัวตนจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ พี่หมอคนนั้นน่ะ

 

บอกตามตรงว่าภาพกำลังอิจฉาตัวเอง

 

คิดพร้อมนอนกระดิกเท้าไปพลาง เขียนบทไปพลาง และมาร์คหน้าไปพลาง หลังจากที่โดนด่าว่าเป็นแพนด้าหน้าศพมาเสียหลายรอบ วันนี้ภาพวาดขอเสริมความสดใสให้ใบหน้าหล่อๆนี่สักหน่อยเถอะ

 

เรื่องบทตอนนี้สมองของเขาแล่นมาก เนื่องจากนอนเต็มอิ่มส่วนหนึ่งและได้ไปสัมผัสบรรยากาศจริงอีกส่วนหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกหลายๆอย่างมาอ้างอิง

 

พูดถึงเรื่องร้านกล่อมกรุง เมื่อวานหลังจากที่กลับมาถึงห้องเขาก็พบว่าตัวเองลืมกุญแจและคีย์การ์ดหอไว้ที่ร้านซะได้  สะเพร่าจริงๆ เขาน่าจะทำตกตอนเป็นลมหรือตอนนอนอยู่บนเตียง ภาพคิดว่าอย่างนั้น ดีที่ป้าเฝ้าหอยังไม่หลับเขาจึงขอกุญแจสำรองมาใช้ก่อนได้ แต่วันนี้ก็คงเลี่ยงที่จะไปเอากุญแจที่ร้านอีกรอบไม่ได้

 

พูดถึงร้านก็อดจะไม่พูดถึงตาลุงเจ้าของร้านหน้านิ่งขี้รำคาญคนนั้นไม่ได้

 

เรียกแบบนี้คงคิดว่าภาพวาดฝังใจสินะ

 

เก็ฝังใจน่ะสิ

 

มากๆด้วย

 

กล้าดียังไงถึงมาถีบเขาตกเตียง ตูดยังระบมไม่หายเดินทีอย่างกับคนแก่เดิน ขาลงน้ำหนักทีถึงกับร้องโอดโอยไม่หยุด เดินกะเผลกๆไปมา แล้วตาลุงนั้นดันกล้าเอาหน้าพี่หมอมาใช้ทำกริยาแบบนี้กับเขาอีก ทำแบบภาพจะโกรธลงได้ยังไง ขี้โกงชะมัด

 

เอาล่ะ เพื่อความสบายใจ เขาก็แค่พิสูจน์ว่าตาลุงนั่นไม่ใช่พี่หมอก็พอ พอตัวเองตาสว่างเห็นธรรมแล้วจะได้โกรธได้เต็มที่สักหน่อย ถึงแม้จะรู้สึกขอบคุณที่อุส่าห์ให้ที่พักและข้าวปลาอาหารกับแพนด้าตาดำๆคนนี้ก็เถอะ

 

เห็นแก่ความแอบใจดี

 

โกรธน้อยลงนิดนึงก็ได้วะ

 

 

 

เป็นเวลาก่อนร้านเปิดไม่นานมากนักที่ภาพมาถึงร้านที่เขาเพิ่งใช้เป็นที่หลับนอนมาหนึ่งวันเต็ม มองไปทางขวาก็เห็นน้องหยกกำลังเตรียมจัดของนู้นนี่อยู่ตรงเคาท์เตอร์บาร์

 

“ร้านเปิดในอีกครึ่งชั่วโมงนะคะคุณลูกค้า อ้าว พี่เพื่อนพี่เข้ม สวัสดีค่า” เมื่อเห็นว่ามีบุคคลนอกเดินเข้ามาในร้านจึงเอ่ยทักทาย เธอยังดูสวยปนเซ็กซี่อยู่เหมือนเคยแม้จะอยู่ในชุดนักศึกษา

 

“สวัสดีครับ พี่ชื่อภาพนะ แหะๆ”

 

“อ้อ สวัสดีค่ะพี่ภาพ ขอโทษทีค่ะพอดีหยกไม่รูชื่อ”

 

“ไม่เป็นไรครับไม่เป็นไร”

 

“แล้วนี่โอเคขึ้นรึยังคะ วันนั้นเห็นอยู่ดีๆพี่ก็เป็นลมไปหยกตกใจแทบแย่”

 

“สบายดีแล้วครับได้นอนเต็มอิ่มเลย”

 

“’งานคงหนักมากสินะคะ ฮ่าๆ”

 

“เป็นบางช่วงน่ะครับ ว่าแต่ตาลุงเจ้าของร้านอยู่มั้ย”

 

“พี่ภาพหมายถึงเฮียทินรึปล่าคะ”

 

“ใช่ๆ โทษทีพี่หลุดปาก แหะๆ”

 

“คุณเรียกใครตาลุง” พูดถึงปุ๊ปก็มาปั๊ปอย่างกับจุดธูปเรียก ตายยากจริงๆคนนี้

 

“ป๊าวววว ใครเรียกกกก ไม่มี๊”

 

“แล้วจะเสียงสูงทำไม อ่ะนี่ มาเอากุญแจใช่มั้ย” พูดพร้อมยื่นสิ่งมี่ภาพตามหามาให้

 

“ขอบคุณครับ อันนี้ผมซื้อมาให้แทนคำขอบคุณ” ภาพยื่นถุงส้มใบใหญ่ไปตรงหน้าคนตัวสูงจนทำให้อีกคนถึงกับผงะ

 

“ขอบคุณเรื่องอะไร” คิ้วเข้มหนาขมวดนิดหน่อย

 

“ก็เรื่องที่คุณให้ผมนอนพัก แล้วก็ถือเป็นค่าข้าวผัดเมื่อวานด้วย”

 

“ก็บอกแล้วว่าของเหลือให้กินฟรี”

 

“นี่ก็ส้มเหลือจากแผงป้าในตลาดเหมือนกันครับ ป้าบอกว่าเอาไปทำบุญทำทานเถอะลูก”

 

“เหอะ ต่อปากต่อคำนะเราอะ”

 

“คนซื้อมาให้คุณก็รับไว้เถอะ จะปฏิเสธคำขอบคุณกันรึไง”

 

“โอเคๆ แต้งกิ้วแล้วกัน”

 

“กินเลยสิ”

 

“ห๊ะ?”

 

“ผมบอกว่ากินเลยสิ”

 

“ทำไมผมต้องกินตอนนี้ด้วย”

 

“จะได้มีแรงไปทำงานไง”

 

“ผมยังไม่อยากกิน”

 

“กินเถ้ออออ เดี๋ยวส้มน้อยใจนะ ”

 

หึ กินสิ จะได้รู้ว่าข้อสันนิฐานของไอ้ภาพคนนี้ถูกรึเปล่า

 

ภาพรู้ดีว่าพี่หมอเกลียดส้มอย่างกับอะไรดี

 

ถ้าตาลุงนี่กินได้ก็เป็นอันว่าไม่ใช่

 

เป็นไงล่ะแผนการอันแยบยลนี้

 

หน้าตาไม่ดีคิดไม่ได้นะบอกเลย

 

“มาๆคุณมานั่ง เดี๋ยวผมแกะให้เลย” ภาพทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะตัวใกล้ๆ ตบปุๆให้อีกคนมานั่งด้วยกัน

 

“เอ่อคือหยกว่-…”

 

 “เรื่องสตอเบอรี่ใช่มั้ย เฮียสั่งเพิ่มไปแล้วเดี๋ยวมันก็มาส่ง”

 

“อะ อ่อ เค คือหยกแค่จะถามว่าจะให้เปิดร้านเลยมั้ย”

 

“ยังไม่ต้องหรอก หยกไปเคลียร์สต็อคหลังร้านเถอะ ตรงนี้เฮียดูเอง”

 

“นี่คุณ กินเลยๆ” ภาพยืนส้มชิ้นใหญ่ให้หลังจากที่เขาพึ่งแกะเสร็จ ทินกรทำหน้าเหนื่อยใจแต่ก็ยอมรับไปกินแต่โดยดี

 

“นี่ไงกินแล้ว พอใจยัง”

 

เห้ยย กินได้เว้ย แสดงว่าตาลุงนี่ไม่ใช่พี่หมอสินะ

 

ทั้งดีใจและเสียใจเลยแหะ

 

ก็ในใจจริงๆแล้วภาพอยากเจอพี่หมอตัวจริงนี่หน่า

 

นี่เขาเป็นไบโพล่าร์รึเปล่า

 

ทำตัวขัดแย้งไปมา

 

“พอใจแล้วครับ” ยิ้มตอบกลับแบบดีใจปนเสียดาย มันเรียกว่าอะไรกันนะยิ้มแบบนี้ ยิ้มแห้งรึเปล่า

 

“คุณมาแค่นี้ใช่มั้ย งั้นก็กลับไปได้แล้ว”

 

“ไล่ลูกค้าแบบนี้ได้ยังไง ผมตั้งใจมาอุดหนุนร้านคุณต่างหาก เรื่องขอบคุณน่ะเป็นเรื่องรอง”

 

“วันนี้ร้านปิด”

 

“โกหก ร้านปิดแล้วน้องหยกจะเตรียมของทำไม”

 

“เหอะ” นั้นไง เถียงไม่ออก

 

“ผมแค่มานั่งเขียนบทเฉยๆ มาเขียนกับบรรยากาศจริงมันได้อารมณ์มากกว่า นี่ไงผมพกโน้ตบุ้คมาด้วย” พูดพร้อมหยิบขึ้นมาโชว์

 

“ร้านผมไม่ใช่สตาร์บัคนะคุณ”

 

“ยังไงลูกค้าร้านคุณก็นั่งแช่กันนานอยู่แล้ว ไม่ต่างหรอก”

 

“…” หน้านิ่ง

 

“นะๆ” ภาพพยายามกระพริบตาปริบๆเหมือนเวลานางเอกอ้อนพระเอกในการ์ตูนตาหวาน

 

“เห้ออ แล้วแต่คุณแล้วกัน”

 

“เย้ ผมไม่เกะกะรบกวนหรอก ผมจะนั่งอยู่เงียบๆในมุมของผมไว้ใจได้”

 

“ไอ้ภาพมาได้ไงวะ” เสียงอันคุ้นเคยของบุคลผู้มาใหม่เอ่ยทักทายจากหน้าประตูร้าน ทำให้ภาพต้องหันไปมองอย่างเสียไม่ได้

 

“พี่เข้มเถอะมาได้ไง” ภาพเอ่ยอย่างสงสัย

 

“กูบังเอิญผ่านมาเลยแวะมาหาหยก” พี่เข้ม บุคคลที่มาพร้อมกับคำว่าบังเอิญตลอดเวลาจนภาพอดคิดไม่ได้ว่ามันจะบังเอิญอะไรขนาดนั้น

 

“หยกไม่อยู่” ทินกรหันขวับไปตอบเสียงแข็ง

 

“ผมโทรหาแล้ว หยกบอกว่าอยู่” ภาพเหมือนเห็นกระแสไฟฟ้าเปรี๊ยะๆออกมาจากสายตาระหว่างสองคนนี้ แน่นอนมันไม่ใช่เปรี๊ยะๆแบบคนที่สปาร์คซัมติงกันแน่ๆ แต่เป็นอารมณ์แบบพี่ชายหน้านิ่งขี้หวงและว่าที่น้องเขยของเขามากกว่า ภาพคิดว่านะ

 

“วันนี้หยกงานยุ่ง ไม่มีเวลามาคุยเล่น”

 

“ไม่เป็นไรผมแค่อยากเจอหน้า นั่งมองเฉยๆก็ได้”

 

เปรี๊ยะๆๆ

 

เอาล่ะไปต่อไม่ถูกเลย

 

รู้สึกตัวเองเป็นส่วนเกินเบาๆ

 

นี่เรามานั่งทำอะไรตรงนี้กัน

 

ใครก็ได้ช่วงมาแยกสองคนนี้ออกไปที

 

แต่เหมือนพระเจ้าจะได้ยินคำขอของเขาพระองค์จึงส่งผู้กอบกู้มาช่วยไว้ได้ทันท่วงที

 

เธอคือผู้มาใหม่

 

ผู้หญิงสวยน่ารักสไตล์คุณหนู

 

“สัสทินว่าไงไม่เจอกันนาน”

 

คนที่เขาและพี่เข้มคุ้นหน้าคุ้นตากันดี

 

“เออดีไอ้พิม ไม่เจอนานเดินพุงกางมาเลยนะมึง”

 

“กูท้องไง ไม่ได้อ้วน”

 

“อ้าวเข้ม อ้าวน้องภาพ หวัดดีจ่ะ บังเอิญจังเลยเนอะ”

 

เปรี้ยง!!!

 

ภาพรู้สึกถึงสายฟ้าที่ผ่าเข้ามากลางโต๊ะ

 

ถ้าพี่เข้มคือความบังเอิญฝ่ายชายแล้ว

 

ฝ่ายหญิงคงต้องยกให้พี่พิมเขาล่ะ

 

หากยังจำได้

 

พี่พิมคือคนที่หน้าเหมือนแฟนเก่าพี่หมอ

 

และเป็นอดีตแฟนเก่าพี่เข้ม

 

แล้วคราวนี้ยังมาเป็นคนรู้จักของตาลุงทิน

 

ซึ่งตาลุงดันหน้าเหมือนพี่หมออีก

 

โลกกำลังเล่นตลกอะไรกับเขารึเปล่าเนี่ย!!

 

มันเกิดอะไรขึ้น

 

แรงดึงดูด

 

ทฤษฎีโลกกลม

 

หรือว่าพรหมลิขิต





















#คุณในฝัน



กลับมาเเล้วจ้าาา อัพฉลองให้แก่หลายๆคนที่พึ่งสอบเสร็จ ยินดีด้วยคุณได้รอดชีวิตจากขุมนรกไปเเล้ว next station ขุมไฟนอล 55

เห็นมีคนสงสัยเรื่องพระเอกของเรื่องกันมากเลย

จริงเเล้วพระเอกคือโอมค่ะ



อ๊ะล้อเล่น



ตอนนี้เรายังบอกไม่ได้ค่ะ เเต่คิดว่าทุกคนอ่านๆไปก็น่าจะเดาได้ ถึงจะมีทั้งพี่ทิน พี่เข้ม โอม หรือใครก็ตาม เเต่อย่าลืมว่าพระเอกจริงๆในใจของภาพวาดยังไงก็คือพี่หมอเน้อ



เรื่องนี้เดาไม่ง่ายค่ะเเต่ก็ไม่ยากจนเกินไป เเต่ถ้าใบ้ปุ๊ปก็เก็ทเลย เราเลยใบ้มากไม่ได้ค่ะเดี๋ยวรู้หมด 55

เรื่องไม่ยาวเน้อนี่ก็เกือบครึ่งทางเเล้ว (สั้นเว่อร์)

ยังไงฝุ่นจะพยายามมาอัพบ่อยๆค่ะ



ฝุ่นเปิด Twitter ไว้นานเเล้วตั้งเเต่เรื่องเปิดเเต่ไม่ได้บอกเพราะคิดว่าคงไม่มีคนสนใจ เเต่ก็พอมีคนทักมาบ้างก็เลยขอโปรโมตแอคตัวเองสักนิดนึงเน้อ สามารถไปพูดคุยเวิ้นเว้อกันได้ถ้าใครเหงาๆไม่มีอะไรทำ  @thedust24 หรือ #คุณในฝัน ก็ได้ค่ะ เราเเอบเอาเเอคติดเเท็กโปรโมตนิยายตัวเองนิดนึงด้วย 55



See U next chapter นะจ๊ะ

1เม้น = ล้านกำลังใจ

เลิฟ



-สีฝุ่น-


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-05-2018 14:18:22 โดย สีฝุ่น »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 8 (6/3/2018) P.2
«ตอบ #32 เมื่อ06-03-2018 16:42:53 »

 :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 8 (6/3/2018) P.2
«ตอบ #33 เมื่อ06-03-2018 16:55:14 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ BitterCucumber

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 8 (6/3/2018) P.2
«ตอบ #34 เมื่อ07-03-2018 17:37:56 »

ตอนจบนี่ภาพคงไม่ต้องไปรักษาตัวอยู่ในโรงบาลใช่มั้ยคะ?555

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 8 (6/3/2018) P.2
«ตอบ #35 เมื่อ07-03-2018 19:30:42 »

พล็อตสนุกดี ทำให้ชวนติดตามว่าใครคือคนในฝันของภาพ
ในใจอยากให้เป็นพี่เข้ม คือแบบ อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น
ทั้งเรื่องไม่ชอบส้ม เรื่องคอนโดอีก แล้วแบบเคมีมันก็ได้นะ
คนที่ไม่เคยคาดคิดอาจจะใช่ก็ได้เนอะน้องภาพ ฮ่าๆ

ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 8 (6/3/2018) P.2
«ตอบ #36 เมื่อ10-03-2018 07:47:41 »

ชอบนะคะ น่าติดตามต่อว่าจะยังไง

แต่เราว่าภาพยึดติดเกินไป แยกไม่ออกอย่างที่คุณฝุ่นว่า

ถึงแม้จะมีเรื่องน่าสงสัย แปลกใจอยู่ตลอดก็เถอะ

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 8 (6/3/2018) P.2
«ตอบ #37 เมื่อ10-03-2018 12:50:19 »

เชียร์พี่เข้มมมมม เพราะเรารู้สึกว่าคนที่คล้ายกับพี่หมอของวาดจริงๆก็คือพี่เข้ม ไม่ใช่เฮียทินที่เป็นแค่ภาพเหมือน
 :ling3:

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 8 (6/3/2018) P.2
«ตอบ #38 เมื่อ10-03-2018 22:30:57 »

คิดว่าน่าจะเป็นพี่เข้มนะ เพราะคนที่หน้าเหมือนในฝันชื่อแซ่ไม่ตรงกับในฝันทุกคนเลย แล้วพี่เข้มมีอะไรที่เหมือนกับพี่หมอตั้ง2ข้อ 1 แฟนเก่ามีชู้ 2 อยู่คอนโดเรสๆอะไรนั่นอ่ะ แถมห้อง 2108 ซึ่งใกล้เคียงกะห้องพี่หมอในฝันไปอีก งานคิดเองเออเองล้วนๆ 5555555555 มาต่อไวๆน้าค๊าาาาา :impress2:

ออฟไลน์ สีฝุ่น

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 9 (12/3/2018) P.2
«ตอบ #39 เมื่อ12-03-2018 23:02:13 »




- 9 -


 

     ปิทากอรัสเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ตั้งทฤษฎีโลกกลม

 

     ต่อมาโคเปอร์นิคัส และกาลิเลโอได้นำมาพิสูจน์

 

     และพบว่ามันถูกต้อง

 

     วันเวลาต่อมาโลกก้าวหน้ามากขึ้น

 

     เทคโนโลยีพัฒนาไปไกล

 

     นักวิทยาศาสตร์ได้ข้อสรุปที่แน่นอน

 

     และรู้ว่าโลกของเรานั้นมันแสนกว้างใหญ่

 

     จนมิอาจจะค้นพบได้ทั้งหมดทุกอย่าง

 

     แต่ถึงกระนั้น

 

     ภาพวาดก็ยังอยากจะโต้แย้งในบ้างข้อ

 

     โลกของพวกเรานั้นเป็นทรงกลมก็จริง

 

     แต่ทำไมโลกของภาพ..

 

     มันถึงแคบขนาดนี้วะ!!

 

     ภาพวาดหันมองผู้คนที่เขารู้จักทั้งสามคนแล้วอยากจะร้องไห้เป็นสูตรฟิสิกส์

 

     แต่ก็ลืมไปว่าตัวเองคืนไปหมดตั้งแต่เข้ามหาลัยแล้ว

 

    'พี่พิม’ ยังคงมีรอยยิ้มที่อ่อนหวานเหมือนทุกครั้งที่พวกเขาได้เจอกัน เธอดูไม่แปลกใจเท่าใดนักที่เห็นพี่เข้มและตัวเขา แถมยังเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเองเสียอีก

 

     “รู้จักกันด้วยหรอ” ทินกรเอ่ยถามเพื่อนผู้มาใหม่ แต่ดูเหมือนจะเป็นคำถามที่ถามถึงภาพวาดเพียงคนเดียวเสียมากกว่า

 

     “เคยเจอกันหลายรอบ น้องเขาเป็นรุ่นน้องของเข้ม”

 

     “แล้วพี่สองคน….”

 

     “ทินเป็นเพื่อนสนิทสมัยมัธยมน่ะจ่ะ ห่างหายไปนานพึ่งกลับมาเจอกันนี่แหละ” อ่า ภาพว่าเขาพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว เพราะพี่เข้มเป็นแฟนเก่าที่เลิกกันไม่ดีเท่าไหร่ของเพื่อนสนิทตัวเอง และยังพยายามจะจีบน้องสาวของตัวเองอีก แถมเจ้าตัวยังเป็นพวกหวงน้องเข้าเส้น จะเหม็นหน้ากันก็คงไม่แปลก

 

     สรุปคือสามคนนี้สนิทชิดเชื้อและมีสตอรี่ร่วมกันมาสินะ

 

     คนที่เขารู้จักและเกี่ยวข้องกับฝันประหลาดนั่นดันรู้จักกันหมด

 

     แล้วอย่างนี้จะไม่ให้บอกว่าโลกมันแคบได้ยังไง

 

     โชคดีแค่ไหนแล้วที่พี่พิมไม่ใช่แฟนเก่าตาลุงนี่อีก

 

     เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นอย่างนั้นวะ

 

     “แล้วนี่มาทำไม ไม่ทำงานรึไง” ทินกรเอ่ยถามอีกครั้ง

 

     “กูก็คิดถึงเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ผ่านมาเลยแวะเข้ามาทักทายนิดหน่อยไม่ได้รึไงคะ” แต่ดูจากคำพูดคำจาแล้วภาพคิดว่าไม่น่าจะเคยเป็นแฟนกันหรอกมั้ง

 

     “กูเบื่อหน้ามึง”



     “กูก็เบื่อหน้ามึงเหมือนกัน เบื่อปากหมาๆของมึงด้วย ไปหาน้องหยกดีกว่าอยู่หลังร้านใช่มะ” พูดเสร็จไม่รอคำตอบเธอก็หมุนตัวเดินไปหลังร้านซะแล้ว เหลือไว้แต่เพียงชายหนุ่มทั้งสามคน

 

     “พี่เข้มขอคุยด้วยหน่อย” ภาพสะกิดคนตัวโตกว่ายิกๆ ก่อนที่อีกคนจะตอบตกลงและไปหาโต๊ะไกลๆส่วนตัวนั่งคุยกัน ทิ้งคุณเจ้าของร้านให้ตะเตรียมของเตรียมเปิดร้านของเขาไป

 

     “พี่รู้จักตาลุงทินมาก่อนแล้วใช่มั้ย รู้จักกันมานานขนาดไหน รู้รายละเอียดลึกรึเปล่า แล้วเขากับพี่พิมเป็นอะไรกัน..”

 

     “ไอ้ภาพมึงใจเย็นๆกูตอบไม่ทัน กูรู้แค่ว่ามันกับพิมเป็นเพื่อนสนิทสมัยมัธยม ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่านั้น กูเจอมันบ่อยๆตอนที่พิมบังเอิญเจอแล้วทัก พึ่งรู้ว่าเป็นเจ้าของร้านเดียวกับที่ไอ้เอกอยากมาถ่ายนี่แหละ พอมาร้านกูก็เจอหยกเลยอยากจีบ แล้วพอมันรู้ว่ากูจะจีบโรคหวงน้องแม่งก็กำเริบ เลยเหม็นหน้ากูมาถึงตอนนี้ ก็แค่นั้น”

 

     “อ่อ แสดงว่าไม่ได้เป็นแฟนกันสินะ” จะว่าโล่งใจก็ไม่ใช่ ทุกอย่างรุมเร้าเข้ามาทีเดียวจนทำให้เขาสับสนไปหมด มันเหมือนหัวโดนกระแทกด้วยความจริงหลายๆอย่างจนยากต่อการเข้าใจ

 

     “ภาพ กูมีเรื่องอยากให้มึงช่วย” พี่เข้มเปลี่ยนเรื่องและมองหน้าเขาด้วยดวงตาที่เป็นประกายอย่างมีความหวัง

 

     “อะไรครับ” 

 

     “มึงช่วยกันไอ้ขี้เก็กนั่นออกจากกูกับหยกที ไหนๆมึงก็อยากพิสูจน์เรื่องมันแล้วก็ตบมือข้างเดียวได้ปลาสองตัวไปเลยดิ”

 

     “ยิงปืนข้างเดียวได้นกสองตัวเหอะ”

 

     “เออน่า คล้ายๆกัน ว่าแต่ตกลงมั้ย”

 

     “ไม่ครับ”

 

     “ภาพพพพ ทำไมอะ คนนี้กูจริงจังนะเว้ย กูชอบมากช่วยกูหน่อยเถอะ”

 

     “ช่วยโดยการเอาตัวผมเป็นไม้กั้นหมาอะหรอ”

 

     “เรียกว่าเปิดโอกาสให้มึงได้ไขข้อข้องใจจะดีกว่า”

 

     “ผมฟันธงแล้วว่าเขาไม่ใช่พี่หมอ”

 

     “มึงฟันธงยังไงวะ”

 

     “ผมเอาส้มให้เขากิน แล้วเขาก็กินได้ปกติ”

 

     “แค่นั้นอะนะ”

 

     “แค่นั้นก็พอแล้วไม่ใช่รึไง ทั้งสีตา บุคลิก แล้วก็อาชีพ ไม่มีความเข้ากันเลย”

 

     “แล้วเรื่องพิมหล่ะ พิมก็เป็นแฟนเก่าพี่หมอมึง แล้วก็เป็นเพื่อนของไอ้นั่นด้วยไม่ใช่รึไง”

 

     “ทีพี่ยังเป็นแฟนเก่าพี่พิม และรู้จักกับคนที่หน้าเหมือนพี่หมอเลย”

 

     “มึงไม่คิดว่ามันบังเอิญมากไปรึไงวะ แล้วนี่ยังไงมึงจะยอมแพ้แล้วรึไงพูดแบบนี้”

 

     “ผมไม่ได้ยอมแพ้แค่ไม่รู้ว่าจะเอาไงต่อดี บางทีผมก็อยากจะได้เวลาทบทวนตัวเองดีๆ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าเจอพี่หมอแล้วจะยังไงต่อ หรือถ้าไม่เจอแล้วจะยังไง  คือพี่คิดมั้ยว่าบางทีมันอาจจะเป็นแค่ผมหลอนไปเอง เป็นแค่อาการทางจิตโง่ๆ ผมอาจจะโหยหาความรักจนสร้างเรื่องมโนขึ้นมาใหญ่โต”

 

     “แล้วทุกสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆหล่ะ เหตุการณ์ต่างๆ แล้วก็พวกคนที่หน้าตาเหมือนคนในฝันมึงอีก”

 

     “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน มันไม่มีคำตอบเลย” ภาพวาดกำมือแน่น เขาสับสนไปหมด อยู่ดีๆเหมือนปริศนาทุกอย่างก็ตู้มลงมาใส่หัวเขาในทีเดียว ซึ่งภาพไม่มีความสามารถที่จะแก้ไขมันได้เลย

 

     “…”

 

     “บางครั้ง….ผมก็เหนื่อย”

 

     “…”

 

     “ผมเหนื่อยจริงๆนะ”

 

 

     เหนื่อยมาก

 

     เหนื่อยมาตลอด

 

     กับการหาคำตอบให้กับคำถามที่ไม่มีวันสิ้นสุดนี้

 

     มันควรจะหยุดได้แล้วรึเปล่านะ

 

     ถ้าเขาหยุดทุกอย่างมันจะดีกว่านี้รึเปล่า

 

     “แล้วมึงเคยไปปรึกษาจิตแพทย์ดูรึยัง”

 

     “ผมไม่กล้า”

 

     “การที่เราไปหาหมอจิตไม่ได้แปลว่าเราโรคจิตนะมึง เราไปเพราะต้องการที่ปรึกษา ต้องการการระบาย หาที่มาแล้วก็หาวิธีแก้ คือ มันไม่ได้แย่เลย มึงไม่จำเป็นต้องกังวล” พี่เข้มพูดขึ้นมารัวๆแกคงเป็นห่วงเพราะคิดว่าภาพไม่ไปเพราะเหตุผลพวกนี้

 

     “ผมรู้ มันไม่ใช่เพราะอย่างนั้น”

 

     “แล้วทำไมมึงไม่ไป”




     “…”

 

     “…”

 

     “ผมกลัวเขาจะหายไป…พี่หมอน่ะ”

 

     เพราะภาพวาดนั้นยังอ่อนแอเกินกว่าจะต่อสู้กับความจริงที่ไม่มีเขาคนนั้น

 

     “จริงๆผมกะจะพอแล้ว ถึงเขาจะเหมือนพี่หมอขนาดไหนมันก็ไม่ใช่ ผมรู้ดี จนกระทั่งพี่พิมเดินเข้ามา พอเขาบอกว่ารู้จักกัน ผมก็สร้างความหวังขึ้นมาอีก”

 

     เหมือนใจที่มันหมดหวังไปแล้วได้รับน้ำมาเพื่อหล่อเลี้ยงอีกครั้ง

 

     ภาพวาดภาวนาไม่ให้ทินกรเป็นพี่หมอคนนั้น เพราะแท้จริงแล้วเขาอยากจะเจอคนที่เหมือนกับพี่หมอในฝันของเขาจริงๆทั้งภายนอกและจิตใจ

 

     แต่อีกใจก็อยากเหลือเกินให้ทินกรคือคนที่เขาฝันถึง การเดินทางจะได้สิ้นสุดลงเสียที

 

     ความคิดสองอย่างตีกันอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลาตั้งแต่ที่ได้เจอกัน

 

     ถึงภายนอกทุกอย่างจะดูโอเค แต่ข้างในนั้นภาพคิดมากอยู่ตลอดเวลา

 

     บางครั้งก็รำคาญความคิดของตัวเองที่เอาแน่เอานอนไม่ได้สักอย่าง

 

     “มันยากนะ พี่ว่ามั้ย”

 

 

 

 

 

     “เมนูครับคุณลูกค้า ร้านเปิดแล้ว ถ้าอยากนั่งก็ต้องสั่งนะครับ” คนที่ถูกพูดถึงเอ่ยขัดจังหวะขึ้นมาพอดิบพอดีพร้อมวางเล่มเมนูลงบนโต๊ะให้ทั้งเขาและพี่เข้ม มาถูกเวลาจริงๆพ่อคุณ ตัดอารมณ์ดราม่าของเขาไปหมดด้วยคำพูดกึ่งประชดประชัน

 

     “ขอบคุณ” พี่เข้มเลื่อนมือไปรับพร้อมเปิดดูเมนู

 

     “เป็นเจ้าของร้านต้องมารับออเดอร์ด้วยหรอ”ภาพวาดเอ่ยถาม

 

     “สำหรับผมการเป็นเจ้าของร้านคือเป็นทุกอย่าง” แหม คมเลือดไหล

 

     “แสดงว่าคุณก็เป็นบาร์เทนเดอร์ด้วยใช่มั้ย”

 

     “ผมมีคนประจำ แต่ถ้าบางทีไม่มาผมก็ทำเอง”

 

     “คุณก็เก่งเหมือนกันนะเนี่ย”

 

     “รู้ก็ดี” แหมะ ไม่มีถ่อมตัวสักนิด

 

     “ผมเอาข้าวผัดแล้วก็เอาน้ำส้ม”

 

     “เมนูมึงไม่ได้เข้ากับร้านเลย”

 

     “ก็ผมหิวอะ”

 

     “ผมเอาเบียร์สดของร้านแก้วนึง” หันไปสั่งคุณเจ้าของร้านที่เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว พยักหน้าตอบรับพร้อมทวนออเดอร์นิดหน่อยก่อนจะไปเตรียมอาหาร เห็นพี่เอกบอกอยู่ว่าเบียร์สดที่ร้านนี้อร่อยแต่ภาพยังไม่เคยลองสักที เห็นครั้งที่แล้วมีคนสั่งกันเยอะเชียว สงสัยคงต้องลองซะบ้างแล้ว

 

     รอเวลาไม่นานเบียร์ของพี่เข้มที่สั่งก็มาเสิร์ฟโดยพยักงานคนหนึ่งที่ภาพไม่เคยเห็นหน้า คราวที่แล้วคงไม่ทันได้สังเกต เขาเป็นผู้ชายตัวผอมและค่อนข้างตัวเล็ก หน้าตาแบบคนจีนยิ้มทีตาปิดจนภาพอดสงสัยไม่ได้ว่ามองเห็นรึเปล่า

 

     “เบียร์ได้แล้วคร้าบบ น้ำส้มรออีกสักครู่นะคร้าบบกำลังคั้นกันอยู่” พูดพร้อมฉีกยิ้มกว้างที่ทำให้เห็นฟันขาวครบทุกซี่ อะไรจะสดใสขนาดนั้นวะ

 

     “พี่คนนี้ที่วันนั้นเป็นลมใช่มั้ย ตอนพี่ล้มนี่ผมโคตรตกใจเลย เป็นไงหลับสบายมั้ยพี่ “ เหมือนทุกคนในร้านจะจำเขาได้จากวีรกรรมนี้ทั้งนั้นเลยนะ  ว่าแต่ไอ้เด็กนี่พูดมากจังวะ

 

     “ก็โอเคแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ” ภาพตอบกลับไปตามมารยาท

 

     “ไอ้ภีมพูดมากกลับไปทำงานไป” ทินกรกลับมาพร้อมจานข้าวผัดและแก้วน้ำส้มในมือ

 

     “โถ่วเฮียย ลูกค้ายังไม่มาสักหน่อย ผมก็แค่มาชวนพี่ๆเขาคุยเอง”

 

     “แล้วถามเขามั้ยว่าอยากคุยกับมึงรึเปล่า”

 

     “ก็ต้องอยากอยู่แล้วสิ ใช่มะพี่” พูดพร้อมหันมายักคิ้วให้ภาพสองจึ้ก

 

     “อะ เอ่อ….”

 

     “กูบอกให้กลับไปทำงาน”

 

     “ผมก็ทำอยู่นี่ไงค้าบเฮีย เนี่ยกำลังจะไปเอาข้าวผัดเฮียก็มาแย่งงานผม ปกติไม่เห็นเคยทำนั่งจิบเหล้าจิบเบียร์อย่างเดียว ” หืมม ไหนบอกว่าปกติทำทุกอย่างไง

 

     “หุบปากไอ้ภีม พูดมากนะมึงอะ ไปล้างห้องน้ำเลยสัส ล้างไม่สะอาดไม่ต้องออกมา”

 

     “ม้ายยยยยยยยยยยยย”

 

     “จะไปดีๆหรือต้องให้กูถีบตูดมึง”

 

     “เฮียใจร้ายที่สุด อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะว่าเฮียแอ-”

 

     ตุบ

 

     “โอ้ยยยเฮียถีบผมทำมายยยย” แม่งง เจ้าของถีบเด็กกลางร้านอย่างงี้ก็ได้หรอวะ ถึงจะมีลูกค้าโต๊ะเดียวก็เถอะ

 

     “กูเตือนมึงแล้วนะ” ทินกรแสยะยิ้มชั่วร้ายมุมปาก

 

     “งอนๆๆๆ ผมงอนเฮียแล้ว”พนักงานสริร์ฟที่โดนหมายหัวทำท่าเช็ดน้ำตาเกินจริงก่อนจะสะบัดตัวเดินกลับไปคว้าอุปกรณ์ล้างห้องน้ำหลังร้านก่อนจะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ อะไรกันพึ่งล้างไปทำไมต้องล้างอีกรอบด้วย เฮียนะเฮียทำไมต้องทำร้ายกันขนาดนี้

 

     “มีอะไรก็เรียกผมแล้วกัน ตอนนี้เด็กเสิร์ฟไม่ว่าง” พูดก่อนจะไปยืนประจำที่บาร์ เวลาผ่านไปไม่นานนักผู้ชายที่ภาพคิดว่าน่าจะเป็นบาร์เทนเดอร์ประจำร้านก็มาถึง

 

     เห้อออ

 

     ยิ่งมองตาลุงนี่กี่ที ภาพก็รู้สึกขัดลูกตาเหลือเกินที่บังอาจเอาหน้าพี่หมอแสนอบอุ่นของเขามาใช้ทำอะไรแบบนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

     สามวันผ่านไปหลังจากที่ภาพไปที่ร้านกล่อมกรุง หลังจากนั้นเขาก็แวะเข้าไปตลอดทุกวัน เนื่องจากเขาต้องการรายละเอียดต่างๆของร้านและการไปนั่งในร้านมันได้อารมณ์จริงๆมากกว่าการนั่งจินตนาการอนู่ในห้องสี่เหลี่ยมและยังทำให้สมองของเขาทำงานได้ดีมากกว่า

 

     ช่วงบ่ายภาพเข้าไปคุยงานเรื่องบทกับพี่เอกได้สักพักเมื่อไอเดียและบทบางส่วนถูกอนุมัติและได้รับคำชมมาแล้ว เขาก็ไม่รีรอนั่งเขียนบทตรงนั้นเลย สื่งที่พี่เอกรีเควสขึ้นมามีเพียงอยากได้ฉากที่เป็นปรากฎการณ์ซุปเปอร์มูนที่ใกล้จะถึงในอีกไม่กี่วันลงไปในเรื่องด้วยเพราะเป็นเหตุการณ์สวยงามที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆและช่วยสร้างความโรแมนติกให้กับเนื้อเรื่องได้ดี  หลังจากครั้งที่พวกเขาคุยไอเดียเรื่องบทและคาแรกเตอร์ตัวละครคราวนั้น พี่เอกได้ติดต่อน้องหยกมาแสดงเป็นนางเอกของเรื่องเนื่องจากคาแรกเตอร์ของตัวละครที่สวยแบบไทยนั้นเข้ากับเธอ ประจวบเหมาะกับการที่น้องหยกเรียนทางด้านนิเทศ ถึงจะไม่ได้เป็นเอกการแสดงแต่ก็เล่นได้ดีตามเกณฑ์ที่พวกเขาวางไว้

 

     สิ่งที่ต้องเร่งทำตอนนี้คือบทของฉากซุปเปอร์มูนที่ใกล้จะถึง ภาพจึงเดินทางไปเก็บข้อมูลที่สถานที่จริงสักหน่อย ภาพมาถึงเวลาร้านเปิดไม่นานนักอย่างที่ชอบทำ เพราะเขาสามารถเลือกที่นั่งในมุมที่ดีและไม่รบกวนลูกค้าคนอื่นจนเกินไป

 

     ภีมที่กำลังจัดโต๊ะและเก้าอี้เข้าที่หันมายิ้มกว้างโบกมือทักทายหลักจากที่เห็นว่าเขาเดินเข้ามา

 

     “หวัดดีค้าบบพี่ภาพ” ภีมยังคงคอนเซปสดใสเกินเบอร์เหมือนที่เจอกันครั้งก่อน

 

     “หวัดดี” ยกมือทักทายเด็กมันอย่างที่ทำเป็นประจำในตลอดหลายวันที่ผ่านมา

 

     “ช่วงนี้พี่ภาพมาบ่อย แอบมาเต๊าะใครป่าวเนี่ย”

 

     “พี่มาเก็บข้อมูลโลเคชั่นต่างหาก”

 

     “คิคิ เห็นมาเกือบทุกวันไอเราก็นึกว่าเฮียทินจะขายออกซะแล้ว”

 

     “มโนไปไกลและ พี่มาจีบจิ้งจกที่ร้านเห็นตัวเหลืองๆสวยดี”

 

     “โห่ ทำไมอ่า ผมเชียร์คู่พี่อยู่นะ” นี่ขี้ชงจังวะ แล้วทำไมต้องเป็นคู่เขากับตาลุงด้วย

 

     “ไม่อะ พี่ไม่นิยมผู้ชายขี้เก็กมีหนวด” ภาพตอบกลับไป สเปคเขาต้องสะอาดอบอุ่นแบบพี่หมอสิ

 

     “แบบนี้ถึงจะโรแมนติคไงพี่ พระเอกดิบๆเถื่อนๆปากหนักหน่อยๆ ฟินนจะตาย คิคิ” 

 

     “ดูละครมากไปรึเปล่าวะ แล้วไม่คิดว่าพี่จะจีบภีมบ้างรึไง”

 

     “ว้ายตายแร้วววว อย่าพูดอย่างนั้นสิเดี๋ยวผมหวั่นไหวน้า ” ภีมบิดตัวม้วนอย่างเขินอาย

 

     “หึ ขี้อ่อย”

 

     เฮ้ยยยย

 

     ภาพสะดุ้งตัวหันหลังขวับไปมองคนที่เขากำลังพูดถึงกัน อยู่ดีๆก็โผล่เข้ามาจากข้างหลังเล่นเอาเขาตกอกตกใจหมด

 

     “คุณมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

     “ก็ตั้งแต่ที่คุณกับไอ้ภีมเริ่มนินทาผม” ภาพรู้สึกเหมือนตอนเด็กๆที่แอบลอกข้อสอบแล้วครูจับได้ไม่มีผิด แต่ทำไมต้องรู้สึกอย่างนั้นด้วยวะ ไอ้เด็กภีมต่างหากที่เป็นคนเริ่มชง

 

     “ใครนินทา ไม่มี๊ เนอะภีมเนอะ เนอะๆ” เมื่อไม่รู้จะแก้เขินยังไงภาพจึงหันไปหาตัวช่วย แต่เด็กภีมมันไม่สนใจทำเป็นเมินหันไปเช็ดๆขัดๆโต๊ะอยู่นั้นแหละ นี่โต๊ะไม่ใช่ต้นตะเคียนขอหวยนะเว้ย ถูอยู่นั้นแหละ จะถูจนเลขขึ้นเลยรึไงวะ ทำไมไม่มาช่วยกันก๊อนนน

 

     “โอ๊ะ นึกได้ว่าต้องรีบปั่นงาน ไปทำงานดีกว่า” พูดเสร็จก็เดินไปนั่งที่ประจำเปิดโน้ตบุ้คขึ้นมาทำงานแก้เขิน ตีมึนทำเมินนี่แหละของถนัดเขาล่ะ

 

     “หึ” คนถูกเมินส่งเสียงในลำคอก่อนจะเดินมาเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วนั่งลงพร้อมหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด คุณลุงจะตามมาทำไมครับ คนเขาอุส่าแกล้งเมินแล้วนะเว้ย

 

     “คุณมานั่งตรงนี้ทำไม” ภาพอดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้



     “นี่ร้านผม ผมจะนั่งตรงไหนก็ได้” พูดพร้อมพ่นควันสีเทาใส่หน้าเขา ภาพนั่งนิ่งส่งสายตาเอือมแสนเอือมไปให้คนตรงหน้าที่ยังทำไม่รู้สึกรู้สาเหมือนกับเขาเป็นแค่ภาพอากาศไม่มีตัวตน ช่างเถอะ เมินแล้วก็เมินให้สุดนั่งทำงานต่อดีกว่า

 

     ถึงจะคิดอย่างนั้นก็เถอะ แต่ไอควันสีเทาๆที่ถูกพ่นออกมาใส่หน้าเขาอย่างต่อเนื่องแม่งโคตรรบกวนสมาธิเลยให้ตาย ตอนนี้ภาพแสบตาไปหมด กระพริบตาถี่ยิบเพราะดูเหมือนตาลุงนี่จะจงใจพ่นใส่หน้าเขาเป็นพิเศษ แต่พอภาพทนไม่ไหวหันไปจะด่าก็ทำเป็นหันไปสนใจมวลแมกไม้รอบตัวซะงั้น

 

     กวนตีน

 

     หันมามองหน้าเขาแล้วกระตุกยิ้มมุมปากอีกที

 

     แม่งง

 

     “นี่คุณเราเคยรู้จักกันรึเปล่า” ภาพเอ่ยถามดึงความสนใจจากคนตรงหน้า

 

     “ทำไม” ตาลุงหันมาพร้อมขมวดคิ้วทำหน้าสงสัย

 

     “แล้วคุณมาทำร้ายชั้นทำไม”

 

     “…”

 

     “…”

 

     “พูดไร เพ้อหรอ”

 

     ไม่เก็ทมุกอีก แต่ก่อนบ้านไม่มีทีวีรึไงวะถึงไม่รู้จักโฆษณารณรงค์เลิกบุหรี่ในตำนาน แก่อย่างนี้ก็ต้องเกิดทันดิ

 

     “หึๆ” นั้นไงแอบขำ แสดงว่าเก็ทสินะ หลอกให้เขาเงิบชัดๆ

 

     “แล้วนี่เขียนถึงไหนแล้ว บทน่ะ”

 

     “ก็ใกล้จะเสร็จแล้ว ทำไมหรอ”

 

     “เล่าให้ฟังหน่อย”

 

     “คุณไม่ต้องรู้หรอก ผมขี้เกียจเล่า”

 

     “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องมาถ่ายที่นี่”

 

     คิดว่าเป็นเจ้าของร้านแล้วทำอะไรก็ได้หรอ

 

     “เล่าก็ได้”

 

     “หึ” ภาพเกลียดเสียงหึของตาลุงนี่เสียจริง

 

     ภาพเริ่มเล่าเรื่อง คอนเซปที่ภาพคิดไว้คือชายฝรั่งผู้ที่พึ่งสูญเสียครอบครัวที่เป็นทุกอย่างไป จึงเดินทางมาที่ประเทศไทยเพื่อทำใจ คาดหวังว่าสภาพแวดล้อมใหม่ๆอาจจะเยียวยาหัวใจทำให้เขาดีขึ้น และเขาก็พบสิ่งที่ทำให้เขาดีขึ้นได้จริงๆ เขาตกหลุมรักกับผู้หญิงไทยคนหนึ่งที่ร้านบาร์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาขณะที่มานั่งเล่นคนเดียว เมื่อพวกเขาได้พูดคุยกันสายสัมพันธ์ก็เริ่มก่อตัวและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อเธอพาเขาไปเที่ยวในที่ต่างๆจนมันเกิดเป็นความรัก จนมีวันหนึ่งที่เด็กเสิร์ฟในร้านประจำของเขากับเธอทนไม่ไหว จึงถามว่าทำไมเขาถึงเอาแต่พูดคุยและยิ้มอยู่คนเดียว ทำไมถึงสั่งอาหารและเครื่องดื่มสำหรับคนสองคน มันเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เขาตระหนักว่า ผู้หญิงที่เขารักไม่มีอยู่จริง ชายฝรั่งพยายามหาคำตอบ สุดท้ายเขาจึงไปหาจิตแพทย์ในคลินิกเล็กๆแห่งหนึ่ง และพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นสิ่งที่เขาคิดขึ้นมาเองเพื่อปลอบใจตัวเองจากการสูญเสียต่างหาก

 

     “รักไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าไม่รัก แต่เพราะคนที่รักไม่มีตัวตนอยู่จริง” ภาพเอ่ยขึ้นหลังจากที่เขาเล่าเรื่องจบ

 

     “คุณแต่งจากเรื่องจริงของคุณรึเปล่า”

 

     “หมายความว่าไง”

 

     “หมายความว่าเนื้อคู่คุณไม่มีอยู่จริงและคุณจะขึ้นคานไปตลอดชีวิตยังไงหล่ะ” โถ่ว นึกว่าลุงจะมีสาระหรือรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับความฝันเขาซะอีก เพราะเนื้อเรื่องก็ได้แรงบัลดาลใจและไอเดียบางส่วนมาจากชีวิตของภาพจริงๆนี่แหละ

 

     “แล้วถ้าคุณเป็นฝรั่งคนนั้นจะทำยังไงต่อ ถ้ารู้ว่าคนที่เรารักไม่มีตัวตน”

 

     “ทำใจยอมรับมันสิ คำตอบง่ายๆ ผมว่าคุณก็น่าจะรู้ดี” พูดพร้อมจ้องเข้ามาในดวงตาของเขาเหมือนกับจะสื่อสารบางอย่าง

 

     “คุณพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง”

 

     “แล้วคุณถามแบบนี้หมายความว่ายังไงล่ะ” ยังจะมาย้อนเขาอีกตาลุงคนนี้

 

     “คุณตอบผมก่อนสิ”

 

     “ผมแค่รู้สึกว่าทุกครั้งที่คุณมองผมเหมือนคุณอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แล้วก็บังเอิญไปได้ยินที่คุณคุยกับเข้มวันนั้น”

 

     “แอบฟังนี่เอง”

 

     “ก็ประมาณนั้น” พูดพร้อมพ่นควันออกมาอีกรอบอย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะขยี้ดับบุหรี่แล้วล้วงข้อมือที่มีรอยสักรูปพระอาทิตย์สะดุดตาเข้าไปหยิบบุหรี่ในกล่องมาจุดเพิ่มอีกมวน ภาพจ้องมองคนตรงหน้า ปฏิเสธไม่ได้ว่าพี่หมอในลุคดิบๆอย่างนี้ก็ดูดีไม่หยอก

 

     “อยากจะเล่าออะไรให้ผมฟังมั้ย ” คนที่พึ่งพ่นควันจากบุหรี่มวนใหม่เอ่ยถามอีกครั้ง

 

     “คุณหล่ะ อยากฟังรึเปล่า”

 

     “ไม่”

 

     “…”

 

     “แต่ผมรู้ว่าคุณอยากเล่า”

 

     “…”

 

     “ เพราะฉะนั้นเล่ามาเถอะ ถ้ามันจะทำให้คุณเลิกทำหน้าเศร้าแบบนี้ทุกครั้งที่เราเจอกัน”

















#คุณในฝัน

ก่อนอื่นต้องขอโทษจริงๆค่ะที่มาช้าทั้งๆที่คิดว่าจะมาเร็วกว่านี้เเล้ว เรื่องของเรื่องคือฝุ่นไปดู Call me by your name มาค่ะ (ขอนอกเรื่องแป๊ป) เเล้วฝุ่นจมอยู่กับหนังไปสามวัน ดึงอารมณ์ตัวเองออกมาจากหนังไม่ได้ พอเขียนเเล้วมันกลายเป็นฟิลนิยายเเปลไปเลย ฝุ่นเลยต้องจัดการอารมณ์ใหม่เเล้วค่อยมาเขียนต่อค่ะ โถ่วชีวิต ไม่น่าเล้ยย



ตอนนี้ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องปมเท่าไหร่ จะเน้นไปที่การเดินเรื่องเเละความรู้สึกของตัวละครมากกว่าเนอะ อีกประมาน2ตอนน่าจะได้เฉลยปมทั้งหมดเเล้ว อย่างที่บอกว่านิยายเรามันช่างสั๊นสั้น ตอนหน้ามีเซอร์ไพร์กรุบกริบกรุบกรอบค่ะฝากลุ้นเเละติดตามไปพร้อมๆกันนะคะ



ปล.ทุกภาพทุกคำพูดของตัวละครจริงๆเราใบ้เหตุการณ์เเละคำตอบหลายๆอย่างไว้ในนั้นค่ะ ลองเดากันเล่นๆดูได้



- สีฝุ่น -




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 9 (12/3/2018) P.2
« ตอบ #39 เมื่อ: 12-03-2018 23:02:13 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 9 (12/3/2018) P.2
«ตอบ #40 เมื่อ12-03-2018 23:52:56 »

 :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 9 (12/3/2018) P.2
«ตอบ #41 เมื่อ13-03-2018 00:22:12 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 9 (12/3/2018) P.2
«ตอบ #42 เมื่อ13-03-2018 07:48:47 »

คุณทินนี่สนใจนุ้งภาพหรอออออออ o18

ออฟไลน์ เรื่องส่วนตัวนะ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 9 (12/3/2018) P.2
«ตอบ #43 เมื่อ13-03-2018 22:53:43 »

พี่ทินนี่อะไรยังไงคะ!!   :katai2-1: :-[ :impress2:

ออฟไลน์ สีฝุ่น

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 10 (15/3/2018) P.2
«ตอบ #44 เมื่อ15-03-2018 19:14:42 »


-  10  -

     


     ความฝันของคนเรามันเป็นสีอะไรกันนะ

 

     ภาพวาดเคยเห็นคนถกเถียงกัน

 

     บ้างบอกว่าขาวดำ บ้างบอกว่าเป็นภาพสี

 

     แต่ทำไมหลายคนถึงนิยามความฝันเป็นสีขาว

 

     เคยไหมเวลาดูหนังสักเรื่อง

 

     ฉากในฝันนั้นต้องมีฟิลเตอร์ฟุ้งๆสีขาวเต็มไปหมด

 

     เช่นเดียวกับฝันของเขา

 

     เต็มไปด้วยสีขาวแห่งความสุข

 

     ซึ่งค่อนข้างจะแตกต่างจากความจริงเล็กน้อย

 

     และหากถามว่าความจริงของภาพวาดเป็นสีอะไร

 

     เขาคิดว่าคงเป็นสีเดียวกับควันบุหรี่ที่กำลังลอยอบอวนอยู่ตรงหน้า

 

     ควันสีเทาหม่นที่ถูกพ่นออกมาจากชายที่เขาเหมือนจะรู้จักดีแต่ก็ไม่

 

     “กาลครั้งหนึ่งในความฝัน” ภาพเริ่มต้นเรื่องด้วยประโยคที่เหมือนกับนิทานสมัยเด็ก ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังได้อย่างดีโดยการนั่งนิ่งๆพร้อมพ่นควันบุหรี่ในมือต่อไปโดยไม่เอ่ยขัดการเล่าเของเขา

 

     ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหน รู้เพียงแค่ว่าพระอาทิตย์ที่เคยสาดแสงร้อนแรงตอนบ่ายแก่ๆกำลังย้อมสีท้องฟ้าเป็นสีแดงอมส้มเช่นเดียวกับตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก

 

     “แล้วคุณล่ะ เคยฝันถึงกันบ้างมั้ย” เอ่ยถามอีกฝ่ายขึ้นมาหลังจากที่เล่าจบ

 

     “เสียใจด้วยที่ต้องตอบแบบนี้ แต่ผมไม่เคย” ภาพวาดพยักหน้ากับตัวเอาเบาๆ เขายิ้มออกมาเพียงเล็กน้อยให้กับตัวเอง ทำใจไว้อยู่แล้วว่ามันคงไม่เป็นอย่างที่หวัง เพราะถ้าทินกรเคยฝันถึงกันจริงคงไม่ทำตัวเหมือนคนไม่รู้จักกันแบบนี้

 

     “ขอโทษด้วยถ้าทำให้คุณอึดอัด”

 

     “ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ จะมีใครที่เจอเรื่องประหลาดแบบนี้แล้วจะไม่คิดมากจนเป็นบ้าบ้าง”

 

     “หึหึ ใช่ ผมคิดมากจนจะเป็นบ้าเลยล่ะ”

 

     “อยากได้คำแนะนำจากคนหน้าเหมือนสักหน่อยมั้ย” ชายตรงหน้าพูดอย่างติดตลก

 

     “ถ้ามันเป็นคำแนะนำดีๆที่ไม่ใช่แบบกวนประสาทที่คุณชอบทำผมก็พร้อมรับฟัง”

 

     “ปล่อยมันไปซะเถอะ…ทุกอย่างเลย”

 

     “…”

 

     “การยึดติดทำให้เราเดินต่อไปไม่ได้ ผมไม่ได้หมายความว่าให้คุณลืมหรอกนะ เพราะฝันของคุณมันสวยงาม แต่อย่าลืมว่านี่คือความจริง”

 

     “…”

 

     “คุณกำลังปิดกั้นตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว ตัดโอกาสตัวเองที่จะมองความสวยงามของความจริง”

 

     “ผม…”

 

     “ผมไม่ได้เข้าใจความรู้สึกของคุณเท่าไหร่หรอกและผมก็ไม่ใช่พี่หมอของคุณด้วย แต่ผมคิดว่าคุณหมอคนนั้นก็คงไม่อยากให้คุณยึดติดกับเขาโดยที่ตัวเองไม่มีความสุข อย่าลืมว่าคุณอาจจะรักเขา แต่เขารักคุณในฝัน ไม่ใช่คุณที่นั่งอยู่ตรงนี้”

 

     คำพูดของทินกรคล้ายให้กำลังใจแต่ก็ต่อว่าอยู่กลายๆ แต่มันกลับเป็นคำปรึกษาที่ทำให้ภาพยอมรับกับอะไรหลายๆอย่างได้ดีขึ้น ถึงโอมเพื่อนของเขาจะเคยย้ำหลายต่อหลายครั้ง แต่ครั้งนี้มันต่างกัน อาจเป็นเพราะคนที่พูดเป็นผู้ใหญ่ที่ดูน่าเชื่อถือ หรืออาจจะเป็นเพราะเขามีหน้าตาเหมือนกับคนที่ภาพรัก มันถึงทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นพี่หมอเสียเองที่กำลังพูดกับเขาอยู่

 

     “ผมก็คิดไว้บ้างว่าจะพอ ตอนนี้คงต้องพยายามจริงจังแล้วล่ะ” ภาพเหม่อมองออกไปยังวิวเบื้องหน้า วัดอรุณยังสูงตระหง่านและดูสวยงามอย่างเช่นทุกวัน

 

     “เคยไปมั้ย” ทินกรเอ่ยถาม

 

     “ไม่เคย อยากไปแต่ไม่มีโอกาสสักที แล้วคุณล่ะ”

 

     “ไม่เคยเหมือนกัน แปลกนะคนเรา มีของสวยงามอยู่ตรงหน้าแท้ๆแต่กลับละเลยมัน”

 

     เหมือนกับเขาตอนนี้รึเปล่า

 

     “คนส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของสิ่งที่มีอยู่กันสักเท่าไหร่”

 

     “ไปกันมั้ย”



     “หืม” ภาพวาดหันไปมองหน้าอีกคนอย่างสงสัย

 

     “พรุ่งนี้ว่างมั้ย ไปวัดอรุณกัน”

 

 

 

 

 

 

     ไม่รู้ว่าคุยกันอีท่าไหนทั้งภาพวาดและทินกรถึงได้มายืนอยู่ที่ท่าเรือข้ามฟากในตอนนี้ แถมยังใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนสีซีดเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมายเสียอีก จะต่างกันก็แค่ตรงที่กางเกงของคนตัวสูงเป็นขายาวแต่ของเขาเป็นขาสั้นถึงเข่า

 

     อย่างนี้มันก็เหมือนมาเดทกันเลยน่ะสิ

 

     ให้ตายเถอะคนมองกันเต็ม

 

     ไม่ทันได้คิดอะไรมากมายเรือก็แล่นเข้ามาเทียบท่า โชคยังดีที่วันนี้ไม่ใช่วันหยุดและชั่วโมงเร่งด่วนผู้คนจึงไม่เบียดเสียดกันเท่าไหร่นัก ภาพวาดหาทำเลดีๆที่น้ำไม่น่าจะกระเด็นโดนหน้าเขาให้คันยุบยิบเล่นก่อนจะนั่งลงไปพร้อมเตรียมกล้องในมือเพื่อเก็บภาพ เขาชอบถ่ายภาพแต่ไม่ใช่ว่าจะถ่ายสวย แค่ชอบถ่ายเก็บไว้เป็นความทรงจำเสียมากกว่า หันไปมองคนข้างกายที่ไม่ได้พูดอะไรมากมายเพราะมัวแต่หัวเสียกับน้ำที่กระเด็นโดนตัวเป็นระยะๆ

 

     ก็ใครใช้ให้เดินมาช้าเองล่ะ ทำเลดีๆก็ถูกจองไปหมดน่ะสิ

 

     ภาพอดขำกับภาพตรงหน้าไม่ได้ก่อนยกกล้องคู่ใจขึ้นมาถ่ายรูปมนุษย์ลุงหัวร้อนแต่ก็ไม่วายโดนหันมาค้อนเสียหนึ่งที

 

     หวงตัวชะมัด

 

     ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็มาถึงวัดอรุณในตอนเกือบเที่ยง แดดประเทศไทยก็ร้อนเสียจนเดินไปแค่ไม่กี่ก้าวเหงื่อก็ไหลซึมเสียแล้ว เขาแทบลืมตาสู้แสงไม่ได้

 

     พรึ่บ

 

     หมวกแก้ปสีขาวถูกสวมลงบนหัวของภาพจากคนตัวสูงขางกาย

 

     “ก็เห็นว่าแดดมันร้อน” ตอนแรกที่เจอไม่เห็นตาลุงเขาใส่เลย แต่ก็นะ ทำตัวน่ารักเป็นเหมือนกันนี่หว่า

 

     “แล้วคุณไม่ใส่หรอ”

 

     “ไม่อะไม่ร้อน”

 

     “ขอบคุณนะ” ภาพหันไปอมยิ้ม ทำเป็นปากแข็ง ก็เห็นอยู่ว่าเหงื่อออกมาตามไรผมเต็มไปหมด แต่ก็นะให้แล้วให้เลยไม่คืนให้หรอก อย่ามาบ่นว่าร้อนทีหลังแล้วกัน

 

     “กลัวมีคนเป็นลมแล้วลำบากคนแถวนี้อีก”

 

     “เลิกล้อเรื่องนี้ได้รึยัง วันนี้ผมนอนมาพอแล้วไม่เป็นลมให้เป็นภาระคุณอีกหรอก”

 

     “ก็ไม่ได้ว่าอะไร”

 

     “หรออออ”

 

     พวกเขามุ่งหน้าไปที่พระปรางค์ใหญ่ซึ่งเป็นจุดสำคัญของวัด เห็นว่าพึ่งได้รบการบูรณะใหม่ ถึงกระเบื้องจะเสียหายจากปูนที่ใช้ในการบูรณะครั้งก่อนแต่ก็ถ้ามองรวมๆแล้วถือว่าสวยมากเลยทีเดียว ภาพวาดเคยเห็นตามโซเชี่ยลมีเดียของชาวต่างชาติที่มาถ่ายรูปกัน ภาพถ่ายทุกอย่างสวยงามมากแถมยังดูไม่ร้อนเหมือนตอนนี้อีกต่างหาก คิดแล้วก็ยกมือเช็ดเหงื่อไปยกกล้องเก็บภาพตามมุมต่างๆไป บนพระปรางค์สามารถมองเห็นวิวข้างล่างที่สวยงามมีลมพัดผ่านมาทำให้คลายร้อนได้ในระดับหนึ่ง หันไปมองคุณลุงอีกคนยืนขมวดคิ้วเป็นยักษ์เฝ้าวัดไปได้

 

     “ร้อนก็บอกมาเถอะคุณ เอาหมวกคืนมั้ย” ภาพถามออกไปด้วยความหวังดี

 

     “ทนได้” ยังจะเก็กต่ออีก เขาไม่สนด้วยแล้วนะ หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายวิวถ่ายวัดต่อไปเรื่อยๆ มองเห็นคนตัวโตยกสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมาถ่ายเช่นกันก่อนที่จะหันมาทางเขาแล้วกดชัตเตอร์ที่หน้าจอ ภาพยิ้มกว้างให้คนตรงหน้าพร้อมยกกล้องขึ้นมาถ่ายอีกฝ่ายบ้างเลยกลายเป็นพวกเขากำลังถ่ายรูปของกันและกันโดยที่อีกคนถ่ายรูปของอีกคนอยู่

 

     รูปออกมาดูดีใช้ได้เลย

 

     “ไหนคุณเอารูปมาดูหน่อย” ภาพวิ่งไปชะโงกหน้าดูหน้าจอโทรศัพท์ของอีกคน

 

     ทำไมมันถึงย้อนแสงได้ขนาดนี้ !

 

     “มองไม่เห็นอะไรเลย คุณไม่คิดจะปรับแสงเลยหรอ”

 

     “ปรับไม่เป็น” คำตอบง่ายๆที่ดูแล้วเหมือนว่าจะไม่ได้โกหก ซื้อมือถือราคาแพงมาซะเปล่าแต่ดันใช้ฟังก์ชั่นไม่คุ้มเสียได้

 

     “มา เดี๋ยวผมสอน เวลาจะถ่ายแล้วภาพมืดคุณก็แค่กดโฟกัสตรงคนแบบนี้ แล้วถ้ายังไม่สว่างพอคุณก็กดเลื่อนปรับแสงตรงนี้เพิ่ม แค่นี้เป็นไง ง่ายๆ” หันมองหน้าของอีกคนที่กำลังโน้มลงมามองหน้าจอ

 

     ใกล้เกินไปรึเปล่านะ

 

     หน้าร้อนแปลกๆแหะ

 

     ในวัดในวา อย่าคิดอะไรบาปๆสิวะไอ้ภาพ

 

     “อะ ทีนี้มาลองถ่ายใหม่” ภาพดึงตัวเองกลับมาจากความคิด

 

     “ไม่อะ ขี้เกียจ”

 

     “อะไรกัน อย่างงี้ตัวเองก็มีรูปดีๆอยู่คนเดียวอะดิ” ทินกรทำหน้าไม่สนใจแต่มือเลื่อนเปิดกล้องหน้าหันมาทางเขาสองคนพร้อมชูสมาร์ทโฟนขึ้นสุดแขน

 

     “งั้นก็ถ่ายใหม่ แบบนี้คุณเห็นตัวเองจะได้ไม่ต้องโวยวายอีก” ภาพวาดเขยิบตัวเข้าไปในเฟรมที่มีใบหน้าของอีกคนนึงอยู่ก่อนแล้ว

 

     “อย่างนี้ก็เป็นรูปคู่อะดิ”

 

     “จะได้รู้ไงว่ามาด้วยกัน” ภาพไม่ได้ติดใจอะไรนอกเสียแต่สงสัยนิดหน่อยว่าพวกเขามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร จริงๆแล้วเขาสองคนก็ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นนัดกันออกมาเที่ยวแล้วถ่ายรูปคู่เซลฟี่เลยด้วยซ้ำ

 

     คิดแล้วก็แปลกดี

 

     “ยิ้มหน่อยดิคุณ” ภาพที่ฉีกยิ้มกว้างให้กล้องกล่าวตำหนิอีกคนนึงที่ยังปั้นหน้าเข้มอย่างกับมาถ่ายบัตรประชาชน

 

     “ไม่อะ แบบนี้หล่อกว่า” ถึงจะแอบหมั่นไส้เล็กน้อยถึงปานกลางแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตาลุงนี่ดูดีจริงๆ

 

     หืมม วันนี้โกนหนวดมาด้วยแหะ

 

     ถึงว่าทำไมหล่อกว่าปกติ

 

     หลังจากถ่ายรูปเสร็จพวกเขาก็เดินมาทำบุญต่อ ซึ่งจริงๆแล้วควรจะแวะทำบุญก่อน แต่ภาพคิดว่ารีบขึ้นไปถ่ายรูปตอนคนเยอะๆแล้วค่อยแวะทำบุญทีหลังน่าจะเป็นความคิดที่ดีกว่า ไหว้พระเสริมสิริมงคล เผื่อบางทีชีวิตเขาอาจจะดีขึ้น

 

     “เขาว่ากันว่าไหว้พระวัดอรุณชีวิตจะรุ่งโรจน์ทุกวันคืน”

 

     “เขาน่ะใคร”

 

     “กูเกิ้ล”

 

     “หึ” หึอีกแล้ว ขอซื้อคำนี้ไปทิ้งได้มั้ย

 

     “ผมไม่อยากได้ชีวิตที่รุ่งโรจน์หรอก ขอแค่ชีวิตที่มีความสุขก็พอแล้ว”

 

     “ลุงก็พูดได้หนิ เป็นเจ้าของร้านทำเลทองซะขนาดนั้น แค่นี้ก็มีเงินใช้พอแบบไม่ต้องดิ้นรนแล้ว”

 

     “มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น”

 

     “แล้วมันยากยังไง”

 

     “กว่าจะได้ร้านนี้มามันก็ลำบากอยู่อะนะ ล้มลุกคลุกคลานมาก็เยอะ ผมไม่ได้เรียนต่อมหาลัย ใช้เงินก้อนสุดท้ายของครอบครัวมาลงทุนกับร้านเพื่อใช้หนี้ โชคดีหน่อยที่มีที่ทำเลดีๆอยู่ โดนโกงปัญหาเยอะแยะสารพัด แต่ก็ภูมิใจนะ ไม่คิดว่าตัวเองจะมาอยู่ถึงจุดนี้เหมือนกัน” ภาพไม่คิดมาก่อนเลยว่าตาลุงต้องดิ้นรนขนาดนี้ เขานึกว่าเป็นพวกลูกคนมีเงินหาเรื่องไม่ทำงานเพราะรักอิสระเสียอีก

 

     “คุณเก่งนะ ครอบครัวต้องภูมิใจในตัวคุณมากแน่ๆ”

 

     “ถ้ายังอยู่เห็นก็ดีสิ…ใช่ เสียหมดแล้วน่ะ” ภาพวาดอึ้งไปสักพัก ตัวเขาก็เสียแม่ไปเช่นกัน ส่วนพ่อก็แต่งงานมีครอบครัวใหม่ โชคดีที่เข้ากันได้แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองมีปม ทำไมถึงไม่มีครอบครัวที่พร้อมสมบูรณ์แบบอย่างคนอื่นเขา นั้นคือสื่งที่ภาพคิดมาตลอด แต่พอหันมองผู้ชายตรงหน้าแล้วเขาก็รู้เลยว่าปัญหาของอีกคนใหญ่กว่าเขานัก อย่างน้อยภาพก็มีพ่อและพี่สาว แต่คนตรงหน้านี่สิ สูญเสียคนที่รักแต่ก็ยังต้องพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวใช้หนี้อีก

 

     คนเราเข้มแข็งขนาดนี้ได้ยังกันนะ

 

     หรือจริงๆแล้วก็เจ็บปวดแต่ต้องพยายามทำเป็นเข้มแข็ง

 

     ภาพเอื้อมมือไปจับมือหน้าของอีกคน กุมไว้เพื่อส่งกำลังใจไปให้

 

     พรึบ

 

     แต่ก็โดนสะบัดออก

 

     “ในวัดในวาคุณยังหลอกแต๊ะอั๋งผมอีกหรอ ใจบาปจริงๆ”

 

     หมดอารมณ์ซึ้งเพราะความกวนตีนของคนตรงหน้านี่แหละให้ตายเถอะ

 

     “ลุงงงงงงง”

 

     “เรียกใครลุงหะ อย่ามาทำเป็นเด็กแอ๊บแบ๊ว”

 

     “ผมไม่ได้เรียกเพราะแอ๊บ แต่เพราะคุณหน้าแก่เหมือนลุงต่างหาก”

 

     “ขี้เกียจเถียงกับเด็ก”

 

     “ขี้เกียจเถียงกับคนแก่เหมือนกัน นี่ๆลุงถ่ายรูปกับยักษ์ให้หน่อย” ภาพยื่นกล้องไปให้อีกคนเมื่อพวกเขาเดินผ่านซุ้มประตูที่มียักษ์สองตนยืนปักหลักอยู่ ภาพเดินไปยืนตรงกลางพร้อมทำท่าแบบเดอะฮักส์จอมพลังตัวเขียว คนที่ถูกเรียกว่าเด็กอ้าปากพร้อมเกร็งหน้าโหดสุดชีวิต

 

     ถึงบอกว่าเด็กไงเล่า

 

     แชะ

 

     “ไหนดูดิๆ มืดเหมือนเดิมอีกรึเปล่า” วิ่งเข้ามาชะโงกหน้าดูภาพในกล้อง

 

     “เห้ยใช้ได้นี่นักเรียน สกิลพัฒนาขึ้นนะ มาๆไปยืนเดี๋ยวคุณครูถ่ายให้” พูดพร้อมผลักอีกคนไปยืนในจุดที่ตัวเองพึ่งโพสถ่ายไปพร้อมกำกับท่าทางให้คนตัวสูงทำตามเสียอีก แต่ก็ไม่ได้รับความร่วมมือเสียเท่าไหร่เพราะอีกคนจะยืนนิ่งเก็กขรึมเพียงท่าเดียว ภาพวาดยอมแพ้ถ่ายไปหลายช็อต มองดูรูปที่พึ่งถ่ายอีกคนไปก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

 

     เก็กขรึมแข่งกับยักษ์หรืออย่างไร

 

     ท้องที่มีแค่วิญญาณขนมปังในตอนเช้าเริ่มประท้วงภาพวาดและทินกรจึงวางแผนมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารที่ใกล้ที่สุดเป็นจุดหมายต่อไป แต่คนตัวสูงแนะนำว่าถ้าข้ามฝั่งกลับมาจะมีอาหารน่ากินมากกว่าพวกเขาจึงตัดสินใจหิ้วท้องรออีกหน่อยก่อนที่จะนั่งเรือกลับมา ร้านที่ทินกรพามาเป็นร้านอาหารที่ค่อนข้างดังและบรรยากาศดี เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติ เขาสั่งอาหารง่ายๆมาสี่ถึงห้าอย่างกับข้าวเปล่าคนละสองจานเพราะความหิวล้วนๆ

 

     “ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเที่ยวกับคุณแบบนี้”



     “ทำไมล่ะ”

 

     “ก็คิดว่าคุณไม่ชอบผม”

 

     “หึ คิดมาก”

 

     “แสดงว่าคุณชอบผมใช่ม้า”

 

     “นี่ก็เพ้อเจ้อ”

 

     “เนี่ย เพราะเอาแต่เหน็บกันแบบนี้ไงผมถึงได้คิดว่าลุงไม่ชอบผม”

 

     “ผมถึงบอกไงว่าคุณน่ะคิดมาก”

 

     ยอกย้อนเสียจริงตาลุงคนนี้

 

     รอไม่นานอาหารที่สั่งก็ค่อยๆทยอยมาเสิร์ฟ มีแต่ของหน้ากินทั้งนั้นเลยแหะ หรือว่าเขาหิวจนตาลายเห็นทุกอย่างแล้วดูน่ากินไปเสียหมด แต่ดูเหมือนอีกคนจะหิวมากกว่าเขามากนักถึงได้สั่งผัดไทแยกมาส่วนตัวอีกจาน

 

     “คุณกินเยอะจังเนอะ”

 

     “ก็ผมหิว” อืม ก็ถูกของเขา

 

     กินจนอิ่มภาพถึงกับอยากเรอออกมาเสียงดังแต่ก็ต้องเก็บไว้ในคอแล้วค่อยๆปล่อยออกมาเนียนๆแทน อิ่มมากเลย อาหารก็อร่อย เหลือบมองอีกคนที่กำลังจัดการกับผัดไทของตัวเองแล้วก็ยอมแพ้ ตาลุงนี้กินจุจริงๆ

 

     “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ภาพหัวเรอะเสียงดังเมื่อพริกป่นที่ตาลุงกำลังตักใส่เพิ่มลงไปในจานโดนลมพัดปลิวจนเข้าตาคนตัวสูง

 

     “โอ้ยยยย” มือหนาควานหาแก้วน้ำเปล่าไปทั่วโต๊ะ ภาพจึงใจดียื่นแก้วไปให้คนตรงหน้าใช้ล้างตา ดูเหมือนจะแสบมากเพราะทินกรดันตักพริกไปซะเยอะเชียว

 

     “ซี้ดดดด แม่งเอ้ยคอนแทคหลุดเลย” บ่นอย่างหัวร้อนพร้อมหยิบเศษซากคอนแทคเลนส์ออกจากดวงตาและเงยหน้าขึ้นมามองภาพวาดที่กำลังหัวเราะร่า

 

     แต่ภาพก็ต้องหยุดเสียงหัวเราะไป

 

     ไม่ใช่เพราะหน้าดุๆที่อีกคนทำใส่เขา





     แต่เป็นเพราะ

 

     “สีตาคุณ..”

 

     “เชี่ยเอ้ยยย”

 

     “ทำไมมันถึงเป็นสีน้ำตาลอ่อน”

 

     เหมือนกับของพี่หมอ

 

     ภาพนิ่งอึ้ง

 

     “ช่วยหยิบทิชชู่ให้ก่อน ซี้ดดด” แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่สนใจเขามากนะ

 

     “…” ภาพยังคงนิ่ง

 

     “คุณ!!”

 

     “หะ อ่อ เอ่อ ทิชชู่ใช่มั้ย อะนี่” ภาพที่พึ่งตั้งสติได้รีบหยิบทิชชู่บนโต๊ะส่งไปให้อีกคนได้เช็ดหน้าเช็ดตา

 

     “แม่งเอ้ยแสบชิบหาย”

 

     “ตาคุณ”

 

     “ดีขึ้นแล้วไม่เป็นไร” อีกฝ่ายยังใช้ทิชชู่ปิดตาข้างที่แสบเอาไว้

 

     “ไม่ ผมหมายถึงทำไมมันถึงเป็นสีน้ำตาล”



     “ก็เพราะผมตาสีน้ำตาลไง”

 

     “แล้วคุณใส่คอนแทคให้ตาเป็นสีดำทำไม”

 

     “รำคาญ คนชอบมาทักตั้งแต่เด็กเรื่องสีตาว่าเป็นลูกครึ่งรึเปล่า ขี้เกียจตอบเลยใส่คอนแทคสีดำจะได้เลิกถามกันสักที จริงๆก็เพราะสายตาสั้นด้วยแหละ” เหตุผลสมกับเป็นทินกร

 

     หึ

 

     พอทุกอย่างเริ่มจะเข้าที่เข้าทาง

 

     พอภาพวาดเริ่มจะทำใจยอมรับ

 

     โลกก็ดันไม่อนุญาตให้เขาใช้ชีวิตแบบปกติสุขซะได้

 

     ภาพไม่ได้พูดอะไรมากมาย

 

     อาจจะเป็นเพราะเขายังสับสนอยู่

 

     แต่หลังจากที่พวกเขาแยกกันที่สถานีรถไฟ

 

     คืนนั้นภาพฝัน

     

     .



     .





     .

 

 

 

 

 

     ‘ฮัลโหลพี่หมอผมมาถึงร้านแล้วนะ พี่อยู่ไหน’

 

     ‘ใกล้ถึงแล้วครับ วาดเข้าไปก่อนเลยพี่จองไว้แล้ว’

 

     ‘โอเค เจอกันที่โต๊ะครับ’

 

     ‘สวัสดีครับ’

 

     ‘สวัสดีค่า ลูกค้ามากี่ท่านค่ะ’

 

     ‘สองครับ ผมจองโต๊ะไว้แล้ว’

 

     ‘สักครู่นะคะ’

 

     ‘ครับ’

     

     ‘ใช่คุณทินกรรึเปล่าคะ’



     .



     .



     .

 

     ‘ใช่ครับ ทินกร’













      #คุณในฝัน





ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 10 (15/3/2018) P.2
«ตอบ #45 เมื่อ15-03-2018 19:39:22 »

อยากเรียนหมอหรือเปล่า

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 10 (15/3/2018) P.2
«ตอบ #46 เมื่อ15-03-2018 20:13:59 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ความฝันกับความจริง

บรรจบเชื่อมโยงแล้วสินะ

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 10 (15/3/2018) P.2
«ตอบ #47 เมื่อ15-03-2018 23:13:37 »

เป็นตุเป็นตะเลยภาพเอ๊ยยยยยยยย

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 10 (15/3/2018) P.2
«ตอบ #48 เมื่อ15-03-2018 23:31:26 »

คุณทินกรเป็นคนในฝันจริงๆ ด้วยสินะ
ชัดขนาดนี้ทั้งหน้าเหมือน สีตา

ถึงจะใช่ไม่ใช่ เอาไว้ก่อน แต่ตัดกับมาในชีวิตจริง
ไปเที่ยววัด ไปกินข้าวกันสองคน มันเหมือนเดทเลยเนอะ ฮ่าๆ
แล้วเวลาอยู่ด้วยกัน รู้สึกธรรมชาติดีอ่ะ เข้ากันได้
ถึงคนพี่จะกวนทีนก็เถอะ 555

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 10 (15/3/2018) P.2
«ตอบ #49 เมื่อ16-03-2018 23:44:01 »

พอจะปล่อยก็เจอเรื่องให้คิดเพิ่มอีก โหยยย ใครกันน้ออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 10 (15/3/2018) P.2
« ตอบ #49 เมื่อ: 16-03-2018 23:44:01 »





ออฟไลน์ สีฝุ่น

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 11 (25/3/2018) P.2
«ตอบ #50 เมื่อ25-03-2018 23:02:33 »





- 11 -





เฮือกก

 

 

ภาพวาดสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาในกลางดึก หัวใจบีบรัดแน่นเสียจนต้องเอามือขึ้นเมากุมหน้าอกเอาไว้ เขาขยำเสื้อแน่น หอบหายใจแรง สมองพยายามทบทวนความทรงจำในฝันที่พึ่งผ่านมา แต่ดูเหมือนยิ่งนึกถึงเท่าไหร่หัวใจของเขาก็ถูกบีบรัดขึ้นเท่านั้น ภาพไม่สามารถบรรยายความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ออกมาได้ ร่างกายเหมือนถูกใครสักคนฟาดอย่างหนักด้วยความจริงที่คาดไม่ถึง มันอึดอัดแต่ดวงตากลับไม่อนุญาตให้น้ำตาไหลออกมาเพื่อระบายความอัดอั้นที่มี

 

 

มันหน่วง

 

 

แต่ก็ร้องไห้ไม่ออก

 

 

นาฬิกาตรงผนังกำแพงบอกเวลาตีสี่กว่า เขาหลับไปได้สักพักแต่ไม่รู้สึกเหมือนได้นอนเลยด้วยซ้ำ ภาพของคนสองคนในร้านอาหารยังวนเวียน รอยยิ้มอบอุ่นคู่นั้นที่ตอนนี้กลับมีภาพของอีกคนซ้อนทับขึ้นมา

 

 

ทินกรคือพี่หมอจริงๆ

 

 

ไม่จำเป็นต้องเดา ไม่จำเป็นต้องลังเล สับสน หรือคิดสงสัย ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ทุกอย่างที่เขาเจอทั้งในความจริงและความฝันได้ให้คำตอบทุกอย่างแก่ภาพแล้ว

 

 

แล้วจะทำอย่างไรต่อไป

 

 

นั้นคือคำถามที่เขาถามตัวเอง

 

 

แต่ภาพก็ไม่อาจหาคำตอบของมันได้เลย

 

 

“ฮัลโหลโอม” เมื่อตัวเองไม่สามารถหาทางออกให้เรื่องราวนี้ได้ ภาพคิดถึงเพียงเพื่อนสนิทที่เป็นที่ปรึกษาตลอดมา

 

 

“สัส มึงโทรมาทำไมตอนนี้วะไม่หลับไม่นอน”

 

 

“มึงมาหากูหน่อยได้มั้ย” ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ปลายสายชะงักไปก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

 

 

“ภาพ มึงเป็นอะไร”

.

.

.

 

 

“กูไม่ไหวแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเพื่อนรักของเขาก็มาถึง ต้องขอบคุณถนนในกรุงเทพตอนเกือบรุ่งสางที่มีรถสัญจรไม่มากนักทำให้เขาไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวนานเกินไป

 

 

“มึงแน่ใจแล้วใช่มั้ยว่าพี่หมอคือเฮียทินจริงๆ” โอมถามขึ้นหลังจากที่ภาพเล่าทุกอย่างให้ฟังโดยละเอียด

 

 

“ทุกอย่างมันใช่หมดเลยมึง กูก็ไม่รู้จะพูดยังไง ครั้งแรกที่กูรู้ชื่อเขากูก็แค่รู้สึกคุ้นเคย แต่พอเรื่องทุกอย่างมันมาถึงจุดนี้ กูก็รู้แล้วว่าทำไมกูถึงได้คุ้นนัก ”

 

 

“…”

 

 

“ในที่สุดกูก็หาเจอ แต่ทำไมกูแม่งถึงไม่รู้สึกดีใจเลยวะ”

 

 

“มึงถามตัวเองก่อนนะว่ามึงรักใคร”

 

 

“พี่หมอ” ภาพตอบไปได้ทันทีแบบไม่ต้องคิด

 

 

“แล้วถ้าเฮียทินคือพี่หมอแสดงว่ามึงก็รักเฮียทินด้วยงั้นหรอ”

 

 

“เปล่า กูรักแค่พี่หมอ”

 

 

“นั้นแหละสิ่งที่กูอยากบอก”

 

 

“…”

 

               

“เฮียทินจะใช่พี่หมอแล้วยังไง ไม่ใช่แล้วยังไง”

               

 

“…”

 

“เฮียเขาไม่ได้ฝัน ไม่ได้รับรู้อะไรด้วยเลย พี่หมอก็ยังคงเป็นพี่หมอ เฮียทินก็ยังเป็นเฮียทิน นั้นคือตัวของเฮียเขา เฮียทินเป็นพี่หมอให้มึงไม่ได้ กูว่ามึงก็รู้ดี”

 

 

“อืม กูเข้าใจ”

 

 

“ทีนี้กูอยากจะถามอีกอย่าง”

 

 

“…”

 

 

“เป็นมึงคนนี้ที่รักพี่หมอ หรือเป็นมึงในฝันกันแน่ที่รักเขา”

 

 

บางครั้งการอยู่บนรอยแยกของความฝันและความจริงนานเกินไปก็ทำให้เราเริ่มสับสนว่าอะไรกันแน่ที่เป็นความจริง

 

 

“มึงคงต้องการเวลาทบทวนตัวเอง เดี๋ยวกูลงไปซื้อน้ำเต้าหู้ข้างล่างให้แล้วกัน กินอะไรร้อนๆคลายเครียด”

 

“โอเค ขอบคุณมึง” โอมลุกขึ้นคว้ากระเป๋าและกุญแจหอก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องไป

 

 

“กูยังคิดถึงรอยยิ้มของภาพคนเดิมอยู่นะ”

 

 

 

 

 

 

 

เวลาเที่ยงมาถึงโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัว ภาพนั่งเหม่อคิดอะไรหลายๆอย่างอยู่ริมระเบียง ไม่น่าเชื่อว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้มากว่าหกชั่วโมงแล้ว รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แดดร้อนจ้าส่องลงมาจนเขาทนไม่ไหวนั้นแหละถึงได้เดินกลับเข้าห้องมา

 

ไอ้โอมยังไม่ทิ้งไปไหนเมื่อเขาเอ่ยปากว่ายังไม่อยากอยู่คนเดียว มันนอนแผ่หลาหลับสนิทอยู่บนเตียงนอนของเขา ภาพแอบรู้สึกผิดนิดหน่อยที่โทรไปขัดเวลานอนของเพื่อนขี้เซา แต่ตอนนั้นภาพนึกถึงใครไม่ได้เลยนอกจากไอ้เพื่อนบ้าๆบอๆคนนี้

 

 

มันเป็นเพื่อนที่ดี

 

 

และเขาก็นึกขอบคุณอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้มีเพื่อนแบบมัน

 

 

ไอ้โอมตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจเหมือนรับรู้ได้ว่ากำลังถูกใครนินทาอยู่ในใจ มันเหลือบมองเขาก่อนจะเอ่ยถาม

 

 

“เล่นเอ็มวีเสร็จแล้วหรอมึง”

 

 

“ถ้าฉากเมื่อกี้เป็นหนังกูคงได้ออสการ์ ”

 

 

และเป็นเพื่อนที่ทำให้เขายิ้มได้เสมอ

 

 

“แล้วยังไง มึงหิวยัง กูนี่ไส้จะขาด น้ำเต้าหู้ไม่ได้ช่วยเติมเต็มท้องกูเลย”

 

 

“สรุปที่ตื่นมาเพราะว่าหิวถูกมั้ย”

 

 

“ถูกต้องนะจ๊ะ”

 

 

“งั้นก็ออกไปหาอะไรกินกัน เสร็จแล้วก็พากูแวะร้านกล่อมกรุงด้วย” โอมหันหน้ามามองแบบปิดความสงสัยไว้ไม่มิด

 

 

“กูแค่อยากจะไปเจอเขา”

 

 

 

 

 

 

แดดร้อนจ้าแต่ก็คงไม่ร้อนเท่าหัวของเจ้าของร้านบาร์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในตอนนี้ ภาพกับโอมได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงทางเข้าเมื่อเห็นทินกรยืนคุยโทรศัพท์กับใครสักคนด้วยความร้อนรน คนตัวสูงดูเกรี้ยวกราดกว่าที่เคย

 

“แล้วเป็นอะไรกันมากรึเปล่า อืม เค เดี๋ยวเฮียไปหา บอกไอ้ภีมว่าเตรียมตัวตายไว้เลย” กดวางสายเสร็จจึงหันมาเห็นพวกเขาสองคนที่ยืนอยู่

 

 

“โทษทีนะคุณ วันนี้ร้านปิด”

 

 

“อ่อ โอเค ไม่เป็นไร”

 

 

“พวกคุณมีใครมีรถมั้ย”

 

 

“ผมมีครับ” โอมตอบ

 

“ดี ว่างมั้ย กูยืมไปชลบุรีหน่อย”

 

 

“เกิดอะไรขึ้นหรอเฮีย”

 

 

“ก็ไอ้ภีมกับหยกอะดิ ไปรับน้องแต่ขับรถไปเองแล้วเสือกรถชน กูเลยจะตามไปหา”

 

 

“แล้วเป็นไรกันมากมั้ย”

 

 

“ไม่เป็นไรมาก แต่มันบอกว่ารถยับอยู่ สัสเอ้ยรถกู”

 

 

“เอารถผมไปก็ได้เฮีย”

 

 

“เออแต้งกิ้วมากมึง” ทินกรเดินเข้ามาตบไหล่โอมเบาๆเพื่อแสดงความขอบคุณก่อนจะรับกุญแจและเดินไปเตรียมปิดร้าน

 

 

“เออว่าแต่ มีใครขับไปให้ผมได้บ้างมั้ย คือไม่อยากขับรถตอนอารมณ์ร้อนเดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุ”

 

 

“ไอ้ภาพเลย มันขับได้ โคตรใจเย็นเลย ผมติดงานไปไม่ได้ เนอะๆ” ไอ้โอมพูดพร้อมเอาศอกกระแทกแขนเขายิกๆ แถบยังลอบกระพริบตาส่งส่งสัญญาณให้เขาอีก ถึงจะงงๆแต่ภาพก็ตอบตกลงไป

 

 

“ผมขับให้ได้”

 

 

คนตัวสูงนิ่งเหมือนใช้ความคิดสักพักก่อนตอบตกลง

 

 

“โอเค ขอโทษที่รบกวน แล้วก็ขอบคุณมากโอม”

 

 

“ปิดร้านฟรีให้พี่เอกถ่ายหนังสักวันก็พอครับ”

 

 

“สัส”

 

 

“ฮ่าๆๆๆ”

 

 

 

รถยนต์ขนาดกลางมุ่งสู่ท้องถนน แม้ว่าตอนแรกคนที่นั่งข้างๆจะอารมณ์เสียเพราะการจารจรติดขัดจนรถแทบไม่ขยับแต่พอขึ้นทางหลวงพิเศษที่วิ่งได้ง่ายและรถไม่มากนักก็ดูเหมือนจะใจเย็นลง ทินกรกดวางสายเมื่อบอกกับน้องสาวของตนว่าออกมาได้ครึ่งทางแล้ว พร้อมถอนหายใจแรง

 

“คุณไม่ต้องกังวลมากหรอก ทุกคนปลอดภัยแล้ว”

 

 

“เห้ออออ ผมไม่น่าให้รถพวกมันไปเลย”

 

 

“อุบัติเหตุมันก็เกิดได้ตลอดนั้นแหละ ผมเชื่อว่าภีมก็ขับระวังแล้ว”

 

 

“ผมก็ไม่อยากจะโทษมันหรอกเพราะรู้ว่ามันก็ไม่อยากให้เกิดเหมือนกัน แต่งานนี้มันได้ล้างห้องน้ำทั้งเดือนแน่” ทินกรพูดติดตลกพร้อมหมายหัวไอ้เจ้าพนักงานเสิร์ฟตัวดีเอาไว้

 

 

ภาพรู้ดีว่าไอ้เด็กภีมเกลียดการล้างห้องน้ำขนาดไหน

 

 

งานนี้คงต้องขอไว้อาลัยล่วงหน้า

 

 

ภาพกดเปิดเพลงหลังจากที่เขาคิดว่าคนตัวสูงเข้าสู่อารมณ์ที่คงที่แล้ว เขาเป็นคนที่ไม่ชอบขับรถเงียบๆสักเท่าไหร่มันรู้สึกอึดอัดหน่อยๆ เพลงดิสนี่ย์ประจำรถของไอ้โอมดังขึ้น เหตุเป็นเพราะหม่ามี๊ของมันชอบเปิดให้ไอ้โอมฟังตั้งแต่เด็กจนมันชอบฟังไปซะงั้น พอมีเพลงดิสนี่ย์ออกมาใหม่ไอ้โอมก็โหลดมาฟังไว้เสียหมด

 

 

“คุณฟังได้มั้ย”

 

 

“ได้ ผมฟังได้ทุกแนว”

 

 

“ผมแค่คิดว่ามันไม่เข้ากับหน้าคุณสักเท่าไหร่ ฮ่าๆ”

 

 

“มีปัญหาอะไรกับหน้าผม”

 

 

“ป๊าววว ไม่ได้มีอะไร”

 

 

“’งั้นหรอออออ” ลากเสียงยาวเลียนแบบเสียงสูงของเขา

 

 

“งั้นแหละ”

 

 

“แล้ววันนี้คุณมาร้านผมทำไม”

 

 

“ก็…ไม่รู้สิ”

 

 

“หืมมม” อีกคนทำหน้าสงสัย ประมาณว่าไม่รู้แล้วมึงจะมาทำไม

 

 

“ผมไม่รู้จริงๆหนิ…ก็แค่อยากเจอ” ประโยคหลังภาพพูดอ่อมแอ้มกับตัวเองเสียงเบา

 

 

“ติดใจอะไรผมรึไง ก็พอรู้ตัวอยู่อะนะว่าผมหล่อ แต่ถ้าจะจีบก็ควรทำให้เนียนกว่านี้นะ”

 

 

เห้อออ

 

 

ไม่น่าเสียเวลาเป็นห่วงเลยให้ตายสิ

 

 

ภาพกลอกตาขึ้นบนพร้อมเบะปาก

 

 

“หลงตัวเองชะมัด”

 

 

“ไม่ปฏิเสธ”

 

 

จริงๆไอ้พวกมุขหลงตัวเองกับการบ้ายอของตาลุงนี่ก็พอๆกับพี่หมอเลยนะ

 

 

“นี่คุณรู้มั้ยเมื่อวานผมตกใจมากเลยตอนเห็นสีตาคุณ มันเหมือนกับคนในฝันผมแบบเป๊ะๆเลย”

 

 

“พี่หมออะไรนั้นอะหรอ”

 

 

“ใช่”

 

 

“แล้วไง คุณเลยคิดว่าผมเป็นพี่หมอ?”

 

 

“อะไรประมาณนั้น”

 

 

“นี่คงเป็นเหตุผลที่คุณมาหาผมวันนี้สินะ”

 

 

“แค่มาดูให้แน่ใจ”

 

 

“จะยังไงผมก็คือผมอยู่ดี”

 

“อืม ไอ้โอมก็พูดแบบนี้ มันแค่ยังรู้สึกค้างคาในบางอย่างแต่ก็ช่างเถอะ ยังไงผมก็ไม่มีวันได้เจอพี่หมออยู่ดี”

 

ช่างเถอะ

 

 

มือหนาเอื้อมมาตบที่ขาเขาเบาๆ คงเป็นวิธีปลอบตามแบบฉบับคุณทินกรเขาแหละ

 

 

“ขอโทษนะ ที่ผมเป็นพี่หมอให้คุณไม่ได้”

 

 

“มันไม่ใช่ความผิดคุณสักหน่อย”

 

 

“อืมม” ทำเพียงแค่ส่งเสียงตอบรับก่อนที่เขาสองคนจะเงียบกันไป ปล่อยให้เสียงเพลงดิสนี่ย์รุ่นเก่าจากเรื่องเจ้าหญิงนิทราได้ขับกล่อม ภาพรู้สึกคุ้นเคยกับเพลงนี้เพราะเป็นเพลงที่ค่อนข้างดังและยังถูกนำไปประกอบภาพยนตร์เมื่อไม่นานมานี้อีกด้วย ‘Once Upon A Time กาลครั้งหนึ่งในฝัน’

 

 

เคยได้เจอ ได้เคียงข้างกับเธอในฝันรื่นรมย์

เคยพบเธอ และแววตาที่เห็นคุ้นเคยยังจำได้ไม่ลืม

และจะคอยสักวันความฝันจะเป็นจริง สุขใจชื่นชม

หากพบเธออีกครั้งเธอฉันคงชื่นชู

แรกพบก็รักกัน เป็นรักชั่วนิรันดร์

รักเราไม่เลือน

 

 

ทำไมเพลงมันจะต้องแทงใจดำอะไรกันขนาดนี้วะ

 

 

ภาพเหลือบตามองคนข้างกายที่ตอนนี้ก็หันมองเขาอยู่เช่นกัน

 

 

อีกคนส่งรอยยิ้มมาให้

 

 

รอยยิ้มอบอุ่นที่ทำให้เขาอุ่นเข้าไปถึงหัวใจ

 

 

ไม่มีใครพูดอะไรตลอดทางแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด

 

 

เมื่อเข้าสู่อำเภอสัตหีบทินกรจึงโทรหาน้องหยกอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เธอส่งโลเคชั่นที่อยู่มาให้ น้องบอกว่าตัวเองและภีมออกมาหาอาหารกินกันข้างนอกให้ขับมาเจอกันที่ร้านเลย ภาพเลี้ยวขวาตามคำบอกเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย โซนนี้จะเป็นโซนติดทะเลทำให้ภาพนึกสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคนที่เพิ่งบาดเจ็บมาถึงยังจะแบกสังขารมากินถึงร้านดีๆริมหาด

 

กว่ารถจะวิ่งเข้ามาจอดในร้านก็เป็นเวลาเกือบหกโมงพอดี ฟ้าเริ่มจะมืดลง นี่พวกเขาติดอยู่กับการจราจรในกรุงเทพนานขนาดนี้เลยหรือเนี่ย

 

 

เมื่อรถจอดเสร็จเรียบร้อยอีกคนไม่รอช้ารีบลงจากรถในทันที เขาเดินมุ่งหน้าไปทางร้านแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นรถบีเอ็มดับเบิลยูสีดำที่คุ้นตา

 

ไหนบอกว่ารถชนยับไงวะ

 

 

แล้วมาจอดอยู่นี่ได้ยังไง

 

 

แถมสภาพยังครบสมบูรณ์เหมือนก่อนจากมาอีกด้วย

 

 

ภาพล็อครถแล้วเดินตามหลังคนตัวสูงไปติดๆ พวกเขาเดินเข้าไปในร้านที่สภาพเหมือนยังไม่เปิด มันดูวังเวงมืดๆชอบกล แถมไม่มีเสียงคนพูดคุยกันเลยสักคน นี่เขากำลังถูกหลอกมารายการท้าผีอะไรอย่างนี้รึเปล่า ภาพเริ่มมองหากล้อง และทันใดนั้นเอง

 

 

ปัง!!!

 

 

“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ค่าเฮียยยยยยยยย” พลุวันเกิดอันเล็กถูกดึงออกอย่างพร้อมเพรียงจากคนหลายๆคนที่แอบซ่อนอยู่ทำให้บนหัวของทินกรและภาพวาดเต็มไปด้วยไส้หลากสีของพลุนั้น

 

 

น้องหยกและภีมปรากฏตัวขึ้นมาด้วยร่างกายสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นพร้อมกับมงกุฎกระดาษสีทอง

 

 

“เซอร์ไพร์ !!!”

 

 

“สัส เหี้ยไรเนี่ย” คนที่ถูกสวมมงกุฎกระดาษเหวี่ยงใส่ทุกคนในงานแต่ภาพก็ยังเห็นนะว่าแอบยิ้มอยู่

 

 

“ไม่เซอร์ไพร์รึไง น้องๆอุส่าห์ตั้งใจทำให้” น้องหยกถามขึ้นมา

 

“สัสกูก็เป็นห่วงจะตาย พวกมึงแม่งหลอกกู”

 

 

“แหม่เฮียแก่แล้วก็ต้องหาเรื่องให้กระชุ่มกระชวยหัวใจกันบ้างดิ โอ๋ๆไม่ต้องห่วงเค้าแล้วนะ” เด็กภีมวิ่งเข้ามาควงแขนสะบัดไปมา

 

 

“กูไม่ได้ห่วงมึง กูห่วงรถไอ้สัส”

 

 

“ปากแข็งนะเรา”

 

 

“ปากดีนักนะไอ้ภีม เดือนนี้มึงโดนล้างห้องน้ำทั้งเดือน ข้อหาทำให้กูตกใจฟรี”

 

 

“โถ่วเฮียยยไม่เอาแบบนี้ดิ”

 

 

“แล้วนี่ถึงขนาดปิดร้านเลี้ยงกูเลยหรอ” ภาพหันไปมองรอบๆแล้วก็พบว่าไม่เจอลูกค้าคนอื่นๆนอกจากพวกเขาจริงๆ

 

 

“ก็เพื่อนพี่นี่แหละที่หารๆกัน ลำพังพวกผมไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก” นอกจากหยกและภีมแล้วก็ยังมีเพื่อนๆของทินกรอีกประมาณห้าหกคน หนึ่งในนั้นรวมพี่พิมคนที่ภาพคุ้นเคยดีไว้ด้วย

 

 

ลืมไปเลย

 

 

ความฝันที่พึ่งผ่านมาเขาและพี่หมอก็ไปทานอาหารเพื่อฉลองวันเกิดล่วงหน้าเหมือนกันสินะ

 

 

คงไม่มีอะไรทำให้ตกใจและแปลกใจไปมากกว่านี้แล้วมั้ง

 

 

“อ้าวน้องภาพมาด้วยหรอ ” พี่พิมหันมาถาม

 

 

“ครับช่วยขับรถมา”

 

“ก็ว่าอยู่ว่าไอ้ทินคงไม่ขับมาเอง ช่วงนี้มันไม่ค่อยจะขับ เสียดายรถมัน ซื้อมาตั้งแพงแต่เจ้าของไม่สนใจ”

 

“กูก็มีเหตุผลของกูน่า”

 

 

“เออๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วนี่หิวกันยังมาๆกินกัน พวกกูหิ้วท้องรอตั้งนาน น้องภาพมา ตามเจ๊มา” พี่พิมพูดพร้อมเดินนำทางไปที่โต๊ะที่มีเค้กชิ้นใหญ่วางอยู่ ภาพเดินเข้าไปดูใกล้ๆเพื่อมองตัวอักษรที่เขียนอยู่บนหน้าเค้กให้ชัด

 

ไอ้แก่

 

 

“ใครแม่งคิดวะสัส”ทินกรสบถขึ้นมาเมื่ออ่านเสร็จ ภาพขำออกมาเสียงดังจนเจ้าของวันเกิดมองค้อนเสียยกใหญ่

 

 

“เอาน่ามาๆร้องเพลงให้เจ้าของวันเกิดสักหน่อย” เทียนถูกจุดไฟขึ้นมาให้สีเหลืองนวลตาในความมืด พวกเขาร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์กันสามรอบก่อนที่คนตัวสูงจะอธิษฐานและเป่าเทียนทั้งหมดให้ดับไป

 

 

ดวงตาของทินกรเป็นประกายแห่งความสุขอย่างเห็นได้ชัดแม้เจ้าตัวจะพยายามเก็กนิ่งทำเป็นหล่ออยู่ก็ตาม

 

บรรยากาศรอบตัวอบอวนไปด้วยความสุขเสียจนภาพอดยิ้มตามไม่ได้

 

 

“กูเกือบจะสั่งเค้กส้มมาปาหน้ามึงแล้ว”

 

 

“กูนี่แหละจะเอาตีนขยี้เค้กแล้วปาใส่มึงกลับ”

 

 

“สัส แต่กูก็รู้ไงว่ามึงเกลียดส้มขนาดไหนกูเลยไม่ซื้อมา มึงดูสิความใส่ใจของเพื่อนมึง”

 

 

หืมม

 

 

ถ้าตาลุงนี่เกลียดส้มแล้วทำไมคราวนั้นถึงยอมกินล่ะ

 

 

ภาพได้แต่สงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามออกไปเมื่ออาหารถูกยกมาเสิร์ฟ ท้องของเขาร้องโครกครากเพราะหิวจัด ตอนกลางวันก็ไม่ได้กินอะไรเท่าไหร่เพราะเครียดจนกินไม่ลง แต่ตอนนี้ภาพเชื่อว่าเขาสามารถกินช้างได้ทั้งตัว

 

 

เมื่อทุกคนทานอาหารกันเสร็จก็ถึงเวลาให้ของขวัญ ต่างคนต่างมีของขวัญชิ้นใหญ่บ้างเล็กบ้างมามอบให้ ยืนถ่ายรูปส่งมอบ ร้องคาราโอเกะ เต้นกันเหมือนเป็นงานสงกรานต์ย่อมๆ เฮฮากันไปตามประสา จนย่างเข้าเกือบสี่ทุ่มนี่แหละที่ต่างคนต่างสิ้นฤทธิ์ด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บางคนฟุบหลับไปกับโต๊ะอย่างสิ้นสติ ไอ้เด็กภีมนี่นอนสลบอยู่ข้างเวทีกับเสื้อที่ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว คงเพราะได้เช่ารีสอร์ทของร้านไว้แล้วจึงปล่อยตัวปล่อยใจกันได้ขนาดนี้ เตรียมตัวกันมาดีจริงๆ ก็มีแต่ตาลุงทินนี่แหละที่เหล้าดูเหมือนจะทำอะไรลุงเขาไม่ได้สักเท่าไหร่

 

 

สงสัยคงกินเยอะจนร่างกายเริ่มด้านชา

 

 

“เอาดอกไม้ไฟไปเล่นกัน” คนที่เพียงแค่กึ่มๆเอ่ยชวนเขา ภาพวาดที่สติยังสมบูรณ์เพราะไม่ได้กินเยอะตอบตกลง ก่อนจะหยิบดอกไม้ไฟที่มีคนซื้อมาติดไว้แล้วเดินลงไปตามชายหาด

 

 

ดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้นเป็นแสงสว่างเดียวในความมืดของท้องทะเลยามค่ำคืน

 

 

แสงสีส้มสะท้อนใบหน้าของทั้งสองคนเป็นสีนวลตา

 

 

ภาพไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองรึเปล่าว่าบรรยากาศรอบตัวมันช่างเงียบเหงา

 

 

เช่นเดียวกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของอีกคนที่สะท้อนความเศร้าออกมาอย่างปิดไม่มิด

 

 

น่าจะเป็นเพราะแอลกอฮอล์ที่ทำให้คนตัวสูงแสดงอารมณ์ในด้านที่ภาพไม่เคยเห็นออกมา

 

 

ต่างคนก็ต่างมีเรื่องที่ไม่สบายใจกันทั้งนั้นสินะ

 

 

สบตากันสักพักก่อนที่อีกฝ่ายจะหลบสายตา

 

 

ภาพไม่ค่อยเข้าใจในความหมายที่คนตัวสูงอยากจะสื่อนัก

 

 

พวกเขานั่งลงข้างกันที่พื้นทรายก่อนจะจุดดอกไม้ไฟอีกแท่งขึ้นมา

 

 

“สุขสันต์วันเกิดนะครับ”

 

 

“ขอบคุณ”

 

 

“เสียดายผมไม่รู้ ไม่อย่างนั้นคงเตรียมของขวัญมาให้”

 

 

“ไม่เป็นไร แค่คุณอยู่เป็นเพื่อนตรงนี้ก็พอ”

 

 

“อืม”

 

 

ไม่มีใครพูดอะไรอีก พวกเขาเพียงจ้องมองแสงของดอกไม้ไฟที่ส่องสว่างได้เพียงไม่นานและดับลงไป

 

 

จุดขึ้นมาใหม่และเฝ้ารอจนมันดับไปอีกครั้ง

 

 

ทุกอย่างยังคงเงียบงัน

 

 

ต่างคนเหมือนตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง

 

 

เสียงของคลื่นที่กระทบฝั่ง

 

 

กลิ่นของทะเล

 

 

ทุกอย่างทำให้ภาพคิดถึงฝันครั้งล่าสุดที่พวกเขามาเที่ยวทะเลด้วยกัน พี่หมอกับแหวนวงนั้น คำมั่นสัญญา และคำบอกรัก

 

 

การหมั้นง่ายๆถูกจัดขึ้นโดยที่เขาไม่ได้เตรียมตัว

 

 

แต่ก็ดันตอบรับไปอย่างง่ายๆเช่นกัน

 

 

ภาพหันกลับมามองตัวเองในตอนนี้แล้วช่างแตกต่าง

 

 

ความสุขในครั้งนั้นกลับทิ้งไว้เพียงความอึดอัดในจิตใจ

 

 

“ผมขึ้นไปก่อนนะ คุณจะขึ้นไปด้วยกันมั้ย” เมื่อทนกับบรรยากาศที่แสนจะกดดันและเงียบเหงาไม่ไหว ภาพจึงลุกขึ้นสะบัดทรายที่ติดกางเกงก่อนเอ่ยถาม เขาคิดว่าถ้านั่งต่อไปคงห้ามน้ำตาตัวเองไม่ได้แน่ๆ พาลจะทำให้อีกคนรู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่

 

 

“วาดขึ้นไปก่อนเลย พี่ขอนั่งต่ออีกสักพัก”

 

 

“โอเค”

 

 

เดี๋ยวนะ

 

ภาพวาดที่กำลังเดินกลับชะงักไป

 

 

“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ”

 

 

“บอกว่าขึ้นไปก่อนได้เลย”

 

 

“ไม่ใช่ ผมหมายถึงว่าคุณเรียกผมว่าอะไร”

 

“ภาพวาดไง” อีกฝ่ายทำหน้าสงสัยว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป

 

 

“ไม่ใช่ คุณเรียกผมว่าวาด ไม่มีใครเคยเรียกผมแบบนี้ยกเว้นครอบครัว”

 

 

“…”

 

 

“กับพี่หมอ”

 

 

“…”

 

 

“ทีนี้คุณพอจะบอกผมได้มั้ย ว่าคุณรู้ได้ยังไง”

 

 

ร่างสูงนิ่งไปพักใหญ่

 

 

นิ่งไปนานเสียภาพเริ่มจะทนไม่ไหว อยากจะกระชากอีกคนขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่อง แต่คนที่นั่งนิ่งกลับเงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาแดงก่ำ พร้อมเอื้อนเอ่ยวาจาที่ทำให้ภาพแทบจะทรุดลงไปตรงนั้น

 

 

“พี่ขอโทษที่โกหก”

 

 

“…”

 

 

“เป็นพี่เองวาด พี่หมอ”

 











#คุณในฝัน



ผ่ามพ่าม !!


ฝุ่นพึ่งเห็นว่ารูปที่ลงไว้ประกอบเเต่ละตอนมันมีปัญหารูปไม่ขึ้นหมดเลย งงมาก ฝากเว็บไหนก็เป็น จะพยายามหาทางแก้นะคะ






 

 

 

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-05-2018 21:31:04 โดย สีฝุ่น »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 11 (25/3/2018) P.2
«ตอบ #51 เมื่อ25-03-2018 23:22:47 »

โอะโอ

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 11 (25/3/2018) P.2
«ตอบ #52 เมื่อ25-03-2018 23:34:09 »

อ่าวเห้ย! ตั้งตัวไม่ทันเลยนะพี่

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 11 (25/3/2018) P.2
«ตอบ #53 เมื่อ26-03-2018 01:02:33 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

คือสรุปว่า...ฝันซ้อนฝัน?

ออฟไลน์ CookieCK

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 11 (25/3/2018) P.2
«ตอบ #54 เมื่อ26-03-2018 02:40:25 »

โอย ค้างมากมาย :ling1: :ling1: รีบมาปั่นต่อด้วยน้าาาา :katai4: :katai4: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ bomomorujira

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 11 (25/3/2018) P.2
«ตอบ #55 เมื่อ26-03-2018 03:10:23 »

เราชอบเรื่องนี้มากๆเลยมาต่อไวๆนะ

ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 11 (25/3/2018) P.2
«ตอบ #56 เมื่อ26-03-2018 09:04:56 »

อ้าวววววว เฮ้ย

ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา

 :z6:

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 11 (25/3/2018) P.2
«ตอบ #57 เมื่อ26-03-2018 09:28:42 »

โอ เอ็ม จี !!!!

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 11 (25/3/2018) P.2
«ตอบ #58 เมื่อ26-03-2018 09:34:58 »

โอ้วววววว มายก๊อด
พี่หมอคือทินกร ทินกรคือพี่หมอ
งี้ภาพวาดก็ความจำเสื่อมอยู่อ่ะดิ
ฝันซ้อนฝัน อินเซ็ปชั่น แบบอิมพอสซิเบิ้ล
ลวกและเป็ดมาต่อเร็วๆ อยากอ่านๆๆๆๆๆ
 :hao5:

ออฟไลน์ สีฝุ่น

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: ☼ คุณในฝัน ☼ || บทที่ 12 (28/3/2018) P.2
«ตอบ #59 เมื่อ28-03-2018 23:14:49 »





-      12    -

 



คลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งในเวลานี้ เปรียบดั่งคลื่นขนาดใหญ่ที่โหมกระหน่ำเข้ามาปะทะตัวเขาอย่างแรงจนยืนแทบไม่ไหว สายน้ำกระแทกซ้ำไปถึงหัวใจจนกระเด็นกระดอนอย่างไม่รู้ทิศทาง สองขาที่เคยเป็นฐานหลักให้กับตัว มาตอนนี้กลับทรุดลงไปกับพื้นทรายอย่างหมดแรงเพียงแค่คำพูดเพียงประโยคเดียว

 

“เป็นพี่เองวาด…พี่หมอ”

 

“คุณอย่ามาล้อเล่น ผมไม่ตลก” ร่างที่ทิ้งตัวลงบนพื้นทรายเอ่ยปราม

 

“ผมไม่ได้ล้อเล่น” อีกคนที่มีสภาพไม่ต่างกันตอบคำถามพร้อมหันมาสบตากับเขา ดวงตาที่ถูกส่งมามันแสนเศร้าสุดหัวใจ

 

“งั้นช่วยตอบผมหน่อยว่านี่มันอะไรกัน คุณกำลังจะบอกว่าไม่ใช่ผมที่เป็นบ้า ไม่ใช่ผมที่พร่ำเพ้ออยู่คนเดียว แต่คุณก็ฝันเหมือนกันงั้นหรอ”

 

“ใช่”

 

นี่มันบ้ามาก

 

พระเจ้ากำลังเล่นตลกอะไรอยู่

 

ภาพไม่ขำเลยสักนิด

 

การที่ฝันเป็นตุเป็นตะคนเดียวก็ว่าบ้าแล้ว แต่พอมีคนมาฝันร่วมกันอีกคน ภาพคิดว่ามันบ้าเสียยิ่งกว่า

 

“แล้วทำไมถึงไม่บอกกัน” น้ำเสียงของภาพเริ่มสั่นเครืออย่างห้ามไม่ได้เมื่อคิดว่าอีกคนกำลังทำให้เขาเหมือนไอ้โง่คนหนึ่ง เป็นตัวเองที่วิ่งเต้นอยู่คนเดียวจนเหมือนคนโง่คนนึง จนมาเจอกับคนที่เฝ้าตามหามาตลอด

 

แต่คนๆนั้นกลับโกหกหน้าซื่อว่าไม่เคยรับรู้เรื่องบ้าๆพรรค์นี้ด้วยกันเลย

 

มองดูเขาที่เศร้าแทบตาย

 

แถมยังบอกให้ลืมเรื่องทั้งหมดทั้งๆที่ตัวเองก็จำได้ทุกอย่าง

 

ทำได้ยังไงกัน

 

“ขอโทษ”

 

คำขอโทษที่เอ่ยมาไม่ได้ทำให้ภาพรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิดในตอนนี้

 

เขาอยากรู้เหตุผล

 

ทำไมถึงต้องโกหก

 

ทำไมถึงต้องปิดบัง

 

ทำไมต้องทำเหมือนไม่เคยรู้จักกัน

 

ทำไมถึงทำแบบนี้กับเขา

 

ทำไมถึงไม่เห็นใจกันบ้างเลย

 

“ทำไม”

 

“คุณอยากจะฟังมั้ย คำตอบของทุกอย่างที่คุณสงสัย” คนใจร้ายตอบคำถามของเขาด้วยอีกหนึ่งคำถามใหม่ คำถามที่คำตอบเป็นสิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุด

 

“คุณรู้รึไง”

 

“ผมก็ไม่แน่ใจหรอก จนกระทั่งมาเจอคุณ หลายๆอย่างมันเหมือนจิ๊กซอว์ที่ประติดประต่อกันจนเป็นภาพสุดท้าย ผมก็เลยเริ่มมั่นใจ”

 

“คุณกำลังจะสื่อว่าอะไร”

.

.

.

.

.

.

 

 

 

 

 

 

“คุณพอจะรู้จักคำว่าโลกคู่ขนานมั้ย”

 

 

เป็นคำตอบที่ไม่คาดคิด ภาพไม่รู้ว่าอีกคนกำลังจะหลอกอะไรเขาอีกรึเปล่า แต่ใบหน้าของทินกรไม่ได้มีท่าทีล้อเล่นเลยสักนิดเดียว

 

“เคยได้ยินอยู่ แต่ก็ไม่ได้เข้าใจนักหรอก” ภาพเคยได้ยินเพียงผ่านๆ เขาไม่รู้หลักการอะไรของมันในเชิงลึก แต่ก็ไม่ใช่ไม่รู้เลย

 

“โลกคู่ขนานเป็นทฤษฎีที่บอกว่า ในตอนนี้ ขณะที่เรานั่งกันอยู่ตรงนี้อาจจะมีเราอีกคนนึง ในอีกที่นึง กำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ พูดง่ายๆมันก็เหมือนตัวเราในอีกมิตินึงนั้นแหละ”

 

ภาพได้แต่นั่งนิ่งฟังอีกคนที่กำลังพูดถึงทฤษฎีวิทยาศาสตร์หรืออะไรสักอย่างอยู่

 

“เคยคิดมั้ยถ้าคุณไม่ได้เรียนต่อศิลปกรรมแต่ไปเรียนบริหารที่พ่อคุณอยากให้เรียนแทนชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปยังไง โลกคู่ขนานอีกโลกอาจจะเป็นคุณที่กำลังรับช่วงต่อบริษัทที่บ้านก็ได้ เหมือนกันกับผมที่ในโลกนี้ไม่ได้เลือกที่จะเรียนต่อหมออย่างที่อยากทำ”

 

“แล้วทำไมคุณถึงไม่เลือกเรียนต่อล่ะ”

 

“อย่างที่ผมเคยบอกว่าคุณแม่ผมเสีย มันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ผมเคว้งคว้างไม่มีที่ยึด หนี้สิ้นของที่บ้านที่ยังมี ไหนจะหยกกับแม่ของน้องที่แม่ผมเป็นคนดูแลมาตลอด ผมทิ้งพวกเขาไม่ได้ บางทีชีวิตมันก็ไม่มีโอกาสให้เราได้เลือก ซึ่งหมายความว่าถ้าแม่ผมไม่เสียผมคงได้เป็นหมอ”

 

“…”

 

“แล้วมันเหี้ยแค่ไหนคุณรู้มั้ยกับการที่ต้องฝันถึงโลกที่มีแม่อยู่ทั้งๆที่ความจริงมันไม่มีแล้ว” คนตัวสูงไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป น้ำเสียงสั่นเครืออย่างน่าสงสารเขาปล่อยให้น้ำตาไหลลงจนเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้าอย่างไม่อาย ความเศร้าของอีกคนที่ภาพเห็นตอนนี้ส่งผลให้เขาไม่อาจกลั้นน้ำตาต่อไปได้เช่นกัน

 

ท่ามกลางทะเลอันมืดมิด

 

และเสียงคลื่นที่ถาโถมเข้าฝั่ง

 

พวกเขาเป็นเพียงผู้ชายโง่ๆสองคนที่กำลังร้องไห้ให้กับความบัดซบของโลกใบนี้

 

 

“แม่งโคตรเจ็บเลย แม่อยู่ตรงหน้าแท้ๆแต่ผมกลับพูดสิ่งที่อยากบอกไปไม่ได้” ทินกรยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆแต่ก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้าอันหมองเศร้านั้นดีขึ้นมาเลย

 

“ผมอยากเข้าไปกอด อยากจะตะโกนบอกดังๆว่ารักมากแค่ไหน อยากจะบอกว่าไม่ต้องห่วงนะ ผมโตมาอย่างมีความสุขดี ผมยังคิดถึงแม่เสมอ” ใบหน้าบิดเบี้ยว น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย

 

“วันเกิดปีนี้แม่ก็คงอวยพรผมได้แค่ในฝัน ผมอยากหลับไปเพื่อจะได้เจอกับเขาแต่ผมก็ไม่พร้อมที่จะตื่นขึ้นมาเพื่อพบว่าไม่มีแม่อยู่ข้างๆอีกแล้ว”

 

ผู้ชายคนนี้ต้องเข้มแข็งขนาดไหนกัน

 

ถึงอดทนกับเรื่องแย่ๆได้ถึงขนาดนี้

 

เทียบกับภาพวาดที่เอาแต่วิ่งตามหาผู้ชาย

 

หึ เรื่องของเขากลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปในทันที

 

ภาพค่อยๆขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่าย เอื้อมมือไปสัมผัสอีกคนเอาไว้เพื่อบอกว่าเขายังอยู่ตรงนี้ คอยรับฟังเรื่องเลวร้ายพวกนี้ไปด้วยกัน อารมณ์โกรธ อารมณ์น้อยใจที่มีในตอนแรกกลับมลายหายไปจนหมดสิ้น

 

มันเป็นความฝันที่เจ็บปวดเกินไป

 

ถ้าเป็นภาพ เขาคงรับไม่ไหว

 

ภาพไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป เพราะเขาคิดว่าตอนนี้คนข้างกายคงไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ เขาเพียงแต่นั่งเงียบๆอยู่ข้างๆ รอให้อีกคนจัดการกับอารมณ์ตัวเองเสียก่อน

 

มองไปที่ความมืดมิดเบื้องหน้า

 

พระจันทร์วันนี้สวยงาม

 

แต่ก็ช่างดูเศร้านัก

 

พระจันทร์ของโลกฝั่งนั้นจะเศร้าเหมือนกับที่นี่หรือเปล่านะ

 

“ขอโทษทีที่ทำให้คุณต้องมาพังเรื่องแย่ๆของผม” ทินกรเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่พวกเขาเงียบกันไปพักใหญ่

 

“ไม่เป็นไร ผมต่างหากที่ดึงดันอยากจะฟัง”

 

“ที่พูดไปผมก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่าจะเป็นแบบที่คิดหรือเปล่า มันเป็นแค่การคาดการณ์จากสิ่งที่เจอ มันอาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ เราไม่มีวันรู้หรอก ไม่มีอะไรที่ชัดเจน พระเจ้าคงไม่เดินมาบอกว่าสิ่งที่คิดมันผิดหรือถูก แต่นี่เป็นคำตอบที่สามารถตอบคำถามของเรื่องราวทั้งหมดได้สำหรับผม”

 

“แต่ถ้าเป็นเหมือนที่คุณบอกจริงๆ ทำไมบุคลิกนิสัยของคุณถึงได้ต่างจากพี่หมอขนาดนี้ล่ะ”

 

“คุณลองจินตนาการดูนะว่าถ้าคุณไปเรียนต่อต่างประเทศ เอาง่ายๆระหว่างตัวคุณที่ไปเรียนต่ออเมริกา กับตัวคุณที่ไปเรียนต่อญี่ปุ่น คุณคิดว่าภาพวาดสองคนนี้จะมีนิสัยเหมือนกันมั้ย สำหรับผมสภาพแวดล้อมต่างๆ สังคมและคนที่เจอมันหล่อหลอมให้ผมเป็นผมเหมือนกับทุกวันนี้ ผมเจอคนคดโกง คนที่ชอบเอารัดเอาเปรียบ โดนโกงเงินไปเป็นแสนๆจากคนที่หน้าตาใสซื่อ โดนหักหลักจากคนที่ไว้ใจ ชีวิตที่ต้องต่อสู่ดิ้นรนมันทำให้ทัศนคติการที่มีต่อโลกนี้เปลี่ยนไป ผมต้องเข้มแข็งขึ้น ใจร้ายมากขึ้น เห็นแก่ตัวมากขึ้น เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเอง ยิ่งเราอ่อนแอเท่าไหร่ก็ยิ่งถูกทำร้ายได้มากขึ้นเท่านั้น แต่คุณก็น่าจะรู้ว่ามันก็มีบางส่วนที่ยังไงก็เปลี่ยนไม่ได้ คุณรู้จักทั้งทินที่เป็นหมอและทินกรคนนี้ ผมว่าคุณน่าจะรู้ดี”

 

ใช่

 

ถึงแม้ภายนอกหรือการกระทำจะแตกต่างกันแค่ไหนมันก็ยังมีบางอย่างที่คล้ายกันจริงๆ

 

พี่หมอคนนั้นเป็นคนอบอุ่นและใจดี นั้นคือสิ่งที่ภาพสัมผัสได้ตลอดมา

 

และสำหรับทินกรคนนี้เขาก็ยังสามารถสัมผัสได้เช่นกันแม้มันจะเบาบางเพราะเจ้าตัวเก็บมันเอาไว้ในส่วนลึกและเลือกที่จะทำตัวแข็งกระด้างเพื่อปกปิดความเศร้าของตัวเองแทน

 

“สัมผัสได้สิ”

 

“ผมขอโทษนะ ที่ยังไงก็เป็นพี่หมอให้คุณไม่ได้  แล้วก็เสียใจด้วยที่คุณคงไม่ได้เจอคนที่คุณตามหา”

 

“ ใครว่าผมไม่เจอล่ะ” ภาพหันไปสบสายตา

 

“…”

 

“ผมก็เจอคุณแล้วไง…บางที สิ่งที่ผมตามหาอยู่อาจจะไม่ใช่พี่หมอ แต่อาจจะเป็นคำตอบของสิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้”

 

มันก็รู้สึกโล่งใจเหมือนกันนะ

 

เหมือนว่าเกือบทุกคำตอบที่เขาสงสัยมาตลอดหนึ่งปีได้คลายลงแล้ว

 

“ขอบคุณนะที่บอกกัน”

 

“อย่างที่ผมบอก ว่าผมไม่แน่ใจหรอกนะ มันเป็นแค่อะไรที่ผมคิดไว้เฉยๆ”

 

“ผมเลือกที่จะเชื่อคุณ ”

 

ถ้าเชื่อแล้วสบายใจ ภาพก็เลือกที่จะเชื่ออย่างนั้น แม้ไม่รู้ว่ามันจะถูกหรือผิดก็ตาม

 

“แล้วในฝันของคุณ เรารักกันรึเปล่า”

 

“อืม เราเป็นแฟนกัน”

               

ไม่ต่างจากที่เขาคิดไว้สักเท่าไหร่

 

“แล้วพี่พิมล่ะ ใช่พี่แพรวแฟนเก่าคุณรึเปล่า”

 

“ใช่แหละ แค่ชื่อต่างกันเฉยๆ ผมคิดว่าพ่อแม่อาจจะลังเลชื่อลูกอะไรอย่างนี้ก็ได้มั้ง ไม่รู้เหมือนกันสิ”

 

“แล้วทินกรคนนี้กับพี่พิมเป็นอะไรกัน”

 

“เราเป็นแค่เพื่อนสนิทตอนมัธยม ในฝันคงเป็นเพราะไปเรียนต่อมหาลัยด้วยกันเลยได้สานสัมพันธ์ต่อ แต่ตัวผมกับพิมต้องแยกกันไม่ได้เจอกันบ่อยๆ เขาก็ไปมีสังคมของเขา มีลืมๆกันบ้าง ก็พึ่งจะกลับมาสนิทกันช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง แล้วผมก็คงรู้สึกอะไรกับมันไม่ลงหรอก หึ” ทินกรพูดติดตลกนิดหน่อยเมื่อนึกถึงเพื่อนจอมเฮี้ยวที่นิสัยเปรี้ยวขัดกับหน้าตาหวานๆ แค่เห็นก็ไม่อยากจะจีบแล้ว

 

พิมอาจจะไม่ใช่คนที่ดีนักในเรื่องความรัก

 

แต่ก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีมากคนนึงสำหรับเขา

 

“’งั้นหรอ เรื่องของเรามันก็ตลกดีเหมือนกันนะ ฝันบ้าๆกันสองคนไม่พอยังลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยวด้วยอีก”

 

“แต่ผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ว่าทำไมเราถึงต้องฝันแบบนี้”

 

“พระเจ้าอาจจะเบื่อเกินไปเลยหาเรื่องสนุกๆทำล่ะมั้ง หรือไม่บางทีอาจจะมีอะไรลิขิตเอาไว้ให้เราต้องมาเจอกัน”

 

“อาจจะเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง ที่นี้คุณก็สบายใจแล้วใช่มั้ย” คนถามหันมาฝืนยิ้มให้แม้มันจะยากเกินกว่าจะยิ้มออกมาก็ตาม

 

“ไม่” ทินกรหันมามองอย่างสงสัย

 

“คุณยังไม่ได้ตอบคำถามแรกของผม”

 

“…”

 

“ทำไมต้องหลอกกัน ทำไมต้องทำเป็นไม่รู้จัก”

.

.

.

 

อีกคนทำเพียงนั่งนิ่งไม่หันมาสบตาและไม่เอ่ยอะไร

 

เพียงแต่ทอดสายตามองไปเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย

 

เงียบหายไปเหมือนกับจมอยู่ในห่วงความคิดของตัวเอง

 

จมอยู่ในความมืดมิดของท้องทะเลเบื้องหน้า

 

รออยู่เนิ่นนานกว่าคนตัวโตจะเอ่ยออกมา

 

“บางครั้งชีวิตจริงมันก็น้ำเน่ากว่าในละคร”

 

ภาพรับฟังอย่างไม่เร่งเร้า เขารู้ว่าอีกคนคงต้องมีเหตุผลถึงทำแบบนี้

 

มันอาจจะเป็นเหตุผลที่ยากเกินกว่าจะกล่าวออกมา

 

“ความฝันของผมไม่ได้ต่างจากคุณเท่าไหร่ เวลาเราเดินไปพร้อมๆกันกับความจริง เป็นพี่หมอกับภาพวาดที่มีความสุข จนกระทั่งวันนั้นเมื่อปีที่แล้ว เราทะเลาะกันหนัก ผมปล่อยคุณให้นั่งรถกลับบ้านคนเดียว ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้าย มันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิด…” ทินกรเล่าออกมาอย่างยากลำบาก เขาสะดุดลมหายใจตัวเอง ก้มหน้าลงกับฝ่ามือและปล่อยน้ำตาที่เริ่มแห้งเหือดไปตอนแรกให้ไหลออกมาอีก

 

“ภาพวาดในตอนนี้นอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ที่โรงพยาบาล”

 

“…”

 

“ทั้งหมดเป็นเพราะผมเอง ถ้าวันนั้นผมไม่อารมณ์ร้อนแล้วปล่อยคุณไป เรื่องนี้มันคงไม่เกิด ผมเสียแม่ไปแล้ว ผมไม่อยากเสียคุณไปอีกคน”

 

ภาพได้แต่นั่งอึ้ง เขาไม่คิดว่าเรื่องมันจะดำเนินมาแบบนี้

 

“มันเหมือนผมกำลังนับเวลาถอยหลังทุกครั้งที่ฝัน”

 

โหดร้ายเกินไป เขาไม่อยากนึกถึงตัวเองในสภาพนั้นเลยด้วยซ้ำ

 

พ่อของเขาล่ะ พี่สาวอีก ทุกคนจะเป็นยังไง

 

จะต้องเศร้าขนาดไหน

 

พี่หมอล่ะ กำลังร้องไห้เหมือนทินกรในตอนนี้รึเปล่า

 

“เพราะอย่างนั้นผมเลยไม่อยากรู้จักกับคุณ ผมกลัวว่าทุกอย่างมันจะซ้ำรอย ถ้าเราไม่มารู้จักกันมันคงจะดีกว่า คุณอาจจะไม่ต้องมาเจออะไรร้ายๆแบบนี้”

 

“…”

 

“สำหรับคุณมันอาจจะเป็นฝันดีจนน่าอิจฉา”

 

“…”

 

“แต่สำหรับผม มันเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิต”

 


#คุณในฝัน



เรามีรูปประกอบเพื่อความเข้าใจค่ะ





ฝันของภาพ = โลกคู่ขนานที่ 1 ปลอดภัยดี
ฝันของทิน = โลกคู่ขนานที่ 2 ภาพโดนรถชน
ความจริง = สองคนฝันถึงโลกที่เเต่งกัน
ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันค่ะ





โลกคู่ขนาน หรือ จักรวาลคู่ขนาน หมายถึง จักรวาลที่ดำเนินไปพร้อมกับจักรวาลที่เราอยู่นี้ ทฤษฎีนี้นักฟิสิกส์ริเริ่มคิดขึ้นมา มีเหตุการณ์ที่เราลังเลอยู่ 2 ทาง แต่เราก็ตัดสินใจไปทางหนึ่ง แล้วคิดไหมว่า ถ้า ณ วันนั้นเราติดสินใจเป็นอย่างอื่น อะไรจะเกิดขึ้น มันก็จะเกิดเหตุกาณ์อีกเเบบขึ้นมามากมาย ซึ่งเจ้าโลกคู่ขนานมันก็สามารถเเตกเเขนงไปได้เรื่อยๆไม่มีสิ้นสุดตามสิ่งทีเราตัดสินใจไป



สนใจอ่านเพิ่มเติมได้ที่ลิ้งนี้เน้อ

http://xfile.teenee.com/believeitornot/2921.html



ฝุ่นรู้จักทฤษฎีนี้จากการ์ตูนเรื่องรีบอร์นค่ะ 55 เเล้วก็ทำการศึกษาเพิ่มเติม ถ้ามีอะไรผิดพลาดต้องขออภัยด้วยค่ะ ผู้อ่านสามารถโต้เเย้งมาได้เลยเราพร้อมจะปรับปรุงนิยายใหม่ให้ดีขึ้นค่ะ หรือถ้าใครไม่เข้าใจก็เม้นถามไว้ได้เเล้วฝุ่นจะมาตอบนะคะ



เรื่องนี้อีกเเค่3-4ตอนก็น่าจะจบเเล้วค่ะ ฝุ่นเเพลนไว้เเต่เเรกว่าจะไม่ยาวมาก ฝุ่นไม่อยากยืดเพราะเเต่ละตอนก็จะมีไคล์เเม็กซ์ของมัน กลัวยืดเเล้วมันจะดรอปค่ะ เลยอาจจะเห็นว่าดำเนินเรื่องเร็วไปบ้าง ซึ่งส่วนนี้ฝุ่นก็ต้องปรับปรุงงานของตัวเองเช่นกัน เขียนเรื่องเเรกมันก็จะงงๆหรือพลาดบ้างเเต่ทุกการพลาดก็เป็นการฝึกฝนเรียนรู้ให้เขียนได้ดีขึ้นค่ะ



ตอนนี้ก็เหลือเเค่ปมนิดหน่อยของพี่เข้มเนอะ เเละสองคนนี้จะทำยังไงต่อไป

แอบบอกว่าตอนหน้าต้มมาม่ารอได้เลยค่ะ น่าจะดราม่ากว่านี้ เเละบางทีอาจจะต้องรอจนเส้นอืด 55




 

 - สีฝุ่น -
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-05-2018 21:33:08 โดย สีฝุ่น »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด