✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ  (อ่าน 229648 ครั้ง)

ออฟไลน์ EunJin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-2
สนุกมากกกก ลุ้นทุกตอนเลยจริงๆ ชอบมากค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนมาต่อไวไวนะ
ตอนต่อไปตุลาเลยหรอ ฮืออออออออ

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ยาวมาก อ่านจุใจเลย ขอบคุณที่มาต่อค่ะ สนุกเหมือนเดิม

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ Fufufeel

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 138
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เราตามคนรีวิวเข้า พออ่านแล้วติด เลยอ่านรวดเดียวเลย สนุกมากๆเลยค่ะ มีปมอะไรให้เราลุ้นตลอด พระเอกนายเอกก็ค่อยเป็นค่อยไป กลมกล่อมเลยค่ะ555555 เราจะตั้งตารอตอนหน้าเลย  :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ชะตานี้ ไม่รู้เลยจะไปทางไหน
แล้วโชคชะตาทำให้เจอซินแสอีกครั้ง

จื่อฟางนอยด์ไปนิด แต่ก็ร่าเริงเกินเหตุตอนได้จดหมายนะ
ไป๋อวี้ ไม่คอยออกตัวเท่าไหร่เนาะ

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 บทที่สิบห้า: โชคชะตา 

ไป๋ผูอวี้อ่านจดหมายที่เพิ่งได้รับจากอำเภอถงฉวนด้วยใบหน้าปราศจากความรู้สึก เป็นเพราะเว่ยหลงอยู่ในห้อง เขาจึงไม่อยากแสดงความรู้สึกใดออกมาให้เห็น  ไม่คิดว่าคุณชายเสิ่นจะตอบกลับจดหมายของเขาเร็วเช่นนี้ อีกทั้งข้อความในจดหมายยังหยอกล้อชายหนุ่มชัดเจน ไป๋ผูอวี้มิใช่คนไม่รู้ความไยจะอ่านความนัยไม่ออก ชายหนุ่มรับรู้ว่าริมฝีปากกระตุกน้อยๆแต่ก็พยายามเก็บซ่อนสีหน้า เขาเงยหน้ามองผู้ติดตามที่ยืนอยู่ข้างประตู สายตามองมาที่ตนคล้ายมีความอ่อนใจอยู่บ้าง เขาพลันรู้สึกงุ่นง่านในใจ

“เจ้าไม่มีงานทำหรือ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถาม

“...ดูท่าท่านจะหลงใบหน้างามๆของคุณชายเสิ่นเสียแล้ว”เว่ยหลงถอนหายใจ อันที่จริงเขาก็พอจะเดาได้ ระยะหลังที่เสิ่นจิ้งเฟยมาโรงน้ำชาหลิวซื่อบ่อยๆ คุณชายไป๋ทำตัวแปลกไปจากเดิม ผู้อื่นอาจไม่ทันสังเกตเห็นแต่เขาที่ติดตามคุณชายมานานปีย่อมรู้สึกได้

“ข้าไม่ได้หลงใบหน้างามๆของคุณชายเสิ่น ความงามทำอะไรข้ามิได้หรอก”บุรุษหนุ่มถูกนิสัยที่เปลี่ยนไปของเสิ่นจิ้งเฟยดึงดูดต่างหากเล่า ยิ่งสงสัยใคร่รู้เขาก็ยิ่งสนใจในตัวเสิ่นจิ้งเฟยมากเข้าทุกที

“นั่นสิขอรับ แม้แต่คุณหนูฉินก็ทำให้จิตใจของคุณชายสั่นไหวมิได้”เว่ยหลงรำพึง

       ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจพับจดหมายของเสิ่นจิ้งเฟยเก็บไว้ นึกถึงเหตุการณ์ที่คุณหนูฉินเชิญเขาไปชมดอกเหมยที่จวนเสนาบดี เขามิได้ถูกเชิญแต่เพียงผู้เดียว ยังมีสหายของคุณหนูฉินอีกหลายคน แม้จะมีฉากกั้นแยกชายหญิง แต่ไป๋ผูอวี้ก็ยังรู้สึกแปลกๆเพราะในบรรดามิตรสหายที่เชิญมามีเพียงไป๋ผูอวี้เท่านั้นที่เป็นบุรุษ อีกทั้งได้ข่าวว่าเสนาบดีฉินไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ฉินเซียงอินจึงสบโอกาสส่งเทียบเชิญมาให้เขา ไป๋ผูอวี้มาตามมารยาท เขามองดอกเหมยสีขาวออกดอกตามกิ่งก้าน แม้จะงดงามส่งกลิ่นหอมไปทั้งจวนแต่ภาพเบื้องหน้ากลับมิได้ซึมซาบไปในจิตใจ เขาก้มเก็บดอกเหมยที่ร่วงหล่นมาดู ในใจนึกไปถึงเสิ่นจิ้งเฟย

‘ดอกเหมยไม่งามหรือ เหตุใดท่านถึงดูเหม่อลอยนัก คุณชายไป๋’

ฉินเซียงอินก้าวมายืนข้างกาย นางสวมผ้าคลุมใบหน้าเห็นเพียงดวงตากระจ่างใส นางลอบมาหาเขา ใช้เวลากล่อมสาวใช้อยู่นานสองนาน 

‘ข้าเป็นพ่อค้า จะมีเรื่องใดให้คิดกันหากไม่ใช่โรงน้ำชาหลิวซื่อ’

เขาหมุนตัวไปมอง พบว่าอยู่กับนางเพียงสองคนเท่านั้น ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กสาวหลายคนดังมาจากอีกฟากของฉากกั้น ไป๋ผูอวี้เลื่อนสายตามองใบหน้าเปล่งประกายของนาง ก็ยิ่งรู้ว่านางมีจุดประสงค์

    ‘ท่านมิควรมาตรงนี้ หากมีผู้คนเห็นเข้าจะดูไม่ดี’ โดยเฉพาะพวกบ่าวไพร่ในจวน หากมีคนปากพล่อยนำไปบอกเสนาบดีฉินเล่า เขารู้ดีว่าฝ่ายนั้นไม่ชมชอบให้บุตรสาวมาสนิทสนมกับบุตรคหบดี แม้ว่าชายหนุ่มจะสอบได้หลิ่นเชิง ได้เป็นชิ่วไฉอันดับหนึ่ง แต่เขาไม่ได้เข้าไปศึกษาต่อในสำนักศึกษาหลวง เพียงเท่านี้ก็ไม่ถือว่าอยู่ในสายตาของท่านเสนาบดี 

ฉินเซียงอินทำหน้างอ ‘ไยต้องสนใจคำนินทาของผู้อื่นด้วย’

    ‘ท่านไม่เห็นเอ่ยเช่นนี้กับเรื่องของคุณชายเสิ่น’

‘เขากับท่านเหมือนกันหรือ คุณชายไป๋น่าจะทราบดี’ นางทำหน้าคับข้องใจ 

    ‘เสิ่นจิ้งเฟยเป็นสหายข้า’ ไป๋ผูอวี้ตอบโดยไม่หยุดคิด คุณหนูฉินยังคงไม่เข้าใจนัก ภายใต้ผ้าคลุมหน้าเห็นนางเม้มริมฝีปาก ดวงตากลมใสส่อประกายขุ่นเคือง

‘ข้าเชิญท่านมาชมดอกเหมย ไยยังคิดถึงเรื่องอื่นอีกเล่า’ ฉินเซียงอินอยากบอกกล่าวไปตามตรงว่านางอยากมาชมดอกเหมยกับเขา แต่ไม่อยากแสดงตัวมากไป   

‘คุณหนูฉิน...’ ไป๋ผูอวี้ทราบความนัยของประโยคนี้ดี ใช่ว่าเขาไม่รู้ใจนางเสียเมื่อไหร่ เขาคิดว่าควรเอ่ยอะไรสักอย่าง

    ‘คุณชายไป๋ ข้า…’ คุณหนูร่างบอบบางและดูน่าทนุถนอมก้าวเข้ามาหาเขา

 ‘อุ้ย...’

แต่ด้วยเพราะคุณหนูฉินเอาแต่มองไป๋ผูอวี้ไม่วางตานางจึงสะดุดชายกระโปรงล้ม ชายหนุ่มมิใช่บุรุษใจจืดใจดำจะให้นิ่งเฉยมองนางล้มก็กระไรอยู่ แม้จะรู้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้ไม่ได้สะดุดล้มจริงๆก็ตาม ชายหนุ่มเข้าไปประคอง รับรู้ว่าริมฝีปากอ่อนนุ่มของฉินเซยงอินเฉียดผ่านแก้มของเขาโดยไม่ตั้งใจ

‘ท่านเป็นอะไรหรือไม่’ ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามคล้ายกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นระหว่างที่ปล่อยมือจากคุณหนูฉิน นางใบหน้าแดงก่ำท่าทางเอียงอาย เขาลอบยิ้มจาง นางยังมาทำขวยเขินอีกหรือ ชายหนุ่มกวาดตามองรอบตัว มองเห็นสาวใช้ประจำกายของฉินเซียงอินยืนลับๆล่อๆอยู่นอกฉากกั้นหวาดกลัวว่าจะมีผู้คนพบเห็น 

‘ข้าไม่เป็นอะไร’นางตอบด้วยดวงตาแฝงรอยยิ้ม 

‘ท่านมิควรอยู่กับข้า สหายของท่านจะสงสัยว่าท่านหายไปที่ใดนานสองนาน ท่านควรระวังกิริยา หากมีผู้ใดพบเห็นจะไม่เป็นผลดีต่อตัวท่านและตัวข้า’ ไป๋ผูอวี้กล่าวตามตรง ได้ทีสั่งสอนไปด้วย ฉินเซียงอินมองเขาอย่างดื้อรั้น นางไม่คิดยอมแพ้ง่ายๆ

‘คุณชายไป๋มีหญิงในดวงใจแล้วหรือ’ ฉินเซียงอินไม่ใคร่เข้าใจนัก ไป๋ผูอวี้ผู้นี้ดูไม่สนใจสาวงามใด รึเป็นนางคณิกาเสวี่ยฮวาจากหลานโจวผู้นั้น ได้ยินว่ารู้จักกับคุณชายไป๋ แม้ว่าสกุลไป๋จะเป็นพ่อค้า แต่ก็เป็นคหบดีมีชื่อสกุลหนึ่ง นางมิเข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงไปสนิทมักจีกับนางคณิกาได้ เขาไม่ใช่คุณชายเจ้าสำราญพวกนั้น เท่าที่ทราบมาเสวี่ยฮวานางนั้นมักมาที่โรงน้ำชาหลิวซื่อบ่อยครั้ง

‘ข้าไม่มีหญิงใดในดวงใจ...’ ไป๋ผูอวี้หวนคิดนึกถึงเสิ่นจิ้งเฟย ‘ท่านเป็นน้องสาวข้าคนหนึ่ง...คุณหนูฉิน ข้าเป็นเพียงพ่อค้าต่ำต้อย ท่านอย่าได้เสียเวลากับข้าเลย’

‘ข้าไม่ยอมแพ้หรอก’ นางลั่นวาจาอย่างดื้อดึง 



ไป๋ผูอวี้คิดผิดที่คิดว่าคุณหนูฉินจะไม่กล้าทำเรื่องเพราะอยู่ในเรือนของตน นางเป็นเด็กสาวที่แปลก ไม่มีหญิงนางใดกล้าประพฤติตนเช่นนาง ชายหนุ่มเองก็ชอบคุณหนูฉินอยู่ไม่น้อย แต่ความชอบของเขาไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่น

“ข้ามิได้ชอบนางเช่นนั้น”ชายหนุ่มกล่าวออกมาหลังจากที่เงียบไปเป็นนาน

“แต่ท่านชอบเสิ่นจิ้งเฟย”เว่ยหลงเอ่ยออกมาอย่างไม่กลัวตาย สายตาเรียบเฉยของไป๋ผูอวี้ตวัดมองผู้ติดตาม ก่อนกลับไปตรวจตราบัญชีรายจ่ายของโรงน้ำชาโดยไม่กล่าววาจาใดอีก ผู้ติดตามได้แต่ลอบถอดถอนหายใจ

“ข้ารู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์เอ่ยต่อเรื่องนี้ ขออภัยหากข้ากล่าวมากวาจา แต่ท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเสิ่นจิ้งเฟยมาทำสนิทสนมกับท่านไม่ได้มีเรื่องแอบแฝงอื่นใด...คุณชายไป๋ก็รู้ว่าเขาทำเรื่องใดอยู่”เว่ยหลงมิชอบการนินทาลับหลัง แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องบอกกล่าว เขารู้ ว่าเสิ่นจิ้งเฟยกำลังเคลื่อนไหวทำเรื่องใดกับหลิวอ๋องลับหลังฮ่องเต้ ไม่มีทางเป็นเรื่องดีไปได้ เขากังวลว่าอีกฝ่ายเพียงมาสนิทสนมกับคุณชายเพราะต้องการสืบข้อมูล ที่ผ่านมาคุณชายเสิ่นผู้นั้นเคยทำดีกับสกุลไป๋ด้วยหรือ เจ้าเต่ามาสร้างเรื่องรำคาญใจก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องผูกมิตรตีสนิท คนเย่อหยิ่งอย่างเสิ่นจิ้งเฟยต้องการผูกมิตรกับพ่อค้าไปเพราะเหตุใด แม้ว่าสกุลไป๋จะเป็นคหบดีที่มีเงินทองพอตัว แต่เสิ่นจิ้งเฟยมิใช่คนที่คบหากับคนที่มีฐานะต่ำกว่า หากไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง

ไป๋ผูอวี้เข้าใจในสิ่งที่เว่ยหลงกังวลจึงไม่ได้คิดตำหนิ เพราะสิ่งที่ฝ่ายนั้นกล่าวมาเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น

“ข้ารู้ ข้าถึงอยากเปลี่ยนแปลงเขา เจ้าว่าข้าบ้าหรือไม่”

เว่ยหลงมองคุณชายด้วยสายตาหลากอารมณ์ “ท่านเสียสติไปแล้วต่างหาก ท่านคนเดิมไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้แน่”

ไป๋ผูอวี้หัวเราะในลำคอ นั่นสิ หากเป็นเมื่อก่อนเขาไม่มีทางเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคุณชายเสิ่นถึงขั้นอยากคิดช่วยเหลือเป็นแน่ เขาปรายตามองจดหมายที่เสิ่นจิ้งเฟยส่งกลับมาด้วยแววตาลุ่มลึก บางครั้งเขารู้สึกว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีเรื่องปิดบัง บางคราก็เหมือนกำลังเสแสร้งคล้ายเล่นละครตบตาคน ทำให้ชายหนุ่มพานสับสนว่าสิ่งที่คุณชายรูปงามเคยเอ่ยกับเขาที่ตรอกซีหมานเป็นเรื่องจริงกี่ส่วนกันแน่

 เสิ่นจิ้งเฟย แท้จริงแล้วเจ้าเป็นคนเช่นไรกันแน่ ข้าอยากรู้นัก

~•~

จื่อฟางนั่งอยู่ในศาลารับลม สายตาจดจ่ออยู่ที่แผ่นผ้าไหมผืนใหญ่มองสลับกับคนสกุลโหยวที่นั่งเรียงอยู่ที่ม้านั่งฝั่งตรงข้าม โหยวเถียนนั่งอยู่ตรงกลางประกบด้วยลุงใหญ่และป้าสะใภ้ มีบุตรชายและบุตรสาวนั่งกระสับกระส่ายอยู่ข้างๆ ส่วนลุงรองมีสีหน้าเซื่องซึมคล้ายคนง่วงนอน จื่อฟางพยายามเร่งมือวาดภาพให้เร็วที่สุดเพราะเห็นท่านั่งเกร็งของโหยวเถียนแล้วก็นึกสงสาร

“เสร็จเสียที พวกท่านมาดูสิ”เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาในที่สุด หลังจากที่ตวัดพู่กันเขียนชื่อตัวเองลงไป ผู้ที่นั่งเกร็งมานานต่างก็ผ่อนคลายท่าที ขยับตัวไล่ความเมื่อยขบ ญาติผู้พี่ทั้งสองคนรีบเข้ามาดู พอเห็นภาพวาดก็เบิกตากว้างกล่าวชมไม่หยุดปาก

“เจ้ามีฝีมือจริงๆ น้องเสิ่น”

“เป็นอย่างไร ข้าบอกพวกเจ้าแล้ว”โหยวเถียนได้ทีสอดคำขึ้นมา ใบหน้าเหี่ยวย่นมีริ้วรอยแห่งความสุข

“ข้ารบกวนพวกท่านเสียหลายชั่วยาม ขออภัยด้วยจริงๆ”จื่อฟางกล่าวอย่างเกรงใจ ท่านตาอายุมากแล้วแต่ก็ยอมทนนั่งนานๆไม่ขยับเขยื้อนเพราะคำร้องขอของเขา ภาพสกุลโหยวถูกแต่งแต้มมีชีวิตชีวาในผืนผ้าไหมทำให้เขายิ้มอย่างพอใจ

“รบกวนอะไรกัน โอย...”โหยวเถียนจับบั้นเอวขณะที่ลุกมาชมดูภาพวาดฝีมือหลานชาย พอเห็นก็ตบบ่าเสิ่นจิ้งเฟยไม่หยุด

“ท่านพ่อกลับไปพักผ่อนเถอะ”โหยวจี้เหวินกล่าว เข้าไปประคองโหยวเถียนที่ดูจะมีอาการปวดบั้นเอว เขาดีใจที่เสิ่นจิ้งเฟยไม่คิดทำตัวห่างเหินกับทางนี้แล้ว ท่านพ่อก็พลอยมีความสุขไปด้วย 

“ข้าไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย หลีกไป ข้าเดินเองได้”โหยวเถียนกล่าวอย่างดึงดัน ก้าวเดินออกไปจากศาลารับลมอย่างผ่าเผย แต่ลุงใหญ่ไม่วางใจจึงตามไปประคองอยู่ห่างๆ เด็กหนุ่มมองส่ง จนเหลือเพียงโหยวหวั่นที่ยืนถูมือท่าทางเหมือนอยากเอ่ยสิ่งใด

“ลุงรองมีเรื่องใดก็ว่ากล่าวมาเถิด”

“ไหนๆเจ้าก็จะกลับฉางอันแล้ว ข้าอยากร้องขอให้เจ้าช่วยวาดภาพให้ข้าสักหลายผืนได้หรือไม่”

จื่อฟางพินิจมองโหยวหวั่น เขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องการนำภาพไปขาย เขายังจำคำที่กวีซ่งเหยียนเอ่ยได้ ภาพเลียนแบบ จื่อฟางเดาเรื่องราวได้ทันที ลุงรองผู้นี้ให้เขาวาดภาพเลียนแบบภาพวาดของจริงแล้วนำไปขายโก่งราคา

“ท่านจะนำไปหลอกขายผู้อื่นรึ”จื่อฟางกล่าวอย่างไม่เกรงใจ โหยวหวั่นสีหน้าเปลี่ยนโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน

“ข้าไม่ได้หลอกขาย แค่นำไปติดแสดงที่โรงเตี๊ยม พวกเศรษฐีก็มาขอซื้อกันเอง”แม้จะแก้ตัวเช่นนั้น เขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี ท่านลุงรองผู้นี้ทำตัวเป็นพวกพ่อค้าหัวหมอไปได้ เขาไม่ทันได้ว่าอะไร บ่าวรับใช้ในจวนคนหนึ่งก็เดินเร็วๆเข้ามาหา

    “คุณชายเสิ่น มีคนแซ่ฟู่มาพบขอรับ”จื่อฟางเลิกคิ้ว คนแซ่ฟู่อะไรอีก เรื่องฝีมือวาดภาพที่เล่าลือเกรงว่ามากไปจะไม่เป็นผลดีต่อตัวเขา หากทำตัวเด่นจนหลิวอ๋องไม่พอใจประเดี๋ยวจะเป็นเรื่องเดือดร้อนอีก

    “ให้เขาเข้ามา”เด็กหนุ่มตอบกลับ

“เจ้ารับแขกไปเถอะ ข้าไม่กวนล่ะ”โหยวหวั่นถอนหายใจอย่างเสียดาย ไม่กล้าอยู่รบกวน

เขามองท่านลุงรองเดินออกไปจากศาลา หยางชวีส่งเสียงขึ้นจมูกมาให้ได้ยิน พอเหลียวไปมองก็พบว่าเจ้าตัวปรายตามองโหยวหวั่นอย่างดูแคลน

“คนผู้นี้คิดหาผลประโยชน์จากคุณชาย ซ้ำยัง...ทำตัวอย่างกับพวกต้มตุ๋น เขาเองก็เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมหลังใหญ่ไม่กลัวสกุลโหยวเสียชื่อรึ”หยางชวีเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ จื่อฟางไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร จึงได้แต่หุบปากเงียบรอแขกของตน ผ่านไปครู่หนึ่งบ่าวรับใช้ก็เดินนำเข้ามา ตามด้วยชายหนุ่มสวมชุดคลุมยาวสีเงิน ลักษณะผ่าเผย สง่างาม มีไฝจุดเล็กๆที่ใต้ตาข้างซ้าย ท่าทางเหมือนคนรักสนุก กวาดสายตามองครู่เดียว เด็กหนุ่มก็รู้ว่าคนผู้นี้เคยรู้จักกับเสิ่นจิ้งเฟยมาก่อน เพราะอาการปั่นป่วนในช่องท้องที่เกิดขึ้น ความรู้สึกอุ่นๆกระจายอยู่ในอก กล่าวให้ถูกคือเป็นความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟย คลื่นความรู้สึกถาโถมเข้ามา ภาพความทรงจำแจ่มชัดปรากฏขึ้น

เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส เด็กหนุ่มในชุดสีเข้มสะดุดตาอุ้มกระต่ายสีขาวตัวหนึ่งมองร่างผอมบางของเด็กน้อยเสิ่นจิ้งเฟยที่นั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ใต้ร่มไม้ 

‘คุณชายน้อยช่วยเหลือข้าไว้ ข้าอยากตอบแทน’

‘ช่างปะไร แค่เงินไม่กี่ตำลึง’เสิ่นจิ้งเฟยไม่ใส่ใจนัก สายตามองปราดไปที่กระต่ายน้อยในอ้อมแขนของเด็กหนุ่มอย่างสนใจ

‘แต่ข้าซึ้งใจมาก หากไม่ได้เจ้าช่วย มารดาข้าแย่แน่’

‘มารดาเจ้า...’เด็กน้อยดูตกตะลึงไปชั่วขณะ

‘ป่วยน่ะ ลำพังเงินที่ได้จากการแสดงไม่พอค่ายาสมุนไพรดีๆหรอก’เด็กที่โตกว่ามีรอยยิ้มสดใสอยู่บนหน้า มืออีกข้างลูบขนนุ่มของกระต่ายไปด้วย

เสิ่นจิ้งเฟยทำจมูกฟุดฟิด อดกลั้นก้อนสะอื้นไว้อย่างสุดความสามารถ เขาคิดถึงท่านแม่เหลือเกิน

‘เจ้าอยากร้องไห้ก็ร้องมาเถิด พ่อข้าบอกว่าเก็บเอาไว้จะป่วยเอา ต้องระบายออกมา’

‘พูดเหลวไหล ข้าไม่ได้อยากร้องไห้’

ฟู่เทียนสือเผยรอยยิ้มจนแก้มบุ๋ม ‘เจ้าร้องเถอะ ข้าจะไม่บอกผู้ใด’

สุดท้ายเด็กน้อยก็กลั้นสะอื้นไม่อยู่ หันหลังให้อีกฝ่ายใช้ท่อนแขนเช็ดน้ำตาหลายที

‘อีกไม่กี่วันคณะร้องรำจะเดินทางไปลั่วหยางแล้ว ข้ากลัวว่าเจ้าจะเหงาจึงยกฮ่าวฮ่าวให้เลี้ยงดู’ฟู่เทียนสือก้มมองกระต่ายในอ้อมแขน นั่งลงข้างกายเสิ่นจิ้งเฟย

‘ข้าฝากเจ้าดูแลฮ่าวฮ่าวด้วย’

‘ข้าไม่เลี้ยงสัตว์’เสิ่นจิ้งเฟยเช็ดน้ำตาจนใบหน้าเป็นรอยแดง สายตาจับจ้องไปที่กระต่ายฮ่าวฮ่าว

‘ข้าต้องเดินทางไกล ไม่สะดวกดูแลมัน คงต้องขายให้ผู้อื่นแล้วล่ะ’ฟู่เทียนสือมีสีหน้าหมองเศร้า เด็กน้อยเสิ่นขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจนัก

‘ก็แค่เดรัจฉานตัวหนึ่ง’

จื่อฟางปั้นหน้าไม่ถูก เสิ่นจิ้งเฟยรู้สึกเช่นไรกับคนผู้นี้กันแน่ เขาไม่มีเวลาให้ขบคิดเพราะฟู่เทียนสือมาอยู่เบื้องหน้าแล้ว

    “ไม่เจอกันนาน เจ้าดูสบายดีนะน้องเสิ่น”

    “ใครเป็นน้องท่าน”จื่อฟางสวนกลับด้วยบทของเสิ่นจิ้งเฟย คำพูดนี้ลื่นไหลจนเขายังตกใจ อีกฝ่ายได้ยินก็ยกยิ้มขบขัน ก้าวเข้ามาในศาลาอย่างไม่กริ่งเกรง หยางชวีและจางต้าได้แต่มองด้วยความฉงน ตั้งแต่มาที่นี่เพิ่งเจอแขกที่รู้จักคุณชายเสิ่น บรรยากาศรอบตัวของฟู่เทียนสือคล้ายกับห่อหุ้มไปด้วยความผ่อนคลายเป็นกันเองจึงทำให้จื่อฟางคลายความกังวลไปด้วย เขาเอื้อมรินน้ำชาให้พอเป็นพิธี

 “ข้าเดินทางผ่านมาแถบนี้พอดี ได้ยินว่าเจ้ามาเยี่ยมสกุลโหยวจึงคิดแวะเวียนมาหา นึกกลัวอยู่ว่าเจ้าจะจดจำข้าไม่ได้”ฟู่เทียนสือยกจอกชามากุม สายตามองตรงมาที่เสิ่นจิ้งเฟย ผ่านไปนานหลายสิบปีคุณชายผู้นี้ดูเปลี่ยนไป แต่ใบหน้าหมดจดไม่ต่างจากที่เขาวาดภาพไว้ ช่วงสองสามปีก่อนได้ยินข่าวลือว่าเสิ่นจิ้งเฟยเป็นคุณชายเจ้าสำราญไม่หยิบจับสิ่งใดก็กลัวว่าคุณชายน้อยในวัยเยาว์จะลืมตน แต่ได้พบหน้าเข้าจริงๆ คุณชายท่านนี้แตกต่างไปจากที่คิด 

 “ท่านมีตำหนิอยู่บนหน้า ย่อมต้องจำได้”จื่อฟางเอ่ย อันที่จริงไฝใต้ตาของอีกฝ่ายยิ่งเสริมทำให้เจ้าตัวดูมีเสน่ห์

ฟู่เทียนสือไม่นึกว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะกล่าวเช่นนี้จึงหัวเราะเสียงดัง ลักยิ้มปรากฏสองข้าง จื่อฟางจ้องมอง อารมณ์ปั่นป่วนยิ่งเกิดในอก แปลกจริงๆ

“เจ้าดูแตกต่างจากคำเล่าลือที่ข้าได้ยิน”

 “ผู้คนมีปากก็พูดไปเรื่อย”จื่อฟางผ่อนท่าที ไม่ได้แสร้งแสดงเป็นเสิ่นจิ้งเฟยอีกต่อไป หาได้ยากที่ร่างกายนี้จะรู้สึกสบายใจกับคนแปลกหน้าที่ไม่ได้เจอกันนาน 

 “เจ้ายังจำกระต่ายที่ข้ายกให้ได้หรือไม่”ฟู่เทียนสือเอ่ยถามด้วยดวงตาเป็นประกายคล้ายกับหวนนึกไปถึงเรื่องราวเก่าๆ

 “ตายไปแล้ว”จื่อฟางเอ่ยบอกหน้าตาย น้ำเสียงไม่สะทกสะท้าน อยู่ๆก็นึกสงสัยว่าเจ้าฮ่าวฮ่าวตายไปเพราะอะไร จากความทรงจำเมื่อครู่ ช่วงวัยของเสิ่นจิ้งเฟยดูไม่แตกต่างจากเมื่อตอนที่ฝังกระต่ายตัวนั้นลงหลุมมากนัก

 “อืม ข้ารู้อยู่แล้ว มันตายอย่างไรเล่า”

 “ท่านมาเพื่อถามเรื่องกระต่ายหรือ?”แปลกคนนัก   

 “ฮ่าๆ ข้ามาหาเจ้าต่างหาก”ฟู่เทียนสือกล่าวตามตรง สบตากับเสิ่นจิ้งเฟย คุณชายรูปงามทำสีหน้าประหลาด ก่อนหลบสายตายกจอกชาดื่ม   

ตึกตักๆ   

เสิ่นจิ้งเฟย…ชมชอบบุรุษผู้นี้งั้นหรือ

“มีเรื่องใดก็กล่าวมา”เขากลับมาสวมบทของเสิ่นจิ้งเฟย ทั้งๆที่จื่อฟางอยากหันหน้าหนีเพราะกระดากอายต่อสายตาเป็นประกายของอีกฝ่าย คนผู้นี้มาเพื่ออะไรกันแน่

 “ไม่มีอะไรมาก ข้าเพียงอยากรู้ว่าเจ้าเติบใหญ่แล้วเป็นเช่นไร อยากเห็นด้วยตาตนเอง เช่นนี้ถึงสบายใจ”ฟู่เทียนสือยังคงจ้องมองคุณชายเสิ่นไม่วางตา คล้ายอยากจดจำทุกสัดส่วน

“ท่านก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ดูสง่างามกว่าแต่ก่อน”จื่อฟางได้จังหวะเอ่ยหยอกล้อบ้าง ฟู่เทียนสือเดินทางไปมาหลายที่เพราะสกุลฟู่เป็นคณะร้องรำ เขาไม่แปลกใจที่คนผู้นี้จะติดนิสัยหว่านเสน่ห์มาด้วย สงสัยเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงจะตกหลุมพรางของหมอนี่ไปกระมัง

 “เจ้าว่าอย่างนั้นหรือ”ฟู่เทียนสือรู้สึกว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีชีวิตชีวามากทีเดียว

“ข้าอยากฟังเจ้าบรรเลงกู่เจิงสักบท”เขาเอ่ยอย่างไม่มีพิธีรีตอง ได้ยินคนพูดกันเขาจึงอยากลองฟังสักครา ดูว่าจะสู้คณะร้องรำของเขาได้หรือไม่

 “เกรงว่าท่านคงผิดหวัง ข้าได้รับบาดเจ็บที่แขน”จื่อฟางแสร้งทำใบหน้าหม่นหมอง ดีเหลือเกินที่เขาใช้วิธีนี้ตัดปัญหา

 “น่าเสียดาย…”ฟู่เทียนสือถอดถอนใจ กวาดตามองไปที่ภาพวาดผ้าไหมบนโต๊ะ “ชาวบ้านในตลาดบอกว่าเจ้ามีพรสวรรค์ซุกซ่อนอยู่”

    “ผู้คนกล่าวเกินจริง ข้าไม่ได้มีฝีมือมากถึงเพียงนั้น สู้พวกจิตกรตัวจริงไม่ได้หรอก”เขากล่าวตามตรง ฝีมือของจื่อฟางยังสู้ความละเอียดอ่อนของจิตกรจีนได้ไม่ถึงครึ่ง ที่ทำให้ผู้คนตื่นตาตื่นใจเป็นเพราะฝีแปรงที่แปลกใหม่ไม่เหมือนอย่างสมัยโบราณของเด็กหนุ่มมากกว่า 

    “ที่ข้าทุ่มเทลอบเรียนรู้ศิลปะเป็นเพราะข้ามิคิดเล่นกู่เจิงอีกต่อไปแล้ว…”เขาแสร้งถอนหายใจอย่างสะเทือนอารมณ์ เขามีความรู้สึกว่าต้องได้เจอกับฟู่เทียนสืออีกแน่ อีกทั้งสกุลของคนผู้นี้เป็นคณะร้องรำ ต้องมีความรู้เรื่องเครื่องดนตรี เรื่องกู่เจิงจื่อฟางจึงคิดตัดไฟตั้งแต่ต้นลม 

    “เจ้าหมายความเช่นไร”

    “ข้าหลงรักคุณหนูผู้หนึ่ง ตั้งใจบรรเลงบทเพลงให้นางสดับรับฟังความในใจ แต่นางมิได้มีใจให้ข้า…ยามคิดบรรเลงกู่เจิงก็ยิ่งเจ็บปวดใจนัก”เขาก้มหน้าเล่าเรื่องเท็จ จางต้าได้ฟังก็พานเศร้าตามคุณชายไปด้วย เพราะเหตุนี้คุณชายเสิ่นถึงไม่ยอมเล่นกู่เจิงอีกสินะ ความเจ็บปวดเสียใจทำให้คุณชายเสิ่นถึงขั้นหน้ามืดไปหลงชอบไป๋ผูอวี้เชียวหรือ

    “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีอารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้ ข้าพานเจ็บปวดไปด้วย”ฟู่เทียนสือยกมือกุมอก จื่อฟางกระพริบตานึกอยากหัวร่อ หมอนี่แสดงละครเก่งกว่าเขานัก

“เอาอย่างนี้ข้าจะสอนเพลงขลุ่ยให้เจ้าหนึ่งบท เป็นบทเพลงหาคู่ของชนเผ่าตี๋ รับรองว่าแม่นางน้อยใหญ่ต้องสยบต่อน้องเสิ่นแน่นอน”เขาหยิบขลุ่ยเซียงตี๋ที่เหน็บห้อยตรงสายคาดเอวออกมา เป็นขลุ่ยเรียบง่ายธรรมดาแบบที่จื่อฟางเคยเห็นมาก่อน เพียงมองครู่เดียวเด็กหนุ่มก็จำได้เป็นขลุ่ยเซียงตี๋ที่เสิ่นจิ้งเฟยเคยอยากได้ จนไป๋ผูอวี้เป็นฝ่ายซื้อให้เมื่อสองเดือนก่อน

    “ข้าไม่เคยเป่าขลุ่ยมาก่อน”จื่อฟางก็เหมือนคนทั่วไป เป่าเป็นเพียงพื้นฐานแต่นั่นก็นานนมมาแล้ว

ฟู่เทียนสือขยับตัวอย่างกระตือรือร้น โน้มตัวมาหา“น้องเสิ่นไม่ต้องกังวลเป็นเพลงสั้นๆง่ายๆ แต่ท่วงทำนองนั้นขึ้นอยู่กับความรู้สึกของผู้เป่า”ฟู่เทียนสือกล่าวด้วยรอยยิ้ม

    “ท่านลุงใหญ่ขายเครื่องดนตรี เช่นนั้นเจ้าไปนำขลุ่ยเซียงตี๋มาให้ข้าเลาหนึ่ง”เขาหันไปสั่งจางต้า บ่าวรับใช้รับคำจากไปอย่างเงียบๆ เหลือเพียงหยางชวีที่เฝ้ามองด้วยใบหน้าตายเช่นเคย แต่ในหัวครุ่นคิดหลายอย่าง ยิ่งติดตามคุณชายเสิ่นนานวันเข้า เขาก็ยิ่งพบว่าคุณชายลึกลับยิ่งนัก เช่นยามนี้เสิ่นจิ้งเฟยไม่วางท่าคุณชายต่อฟู่เทียนสือ พูดคุยราวกับเป็นสหายที่รู้จักกันมานาน ไม่รู้เพราะเหตุใด หยางชวีรู้สึกเหมือนเคี้ยวหินอยู่ในปาก 

“นี่ขอรับคุณชาย”จางต้ากลับมาพร้อมกับขลุ่ยเซียงตี๋ที่ดูมีราคา จื่อฟางรับมาถือ ตั้งใจฟังสิ่งที่ฟู่เทียนสือสอนทุกคำ ใช้เวลาเกือบสองชั่วยามกว่าจะเป่าได้จบเพลงอย่างไม่ติดขัด

    “ที่เหลือก็ขัดเกลาอารมณ์ที่เจ้าต้องการส่งถึงผู้ฟัง”จื่อฟางรู้ว่าฟู่เทียนสือแปลกใจเรื่องทักษะด้านดนตรีของเขา แต่ฝ่ายนั้นไม่ได้เอ่ยถาม ไม่ได้ทำท่าทีสงสัยด้วยซ้ำ คนผู้นี้สนใจแต่เพลงขลุ่ย นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้จื่อฟางรู้สึกไม่ติดขัดยามสนทนา

 “ขอบคุณที่สอนข้า”

 “เรื่องเล็กน้อย หวังว่าแม่นางผู้นั้นจะใจอ่อนต่อเจ้า หากข้ามีโอกาสแวะไปฉางอัน ข้าต้องรบกวนน้องเสิ่นอีกหลายเรื่อง”

“อืม”เขาตอบสั้นๆ พูดคุยกับฟู่เทียนสืออีกเล็กน้อย ก่อนที่อีกฝ่ายจะขอตัวกลับ กำชับอีกรอบว่าหากมีเวลาจะแวะไปเมืองหลวง เมื่อเงาร่างของฟู่เทียนสือลับไปจากสายตาเขาก็ทิ้งตัวนั่งอย่างหมดแรง ก้มมองเซียงตี๋ในมืออย่างครุ่นคิด อย่าบอกนะว่าที่เสิ่นจิ้งเฟยต้องการซื้อเซียงตี๋เป็นเพราะชายผู้นี้ เขามีลางสังหรณ์แปลกๆ นึกถึงบทเยี่ยมสกุลโหยวของเสิ่นจิ้งเฟย… นึกถึงนางรองที่ยังไม่ปรากฏตัว…ไม่หรอกกระมัง โชคชะตาคงไม่เล่นตลกกับจื่อฟางมากเกินไป

เย็นวันนั้นหลังจากที่ทานอาหารเสร็จเรียบร้อย จื่อฟางไปหาโหยวเถียนในเรือน ส่งมอบภาพวาดมารดาอีกผืนให้ท่านตา 

“ข้ารู้ว่าท่านอยากได้ภาพวาดท่านแม่ จึงวาดให้ท่านอีกผืน”

ท่านตามองมาด้วยดวงตาฉ่ำน้ำ“เฟยเอ๋อร์ เจ้าเป็นเด็กดี หากพ่อเจ้าทำเรื่องให้คับข้องใจก็กลับมาที่สกุลโหยวได้ทุกเมื่อ ไม่ต้องคิดเกรงใจ”โหยวเถียนลูบใบหน้าหมดจดที่ได้เค้าบุตรสาวของเสิ่นจิ้งเฟยอย่างเอ็นดูแต่เมื่อนึกถึงเสิ่นมู่หยางเขาก็ยิ่งขุ่นเคือง เวทนาหลานชายจับใจ 

“ท่านตาอย่าได้กังวล เรื่องท่านแม่ ข้าปล่อยวางแล้ว หากท่านพ่อคิดมีอนุ ข้าไม่ห้าม แต่ข้าไม่ยินยอมให้หญิงใดมาแทนที่ท่านแม่ได้อย่างแน่นอน”อย่างน้อยจื่อฟางจะปกป้องสิ่งที่เสิ่นจิ้งเฟยต้องการปกป้อง

 “เจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดี”ถึงจะกล่าวไปเช่นนั้นแต่โหยวเถียนไม่ใคร่วางใจอยู่ดี เขาเคยได้ยินมาว่าหลานชายกล่าววาจาข่มขู่ผู้เป็นบิดาเรื่องอนุ

~•~
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2019 08:54:44 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 จื่อฟางเดินทางกลับเมืองหลวงในเช้าวันรุ่งขึ้น ระหว่างทางก็นำตำรามาอ่านทบทวนความรู้ไปด้วย เขาสนใจปรัชญาของเมิ่งจื่อเป็นพิเศษ จางต้าและหยางชวีต่างก็หมกมุ่นอยู่ในความคิดของตนเอง ผู้ติดตามคิดถ้อยคำไปรายงานนายท่านใหญ่ เขาเชื่อว่านายท่านต้องตกตะลึงแน่หากรู้ว่าคุณชายทำเรื่องใดบ้าง แต่อย่างไรเรื่องทางอำเภอถงฉวนก็คงลอยไปถึงหูนายท่านอยู่ดี ส่วนจางต้าคิดอย่างเป็นสุขว่าคุณชายเสิ่นทำตัวดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งยังลบล้างคำติฉินนินทาที่ผู้คนกล่าวถึง รับใช้คุณชายมาตั้งแต่เล็กเพิ่งจะมีวันนี้ที่คุณชายไม่สร้างเรื่องใดให้เสียชื่อ นายท่านเสิ่นต้องภูมิใจในตัวคุณชายอย่างแน่นอน

จื่อฟางนั้นอ่านตำราจนตาลาย จึงเลิกเสีย ในหัวเริ่มครุ่นคิดถึงสถานการณ์ของตน เรื่ององครักษ์ของฮ่องเต้คงต้องเอาไว้ก่อน เขาไม่คิดไปร้องขอฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าฝ่าบาทต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยน เด็กหนุ่มไม่อยากเสี่ยงเปลืองเนื้อเปลืองตัว จะอย่างไรคนของฮ่องเต้ก็ไม่ได้ตามเขาไปทุกที่ยกเว้นยามที่เดินทางออกนอกเมืองหลวง พวกเขาเฝ้าประจำอยู่ที่จวนเท่านั้น  แม้จะทำให้อึดอัดบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ทนไหว เขาใจเหม่อลอยไปหาไป๋ผูอวี้ ไม่ได้เจอหน้าหกวันหากบอกว่าไม่คิดถึงก็คงเป็นเรื่องโกหก อีกทั้งเขาส่งจดหมายไปแบบนั้น หากพบหน้าก็ไม่รู้ว่าจะต้องวางสีหน้าอย่างไร

    “นี่ จางต้า ในเมืองฉางอันหากอยากชมดอกเหมยต้องไปที่ใดได้บ้าง”เขาออกปากถาม จางต้าย่นคิ้วใช้ความคิดอยู่สักพัก

    “ตรงศาลาลมใกล้กับตรอกเหวิน ข้าน้อยจำได้ว่ามีต้นเหมยขึ้นอยู่สองสามต้นนะขอรับ หากคุณชายอยากชม ข้าว่าไปที่จวนคุณชายจ้าวจะดีกว่า”เขาเอ่ยถึงคุณชายจ้าวเซียวชิง คุณชายไม่ได้ติดต่อหานานแล้ว

    “จ้าวเซียวชิงเหรอ?”จื่อฟางนึกออกทันทีก็เจ้าคนหน้าตาเหมือนคนง่วงนอนที่ปากพล่อยถามว่าเขาถูกหลี่ฮุ่ยจือวางยานั่นอย่างไร เขาไม่คิดอยากเสวนาด้วย สหายเช่นนั้นเขาไม่อยากคบหา

    “แค่สองสามต้นก็เพียงพอแล้ว”เขาพูดดับความหวังของบ่าวรับใช้ แสร้งทำเป็นหลับตาเพราะไม่อยากสานต่อบทสนทนาน่าเบื่อ ขากลับใช้เวลาถึงเมืองหลวงช้าไปสองวัน เพราะจื่อฟางแวะพักโรงเตี๊ยมถึงสองครั้ง เมื่อรถม้าเคลื่อนผ่านประตูเมืองที่มีการตรวจค้นอย่างหนาแน่น หยางชวีก็รับรู้ว่าแรงกดดันจากคนของฮ่องเต้หายไปแล้ว ชายหนุ่มมองไปยังทิศที่วังหลวงตั้งอยู่ สองคนนั่นคงไปรายงานฝ่าบาทกระมัง มิรู้ว่าจะรายงานเรื่องของฟู่เทียนสือว่าอย่างไร เขาวิตกกังวลกลัวว่าฮ่องเต้จะไม่พอพระทัยแล้วเรียกตัวคุณชายเสิ่นไปหา

กว่าจะถึงจวนสกุลเสิ่นก็เย็นแล้ว  จื่อฟางไม่ได้เข้าไปหาเสิ่นมู่หยางเพราะปวดเมื่อยจากการเดินทางจึงมุ่งตรงไปพักผ่อนในเรือนแทน เด็กหนุ่มเรียกบ่าวรับใช้ยกถังน้ำร้อนเข้ามาล้างตัวทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง นึกถึงไป๋ผูอวี้ก็คิดว่าควรทำอะไรเสียหน่อย เขาทิ้งตัวนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ครุ่นคิดอยู่สักพักก็จรดปลายพู่กันลงบนกระดาษซวนจื่อ 

    ‘ยามไฮ่ เจ้ามาพบข้าที่ศาลาลมใกล้ตรอกเหวินได้หรือไม่ ข้าได้ยินว่ามีต้นเหมย อยากไปเชยชมกับเจ้าเพียงสองคน ข้าจะรอ’

การชมดอกเหมยของจื่อฟางจะให้ธรรมดาเหมือนผู้อื่นได้อย่างไร

    “หยางชวี”เขาเอ่ยเรียก ร่างของผู้ติดตามปรากฏอยู่ที่ธรณีประตูจึงส่งจดหมายที่พับอย่างดีให้กับอีกฝ่าย

    “นำไปส่งให้ไป๋ผูอวี้”คนตรงหน้าไม่ทำสีหน้าใด เพียงแค่พยักหน้าแล้วจากไปอย่างเงียบเชียบ เขาตั้งใจจะงีบหลับแต่จางต้ารีบเร่งมาหาในเรือนด้วยฝีเท้าแผ่วเบา เบื้องหลังมีหมอกู้ตามมาติดๆ

    “ข้ามาตรวจร่างกายของคุณชาย”กู้เซ่าอิ่งกล่าว เดินตามคุณชายไปหลังฉากกั้น จื่อฟางนั่งลงบนเตียงระหว่างที่เฝ้ามองหมอกู้ตรวจจับชีพจร สายตาของหมอชรามองกวาดผ่านรอยกรีดสองรอย มองด้วยตาเปล่าก็ทราบแล้วว่าต้นเหตุมาจากของมีคม รอยกรีดสองรอยมีน้ำหนักไม่เท่ากัน รอยหนึ่งตั้งใจ อีกรอยคล้ายกับยั้งแรงไว้ กู้เซ่าอิ่งมองผ่านคล้ายกับไม่เห็น ทำตามหน้าที่ของตนไปเงียบๆ

    “ชีพจรของคุณชายปกติดี”กู้เซ่าอิ่งเอ่ยอย่างพอใจ มองใบหน้าของคุณชายเสิ่นที่อิดโรยจากการเดินทางแต่ไม่มีร่องรอยของความเจ็บป่วย

    “อาการของคุณชายคงที่ อาการอ่อนแรงหายไปแล้วใช่หรือไม่”

    “อืม ข้าสบายดี คงเพราะเดินลมปราณออกกำลังทุกเช้า ร่างกายถึงดีขึ้น”จื่อฟางดีใจที่ร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้มีอาการใดน่าเป็นห่วง แต่ร่างกายนี้มีขีดจำกัด น่าหงุดหงิดที่ออกแรงมากไม่ได้

    “หมั่นทำไปเรื่อยๆ ข้าเชื่อว่าไม่นานร่างกายของท่านดียิ่งขึ้น เอาล่ะ ข้าจะฝังเข็มให้ท่าน”ได้ยินหมอกู้พูดจื่อฟางก็พลันหน้าซีด เขากลัวเข็ม แต่ก็ต้องกลบเกลื่อนทำตามที่ท่านหมอกู้บอก เด็กหนุ่มถอดชุดออกจนเหลือเพียงชั้นในบางๆทิ้งตัวนอนคว่ำ

พอดีกับที่หยางชวีกลับมาจากจวนสกุลไป๋ เขาส่งจดหมายให้ไป๋ผูอวี้เองกับมือ พอฝ่ายนั้นทราบว่าจดหมายมาจากคุณชายเขาก็สังเกตว่าใบหน้าของคนผู้นั้นมีรอยยิ้ม บุรุษหนุ่มเข้ามาในฉากกั้นสบตากับคุณชายเสิ่นที่ยามนี้ร่างกายท่อนบนเปล่าเปลือย ท่อนล่างมีเพียงชั้นในบางปกปิด เผยให้เห็นท่อนขายาว หยางชวีไม่เคยเห็นบุรุษใดมีรูปร่างบอบบางเช่นนี้มาก่อนจึงเผลอมองจนตาค้าง

จื่อฟางรู้สึกว่าถูกสายตาของผู้ติดตามแผดเผาจึงกล่าวถามขึ้น “อะแฮ่ม จดหมายข้า เจ้าส่งเรียบร้อยดีใช่ไหม”

แต่ก็พอเข้าใจได้ รูปร่างของเสิ่นจิ้งเฟยไม่เหมือนบุรุษซะทีเดียวเพราะร่างกายที่ผอมบาง ไม่มีกล้ามเนื้อ ช่วงสะโพกจึงพอเหมาะรับกับช่วงบน  ผิวกายถูกดูแลประคบประหงมอย่างดีจึงเนียนขาวราวกับหยกเนื้อดี บางครั้งเขายังเผลอลูบคลำไปนิดหน่อย

“ข..ขอรับ”หยางชวีเอ่ยตะกุกตะกัก รู้สึกละอายที่เผลอจ้องร่างของคุณชายเสิ่นเป็นนาน 

    “เจ้ายืนบื้ออยู่ทำไม ไปเฝ้าหน้าประตูให้ที”หมอกู้ส่งเสียงไล่เมื่อเห็นผู้ติดตามหน้าตายถูกเรือนร่างของคุณชายทำให้ตาค้าง หยางชวียิ่งหน้าร้อนรุ่มเมื่อถูกท่านหมอว่าเข้าจึงรีบหมุนตัวออกไปเฝ้าระวังอยู่หน้าประตู โชคดีที่คนของฮ่องเต้ยังไม่กลับมา เขาไม่อยากให้ฝ่าบาททราบเรื่องที่คุณชายป่วย กลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย

จางต้านั่งอยู่ข้างเตียงใช้ชายเสื้อเช็ดเหงื่อที่ผุดตามหน้าผากให้คุณชาย หัวเราะฮ่าๆอยู่ในใจกับท่าทางโง่งมของหยางชวี ซึ่งนานครั้งจะได้เห็น 

    “คุณชายเสิ่น ผ่อนคลายทำใจให้สบายเข้าไว้ มิเช่นนั้นโลหิตจะไหลเวียนไม่ดี”หมอกู้เอ่ยเตือน ใช้มือนวดบริเวณหัวไหล่ที่เครียดเขม็งของร่างผอมที่นอนอยู่บนเตียง จื่อฟางพ่นลมหายใจช้าๆ พยายามผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หมอกู้จึงลงมือแทงเข็มไปตามแนวจุดสำคัญบนแผ่นหลังอย่างเบามือ เขาหลับตารอรับความเจ็บ แต่มีเพียงอาการปวดแปล๊บวูบเดียวเท่านั้น ท่านหมอฝังเข็มอย่างเบามือจนเด็กหนุ่มเผลองีบหลับไปโดยไม่รู้ตัว

จนกระทั่งเขาสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงพูดคุยระหว่างเสิ่นมู่หยางและจางต้าจากนอกฉากกั้น     

“คุณชายเจ้าพักผ่อนอยู่ก็ดี ข้าไม่อยากกวน เสิ่นจิ้งเฟยนั่งรถม้านานๆร่างกายอ่อนเพลียเป็นธรรมดา นี่เป็นของบำรุงที่ฝ่าบาทมอบให้ อย่าลืมให้คุณชายเจ้ากิน”น้ำเสียงของเสิ่นมู่หยางมีริ้วรอยของความกังวลแฝงอยู่

    “รับทราบขอรับ”บ่าวคนสนิทตอบรับ

 “ส่วนเจ้ามากับข้า”เสิ่นมู่หยางหันไปทางหยางชวี ก่อนที่เงาร่างของทั้งสองคนจะหายไป ไม่นานเสียงในห้องก็เงียบลง เด็กหนุ่มถึงได้กล้าขยับตัวลงจากเตียง นึกได้ว่ามีนัดกับไป๋ผูอวี้ เขาสวมเสื้อคลุมก้าวออกมาจากฉากกั้น มองเห็นจางต้ากำลังเตรียมต้มยาอยู่ที่มุมห้อง 

    “เวลานี้ยามใดแล้ว”จื่อฟางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน มองออกไปนอกหน้าต่าง ฟ้ามืด ทั้งยังจุดโคมไฟสว่าง

“ใกล้ยามไฮ่แล้วขอรับ”บ่าวรับใช้มองคุณชายเสิ่นเปลี่ยนมาสวมชุดสีขาวเรียบง่ายด้วยความรวดเร็วก็เอ่ยถามอย่างแปลกใจ

    “ท่านจะออกไปข้างนอกหรือ”

    “ไปพบสหาย เจ้าไม่ต้องตามไปหรอก”จื่อฟางบอกระหว่างที่ใช้หวีสางผมรวบเป็นมวยเล็กๆครึ่งหัว ส่วนที่เหลือปล่อยยาว ก่อนเสียบปิ่นไม้จันทร์ที่ซื้อมาจากอำเภอถงฉวน เอียงศีรษะไปมาเพื่อตรวจดูเงาสะท้อนในกระจกทองเหลือง เห็นว่าเข้ากับเสิ่นจิ้งเฟยพอดิบพอดี เขาเอื้อมหยิบกล่องไม้ที่บรรจุปิ่นแบบเดียวกันมาด้วยตั้งใจมอบให้ไป๋ผูอวี้ บ่าวคนสนิทมองดูเงียบๆ เห็นคุณชายเสิ่นแต่งตัวพิถีพิถันทั้งยังออกไปยามวิกาล เขาก็รับรู้ได้โดยที่คุณชายไม่ต้องบอกว่าสหายที่กล่าวถึงคือผู้ใด   

“คุณชายระวังตัวด้วย ยามวิกาลทหารตรวจการเพ่นพ่านไปหมด”จางต้าตักเตือนด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งประหนึ่งพี่ชายสอนน้องสาวที่กำลังออกเรือน

    “ข้าจะไปสั่งหนานอิงเตรียมรถม้าให้คุณชายก็แล้วกัน”เขากล่าวจบก็รีบเร่งออกไป จื่อฟางยกยิ้ม เจ้านี่ก็เข้าเรื่องเข้าราวดีเหมือนกัน ไม่ว่าเขาคิดทำสิ่งใด จางต้าไม่เคยถามมากความ แต่ครั้งนี้ถึงกับออกปากเตือน คงเป็นห่วงจริงๆ ไม่รู้ว่าเดิมทีเสิ่นจิ้งเฟยปฏิบัติต่อจางต้าดีหรือเปล่า

จื่อฟางสวมชุดคลุมทับอีกชั้นก่อนออกไปนอกเรือน สัมผัสกับอากาศหนาวเย็น เหมันต์ย่างกรายแล้ว เวลานี้คงเป็นเดือนสิบสอง จื่อฟางคาดคะเนอยู่ในใจ เร่งฝีเท้าออกไปตามเฉลียงทางเดินที่ทอดสู่ประตูจวน เด็กหนุ่มก้าวเท้าออกจากประตูสกุลเสิ่นได้ไม่กี่ก้าว เงาร่างสายหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าจนเขาเผลอส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก

“คุณชายจะออกไปที่ใดหรือ”หยางชวีเปิดปากถาม จื่อฟางถลึงตาใส่ร่างตรงหน้า หัวใจยังคงเต้นกระหน่ำรุนแรงจากความตกใจ 

    “เจ้าอยากเห็นข้าหัวใจวายตายรึถึงได้โผล่มาแบบนี้”

    “ยามนี้มืดค่ำแล้วท่านจะออกไปที่ใดอีก”ผู้ติดตามเอ่ยถามอย่างสงสัย รึคุณชายจะไปเที่ยวหอนางโลม 

    “ข้านัดกับไป๋ผูอวี้ไว้ หมดคำถามหรือยัง ข้าสายแล้ว”เขาบอกไปตามตรงยังคงขุ่นเคืองที่เจ้าคนหน้าตายโผล่มาไม่บอกไม่กล่าว

หยางชวีขมวดคิ้วมองเขาอยู่ครู่ใหญ่ “ท่านให้ข้านำจดหมายไปส่งให้ไป๋ผูอวี้ด้วยเรื่องนี้เองหรอกหรือ”ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรรู้สึกเช่นไรดี

    “ทำเช่นนี้หากนายท่านรู้เข้าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่”เขาไม่คิดว่าการนัดพบยามวิกาลจะเป็นการพบเจอเช่นมิตรสหายทั่วไป

    “เจ้าก็อย่าบอกสิ ถือว่าเห็นแก่ข้า”จื่อฟางไม่รู้ว่าภายใต้สีหน้าเรียบเฉยของหยางชวีนั้นคิดสิ่งใดอยู่ “จริงสิ…”เขากวาดตามองไปในจวนสกุลเสิ่น นึกถึงเรื่องหนึ่งได้

    “ว่าแต่องครักษ์พวกนั้นยังอยู่ในจวนหรือไม่”เขาเอ่ยถามนึกวาดภาพองครักษ์มาดนิ่งเงี่ยหูฟังบทสนทนาในเรือนของตนแล้วแปลกพิลึก

    “ไม่ขอรับ พวกเขาไม่ได้เข้ามาใกล้เรือนคุณชาย เฝ้าอยู่ด้านนอก”หยางชวีรับรู้ว่าทั้งสองคนเฝ้าอยู่นอกจวน นับว่าเป็นเรื่องแปลกเมื่อครั้งก่อนยังมาเฝ้าถึงหลังคาเรือน

    “อย่างนั้นหรือ”ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะยอมทำตามในสิ่งที่เขาขอ

“อา ข้าสายแล้ว หากท่านพ่อถามก็บอกว่าข้าไปเยี่ยมสหาย”จื่อฟางไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้ แต่หยางชวียังยืนเป็นเสาไฟขวางทางอยู่ เขาจึงเดินอ้อมร่างของผู้ติดตามไปอีกทาง มองเห็นรถม้าจอดอยู่ห่างออกไปจากประตูจวนก็รีบเร่งสืบเท้า หนานอิงไม่ได้เปิดปากพูดสิ่งใด เมื่อคุณชายผลุบเข้าไปในรถม้า เขาก็ขยับแส้ ม้าตัวใหญ่พุ่งไปข้างหน้าทันที หยางชวีได้แต่มองส่งด้วยสายตาหลากอารมณ์แต่ก็ทำได้แค่ถอนหายใจยาว

‘คุณชายกับไป๋ผูอวี้…เรื่องจะจบอย่างไรหนอ’

~•~

ไป๋ผูอวี้มาถึงครู่ใหญ่แล้ว แต่ยังไม่เห็นเงาร่างของเสิ่นจิ้งเฟย จึงยืนมือไพล่หลังรอคอยอย่างสงบ ชายหนุ่มยืนอยู่ใกล้กับต้นเหมยสามสี่ต้นที่แผ่กิ่งก้านอยู่ข้างศาลาลม คืนนี้อากาศหนาวเย็น ท้องฟ้ากระจ่าง แสงจันทร์นวลส่องให้เห็นกลีบดอกเหมยสีขาวร่วงหล่นเต็มผืนดินมองไปสวยงามแปลกตายิ่ง สายลมวูบใหญ่พัดพาเอากลิ่นหอมอ่อนจางของดอกเหมยลอยอบอวล เมื่อคิดถึงคุณชายรูปงาม มุมปากก็ยกเป็นรอยยิ้ม คุณชายเสิ่นทำให้เขาประหลาดใจนัก ไม่คิดว่าจะนัดหมายเขาออกมาเช่นนี้ หากเป็นหญิงสาวไป๋ผูอวี้คงตำหนิแล้ว เสิ่นจิ้งเฟยแสดงออกชัดเจนยิ่งกว่าคุณหนูฉินเสียอีก ชมดอกเหมยยามวิกาล เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

ผ่านไปสักพักเสียงฝีเท้าเร่งรีบแผ่วเบาก็ดังมาให้ได้ยิน เสิ่นจิ้งเฟยมาถึงเสียที

    “ให้เจ้ารอเสียแล้ว”จื่อฟางหยุดอยู่ห่างจากไป๋ผูอวี้ไม่กี่ก้าว มีต้นเหมยอยู่สามสี่ต้นอย่างที่จางต้าว่าจริงๆ ดอกเหมยสีขาวยังออกดอกไม่เต็มกิ่งก้านดีนัก แต่กลีบดอกหล่นเกลื่อนพื้น ร่างเบื้องหน้าหมุนตัวมาหา ไป๋ผูอวี้สวมชุดคลุมสีเข้ม เส้นผมถูกมัดไว้ลวกๆ

    “เป็นคนนัดข้า ยังจะสายอีก”บุรุษหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย ใบหน้าที่เคยอ่านยาก ยามนี้ประดับด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาสีเข้มเป็นประกายหยอกล้อ  จื่อฟางกระพริบตา บางทีเขาอาจตาฝาดไป

    “เกิดเรื่องจุกจิกนิดหน่อย เจ้ามานานหรือยัง”เขากังวลว่าอีกฝ่ายจะรอนาน เมื่อกวาดตามองไปรอบๆ ก็พบว่าบริเวณใกล้เคียงเงียบสงัด สายลมเย็นพัดเอื่อยๆ กลิ่นหอมอ่อนจางของดอกเหมยบางเบา เด็กหนุ่มบอกให้หนานอิงจอดรถม้าอยู่ที่ตรอกใกล้ๆ ไม่อยากให้มาเป็นกว้างขวางคอ

“ไม่นานนักหรอก ว่าแต่คุณชายเสิ่นรีบร้อนอยากพบข้าเสียดึกดื่นถึงเพียงนี้ คงมีเรื่องสำคัญกระมัง”ไป๋ผูอวี้กวาดตามองร่างบาง น่าแปลก ไม่ได้เห็นหน้าหลายวันเขากลับรู้สึกว่าเสิ่นจิ้งเฟยดูอิ่มเอิบกว่าเดิม ดวงตากระจ่างใส คุณชายตรงหน้าทำทีอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดชะงัก ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน ไป๋ผูอวี้เลื่อนสายตามองปิ่นไม้จันทร์ลักษณะธรรมดาเกินกว่าจะมาอยู่บนเส้นผมดำขลับของอีกฝ่าย มีเพียงดอกไม้เล็กๆประดับตกแต่งแต่ก็ดูเข้ากับคุณชายเสิ่นอย่างพอดิบพอดี

จื่อฟางยกมือจับปิ่นบนศีรษะเมื่อรู้สึกว่าถูกจ้องมอง ล้วงเอากล่องไม้ออกมาส่งให้อีกคน 

“ข้าซื้อมาให้ท่าน”

    “ให้ข้า?”ชายหนุ่มรับมาเปิดดูอย่างใคร่รู้ แต่เมื่อเห็นปิ่นไม้แบบเดียวกันกับที่เสิ่นจิ้งเฟยใช้ก็เลิกคิ้ว ปกติเขาก็ไม่ค่อยได้ใช้ปิ่นปักผมอยู่แล้ว ของสวยงามเช่นนี้ไม่เหมาะกับเขา

    “เจ้าไม่ชอบหรือ”จื่อฟางเริ่มวิตก ถึงแม้จะเป็นของไม่แพง แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าไป๋ผูอวี้จะชอบหรือไม่ “เจ้าไม่ต้องใช้ก็ได้ แค่เก็บไว้ก็พอ”เด็กหนุ่มพูดเสริม

ไป๋ผูอวี้เหลือบตามองใบหน้าหมดจดที่มีริ้วรอยตกประหม่าของอีกฝ่ายก็เผยรอยยิ้ม “ข้าไม่เหมาะกับของพวกนี้ แต่ในเมื่อท่านซื้อให้ ข้าจะปฏิเสธของจากคนงามได้อย่างไร”ชายหนุ่มจงใจเอ่ยหยอกล้อ ร่างบางตรงหน้าเบิกตาโตมองเขา ‘คนงาม’ที่ว่าหน้าแดงซ่าน กำมืออยู่ในแขนเสื้อ 

    ‘นี่ไป๋ผูอวี้หยอกเขาอยู่หรือ คนงามรึ! บ้าไปแล้ว’ จื่อฟางกัดลิ้นห้ามตัวเองอย่างหนักไม่ให้โกรธเคือง ใครจะชอบให้ถูกชมว่างามกันเล่า! ไป๋ผูอวี้เห็นว่าเสิ่นจิ้งเฟยดูไม่คล้ายเหมือนคนเขินอายก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าคุณชายท่านนี้ไม่ชอบให้ผู้ใดชมว่างดงาม หากเป็นเขาถูกชมว่างามเหมือนหญิงก็ต้องมีขุ่นเคืองบ้างล่ะ

    “ท่านโกรธหรือที่ถูกเรียกว่าคนงาม”ไป๋ผูอวี้ยังมีแก่ใจเอ่ยแกล้ง

    “ช่างเถอะ”จื่อฟางถลึงตาใส่ เมื่อรู้ตัวว่าถูกเจ้าบ้านี่แกล้งเข้าแล้วก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ทำท่าปลอดโปร่ง

    “ข้าเพียงล้อท่านเล่นเท่านั้น”ชายหนุ่มกลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธเข้าจริงๆจึงยอมลดลา เสิ่นจิ้งเฟยเม้มปากเงียบไปอยู่พักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจ คิดว่าโกรธไปเดี๋ยวเสียบรรยากาศเปล่าๆ อีกอย่างตนไม่ใช่หญิงสาวมาเง้างอนคงไม่น่าดูนัก เขาจึงก้าวไปใกล้ร่างสูง ถอดสร้อยหยกของไป๋ผูอวี้ออกมาคืนเจ้าของ   

    “สร้อยหยกปัดเป่าโชคร้ายของเจ้าคงช่วยข้าไว้กระมัง ถึงได้ไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น”จื่อฟางพึมพำเขย่งเท้า ยืดตัวสวมสร้อยคืนให้กับบุรุษตรงหน้า แต่ไป๋ผูอวี้ตัวสูงกว่าเขา ร่างนั้นจึงโน้มตัวมาใกล้เพื่อลดช่องว่าง ทำให้ไม่ต้องเขย่งมากเกินไป ได้กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์มาจากร่างของไป๋ผูอวี้ จื่อฟางกวาดตามองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย

    “เจ้าคงรู้กระมังว่าข้านัดเจ้าออกมาด้วยเรื่องใด”เขากระซิบเสียงเบาราวกับกลัวผู้ใดได้ยิน

ไป๋ผูอวี้สบตาเขาครู่ใหญ่ “มีผู้ใดชมดอกเหมยยามวิกาลบ้างเล่า”คนตรงหน้าพึมพำ

“ข้าแค่อยากเห็นหน้าเจ้า”จื่อฟางกลั้นใจเอ่ยออกไป คำเกี้ยวหวานๆเช่นนี้ เขาไม่ค่อยชินนัก นึกอยากเอาหน้าแทรกแผ่นดิน ในยุคปัจจุบันหากพูดไปคงโดนล้อว่าเห่ยเป็นแน่ แต่จะว่าไปก็ไม่เคยเห็นดวงตาคู่นี้ของบุรุษตรงหน้าเป็นประกายเจ้าเล่ห์มาก่อน หรือนี่คือภาพลวงตา เขาทนสบตาไม่ไหวจึงเลื่อนมองทางอื่น

    “ไยไม่มองหน้าข้า”อีกฝ่ายคล้ายมีรอยยิ้ม

    “เจ้าสนุกสินะได้หยอกล้อข้าเช่นนี้”เขาพึมพำหรี่ตามอง

“ก็คงเหมือนยามที่ท่านล้อว่าข้าเป็นท่อนไม้กระมัง”ไป๋ผูอวี้กล่าวจบก็ใช้สายตาขบขันมอง แต่สายตานั้นเลื่อนต่ำลงที่ริมฝีปากของเสิ่นจิ้งเฟย สายลมหนาวพัดมาอีกระลอก พาให้กลีบดอกเหมยร่วงหล่นลงบนไหล่ผอมบางของร่างตรงหน้า ไป๋ผูอวี้ยืนมือไปปัดออก สบตากับร่างนั้นครู่หนึ่ง พานคิดไปว่าเสิ่นจิ้งเฟยงามกว่าดอกเหมยเป็นไหนๆ

“ไป๋ผูอวี้…เจ้าว่าคืนนี้ดวงจันทร์งามรึไม่”จื่อฟางเอ่ยถาม แต่ความคิดไม่ได้อยู่ที่ดวงจันทร์เพราะบุรุษหนุ่มขยับเข้ามาหา ยกมือเชยคางอย่างนุ่มนวล เด็กหนุ่มตกประหม่าเมื่อเงาร่างของอีกฝ่ายทาบทับ ไป๋ผูอวี้โน้มใบหน้าเข้าใกล้ ริมฝีปากเย็นขบเม้มเบาๆชวนให้จั๊กจี้ จื่อฟางหลับตา สัมผัสเปียกชื้นลากไล้อยู่บริเวณริมฝีปาก เขาจึงเปิดรับปลายลิ้นที่สอดเข้ามา จื่อฟางวางมือลงบนบ่าของร่างแกร่ง ใจเต้นไม่เป็นส่ำราวกับเด็กหนุ่มแรกรัก แต่เมื่อคุ้นชินกับริมฝีปากที่ย้ำจูบซ้ำๆ เขาก็เริ่มดูดเม้มกลีบปากของอีกฝ่ายก่อนเอียงใบหน้าปรับรับองศาจูบให้ดูดดื่มมากยิ่งขึ้น

สองมือของชายหนุ่มขยับเลื่อนมาโอบเอวกระชับร่างบางเข้าใกล้ จื่อฟางลูบไปตามลำคอของร่างสูง จูบนั้นแปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลอ่อนหวานก่อนที่ไป๋ผูอวี้จะยอมผละจากริมฝีปากอย่างเชื่องช้า เขากวาดตามองใบหน้าแดงก่ำของเสิ่นจิ้งเฟย ริมฝีปากยังคงชุ่มฉ่ำจากการจูบเมื่อครู่ ไป๋ผูอวี้ยกนิ้วโป้งเกลี่ยไปมาบนกลีบปากนั้น ความร้อนสุมอยู่ในอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จื่อฟางยังคงหวาบไหวกับรสจูบจึงอ้าปากขบฟันลงบนนิ้วมือของไป๋ผูอวี้ เขาช้อนตามองเห็นแววตาของอีกฝ่ายคมเข้มกว่ายามปกติจึงใช้ลิ้นหยอกเย้า อยากรู้ว่าเจ้านี่จะแสดงท่าทีเช่นไร ไป๋ผูอวี้เพียงก้มมองออกแรงกดนิ้วลงบนปลายลิ้น

    “ไฉนท่านซุกซนเช่นนี้”เขาเอ่ย ยังคงมองใบหน้าหมดจดของเสิ่นจิ้งเฟย ไม่อยากเชื่อว่าคุณชายท่านนี้ทำให้เขาเสียการควบคุม รู้สึกว่าอยากกำราบสายตาซุกซนแพรวพราวของอีกฝ่าย คนทั้งสองมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง แม้ไม่เอ่ยสิ่งใดก็ล่วงรู้อยู่ในใจ   

 “ท่านไม่ควรออกมาตากลมนาน ร่างกายของท่านไม่แข็งแรง”ไป๋ผูอวี้ละมือออกมาจากริมฝีปากแดงเรื่อชวนให้บดขยี้ ใบหน้ารูปไข่ของเจ้าตัวมีเลือดฝาดดูมีชีวิตชีวา 

    “ข้ามิได้อ่อนแอปานนั้น”จื่อฟางบ่นพึมพำ ริมฝีปากยังคงร้อนผ่าวราวกับสัมผัสเมื่อครู่ยังคงอยู่ เขาเอื้อมไปเด็ดกิ่งเหมย ก่อนทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นดินที่มีกลีบดอกสีขาวร่วงหล่นละลานตาอย่างไม่กลัวชุดราคาแพงเปื้อน

    “หากเจ้าอยู่ใกล้ ข้าก็ไม่หนาวแล้ว”เด็กหนุ่มมิวายกล่าวหยอกชี้ให้ไป๋ผูอวี้มานั่งข้างกาย ร่างนั้นผ่อนลมหายใจมองเขาด้วยนัยน์ตาวูบไหวก่อนจะเคลื่อนกายนั่งลงข้างๆอย่างจำยอม ไป๋ผูอวี้ยังมีเรื่องที่อยากคุยกับเสิ่นจิ้งเฟย แต่อากาศเย็นเช่นนี้ก็กลัวว่าคุณชายเสิ่นจะป่วยเอาจึงถอดเสื้อคลุมสีเข้มของตนออกมาคลุมไหล่ผอมบางของอีกฝ่าย

    “เจ้าไม่หนาวหรือ”จื่อฟางกระชับเสื้อคลุมอบอุ่นไปทั้งตัว

“ท่านห่วงตัวเองเถอะ”ไป๋ผูอวี้เก็บดอกเหมยเสียบทัดที่ข้างหูของร่างบาง พินิจมองอย่างชื่นชม เด็กหนุ่มถูกจ้องมองจนรู้สึกว่าต้นคอร้อนวูบ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่สายตาของไป๋ผูอวี้ชวนให้วาบไหวเช่นนี้  เขาเม้มริมฝีปากฟังคำที่อีกฝ่ายเอ่ยพูด

    “ข้าได้ยินเรื่องของท่านที่อำเภอถงฉวนแล้ว”ชายหนุ่มยังคงไม่ละสายตาจากใบหน้าของคุณชายเสิ่น จริงอยู่ที่เขาไม่ใช่คนจำพวกหลงไหลในความงาม แต่ก็มิอาจละสายตาไปจากคนข้างกายได้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นหลี่ฮุ่ยจือ กระทั่งเขาก็มิต่างกัน ยังละกิเลศมิได้ แต่เขาไม่ใช่นักบวชจะให้ทำนิ่งเฉยต่อความรู้สึกที่ควบคุมไว้มานานได้อย่างไร

“เจ้าว่าอย่างไร”จื่อฟางถามเอนตัวพิงหัวไหล่แกร่งของไป๋ผูอวี้อย่างเป็นธรรมชาติ ชายหนุ่มเหลียวมอง จมูกจึงเฉียดผ่านข้างแก้มของอีกฝ่าย 

“ข้าเกรงว่าหลิวอ๋องจะไม่พอใจ ท่านหลีกเลี่ยงการมีตัวตนในฉางอันนี้มาหลายปี ไม่สิต้องบอกว่าท่านแสร้งทำตัวเหลวไหล…”กล่าวถึงตรงนี้ไป๋ผูอวี้ก็ไม่แน่ใจนัก คุณชายเสิ่นดูสำราญกับการเสแสร้งเสียเหลือเกิน

    “ท่านเตรียมใจรับมือกับท่านอ๋องไว้บ้างก็ดี”

“อืม”

    “ท่านกล้านัดข้ามากลางดึกไม่กลัวคนของอ๋องสามมาเห็นเข้ารึ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามสิ่งที่อยู่ในใจ จื่อฟางกดจมูกลงบนบ่าของอีกฝ่าย สูดกลิ่นหอมจากอีกร่าง ยกรอยยิ้มเหยียด

    “หากมีคนเห็นก็แค่บอกว่าข้าใช้ความงามล่อลวงเจ้า”เด็กหนุ่มเงยหน้าสบตากับอีกฝ่าย เอ่ยช้าๆ  “ดูเหมือนจะได้ผล”

ไป๋ผูอวี้หัวเราะในลำคอ รู้สึกเก้อกระดากอยู่บ้าง“ข้าไม่ได้หลงความงามของท่าน ข้าชอบท่านที่เป็นเช่นนี้ต่างหาก”

คำพูดซื่อตรงของอีกคนทำให้จื่อฟางอุ่นวาบไปทั้งอก ไป๋ผูอวี้คงเป็นเพียงคนเดียว ที่ชมชอบเขาเพราะตัวตน มิใช่รูปงามๆของเสิ่นจิ้งเฟยเสียทีเดียว เกิดความเงียบระลอกใหญ่แต่ไม่ได้อึดอัดแต่อย่างใด

    “ข้าได้ยินมาว่าเหล่าบัณฑิตและพวกนักปราชญ์กวีในฉางอันอยากรู้ว่าท่านมีฝีมือจริงดังที่ข่าวเล่าลือหรือไม่ พวกเขายังคลางแคลงในตัวท่านอยู่”คนที่นี่ไม่เหมือนอำเภอถงฉวน พวกเขาคุ้นชินกับเสิ่นจิ้งเฟยดีจึงไม่มีทางเปลี่ยนความคิดโดยง่าย

    “ข้าไม่สนความคิดของพวกเขา”จื่อฟางเบ้ปากน้อยๆ คนพวกนั้นไม่ต่างอะไรกับผู้ดีจอมปลอม มีแต่พกคำพูดสวยหรู วันๆเอาแต่นั่งต่อบทกลอน ยิ่งเหล่าบัณฑิตที่หัวเก่าคร่ำครึร่ำเรียนแต่คำสั่งสอนของขงจื๊อยิ่งแล้วใหญ่ แต่จื่อฟางจะพูดอะไรได้ในเมื่อตัวเขาเองก็ไม่ได้ทำตัวมีประโยชน์มากนัก

 “ข้าเพียงแค่อยากให้คนในฉางอันรู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยมิใช่ตัวตลกให้ผู้ใดมาหัวเราะ”อารมณ์วุ่นวายในอกทำให้เขาไม่สบายใจ เสิ่นจิ้งเฟยคงเก็บกดความรู้สึกเหล่านี้ไว้มาเป็นเวลานานปี  บุรุษอีกคนพินิจมองระลอกความรู้สึกที่ปนเปอยู่ในดวงตาคู่นั้น ความรู้สึกของคุณชายเสิ่นเขาพอจะเข้าใจ หรือนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้คุณชายท่านนี้เข้าร่วมกลุ่มกบฏอย่างนั้นหรือ?บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจความคิดของคุณชายรูปงามผู้นี้นัก

ลมหนาวพัดมาอีกระลอกใหญ่จื่อฟางเบียดตัวเข้าหาคนข้างกาย ไออุ่นร้อนจากกายบุรุษทำให้เขาเบียดเข้าหาเหมือนลูกแมวตัวหนึ่ง ไป๋ผูอวี้กุมใบหน้าเย็นเยียบของอีกร่างไว้   

    “ดึกแล้วอยู่แบบนี้นานไม่ดีนัก”เอ่ยจบก็แตะจูบลงบนกลีบปากของเสิ่นจิ้งเฟยอีกครั้งเหมือนอดไม่ไหว จื่อฟางนึกขำอยู่บ้างไม่คิดว่ายามที่ไป๋ผูอวี้เปิดเผยก็เปิดเผยเสียจนน่ากลัว เจ้านี่เปลี่ยนไปราวคนละคน ‘หรือเจ้าเป็นปีศาจยามอยู่บนเตียง’ เขาใจเต้นตุบๆ หลุดออกจากภาพจินตนาการเมื่อพบว่าแผ่นหลังสัมผัสพื้นดินแข็งๆตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ จื่อฟางพลันส่งเสียงครางเครืออยู่ในลำคอ ไป๋ผูอวี้ถอนจูบ ยันกายมองคุณชายเสิ่นที่นอนอยู่ท่ามกลางกลีบดอกเหมยใบหน้าแดงก่ำก็ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกวูบวาบในอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2019 08:55:30 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
   

 

“ข้าว่า…”กลับกันเถอะ คำพูดที่เหลือไม่ทันได้กล่าวเพราะเขาได้ยินเสียงควบม้ามุ่งตรงมาทางนี้ ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้วเสียงกีบม้าดังเข้าใกล้ชัดเจนพร้อมเงาตะคุ่มๆ เสิ่นจิ้งเฟยเบิกตากว้างอย่างตื่นตกใจ แต่อีกฝ่ายเร็วกว่าคว้าดึงเสื้อคลุมที่สวมอยู่บนบ่าของจื่อฟางมาคลุมศีรษะเพื่อปกปิดใบหน้า หากมีผู้ใดเห็นเข้าคงมิใช่การดี ยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจ นี่ไป๋ผูอวี้คิดเช่นไรถึงได้ตกลงออกมายามวิกาลเช่นนี้ หรือเขาโดนคุณชายเสิ่นล่อลวงเข้าแล้ว

“นั่นผู้ใด ไยมาทำลับๆล่อๆยามวิกาลเช่นนี้!”เสียงแหบห้าวดังแหวกความเงียบ พร้อมด้วยม้าสีดำตัวใหญ่หยุดอยู่ที่ศาลาลม ทหารตรวจกาลนั่นเอง จื่อฟางถูกเสื้อคลุมบดบังจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รับรู้ว่าถูกสองมือของไป๋ผูอวี้ฉุดให้ลุกยืน เสียงกีบม้าดังเข้าใกล้กว่าเดิม

“คุณชายไป๋”เสียงเรียกนั้นปรากฏแววประหลาดใจอย่างชัดเจน  “เหตุใดท่าน…”เสียงพูดเงียบหายไปราวกับพูดไม่ออก คงจะตกตะลึงมาก

    “ข้ามิทันระวัง นั่งเล่นเสียดึกดื่น”ไป๋ผูอวี้กล่าวเสียงสุภาพอยู่ข้างกาย

 “ไป๋ผูอวี้ท่านบ้าไปแล้วหรือ เหตุใดถึงทำตัวประเจิดประเจ้อไม่อายฟ้าดินเช่นนี้เล่า”ครานี้มีสุ้มเสียงแฝงแววกระทบกระเทียบดูถูกมาด้วย ไป๋ผูอวี้ไม่เอ่ยกล่าววาจาใด นายทหารเลื่อนสายตาสอดส่องมองร่างบางที่ถูกเสื้อคลุมตัวใหญ่บดบังใบหน้า สงสัยว่าเป็นหญิงบ้านใดที่กล้าออกมากับชายหนุ่มยามวิกาลเช่นนี้

ประเจิดประเจ้ออะไร น่าตื่นเต้นต่างหาก

จื่อฟางคิดอยู่ในใจไม่กล้าเอ่ยออกมา

 “พวกท่านรีบกลับไปได้แล้ว ข้าจะทำเป็นไม่เห็น หากจะพลอดรักก็ไปทำในที่ลับตาผู้คน”นายทหารยังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงดูแคลน คิดจะป่าวประกาศเรื่องไม่ดีไม่งามของสกุลไป๋ให้รู้กันทั้งฉางอัน

“ข้าขอตัว”ไป๋ผูอวี้อุ้มร่างของเสิ่นจิ้งเฟยด้วยสองแขนแข็งแรง เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าด้วยอารามตกใจ รับรู้ว่าถูกอุ้มราวหญิงสาว ร่างสูงพาเขาไปยังรถม้าที่จอดรออยู่ จื่อฟางไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาได้แต่ฟังเสียงก้าวเดินอยู่เงียบๆ สองหูได้ยินเสียงควบม้าห่างไปยังทิศอื่น

    “ท่านเจอเรื่องยุ่งเข้าแล้ว”จื่อฟางเอ่ยเมื่อแน่ใจว่าทหารนายนั้นไปไกลแล้ว

 “ช่างเถอะ ก็แค่คำนินทา ใช่ว่าข้าจะใส่ใจ”

ไป๋ผูอวี้ตกเป็นหัวข้อนินทาอยู่พักใหญ่ เรื่องที่เขาพลอดรักกับหญิงสาวอย่างไม่อายฟ้าดินกระจายไปทั่ว เป็นที่กังขาต่อเหล่าบัณฑิตที่รู้จักกับบุตรชายสกุลไป๋ จื่อฟางได้ยินแล้วก็หุบปากเงียบทำเป็นทองไม่รู้ร้อน แต่จางต้าและหยางชวีต่างก็รู้ดี

    ‘คุณชายเสิ่น ท่านกล้ามากไปแล้ว’จางต้าอยากเอาหัวโขกพื้นร่ำไห้เสียเหลือเกิน เห็นอนาคตเบื้องหน้าลางๆ 

~•~

วันที่ห้าเดือน เป็นวันที่เมืองหลวงคึกคักไปด้วยเหล่าบัณฑิตนักศึกษาจากเมืองใกล้เคียงเดินทางมาสอบระดับอำเภอ จื่อฟางได้ยินมาจนเบื่อว่าไป๋ผูอวี้สอบได้คะแนนดีลำดับหนึ่ง ก่อนวันสอบเขาไม่มีโอกาสได้เจอไป๋ผูอวี้ ฝ่ายนั้นก็ไม่กล้ามาหาเพราะข่าวลือที่เกิดขึ้นยังคงคุกรุ่น เขาเพียงส่งจดหมายมาอวยพรพร้อมแนบดอกเหมยมาด้วยเท่านั้น แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้เขาฮึดสู้ได้แล้ว เสิ่นมู่หยางถึงขั้นบูชาเทพเหวินฉวี่ขอพรเสริมมงคลให้บุตรชายสอบได้ กลับกันกับใต้เท้าเฉินที่เก็บตัวอยู่ในเรือนรับรอง ไม่แม้แต่โผล่หน้ามาให้กำลังใจ จื่อฟางไม่คิดมากแต่รู้ดีว่าเฉินฉางเซียงกดดันไม่แพ้กัน

ถึงวันสอบจื่อฟางและเหล่านักศึกษามุ่งหน้าเดินทางไปสำนักศึกษาหลวงด้วยความตั้งใจเดียวกัน สถานที่สอบเป็นห้องขนาดพอนั่งได้สบายตัวอย่างละห้องเรียงเป็นแนวยาวราวๆห้าสิบถึงหกสิบแถว มีหอหมิงหย่วนสำหรับสังเกตการณ์ตั้งตระหง่านน่าเกรงขามยิ่ง เมื่อเห็นจำนวนผู้เข้าสอบจื่อฟางก็ยิ่งหวั่นวิตก ในห้องมีกระดานอยู่สองแผ่นสำหรับทำข้อสอบและรองนั่ง เขาต้องหลับนอนในห้องแคบๆนี้ด้วย

ผู้คุมสอบตรวจค้นตัวเหล่านักศึกษาอย่างเคร่งครัด ของที่สามารถนำติดตัวเข้าไปได้มีเพียงเหยือกน้ำ หม้อ อาหาร เครื่องนอน และเครื่องเขียนเท่านั้น จื่อฟางทำสมาธิระหว่างที่ผู้คุมเริ่มแจกข้อสอบ ตั้งสติก่อนเปิดแผ่นกระดาษ หัวใจเต้นถี่รัว มองเห็นตัวอักษรบรรจงเรียงเป็นข้อความประโยคหนึ่งให้ตีความ

เด็กหนุ่มจรดปลายพู่กันเริ่มต้นเขียนบทความอย่างตั้งใจ กระทั่งการสอบสมัยเรียนเขายังไม่จริงจังเท่านี้ ภายในห้องแคบๆก่อด้วยหินทำให้เหงื่อแตกพลั่กทั้งๆที่เป็นช่วงเหมันต์ อย่างที่เฉินฉางเซียงว่าสอบระดับอำเภอไม่ยากเย็นเพราะเป็นขั้นต้น เขาต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้ การเขียนบทความค่อนข้างตายตัวมีแบบแผนชัดเจน เป็นเรียงความแปดตอน อย่างที่ว่ากันว่าการสอบเคอจวี่สมัยโบราณค่อนข้างล้าหลังกำจัดความคิดของผู้สอบเพราะไม่สามารถแสดงความคิดเห็นนอกเหนือจากตำราไปได้ดังนั้นเด็กหนุ่มก็ทำเพียงแค่คัดลอกบทความที่อ่านมาเท่านั้น

การสอบในที่แคบทำเอาจื่อฟางลำบากลำบน ปวดเมื่อยตัวไปหมด น้ำก็ไม่ได้อาบ การสอบกินเวลายาวนานถึงสองวัน แต่ก่อนจื่อฟางยังนึกสงสัยว่าบัณฑิตเหล่านั้นเขียนอะไรเยอะแยะนักหนา พอได้ประสบพบเจอกับตัวเองเขาก็แทบอยากร่ำไห้ เด็กหนุ่มเขียนตัวอักษรตัวสุดท้ายเสร็จก็นำกระดาษข้อสอบออกไปนอกห้องส่งให้ผู้คุมที่เฝ้าอยู่

บรรยากาศเย็นๆช่างสดชื่นนัก เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าดวงตะวันค่อนไปทางทิศตะวันตกเล็กน้อย อย่างน้อยน่าจะอยู่ในช่วงยามเซินเขาลากขาออกจากสนามสอบ เสื้อผ้าของจื่อฟางอับไปด้วยกลิ่นเหงื่อ

“คุณชายเสิ่น”มีเสียงเรียกดังมาจากเบื้องหลัง เขาหยุดหันไปมองก็พบกับเจิ้งเซี่ยสวีที่อยู่ในชุดเก่าจางดูเหมือนเพิ่งสอบเสร็จเช่นกัน

“เจ้าเองหรือ มีเรื่องใด”จื่อฟางไม่มีอารมณ์อยากสนทนากับผู้ใดนัก

“ท่านมาสอบจริงๆด้วย สีหน้าไม่สู้ดีเช่นนี้ ทำข้อสอบได้หรือไม่เล่า”อีกฝ่ายกล่าวคล้ายอยากชวนคุย แต่ฟังจากน้ำเสียงเจตนาคงมิใช่     

“ข้าทำได้ ทำได้ดีเลยเชียวล่ะ”จื่อฟางยิ้มกว้าง เขาไม่ได้มั่นใจถึงเพียงนั้นแต่เห็นอีกฝ่ายมาดูแคลนก็โมโหขึ้นมา เหล่าบัณฑิตนักศึกษาหลายคนที่สอบเสร็จแล้วต่างจ้องมองมาที่พวกเขาด้วยความสนใจ ผู้ที่ไม่รู้จักจ้องมองเพราะเห็นเสิ่นจิ้งเฟยใบหน้างดงาม ส่วนผู้ที่คุ้นชินต่างก็ฉงนสงสัย ไม่คิดว่าจะเห็นคุณชายเสิ่นมาสอบ เหล่าบัณฑิตต่างรู้ดีว่าเจิ้งเซี่ยสวีไม่ชอบบุตรชายสกุลเสิ่น พอเห็นคนทั้งคู่ประจันหน้ากันก็มองด้วยความสนใจ 

“เช่นนั้นขอให้คุณชายเสิ่นสอบผ่าน ท่านมาสอบเป็นครั้งที่สองแล้วข้าไม่อยากให้เสนาบดีเสิ่นผิดหวังอีก”

“ข้าก็ขอให้เจ้าสอบผ่านเช่นกัน แต่ข้าจะสอบอีกกี่ครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ตราบใดที่มีความพยายามใฝ่รู้ใฝ่เรียนและตั้งใจจริงก็ไม่ผิดมิใช่หรือ”เขากล่าวชัดถ้อยชัดคำ เจิ้งเซี่ยสวีเอียงศีรษะ ผู้คนรอบข้างได้ยินต่างก็แปลกใจ 

    “เจิ้งเซี่ยสวี เจ้าคงหิวเช่นกันกระมัง ถ้าอย่างนั้นไปหาข้าวกินกับข้า”จื่อฟางกล่าวผูกมิตร ไม่อยากให้มีเรื่องค้างคาใจกับเด็กหนุ่มผู้นี้อีก เจิ้งเซี่ยสวีได้ยินก็ทำหน้าฉงน มองคุณชายเสิ่นด้วยสายตาระแวดระวัง ไม่แน่ใจว่าคุณชายท่านนี้คิดทำสิ่งใดกันแน่

“ขออภัยคุณชาย ข้าทำมิได้ คำสอนของขงจื๊อกล่าวไว้ว่าอย่าคบสหายที่ไม่เสมือนตน มิตรสหายที่คบไม่ได้คือประจบสอพลอ หน้าไหว้หลังหลอก คุยโม้โอ้อวด”เจิ้งเซี่ยสวีเอ่ยเสียงสุภาพแต่จื่อฟางกลับรู้สึกเหมือนถูกน้ำร้อนสาดจนเจ็บแสบไปทั้งหน้า เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับเช่นนี้ พอมองไปรอบตัวก็เห็นเหล่าบัณฑิตนักศึกษาทำท่าราวกับเป็นผู้มากปัญญาเสียเต็มประดาก็เกิดความรู้สึกสะอิดสะเอียน

จื่อฟางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กัดฟันข่มความรู้สึกขมปร่าในอก ความรู้สึกรุนแรงของเสิ่นจิ้งเฟยยิ่งทำให้เขาควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ สีหน้าจึงย่ำแย่ มองไปก็น่าสงสาร     

“ดี ท่านขงจื๊อช่างดีนัก พวกเจ้าศึกษาเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความรู้ศีลธรรมของตนเองหรือเพื่อประดับตนให้คนอื่นดูกันแน่!”กล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกมาจากสำนักศึกษาหลวงด้วยความรู้สึกอันบอบช้ำทั้งของตัวเองและเสิ่นจิ้งเฟย หากบอกว่านี่คือผลของการกระทำที่เจ้าของร่างนี้สมควรได้รับมันไม่แย่เกินไปหน่อยหรือ!

จื่อฟางกลับมาที่จวนด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่ ตั้งใจจะเก็บตัวอยู่เพียงลำพัง แต่พบว่าใต้เท้าเฉินรออยู่ที่ห้องรับรอง

“ใต้เท้าเฉิน”เขาปรับอารมณ์อย่างรวดเร็ว ค้อมตัวทักทาย เฉินฉางเซียงกวาดตามองเจ้าเด็กไม่เอาไหน เห็นว่ามีสีหน้าย่ำแย่ก็ได้แต่นึกสงสัย

 “เป็นอะไรของเจ้า”

“เปล่า”เด็กหนุ่มตอบทันควัน แต่ก็เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ชายชราอีกคนฟังเพราะความอัดอั้น

    “ข้าเพียงแค่อยากผูกมิตรไถ่โทษเท่านั้น”จื่อฟางตัดพ้อเหมือนเด็กน้อย พยายามกลั้นคลื่นอารมณ์ของเสิ่นจิ้งเฟย แต่ก็กลั้นไว้ไม่อยู่ ความโดดเดี่ยวของเจ้าของร่างทำให้เขาน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้

    “ต้องให้ท่านเห็นภาพเช่นนี้น่าอายจริงๆ”เขาพูดพลางใช้ชายเสื้อเช็ดน้ำตา เฉินฉางเซียงมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก

    “พวกเขาเห็นเจ้าอย่างไรก็กล่าวอย่างนั้น อย่าได้คิดมาก เจ้าก็ปรับปรุงตัวแล้วมิใช่รึ”ใต้เท้าเฉินตบบ่าเขาเบาๆ จื่อฟางพยักหน้า ปรับลมหายใจให้เป็นปกติ เมื่อจัดการความรู้สึกที่ปั่นป่วนได้แล้วก็กลับมาสู่ท่าทีเดิม

    “ท่านมีเรื่องใดหรือ”

    “ข้านำของที่ปู่เจ้าฝากไว้มาให้”เฉินฉางเซียงพยักเพยิดไปที่หีบขนาดหนึ่งใบที่วางอยู่ข้างเก้าอี้

 “และมาเล่าเรื่องปู่เจ้าให้ฟัง”เขามองเด็กหนุ่มรูปงามด้วยใบหน้าจริงจัง ก่อนบอกเล่าเรื่องที่เสิ่นฉินอี้จัดการองค์ชายใหญ่เจี่ยอี้จนหลุดพ้นจากตำแหน่งรัชทายาท ปีนั้นเกิดอุทกภัย ต้องนำเงินท้องพระคลังมาแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัย แต่พบว่ารัชทายาทได้ยักยอกเงินส่วนหนึ่งมานานแล้ว ฮ่องเต้องค์ก่อนรังเกียจพวกคดโกงพอรู้เข้าก็ทรงกริ้วจนประชวร เรื่องนี้เป็นทั้งเรื่องจริงและไม่จริง เพราะผู้อยู่เบื้องหลังคือหู่เหม่ยเหรินสนมรักฮ่องเต้ พวกเขาเพียงสุมไฟให้ลุกลามเท่านั้น เดิมทีฮ่องเต้ก็มองออกว่าบุตรชายคนโตไม่สามารถเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้ แต่เพราะรับปากสนมรักไว้เช่นนั้น จึงไม่สามารถปลดรัชทายาทออกจากตำแหน่งในระยะเวลาอันใกล้ แต่กลุ่มผู้สนับสนุนองค์ชายรองไม่คิดรอนาน พวกเขาจึงชิงลงมือก่อน   

“เจ้ารู้เพียงเท่านี้เป็นพอ รู้แค่ว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่ได้ทำร้ายปู่เจ้า ปู่เจ้าถูกคนขององค์ชายใหญ่เล่นงาน พิษที่ตรวจเจอเป็นพิษหายากจากนอกด่าน”เฉินฉางเซียงกังวลว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะสะเทือนใจเรื่องท่านปู่จึงไม่ได้กล่าวเพิ่มถึงเรื่องชู้สาวที่องค์ชายใหญ่ถูกกล่าวหา

จื่อฟางแสร้งตีหน้าเศร้าหมอง เขาก็มิได้ตกใจแต่อย่างใด เสิ่นฉินอี้เป็นคนเช่นไรเขาไม่เคยได้สัมผัส เรื่องในราชสำนักไม่มีคำว่าปรานี ในประวัติศาสตร์เรื่องโหดร้ายมากกว่านี้ยังถูกจารึกไว้ นับประสาอะไรกับเรื่องเท่านี้ จื่อฟางหวนนึกถึงความทรงจำยามที่เสิ่นจิ้งเฟยถูกยาพิษ ไม่ผิดที่องค์ชายใหญ่จะเคียดแค้นสกุลเสิ่น หากองค์ชายใหญ่สามารถกลับมาทวงบัลลังก์คืนได้กลุ่มที่เคยสนับสนุนฮ่องเต้เจี่ยผิงคงไม่รอดชีวิต

    “ตอนนี้องค์ชายใหญ่อยู่ที่ใดแล้ว”จื่อฟางเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ยามที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีชีวิต พระองค์ถูกกักตัวคุมประพฤติอยู่ในวังองค์ชาย แต่เมื่อฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ก็กลัวว่าจะเป็นหอกข้างแคร่ แต่พระองค์ยังมีจิตเมตตาไม่อยากฆ่าแกงพี่น้องจึงสั่งถอดยศองค์ชาย ให้นามใหม่ว่าช่างอิ่น คุมตัวอยู่ในคุกหลวงอยู่หลายปี แต่ว่าเกิดเหตุวุ่นวายในวังหลวงทำให้องค์ชายใหญ่กลับหนีรอดไปได้ เจ้าว่าวังหลวงที่คุมเข้มถึงเพียงนั้น เขาจะหนีไปได้อย่างไร”ใต้เท้าเฉินเล่าเหมือนเห็นเป็นนิทานเรื่องหนึ่ง

    “ใต้เท้าหมายความว่าเป็นฝีมือของคนในหรือ”จื่อฟางกระซิบ ไม่ว่าใครที่ลงมือช่วยเหลือคนผู้นั้นนำภัยมาให้สกุลเสิ่นแท้ๆ องค์ชายใหญ่หรือช่างอิ่นอยู่ด้านนอก ไม่คิดมาลงมือมาฆ่าเสิ่นจิ้งเฟยอีกหรือไร

    “ตอนนี้ก็ยังไม่ทราบว่าเป็นอสรพิษตัวใด”ใต้เท้าเฉินถอนหายใจ

จื่อฟางรู้สึกว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น  ฮ่องเต้เจี่ยผิงอยู่ในวังหลวงท่ามกลางศัตรูรายล้อม คนผู้นั้นข่มตานอนหลับได้อย่างไร 

    “ฟังแล้วก็อย่าคิดให้รกสมอง เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้”เฉินฉางเซียงกล่าวเตือน มองเสิ่นจิ้งเฟยด้วยสายตาคมปราบ

    “คิดว่าข้าอยากยุ่งหรือ”สายไปเสียแล้วล่ะ เสิ่นจิ้งเฟยตัดสินใจเลือกข้างไปแล้ว ทั้งฮ่องเต้ หลิวอ๋อง องค์ชายใหญ่ วันใดวันหนึ่งพวกเขาต้องปะทะกัน จื่อฟางได้แต่หวังว่าตัวเองจะอยู่รอดปลอดภัย

“เอาล่ะ ข้าจะพักอยู่ในจวนอยู่รอฟังผลสอบของเจ้าแล้วค่อยกลับเสียนหยาง”ใต้เท้าเฉินลุกจากที่นั่ง พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วเขาก็ใจหาย ตาแก่ผู้นี้ทำให้จวนเสนาบดีไม่เงียบเหงา หากไปจากจวนสกุลเสิ่น จวนแห่งนี้ก็คงกลับมาไร้สีสันเช่นเดิม

เฉินฉางเซียงเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าหมองก็ยกไม้เท้าเคาะหัวเข่าเสิ่นจิ้งเฟยเบาๆ “ไม่ต้องทำหน้าเศร้า ข้าไม่ได้ตายเสียหน่อย”

ถึงอย่างไรท่านก็ตายยากอยู่แล้ว จื่อฟางคิดในใจ จนเมื่อร่างของเฉินฉางเซียงหายไปจากสายตา เขาก็เรียกจางต้ามายกหีบเข้าไปในห้อง เห็นสีหน้าท่าทางของบ่าวคนสนิทนี่ก็รู้ว่าของในหีบต้องหนักมากแน่

 “ขอบใจมาก เจ้าออกไปได้”เขาออกปากไล่ เมื่ออยู่เพียงลำพังก็เปิดหีบด้วยใจใคร่รู้ เสิ่นฉินอี้ทิ้งอะไรไว้ให้หลานชายกันหนอ จื่อฟางอ้าปากกว้าง ตาโตเมื่อเห็นทองแท่งเรียงรายอยู่ในนั้นอยู่ยี่สิบกว่าแท่ง เมื่อตรวจดูปรากฏว่ามีตั๋วเงินด้วย เด็กหนุ่มหยิบกระดาษเก่าๆคาดว่าเป็นจดหมายออกมาอ่าน

เสิ่นจิ้งเฟยหลานรัก หากเจ้าอ่านจดหมายนี้ ปู่คงลงปรโลกและเจ้าคงเติบใหญ่เป็นหนุ่ม พ่อเจ้าก็คงเริ่มมีหงอกขึ้นบนผมแล้ว ยังมีเรื่องมากมายที่ยังไม่ได้จัดการ พ่อเจ้านิสัยไม่เด็ดขาด ปู่กลัวมู่หยางปกป้องตัวเองไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นเจ้าก็จะแย่ไปด้วย ปู่เป็นห่วงนัก จึงเขียนถึงเจ้าฉบับหนึ่ง ถึงมู่หยางฉบับหนึ่ง ปู่ต้องขอโทษด้วยที่ในภายภาคหน้าสกุลเสิ่นต้องเจอเรื่องราววุ่นวาย ปู่อยากเตือนเจ้าอย่าได้คิดยุ่งเกี่ยวกับฮ่องเต้เจี่ยผิง คนผู้นั้นมิอาจนำความสงบสุขให้เจ้าได้

จื่อฟางย่นคิ้ว ทำราวกับเสิ่นจิ้งเฟยจะตกลงปลงใจกับฮ่องเต้ 

อีกประการอย่าเข้าร่วมกับหลิวอ๋องเจี่ยซิน เขาเป็นคนสองหน้า ภายนอกดี แต่ในใจคงคิดวางแผนใดอยู่เป็นแน่ ส่วนองค์ชายใหญ่หรือช่างอิ่นผู้ ยามนี้เจ้าเติบใหญ่ คงเข้าใจเรื่องราวอย่างถ่องแท้ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่ปู่กระทำกระมัง หากวันใดวันหนึ่งเกิดเรื่องใดขึ้นกับมู่หยางหรือสกุลเสิ่น จงนำทองและตั๋วเงินเหล่านี้หนีไปตามแผนที่ที่ปู่แนบมา เสิ่นจิ้งเฟย ข้าหวังว่าเจ้าจะเติบโตอย่างงดงาม

จื่อฟางจ้องจดหมายอยู่นานสองนานก่อนย้ายสายตามองกระดาษยับย่นเก่าเหลืองอีกแผ่นมาดู เป็นแผนที่ไปยังเหลียวตง จื่อฟางไม่รู้จักสถานที่นี้ แต่จากจุดในแผนที่ เหลียวตงที่ว่าอยู่เกือบสุดขอบ ภูเขาหรือ? หากคิดจะเดินทางจริงต้องใช้เวลาเท่าใดกัน เสิ่นฉินอี้ถือว่ายังมีความรับผิดชอบ สร้างเรื่องไว้แล้วยังหาทางหนีทีไล่ไว้ให้ด้วย เขาคิดอย่างประชดประชัน หากจะหนีให้พ้นจากอำนาจฮ่องเต้ต้องไปที่ใดเล่า จื่อฟางนึกถึงดินแดนตะวันตก ถ้าจะหนีจริงข้ามไปทางเส้นทางสายไหมไม่ดีกว่าหรือ แต่ในโลกที่มีพื้นฐานมาจากนิยาย ได้อ้างอิงสถานที่จริงเหล่านี้หรือเปล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว แต่อย่าเพิ่งคิดว่าจะหนีได้เลย ยังมีเรื่องที่ต้องเผชิญอีกมากนัก

    “คุณชายเสิ่น”จื่อฟางสะดุ้งโหยง รีบเก็บจดหมายปิดหีบทันทีเมื่อได้ยินเสียงราบเรียบไม่คุ้นหูดังอยู่หน้าประตู

“ใครน่ะ”

    “ฝ่าบาทต้องการพบท่าน”

~•~

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จื่อฟางได้เยียบย่างเข้ามาในวังต้องห้าม แม้การพบเจอฮ่องเต้จะเป็นเรื่องหน้าสิวหน้าขวาน แต่เขาก็ยังอดเหลียวมองไปรอบตัวไม่ได้ กงกงที่เดินนำหน้าคอยแต่ใช้สายตาตำหนิมองเมื่อเห็นจื่อฟางทำเสียกิริยา ได้มาเห็นของจริงกับตาตนเองก็ย่อมต้องตื่นตาตื่นใจเป็นธรรมดา เขาถูกนำไปยังสวนกว้างขวางแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าคือศาลาหรูหราทอดยาวอยู่ในสระบัว ม่านทองปลิวไสวรับลม มีเงาร่างงดงามของคนผู้หนึ่งปรากฏให้เห็น

จื่อฟางเพ่งมองก่อนเอ่ยถาม “ข้าขออนุญาตถาม คนผู้นั้นเป็นผู้ใดหรือ กงกง” 

“ชายงามของฝ่าบาท”คำตอบที่ได้ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้

“ท่านรอฝ่าบาทอยู่ที่นี่”กงกงกล่าว

จื่อฟางยังไม่ทันได้ขอบคุณ ร่างของขันทีใหญ่ก็หมุนตัวจากไปแล้ว ทิ้งให้เขายืนเก้ๆกังๆอยู่เช่นนั้น เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปใกล้ศาลาอย่างเงียบเชียบจนสามารถมองเห็นชายงามได้ชัดร่างนั้นมีใบหน้าเล็ก ริมฝีปากแดงเป็นกระจับ ผิวกายสีน้ำผึ้ง เส้นผมดำขลับปล่อยยาวสยาย ชายงามสวมชุดสีฉูดฉาดแขนเสื้อคลิบทองหรูหรา คนผู้นี้งดงามมาก งามคนละแบบกับเสิ่นจิ้งเฟย ร่างนั้นนั่งลูบคลำกู่ฉินคันงาม ท่าทางสงบนิ่งราวกับไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวของจื่อฟาง นิ้วมือเรียวเริ่มเคลื่อนไหวบนเครื่องดนตรี ท่วงทำนองเสนาะหูระทมทุกข์ชวนให้จิตใจสั่นไหว เด็กหนุ่มยืนมองราวกับถูกมนต์สะกดตรึงให้อยู่กับที่ หัวใจเต้นแรงจนแทบกระเด็นออกมา   

ตึง 

เสียงกู่ฉินหยุดลงพร้อมกับชายงามตรงหน้าที่ลืมตาขึ้นช้าๆ แววตาเป็นประกายวูบไหวจดจ้องอยู่ที่ร่างของเขา

“เป็นอย่างไร อยู่ในร่างของข้าแล้วมีความสุขหรือไม่”โทนเสียงคุ้นหูเอื้อนเอ่ย จื่อฟางเบิกตากว้าง หัวใจสูบฉีด  ร่างกายเอนไหวคล้ายยืนไม่อยู่ เขาขยับก้าวเข้าไปหาก่อนทรุดนั่งอยู่เบื้องหน้าร่างนั้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ชายงามเอ่ยเช่นนี้…หมายความว่า

“เจ้าคือ...”เขาอ้าปากหมายจะพูด แต่สายตาขุ่นเคืองของอีกฝ่ายพุ่งตรงมาทำให้ชะงักค้าง

“ได้มองจากสายตาคนนอก ตัวข้าเสิ่นจิ้งเฟยช่างอ่อนแอน่าสมเพชยิ่งนัก ไม่รู้ว่านี่เป็นโชคชะตาหรือว่าเป็นเจ้าที่โชคร้ายกันแน่”รอยยิ้มที่แผ่ไม่ถึงดวงตาปรากฏอยู่บนเรียวปากเล็ก ท่าทางร้ายกาจแฝงแววเย่อหยิ่งเช่นนี้จะเป็นใครมิได้ ถ้อยคำของท่านซินแสลอยเข้ามา ‘อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล’

เสิ่นจิ้งเฟย!เจ้าอยู่ในวังหลวงเองหรอกหรือ





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2019 08:55:46 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 โอ้โหๆ. น้องเสิ่นจิ้งเหยตัวจริงที่แท้มาหลบอยู่กับฝ่าบาทนี่เองน่าสงสารนะ เพราะถึงจะมีตัวจริงอยู่แต่กลับไม่ปล่อยวางร่างกายของน้อง
จื่อฟางกับพี่ไป๋นี่คืออื้อหือๆๆๆ. ในรถม้าไม่ได้บรรยากาศเนาะเสียดายทหารมาขัด
ขอบคุณมากๆที่มาต่อแบบจุใจค่ะ

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ขอบคุณค่ะ ยาวจุใจเหมือนเดิม ตอนนี้พระเอกมาแรงมากกก ฮีเปลี๊ยนไป๋ ที่กั๊กๆ ไว้หายหมด ส่วนเสิ้นจิ้งเฟยตัวจิง รอดูค่ะว่าจะมาแนวไหน แต่นางหนีฮ่องเต้ไม่พ้นจิงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ตัวจริงอยู่ใกล้ๆนี่เอง ท่าทางคงร้ายไม่เบา

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ว้าววววววว เอาแล้ว ๆ ต่อ ๆ ด่วนนนนนนนน   :katai5:

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
สนุกมากค่ะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ sasa

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1008
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
เจอกันแล้ว ตัวจริง ตัวปลอมต่อไปจะเป็นยังไงลุ้นๆจ้า  o13

ออฟไลน์ Aeflizm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ต้นฉบับนิยายนี่คือเรื่องนี้หรือเปล่าคะ ติดตามๆๆรอได้ค่าา

ออฟไลน์ ciaiwpot

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1098
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
เฮ้ย
จะเกิดอะไรขึ้นอีกนะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
โอ้ยสนุกมากกกก ชอบฉากพลอดรักมากเลย เหมือนน้องจื่อฟางมาทำให้คุณไป๋ใจแตกไงไม่รู้ ส่วนเจ้าของร่างจริงคือดูเป็นคนฉลาดมากเลยค่ะ น่ากลัว  :hao5:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ทำไมไปอยู่ในร่างนั้นได้ล่ะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
 พี่ไป๋เดี๋ยวนี้ไม่นิ่งแล้ววววว เดี๋ยวจูบๆ  :-[ :-[ :-[

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เรื่องเริ่มลึกลับซับซ้อนขึ้นไปอีก ไหนจะเรื่องอนุของพ่อ

แล้วโผล่เรื่องยาพิษกับน่าจะเคยได้ใกล้ชิดกับฮ่องเต้อีก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ร้ายกันทั้งพี่ทั้งน้องอะเราว่านะ

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
 :a5: เอ้าผี พีค! พีคมากอะ ที่โดนยาพิษคือจากองค์ชายใหญ่

ชัวร์แล้ว มันพลิกแพลงไปเยอะเลย

ออฟไลน์ toncivil

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ฉากบู่กำลังจะมา  :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ดุบนเตียง​ อื้อหือออออ

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3
โอ้ ปมเยอะสุด ๆ เรื่องนี้  :a5:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อ้าวๆๆๆๆ ยังไงต่อล่ะเนี่ย

ออฟไลน์ Mr.Sedsawa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
         โอ้ยๆๆๆ ชอบมาก ติดมากตอนนี้ และค้างมากเช่นกันแต่จะเป็นผู้รอที่ดีค่ะ :hao5: :hao5:
          จบตอนได้อึ้งมาก นี่เอ๋อไปเลยแปปนึง แต่ที่รุ้ๆคือน้องเสิ่นตัวจริงต้องแซ่บ!!!!! ไม่รู้ทำไมแต่ชอบน้องอ่ะ พูดมาคำเเรกก็ร้ายเเล้ว อิแม่ชอบค่ะรู้กก  :ling1: :ling1: ดูเป็นคนรว้ายรว้ายยยย อยากปกป้องน้องเลย อยู่ใกล้ฮ่องเต้คนที่ไม่ชอบอีก อยากจับหอมหัว
          อยากได้โมเม้นนางช่วยกันเเก้ปัญหา หวังได้มั้ยคะะะ5555555 ต้องเป็นภาพที่น่าเอ็นดูววว

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ตัวจริง ตัวปลอม เจอกันแล้ว นี่ยังไม่ถึงกลางเรื่อง งั้นก็ยังอีกหลายตอนกว่าจะจบ ดีมาก อ่านจุใจดี

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ช่วงชมดอกเหมยเราเขินมากค่ะ​ โดนจับได้ด้วยอ่ะ55​ ตัวจริง​มาอยู่กับฮ่องเต้แบบนี้โอ้ยคู่ตัวจริงก็น่าสนใจ​ แต่คู่หลักน่ารักมากๆ​ ขอให้ตัวปลอมสอบได้นะคะ

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
นั่นสิเสิ่นจิ้งเฟยไปอยู่ที่ไหน ร่างใคร ทำไมบอกว่าไม่ใกล้ไม่ไกล

ป.ล. ดะ ดะ เดือนตุลาคมเหรอคะ  :hao5: ได้ค่ะได้ เราจะรอนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด