✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ  (อ่าน 182169 ครั้ง)

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
สอบได้อยู่แล้ว มั่นหน้า มั่นใจสุด ๆ  :laugh:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชอบบบบบบบบ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ไป๋ผูอวี้ ชนะจื่อฟางอีกแล้ว   :o8: :impress2:
แข่งแบบนี้ ถูกใจ๋ ถูกใจ   :hao5:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ฮืออออ เค้าจูบกัน ถึงจะแบบเอาชนะก็เถอะ เราก็ฟินนน

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ซับซ้อนมากเลย

ออฟไลน์ Aeflizm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อยากรู้คนใหม่ของท่านพ่อคือใครร ชอบเรื่องนี้มาก รอนะคะะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
อุ้ยมาไว​ ดีใจจังเลยค่ะ​  สนุกค่ะ​ ยิ่งคลายปม​ ยิ่งน่าติดตาม

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
จูบแล้วน้า โอ้ย เข้มข้น

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 บทสิบสี่ เยี่ยมสกุลโหยว

หลังจากที่หยางชวีสอนให้จื่อฟางเดินลมปราณจนแล้วเสร็จ เด็กหนุ่มก็ใช้เวลาก่อนนอนเพียงลำพังเช่นเคย เขานั่งมองเงาสะท้อนใบหน้างดงามของเสิ่นจิ้งเฟยจากคันฉ่อง ในใจพลันผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา หากว่าเสิ่นจิ้งเฟยใบหน้าอัปลักษณ์จะยังมีคนชื่นชมอยู่หรือไม่ เขาอยู่ในร่างนี้มาเกือบสี่เดือน ยังรู้สึกเช่นนี้ แล้วเสิ่นจิ้งเฟยเล่าจะรู้สึกเช่นไร เขาไล่ความคิดไร้สาระออกไปก่อนกวาดตาอ่านจดหมายที่เพิ่งเขียนเสร็จไปเมื่อครู่ เป็นจดหมายถึงฮ่องเต้เจี่ยผิงมีใจความว่า

‘ฝ่าบาท ข้ามีเรื่องอยากร้องขอท่าน เรื่ององครักษ์ที่ท่านส่งมาข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก แต่ข้ามิใช่นักโทษ ข้าไม่อยากให้องครักษ์ทั้งสองมาสุ่มส่องบนหลังคาเรือนนอนของข้า ฝ่าบาทโปรดเข้าใจด้วย’

เขาพยายามใช้ถ้อยคำที่ดูไม่เหมือนเป็นคำสั่ง แม้อ่านแล้วจะสั้นห้วนไปบ้าง แต่เช่นนี้ถึงจะสมกับเป็นเสิ่นจิ้งเฟย  การร่วมมือกับฮ่องเต้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีเสียทีเดียว หากไม่ใช่เพราะเรื่องของหลิวอ๋องเขาก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว มีคนของฮ่องเต้คอยสอดส่องทำให้จื่อฟางทำเรื่องออกนอกลู่นอกทางไม่สะดวก เขากลัวว่าองครักษ์สองคนนั่นจะเอาไปรายงานฮ่องเต้ เด็กหนุ่มตรวจความเรียบร้อย นำจดหมายของตนเทียบกับลายมือเดิมของเสิ่นจิ้งเฟยก็พบว่าไม่มีร่องรอยน่าสังสัยจึงจัดการปิดผนึกจดหมาย

จื่อฟางย้อนนึกถึงบทสนทนาระหว่างตนกับหานตงผู้ติดตามประจำตัวของเสิ่นมู่หยาง 

“คุณชายเสิ่น นายท่านนำความมาบอกว่าช่วงวันหยุดนี้ให้เดินทางไปเยี่ยมสกุลโหยวขอรับ”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว จากความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยเจ้าตัวดูไม่ใคร่อยากไปเยี่ยมสกุลทางฝั่งมารดาเท่าไร

จื่อฟางแสร้งทำสีหน้าขุ่นเคือง “เยี่ยมท่านตา? ไยต้องไป เขาป่วยขึ้นมาหรือ”

“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ นายท่านบอกกล่าวมาเช่นนี้”หานตงตอบด้วยสีหน้าคงเดิม 

“อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว”เขาพินิจมองบุรุษตรงหน้า หานตงมีบุคลิกที่แตกต่างจากหยางชวี เขาดูสุขุมนุ่มลึก คล้ายภูเขาลูกโตที่ไม่หวั่นเกรงสิ่งใด ถ้าหยางชวีเป็นคนหน้าตาย ชายตรงหน้าก็เป็นคนหน้าหิน เปรียบเทียบกันแล้วถึงได้รู้ว่าคนผู้นี้เหนือกว่าหลายขุม 

 “คุณชายเสิ่น ข้าน้อยขอกล่าวสักสองสามประโยค”หานตงกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงพลังสร้างความกดดันให้จื่อฟาง 

“ว่ามา”เขาโบกพัด เลียนแบบท่าทางของเสิ่นจิ้งเฟยได้สมจริงจนเขาเห็นหัวคิ้วของหานตงขยับน้อยๆ

“ระยะนี้ข้ามีความรู้สึกว่าจวนเสนาบดีกำลังถูกจับตามอง ข้าไม่รู้ว่าคุณชายคิดทำสิ่งใด แต่การให้คนภายนอกรู้ความเป็นไปของสกุลเสิ่นไม่ใช่เรื่องดี ข้าน้อยเป็นห่วง”น้ำเสียงของหานตงไม่ได้มีแววตำหนิ แต่สายตาที่มองตรงมาที่เขากลับสร้างความกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก

“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้ทำเรื่องไม่ดี เพียงแค่ไหลไปตามสถานการณ์เท่านั้น ข้าไม่สามารถขัดคำพูดของคนผู้นั้นได้ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”

สีหน้าของหานตงยังคงไม่เปลี่ยน มีเพียงนัยน์ตาที่ไหวเป็นระลอกบางเบา “นายท่านทราบหรือไม่ขอรับ”

เด็กหนุ่มรูปงามขมวดคิ้ว ปรายตามองอย่างเฉยชา“หากท่านพ่อรู้ ก็คงมาโวยวายกับข้าแล้ว”เขาแสร้งสะบัดพัดดังฉับหมุนตัวจากไปทันที

นับวันเขาก็ยิ่งแสดงได้แนบเนียน คงดีกว่านี้หากเขาได้ความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยมาด้วย แต่เขาจะได้รับความทรงจำก็ต่อเมื่อเกิดสถานการณ์ใกล้เคียงหรือมีเหตุกระตุ้น แต่เร่งรีบไปก็ไม่ดี ผลเสียมีแต่ตกมาที่ตัวเขา จื่อฟางไม่อยากนอนฝันร้าย คิดแล้วก็รู้สึกขุ่นเคือง กระทั่งยามนอนเสิ่นจิ้งเฟยก็ไม่ปล่อยให้เขาได้เป็นตัวของตัวเอง จื่อฟางเพ่งมองใบหน้าเคร่งเครียดในคันฉ่องอย่างหงุดหงิด ได้แต่ข่มอารมณ์ไว้ในอก ยามนี้ต้องห่วงเรื่องคำสั่งของเสิ่นมู่หยางต่างหาก

เยี่ยมสกุลโหยว

นับว่าเป็นเรื่องเสี่ยง แต่ก็มีเรื่องดีอยู่หนึ่งประการเพราะการไปเยี่ยมญาติครั้งนี้ตรงกับบทของเสิ่นจิ้งเฟยในนิยาย ในที่สุดเนื้อเรื่องก็กลับเข้าเส้นเรื่องเดิมเสียทีหลังจากที่ถูกเรื่องราวไม่คาดคิดประดังประเดเข้ามาจนเปลี่ยนทิศทางของนิยายไปหมดสิ้น อาจมิใช่พล็อตเรื่องเดิม จื่อฟางเข้าใจว่าผู้แต่งยังไม่ได้เฉลยถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของของเสิ่นจิ้งเฟย บางทีอาจเป็นช่วงกลางเรื่องที่เขายังอ่านไม่ถึง เขาจำได้ว่าซูเหลียนฮวานางมารหมื่นพิษปรากฏตัวหลังจากบทเยี่ยมสกุลโหยว

ผู้เขียนตั้งใจยกตำแหน่งนางรองให้นาง แต่ในโลกนิยายแห่งนี้จื่อฟางที่อยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟย ทำให้เนื้อเรื่องเปลี่ยน ตัวละครบางตัวที่ไม่เคยมีเช่นหยางชวีโผล่มา ซูเหลียนฮวาปรากฏตัวเร็วเกินไป นางไม่ได้ชอบเขาในเชิงชู้สาว นางเพียงอยากแกล้งเขาเท่านั้น  ถ้าหากนางไม่ใช่นางรองของเสิ่นจิ้งเฟยแล้วเป็นผู้ใดเล่า เขาพยายามนึกถึงความเป็นไปได้ ตัวละครใดที่ปรากฏในบทของเสิ่นจิ้งเฟยบ้าง หรือจะเป็นตัวประกอบที่ไม่รู้ชื่อ

เหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ทำให้จื่อฟางเป็นกังวล ตามบทนิยาย ระหว่างที่เสิ่นจิ้งเฟยไม่อยู่ในเมืองหลวงฉางอัน จะมีเรื่องเกิดขึ้นกับไป๋ผูอวี้และคุณหนูฉิน พวกเขาจะมีฉากที่ทำให้เกิดความรู้สึกหวั่นไหวต่อกันเป็นครั้งแรก แม้จื่อฟางจะมั่นใจว่าท่อนไม้ไป๋ในยามนี้ไม่ได้สนใจฉินเซียงอิน แต่เขาจะห้ามไม่ให้เกิดเรื่องได้อย่างไร? ได้แต่หวังว่าเหตุการณ์จะไม่ตรงกับในนิยาย ไม่เช่นนั้น...ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว

“นายควรห่วงเรื่องของตัวเองถึงจะถูก”จื่อฟางพึมพำ การเดินทางไปอำเภอถงฉวนครั้งนี้ เขาต้องระมัดระวังเพราะเสิ่นจิ้งเฟยเคยถูกลอบทำร้ายด้วยยาพิษมาก่อน เขาเบาใจได้เปราะหนึ่งเพราะมีหยางชวีไปด้วย ไหนจะองครักษ์ของฮ่องเต้ เรื่องที่เขาต้องห่วงก็คือ... เด็กหนุ่มมองนิ้วมือเรียวยาวของเสิ่นจิ้งเฟย เขาจะลืมการดีดกู่เจิงอันล้ำเลิศของหมอนี่ไปได้อย่างไร บ่อยครั้งที่คนสกุลโหยวจะร้องขอให้เสิ่นจิ้งเฟยแสดงฝีมือ เขาต้องทำให้มือข้างใดข้างหนึ่งบาดเจ็บ

เขาเตรียมใจสำหรับการเล่นละครแล้ว

~•~

วันต่อมาจื่อฟางตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่แจ้ง เขาพลิกตัวลงจากเตียง หยิบเสื้อคลุมมาสวมอีกชั้นเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย เหมันต์ฤดูใกล้เข้ามาทุกที เด็กหนุ่มออกไปสูดอากาศที่ลานบ้าน บ่าวรับใช้ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงกระวีกระวาดเข้ามาหมายจะปรนนิบัติแต่เขาโบกมือไล่   

“คุณ...”จางต้าอ้าปากหาว “คุณชายตื่นเช้าจังเลยขอรับ”เจ้าตัวขยี้ตาอย่างงัวเงีย วันนี้เขาหลับสบายเพราะคุณชายไม่ได้ฝันร้ายจนส่งเสียงประหลาดออกมา

“ข้าจะออกกำลัง หยางชวีไปไหนแล้ว”เขาเอ่ยถามเมื่อไม่เห็นผู้ติดตามอีกคน 

“เขาออกไปฝึกเคล็ดวิชา ท่าทางลึกลับน่าดูขอรับ”จางต้ารายงานตาปรือ ตัวสั่นน้อยๆเมื่อลมหนาวพัดเข้ามาวูบใหญ่

“อ้อ...”จื่อฟางไม่ได้ว่าอะไรอีก คงเพราะมีองครักษ์ของฮ่องเต้แฝงตัวอยู่ในจวน หยางชวีคงไม่อยากฝึกวิชาให้เห็นกระมัง

    “เจ้ากลับไปนอนเถอะ ข้ายังไม่มีเรื่องให้เรียกใช้”จื่อฟางออกปากไล่อย่างเกียจคร้าน บรรยากาศเย็นๆทำให้เขากระชับเสื้อคลุม

“จะดีหรือขอรับ”จางต้าถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

“อืม!”พอเขาทำเสียงรำคาญใจ จางต้าก็รีบพาหน้าตาอันง่วงงุ่นหายไปจากสายตาทันที เมื่อร่างของบ่าวคนสนิทลับตาไป เขาจึงลงมือยืดเส้นยืดสายอยู่พักใหญ่ จากนั้นเดินลมปราณ เมื่อรู้สึกว่าเลือดลมพลุ่งพล่านก็เปลี่ยนมารำไทเก็กตามที่หยางชวีสอน ไม่มีสายตาคนเฝ้ามอง จื่อฟางจึงเคลื่อนร่างกายได้พริ้วไหวไม่ติดขัด แต่ก็ได้แค่สามกระบวนท่าเท่านั้น เขารู้ลิมิตร่างกายนี้ดี เมื่อเหงื่อเริ่มออกเยอะ เขาจึงหยุดพักปรับลมหายใจให้เป็นปกติ สายลมพัดมาวูบใหญ่ เศษใบหลิวปลิวว่อน ท้องฟ้าเริ่มเห็นเป็นสีทองรำไร

จื่อฟางจึงกลับเข้าไปในเรือนหยิบจดหมายปิดผนึกออกมา เขารู้ว่าองครักษ์คงอยู่ไม่ไกลจากเขตเรือนจึงกระแอมเบาๆ

“องครักษ์ทั้งสอง...ได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่”เขาเอ่ยเสียงเบากับสายลม “ข้าอยากฝากจดหมายถึง....คนผู้นั้น”พอกล่าวเช่นนี้ ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวบนกำแพงจวนไม่ห่างจากจุดที่จื่อฟางยืนอยู่นัก องครักษ์นิรนามสวมชุดดำทั้งร่าง ใบหน้าถูกปกปิดเห็นเพียงดวงตาเป็นประกายวาวในแสงสลัวยืนมองไม่พูดไม่จา เขาส่งจดหมายไปให้โดยไม่เอ่ยสิ่งใด ร่างนั้นรับจดหมายก่อนหายตัวไปอย่างเงียบเชียบเช่นเดียวกับยามที่ปรากฏตัว สายลมวูบหนึ่งทำให้เส้นผมระบ่าของเขาขยับไหว

จื่อฟางยังคงเพ่งมองอยู่ที่จุดเดิม เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากเบื้องหลัง เขาไม่ได้หมุนตัวกลับไปมอง ฟังจากฝีเท้าที่ไม่มั่นคงและเสียงดังกึกเบาๆของไม้เท้า เขาก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ใด

เฉินฉางเซียงมองร่างผอมบางของเสิ่นจิ้งเฟยด้วยดวงตาราบเรียบ สองสามวันที่ผ่านมาเจ้าเด็กนี่กลับมาพร้อมกับผู้มีฝีมือสองคน ฝีมือไม่ธรรมดาเช่นนี้ เขารู้จักดี เป็นคนของฮ่องเต้ เขาได้ยินเรื่องเล่าลือมากมายเกี่ยวกับฮ่องเต้เจี่ยผิง เรื่องที่พระองค์ทรงถูกใจความงามของเสิ่นจิ้งเฟยเป็นที่รู้ดีของเหล่าขุนนางคนสนิท

ความทรงจำเก่าๆผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของเฉินฉางเซียง ย้อนกลับไปเมื่อสิบแปดปีก่อนยามที่ฮ่องเต้ยังเป็นเพียงองค์ชายรองเจี่ยผิง เวลานั้นพระองค์เพิ่งครบสิบชันษาแต่ก็เปล่งประกายโดดเด่นกว่าองค์ชายรัชทายาทเจี่ยอี้ที่ไม่ค่อยเฉลียวฉลาดนัก พระองค์พระชนมายุสิบสามปีแต่กลับมีพัฒนาการที่ช้ากว่าเด็กทั่วไป ทั้งยังค่อนข้างมุทะลุ เลือดร้อน ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากถึงเรื่องความเหมาะสมขององค์รัชทายาท เหตุเพราะฮ่องเต้เจี่ยจ้าวเคยรับปากกับหูเหม่ยเหรินว่าจะแต่งตั้งโอรสองค์แรกให้เป็นรัชทายาท ผู้ที่กล้าออกปากกลับมิใช่ใครอื่น เป็นเสิ่นฉินอี้นั่นเอง

เวลานั้นสกุลเสิ่นค่อนข้างแข็งแกร่ง บุตรชายของเขาเสิ่นมู่หยางอายุได้สิบหกปีก็มีความสามารถมาก ในอนาคตคงได้เข้ามาในราชสำนัก ฮ่องเต้ยังต้องพึ่งสกุลเก่าแก่เหล่านี้จึงจำต้องรับฟังอย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก กลุุ่มคลื่นใต้น้ำได้เคลื่อนไหวมานานตั้งแต่เมื่อคราวที่สี่ว์ฮองเฮาเสียธิดาคนแรกในการประสูติ พวกเขาก็ยิ่งร้อนใจ แต่ต่อมาไม่นานพระนางก็ทรงให้กำเนิดโอรสซึ่งก็คือองค์ชายรองเจี่ยผิง การประสูติครั้งนั้นทำให้สี่ว์ฮองเฮาร่างกายอ่อนแอลงมาก กลุ่มขุนนางที่หนุนหลังองค์ชายรองล้วนเป็นสกุลเก่าแก่ ยกเว้นสกุลหลี่และอัครเสนาบดีอวิ๋นเซียนหลางที่ไม่ได้เผยท่าทีใด เช่นเดียวกับเฉินฉางเซียง เขาเพียงมองความเป็นไปของราชสำนักเงียบๆดั่งเฝ้ามองกระดานหมาก

จนในที่สุดเสิ่นฉินอี้และผู้สนับสนุนองค์ชายรองก็หาจุดบกพร่องเขี่ยองค์ชายใหญ่หลุดพ้นจากตำแหน่งรัชทายาทได้สำเร็จ แม้ว่าเขาจะเห็นด้วยที่องค์ชายรัชทายาทเจี่ยอี้ไม่เหมาะเป็นฮ่องเต้ แต่เขาก็ไม่สนับสนุนแนวทางของเสิ่นฉินอี้ ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจเรื่องในราชสำนัก แต่การกระทำของสหายขัดกับคุณธรรมในใจเขา

 “องค์ชายใหญ่ใช่ว่าไม่มีผู้สนับสนุน เดิมทีต้นสกุลหูมาจากนอกด่าน พวกเขาคงไม่นิ่งเฉย”

 “ข้ารู้ ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่าย แต่การเคลื่อนไหวครานี้เป็นก้าวที่สมควร ข้ามองคนไม่ผิด องค์รัชทายาทเจี่ยผิงทรงปรีชามีความสามารถ ภายภาคหน้าเขาจะเป็นฮ่องเต้ที่ดี นำความสงบมั่งคั่งมาสู่แผ่นดิน”

 “ฮ่องเต้ที่ดีหรือ....ให้พระองค์เลิกสนใจขันทีอ้อนแอ้นพวกนั้นก่อนเถอะ”เฉินฉางเซียงพึมพำ เดิมทีก็มิใช่เรื่องแปลก รัชทายาทไม่ใช่เชื้อพระวงศ์องค์แรกที่มีรสนิยมชมชอบบุรุษเพศเดียวกัน แต่เรื่องนี้ให้รู้น้อยคนยิ่งดี ตำแหน่งรัชทายาทขององค์ชายเจี่ยผิงยังไม่มั่นคง เรื่องนี้รู้น้อยคนยิ่งดีจึงมีเพียงเหล่าคนสนิทเท่านั้นที่ล่วงรู้

เสิ่นฉินอี้ขมวดคิ้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ดูท่าจะห้ามไม่ได้ ข้าได้แต่เตือนพระองค์”

จากขันที เปลี่ยนเป็นชายงาม เมื่อวันครบรอบพระชนมายุสิบเจ็ดชันษา แคว้นเก๋อทรงมอบหญิงงามและชายงามให้กับพระองค์ ฮ่องเต้เจี่ยจ้าวมิได้ว่ากล่าวสิ่งใด จึงไม่มีผู้ใดกล้าออกปากขัด วันนั้นเองเป็นวันที่รัชทายาทเจี่ยผิงได้พบกับหลานชายของเสิ่นฉินอี้เป็นครั้งแรก เสิ่นจิ้งเฟยในวัยหกขวบแม้ยังเยาว์วัย แต่ใบหน้านั้นก็มีเค้าความงามที่ได้มาจากมารดา เฉินฉางเซียงยังจำสายตาของพระองค์ยามจ้องมองเสิ่นจิ้้งเฟยได้ดี ทำเอาขนอ่อนที่หลังคอลุกชัน เป็นความลุ่มหลงและต้องการหมายครอบครอง

เสิ่นฉินอี้เองก็คล้ายกับสังเกตเห็น นับจากนั้นเขาก็ไม่ได้พาหลานชายมาร่วมงานเลี้ยงในวังอีก แต่ใครจะคาดคิดว่ารัชทายาทจะกล้าปลอมตัวออกนอกวังไปพบปะกับเสิ่นจิ้งเฟยเด็กน้อยที่ไม่ประสีประสา แต่จะบอกว่าไม่ประสีประสาก็ไม่ถูก เสิ่นจิ้งเฟยนั้นฉลาด แต่นิสัยเสีย เสิ่นฉินอี้รู้เข้าก็ถึงขั้นควันออกหู โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เมื่อถึงเวลาดื่มชาพบปะกับรัชทายาท เขาจึงไม่เก็บอาการ สั่งสอนรัชทายาทต่อหน้าสกุลเก่าแก่ทันที แม้จะเป็นคนเคยเห็นหน้าค่าตากัน แต่การกระทำของเสิ่นฉินอี้ถือว่าไม่ไว้หน้ารัชทายาท 

 “องค์รัชทายาท ข้าขอกล่าวตามตรง ขออย่าท่านได้คิดเป็นอื่นกับหลานชายของข้า”   

 “คิดเป็นอื่น? ข้ากับท่านคนกันเอง จะให้คิดเป็นอื่นได้เช่นไร ท่านกล่าวเรื่องใดอยู่หรือ”เจี่ยผิงยังคงสงบท่าที 

 “ข้าขอย้ำเตือนท่าน หลานของข้ามิใช่ของเล่น เขาบอบบางเกินกว่าจะให้ท่านมาทำลาย”

 “ท่านจริงจังเกินไปแล้ว ข้าดองกับท่านไม่ดีหรือ สกุลเสิ่นจะได้มั่นคง”แม้น้ำเสียงของพระองค์จะแฝงแววหยอกล้อ แต่เฉินฉางเซียงรู้ดีว่ารัชทายาทหมายความอย่างที่พูด สกุลหลินและสกุลจ้าวได้แต่ลอบมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก 

เสิ่นฉินอี้ยิ่งหน้าเขียว รัชทายาทเจี่ยผิงเผยรอยยิ้มขบขัน “รองเสนาบดีเสิ่น ท่านคงทราบดีกระมัง หากข้าได้ครองบัลลังก์ เพียงแค่ข้าเอ่ยปากสกุลเสิ่นก็หนีไม่พ้นแล้ว ท่านอย่าโมโหไปเลย เกิดป่วยขึ้นมาจะลำบากเอา เช่นนั้นใครจะปกป้องสกุลเสิ่น ข้าอยากอยู่พูดคุยกับท่านอีกหลายปี”

เสิ่นฉินอี้หัวเราะลั่น น่าแปลกที่บรรยากาศกลับเปลี่ยนเป็นดีขึ้น “รัชทายาทเจี่ยผิง ท่านไม่ต้องกังวล ข้ายังอยู่ได้อีกนาน”

แต่ไม่คาดคิดว่าจะมีผู้นำบทสนทนาของพวกเขาไปบิดเบือนจนทำให้เกิดเรื่องเล่าลือออกไปว่ารัชทายาทเจี่ยผิงไม่พอใจสกุลเสิ่น จากนั้นไม่ถึงหนึ่งปีเสิ่นฉินอี้ก็จากไปอย่างกะทันหัน ภายนอกได้ยินกันว่าเป็นเพราะปัญหาสุขภาพที่สั่งสมมานาน แต่แท้จริงแล้วเสิ่นฉินอี้ถูกวางยาพิษ ข่าวลือที่รัชทายาทกับสกุลเสิ่นไม่ลงรอยกันจึงกระพือไปทั่วอีกครั้งทำให้มีผู้คนเชื่อว่าการตายของเสิ่นฉินอี้เป็นฝีมือของรัชทายาท สองปีต่อมาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก ฮ่องเต้เจี่ยจ้าวสวรรคต รัชทายาทเจี่ยผิงขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ด้วยวัยยี่สิบปี

    

“โชคชะตาบางคราก็โหดร้าย เจ้าว่ารึไม่ เสิ่นจิ้งเฟย”เฉินฉางเซียงเอ่ยถาม หลังจากที่หลุดออกจากห้วงความคิด ลมหนาวพัดมาเอื่อยๆ ทำให้เส้นผมยาวสยายของเสิ่นจิ้งเฟยปลิวน้อยๆ เป็นภาพที่งดงาม เขายิ่งมองกลับเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก นึกถึงของที่เสิ่นฉินอี้ฝากไว้เพื่อส่งมอบให้หลานชาย ยิ่งทำให้เฉินฉางเซียงร้อนใจราวกับถือครองของต้องห้าม อยากยกให้เจ้าเด็กไม่รู้ความเสียเดี๋ยวนี้ แต่เขาไม่อยากให้ผิดความตั้งใจของเสิ่นฉินอี้

 “ข้าว่าจิตใจของคนโหดร้ายมากกว่านัก”จื่อฟางโต้ตอบ หมุนตัวมองใต้เท้าเฉิน “ท่านคิดสิ่งใดอยู่หรือ ข้าได้ยินท่านมาถึงสักพักแล้ว”

 “เรื่องเก่าๆสมัยยังเป็นขุนนาง”ใต้เท้าเฉินตอบอย่างไม่ปิดบัง ใบหน้าเหี่ยวย่นฉายแววเป็นกังวลก่อนเอ่ยถาม “เมื่อครู่เป็นองครักษ์ของฮ่องเต้สินะ”

จื่อฟางพยักหน้ารับ จะอย่างไรคงปิดไม่พ้น เฉินฉางเซียงใช้สายตาตำหนิมองเสิ่นจิ้งเฟย   

“ข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่ เจ้าก็รู้มิใช่หรือว่าฝ่าบาทคิดเช่นไร ไฉนยังเข้าไปยุ่งเกี่ยว”เขากล่าววาจาสั่งสอน อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเสิ่นฉินอี้ “หากปู่เจ้ารู้คงอกแตกตายอยู่ในปรโลกแล้วกระมัง”

จื่อฟางได้แต่ตีหน้าหมอง “ข้าทราบดี แต่เรื่องบางเรื่อง ต่อให้หลีกหนีก็หนีไม่พ้น”เขาไม่รู้ว่าเฉินฉางเซียงคิดเห็นเรื่องที่ฮ่องเต้ส่งคนมาเฝ้าที่จวนว่าอย่างไร แต่เอ่ยอย่างคลุมเครือไว้ก่อนเป็นอันดี

 “หึ เจ้าก็เลยจะเสนอตัวเข้าไปอย่างนั้นหรือ”เฉินฉางเซียงไม่แปลกใจที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงคิดทำเรื่องเช่นนี้ แต่เขาไม่คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะยอมโอนอ่อน มิใช่ว่าเจ้าเด็กนี่ชิงชังฝ่าบาทหรอกหรือ

“ท่านดูถูกข้ามากไปแล้ว ข้าเนี่ยนะเสนอตัวให้เขา”เด็กหนุ่มสวนกลับทันควัน อารมณ์ขุ่นเคืองทั้งของเขาและเจ้าของร่างทำให้จื่อฟางกำหมัดแน่น คิดอยากโต้ตอบสักหลายประโยค แต่ก็เอ่ยบอกเหตุผลออกไปไม่ได้

เฉินฉางเซียงหายใจเร็วกว่าปกติ คล้ายมีน้ำโหขึ้นมา “แล้วเจ้าคิดทำสิ่งใด คิดจะหลอกฝ่าบาทหรือ คนผู้นั้นใช้เวลารอเจ้ามานานหลายปี คิดดูเอาเถิด เขาจะจัดการเจ้าเช่นไร คิดหรือว่าสกุลเสิ่นจะปลอดภัย”เฉินฉางเซียงพลันปวดหัว เคาะไม้เท้าลงกับพื้นดังกึกๆ “เจ้ากำลังสร้างเรื่องเดือดร้อนให้สกุล”

“ข้าไม่มีวันหาเรื่องทำร้ายสกุลเสิ่น”คำพูดนี้ช่างย้อนแย้งกับการกระทำของเสิ่นจิ้งเฟย จื่อฟางไม่เคยคิดถึงข้อนี้มาก่อน ถ้าหากว่าเจ้านั่นกลับร่าง แล้วเขาเล่า จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่ก่อนอื่นก็ต้องตอบคำถามว่ายามนี้เสิ่นจิ้งเฟยไปวนเวียนอยู่ที่ใด...

ใต้เท้าเฉินเห็นสีหน้าสับสนปนเปของเด็กหนุ่มรูปงามก็ได้แต่ส่ายศีรษะไปมา 

“เจ้ายังเด็ก อย่าได้คิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับฮ่องเต้ ข้ารู้จักคนผู้นั้น...”

 “หากท่านรู้จักเขา ท่านก็คงรู้ว่าฝ่าบาทไม่มีทางละมือโดยง่าย”จื่อฟางเหนื่อยใจเหลือเกินที่ต้องคุยเรื่องฮ่องเต้

เฉินฉางเซียงไม่ได้เอ่ยตอบ เพราะรู้ดีว่าเจ้าเด็กไม่เอาไหนพูดได้ถูกต้อง

“เอาเถอะ คิดทำสิ่งใดก็นึกถึงใจพ่อเจ้าบ้าง”พูดถึงเสิ่นมู่หยาง จื่อฟางก็ย่นคิ้ว คนผู้นั้นรักเสิ่นจิ้งเฟยจริงหรือ

“หากเขานึกถึงบุตรชายบ้างก็คงดี”เขาพึมพำ พยายามเก็บสีหน้า แต่ก็ไม่สำเร็จนัก ใต้เท้าเฉินไม่ได้สังเกตคำพูดแปลกๆของอีกฝ่าย ชีวิตของเสิ่นจิ้งเฟยช่างรัดทดนัก นอกจากเกิดเป็นบุตรขุนนางแล้วมีอะไรดี มิตรสหายจริงใจก็ไม่มี เสียมารดา เสียท่านปู่ แล้วยังมาถูกคนที่คิดว่าเป็นพี่ฝู่จวิ้นมาหลอกเอาอีก 

เฉินฉางเซียงได้แต่ถอนหายใจ อยากเรียกเจ้าเสิ่นมู่หยางมาสั่งสอน แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาของเขา เขาเพียงมาสอนหนังสือเจ้าเด็กไม่เอาไหนเท่านั้น

    “ข้าไม่อยากยุ่งเรื่องในบ้านของพวกเจ้า แค่สอนเจ้าก็ปวดหัวมากพอแล้ว”ถึงจะกล่าวเช่นนั้น สายตาที่มองดูจื่อฟางก็อ่อนลงมาก

“ใต้เท้าเฉิน ความจริงแล้ว ข้ากำลังตามหาความจริงเรื่องท่านปู่”เด็กหนุ่มหยิบยกเรื่องนี้มาเอ่ยอีกครั้ง ใต้เท้าเฉินเหมือนไม่อยากให้เขาเอ่ยถึงเรื่องของเสิ่นฉินอี้

 “เหตุใดเจ้าถึงอยากรู้ เรื่องก็เกิดขึ้นตั้งนานนมแล้ว”

 “เพราะข้าต้องการความจริง ข้าไม่เชื่อว่าท่านปู่จากไปเพราะอาการเจ็บป่วยธรรมดา”จื่อฟางพูดไปก็กลัวว่าจะถูกไม้เท้าฟาดเอา

เฉินฉางเซียงใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง หากให้เสิ่นจิ้งเฟยควานหาความจริงเอาเองก็เกรงว่าจะไปคว้าเจอตอเข้า

“สอบระดับอำเภอเสร็จสิ้นเมื่อใด ข้าจะบอกเจ้า”เขาเอ่ยเมื่อตัดสินใจได้ในที่สุด

 “บอกตอนนี้ไม่ได้หรือ”จื่อฟางเร่งเร้า รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาเพราะไม่คิดว่าชายคร่ำเคร่งผู้นี้จะยอม

 “ไม่ได้ เจ้าเตรียมสมองไว้สำหรับสอบระดับอำเภอก็พอ อย่าทำให้ข้าและสกุลเจ้าขายหน้าล่ะ”เฉินฉางเซียงถลึงตาใส่เด็กหนุ่ม เขากลัวเจ้าเด็กนี่รู้ความจริงเข้าจะเสียสมาธิ

 “ข้ารู้แล้ว ข้าจะพยายามสุดความสามารถ”

    “หึ ก็ยังดีที่เจ้ายังพยายาม อีกอย่าง ข้าดีใจที่ได้ยินว่าเจ้าไม่คิดใช้ความช่วยเหลือของบิดา คิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว แค่สอบยังคดโกง ภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร เรื่องเป็นขุนนางยิ่งไม่ต้องพูดถึง”เกรงว่าจะได้เป็นเพียงพวกต๊อกต๋อยเป็นลูกไล่ตามผู้อื่นเขา เฉินฉางเซียงละความหวังให้เสิ่นจิ้งเฟยเป็นขุนนาง ยิ่งฮ่องเต้เริ่มเคลื่อนไหวเข้าหาเจ้าเด็กนี่ ก็ยิ่งเสี่ยงให้เข้าไปอยู่ใกล้สายพระเนตร แต่ส่งคนมาเช่นนี้ก็ไม่ต่างกันนัก ...สวรรค์คงลงโทษ ดูท่าเสิ่นฉินอี้จะมองคนผิดชักนำเสือมาขย้ำหลานชายเสียอย่างนั้น เป็นดั่งที่ฮ่องเต้กล่าว ไม่มีเสิ่นฉินอี้ ผู้ใดก็ปกป้องสกุลเสิ่นไม่ได้ เสิ่นมู่หยางก็ปวกเปียกเกินกว่าจะคิดแข็งข้อต่อฮ่องเต้   

 “หากเจ้าสอบได้ ข้าจะยอมให้เจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์”เฉินฉางเซียงเอ่ยดวงตาเป็นประกาย

    “จริงหรือ!”จื่อฟางไม่อยากเชื่อหู ปกติเขาเอ่ยขอแทบตาย ใต้เท้าเฉินก็เอาแต่ใช้ไม้เท้าฟาด เขาน้ำตารื้นเล็กน้อย แม้ใต้เท้าเฉินจะขี้บ่นจนน่ารำคาญแต่ก็ใส่ใจเขาในแบบของตัวเอง

 “สอบให้ได้ก่อนเถอะ ค่อยร้อง”เฉินฉางเซียงเบือนหน้าหนี ตั้งใจจะกลับเรือนรับรองของตนแล้ว เขาไม่ถนัดทำตัวเช่นนี้นัก

 “ข้าไม่ร้องหรอก”จื่อฟางเบ้ปากพึมพำ ใช่เด็กเสียที่ไหน

 “แต่หากสอบไม่ได้ ข้าฟาดเจ้าแน่”ใต้เท้าเฉินเพียงส่งเสียงหึ ยกไม้เท้าขึ้นหมายจะเคาะ แต่จื่อฟางเอียงตัวหลบได้ทัน

 “ข้าจะกลับล่ะ คุยกับเจ้าแล้วหน่ายนัก”ใต้เท้าเฉินมองเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินหมุนตัวจากไปพร้อมเสียงไม้เท้าดังเป็นจังหวะ เขายืนมองจนร่างของเฉินฉางเซียงหายไปจากสายตา รับรู้ว่าตนเองมีรอยยิ้ม

 “คุณชาย ข้าเตรียมน้ำร้อนไว้แล้ว”จางต้าส่งเสียงเรียกเบาๆมาจากหน้าเรือนราวกับกลัวจะทำลายอารมณ์ดีๆของคุณชาย จื่อฟางกลับเข้าไปอาบน้ำจนเรียบร้อย แต่งตัวอย่างประณีตเช่นเคย ทานมื้อเช้าในห้องตามปกติ  จากนั้นก็เตรียมตัวไปที่โรงน้ำชาหลิวซื่อ นึกถึงไป๋ผูอวี้ก็ทำให้เขากระปี้กระเปร่าเป็นเท่าตัว

 “คุณชายคงชอบเรียนกับไป๋ผูอวี้นะขอรับ”จางต้าเอ่ยขึ้นมาระหว่างที่เดินตามเขาออกจากห้อง จื่อฟางชะงักมือที่คลี่พัด มองปราดไปที่อีกร่างทันที

    “เจ้ากล้าหยอกล้อข้าด้วยเรื่องนี้เชียวหรือ”เขาแสร้งทำเป็นขุ่นเคือง มองไปโดยรอบอย่างระวัง กลัวว่าจะมีคนได้ยิน แต่นอกจากเขาและจางต้า ก็ไม่พบผู้ใด   

 “แหะๆ คุณชาย ข้าเห็นว่าท่านอารมณ์ดีแต่เช้าเท่านั้นเอง เดี๋ยวข้าไปเรียกรถม้านะขอรับ”จางต้ารู้ว่าคุณชายไม่ได้โกรธตน แต่ไม่อยากอยู่กับคุณชายในสถานการณ์เช่นนี้จึงขอปลีกตัวออกไป ในใจบ่นถึงหยางชวีที่ยังไม่โผล่หน้ามา แต่เขากลับพบว่าเจ้านั่นรออยู่หน้าจวนกับคนขับรถม้าหน้าเดิมที่ชื่อหนานอิง

จื่อฟางมองร่างของบ่าวรับใช้ที่ลุกลี้ลุกลนจากไปก็นึกขำ เจ้าพวกนี้เป็นอะไรไปหมดแล้ว ระหว่างที่เดินเอื่อยเฉื่อยไปตามเฉลียงทางเดินเขาก็ครุ่นคิดถึงวิธีการทำข้อมือบาดเจ็บ หากลงมือทำเองเขากลัวว่าจะเจอกับคำถาม จึงจำเป็นต้องเล่นละครให้คนเห็น สะดุดตกจากรถม้าก็เป็นความคิดที่ดี เด็กหนุ่มทำใจกล้า คิดทำการใหญ่ก็ต้องยอมแลก เจ็บเพียงนิดไม่เป็นอะไรหรอก!ดีกว่าโดนคนสกุลโหยวสงสัยเรื่องความสามารถ เด็กหนุ่มเดินคิดเรื่อยเปื่อยก็มาถึงประตูจวน พบว่าหยางชวี จางต้าและหนานอิงกำลังรอตนอยู่

“เจ้าฝึกวิชาเสร็จแล้วรึ”จื่อฟางถาม แอบประหลาดใจที่เห็นหยางชวีมีสีหน้าพิกล

    “ขอรับ”ผู้ติดตามตอบ เขาไปฝึกวิชามาจริง แต่ไปฝึกกับเว่ยหลง แม้จะไม่ชอบน้ำหน้าฝ่ายนั้น แต่ก็ต้องยอมรับฝีมือ อันที่จริงไป๋ผูอวี้เคยเอ่ยชวนเขามาฝึกนานแล้ว แต่ด้วยคำว่าศักดิ์ศรี เขาจึงไม่ตัดสินใจ แต่ไม่นานมานี้เขามีความรู้สึกว่าคุณชายเสิ่นจิ้งเฟยกำลังทำเรื่องเสี่ยงอันตราย ไหนจะข้องเกี่ยวกับฮ่องเต้เจี่ยผิง หยางชวีอยากแข็งแกร่งมากขึ้น เขาอยากปกป้องคุณชาย แม้ว่าจะต้องยอมทิ้งทิฐิของตนไปก็ตาม มันคือหน้าที่ของผู้ติดตามไม่ใช่หรือ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2019 07:51:58 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 

จื่อฟางก้าวไปในรถม้า ยังคงตกอยู่ในห้วงความคิด ลูบข้อมือของตัวเองอย่างเลื่อนลอย แสงแดดยามเช้าสาดส่องไปตามท้องถนนที่ขวักไขว่ไปด้วยผู้คน ชาวบ้านที่ค้าขายในตรอกซีหมานต่างก็คุ้นชินกับการปรากฏตัวของเสิ่นจิ้งเฟย เมื่อเห็นรถม้าที่มีคนของสกุลเสิ่น พวกเขาต่างก็หลบทางให้ แม้ในใจจะหมดความตื่นเต้น แต่ก็ยังลอบมองรูปงามๆของบุตรชายเสนาบดีเสิ่น

 “วันก่อนศิษย์พี่หานตงมาคุยกับคุณชายหรือขอรับ”หยางชวีถาม คิดว่าศิษย์พี่รู้เรื่ององครักษ์ของฮ่องเต้มาป้วนเปี้ยนแถวเรือนคุณชายเสิ่นแล้ว เขาเองก็ไม่สบายใจนัก ไม่รู้ว่าคุณชายท่านนี้คิดสิ่งใดอยู่ เท่ากับว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงรู้ความเคลื่อนไหวของสกุลเสิ่น ไม่เป็นการดีเลยแท้ๆ   

 “อืม เจ้าก็รู้ ข้าต้องไปเยี่ยมท่านตาที่อำเภอถงฉวน”จื่อฟางเลี่ยงตอบถึงบทสนทนาอื่น เขาหมุนพัดรูปนกกระเรียนในมืออย่างเหม่อลอย ความคิดฟุ้งซ่านไปหมด ทั้งเรื่องสกุลโหยว ไป๋ผูอวี้และฉินเซียงอิน หากสองคนนั่น...ได้จูบแรกโดยบังเอิญเล่า ถึงเขาจะขโมยบทของนางไปแล้ว แต่ก็มีโอกาสที่บทของคุณหนูฉินจะกลับเข้าเส้นเรื่องเดิมอย่างเสิ่นจิ้งเฟย จูบรึ...แค่คิดเขาก็แสบๆคันๆที่หัวใจจนเผลอกำพัดในมือแทบหัก 

    “ถึงแล้วขอรับ”จางต้าส่งเสียงเรียกเมื่อเห็นคุณชายยังคงนั่งบีบพัดแทบแหลกคามือ เขาขนลุกเกรียว  คุณชายของเขาคิดสิ่งใดอยู่หนอ ถึงได้ทำสีหน้าเช่นนี้

    “อ้อ...”จื่อฟางลากเสียง คลายมือจากพัด พบว่าจางต้าและหยางชวีกำลังจ้องมองตนอยู่ สายตาของเจ้าคนหน้าตายจับจ้องอยู่ที่ฝามือขาวที่มีรอยแดงเนื่องจากออกแรงกำพัด เขาสะบัดชายเสื้อคลุมปิด มองออกไปนอกม่าน ดูท่าวันนี้เขามาเช้ากว่าปกติเพราะมองเห็นร่างสูงหล่อเหลาสะดุดตาของไป๋ผูอวี้กำลังสนทนาอยู่กับคนผู้หนึ่งที่โต๊ะด้านหน้า หากมองไม่ผิด เขาจำเสื้อเก่าๆสีจางนั่นได้ ก็เจ้าคนที่เคยเจอเมื่อตอนที่ไปร้านเถ้าแก่จางในตรอกเหวิน เจิ้งเซี่ยสวีอย่างไร

เว่ยหลงยืนอยู่หน้าร้าน จ้องมองมาที่รถม้าของเขา จื่อฟางเลิกม่านกว้างพอให้คนข้างนอกมองเห็นร่างของตน เขาแสร้งส่งยิ้มกว้างทักทาย เว่ยหลงเพียงทำสีหน้าเหม็นเบื่อ ถึงแม้ว่าฝ่ายนั้นจะไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านอย่างที่ผ่านมา แต่ความจริงที่ว่าเขาไม่ชอบเสิ่นจิ้งเฟยก็ยังไม่เลือนหาย

จื่อฟางเหลือบมองหยางชวี  “เจ้าเข้าไปทักทายเขาให้ข้าหน่อย”เด็กหนุ่มเอ่ย เขาไม่ได้จะหาเรื่อง แต่หากจะให้แผนทำข้อมือบาดเจ็บสำเร็จก็ต้องให้หยางชวีหลีกให้พ้นทาง เจ้านี่ว่องไวปานนั้น เห็นเขาล้มคงรีบพุ่งมาช่วยแน่

หยางชวีแสดงสีหน้าแปลกใจ “ท่านว่าอะไรนะ”

 “ไปทักทายเขาหน่อย ข้าไม่อยากปะทะกับเขาตรงๆ”จื่อฟางตอบเรื่อยเปื่อย มองผู้ติดตามด้วยสายตาเด็ดขาด หยางชวีถอนหายใจ

 “ข้าไม่เข้าใจท่านจริงๆ”เสียงพึมพำของเจ้านั่นลอยมาให้ได้ยิน เขานึกขันในใจ หากเป็นแต่ก่อนหยางชวีไม่กล้าทำพฤติกรรมเช่นนี้แน่ เมื่อเห็นร่างแข็งแรงของหยางชวีเดินตรงไปหาเว่ยหลงด้วยท่าทางเหมือนฝืนใจ เขาก็รีบทำตามแผนการ รถม้าไม่ได้สูงมากมาย แต่ก็พอจะทำให้บาดเจ็บเล็กๆน้อยๆได้ โดยเฉพาะร่างกายที่เหมือนแก้วบางของเสิ่นจิ้งเฟย จางต้าลงไปรอรับเขาแล้ว จื่อฟางกลั้นใจก้าวลงผิดจังหวะ ออกแรงพุ่งไปข้างหน้า เห็นใบหน้าตื่นตระหนกของจางต้าครู่หนึ่ง วินาทีถัดมาร่างของเขาก็หล่นตุ้บกองกับพื้น แขนข้างซ้ายรับน้ำหนักไปเต็มๆด้วยมุมที่ทำให้เขาเจ็บแปลบ

...เป็นฉากที่ดูไม่จืดจริงๆ

“คุณชาย!”จางต้าร้องเสียงหลงด้วยอารามตกใจ ปรี่เข้ามาช่วยพยุง แต่หยางชวีไวกว่า เขารีบผละจากเว่ยหลงมาหาคุณชายเสิ่นที่นอนกองอยู่กับพื้น ท่าทางเหมือนลุกไม่ขึ้น แต่ประหลาดที่เขาเห็นแววตาพอใจวูบหนึ่งของคุณชายรูปงาม พ่อค้าแม่ค้าร้านใกล้เคียงต่างก็มองเป็นตาเดียวด้วยอาการตกใจปนขบขัน คุณชายเสิ่นเป็นอะไรไปเสียแล้ว?เพิ่งเคยเห็นบุตรชายเสนาบดีเสิ่นซุ่มซ่ามก็ครานี้

ไป๋ผูอวี้เดิมทีก็พุ่งความสนใจครึ่งหนึ่งไปที่เสิ่นจิ้งเฟยตั้งแต่แรก พอเห็นว่าร่างผอมบางนั่นร่วงตุ้บไปกองกับพื้นก็รีบก้าวออกไป ทิ้งเจิ้งเซี่ยสวีที่กำลังสนทนาอยู่โดยไม่คิดหันมอง แต่หยางชวีไปถึงก่อนร่างนั้นกำลังประคองแขนข้างซ้ายของเสิ่นจิ้งเฟยไว้ แม้สีหน้าราบเรียบแต่เขามองออกว่าหยางชวีเป็นห่วง จางต้ากระวีกระวาดช่วยปัดฝุ่นออกจากตัวของคุณชายเป็นการใหญ่

 “แขนท่านเป็นอย่างไร”หยางชวีเอ่ยเสียงเครียด จื่อฟางลองขยับก็ส่งเสียงร้องเบาๆเพราะเสียวแปลบรู้สึกขัดอยู่บ้าง

    “เจ็บเล็กน้อย”เขาตอบ ก้มมองแขนของตน เมื่อเห็นว่ายังอยู่ดีก็โล่งอก เงยหน้ามาพบกับร่างสูงของไป๋ผูอวี้ บุรุษหนุ่มเดินตรงมาหาด้วยใบหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ใด แต่หัวคิ้วมุ่นน้อยๆ

    “เข้ามาด้านในร้าน ข้าจะตรวจดูให้”ไป๋ผูอวี้มองไม่ผิด จังหวะการก้าวเดินของเสิ่นจิ้งเฟยไม่เป็นธรรมชาติ คุณชายรูปงามผู้นี้จงใจล้มชัดเจน เว่ยหลงมีสีหน้าสงสัยเช่นกัน เจ้าเต่าปกติดีแน่หรือ? จื่อฟางไม่รอช้ารีบเข้าไปในโรงน้ำชา จางต้าเข้ามาประคองเหมือนเขาเป็นหญิงสาวที่เดินไม่ถนัดเพราะใส่รองเท้าทรงประหลาด เขาพยายามไม่สบตาผู้ใดเพราะอายจะแย่อยู่แล้ว

    “คุณชายเจ้าพิสดารจริง เจ้าว่าเขาเรียกร้องความสนใจจากคุณชายไป๋หรือไม่”เว่ยหลงลูบคางครุ่นคิด ไม่มีเหตุผลใดดีเท่านี้แล้ว หยางชวีปรายตามองอย่างมึนตึง

“ดูเหมือนเป็นคุณชายของเจ้ามากกว่าที่สนใจคุณชายของข้า ก้าวมาไวเสียขนาดนั้น เขาเอาตาไปไว้ที่ไหนกันเล่า เจ้าว่าแปลกไหม”ชายหนุ่มย้อนกลับ ทำเอาเว่ยหลงอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าคนเงียบเชียบเช่นหยางชวีจะพูดประโยคยาวๆเป็น ยามที่ฝึกวิชากับเขาก็เอาแต่ปิดปากเงียบ ถามคำตอบคำ

    “ฮ่า เจ้า...ข้าบอกว่าอย่างไร ให้เรียกข้าว่าศิษย์พี่”เว่ยหลงไม่อยากกล่าวถึงพฤติกรรมนอกลู่นอกทางของคุณชายไป๋ให้ปวดใจจึงเปลี่ยนเรื่องกลางคัน หยางชวีก้าวตามคุณชายเข้าไปด้านในโดยไม่คิดตอบ เขาเห็นเว่ยหลงเป็นพวกมีกำลัง ดีแต่เพาะกล้ามเนื้อแต่ไร้สมองก็เท่านั้น มีผู้ติดตามคนใดกล้ามีปากเสียงกับบุตรชายเสนาบดีบ้างเล่า?คนผู้นี้โง่และอวดดีจนน่ารำคาญ นอกเวลาฝึกคิดหรือว่าหยางชวีจะเสวนาด้วย เขายอมกล้ำกลืนศักดิ์ศรีของตนมาฝึกกับคนผู้นี้ก็น่าเจ็บปวดมากพอแล้ว หากศิษย์พี่หานตงรู้เข้า จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธความจริงที่ว่าเขาสนใจเคล็ดวิชาของผู้เฒ่าหย่งสือ เขาอยากพบท่านผู้เฒ่าสักครั้ง แต่ไป๋ผูอวี้บ้าไปแล้วหรือที่ยอมให้คนนอกเช่นเขามาฝึก ไป๋ผูอวี้และสกุลไป๋...ช่างแปลกนัก 

ไป๋ผูอวี้นำเสิ่นจิ้งเฟยไปที่ห้องดื่มชาห้องเดิม เพื่อหลบเลี่ยงสายตาสอดรู้สอดเห็นด้านนอก มองข้ามสีหน้าตกใจของเจิ้งเซี่ยสวีที่ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะเดิม เขาไม่โทษหากฝ่ายนั้นจะตื่นตระหนกกับการกระทำของเขา เมื่อสามเดือนก่อนในการชุมนุมบัณฑิต พวกเขาก็เอ่ยถึงเสิ่นจิ้งเฟย เวลานั้นเขาไม่ล่วงรู้ความคิดของคุณชายเสิ่นจึงเผลอวิพากษ์วิจารณ์ไปบ้าง มาคิดดูแล้วช่างเป็นการกระทำที่น่าละอายนัก คงเป็นอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวว่ากลุ่มบัณฑิตเป็นเพียงกลุ่มของคนขี้แพ้ นั่นก็ถูก พวกเขาเหล่านั้นแพ้ให้กับระบอบอุ้มชูพวกเดียวกันของพวกขุนนาง

“ข้าคิดว่าแขนไม่เป็นอะไร”จื่อฟางเอ่ยหลังจากที่พินิจดูไม่พบว่ามีกระดูกส่วนไหนหักหรือซ้น ไป๋ผูอวี้เพียงลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าเด็กหนุ่ม ตวัดสายตามองอย่างเคร่งขรึม

    “ท่านเป็นหมอหรือถึงได้รู้”โอ้...ไป๋ผูอวี้จิกกัดเขาอีกแล้ว จื่อฟางจึงนั่งให้อีกฝ่ายจับแขนเขาไปเงียบๆ ร่างนั้นถกชายเสื้อของเขาเพื่อตรวจดูรอยช้ำ เขาไม่ทันร้องห้าม สายตาของชายหนุ่มก็หยุดลงที่รอยกรีดที่เพิ่มมาอีกรอยด้วยแววตาทอประกายสงสัย คิ้วขมวดมุ่น

ไป๋ผูอวี้จ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกที่เห็นรอยกรีดรอยใหม่ เป็นฝีมือผู้ใดกัน? แสร้งล้มเมื่อครู่กับบาดแผลเลือดออกค่อนข้างต่างกัน เขาแน่ใจว่าเสิ่นจิ้งเฟยไม่กล้ากรีดแขนตนเอง

“ท่านไปโดนอะไรมา”ไม่ทันได้หักห้ามความสงสัย เขาก็ส่งเสียงถามออกไปแล้ว 

 “อ้อ นี่...”เด็กหนุ่มถูกถามกะทันหัน ไม่ทันได้คิดคำโป้ปด รอยแผลเด่นชัดเช่นนี้เขาจะโกหกอะไรได้ เขาไม่มีทางบอกไป๋ผูอวี้ ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็ทำงานให้ผู้อาวุโสอวิ๋น เขารู้ว่าฝ่ายนั้นมิใช่ศัตรู แต่เขาไม่จำเป็นต้องบอกทุกเรื่อง

 “เจ้าคิดว่าข้าจะบอกหรือ รีบตรวจแขนให้ข้าได้แล้ว ท่านหมอไป๋”เขาเบี่ยงประเด็น แสร้งเอ่ยหยอกล้อ แต่อีกฝ่ายไม่ปล่อยเขาดิ้นหลุดจากหัวข้อนี้ ร่างตรงหน้ายังคงจับแขนของเขาไว้ สบตากับจื่อฟาง

    “ท่านไปโดนอะไรมา”คำถามเดิม แต่น้ำเสียงยิ่งเรียบเฉย เด็กหนุ่มขบกระพุ้งแก้ม สบตาอย่างไม่ยอมแพ้

    “เหตุใดต้องบอกเจ้า เจ้ายังมีความลับมากมาย ข้าก็มีความลับของข้าเช่นกัน”เขาทำสุ้มเสียงเย็นชาใส่ไป๋ผูอวี้เป็นครั้งแรก เป็นน้ำเสียงที่เสิ่นจิ้งเฟยชอบใช้เวลาที่มีเรื่องรำคาญใจ ไป๋ผูอวี้คล้ายกับทราบความจริงข้อนี้ จึงส่งเสียงหึทีหนึ่ง

    “ความลับเยอะเหลือเกิน คุณชาย”อีกฝ่ายพึมพำ กลับมาสนใจตรวจแขนให้เขาต่อด้วยใบหน้าของท่อนไม้ไป๋ที่เขาคุ้นชิน จางต้ายืนอยู่มุมห้องด้วยท่าทางสงบปากสงบคำ ใช่แล้ว ความลับของคุณชายมีเยอะมาก จางต้าส่งเสียงเห็นด้วยอยู่ในใจ แม้ว่าจะสงสัยเช่นกันว่ารอยกรีดสองรอยมาจากที่ใด หยางชวีเพิ่งมาถึงจึงพลาดบทสนทนาสำคัญไป แต่สายตาแหลมคมของเขาก็ไม่พลาดรอยกรีดสองรอยบนข้อมือของเสิ่นจิ้งเฟยที่เห็นเด่นชัดบนผิวขาวๆ ชายหนุ่มหรี่ตา ไม่ได้สังเกตมาก่อน คุณชายไปทำอะไรมาอีก 

จื่อฟางได้แต่กัดฟันกรอด ๆ ไป๋ผูอวี้จงใจใช้เวลาตรวจเนิ่นนานเพื่อให้หยางชวีเห็นรอยแผลของเขา ฝ่ายนั้นใช้มือไล่กดไปตามท่อนแขนของเขาเบาๆ ก่อนจะจับยกขึ้นลง

 “เจ็บหรือไม่”ชายหนุ่มถามเสียงอ่อน แต่นัยน์ตาเรียบนิ่ง

    “ไม่”เขาพึมพำตอบ

หยางชวีมองฉากเบื้องหน้าด้วยแววตาใคร่รู้ เขาคิดไปเองหรือไม่ที่บรรยากาศมาคุแปลกๆ เกิดอะไรขึ้นกับไป๋ผูอวี้ เขารู้สึกถึงแรงกดดันจากร่างนั้น คุณชายและจางต้าอาจไม่รู้สึก แต่สำหรับเขาแล้ว ไป๋ผูอวี้กำลังไม่พอใจ

    “ไม่มีอันตราย กระดูกของท่านไม่ได้รับความเสียหาย ร่างกายของท่านไม่เหมือนผู้อื่น อาจมีการขัดยอกเพราะแรงกระแทก เกิดอาการบวมช้ำก็ประคบเย็น”ไป๋ผูอวี้กล่าวเหมือนท่องหนังสือใช้มือกดบริเวณข้อต่อแขนของจื่อฟางจนเขาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ 

 “เจ็บหรือ”ฝ่ายนั้นยิ้มมุมปาก

    “ไม่เจ็บ”เขากัดฟันตอบ เจ้าท่อนไม้ไป๋ตั้งใจให้เขาเจ็บชัดๆ

“คุณชายไม่มีอาการร้ายแรงใดก็ดีแล้ว”หยางชวีเอ่ยแทรก ไม่สนบรรยากาศแปลกๆที่เกิดขึ้น จื่อฟางไม่ได้สบตาผู้ติดตาม รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องซักถามเรื่องแผลแน่ ไป๋ผูอวี้สร้างเรื่องยุ่งให้เขาแล้ว! 

    “วันนี้จะเรียนหนังสือหรือไม่”เขาถามออกไป “ข้าไม่มีอารมณ์”จื่อฟางใช้น้ำเสียงของเสิ่นจิ้งเฟย จางต้ายิ้มค้าง นานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นคุณชายทำตัวป่วนประสาทไป๋ผูอวี้

    “คุณชายเสิ่น ที่ท่านเคยสอบตก ก็เพราะไม่มีอารมณ์เหมือนกันหรือ”ไป๋ผูอวี้หยิบยกเรื่องเก่ามาพูด ก่อนนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

“ถ้าเช่นนั้น เดินหมากกับข้าสักตา”เขาไม่รอคำตอบของอีกร่าง ส่งเสียงสั่งเว่ยหลงให้นำกระดานหมากเข้ามา

จื่อฟางคาดไม่ถึง ไม่คิดว่าคุณชายไป๋จะเล่นไม้นี้ จึงได้แต่เก็บสีหน้าหงุดหงิดไว้ สวมบทเสิ่นจิ้งเฟย สวมบทเสิ่นจิ้งเฟย เด็กหนุ่มไม่คิดว่าจะช่วยได้ แต่ทันใดนั้นความรู้สึกคุ้นเคยก็แผ่ไปทั่วร่าง

 ‘เดินหมากกับข้าสักตา’ไป๋ผูอวี้เอ่ย ดวงตาคู่นั้นฉายแววไม่ยอมแพ้ชัดเจน เสิ่นจิ้งเฟยเพียงยิ้มหวาน โบกพัดอย่างสบายใจ

 ‘ต่อให้เดินอีกร้อยตา ท่านก็เอาชนะข้าไม่ได้ การเดินหมากของท่าน ข้าดูออกหมดแล้ว’

 ‘อย่าเอาแต่พูด พิสูจน์ให้ข้าเห็น หากข้าชนะ ท่านต้องบรรเลงกู่เจิงให้ข้าฟัง’ไป๋ผูอวี้จิบชา ท่าทางไม่ทุกข์ร้อน

 ‘กู่เจิง?ฝันหวานอยู่หรือ คนเช่นท่านไม่คู่ควรได้สดับฟัง ข้าตั้งใจบรรเลงให้....’เสิ่นจิ้งเฟยชะงักพูดไม่จบประโยคคล้ายกับนึกถึงเรื่องใด เขาเม้มริมฝีปาก สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาราวกับถูกไป๋ผูอวี้เหยียบเท้า อารมณ์ที่เปลี่ยนไปฉับพลันของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้ชายหนุ่มอีกคนย่นคิ้วงุนงง

‘หากข้าชนะท่าน รับปากกับข้าว่าจะไม่ยุ่งกับคุณหนูฉิน’เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวเสียงเย็นชา วางหมากสีดำลงบนกระดาน จากมุมห้องร่างสูงกำยำของเว่ยหลงส่งเสียงเย้ยหยันมาให้ได้ยิน เสิ่นจิ้งเฟยหันขวับไปมอง

 ‘บ่าวรับใช้ของท่านลามปามยิ่งนัก เขาเป็นคนเถื่อนหรือ ถึงได้ไม่มีมารยาท ไป๋ผูอวี้ท่านควรสั่งสอนเขาให้ดี’เพราะอารมณ์ขุ่นเคืองเสิ่นจิ้งเฟยจึงกล่าวอย่างเสียกิริยาไปบ้าง

 ‘เจ้า...’เว่ยเหลงตั้งท่าจะต่อปากต่อคำ

‘ออกไป เว่ยหลง’ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงเรียบ มองคุณชายเสิ่นด้วยสายตารำคาญใจ

    ‘บุตรชายเสนาบดีเช่นท่าน เสียกิริยาเช่นนี้ ก็มิได้รับการสั่งสอนเช่นกันกระมัง’คำพูดล่วงเกินที่ออกจากปากของบุตรชายคหบดีธรรมดาๆทำให้เสิ่นจิ้งเฟยโกรธมากเสียจนบีบพัดในมือเสียงดังกรอบแกรบ

‘ฮ่าๆ เจ้าลามปามนัก เห็นข้าไม่ว่ากล่าวตักเตือน ก็เลยคิดว่าข้าไม่กล้าทำอะไรท่านหรือ ไป๋ผูอวี้’เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยผ่านฟันที่ขบแน่น ชายหนุ่มอีกคนไม่ตอบ เพียงมองมาด้วยสายตาสุขุม วางหมากสีขาวต่อจากหมากของเขา

 ‘เดินหมากกันเถิด’

เสิ่นจิ้งเฟยอยากล้มกระดานหมากให้รู้แล้วรู้รอด อาการเมินเฉยของไป๋ผูอวี้ทำให้เขาตัวสั่นน้อยๆ ในอกปวดแปลบ แม้แต่บุตรชายพ่อค้าก็ไม่เห็นหัวเขา ไม่ว่าเขาทำสิ่งใดก็ถูกผู้คนมองด้วยสายตาเมินเฉย เขาคิดอย่างขุ่นเคือง คอยดูเถอะ ข้าจะทำให้พวกเจ้าหน้าหงายให้หมด เสิ่นจิ้งเฟยพลันรู้สึกเกลียดทุกอย่าง แม้กระทั่งร่างกายอ่อนแอของตน หากเขาหลุดพ้นได้เมื่อใด...

 ‘ข้าเพียงอยากผูกมิตร เหตุใดท่านต้องทำเสียบรรยากาศทุกที’ไป๋ผูอวี้มองมาอย่างไม่เข้าใจ ลงมือวางหมากสีขาวลงบนกระดาน เสิ่นจิ้งเฟยกำหมากดำในมือ กวาดมองปราดเดียวเขาก็รู้แล้วว่าไป๋ผูอวี้จะวางที่ใด ข้อเสียของคนผู้นี้คือซื่อตรง เขามีความเคยชินมักวางหมากในรูปแบบเดิมโดยไม่รู้ตัว แม้เพียงตัวเดียว เขาก็สังเกตเห็น มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เขาสามารถเอาชนะไป๋ผูอวี้ได้

 ‘ข้าไม่ต้องการ ข้าอยากชนะท่าน’เขาวางหมากดำบนเส้นทะแยง การเดินหมากระหว่างเขาและไป๋ผูอวี้จบลงเช่นเดิมทุกครั้งไม่ว่าอีกฝ่ายจะขอลองกี่ครา เขาก็เป็นฝ่ายชนะ 

    “คุณชายเอาชนะไป๋ผูอวี้ได้แน่นอนขอรับ”จางต้าเข้ามากระซิบเบาๆกับเขา จื่อฟางใจเต้นตึกตัก ความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟยยังคงท่วมท้น เขามองกระดานหมาก น่าแปลกที่เห็นไป๋ผูอวี้วางหมากแบบเดียวกันกับในความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟย จื่อฟางหยิบตัวหมากของตน ไม่คิดวางแนวเดิม เขาเกรงว่าไป๋ผูอวี้จะจำได้ จึงเลือกวางตรงข้ามกับที่เขาเห็นในความทรงจำ เด็กหนุ่มมือสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น เขาและไป๋ผูอวี้วางหมากแต่ไม่มีตัวใดถูกจับกิน

ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้ว วางหมากสีขาวลงไปบนจุดตัด ก่อนที่ไป๋ผูอวี้จะวางหมากเขาเห็นว่าสายตาของชายหนุ่มกวาดสลับไปมาที่จุดหนึ่งอย่างลังเลใจ จื่อฟางยังคงไม่ค่อยเข้าใจการเดินหมากอย่างถ่องแท้ เพราะเป็นการเล่นที่ใช้สมาธิและความอดทนจึงทุ่มความสนใจไปที่กลุ่มหมากอย่างเดียว ครั้งแรกที่ได้เดินหมากกับไป๋ผูอวี้เขาเพียงเล่นส่งๆด้วยความตื่นกลัว ผิดกับคราวนี้ที่เขามีสติกว่ามาก เขาพยายามจำความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟยยามวางหมาก ความต้องการเอาชนะ วางหมากอย่างใจเย็น และอดทน

จื่อฟางขบคิดจนเหงื่อผุด เวลาผ่านไปเรื่อยๆตัวหมากของเขาและไป๋ผูอวี้ต่างก็พลัดกันถูกกิน เขาครุ่นคิดอยู่นานว่าจะวางหมากใด มือที่สั่นน้อยๆของเขากลับทำให้วางหมากผิดตำแหน่ง เสียงกระทบดังแกร๊กเบาๆคล้ายดังอยู่ในห้องดื่มชา  จื่อฟางกระพริบตา รูปแบบวางหมากกลับมาเป็นเช่นในความทรงจำอีกครั้ง คราวนี้เขาเลือกวางหมากตามเสิ่นจิ้งเฟย เมื่อถึงเวลานับคะแนน เขาก็ชนะได้อย่างฉิวเฉียด เพียงหกแต้มเท่านั้น สวรรค์ยังนับว่าเมตตา

ไป๋ผูอวี้เหลือบมองเสิ่นจิ้งเฟยที่ยังไม่ผ่อนคลายจากความตึงเครียดอย่างครุ่นคิด เขาจงใจเล่นซ้ำรูปแบบเดิม ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีเดิมเช่นกัน เขาจึงลองวางหมากไปตามนั้น และก็เป็นอย่างที่เขาคาด แม้ว่าตัวหมากที่หลุดกระเด็นนั่นจะไม่อยู่ในการคาดเดาของเขาก็ตาม แต่ได้เห็นท่วงท่ายามขบคิดของคุณชายคล้ายเด็กน้อยที่อยากไขปริศนาก็ทำให้ไป๋ผูอวี้เผยรอยยิ้ม

    “ท่านชนะอีกแล้ว แต่รูปแบบเช่นนี้คลับคล้ายว่าท่านเคยใช้มาก่อน”ไป๋ผูอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ

จื่อฟางเลิกคิ้ว “แต่เจ้าก็ยังเดินรูปแบบเดิม”ไป๋ผูอวี้ยอมอ่อนให้เขาหรือ เขาไม่ได้โกรธแค่เพียงสงสัยว่าไป๋ผูอวี้คิดทำสิ่งใด

อีกฝ่ายเพียงมองเขาอย่างใคร่รู้อยู่นานสองนาน“ข้าคิดถึงเรื่องหนึ่ง ท่านบอกว่าความทรงจำไม่ค่อยดี เรื่องที่เคยทำได้กลับทำไม่ได้ ...ครานี้หมากของท่านเหมือนครั้งก่อน หมายความว่าท่านได้ความทรงจำมาบางส่วนแล้วหรือ”ถ้อยคำของไป๋ผูอวี้ทำให้คนในห้องกระพริบตา ส่วนลึกของไป๋ผูอวี้นั้นผิดหวัง เขาไม่อยากได้เสิ่นจิ้งเฟยคนเก่าที่เย่อหยิ่งน่ารำคาญไม่น่าคบหาผู้นั้น

 “กล่าวเช่นนั้นก็ถูก ข้านึกถึงเรื่องเก่าๆไปครู่หนึ่ง”จื่อฟางหมุนตัวหมากในมือเล่น ไฉนไป๋ผูอวี้ต้องทำสีหน้าพิกลด้วย ฝ่ายนั้นไม่เอ่ยสิ่งใดอีก ชั่วขณะไป๋ผูอวี้รู้สึกว่าการพบปะกับเสิ่นจิ้งเฟยใกล้หมดเวลาแล้ว ชายหนุ่มข่มความรู้สึกไม่คุ้นชินในอกหันไปทางเว่ยหลง สั่งให้เอาน้ำชามาหนึ่งกา 

 “คุณชายเสิ่น เรียนต่อเถิด”ท่าทีที่เปลี่ยนไปฉับพลันของอีกคนทำเอาจื่อฟางมึนงง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยแย้ง หยางชวีกลับออกไปรอนอกห้อง จางต้ากลับมาฝนหมึกให้เขาราวกับฉากเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น   

    “ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”จื่อฟางกล่าวเมื่อนึกได้ ส่งสายตาบอกให้จางต้าออกไปก่อน ไป๋ผูอวี้เลิกคิ้วรอคำพูดของเขา

เด็กหนุ่มรอจนอยู่เพียงสองคน จึงเอ่ยวาจา “รับปากกับข้าว่าจะไม่ยุ่งกับคุณหนูฉิน”เขายกคำพูดเดิมที่เสิ่นจิ้งเฟยเคยกล่าวไว้มาใช้ น่าแปลกที่วันนี้ได้เห็นอารมณ์หลากหลายบนใบหน้าของไป๋ผูอวี้ 

 “ข้าเป็นฝ่ายเดินหมากชนะท่าน”จื่อฟางกล่าวต่อ ราวกับอ่านบทนิยาย เขากำลังท่องบทของเสิ่นจิ้งเฟย เหตุการณ์นี้คล้ายกับในความทรงจำที่เขาเห็น   

 “ข้าไม่ได้รับปากจะพนันกับท่าน”ไป่ผูอวี้แสดงท่าทางเฉยเมย

 “ข้าไม่ได้ห่วงคุณหนูฉิน ข้าห่วงเจ้า”เขาอดไม่ได้ต้องเอ่ยต่อ จื่อฟางได้แต่หวังว่าคนฉลาดเช่นไป๋ผูอวี้จะไม่ตกหลุมพรางของฉินเซียงอิน

    “ถือว่าข้าเตือนท่านแล้ว”เขาไม่อยากพูดให้มากความ

    “ท่านคิดว่าจะมีเรื่องใดเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าจริงจัง

“คุณหนูฉินชอบเจ้า นางต้องหาเรื่อง...เข้าใกล้เจ้าอย่างที่ข้าทำ”จื่อฟางไม่กล้าบอกกล่าวไปตามตรงว่าคุณหนูฉินใช้กลวิธีอ่อยไป๋ผูอวี้ เขาเป็นบุรุษเอาคุณหนูฉินมาพูดลับหลังจะทำให้ดูไม่ดีไปเสียเปล่าๆ พอเขาพูดจบอีกฝ่ายก็ขมวดคิ้ว

    “ท่านคิดมากไปแล้ว ข้าไม่ใช่เด็กไม่ประสีประสา คุณชายเสิ่นห่วงตัวเองเถิด ได้ยินว่าท่านต้องไปเยี่ยมสกุลฝั่งมารดา ท่านกลัวจะถูกขอให้เล่นกู่เจิงถึงได้ทำเรื่องให้แขนบาดเจ็บ ข้ากล่าวได้ถูกต้องหรือไม่”ไป๋ผูอวี้ยกถ้วยชาดื่มช้าๆ เหลือบมองเสิ่นจิ้งเฟยด้วยแววตารู้ทัน

จื่อฟางอึ้งไปครู่หนึ่ง เจ้านี่มองเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง “เจ้ารู้?”

 “ข้าเห็นท่านจงใจตกลงมา ต่อไปอย่าได้เล่นเช่นนี้อีก ข้าไม่อยากเห็นท่านเจ็บตัว”บุรุษหนุ่มวางถ้วยชา สายตาจับอยู่ที่แขนข้างซ้ายของคุณชายเสิ่น หวนนึกถึงรอยแผลที่ข้อมือของอีกฝ่าย จื่อฟางไม่รู้ว่าควรตอบกลับเช่นไร จึงไหวไหล่ จับแขนซ้ายของตน

 “ข้านึกได้ว่ามีธุระ วันนี้พอเท่านี้ก่อน”เขาไม่มีอารมณ์อยากเรียนอีกต่อไปแล้ว คิดว่าควรกลับจวนเสียที”เขาลุกยืนอย่างดื้อดึง    

    “รอประเดี๋ยว”ไป๋ผูอวี้ส่งเสียง เขาเองก็ไม่มีสมาธินัก ชายหนุ่มก้าวมาหยุดตรงหน้าเสิ่นจิ้งเฟย  ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดเขาถึงได้ถอดเอาสร้อยคอหยกที่ราคาค่างวดใช้ซื้อพัดหรูหราของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้ออกมาสวมให้กับร่างบางตรงหน้า

จื่อฟางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

“นี่เป็นสร้อยของข้า ได้มาจากท่านอาจารย์เมื่อยังเด็ก เขาบอกว่าจะปัดเป่าโชคร้าย ข้าจึงเก็บติดตัวเสมอ”ไป๋ผูอวี้กล่าวพลางจัดสร้อยให้อยู่ในคอเสื้อของเสิ่นจิ้งเฟย ไม่อยากให้เว่ยหลงเห็นเข้า สายตาของชายหนุ่มมองเห็นผิวขาวใต้ร่มผ้าของเสิ่นจิ้งเฟย อยู่ๆภาพความทรงจำในคืนที่ตนเห็นร่างเปล่าเปลือยของคนผู้นี้ก็ฉายเข้ามาในหัว เขารีบปล่อยมือราวกับถูกน้ำร้อนลวกทันที

จื่อฟางไม่ได้สังเกต “ข้าว่าเจ้าควรเก็บไว้มากกว่า...”

 “ข้ามอบให้เจ้า กลับมาจากอำเภอถงฉวนค่อยคืนข้า ส่วนเรื่องคุณหนูฉิน ข้ารับปากว่าจะอยู่ให้ห่างจากนาง”เดิมทีไม่คิดตอบ เขาไม่มีเหตุผลที่ต้องใกล้ชิดนาง แต่เห็นสีหน้ายุ่งยากใจของเสิ่นจิ้งเฟย เขาก็พลั้งปากพูดออกไปแล้ว

จื่อฟางคลี่ยิ้มลูบหยกที่เป็นก้อนนูนในอกเสื้อด้วยนัยน์ตากระจ่างใส “ข้าจะเก็บไว้อย่างดี”

ในห้องพลันตกอยู่ในความเงียบ เด็กหนุ่มเหลือบมองร่างสูงอย่างลังเล กล่าวช้าๆ  “ข้าไม่อยู่ คงคิดถึงเจ้า”

ไป๋ผูอวี้ไม่เอ่ยสิ่งใด ก้มมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่เก็บอารมณ์ “ท่านไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดหยอกล้อกับข้า ข้าไม่ใช่บรรดาสาวงามของท่าน”ร่างนั้นยืดตัวตรง เอามือไพล่หลังท่าทางปลอดโปร่ง

    “แต่ข้าจะจำไว้ก็แล้วกัน”ร่างสูงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

จื่อฟางเกาแก้ม กระแอมเล็กน้อย ไร้ความกล้าจะโต้ตอบอย่างทุกที “ถ้าเช่นนั้น...ข้าขอตัวก่อน”

คิดถึงหรือ ไป๋ผูอวี้มองร่างผอมบางของคุณชายเสิ่นหายลับไปจากการมองเห็น ความรู้สึกยามที่คิดว่าจะไม่ได้พบเจอเสิ่นจิ้งเฟยที่ห้องดื่มน้ำชาแห่งนี้อีกแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทำให้เขาถอดถอนหายใจ ยืนนิ่งอยู่ในห้องราวกับคนโง่งม

~•~

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2019 07:52:51 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 
จื่อฟางกลับจวนด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม หยางชวีและจางต้าต่างก็แปลกใจ ก่อนหน้านี้พวกเขายังเห็นบรรยากาศระหว่างคุณชายและไป๋ผูอวี้ดูกระอักกระอ่วนอยู่เลย เขาวางท่าราวไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น เมินเฉยต่อสายตาตั้งคำถามของหยางชวี เรื่องรอยแผลอย่าหวังเลยว่าเขาจะบอก รถม้าแล่นมาจอดที่จวนสกุลเสิ่นอย่างราบรื่น จื่อฟางกลับเข้าไปในเรือน สั่งให้บ่าวจัดเตรียมของสำหรับเดินทางไปอำเภอถงฉวนในวันรุ่งขึ้น เขาพบว่ามีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่บนหมอนกระเบื้องจึงรีบนำมาเก็บไว้ รอจนทางสะดวกถึงจะกล้าเปิดอ่าน เป็นจดหมายตอบกลับจากฮ่องเต้อย่างไม่ต้องสงสัย

ยามคล้อยบ่ายเสิ่นมู่หยางกลับมาจากราชสำนักด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า เขามาหาบุตรชายที่เรือน บ่าวรับใช้คนหนึ่งถือกล่องยาวสลักลวดลายงดงามเดินตามมาด้วย จื่อฟางออกไปต้อนรับพร้อมกับรินชาให้เสิ่นมู่หยาง

    “ข้าเก็บภาพวาดของมารดาเจ้าไว้อย่างดี ท่านตาของเจ้าอยากชมดูว่าเป็นอย่างไร”เขาเอ่ย พยักเพยิดให้บ่าวรับใช้ส่งกล่องไม้ไปให้บุตรชาย จื่อฟางพอใจกับผลงานชิ้นนี้มาก ไม่มีอะไรดีไปกว่าได้เห็นงานศิลปะของเขาเป็นตัวแทนความทรงจำของผู้ที่จากไปแล้ว เสิ่นมู่หยางเห็นบุตรชายมีสีหน้าอ่อนโยนจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใด

“ท่านพ่อมีเรื่องใดอีกหรือ”เด็กหนุ่มสังเกตว่าอีกฝ่ายเงียบไป

    “ไปเยี่ยมสกุลโหยวครานี้ เจ้าก็ทำตัวดีๆหน่อยล่ะ”เสนาบดีเสิ่นรู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยไม่อยากไปอำเภอถงฉวนเพราะไม่อยากกลับไปยังสถานที่ที่เป็นความทรงจำของมารดา

 “ข้าทราบแล้ว”ร่างบางรับคำอย่างว่าง่าย ผู้เป็นบิดาลอบแปลกใจ ทุกทีเจ้าเด็กนี่ต้องโวยวายสองสามประโยคถึงจะยอมตกปากรับคำ เขาพินิจมองเสิ่นจิ้งเฟย จะว่าไปนิสัยของบุตรชายก็เปลี่ยนไปราวคนละคน ตั้งแต่เกิดเรื่องที่หอผูเยว่ เรื่องของคุณหนูฉินส่งผลถึงเพียงนี้เชียวหรือ ไหนจะเรื่องที่หานตงนำมารายงาน ฮ่องเต้เจี่ยผิงส่งคนมาเฝ้าดูบุตรชายถึงจวน เรื่องเช่นนี้ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น ฝ่าบาทเคยออกนอกวังมาพบกับเสิ่นจิ้งเฟย แม้ผ่านไปนานหลายปีก็ยังไม่ยอมละความพยายาม เสิ่นมู่หยางหวาดกลัวยิ่งนัก เขาไม่อยากให้บุตรชายตกเป็นหนึ่งในชายงามของฝ่าบาท 

“ท่านพ่อไม่ต้องห่วง ข้าไม่สร้างเรื่องให้ท่านปวดหัวแน่นอน”จื่อฟางกล่าวเสริม เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่าย เสนาบดีเสิ่นยิ้มฝืดเฝื่อน

    “พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เจ้าต้องใช้เวลาเดินทางทั้งวัน”เขาไม่อยู่รบกวนบุตรชาย ตบบ่าร่างนั้นเบาๆก่อนกลับเรือน จื่อฟางมองชายเสื้อคลุมของอีกฝ่ายลากพ้นธรณีประตูก็หยิบจดหมายของฮ่องเต้มาเปิดอ่าน ลายมือเป็นระเบียบหนักแน่นงดงามปรากฏให้เห็น

‘จิ้งเฟย เจ้าได้ใจมากไปแล้ว แค่เอ่ยปากร้องขอโดยไม่มีสิ่งตอบแทนคิดว่าข้าจะตอบตกลงหรือ ไม่คิดว่าเรื่องจุกจิกไร้สาระเช่นนี้จะทำให้เจ้าเขียนจดหมายหาข้า แต่หากเจ้าร้องขอด้วยตัวเอง ข้าอาจรับฟัง’

จื่อฟางทำเสียงหึในลำคออย่างหงุดหงิด ขยำจดหมายจนเป็นก้อนเล็กๆ อย่างที่เขาคาดฮ่องเต้ไม่ยอมรับคำขอของเขาง่ายๆเสียด้วย

~•~

จื่อฟางออกเดินทางจากจวนสกุลเสิ่นตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เขาให้หยางชวีและจางต้าตามมาปรนนิบัติเพียงสองคนเท่านั้น เสิ่นมู่หยางไม่ได้เอ่ยค้านเพราะรู้ดีว่ามีคนของฮ่องเต้ติดตามไปอย่างลับๆ การเดินทางไปอำเภอถงฉวนราบรื่นกว่าที่คิดไว้ แม้ว่าจะต้องนั่งอยู่ในรถม้าถึงสองวันจนปวดก้นไปหมด จางต้าเองก็โล่งใจเพราะเมื่อปีกลายคุณชายเสิ่นป่วยหนักต้องพักที่โรงเตี๊ยมอยู่หลายวัน พอมาไตร่ตรองดูดีๆ อาการป่วยคราวนั้นของคุณชายช่างแปลกนัก แต่จางต้าไม่กล้าสงสัยต่อจึงได้แต่ทำลืมเลือนไป

อำเภอถงฉวนคึกคักไม่ต่างจากเมืองหลวงฉางอัน เมื่อผ่านเส้นทางรกร้างเข้าสู่ตัวเมือง จื่อฟางก็เริ่มมองเห็นบ้านเรือน ถนนเริ่มมีผู้คน ร้านรวงเต็มสองข้างทาง เขาเลิกม่านมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสนใจ เสียงพูดคุยของผู้คนดังปะปนจนแยกไม่ออก เด็กหนุ่มมองทิวทัศน์รอบตัวเปลี่ยนไปเรื่อยๆด้วยจิตใจเบิกบาน  เขานำอุปกรณ์วาดภาพมาด้วย ไหนๆก็มาถึงสกุลโหยวทั้งที จื่อฟางคิดอยากวาดภาพคนเหล่านั้นเก็บไว้

ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าจะถึงจวนสกุลโหยว เขาปิดม่านเมื่อรถม้าหยุดจอดอยู่หน้าประตูคฤหาสน์หลังใหญ่ มีบ่าวรับใช้รอต้อนรับอยู่กลุ่มหนึ่ง เมื่อเห็นรถม้าเคลื่อนเข้ามาหนึ่งในนั้นก็รีบเข้าไปรายงานนายใหญ่ในบ้าน

“ถึงแล้วขอรับ”หนานอิงส่งเสียงบอกจากด้านนอก จื่อฟางยินดียิ่งนักอยากลงไปยืดเส้นยืดสายให้หายเมื่อย เขาลงจากรถม้าด้วยการประคองของจางต้า บ่าวรับใช้ยังกังวลว่าเขาจะสะดุดตกลงมาอีก จื่อฟางไม่มีข้อโต้แย้งได้แต่รับการประคองของอีกฝ่าย ภาพคุณชายรูปงามถูกประคองราวหญิงสาวทำให้บ่าวไพร่ที่ยืนต้อนรับทำสีหน้าสงสัยใคร่รู้ พวกเขาได้ยินเรื่องเล่าหลายอย่างเกี่ยวกับหลานชายสกุลโหยว ทั้งเรื่องดีและไม่ดี ฝีมือบรรเลงกู่เจิงของคุณชายเป็นที่ร่ำลือ กระทั่งฮ่องเต้ยังเรียกหา แต่ติดที่ว่าเสิ่นจิ้งเฟยเป็นคุณชายเจ้าสำราญ ไม่หยิบจับสิ่งใด ได้ข่าวว่าถูกบุตรตรีสกุลฉินหักน้ำใจจนฟูมฟายอยู่ที่หอนางโลมไม่ยอมกลับเรือนเสียหลายวัน

    “คุณชายเสิ่นคงเดินทางมาเหนื่อย เข้าไปด้านในเถอะขอรับ นายท่านโหยวรออยู่นานแล้ว”บ่าวรับใช้ที่อายุมากที่สุดก้าวมาด้านหน้า จื่อฟางกวาดตามองครู่เดียวก็จำได้ ลักษณะตรงกับที่นิยายบรรยายไว้ คนผู้นี้คือพ่อบ้านเฮ่อสุ่นที่ดูแลสกุลโหยวมายาวนาน เขาพอจะคุ้นเคยกับเสิ่นจิ้งเฟยอยู่บ้าง

จื่อฟางพยักหน้ารับรู้ไม่ได้เอ่ยตอบ เสิ่นจิ้งเฟยไม่ค่อยพูดคุยกับคนสกุลโหยวเท่าไร พ่อบ้านเฮ่อสุ่นคุ้นเคยกับท่าทางเช่นนี้ของอีกฝ่ายดีจึงไม่ได้ว่ากล่าวอะไร  พ่อบ้านเดินนำไปตามเฉลียงทางเดินทอดยาว

“พ่อบ้านเฮ่อสบายดีหรือ”จื่อฟางเอ่ยทำลายความเงียบ

    “ข้าสบายดี คุณชายเล่า”เฮ่อสุ่นได้ยินนายท่านโหยวเถียนบ่นถึงคนทางเมืองหลวงอยู่บ่อยครั้ง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของเสิ่นมู่หยางซุกซ่อนอนุ นายท่านเป็นห่วงความรู้สึกของหลานชาย เคยส่งจดหมายไปถามไถ่ แต่ก็ไม่มีการติดต่อกลับมา

    “ข้าก็เรื่อยๆเหมือนเดิม”จื่อฟางตอบสั้นๆ หยางชวีกับจางต้าเดินตามมาเงียบๆ นึกอยู่ในใจว่าคุณชายทำเรื่องไว้เยอะแยะต่างหาก จื่อฟางมองการตกแต่งในยุคโบราณด้วยสายตาสนใจ คฤหาสน์สกุลโหยวไม่ได้ใหญ่โตมากมายแต่ก็ไม่ได้คับแคบ เป็นเรือนสี่ประสาน มีประตูทางเข้าสองชั้น ลานกว้างถูกจัดเป็นสวนเรียบง่าย เขาได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักแว่วออกมาจากเรือนอีกฝั่งก็ทำหน้ามึนตึง 

เมื่อเดินมาถึงเรือนใหญ่ เขาก็จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนก้าวเข้าไปในห้องรับรอง ด้านในห้องตกแต่งด้วยเครื่องเรือนประณีต คนในห้องมีกันอยู่หลายคน ผู้ที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวกลางคือชายมีอายุผมดอกเลาร่างท้วมสมบูรณ์ โหยวเถียนท่านตาของเสิ่นจิ้งเฟย เก้าอี้ทางซ้ายมือคือชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับโหยวเถียน โหยวจี้เหวินท่านลุงใหญ่ผู้ประกอบกิจการขายเครื่องดนตรี ข้างกายมีหญิงหน้าตาหมดจดนั่งอยู่ด้วย คงเป็นป้าสะใภ้ ทางขวามือคือลุงรองโหยวหวั่น เจ้าของโรงเตี๊ยมหลังใหญ่ในตลาด ยังไม่ได้ตบแต่งหญิงใดเข้ามาแม้ว่าจะเลยวัยไปมากแล้ว

จื่อฟางไม่ทันได้อ้าปากท่านตาก็ลุกพรวดเดินปรี่มาหาด้วยกำลังวังชาที่น่าตกใจสำหรับชายสูงวัย

“เฟยเอ๋อร์ ไม่ได้เจอเจ้านานไฉนซูบเซียวถึงเพียงนี้ เสิ่นมู่หยางดูแลเจ้าอย่างไร ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย!”ชายแก่ตวาดเสียงสั่นเข้ามาลูบตามเนื้อตามตัวของจื่อฟางไม่หยุด ดวงตาฉ่ำน้ำจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าของเขา

“ท่านพ่อ ให้เขาได้หายใจหายคอหน่อยเถิด”โหยวจี้เหวินกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มจาง สายตากวาดมองมาที่หลานชายไม่หยุดเช่นกัน ไม่ได้เจอกันนานเสิ่นจิ้งเฟยผ่ายผอมอย่างที่ท่านพ่อกล่าวจริง แต่ใบหน้ามีเลือดฝาดไม่เหมือนคนอมทุกข์ โหยวจี้เหวินจึงเบาใจ

    “ถูกแล้ว จิ้งเฟยเพิ่งเดินทางมาเหนื่อยๆ ให้เขาพักดื่มชาสักจอกค่อยคุย”โหยวหวั่นเอ่ยเสริม เห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของหลานชายก็รู้สึกเวทนา เด็กหนุ่มผู้นี้ร่างกายอ่อนแอเหมือนโหยวหลันน้องสาวไม่มีผิด จื่อฟางเหลือบมองผู้พูด ลุงรองผู้นี้มีใบหน้าเกลี้ยงเกลา 

    “ข้าสบายดี”จื่อฟางเอ่ยสั้นๆค้อมตัวทักทายลุงใหญ่ ลุงรองและป้าสะใภ้ แต่ท่านตาผู้นี้กลับไม่ยอมปล่อยตัวเขา ซ้ำยังจับโดนแขนซ้ายที่ปวดระบมของเด็กหนุ่มเข้า เขาส่งเสียงร้องเบาๆชักแขนหนีไปด้วย

    “เจ้าเป็นอะไร”โหยวเถียนเห็นเสิ่นจิ้งเฟยทำท่าประหลาดจึงไม่กล้าแตะต้องตัวหลานชายอีก

    “ข้าไม่ระวังก็เลยตกจากรถม้า ท่านตาไม่ต้องเป็นห่วง แค่ระบมเล็กน้อยเท่านั้น  ข้าไม่ตายง่ายๆหรอก”เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม คนสกุลโหยวทำเหมือนเขาจะปลิวหายไปได้ทุกเมื่อ                         

    “ไยเจ้ากล่าวเช่นนี้เล่า”ท่านตาทำสีหน้าปานใจจะขาด แม้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะมีนิสัยไม่น่ารัก แต่เขาก็เอ็นดู อีกทั้ง...ยังมีใบหน้าที่ได้เค้ามาจากบุตรสาวคนเล็กของตน เห็นแบบนี้จะให้ดุด่าอย่างไรไหว จื่อฟางนั่งลงที่เก้าอี้ว่าง ‘ตาเฒ่าน่ารำคาญ’คือคำกล่าวที่เสิ่นจิ้งเฟยบรรยายถึงท่านตา แต่จื่อฟางไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น ชายแก่ผู้นี้เพียงแค่คิดถึงหลานชายที่ไม่ค่อยโผล่หน้ามาหา ทั้งยังทำตัวห่างเหิน พอพบหน้าจึงจุกจิกไปบ้าง

โหยวฮูหยินรินน้ำชาใส่ถ้วยให้เสิ่นจิ้งเฟย นางพบเจอเด็กหนุ่มผู้นี้เพียงไม่กี่ครั้ง เมื่อปีกลายบอกว่าป่วยกะทันหันมาไม่ได้ นางยังคิดอยู่ว่าปีนี้เสิ่นจิ้งเฟยอาจจะไม่ยอมมาเยี่ยม แต่นางคาดผิด

    “น่าเสียดายนัก เช่นนี้ข้าคงไม่มีโอกาสได้รับฟังบทเพลงกู่เจิงของเจ้าแล้ว”นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวัง โหยวฮูหยินได้ยินพ่อสามีเอ่ยชมฝีมือดีดกู่เจิงของหลานชายบ่อยครั้ง

จื่อฟางกุมถ้วยชาอุ่นๆไว้ในมือ กล่าวอย่างสุภาพ “หากมีโอกาสข้าจะเล่นให้ท่านป้าสะใภ้ฟัง กลัวแต่ว่าจะทำให้ท่านผิดหวัง”เขาเพียงกล่าวตามน้ำ

 “ช่างเถอะๆ เจ้ามาเยี่ยมคนแก่เช่นข้าก็ดีแล้ว เฟยเอ๋อร์ ตาดีใจที่เจ้ายอมมา มารดาเจ้า...”โหยวเถียนชะงักงันเมื่อหลุดปากเอ่ยถึงมารดาของเสิ่นจิ้งเฟย ไม่ใช่ว่าเขาทำใจไม่ได้ แต่เด็กคนนี้ไม่ชอบให้คนเอ่ยถึงมารดาที่จากไปแล้ว 

เกิดความเงียบระลอกใหญ่ จื่อฟางกวาดตามองอย่างไม่เข้าใจนัก ก่อนหาเรื่องคุยเพื่อไม่ให้เกิดความกระอักกระอ่วน

“ข้านำผู้ติดตามมาด้วย เขาชื่อหยางชวี”เขาหันมองผู้ติดตามและบ่าวคนสนิทที่ยืนอยู่นอกประตู คนสกุลโหยวหันมองร่างกำยำของหยางชวีเป็นตาเดียว ชายหนุ่มจึงก้มตัวคำนับทำความเคารพ

    “หยางชวี? มิใช่เด็กที่เสิ่นมู่หยางเก็บมาดูแลหรือ”โหยวเถียนจ้องมองร่างสูงใหญ่เขม็ง แต่อีกฝ่ายทำหน้าไร้ความรู้สึก 

“ขอรับ”เขาตอบ ก่อนออกเดินทางนายท่านเสิ่นเตือนเขาไว้แล้วว่าอาจถูกโหยวเถียนไม่ชอบหน้า แต่เดิมสกุลโหยวไม่ชอบนายท่าน เรื่องใดที่เกี่ยวกับเสิ่นมู่หยางจะพลอยถูกชังไปด้วย เขาทราบดีว่าเหตุใดสกุลโหยวถึงมีท่าทีเช่นนี้ หลังจากที่เสิ่นฮูหยินจากไปได้สี่ปี นายท่านก็ผูกสัมพันธ์กับหญิงนางหนึ่ง 

 “อ้อ ข้าได้ยินมาว่าท่านตาอยากชมฝีมือวาดภาพของข้าหรือ”จื่อฟางเปลี่ยนเรื่อง คนสกุลโหยวหันมาสนใจเขาอีกครั้ง พวกเขาได้อ่านจดหมายของเสิ่นมู่หยางจึงอยากเห็นภาพวาดโหยวหลันด้วยตาตัวเอง จางต้าเห็นคุณชายส่งสายตามาให้จึงนำกล่องไม้เข้ามาวางบนโต๊ะด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม สกุลโหยวค่อนข้างเคร่งครัดเรื่องกฏธรรมเนียม เขาจึงทำตัวเคยชินอย่างยามที่อยู่สกุลเสิ่นมิได้

จื่อฟางเปิดกล่องหยิบแผ่นผ้าไหมที่ม้วนอย่างประณีตส่งให้โหยวเถียน เขามองชายแก่คลี่ผ้าไหมด้วยมือที่สั่นเทา ท่านลุงทั้งสองและป้าสะใภ้ต่างก็โน้มตัวมาข้างหน้าเพื่อมองให้ชัด ๆ

ได้ยินเสียงสูดหายใจเฮือกใหญ่ของท่านตา “นี่มัน...”โหยวเถียนมองด้วยสายตาตกตะลึง ภาพวาดงามวิจิตรเสมือนมีชีวิตปรากฏอยู่เบื้องหน้า เป็นภาพของโหยวหลันที่บานสะพรั่งมีชีวิตชีวา ดวงตาคู่งามคล้ายกับมองมาที่พวกเขา โหยวหวั่นมองอย่างตกตะลึงไม่คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีฝีมือถึงขั้นนี้ ทีแรกคิดว่าเสิ่นมู่หยางกล่าวชมเกินเลย

ชายหนุ่มหันไปเอ่ยชมหลานชาย “ฝีมือเจ้ายอดเยี่ยมนัก”โหยวหวั่นกล่าวชมด้วยโทนเสียงที่แฝงความแปลกใจ

 “นั่นสิ อาจารย์ท่านใดสอนเจ้ารึ”ท่านลุงใหญ่เอ่ยถาม   

    “ท่านอาจารย์เป็นเพียงคนธรรมดาไม่มีชื่อเสียง กล่าวไปพวกท่านคงไม่รู้จัก แต่ข้านับถือเขามาก”จื่อฟางตอบอย่างไม่ปิดบัง เขาไม่อยากพูดปดว่าเรียนรู้เอง เพราะถือว่าไม่ให้เกียรติอาจารย์ เมื่อนึกถึงอาจารย์สอนดรออิ้งนัยน์ตาของเขาก็เป็นประกาย 

    “ผู้ใดกล่าวหาว่าหลานข้าหยิบจับสิ่งใดไม่เป็น”โหยวเถียนลูบภาพวาดด้วยดวงตาฉ่ำน้ำ

“เจ้าวาดภาพให้ข้าสักผืนได้หรือไม่ ข้าจะนำไปติดที่โรงเตี๊ยม”โหยวหวั่นได้ทีกล่าวอย่างกระตือรือร้น ภาพวาดพู่กันราคาค่อนข้างสูง หากให้เสิ่นจิ้งเฟยช่วย เขาจะได้ประหยัดเงินไปอีกหลายตำลึงทอง

    “ย่อมได้ ข้ากำลังเบื่อพอดี”จื่อฟางเอ่ยตอบทันที เขากับโหยวหวั่นพากันออกไปจากห้องรับรอง ปล่อยให้ท่านลุงใหญ่และท่านตานั่งชื่นชมภาพวาดผืนนั้น

โหยวหวั่นนำเขาเดินไปตามเฉลียงทางเดินที่ค่อนข้างสงบ จนพบกับศาลาหลังใหญ่ มีม่านสีฟ้าอ่อนโบกสะบัด ความทรงจำเลือนลางปรากฏให้เห็น เป็นศาลาที่มารดาของเสิ่นจิ้งเฟยมักมาบรรเลงกู่เจิงที่นี่ แต่เสิ่นจิ้งเฟยไม่ชอบนัก เขามักจะเลี่ยงสถานที่ที่มารดาเคยไป

โหยวหวั่นหยุดยืน กล่าวโดยไม่หันมามองเขา “ข้ารู้ว่าเจ้ามิชอบความวุ่นวาย แต่อย่างไรสกุลโหยวก็เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของเจ้า หากมีเรื่องขุ่นเคืองใด สกุลโหยวพร้อมต้อนรับเจ้าเสมอ”พูดจบเขาก็สะบัดพัดก้าวเดินนำไปที่ศาลาโดยไม่รอฟังคำพูดของหลานชาย เสียงกระดิ่งต้องสายลมดังเบาๆเป็นท่วงทำนองเสนาะหู ใช้เวลาอยู่สักครู่จางต้าถึงนำอุปกรณ์วาดภาพของเขามาให้ที่ศาลา หยางชวียืนห่างออกไป พินิจมองโหยวหวั่นจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดร้ายใด เขาจึงผ่อนคลายท่าทีเฝ้ามองอยู่เงียบๆ

    “ท่านอยากให้ข้าวาดภาพแบบใดหรือ”เขาเอ่ยถาม พับแขนเสื้อเพื่อให้สะดวกต่อการวาดพู่กัน โหยวหวั่นนึกถึงภาพวาดที่เขาหมายตา แต่ถูกเถ้าแก่ผิงแย่งซื้อไปจึงอธิบายให้หลานชายฟัง เป็นภาพวาดหญิงงามห้านางกำลังดีดบรรเลงดนตรีในมวลหมู่ดอกไม้ งดงามราวนางสวรรค์ จื่อฟางจินตนาการภาพไว้ในหัว โชคดีที่เขาบาดเจ็บที่แขนข้างซ้ายไม่ใช่แขนข้างขวา  เด็กหนุ่มจับพู่กันอย่างคุ้นชิน วาดหญิงงามทั้งห้าโดยใช้ดาราจีนที่เขารู้จักเป็นต้นแบบ ท่านลุงรองขยับมาดูเขาวาดภาพอย่างสนใจ ได้เห็นกับตาตนเองก็ยิ่งทึ่ง เสิ่นจิ้งเฟยบรรเลงกู่เจิงได้ไพเราะเป็นเรื่องที่ผู้คนต่างเคยล่วงรู้ แต่ฝีมือด้านวาดภาพกลับซุกซ่อนไว้ เจ้าเด็กคนนี้คงไม่ใช่คุณชายไม่เอาไหนอย่างที่ถูกกล่าวหากระมัง เขายกมือลูบคางอย่างครุ่นคิด

~•~

วันรุ่งขึ้น จื่อฟางออกไปเดินตลาดด้วยอารมณ์เบิกบาน แต่อารมณ์ดีๆของเขาปลิวหายไปกับสายลมเย็นทันทีเมื่อพบว่าตนตกเป็นเป้าสายตา เขาลืมคิดไป มารดาของเสิ่นจิ้งเฟยเคยอยู่ที่นี่มาก่อน เรื่องของเสิ่นฮูหยิน และบุตรชายไม่เอาไหนแห่งฉางอันคงเล่าลือมาถึงที่นี่ด้วย อีกทั้งใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยงดงามกว่าบุรุษทั่วไป การแต่งตัวของเขาแค่มองด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าเป็นของมีราคา ผู้คนรอบข้างจึงมองมาที่คุณชายรูปร่างบอบบางเป็นตาเดียว

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยเห็นคุณชายเสิ่นมาก่อน แต่ผู้คนในอำเภอถงฉวนไม่มีผู้ใดไม่รู้จักสกุลโหยวที่ร่ำรวยในระแวกนี้ แม้จะมิได้มีลูกหลานเป็นขุนนาง แต่เรื่องราวของโหยวหลันบุตรสาวร่างกายอ่อนแอของโหยวเถียนที่ตบแต่งให้สกุลเสิ่นตระกูลขุนนางเก่าแก่เป็นที่ร่ำลือ โชคชะตาของเสิ่นฮูหยินไม่ดีนัก นางจากไปด้วยอาการป่วยที่สั่งสมจากการคลอดบุตร 

จื่อฟางไม่คิดว่าจะถูกจ้องมองมากเช่นนี้จึงรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย คงด้วยเหตุนี้เสิ่นจิ้งเฟยถึงไม่อยากมาอำเภอถงฉวน เขารีบก้าวเดินไปตามถนนสายยาวที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อของ จางต้าและหยางชวีก็ถูกจับจ้องไปด้วย ทั้งสองคนต่างก็เห็นใจคุณชายของตนยิ่งนัก จากฉางอันมาแล้วยังต้องเจอสายตาสอดรู้ของชาวอำเภอถงฉวนอีก

จื่อฟางทำมองไม่เห็นสายตาพวกนั้น เดินมือไพล่หลังดูร้านรวงข้างทางไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่ร้านขายเครื่องประดับ เถ้าแก่ร้านพอเห็นการแต่งตัวของเขาก็รีบกระวีกระวาดมาประจบประแจงทันที  หยางชวีมองภาพตรงหน้าอย่างเฉยชา เงยหน้ามองท้องฟ้ากระจ่างใส รับรู้ว่าองครักษ์ของฮ่องเต้เคลื่อนไหวอยู่บนหลังคาบ้านผู้อื่นก็หัวเราะหึในใจ ละสายตากลับมามองคุณชายเสิ่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของเถ้าแก่ร้านร่ายยาวถึงเครื่องประดับราคาแพง

“ข้าขอแนะนำปิ่นเงินลายนกยูง ตีด้วยช่างฝีมือดี..”

“ข้าต้องการปิ่นไม้อันนั้นสองชิ้น”จื่อฟางเอ่ยขัด ใช้พัดชี้ไปยังปิ่นปักผมทำจากไม้จันทร์ลักษณะเรียบง่ายธรรมดา แม้จะเป็นปิ่นปักผมสตรีแต่มีเพียงรูปสลักดอกไม้เล็กๆตกแต่งเท่านั้น บุรุษใช้ก็ไม่น่าเกลียด โดยเฉพาะกับเสิ่นจิ้งเฟย แต่กับไป๋ผูอวี้....เด็กหนุ่มนึกภาพแล้วก็หลุดรอยยิ้มออกมา จางต้าเห็นคุณชายเป็นเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะร่ำไห้ด้วยความดีใจหรือเศร้าหมองดี เขารู้ว่าปิ่นธรรมดาที่คุณชายเลือกมานั้นตั้งใจซื้อให้กับผู้ใด ดูท่าคุณชายเสิ่นจะสนใจไป๋ผูอวี้จริงๆ  กระทั่งตอนนี้จางต้าก็ยังไม่เข้าใจนักว่าคุณชายเปลี่ยนใจจากคุณหนูฉินได้อย่างไร

    “ชิ้นนี้หรือ อย่างคุณชายเสิ่นไม่เหมาะกับของธรรมดาๆเช่นนี้หรอก”   

“จะขายรึไม่”เขาโบกพัดด้วยท่าทางรำคาญใจ สำหรับไป๋ผูอวี้ ซื้อของราคาแพงไปคนผู้นั้นไม่มีทางรับไว้แน่

“คุณชายแน่ใจหรือ”เถ้าแก่บ่นอยู่ในใจว่าคุณชายเสิ่นตระหนี่เกินไปแล้ว

    “คุณชายข้าว่าอย่างไรก็ตามนั้น”หยางชวีเอ่ยแทรกอย่างนึกรำคาญ

เมื่อเห็นผู้ติดตามร่างสูงใหญ่ของเสิ่นจิ้งเฟยเถ้าแก่ก็ไม่กล้าพูดให้มากความอีก รีบจัดปิ่นทั้งสองชิ้นใส่กล่องไม้ส่งให้ จางต้ารับมาถืออย่างรู้หน้าที่ จื่อฟางจ่ายเงินเสร็จก็หมุนตัวออกจากร้าน เดินทอดน่องไปเรื่อยๆก็พบวัดเล็กๆแห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มเดินเข้าไปคล้ายกับถูกสะกดจิต ผู้ติดตามและบ่าวคนสนิทได้แต่เดินตามคุณชายอย่างเงียบๆ ไม่คิดว่าคุณชายเสิ่นมีอารมณ์อยากเข้าวัด หยางชวีผ่อนลมหายใจ แรงกดดันขององครักษ์สองคนนั่นจางลงแล้ว แสดงว่าพวกเขาไม่ได้ตามเข้ามา คงอยากให้คุณชายได้ใช้เวลาอย่างสงบกระมัง

ไม่รู้สิ่งใดดลใจ จื่อฟางเลือกไปเสี่ยงเซียมซี โชคไม่ดีที่ติ้วหล่นมาถึงสองอัน เขานำกระบอกติ้วไปวนเหนือกระถางธูปสามรอบ ก่อนใช้มือสุ่มหยิบติ้วหนึ่งอันส่งให้ซินแส แม้ว่าจะไม่เชื่อเรื่องทำนองนี้ แต่ลองดูก็ไม่เสียหาย

    “คุณชายท่านนี้...”ซินแสผู้อ่านเซียมซีมุ่นคิ้ว มองหน้าเขาด้วยดวงตาเป็นประกายล้ำลึก “ข้าจำท่านได้”

จื่อฟางซ่อนสีหน้าประหลาดใจ ความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยผุดเข้ามาในห้วงความคิด เมื่อสองปีก่อนเสิ่นจิ้งเฟยเคยพบกับซินแสท่านนี้ ซินแสเอ่ยทักว่าจะเกิดเรื่องอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต ปีถัดมาอย่าได้เดินทางมาถงฉวน แต่เสิ่นจิ้งเฟยไม่เก็บคำพูดไร้สาระมาใส่ใจ ไม่กี่ชั่วยามก็ลืมแล้ว   

    “ข้าก็จำท่านได้เช่นกัน”เขาพึมพำ มองไปเบื้องหลัง ทั้งจางต้าและหยางชวีไม่ได้เข้ามาใกล้ เด็กหนุ่มจึงเบาใจเล็กน้อย ซินแสลูบเครายาวของตน หยิบติ้วของเขามาอ่าน ใบหน้าเหี่ยวย่นมีริ้วรอยกังวล

“คุณชาย ติ้วของท่านไม่ค่อยดี”

    “อ้อ...”เด็กหนุ่มหมุนตัวหมายจะกลับ ไม่คิดรอฟัง ติ้วอับโชคฟังไปก็เท่านั้น

    “รอประเดี๋ยว...”ซินแสส่งเสียงเรียก ร่างสูงก้าวมาหาเขาด้วยสีหน้านิ่งสงบ

“ติ้วของคุณชายบอกว่าแม้เปลี่ยนแปลง แต่ก็มิสามารถแก้ไขเรื่องที่กระทำลงไปแล้วได้ ไม่ถือว่าอับโชคนัก ยังมีเรื่องดีอยู่บ้าง สิ่งที่ท่านตามหา อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จะได้พบไม่ช้าก็เร็ว”ถ้อยคำของซินแสกระทบโดนใจเขาอย่างจัง เขาหมุนพัดในมือเล่น มองท่านซินแสอย่างหยั่งรู้ ใบหน้าเหี่ยวย่นเคร่งขรึมของชายตรงหน้าดูไม่ออกว่าเป็นพวกต้มตุ๋นหรือเปล่า ซินแสผู้นี้เคยทำนายทายทักเสิ่นจิ้งเฟยมาก่อน และก็เป็นอย่างดั่งคำทำนาย เสิ่นจิ้งเฟยถูกวางยาพาเกือบเอาชีวิตไม่รอด

    “แน่อยู่แล้ว ไม่มีผู้ใดแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วได้”แต่จื่อฟางก็อดไม่ได้ที่จะกังขา ซินแสเครายาวยิ้มมองออกว่าเขาไม่ใคร่เชื่อนัก 

    “คุณชาย ข้าจะบอกท่านเป็นครั้งสุดท้ายและจะไม่ทายทักเรื่องท่านอีก ชะตาของท่านคลุมเครือ มองไม่เห็น แต่สิ่งที่แจ่มชัดคือทางเลือกของท่าน ท่านทางหนึ่ง เขาทางหนึ่ง ...”เสียงนั้นแผ่วเบา แต่คล้ายกับดังก้องอยู่ข้างหู จื่อฟางยังคงสงบท่าที แต่คิ้วขมวดมุ่นน้อยๆ

จื่อฟางบีบพัดในมือ เหลือบมองข้ารับใช้ทางหางตา ก่อนโน้มตัวเข้าไปถามเสียงแผ่ว “เขาที่ว่า...ท่านซินแสหมายถึงผู้ใด”

ซินแสกวาดตามองเขาไปทั่วร่างด้วยสายตากระจ่างใส คล้ายกับมองทะลุ ร่างตรงหน้าหัวเราะเบาๆ นัยน์ตาทอประกาย

“ผู้ที่ท่านอาศัยยืมร่างกายเขาอย่างไร”คำพูดของอีกฝ่ายเหมือนก้อนหินที่หล่นในน้ำ พาให้สั่นสะท้านอยู่ลึกๆ จื่อฟางปากคอแห้งผาก ท่านซินแสผู้นี้...มองออกหรือ

 “ชะตาของท่านทั้งสองคล้ายคลึงกัน ไม่แปลกที่เป็นเช่นนี้...”ซินแสยังคงกล่าวต่อไป

    “เจ้าของร่างนี้ไปอยู่ที่ใดแล้ว ข้า...ข้าจะได้กลับไปยังที่จากมารึไม่”เด็กหนุ่มเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง เอ่ยถามในสิ่งที่อยากรู้ 

ซินแสมองเขาด้วยแววตาแฝงรอยยิ้ม “อย่างที่ข้าบอก ไม่ใกล้ไม่ไกล ส่วนชะตาของท่าน ข้าตอบมิได้”ชายชราตรงหน้ากลับไปนั่งตามเดิม บอกเป็นนัยว่าจะไม่บอกอะไรอีกแล้ว จื่อฟางยืนบื้ออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะควักเอาเงินวางบนโต๊ะหมุนตัวจากมา หยางชวีและจางต้าเห็นคุณชายสีหน้าเผือดซีดก็คิดว่าวันนี้คงเสียฤกษ์แล้ว คุณชายเสี่ยงเซียมซีได้ติ้วไม่ดีเป็นแน่

    “กลับเถอะ”เด็กหนุ่มปัดเรื่องกวนใจออกไป อาจเพราะจื่อฟางเข้ามาในโลกนิยายชะตาของเขาถึงคลุมเครือส่วนเสิ่นจิ้งเฟย...ซินแสบอกว่าเจ้านั่นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แสดงว่ายังอยู่ในโลกนี้ไม่ได้สลับกับวิญญาณของเขาในโลกปัจจุบัน ถ้าอย่างนั้นเกิดอะไรขึ้นกับร่างจริงของจื่อฟางกันล่ะ หรือตายไปแล้ว? โอกาสที่เขาจะได้กลับไปโลกเดิมแลดูน้อยลงทุกที นึกถึงไป๋ผูอวี้...เขายกมือลูบหยกที่ห้อยอยู่ในอกเสื้อ ความรู้สึกก็ยิ่งสับสน  ระหว่างทางกลับจวน จื่อฟางจมอยู่กับความคิดเหม่อลอย

เมื่อกลับมาถึงจวนสกุลโหยว สาวใช้ก็มารายงานว่ามีแขกมารอพบ 

    “เป็นผู้ใด”หรือเป็นคนรู้จักของเสิ่นจิ้งเฟย สาวใช้ส่ายหน้า ไม่ทราบเช่นกัน จากวีรกรรมของเจ้าของร่าง จื่อฟางนึกไม่ออกว่ายังมีใครกล้ามาผูกมิตร เขาเดินตามสาวใช้ไปตามเฉลียงเงียบๆ เป็นศาลาอันเงียบสงบที่เขานั่งวาดภาพให้โหยวหวั่น เด็กหนุ่มมองเห็นเงาร่างในชุดคลุมสีฟ้าอ่อน จากการแต่งกายคล้ายกับเป็นนักกวี

เมื่อฝ่ายนั้นเห็นจื่อฟางก้าวเข้ามาในศาลาก็ลุกยืนทักทายด้วยท่าทางสุภาพ “ขออภัยที่มารบกวนเวลาของคุณชาย”สุ้มเสียงของร่างนั้นนุ่มหู ในศาลามีชุดกาน้ำชาและขนมวางอยู่บนโต๊ะ คะเนจากกาน้ำชาที่ยังมีควันฉุยคนผู้นี้เพิ่งมาได้ไม่นาน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2019 07:53:48 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 
“ข้าไม่อยากเสียมารยาท แต่ท่านมาด้วยเรื่องใดหรือ ข้าจำไม่ได้ว่ามีมิตรสหายอยู่ที่ถงฉวนด้วย”เขาเอ่ยกระทบกระเทียบ ผู้คนที่นี่ไม่มีผู้ใดอยากคบหาเสิ่นจิ้งเฟย จื่อฟางยกชายเสื้อนั่งลง รินน้ำชาให้ตัวเอง

ร่างตรงหน้ายิ้ม สีหน้าละอายอยู่บ้าง “ข้าแซ่ซ่ง เป็นกวีเร่ร่อนเดินทางไกลเพื่อตามหาคนผู้หนึ่ง พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมโหยวหวั่น ข้าเห็นภาพวาดห้าหญิงงามก็มองออกว่าภาพนั้นเป็นของเลียนแบบ มิใช่ของจริง ภาพต้นแบบเป็นฝีมือของเจาเหลิน.....”

จื่อฟางฉุนขึ้นมาเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงภาพที่ตนวาดว่าเป็นของเลียนแบบ แถมคนแซ่ซ่งก็ยังพูดยืดยาวชวนให้หงุดหงิด

    “ท่านเข้าเรื่องมาเลยดีกว่า ข้าไม่มีเวลาทั้งวัน”

ซ่งเหยียนไม่สะทกสะท้านกับท่าทีเสียกิริยาของคุณชายเสิ่น เขาดูอ้ำอึ้งเล็กน้อยระหว่างที่ทำหน้าหนากล่าวต่อ

“พอข้าได้เห็นจึงรู้ว่าคุณชายมีฝีมือ”คำตอบของอีกฝ่ายยิ่งทำให้จื่อฟางงุนงง เมื่อครู่ยังว่าเป็นของเลียนแบบอยู่เลย

    “ซ่งเหยียนเป็นกวีเร่ร่อน ไม่มีเงินมากมาย.....ข้าขอรบกวนคุณชายเสิ่นวาดภาพคนผู้หนึ่งให้ข้าได้หรือไม่”ซ่งเหยียนหลุบตามองพื้นด้วยสีหน้าละอาย ต้องบากหน้ามาขอผู้อื่น แถมยังเป็นคุณชายเสิ่นที่มีแต่ชื่อเสียงด้านลบทำให้เขาอยากแทรกแผ่นดินหนี

“เจ้ามาด้วยเรื่องนี้”จื่อฟางเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ

    “มาร้องขอผู้อื่น ท่านไม่คิดทำให้เป็นเรื่องเป็นราวหน่อยหรือ”หยางชวีเอ่ยขัดมาจากนอกศาลา เขามองออกว่ากวีแซ่ซ่งผู้นี้ไม่อยากก้มหัวขอร้องคุณชาย

“ช่างเถอะๆ ข้าไม่คิดมาก เรื่องเท่านี้ข้าช่วยได้”เขารีบโบกมือ กวีที่ชื่อซ่งเหยียนสีหน้าเปล่งประกายด้วยความหวังค้อมตัวขอบคุณเขาทันที

    “ขอบคุณคุณชายเสิ่นมาก”

จื่อฟางแสร้งทำสีหน้ารำคาญ สั่งจางต้านำอุปกรณ์วาดรูปมา หลังจากที่ฟังอีกฝ่ายพร่ำพรรณาถึงหญิงงามนางหนึ่งเขาก็พอเดาออกว่ากวีตกอับผู้นี้กำลังตามหาคนรัก เด็กหนุ่มใช้เวลาวาดรูปอยู่หลายชั่วยามถึงแล้วเสร็จ กวีแซ่ซ่งขอบคุณเขาอีกครั้งพร่ำบอกว่าจะจดจำเรื่องครานี้ไว้ไม่รู้ลืม กวีแซ่ซ่งจากไปได้วันเดียวก็มีจิตกรใบหน้าอ่อนเยาว์มาขอพบ ต้องการเรียนรู้ฝีแปรงของเขา

เรื่องแปลกเกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้น ศาลารับลมในจวนสกุลโหยวมีผู้มาเยือนไม่ขาด ทั้งนักปราชญ์กวี จิตกร  คุณชายตรอกข้างๆ จื่อฟางได้แต่ต้อนรับอย่างงุนงง พวกเขามาด้วยจุดประสงค์ที่ต่างกัน บ้างมาถกเรื่องกาพย์กลอนที่เขายังพอถูไถหยิบยืมเอาบทกวีที่เคยได้ยินมาใช้(ขออภัยท่านหลี่ไป๋เป็นอย่างสูง) บ้างต้องการให้เขาวาดภาพ ไม่นานผู้คนในอำเภอถงฉวนต่างก็เอาเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยไปพูดต่อๆกันเพราะเขาวาดภาพไม่คิดเงิน 

    “คุณชายดูเหมือนว่ามาเยี่ยมถงฉวนครานี้จะมีแต่เรื่องดีๆนะขอรับ”จางต้าเอ่ย มีรอยยิ้มประดับหน้า แค่เพียงสี่วัน คนในอำเภอถงฉวนก็มองคุณชายเปลี่ยนไป แม้จะมีคนนินทาอยู่ แต่ก็น้อยลงกว่าเมื่อก่อนมาก

    “เจ้าว่าดีหรือ”จื่อฟางไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้าย จางต้ากำลังอ้าปากตอบคำ แต่หยางชวีเดินมาหาเขาในศาลาเสียก่อน ในมือถือของบางอย่างที่มองแว๊บเดียวก็เห็นว่าเป็นจดหมาย หยางชวียื่นจดหมายให้คุณชาย จื่อฟางรับมาเปิดออก ไม่คิดว่าดอกเหมยสีขาวดอกเล็กๆจะร่วงลงมา เขาหยิบมาดู กวาดตามองตัวอักษรเป็นระเบียบสวยงามก็จำได้ว่าเป็นลายมือของผู้ใด เขาใจเต้นตึกตัก รอยยิ้มปรากฏที่มุมปาก ไป๋ผูอวี้ส่งจดหมายมาหาเขา

‘คุณชายเสิ่น ข้าอยู่ฉางอันยังได้ยินเรื่องราวของท่าน ข้าเกรงว่าท่านจะสนุกจนลืมว่าการสอบใกล้เข้ามาแล้ว หมั่นทบทวนตำรา หากกลับมาข้าจะทดสอบท่าน อ้อ...ท่านคงเห็นดอกเหมยที่ข้าแนบมา เมื่อวานคุณหนูฉินส่งเทียบเชิญข้าชมดอกเหมย ข้าเห็นว่างดงามมากจึงอยากให้ท่านชมดูด้วย’

จื่อฟางอ่านจดหมายซ้ำอยู่หลายครั้ง หยิบดอกเหมยมาดู ไป๋ผูอวี้ชมดอกเหมยกับฉินเซียงอิน คงไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นหรอกกระมัง เขาเม้มปาก นั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบพู่กันจรดกับกระดาษ ขีดเขียนตอบโต้

‘ดอกเหมยที่เจ้าแนบมาเหี่ยวช้ำไม่งดงามสักนิด แต่หากได้ไปชมกับเจ้า ข้าว่าคงสวยงามกว่าร้อยเท่า’

เขียนเสร็จเขาก็โบกพัดไปมา ความร้อนสุมไปทั่วใบหน้า จื่อฟางให้ท่าถึงเพียงนี้แล้วหวังว่าไป๋ผูอวี้จะเข้าใจ





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2019 07:54:06 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ขอบคุณมากๆค่า
อืมมม ปลื้มใจ

ออฟไลน์ Aeflizm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สิ่งที่ตามหาคือดวงวิญญาณของเจ้าของร่างหรือเปล่า เป้าหมายคนละทางแปลว่าต้องช่วยฮ่องเต้หรือยังไง คุณปู่ก็ความลับเยอะเวอร์ องค์ชายใหญ่ยังไม่ตายใช่ไหม ฮือออออ ปริศนาร้อยห้าแสนแปด จะรอติดตามนะคะ :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ยาวจุใจ จอบคุณมาก ๆ ค่ะ

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ยาวมากกกกกกกกกกก​กกก​ จุใจที่สุดเลยค่ะ​ เหมือนอ่าน3ตอนเลยค่ะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เรื่องราวเข้มข้น ยาวจุใจ สมกับเป็นนิยายรายไตรมาส  o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
โอ้ยน่ารักอ่ะ​  เค้าจีบกันค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆแล้ว

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
อยากรู้เหมือนกันค่ะว่าตัวจริงอยู่ไหน

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชอบบบบบบ   ไรท์มาลงยาวจุใจเลย   :laugh: :laugh: :laugh:

เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริง ใช่มาเป็นหยางชวี หรือไม่  :hao3:
เพราะพอจื่อฟางมา หยางชวีก็โผล่มาด้วย  :really2: :really2: :really2:

จิ้อฟาง ทำให้ภาพลักษณ์เสิ่นจิ้งเฟยดีขึ้นนะ
ก่อนหน้านี้มีแต่คนนินทาทั้งถือตัวเย่อหยิ่ง ตามตื๊อคุณหนูฉิน จนน่าเกลียด
คนที่รู้ตัวว่าเสิ่นจิ้งเฟย เปลี่ยนไปจริงก็มีไป๋ผูอวี้ กับซินแสสินะ

แต่ที่แน่ๆเสิ่นจิ้งเฟย กับไป๋ผูอวี่คิดถึงกันแล้ว  :o8: :impress2:
ฮ่องเต้นี่ต้องตาต้องใจหลงรักเสิ่นจิ้งเฟยตั้งแต่เสิ่นจิ้งเฟยหกขวบเลย
เสิ่นจิ้งเฟยนี่เสน่ห์แรงไม่เบา หรือไม่ก็ฮ่องเต้ ชอบกินเด็ก   :serius2: :serius2: :serius2:
         :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เงื่อนงำเยอะจนคิดไม่ทัน โฟกัสเรื่องความรักไว้เป็นรองแล้วกันค่ะ สนุกมากก รอคอยตอนต่อไป คนเขียนดูแลสุขภาพด้วยนะคะ เป็นห่วง  :mew1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ตอนนี้ยาวมากๆๆๆ
ลุ้นเลยว่าคุณชายตัวจริงอยู่ไหน
แล้วอนาคตสองคนนี้จะเป็นไงต่อไป

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
'เขียนเสร็จเขาก็โบกพัดไปมา ความร้อนสุมไปทั่วใบหน้า จื่อฟางให้ท่าถึงเพียงนี้แล้วหวังว่าไป๋ผูอวี้จะเข้าใจ' ตายแล้ว ไร่อ้อยคว่ำแล้ว คุณชายไป๋นี่ก็อ่อยไม่เบามีส่งดอกไม้มาให้ รายงานตัวว่ากำลังทำอะไรให้ภรรยารู้

ออฟไลน์ ^PUNEOPPA^

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตามมาจากทวิตเตอร์ครับ

ตอนแรกที่อ่านคิดว่าเป็นเรื่องแปลเสียอีก
บอกเลยว่าสนุกมากครับ ชอบการเขียนแบบย้อนยุค แต่การบรรยายไม่น่าเบื่อยืดเยื้อจนขี้เกียจอ่าน
น่าติดตามทุกตอน เหมือนเราได้เห็นพัฒนาการของเขาไปพร้อมๆ กัน
ความรักของทั้งคู่ก็เรียบเรื่อย แต่บทจะฟิน ก็ฟินมากตามสไตล์ท่อนไม้ที่กลายเป็นไม้เลื้อยเลย
คิดว่าหลังจากแจ่มแจ้งว่าใจตรงกัน คงไม่เหลือคราบไม้ท่อนนิ่งๆ แน่นอน 55
เป็นกำลังใจให้นะครับ ติดตามอ่านตอนต่อไปครับผม

ออฟไลน์ Toxic

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ปมก็น่าติดตาม ฉากกุ๊กกิ๊กก็น่ารักมากค่า :o8:

ออฟไลน์ pe-ar

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ตัองรอถึง2เดือนเลยหรอ ตุลาคม
เพิีงมาอ่านสนุกมากๆเลยจ้า ชอบๆ ลึกลับดี

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ยาว อ่านจุใจ นาน 2 เดือน รอได้ ปมเริ่มคลายแล้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด