✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ  (อ่าน 180169 ครั้ง)

ออฟไลน์ fida

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 352
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ชอบมากค่ะ

ชอบแนวย้อนเวลาแล้วไปเปลี่ยนแปลงนิสัยตัวละครเดิมแบบสุดๆ

ฮรือ อยากอ่านต่อ :katai1:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ xexezero

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
นายเอกเป็นคนที่ปมเยอะมากจริงๆ :ruready

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ koikoi

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +311/-13

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
เพิ่งได้มาตามอ่าน
อหห อ่านแล้วรู้สึกขนลุก แต่ละอย่างคือมีลับลมคมในมาก น่าสงสัยไปหมด
แต่เสิ่นจิ้งเฟยน่าจะสมคบคิดกะหลิวอ๋องก่อกบฏนี่ท่าจะจริงนะเนี่ย แล้วฟู่จวิ้นก็น่าจะใช่ฮ่องเต้เลยมั้ยนะ เขาจะอยากได้รูปจิ้งเฟยไปทำไมนี่ น่าสงสัยไปหมดด
รอตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง



จื่อฟางสะดุ้งตื่นพบว่าตนเองอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของไป๋ผูอวี้ ใบหน้าของเขาซุกอยู่กับแผ่นอกของอีกฝ่าย ลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังหลับสนิท กลิ่นกายอ่อนๆอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้เขาใจเต้นแรง เด็กหนุ่มขยับตัวแต่ก็พบว่าถูกอ้อมแขนของไป๋ผูอวี้รัดไว้จนขยับได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“…ไป๋ผูอวี้…”เขากระซิบเรียกเสียงแผ่ว

“…”เมื่อเห็นว่าร่างตรงหน้าไม่มีทีท่าจะตื่น เขาจึงถือโอกาสกวาดตามองใบหน้าเกลี้ยงเกลาของอีกฝ่าย ทุกสัดส่วนบนใบหน้ารับกันอย่างเหมาะเจาะ เขาถอนหายใจพลางคิดว่าคนผู้นี้สมบูรณ์แบบจริง ๆ เพียบพร้อมขนาดนี้ไม่แปลกที่ฉินเซียงอินจะหลงชอบ ในนิยายคลับคล้ายคลับคลาว่าพ่อของนางไม่ชอบไป๋ผูอวี้เพราะไม่มียศตำแหน่ง จนบุรุษผู้นี้ต้องพิสูจน์รักด้วยการสอบเป็นขุนนาง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วไป๋ผูอวี้ได้เป็นขุนนางหรือไม่ จากบทพระเอกก็คงสอบได้ เขานึกถึง(อดีต)นางเอกแล้วก็ยกยิ้ม ในนิยายนางอาจจะได้เป็นนางเอก แต่ไม่ใช่กับโลกนี้ หากฉินเซียงอินคิดจะมาก่อรักกับไป๋ผูอวี้คงไม่ง่าย ยังต้องผ่านด่านเขาไปก่อน

จื่อฟางยื่นมือไปลูบคิ้วเข้ม ลากนิ้วลงมาตามสันจมูกก่อนหยุดลงที่ริมฝีปากหนา เอานิ้วจิ้มเบาๆแต่ไป๋ผูอวี้ก็ยังไม่ตื่น ท่อนไม้ไป๋นอนหลับลึกเกินไปหรือเปล่า? เขาใช้มือเกลี่ยริมฝีปากของบุรุษอีกคนเล่น พลางคิดว่ารสชาติของเจ้าท่อนไม้จะเป็นเช่นไร จื่อฟาง…นายหมกมุ่นมากไปแล้ว! แต่เขากับไป๋ผูอวี้ห่างกันแค่คืบ หากขยับเข้าไปเพียงเล็กน้อย…อีกเล็กน้อย…รู้ตัวอีกทีเด็กหนุ่มก็ประทับจูบลงบนริมฝีปากของอีกฝ่ายเบาๆ รู้สึกว่าตัวเองเหมือนโรคจิตที่แอบลักหลับคนที่ชอบ

จื่อฟางกลั้นหายใจเมื่ออยู่ๆไป๋ผูอวี้ก็ลืมตาขึ้นมา สายตากระจ่างใสจ้องมาที่ตนไม่มีร่องรอยง่วงงุนอย่างคนเพิ่งตื่นนอนแม้แต่น้อย ไป๋ผูอวี้ตื่นนานแล้วหรือ จื่อฟางรีบผละออกห่างทันที แต่เพราะเจ้าตัวยังไม่ปล่อยมือที่โอบแผ่นหลังเขาไว้ เขาจึงถูกกักอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย หนีจากสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ไปไม่ได้ อากาศรอบตัวพลันร้อนอบอ้าวขึ้นทันใด

“ตื่นแล้วหรือ”จื่อฟางส่งเสียงทักพยายามยิ้มเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น ความร้อนยังคงลามมาตามลำคอขึ้นบนใบหน้า ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้วอย่างงุนงง ไล่สายตามองเสิ่นจิ้งเฟยที่มีใบหน้าแดงเรื่อ ความจริงเขารู้สึกตัวได้สักพักแล้ว แต่ด้วยความอยากรู้ว่าคุณชายเสิ่นจะทำสิ่งใดต่อ เขาจึงแสร้งทำเป็นหลับไม่คิดว่าคุณชายจะใจกล้าถึงขนาดลอบจุมพิตตน บุรุษหนุ่มใจเต้นผิดจังหวะแม้จะวูบเดียวแต่เขาก็รับรู้ถึงความนุ่มนิ่มของริมฝีปากของเสิ่นจิ้งเฟยได้ชัดเจน

“ท่านปล่อยมือได้หรือไม่ อากาศค่อนข้างร้อน”จื่อฟางพึมพำตีมึนทำหน้าใสซื่อ ไป๋ผูอวี้มองเขาด้วยสายตาราบเรียบแต่แฝงแววบางอย่าง ร่างตรงหน้าไม่ตอบทั้งยังไม่ปล่อยมือด้วย

“ดูเหมือนท่านจะหมกมุ่นในตัวข้าจริง ๆ ชอบข้ามากเลยหรือ”ร่างนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย แต่รอยยิ้มปรากฏอยู่บนริมฝีปากคล้ายกำลังหยอกล้อ อาจเพราะเพิ่งตื่นนอนเสียงของไป๋ผูอวี้จึงแหบไปบ้าง ทำให้จื่อฟางยิ่งใจเต้น มาถึงขั้นนี้แล้วยังมีอะไรต้องอายอีก ในเมื่อเขาเคยลั่นวาจากับตัวเองว่าจะอ่อยไป๋ผูอวี้ เขาก็ต้องเดินหน้าต่อไป

เด็กหนุ่มจึงแย้มยิ้มหวาน “ใช่ ข้าชอบเจ้า หลงรักตั้งแต่แรกเห็น”เขาเอาหน้าซบแผ่นอกของอีกฝ่าย ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงหัวเราะจนตัวเขาสะเทือน จื่อฟางขมวดคิ้ว หัวเราะอะไรอีก! ลูกไม้ของเขาใช้ไม่ได้ผลกับเจ้านี่เสียที

“ท่านขำอะไร”เขาถลึงตาใส่ ผลักแขนไป๋ผูอวี้ออกไปให้พ้นตัวกลิ้งออกมาจากอ้อมแขนของอีกฝ่าย เห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้าก็ยิ่งทำให้คันหัวใจยุบยิบ

“หลงรักตั้งแต่แรกเห็นหรือ ข้าจำได้ว่าตอนที่พบกันครั้งแรกท่านปาถ้วยน้ำชาที่ข้าชงให้ทิ้ง”ไป๋ผูอวี้กวาดมองร่างผอมบางของคุณชายเสิ่น รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้า เสิ่นจิ้งเฟยที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ทำให้เขาสนุกนัก

“เจ้าเห็นข้าเป็นตัวตลก?”จื่อฟางได้แต่ทำสีหน้าบึ้งตึง ไป๋ผูอวี้ขยับตัวลุกนั่ง มองคุณชายเสิ่นด้วยสายตาเป็นประกาย

“เปล่า ท่านแค่ทำให้ข้าสนุก”อีกฝ่ายยิ้ม จื่อฟางไม่รู้ว่ามันต่างกันหรือไม่

“เหตุใดเจ้าดูไม่แปลกใจที่ข้าแอบจูบเจ้า”เขาหรี่ตามอง เดาอารมณ์ของชายตรงหน้าไม่ถูก ประเดี๋ยวก็ทำตัวเป็นท่อนไม้ ประเดี๋ยวก็หัวเราะชอบใจ

“หากเป็นแต่ก่อน…ข้าคงแปลกใจ แต่ท่านในยามนี้…ข้าไม่รู้สึกว่าแปลกเท่าไหร่”บุรุษหนุ่มกล่าวพลางมองตรงไปที่เสิ่นจิ้งเฟยอย่างครุ่นคิด จะว่าไปจุมพิตผิวเผินเมื่อครู่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด ถึงแม้ยามที่อยู่หลานโจวจะเคยพบเจอชายบำเรอมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเข้าไปคลุกคลีสัมผัส แต่คุณชายผู้นี้กลับต่างออกไป บางที…อาจเป็นเพราะใบหน้างดงามราวสตรีกระมังที่ทำให้เขาไม่รู้สึกกระอักกระอ่วน …แต่ชายบำเรอเหล่านั้นก็รูปงาม เสียงในหัวแย้งมา แต่เขาปัดทิ้งไป

“เช่นนี้เอง…”จื่อฟางยิ้ม ทำตาเป็นประกาย แสดงว่าตนก็ยังมีโอกาสอยู่ เขาเหลือบมองเส้นผมสีดำมันวาวของอีกฝ่ายแล้วก็อยากเอื้อมไปสัมผัส แต่ต้องห้ามใจตนเอง คำถามที่ผุดมาเมื่อครั้งก่อนกลับมาอีกครั้ง

“ท่านเคยเข้าหอนางโลมหรือไม่”ทันทีที่คำถามหลุดออกมา ไป๋ผูอวี้ก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที

“เหตุใดต้องถาม”คุณชายเสิ่นแปลกเสียจริง

“ข้าแค่อยากรู้ ท่านดูเป็นสุภาพบุรุษ…”เขาพยายามซ่อนสีหน้าที่นึกถึงเรื่องลามกไว้

“ท่านคงไม่ได้คิดเรื่องแปลกๆอยู่กระมัง”ไป๋ผูอวี้พูดช้าๆแค่มองใบหน้าของอีกฝ่ายเขาก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวคิดเรื่องใดอยู่

“เปล่า”จื่อฟางพูดปด

“ข้าไม่ใช่ท่านที่จะเห็นหอนางโลมเป็นบ้านหลังที่สอง”ประโยคของบุรุษหนุ่มแฝงแววค่อนแขวะ ร่างนั้นนิ่งเงียบไปเหมือนหาคำพูดมาแย้งไม่ได้ จื่อฟางกระแอมก่อนคลานผ่านบุรุษอีกคนลงจากเตียง เขาเดินไปเปิดหน้าต่างสำรวจดูด้านนอก อากาศเย็นๆปะทะใบหน้า ท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ แต่คำนวณดูแล้วว่าอีกสักพักคงใกล้เช้า จื่อฟางควรกลับจวนสกุลเสิ่นก่อนฟ้าสว่าง 

เขาปิดหน้าต่างก่อนหันมาพูดกับไป๋ผูอวี้ “ข้าคิดว่าได้เวลากลับจวนแล้ว ขอบคุณมากที่ยอมให้ข้าค้างคืนด้วย”

ไป๋ผูอวี้มองร่างผอมบางของคุณชายเสิ่นก่อนกล่าวบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “…เรื่องของอ๋องสามท่านควรไตร่ตรองให้ดีก่อนเอ่ยวาจา อยู่กับเขาท่านควรระวังตัวไว้เสมอ…”

แม้จะรู้ดีว่าเสิ่นจิ้งเฟยคงคุ้นเคยกับหลิวอ๋องแต่ยามนี้…คุณชายตรงหน้ากลับดูน่าเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก ทำให้เขาไม่วางใจ

จื่อฟางเองก็ทราบดี หากต้องเผชิญหน้ากับหลิวอ๋องเขาควรระมัดระวังคำพูดและมีสติที่สุดจะทำลุกลนมีพิรุธไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นชะตาของเขาคงเป็นเหมือนกระต่ายตัวนั้น เขาพยักหน้ารับก่อนเดินกลับมาที่คันฉ่องบนโต๊ะ สำรวจดูใบหน้าที่ดูมีชีวิตชีวาของตนอย่างพอใจ ถึงแม้เมื่อคืนจะจำได้ลางๆว่าฝันร้ายแต่ก็นอนหลับสบายกว่าที่คิด

จื่อฟางรวบผมเป็นมวยอย่างลวกๆก่อนใช้ปิ่นธรรมดาเสียบ อาจเป็นเพราะข้ารับใช้ได้ยินเสียงพูดคุยของเขาและไป๋ผูอวี้ กุ้ยตานจึงยกอ่างน้ำเข้ามาให้เขาและผู้เป็นนายล้างหน้าบ้วนปาก บรรยากาศแบบนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ เด็กหนุ่มจัดเสื้อผ้าบนตัวให้เรียบร้อย รับรู้ว่าสายตาเจ้าของห้องจับอยู่ที่ตนจึงทำให้รู้สึกเกร็งๆอยู่บ้าง เขาเหลือบมองห่อผ้าก็คิดว่าจะทิ้งเอาไว้ที่นี่ ไม่แน่อาจได้มีโอกาสมานอนค้างที่จวนสกุลไป๋อีก

“ห่อผ้าของท่าน”ไป๋ผูอวี้เอ่ยทักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินตัวปลิวเหมือนไม่ได้หอบเอาสิ่งใดมาด้วย

“ข้าฝากไว้ที่เจ้าก่อน”

“ไยต้องฝาก…”เขามองร่างที่เดินมาหยุดตรงหน้า หรือเจ้าเด็กนี่คิดจะมาค้างคืนที่ห้องของเขาอีก จื่อฟางยืนอยู่ตรงหน้าไป๋ผูอวี้ด้วยสีหน้าสงบทำให้อีกฝ่ายนึกแปลกใจ

“ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่ไว้ใจข้า…”จื่อฟางนึกไปถึงท่าทีเมื่อวานของไป๋ผูอวี้ การที่ถูกใครสักคนไม่ไว้ใจทำให้เขาไม่สบายใจนัก โดยเฉพาะกับบุรุษที่เขาเปิดอกบอกเรื่องหลิวอ๋อง เขาจึงรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม

“แต่สักวันข้าจะทำให้เจ้าไว้ใจข้าโดยที่ไม่มีแต่ข้อกังขา”คำพูดหลุดออกไปแล้ว ไป๋ผูอวี้ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะซึมซับข้อความ เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น ใบหน้าเรียบสงบ เป็นท่าทีที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น ดูท่าคุณชายท่านนี้จะพูดจริง แต่เขาไม่เคยไว้ใจใครโดยที่ไม่คิดสงสัย คำพูดของอีกฝ่ายจึงดูเลื่อนลอย

“ท่านคิดว่าทำได้หรือ เสิ่นจิ้งเฟย”เขาไม่ได้หัวเราะว่าความคิดเช่นนี้ไร้สาระ ได้แต่สงสัย

“เดี๋ยวเจ้าก็รู้”จื่อฟางเองก็ไม่รู้คำตอบเพราะเป็นเรื่องของวันข้างหน้า แต่เขาจะทำให้ได้

“ข้าจะรอดู…”ไป๋ผูอวี้ผงกศีรษะเป็นเชิงรับรู้อย่างไม่จริงจังนัก แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ได้เล่าว่าอีกหลายปีข้างหน้าเขาจะเชื่อคุณชายท่านนี้อย่างหมดใจ จื่อฟางหมุนกายเดินออกมาจากห้อง ที่ลานบ้านหยางชวีและจางต้ายืนรออยู่ก่อนแล้ว

“ข้าน้อยกำลังคิดเข้าไปปลุกคุณชายอยู่พอดี”จางต้าเอ่ยเมื่อเห็นคุณชายของตนเดินออกมาด้วยสีหน้านิ่งสงบก็นึกฉงนอยู่ในใจ ได้แต่เดินตามคุณชายไปเงียบๆ จื่อฟางมองหน้าหยางชวีก็นึกไปถึงคำพูดของตนที่บอกกับไป๋ผูอวี้ เขาเองก็ยังไม่ไว้ใจหยางชวี เรื่องของหลิวอ๋องใหญ่เกินกว่าที่เขาจะเผชิญหน้าเพียงลำพัง แต่เขาก็กลัวว่าคนผู้นี้จะเอาเรื่องของตนไปรายงานกับเสนาบดีเสิ่น

“หยางชวี หากท่านพ่อไม่ได้ส่งเจ้ามาติดตามข้า เจ้าอยากทำอะไร”เด็กหนุ่มเอ่ยถามระหว่างที่เดินออกมาจากคฤหาสน์สกุลไป๋ รถม้าคันเดิมจอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก หยางชวีได้ยินคำถามจากอีกฝ่ายก็ประหลาดใจ คำถามเช่นนี้เขาเคยถามตัวเองมาก่อน ทีแรกเขาก็ไม่เต็มใจมาทำหน้าที่นี้นักเพราะคิดว่ายังมีงานอื่นที่คุ้มค่ากว่ามาเดินตามก้นคุณชายไม่เอาไหน แต่เมื่อรับใช้ไปนานวันเข้า เขาก็เริ่มชินกับคุณชายท่านนี้ จึงคิดว่าไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อหน่ายแต่อย่างใด

หยางชวีนิ่งคิดไปนานก่อนเอ่ยตอบ “ข้าอยากตอบแทนบุญคุณให้นายท่าน”

บุรุษหนุ่มตอบเสียงเรียบ เขาเองก็ไม่รู้ว่านี่คือความต้องการของตนหรือเป็นสิ่งที่ศิษย์พี่หานตงคอยกรอกหูมาตั้งแต่เด็กกันแน่ หากไม่ได้นายท่านใหญ่ซื้อตัว เขาคงเป็นเพียงทาสชั้นต่ำ ไม่มีวรยุทธ์ติดตัวเช่นทุกวันนี้ เสิ่นมู่หยางจึงถือเป็นผู้มีพระคุณของเขา

“ถ้าอย่างนั้นข้าถามเจ้า การมารับใช้ข้าถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณให้ท่านพ่อหรือไม่”จื่อฟางถามด้วยน้ำเสียงสบายๆระหว่างที่ก้าวไปนั่งบนรถม้า คนถูกถามไม่ได้เอ่ยตอบทันที ครุ่นคิดว่าคุณชายถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เขาเดาความคิดของคุณชายไม่ออก

จื่อฟางไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงหลับตาใช้ความคิดเงียบๆระหว่างที่รถม้าเคลื่อนตัวช้า ๆมุ่งหน้าไปยังจวนเสนาบดี จางต้าลอบมองคุณชาย แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนเฉลียวฉลาดแต่หลังจากที่เผชิญเรื่องลึกลับที่คุณชายเก็บไว้ ไหนจะเรื่องของคุณชายสูงศักดิ์ที่ดูแล้วคงไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นข้ารับใช้คนสนิทยังไม่ทราบว่าอีกฝ่ายไปรู้จักตั้งแต่เมื่อใด จึงคิดได้เพียงคุณชายเสิ่นกำลังทำเรื่องบางอย่างอยู่ ระหว่างที่กลับจวนสกุลเสิ่นในรถม้าจึงมีแต่ความเงียบต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง หากหยางชวีตอบคำถามของเขาได้เมื่อนั้นเขาก็จะเล่าเรื่องของหลิวอ๋องให้ฟัง

เมื่อมาถึงจวนสกุลเสิ่น พ่อบ้านสุ่ยก็รีบมาหาเขาพร้อมกับบอกว่าเสิ่นมู่หยางมีเรื่องอยากคุย สงสัยจะทราบเรื่องที่เขาไปนอนค้างจวนสกุลไป๋แล้วแน่ จื่อฟางจึงเตรียมพร้อมกับการถูกซักถาม

เสนาบดีกรมพิธีการอยู่ที่โถงรับรอง กำลังอ่านบทความของบุตรชายที่ใต้เท้าเฉินส่งมาให้อ่านหลังจากที่สอนหนังสือเสร็จ เห็นอย่างนี้แล้วเขาก็คิดว่าตนเพิกเฉยต่อเสิ่นจิ้งเฟยเกินไปหรือไม่ ดูเหมือนการเรียนของเจ้าเด็กไม่เอาไหนไม่ดีขึ้นแต่ก็ไม่ได้แย่ เขาถอนหายใจมองม้วนกระดาษที่เขาเขียนหัวข้อแนวข้อสอบระดับอำเภอไว้ คงไม่พ้นต้องช่วยมันจริง ๆกระมัง

“ท่านพ่อ”จื่อฟางส่งเสียงเรียกเมื่อเข้ามาในห้อง เห็นเสิ่นมู่หยางกำลังอ่านอะไรสักอย่าง เมื่อเดินเข้าไปใกล้จนเห็นว่าเป็นบทความที่ตนเคยเขียนไว้ก็ใจเต้นรัว

“เจ้าไปที่ใดมา”อีกฝ่ายถาม ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการเรียนของเขา

“ไปนอนค้างบ้านสหาย”

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้านับไป๋ผูอวี้เป็นสหายด้วย”เสนาบดีเสิ่นพยักเพยิดให้บุตรชายนั่งลง

“ข้าเพิ่งคิดได้ว่าควรผูกมิตรกับเขา แม้ว่าสกุลไป๋จะไม่มีอำนาจ แต่เขาเป็นคนใช้ได้คนหนึ่ง”จื่อฟางตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นมู่หยางใช้สายตาสำรวจบุตรชายขึ้นลง ไม่คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะมีความคิดเช่นนี้จึงหัวเราะเสียงดัง

“ข้าคิดว่าเจ้าคบหาแต่สหายที่มีหน้ามีตาเสียอีก”เสิ่นมู่หยางไม่รู้ว่าควรพอใจดีหรือไม่ที่ช่วงนี้บุตรชายไม่ได้ไปมาหาสู่กับหลี่ฮุ่ยจือและพรรคพวกแล้ว เขาไม่ชอบให้เสิ่นจิ้งเฟยมีข่าวซุบซิบน่าเกลียดกับหลี่ฮุ่ยจือและคิดว่าอัครเสนาบดีหลี่ก็ไม่ชอบเช่นกัน

“ท่านพ่อไม่เห็นด้วยหรือ”เขาอยากรู้ว่าเสิ่นมู่หยางคิดอย่างไรกับสกุลไป๋

“ตราบใดที่เจ้าไม่สร้างเรื่อง ข้าก็ไม่ห้าม”เสิ่นมู่หยางถอนหายใจ สงสัยว่าเพราะเหตุใดไป๋ผูอวี้ถึงยอมมาผูกมิตรกับบุตรชายของตน เท่าที่เขารู้มาสกุลไป๋ไม่ชอบคบหาผู้มีอำนาจเพราะไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวาย แต่ก่อนเขาไม่เห็นสกุลไป๋อยู่ในสายตา เพียงแค่รู้มาว่าเสิ่นจิ้งเฟยชอบไปหาเรื่องจนถูกหัวเราะเยาะ หากเจ้าเด็กนี่หยุดทำเรื่องน่าขายหน้าก็ดีไป แต่สกุลไป๋…เขาคงต้องให้คนไปสืบดูสักหน่อย เสิ่นมู่หยางหยิบม้วนกระดาษของตนส่งให้บุตรชายโดยไม่พูดไม่จา จื่อฟางเลิกคิ้วอย่างสงสัยแต่ก็รับมาถือไว้ สีหน้าของเสนาบดีเสิ่นเหมือนบอกว่าอย่าเพิ่งเปิดอ่านตรงนี้ เขาจึงได้แต่ถืออยู่ในมือ

“ท่านพ่อ ข้าไม่โกรธหากท่านจะไปค้างนอกจวน...เพียงแต่ข้าขอเพิ่มเวรยามรอบจวนได้หรือไม่”เขาเอ่ยอย่างระมัดระวัง เสิ่นมู่หยางจ้องหน้าบุตรชายเขม็งทันที ตกใจไปวูบหนึ่งที่เสิ่นจิ้งเฟยพูดถึงเรื่องที่เขาไปค้างนอกจวน

“เพิ่มเวรยาม? มีเรื่องใดเกิดขึ้น”

“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แค่มีคนแกล้งข้า…”จื่อฟางเล่าแค่ว่ามีคนเอากระต่ายตายมาแกล้ง เสิ่นมู่หยางมีสีหน้าเคร่งเครียดทันที

“จะเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อย่างไร”เสนาบดีเสิ่นลุกเดินไปเดินมาทันที ถึงกับมีคนเอากระต่ายตายมาไว้ในห้องเช่นนี้เป็นการข่มขู่ชัดๆ แต่ผู้ใดเล่าจะกล้า พักนี้สถานการณ์ในราชสำนักเริ่มนิ่งแต่คล้ายกับเป็นฟ้าสงบก่อนพายุมา หากบอกว่ามีคนอยากเล่นงานสกุลเสิ่น เหตุใดไม่เล่นงานเขาตรง ๆ เสิ่นมู่หยางนึกไปถึงการตายของบิดาก็กระวนกระวายใจ บิดาของเขาเคยสนับสนุนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันให้ขึ้นเป็นรัชทายาทแทนองค์ชายใหญ่เจี่ยอี้ที่ถูกปลด แต่หลังจากที่เสิ่นฉินอี้ตาย ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสกุลเสิ่น ราวกับจะบอกใบ้กลายๆว่าไม่อยากให้สกุลเสิ่นมีอำนาจมากไป แต่ยามนี้กลับเป็นสกุลหลี่ที่มีอำนาจในราชสำนักจนกดหัวตน

เสิ่นมู่หยางหยุดอยู่ตรงหน้าบุตรชาย “เฟยเอ๋อร์ เจ้าคงไม่ได้ไปล่วงเกินผู้ใดเข้าหรอกนะ”

“ข้าเปล่า”จื่อฟางตอบหน้าซื่อ คนที่เขาไปล่วงเกินเป็นถึงท่านอ๋อง หากเอ่ยปากบอก ท่านคงโวยวายใหญ่โตแน่

เสิ่นมู่หยางนั่งลงพร้อมกับทำสีหน้าเคร่งเครียด “จำคำข้าไว้ พักนี้อย่าสร้างเรื่อง เดี๋ยวข้าจัดการหาคนมาเฝ้าเรือนเจ้าเอง”เขามองหน้าบุตรชายด้วยความรู้สึกผิด

“ท่านเป็นอะไร”จื่อฟางเห็นสีหน้าของเสิ่นมู่หยางไม่ค่อยดีจึงเอ่ยถามอย่างกังวล

“ข้าขอโทษที่พักนี้ไม่ค่อยได้ใส่ใจเจ้า”เสนาบดีเสิ่นวางมือลงบนไหล่ผอมบางของบุตรชาย ก็พบว่าเสิ่นจิ้งเฟยผ่ายผอมลงมากกว่าแต่ก่อน ยิ่งทำให้เขาจุกแน่นในอก เพราะมัวแต่สนใจผู้ที่ป่วยอยู่นอกจวนจนไม่ได้ให้ความสำคัญกับบุตรชายตรงหน้า หากโหยวหลันรู้เข้าคงไม่มีวันให้อภัย เสิ่นมู่หยางอยากจะโอบกอดเจ้าเด็กไม่เอาไหนแต่ก็กระดากเกินกว่าจะทำ

“หากมีเรื่องใดก็มาบอกข้าได้ทุกเมื่อ”สุดท้ายแล้วก็ได้แต่เอ่ยเช่นนี้ จื่อฟางยิ้ม ถ้าเขาเป็นเสิ่นจิ้งเฟยก็คงซึ้งใจอย่างน้อยเสิ่นมู่หยางก็ยังเป็นห่วงบุตรชายไม่ได้เรื่องคนนี้

เขานึกถึงเรื่องที่อยากถามได้พอดีจึงหยิบยกมาพูด...เรื่องของคุณชายฝู่จวิ้น “ท่านพ่อรู้จักขุนนางชั้นสูงที่ชื่อฝู่จวิ้นบ้างหรือไม่”

“ฝู่จวิ้น?”เสิ่นมู่หยางทวนชื่อด้วยสีหน้างุนงง “ไม่มีขุนนางคนใดชื่อนี้”

“ไม่มีหรือ?ที่หน้าตาหล่อเหลา อายุราว ๆสามสิบ...”จื่อฟางไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีแต่ก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายฉงนกว่าเดิม

“เจ้าไปโดนผู้ใดหลอกมาแล้วกระมัง ไม่มีขุนนางชื่อฝู่จวิ้น?อยู่ในราชสำนัก”เสนาบดีเสิ่นพูดย้ำ จึงได้ทีอบรมบุตรชายว่าควรระวังตัว สกุลเสิ่นเป็นขุนนางมาหลายชั่วรุ่นไม่แปลกที่มีคนอยากเข้าหา จื่อฟางได้แต่แสร้งตั้งใจฟัง

“ข้าทราบแล้ว”เขารีบตอบก่อนขอตัวกลับไปที่เรือนเพราะยังไม่ได้อาบน้ำ เสิ่นมู่หยางจึงเรียกหยางชวีมาซักถามเรื่องบุตรชาย

“เจ้าติดตามคุณชายมาสองเดือน คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีเรื่องปกปิดอยู่หรือไม่”เสนาบดีเสิ่นถามพลางใช้สายตากดดันสำรวจมองข้ารับใช้ตรงหน้า เขารู้จักหยางชวีดีจึงรู้ว่าเมื่อครั้งก่อนข้ารับใช้ผู้นี้เอ่ยคำโกหกกับตน หรือถูกเสิ่นจิ้งเฟยตีสนิทไปแล้ว

“ข้าน้อยคิดว่ามี…”หยางชวีตอบไปตามตรง “แต่ข้าจะพยายามสืบหาความจริงให้ได้ขอรับ”เสนาบดีเสิ่นเพียงพยักหน้าก่อนซักถามต่อ

“แล้วเรื่องกระต่ายที่มีคนส่งมาเจ้าไม่รู้หรือ”

“ไม่ขอรับ”บุรุษหนุ่มตอบด้วยลำคอตีบตัน รู้สึกหนักอึ้งอยู่ในอก เมื่อได้ยินสิ่งที่คุณชายเสิ่นพูดเขาก็ทราบในทันทีว่าคุณชายไปนอนค้างที่คฤหาสน์สกุลไป๋เพราะเหตุใด เห็นได้ชัดว่าคุณชายรู้สึกปลอดภัยที่ได้อยู่กับไป๋ผูอวี้มากกว่า หยางชวียอมรับว่ารู้สึกเจ็บใจอยู่บ้างที่คุณชายเลือกไว้ใจไป๋ผูอวี้ มิใช่ว่าคุณชายเห็นคนผู้นั้นเป็นศัตรูมาตลอดหรือ แต่หยางชวีก็ปฏิเสธความแข็งแกร่งของไป๋ผูอวี้ไม่ได้ ซ้ำยังต้องเอ่ยปากขอให้ฝ่ายนั้นช่วยดูแลคุณชายเสิ่นอีก หากศิษย์พี่รู้ว่าเขาทำตัวเช่นนี้คงไม่วายโดนหัวเราะเยาะ บุรุษหนุ่มเก็บซ่อนสีหน้ากลัดกลุ้มใจไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย

“ข้าอยากให้เจ้าจับตามองไป๋ผูอวี้ให้ดี หากเขามีท่าทีผิดปกติก็มารายงานข้า”

“ขอรับ”หยางชวีรับคำ นึกไปถึงคุณชายสูงศักดิ์ที่นามว่าฝู่จวิ้น?ก็ยิ่งข้องใจ เป็นตามที่เขาคาดคุณชายท่านนั้นไม่ใช่ขุนนาง

“นายท่าน ข้ามีคำถาม…”หยางชวีเอ่ยเสียงลังเล เพราะกลัวว่าเสิ่นมู่หยางจะคิดว่าตนถามมากความ

“ว่าอย่างไร”เขาปราดตามองข้ารับใช้ตรงหน้า

“วันนี้ข้าพบคนน่าสงสัยผู้หนึ่ง เขามาขอให้คุณชายวาดภาพ ชายผู้นั้นมีองครักษ์ฝีมือสูงส่ง ข้าเกรงว่าจะไม่ใช่คนธรรมดา…”เขามองเห็นเสนาบดีเสิ่นขมวดคิ้วมุ่น

“คนน่าสงสัยที่เจ้าว่ามีหน้าตาเช่นไร”เสิ่นมู่หยางถามอย่างสนใจ รู้สึกว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญมิเช่นนั้นหยางชวีคงไม่ออกปากถาม เมื่อเขาได้ฟังอีกฝ่ายบอกลักษณะท่าทาง ใบหน้าของเขาก็ยิ่งเผือดซีด ผุดลุกจากที่นั่งทันที

“เสิ่นจิ้งเฟยไม่มีท่าทีใดเลยหรือ!”เขาถามเสียงสั่น จำได้ว่าบุตรชายไม่ชอบคนผู้นั้น…

“คุณชายไม่มีทางเลือก จำต้องออกไปกับคนผู้นั้นขอรับ”หยางชวีไม่คิดบอกว่าคุณชายจำอะไรไม่ได้เลยต่างหาก เขาเหลือบมองท่าทางกระวนกระวายของผู้เป็นนายก็ถอนหายใจเบาๆ เขาคิดถูกแล้วคนผู้นั้นไม่ใช่คุณชายสูงศักดิ์ธรรมดา แต่ดูจากการไม่ติดใจเอาความที่คุณชายเสิ่นพูดจาไม่กริ่งเกรงก็ยิ่งทำให้เขากังวล คนผู้นั้นคงชอบคุณชายมากจริง ๆ

“เหตุใด…”เสิ่นมู่หยางมีสีหน้าสับสน เริ่มเดินไปเดินมาพึมพำกับตนเองเบาๆ แต่หยางชวีก็ได้ยิน

“หรือฮ่องเต้ยังไม่ตัดใจเรื่องเฟยเอ๋อร์”

บุรุษหนุ่มเหงื่อแตกพลั่ก เป็นฮ่องเต้เจี่ยผิงจริงดังคาด เสียงเล่าลือที่เขาชอบบุรุษรูปงามเป็นเรื่องจริง ทั้งยังชอบคุณชายเสิ่น คุณชายของเขากลับจำเรื่องราวใดไม่ได้จึงออกไปกับฮ่องเต้เจี่ยผิงจนเย็นย่ำ…เขากลัวว่าพระองค์จะเข้าใจผิดคิดว่าคุณชายมีใจ…หากเป็นเช่นนั้นจะทำอย่างไร

“เจ้า…คอยจับตามองคุณชายให้ดี”เสนาบดีเสิ่นถอนหายใจด้วยสีหน้าเป็นกังวล ฮ่องเต้คิดทำสิ่งใดไม่มีใครล่วงรู้

“แล้วฝู่จวิ้นคือผู้ใด”เขาเอ่ยถามอย่างข้องใจ

“เป็นเพียงพวกต้มตุ๋นเท่านั้นขอรับ”หยางชวีจำต้องพูดปด ไม่อยากให้นายท่านตกใจไปมากกว่านี้ถ้าหากรู้ว่าฝู่จวิ้นที่คุณชายถามถึงคือฮ่องเต้

~•~

หลังจากที่จื่อฟางอาบน้ำชำระร่างกายจนปรอดโปร่งเขาก็หยิบม้วนกระดาษที่เสิ่นมู่หยางให้มาเปิดอ่าน มุ่นคิ้วเมื่อพบว่ามันคือโจทย์ข้อสอบ หากรู้หัวข้อพวกนี้ย่อมสอบผ่าน แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับการโกง ถึงจะไม่สบายใจแต่เด็กหนุ่มก็ม้วนกระดาษเก็บไว้ โกงเพียงเล็กน้อยคงไม่เป็นไรกระมัง เขานึกถึงเพื่อนที่ชอบจดโพยเข้าไปในห้องสอบ จำได้ว่าตนเองยังแอบก่นด่าอยู่ในใจ หรือเขาต้องกลืนน้ำลายตัวเองเพื่อแลกกับชื่อเสียงของเสิ่นจิ้งเฟยที่ต้องรักษา   

ช่างมันก่อนเถอะ!จื่อฟางปัดความคิดเรื่องนี้ทิ้งไป เพราะเขายังมีเรื่องอื่นให้ขบคิด อย่างแรกคือคุณชายฝู่จวิ้น เสนาบดีเสิ่นบอกว่าไม่มีขุนนางชื่อนี้อยู่ แล้วเขาเป็นผู้ใด แต่คิดว่าต้องรู้จักกับเสิ่นจิ้งเฟยอย่างแน่นอน ท่าทางแสดงออกว่าสนิทสนม…ถ้าหากว่านั่นไม่ใช่การเสแสร้ง ถึงอย่างไรก็เป็นคนรู้จักจริง หรือว่าเขาไม่ได้ชื่อฝู่จวิ้น จื่อฟางนึกไปถึงท่าทางสูงศักดิ์และองครักษ์ฝีมือสูงส่ง ชายผู้นั้นแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าชอบเสิ่นจิ้งเฟย เขายังจำสายตาที่ฝ่ายนั้นมองมาได้...ราวกับต้องการฉีกกระชากเสื้อผ้าตนออก... ดูจากลักษณะท่าทาง คุณชายผู้นั้นน่าจะมีอายุไม่เกินเลขสาม ด้วยวัยที่เยอะขนาดนี้ก็คงแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เหตุใดยังมาสนใจเสิ่นจิ้งเฟยอีก

จื่อฟางรู้สึกหัวใจเต้นแรง ทีแรกเขาคิดว่าตัวเองจะเป็นลมเพราะหน้ามืด แต่ภาพเหตุการณ์บางอย่างกลับวาบเข้ามา

    …เป็นสวนสวยงามแห่งหนึ่ง เขา—เสิ่นจิ้งเฟยนั่งบรรเลงกู่ฉินด้วยสีหน้าสงบ มือเคลื่ิอนไหวอย่างอ่อนช้อย ในกรอบสายตามองเห็นคนผู้หนึ่งยืนหันหลังในชุดคลุมลายมังกรสีเหลืองสง่างาม ความรู้สึกไม่ชอบหน้าก่อตัวขึ้นมาช้าๆ เขารังเกียจคนผู้นี้…

“เจ้าฝีมือยอดเยี่ยมสมคำล่ำลือ”เสียงคุ้นหูเอื้อนเอ่ยพร้อมกับร่างในชุดคลุมสีเหลืองหันหน้ามามอง เขาใจเต้นรัวด้วยความประหม่า แต่ยังคงก้มหน้ามองกู่ฉินตัวยาวตรงหน้า

“กระหม่อมฝีมือยังอ่อนด้อย เป็นผู้คนที่กล่าวเล่าลือเกินจริง”เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแปลกหู ต่างจากที่ตัวจื่อฟางใช้

“ดูท่าเจ้าคงยังไม่หายโกรธ ถึงได้พูดจาห่างเหินกับข้า”บุรุษหนุ่มมีรอยยิ้มจาง เดินเอื่อยช้าเข้ามาใกล้ยิ่งทำให้เขาใจเต้น เหงื่อออกที่ฝามือแต่ก็ยังคงดีดสายฉินต่อไป มือของเขาสั่นเล็กน้อย

“อย่างที่เคยบอก แม้ว่าข้าจะเป็นเจ้าแผ่นดิน แต่ข้าก็ยังเป็นพี่ชายฝู่จวิ้น คนเดิมของเจ้าเสมอ...”ความโกรธพุ่งขึ้นมาจนเขาหยุดมือ สายฉินยังคงส่งเสียงกังวานก่อนจางหายไปกับสายลม

“ฝ่าบาทพูดเรื่องใดข้าไม่เข้าใจ…”เสิ่นจิ้งเฟยอยากออกไปจากที่แห่งนี้เหลือเกินยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลาปราศจากความรู้สึกผิดก็ยิ่งโกรธเคือง บุรุษหนุ่มตรงหน้าถอนหายใจแต่รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้าราวกับสวมหน้ากาก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2019 00:57:10 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
จื่อฟางยังคงใจเต้นแรงยกมือกุมหน้าอก อาการโกรธเคืองยังคงอยู่ในร่างทำให้มือของเขาสั่นเล็กน้อย เขาค่อยๆทรุดตัวนั่งบนเตียง ความรู้สึกพวกนี้เป็นของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่ของเขา โกรธ…สับสน…และผิดหวัง นี่เป็นความทรงจำของร่างนี้ เหตุใดถึงจำขึ้นมาได้ จื่อฟางสูดหายใจเข้าลึกๆพยายามทำจิตใจให้สงบ ที่แท้คุณชายฝู่จวิ้น ก็คือฮ่องเต้เจี่ยผิง เขาสั่นสะท้านขึ้นมาเมื่อคิดว่าตนเผชิญหน้ากับเจ้าแผ่นดินโดยที่ไม่ได้ระวังกิริยา มิน่าองครักษ์หน้าดุถึงไม่ชอบเขาตนนัก

“เสิ่นจิ้งเฟย เจ้านั่น…”เขาถอนหายใจ เจ้านี่ไม่ใช่แค่รู้จักกับฮ่องเต้ แต่ยังมีความหลังด้วยกันอีกต่างหาก คาดเดาจากความทรงจำที่เห็น เสิ่นจิ้งเฟยก็คงถูกหลอกด้วยชื่อฝู่จวิ้น มาก่อน พอรู้ความจริงก็เลยโกรธงั้นหรือ มิใช่…นอกจากความรู้สึกโกรธเขายังสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังจางๆ จื่อฟางลุกเดินไปเดินมา แล้วแบบนี้ฮ่องเต้ไม่สงสัยในหรือ? เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงคงไม่มีทางออกไปกับฮ่องเต้และพูดจาดีด้วยแน่

“คุณชายเสิ่น...”เสียงของหยางชวีดังอยู่นอกห้อง

“มีอะไร”

“ข้าน้อยขอคุยด้วยสักครู่หนึ่ง”

“เข้ามา”จื่อฟางกลับมาสู่อาการสงบเช่นเดิม เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ บนโต๊ะมีขนมทานเล่นวางอยู่ แต่เขากลับไม่มีอารมณ์จะหยิบมากิน หยางชวีโผล่เข้ามาในห้องด้วยใบหน้าราบเรียบเช่นเคย แต่ก็ปิดความเป็นกังวลในแววตาไว้ไม่อยู่

“เจ้ามีเรื่องใด”เขาเอ่ยถาม พยายามทำสีหน้าให้ปรอดโปร่ง

“ข้าเป็นห่วงท่าน”หยางชวีกล่าวตามตรง ทำให้คุณชายเสิ่นแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา

“เจ้าพูดจาแปลกจนข้าขนลุก”จื่อฟางลูบแขนไปมา แต่สีหน้าของอีกฝ่ายก็ยังคงจริงจัง

“คุณชายยังจำอะไรไม่ได้เช่นนี้อันตรายยิ่งนัก”เขาพูดออกมาในที่สุด เด็กหนุ่มเข้าใจในทันที เขาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“เจ้าพูดถูก แต่ข้าก็ทำสิ่งใดไม่ได้ เจ้าไม่ต้องห่วง ความทรงจำของข้าต้องกลับมาแน่นอน”อยู่ที่ว่าจะมากหรือน้อยทำให้เขายังพอมีความหวัง หากพบกับหลิวอ๋องเขาอาจได้ความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยกลับมา เรื่องราวที่เผชิญอาจไม่ต้องเป็นปริศนาอยู่เช่นนี้

“ท่านหมายความว่าอย่างไร”หยางชวีกวาดตามองคุณชายตรงหน้า ร่างบางมีรอยยิ้ม

“เมื่อครู่ข้าจำเรื่องราวได้เล็กน้อย ถึงได้รู้ว่าคุณชายฝู่จวิ้น คือฮ่องเต้เจี่ยผิง”จื่อฟางบอกอีกฝ่ายด้วยความกังวล นอกจากกลัวฮ่องเต้สงสัย เขายังกลัวว่าจะถูกเข้าใจผิด การที่เขาทำดีด้วยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจะทำให้พระองค์คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยหายโกรธหรือเปล่า? เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นนานเท่าใดแล้ว ยังมีอีก…เรื่องความหลังพวกนี้ทำให้เสิ่นจิ้งเฟยโกรธจนคิดกบฏงั้นหรือ?แม้ว่าจะรับรู้ได้แผ่วจางแต่เขาก็สัมผัสถึงความเกลียดชังที่อยู่ในอกได้ 

“ท่านพูดจริงหรือ”หยางชวีมีสีหน้าดีขึ้น แต่แววตาก็ยังคงฉายแววกังวล

“อืม เจ้าไม่ต้องกังวลจนเกินไป เรื่องฮ่องเต้ข้าจะหาทางเอาตัวรอดเอง”เขาเพียงพูดไปเท่านั้น ยังมีเรื่องหลิวอ๋องให้กังวล เขาจำได้ว่าวันที่ฮ่องเต้มาที่โรงน้ำชาเป็นวันเดียวกับที่เขาวาดรูปจับโจร ฮ่องเต้มาที่โรงน้ำชาเพราะเหตุใด? เกี่ยวข้องกับไป๋ผูอวี้ด้วยหรือเปล่า แต่หมอนั่นยังเอ่ยถามเขาถึงคุณชายสูงศักดิ์อยู่เลย คงไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ แต่ไป๋ผูอวี้ก็รู้เรื่องของหลิวอ๋องทั้งยังรู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยรู้จักกับขอทานนั่นด้วย…หรือท่อนไม้ไป๋แอบสืบเรื่องราวอยู่เงียบๆ มิใช่ว่าสกุลไป๋ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายหรอกหรือ

“ข้าก็หวังว่าท่านจะทำได้อย่างที่พูด”หยางชวีไม่ได้เอ่ยถึงสิ่งที่คิด หากว่าฮ่องเต้เอ่ยปาก ผู้ใดจะขัดได้

“คุณชาย…เรื่องกระต่ายที่ท่านเอ่ยถึงเหตุใดไม่บอกข้า”

“เจ้าทำงานให้ท่านพ่อ ไยข้าต้องบอก ข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถามว่าเหตุใดเจ้าถึงเอาเรื่องที่ข้าเสียความทรงจำและความสามารถไปบอกไป๋ผูอวี้”จื่อฟางเบี่ยงประเด็นถามอีกฝ่ายเสียงแข็ง เขาไม่รู้ว่าผู้ติดตามคนนี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไรหากรู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยเกี่ยวข้องกับหลิวอ๋องทั้งยังมีท่าทีจะก่อกบฏ กับจางต้าเขาไม่เคยคิดสงสัย จะอย่างไรเจ้านั่นก็คงยอมเสี่ยงไปกับเขา แต่หยางชวีเล่าจะยอมช่วยหรือบอกเสิ่นมู่หยาง เขาไม่กล้าเสี่ยง

หยางชวีหลุบตามองพื้น เรื่องนี้เขาทราบดีว่าไม่สมควรบอกผู้ใด แต่คุณชายมีท่าทีไว้ใจไป๋ผูอวี้มากกว่าตัวเขา 

“ข้าคิดว่าเขาดูแลท่านได้ แม้ไม่อยากยอมรับ...แต่เขามีความสามารถมากกว่าข้า...”บุรุษหนุ่มเอ่ยตอบ จื่อฟางได้แต่นิ่งเงียบเพราะที่อีกฝ่ายพูดมาเป็นความจริง เขาสบายใจเมื่อได้อยู่กับไป๋ผูอวี้ เด็กหนุ่มมองใบหน้าเรียบเฉยของหยางชวีพลางคิดว่าเจ้าตัวจะรู้หรือไม่ว่าน้ำเสียงที่พูดออกมาแฝงแววน้อยใจไว้ด้วย เขาจึงคิดว่าควรพูดอะไรบางอย่าง

“หยางชวี ข้าไม่ได้ดูแคลนความสามารถของเจ้า ถึงอย่างไรข้าก็วางใจที่มีเจ้าอยู่”แม้จะน้อยกว่าไป๋ผูอวี้ก็ตาม

“ท่านแน่ใจหรือ”หยางชวีเอ่ยเสียงเรียบ แต่ก็คิดว่าตนพูดมากไป เขาไม่ควรเอ่ยเรื่องนี้ออกมาด้วยซ้ำ จื่อฟางคิดว่าวันนี้เจ้าคนหน้าตายพูดจาเปิดอกมากทีเดียว หากเป็นแต่ก่อนก็คงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่เขาจนชวนให้อึดอัด

“เจ้ากับไป๋ผูอวี้ไม่เหมือนกัน…”จื่อฟางพึมพำ หวังว่าหยางชวีจะเข้าใจ เขามองว่าไป๋ผูอวี้สำคัญกว่า...น้ำหนักในใจจึงไม่เท่ากันอยู่แล้ว หยางชวีได้แต่นิ่งเงียบรู้ดีว่าคุณชายหมายถึงสิ่งใด ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่พูดเรื่องของคุณชายกับไป๋ผูอวี้

“ข้าคิดว่าเจ้าเป็นสหายมากกว่าข้ารับใช้”จื่อฟางเผยรอยยิ้มจริงใจออกมา ผู้ติดตามมองหน้าเขาครู่หนึ่ง ท่าทางกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง   

“ข้าจะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น”

“วานเจ้าพัฒนาจางต้าด้วยได้หรือไม่”เขานึกถึงเมื่อตอนที่อยู่คฤหาสน์สกุลไป๋เจ้านั่นบอกว่าอยากปกป้องเขา…ไมสิ อยากปกป้องเสิ่นจิ้งเฟย

“จางต้า?”หยางชวีมีสีหน้าฉงน

“เขาอยากฝึกยุทธ์”จื่อฟางบอกได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะอยู่ในใจ

“ข้าจะพยายาม”หยางชวีเอ่ยเพียงเท่านี้ก็ออกไปจากห้อง เด็กหนุ่มถอนหายใจ หยิบขนมเบญจมาศเข้าปากหนึ่งชิ้น พูดถึงเรื่องหลิวอ๋อง เขาต้องหาคำตอบให้ได้ว่าเหตุใดถึงช่วยทางการจับขอทานที่ชื่ออาสือ จะปั้นแต่งคำโกหกเช่นไรดี?เขานึกถึงมือปราบแซ่อู๋…เหตุผลที่ทางการมาตามจับอาสือเพราะบอกว่าเป็นโจร แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเจ้าคนตัวเหม็นนั่นไม่ใช่โจร แต่เป็นคนของอ๋องสาม 

“หยางชวี…เจ้าเข้ามานี่ก่อน”เขาใจเต้นระรัว ผู้ติดตามเข้ามาพบเขาอีกครั้ง เขาจึงถ่ายทอดคำสั่งให้ไปจัดการสอบถามมือปราบแซ่อู๋ลับๆ

“เจ้าทำวิธีใดก็ได้ให้เขาคายออกมาว่าผู้ใดเป็นคนสั่งให้จับขอทานนั่น”

“คุณชาย…ท่านกำลังทำเรื่องใดอยู่”หยางชวีไม่เข้าใจเรื่องที่เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยมาเลยสักนิด

“เจ้าแค่ทำตามคำสั่งของข้าก็พอ ทำอย่างลับๆ เพราะมีคนจับตามองข้าอยู่ เข้าใจหรือไม่”เป็นครั้งแรกที่เขาใช้น้ำเสียงวางอำนาจกับอีกฝ่าย หยางชวีจึงไม่ปริปากถามอีก เขาประสานมือลาออกไปจากห้องด้วยความเงียบเชียบประดุจสายลม

~•~

วันถัดมาเป็นวันที่จื่อฟางเรียนหนังสือกับใต้เท้าเฉิน หยางชวียังไม่กลับจากการไปทำตามคำสั่งของตน ความกังวลยิ่งทำให้เขาประสาทเสียเนื่องเพราะวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่เขาต้องพบกับหลิวอ๋อง ยามนี้ในหัวของเขาจึงเต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวายจนไม่มีสมาธิในการเรียน จนถูกใต้เท้าเฉินใช้ไม้เรียวตีมือไปหลายที

“วันนี้เจ้าเป็นอะไร หากไม่ตั้งใจเรียน ข้าจะไม่สอนเจ้าแล้ว”ใต้เท้าเฉินมีใบหน้าแดงก่ำด้วยอารมณ์โกรธเช่นทุกที จื่อฟางถอนหายใจด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

“วันนี้ข้ามีเรื่องปวดหัวนิดหน่อย ท่านอย่าหงุดหงิดไปเลย”

“เหอะ! เด็กไม่เอาไหนอย่างเจ้ามีเรื่องใดทำให้ปวดหัว”เฉินฉางเซียงหรี่ตามองอย่างข้องใจ

“เรื่องท่านปู่”พอเขาเอ่ยตอบสีหน้าของใต้เท้าเฉินก็แปรเปลี่ยนทันที บรรยากาศรอบตัวคล้ายกับหยุดนิ่ง เขาเม้มปากคิดว่าไม่น่าพูดออกไปเลย

“เจ้าเขียนของเจ้าไป อย่าคิดเหลวไหล ยามนี้เจ้าต้องสนใจกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้า”เฉินฉางเซียงเอ่ยเสียงเรียบ เรื่องของเสิ่นฉินอี้ถือเป็นความลับอย่างหนึ่งที่เขาไม่ได้เอ่ยถึงนานแล้ว ถึงจะตกใจที่อยู่ ๆเจ้าเด็กเสิ่นจะเอ่ยออกมาก็ตาม

จื่อฟางเห็นสีหน้าน่ากลัวของชายแก่ก็ไม่กล้าเอ่ยถามอีก

“หากเจ้าสอบได้ซิ่วไฉ ข้ามีของสำคัญของปู่เจ้ามอบให้ เขาทิ้งไว้ก่อนตาย บอกว่าต้องมอบให้เจ้าเมื่อถึงเวลาที่สมควร…”เฉินฉางเซียงอดเอ่ยออกมาไม่ได้ ทีแรกเขาไม่คิดจะให้ด้วยซ้ำเพราะคำว่าเวลาที่สมควรที่เสิ่นฉินอี้พูดถึงก็คือ เมื่อเสิ่นจิ้งเฟยรู้ความเป็นผู้เป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเอง เสิ่นฉินอี้คงคาดหวังว่าหลานชายจะเติบใหญ่เป็นคนฉลาด เพราะเมื่อยามที่เขายังมีชีวิตเสิ่นจิ้งเฟยเป็นเด็กน้อยน่ารักฉลาดรู้จักพูด

แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าหลังจากที่โหยวหลันมารดาของเสิ่นจิ้งเฟยจากไป เจ้าเด็กบ้านี่ก็เปลี่ยนไปราวคนละคน กลายเป็นคุณชายไม่เอาไหนเสียอย่างนั้น หากเสิ่นฉินอี้รู้คงได้แต่ก่นด่าตัวเองของที่ทิ้งไว้คงไม่มีวันได้เปิดดู  เฉินฉางเซียงตั้งใจไว้ว่าหากเสิ่นจิ้งเฟยสอบได้ เขาก็จะมอบของที่เสิ่นฉินอี้ทิ้งไว้ให้ ยังไงซะก็ถือว่าเป็นเวลาที่สมควร แต่ลึกๆแล้วเขาเชื่อว่าของดังกล่าวคงถูกทิ้งไว้ให้ฝุ่นเกาะเช่นเคย เจ้าเด็กจิ้งเฟยที่อยู่ตรงหน้ายังห่างไกลจากคำว่ารู้ความนัก

“ถ้าเช่นนั้นข้าควรตั้งใจให้มาก”จื่อฟางตอบด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น แต่ใต้เท้าเฉินดูเหมือนไม่คิดว่าเขาจะสอบผ่าน เมื่อชายแก่ไม่มีสิ่งใดให้ดุด่าก็กลับไปที่เรือนรับรองของตน เด็กหนุ่มจึงหันไปหาจางต้าที่นั่งสัปหงกอยู่เบื้องหลัง

“นี่ พรุ่งนี้ข้าจะไปหอผูเยว่…ปกติแล้วข้ามักไปเวลาใด”จื่อฟางส่งเสียงถามทำเป็นไม่เห็นสายตาแปลกใจของข้ารับใช้   

“ช่วงยามซวี(19.00 - 20.59 น.)ขอรับ”จางต้าตอบ หรือคุณชายจะป่วยจนจำเรื่องราวไม่ได้จริง ๆ เขาได้แต่สงสัยอยู่ในใจ

“อ้อ…คอยเตรียมรถม้าให้ข้าด้วย”เขาสั่ง จางต้าพยักหน้ารับรู้

จื่อฟางจึงใช้เวลาที่เหลือค้นหาหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับโจทย์ข้อสอบมาอ่าน เขาตั้งใจหาข้อมูลมาเขียนบทวิพากษ์ดี ๆยาวๆสักบทให้ไป๋ผูอวี้ตรวจ หากว่าผ่านเกณฑ์ก็ค่อยคัดลอกให้จำขึ้นใจ เมื่อถึงวันสอบเขาต้องเขียนบทวิพากษ์ดี ๆได้แน่นอน แค่ได้เป็นซิ่วไฉให้เสิ่นมู่หยางไม่ต้องขายหน้าก็พอ

หยางชวีกลับมาช่วงหัวค่ำหลังจากที่เขาทานข้าวเสร็จพอดี กำลังจะดื่มยาสมุนไพรตามปกติ เขาได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะกลับมาพร้อมกับข้อมูลที่เขาต้องการ จื่อฟางรอให้บ่าวไพร่คนอื่นออกไปจนหมดเหลือเพียงหยางชวีและจางต้าเท่านั้น

“ว่าอย่างไร”เขากระซิบถาม

หยางชวีตอบเสียงเบา “ดูเหมือนว่ามือปราบอู๋จะถูกคนมาซักถามเช่นกันขอรับ ตอนที่ข้าไปถึงจวนของเขาถึงได้มีคนเฝ้าอยู่อย่างแน่นหนา ข้าจึงต้องลอบติดตามเขาไปเพื่อรอโอกาสเหมาะ จนเมื่อเขาออกไปเที่ยวหอนางโลมถึงได้มีโอกาสซักถาม ข้าสวมชุดพรางตัว เขาจึงจำข้าไม่ได้ มือปราบอู๋มีท่าทีหวาดกลัวมาก พอข้าเอ่ยถามเขาก็บอกเพียงว่ามีบัณฑิตผู้หนึ่งจ่ายเงินให้จับตัวขอทาน เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนว่าจ้างเพราะบัณฑิตผู้นั้นปกปิดใบหน้าไว้ขอรับ”

จื่อฟางรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้รู้เรื่องราวมากเท่าไหร่ “บัณฑิตหรือ…”เขายังหาความเกี่ยวข้องใดไม่ได้ รู้เพียงว่ามีคนต้องการตัวอาสือ หรือบัณฑิตปริศนาจะรู้ว่าอาสือเป็นคนของหลิวอ๋องจึงคิดจับตัวไปซักถาม หากสาวมาถึงเสิ่นจิ้งเฟยคงเดือดร้อนแน่

“แต่ขอทานผู้นั้นเสียชีวิตแล้วขอรับ”หยางชวีเอ่ยเสริม เขาถึงกับเบิกตากว้าง กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ

“เสียชีวิต เป็นไปได้อย่างไร”เด็กหนุ่มใจเต้นรัว อย่างกับโดนฆ่าตัดตอน ผู้ติดตามมีสีหน้าเคร่งขรึมก่อนกล่าวบอก

“เขาชิงฆ่าตัวตายด้วยยาพิษ…”

“…”จื่อฟางได้แต่นิ่งเงียบ จิกเล็บลงในอุ้งมือ แสดงว่าอาสือเป็นพวกจงรักภักดีพอตัวถึงได้ชิงฆ่าตัวตายไปก่อน แต่หากหลิวอ๋องรู้ว่าเสียอาสือไป เขาจะเดือดร้อนหรือไม่? แค่คิดเหงื่อก็ซึมไปทั้งแผ่นหลัง เขาต้องหาคำตอบดีๆ เพราะเขาเองก็มีส่วนที่ทำให้คนๆหนึ่งต้องมาตาย

“ขอทานผู้นั้นแค่โดนจับก็ถึงกับฆ่าตัวตาย?”จางต้ากระซิบเสียงตระหนก สมองช้าๆของเขายังคงไม่รับรู้เรื่องราวจนถูกหยางชวีปรายตามองด้วยสายตาเย็นชา

“ดูเหมือนว่าขอทานนั่นจะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องไม่ธรรมดา”บุรุษหนุ่มพูด รู้สึกติดใจอยู่เล็กน้อยเพราะเขาจำได้ว่าขอทานผู้นั้นเหมือนจงใจชนคุณชาย หรือเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่หากคุณชายรู้จักจริงคงไม่มีทางยอมช่วยทางการวาดภาพจับตัวแน่

“ข้าก็คิดเช่นนั้น”จื่อฟางได้แต่ส่งเสียงเห็นด้วย รอจนหายฟุ้งซ่านเขาจึงให้หยางชวีช่วยเดินลมปราณ เมื่อข้ารับใช้ทั้งสองออกไปจากห้องแล้ว เขาก็นั่งสมาธิใช้ความคิดไตร่ตรองถึงเรื่องที่เกิดขึ้นช้า ๆ เขาไม่กล้าหยิบยกเหตุผลที่ตนป่วยจนเสียความจำมาใช้กับท่านอ๋องที่ปาดคอกระต่ายส่งมาข่มขู่ตน เด็กหนุ่มนึกถึงเหตุการณ์ในวันที่เจออาสืออีกครั้ง วันนั้นฮ่องเต้มาที่โรงน้ำชา 

ที่ข้ามาวันนี้เพราะคิดว่าเจ้าต้องมาที่โรงน้ำชาหลิวซื่อและข้าก็คิดถูกเสียด้วย

คำพูดของฮ่องเต้เจี่ยผิงทำให้เขาสะกิดใจ หรือมารอเสิ่นจิ้งเฟยจริง ๆ แต่ฮ่องเต้มีเวลาว่างขนาดนั้นเชียว เรื่องบ้านเมืองเล่า บทวิพากษ์ของเสิ่นจิ้งเฟยลอยเข้ามาในหัวทันที ฮ่องเต้ชอบเที่ยวเตร่ ถ้าหากฝ่าบาทแวะมาที่โรงน้ำชาบ่อย ๆเพราะเสิ่นจิ้งเฟยก็แสดงว่าตัวเขาถูกจับตามอง แล้วพระองค์จะรู้หรือไม่ว่าคุณชายรูปงามร่วมมือกับหลิวอ๋อง จื่อฟางใจเต้นระรัว จางต้าเคยบอกเขาว่าฝ่าบาทระแวงหลิวอ๋องมาตลอด ถ้าอย่างนั้นจะรู้หรือไม่ว่าอาสือเป็นคนของอ๋องสาม จื่อฟางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อคิดหาวิธีปั้นแต่งคำตอบให้ท่านอ๋องได้แล้ว

เขาชักนอนไม่หลับเพราะความตื่นเต้นที่ก่อตัว ‘กบฏ’เป็นถ้อยคำที่รุนแรงสำหรับยุคนี้ จื่อฟางไม่อยากตายและไม่อยากร่วมทุกข์ไปกับหลิวอ๋อง แต่เขาก็หาหนทางถอนตัวออกมาในเร็วๆนี้ไม่ได้ สิ่งที่น่ากลัวกว่าการก่อกบฏคือ ก่อกบฏแล้วทำไม่สำเร็จ ชะตาชีวิตหลังจากนั้นคงไม่ต้องสืบ เสิ่นจิ้งเฟยบ้าไปแล้วที่ทำเช่นนี้ นึกถึงบทพระรองในนิยายของเสิ่นจิ้งเฟยก็พอมีเค้าของคนที่มักใหญ่ใฝ่สูงอยากได้อำนาจ แต่เขาไม่เคยคิดไปถึงเรื่องก่อกบฏ

…เป็นอีกคืนที่ทรมานสำหรับจื่อฟาง เขานอนไม่หลับและนึกถึงไป๋ผูอวี้

~•~

ยามซวีมาถึงจื่อฟางเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับหลิวอ๋อง ย้ำเตือนกับตนเองว่าอย่าตื่นตระหนก ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถม้าหัวใจของเขาเต้นแรงเสียจนกลัวว่าจะกระเด็นออกมา เขาได้แต่มองออกไปนอกรถอย่างกังวล วันนี้มีเพียงหยางชวีที่ตามมาเท่านั้น เขาทิ้งให้จางต้าคอยตอบคำถามของเสิ่นมู่หยางอยู่ที่จวน

เมื่อมาถึงที่หมาย หอผูเยว่ก็ห้อยโคมไฟจนสว่างโล่แล้ว จื่อฟางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สวดภาวนาอยู่ในใจก่อนปั้นหน้าสดชื่น เขามาที่หอนางโลมหาความสุขใส่ตัวถ้าเอาแต่ทำหน้าอมทุกข์คงแปลกพิลึก ร่างผอมบางก้าวลงจากรถม้า เดินนำหยางชวีเข้าไปด้านใน แม้ว่าหยางชวีจะไม่ชอบสถานที่เช่นนี้แต่ผู้ติดตามเช่นเขาก็ไม่อยากปล่อยคุณชายเข้าไปเพียงลำพัง

แม่เล้าเถาฮวามองเห็นจื่อฟางก็ปรี่ตรงมาหาทันที ยังคงแต่งหน้าจัดจนได้กลิ่นเครื่องหอมฟุ้งเต็มจมูก

“คุณชายเสิ่น ข้อน้อยไม่ได้เจอท่านเสียนาน…เด็ก ๆในร้าน…”

“พาข้าไปที่ห้องเดิม”เขาเอ่ยขัดจังหวะไม่อยากฟังเสียงเจื้อยแจ้วนานกว่านี้ เด็กหนุ่มกวาดตามองไปรอบ ๆก็พบว่ามีคนมาใช้บริการมากมาย แม้จะมองไม่เห็นซูเหลียนฮวา แต่เมื่อคิดว่ามีนางคอยจับตาดูตนอยู่ เขาก็คลายความตึงเครียดที่แบกไว้ แม่เล้าไม่ได้มีท่าทีแปลกใจที่คุณชายเสิ่นให้นำทาง นางเพียงเดินอุ้ยอ้ายพาเขาอ้อมไปยังห้องรับรอง ทางเดินที่คุ้นตากระตุ้นความทรงจำของเขาได้ดี จื่อฟางจำได้ว่าห้องตรงหน้าคือห้องที่ตนตื่นขึ้นมาและพบว่าอยู่ในโลกนิยาย…

“ลู่เจียงรออยู่ด้านในเจ้าค่ะ ขอให้คุณชายเสิ่นมีความสุข”แม่เล้าเถาฮวาแย้มยิ้มก่อนยอบตัวจากไป ทิ้งให้เขายืนอยู่กับผู้ติดตามสองคน

“ข้าจะเข้าไปหาความสุข คงใช้เวลานานสักหน่อย หากได้ยินเสียงใด เจ้าไม่ต้องตกใจ”จื่อฟางเอ่ยบอกกับหยางชวี แสร้งยิ้มซุกซนก่อนผลักบานประตูเข้าไป เมื่อปิดประตูเรียบร้อยก็กวาดมองสำรวจห้อง สิ่งแรกที่เห็นคือหญิงงามผู้มีเค้าหน้าคม เขามองปราดเดียวก็รู้ว่านางมิใช่คนแถบนี้ นางน่าจะเป็นหญิงงามนอกด่าน ลู่เจียงบรรเลงกู่เจิงอยู่ที่มุมห้อง สวมชุดบางเบาสีชมพูอ่อน นางชม้ายตามองมาที่เขาก่อนเผยยิ้มเห็นฟันขาว

“คุณชายเสิ่น…ท่านหายหน้าไปนาน หลิวอ๋องเป็นห่วงมาก”ลู่เจียงเอ่ยเสียงเบาแทบถูกเสียงกู่เจิงกลบ หัวใจของเขาบีบรัดเมื่อเห็นสภาพห้องอันคุ้นตา บนโต๊ะมีอาหารและไหสุราวางอยู่ แต่เขามองไม่เห็นหลิวอ๋อง เมื่อหมุนตัวมองอีกด้าน เขาก็ใจกระตุกวูบเงาร่างสายหนึ่งโฉบมาประชิดตัวพร้อมกับบีบคอของเด็กหนุ่มจนร้องตะโกนไม่ออก เขากลอกตามองหญิงงามแต่นางก็ยังคงบรรเลงกู่เจิงต่อไปราวกับมองไม่เห็นคนทั้งสอง

“เจ้ามาช้า…”บุรุษตรงหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ใบหน้ามีเค้าเหมือนกับฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่ฉายอารมณ์ความรู้สึกใด เขาสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบแต่ก็ปกปิดรัศมีสูงศักดิ์ไม่มิด หลิวอ๋องเจี่ยซินอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

“…อะ…”เขาส่งเสียงตะกุกตะกัก คิดว่าจะถูกบีบคอจนตายแต่ท่านอ๋องตรงหน้าก็คลายมือออกพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

“ข้าเพียงล้อเจ้าเล่น แค่นี้ทำตกใจไปได้”หลิวอ๋องผละถอยห่าง กวาดตามองเสิ่นจิ้งเฟย ดูเหมือนของขวัญที่เขาส่งไปจะทำให้อีกฝ่ายหวาดผวาไม่น้อย องครักษ์ของเขามารายงานว่าวันนั้นเสิ่นจิ้งเฟยถึงกับไม่กล้าอยู่ในจวน

“ท่านอ๋อง…”จื่อฟางเอ่ยเรียก ยกมือลูบลำคอที่แสบร้อน การล้อเล่นของท่านแรงเกินไปแล้ว เขามองสำรวจหลิวอ๋องเจี่ยซิน ชายผู้นี้มีใบหน้าอ่อนโยน ลักษณะภายนอกคล้ายกับบัณฑิต มองอย่างไรก็ไม่น่าใช่คนจิตใจอำมหิต แต่คนผู้นี้เป็นคนปาดคอกระต่ายส่งมาข่มขู่เขา …คนที่ร้ายเงียบเช่นนี้น่ากลัวยิ่งนัก...

“ดื่มเหล้าสักจอกแล้วค่อยคุย”เจี่ยซินกล่าวเดินนำไปที่โต๊ะราวกับไม่มีเรื่องเร่งรีบ หญิงงามลู่เจียงละมือจากเครื่องดนตรี เคลื่อนกายมาที่โต๊ะรินสุรากลิ่นหอมใส่จอกให้หลิวอ๋องและเสิ่นจิ้งเฟย นางมองตาเขาเพียงครู่เดียวก่อนนั่งลงข้างกายเขา หญิงผู้นี้ก็คงไม่พ้นเป็นคนของหลิวอ๋อง จื่อฟางรอให้ท่านอ๋องยกดื่มก่อนค่อยจิบช้า ๆจนหมดจอก แม้ว่าจะตื่นกลัวแต่เขาก็พยายามรักษาท่าทีเยือกเย็นไว้ให้ได้มากที่สุด

เจี่ยซินปรายตามองเสิ่นจิ้งเฟย สองเดือนที่ไม่ได้เจอกัน คุณชายผู้นี้ดูผ่ายผอมและแววตาดูเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน เขาเองก็บอกไม่ได้ว่าเปลี่ยนไปอย่างไร ดูท่า…ข่าวที่องครักษ์นำมารายงานว่าเสิ่นจิ้งเฟยป่วยจนเสียความทรงจำจะเป็นเรื่องจริง เพราะสายตาของอีกฝ่ายมองเขาราวกับคนแปลกหน้า แต่มีเรื่องเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?หากเป็นเรื่องเสแสร้งเสิ่นจิ้งเฟยก็ทำได้แนบเนียน

“สองเดือนมานี้ ข้าพยายามติดต่อเจ้าผ่านเถ้าแก่จาง แต่ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้แวะไปที่ร้าน”บุรุษหนุ่มกล่าวเบาๆ เทเหล้าใส่จอกให้ตนเอง จื่อฟางยังคงมีสีหน้าเช่นเดิม แม้ว่าจะไม่เข้าใจเรื่องที่อีกฝ่ายพูดมาเลยก็ตาม เถ้าแก่จาง…คงต้องไปสืบหาดู

“ช่วงหนึ่งเดือนก่อนข้าถูกกักบริเวณอยู่ในจวน ท่านพ่อส่งคนมีฝีมือมาตามติด ทำให้ข้าแวะไปที่ร้านไม่ได้”จื่อฟางตอบตามน้ำอย่างลื่นไหล เรื่องพูดจาโกหกไม่ใช่เรื่องที่นักหนาสำหรับเขา

“เพราะอย่างนี้ข้าถึงได้ส่งอาสือไป แต่เจ้ากลับช่วยทางการจับตัวเขา ข้าเสียสายสืบมือดีไปแล้ว เจ้าพอจะอธิบายการกระทำของเจ้าได้หรือไม่ น้องชาย”เจี่ยซินกระแทกจอกลงบนโต๊ะ สายตาจับจ้องอยู่ที่คุณชายตรงหน้าไม่วางตา สอดส่องหาร่องรอยพิรุธ แต่สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงความตื่นกลัวราวกับกระต่ายตัวน้อยเท่านั้น หากเป็นแต่ก่อนเจ้านั่นคงหัวเราะใส่เขาอย่างไม่เกรงกลัวแล้ว ลู่เจียงลอบมองคุณชายเสิ่นเช่นกัน

“อันที่จริงข้าก็ไม่ได้คิดตั้งใจเข้าไปยุ่งเกี่ยวตั้งแต่แรก แต่เป็นเพราะวันนั้นฮ่องเต้เจี่ยผิงอยู่ที่โรงน้ำชา ข้าก็เลยคิดว่าหากข้าช่วยทางการจับอาสือ จะช่วยลดความคลางแคลงใจ…”จื่อฟางยังพูดไม่ทันจบหลิวอ๋องก็เอ่ยแทรกเสียก่อน

“เจ้าก็เลยแสดงละครทำตัวเป็นคนดีต่อหน้าเขา ช่วยทางการจับโจรอย่างนั้นสินะ”เจี่ยซินยกยิ้ม ทอดสายตามองเสิ่นจิ้งเฟยอยู่เนิ่นนาน เรื่องที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงเริ่มสงสัยคุณชายเสิ่นเขาก็พอรู้มาบ้าง ทั้งยังระแคะระคายว่าอาสือเป็นคนของเขาอีก ฝ่าบาทขี้ระแวงจนน่ารำคาญ

“ท่านอ๋องกล่าวถูกแล้ว แต่ข้าไม่คิดว่าเรื่องจะเลวร้ายถึงขั้นนี้”จื่อฟางยังคงสีหน้าเดิม หลิวอ๋องได้แต่หรี่ตามอง ด้วยสีหน้าที่คล้ายกับจะบอกว่าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ จื่อฟางทำหน้าตาย ยกจอกเหล้าจิบด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย

เจี่ยซินยังคงไม่ละสายตาไปจากใบหน้างามของเสิ่นจิ้งเฟย แต่ความงามของอีกฝ่ายทำอะไรเขาไม่ได้ เขาไม่ใช่พวกรักชอบบุรุษอย่างพี่ชายร่วมสายเลือดเพียงครึ่งหนึ่ง เขาเพียงต้องการตัวหมาก อันที่จริงอาสือก็ไม่ใช่คนสำคัญถึงเพียงนั้น หากเสียไปสักคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาส่งจดหมายข่มขู่ก็แค่อยากดูท่าทีของเสิ่นจิ้งเฟย

“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าฮ่องเต้ระแคะระคายเรื่องอาสือจนต้องแสร้งแสดงละครต่อหน้าเขา หากเจ้ารู้เหตุใดไม่ส่งจดหมายมาเตือนข้า ข้าจะได้ไม่ต้องส่งอาสือไป เจ้าทำตัวน่าสงสัยนัก คำแก้ตัวของเจ้าคิดว่าหลอกข้าได้งั้นหรือ”เจี่ยซินเผยรอยยิ้ม แต่ไหนแต่ไรคุณชายผู้นี้ก็เหมือนจิ้งจอก แสร้งทำเป็นคนไม่เอาไหนมาได้ตั้งนาน หากจะปั้นแต่งคำโกหกใส่เขาก็ทำได้ เจี่ยซินจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของอีกฝ่ายระหว่างหยิบกรีชพกแหลมคมของตนออกมา เขาเพียงแค่ข่มขู่เท่านั้น เขายังต้องใช้งานเสิ่นจิ้งเฟย 

จื่อฟางจ้องมองกริชคมวาวด้วยหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ

“ข้าเพียงคาดเดา หากฝ่าบาทสงสัยในตัวท่าน เขาต้องหาทางสืบข่าวจนรู้…หากท่านไม่ไว้ใจอยากฆ่าข้าก็ทำเถอะ”

 “เสิ่นจิ้งเฟยที่ข้ารู้จักไม่มีทางพูดเช่นนี้แน่”เจี่ยซินหัวเราะเบาๆ แนบกริชกับลำคอของอีกฝ่าย แววตามีคลื่นสั่นไหวแต่ก็ยังมองตรงมาที่ตน

“ถึงแม้ข้าจะดูเปลี่ยนไป แต่คำสาบานที่เคยกล่าวไว้ข้าไม่มีทางผิดคำพูด เรื่องมาถึงเช่นนี้ข้าก็ไม่คิดถอยกลับ ฮ่องเต้…ข้าไม่มีวันให้อภัยเขา”จื่อฟางแสร้งตีหน้าเจ็บแค้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงบีบคั้น เขายังจำความรู้สึกโกรธผิดหวังและเกลียดชังของเสิ่นจิ้งเฟยได้ ที่ว่าไม่ผิดคำสาบานนั่นเป็นเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่ตัวเขา เขาไม่ได้เป็นคนเอ่ยคำสาบาน ไม่คิดถอยกลับหรือ หึ เขาจะรอจังหวะเหมาะๆกระโดดหนีลงเรือต่างหาก เขาไม่คิดล่มจมไปกับหลิวอ๋อง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2019 01:03:28 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
   
 “เจ้าคิดเช่นนี้ได้ก็ดี…”หลิวอ๋องฉีกยิ้มที่แผ่ไม่ถึงดวงตา เขาคว้าข้อมือของจื่อฟางก่อนใช้มีดกรีดข้อมือของเด็กหนุ่มเบาๆ การกระทำเพียงเท่านี้ก็ทำให้เลือดไหลซิบ จื่อฟางขบกรามกลั้นอาการแสบเคืองที่ผิวหนัง ลู่เจียงเม้มปากยื่นมือเรียวบางมาลูบรอยแผลของเขา เด็กหนุ่มตัวสั่นวูบ

“ท่านอ๋องลืมไปแล้วหรือว่าผิวคุณชายเสิ่นบอบบางมาก”น้ำเสียงของนางเจือแววติติง

“หึ ข้าแค่อยากเตือนความจำเขา หากคิดทรยศจะเป็นดั่งเช่นกระต่ายตัวนั้น”เจี่ยซินล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปลายมีดด้วยสีหน้ารื่นรม ถึงจะทำเหมือนไม่ติดใจแต่เขาไม่คิดไว้ใจเสิ่นจิ้งเฟยอีก การที่ฮ่องเต้ไปโรงน้ำชาหลิวซื่อไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เขาตั้งใจแวะไปดูเสิ่นจิ้งเฟย หรือไม่ก็กำลังทำเรื่องบางอย่าง พักนี้ฝ่าบาทจับตามองบุรุษงามผู้นี้เป็นพิเศษ ช่างเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์และสิ้นเปลืองเวลายิ่งนัก เป็นถึงโอรสสวรรค์แต่กลับละเลยหน้าที่เพียงเพราะบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง…เขาเหยียดรอยยิ้มหยัน ช่างน่ารังเกียจเสียจริง คนเช่นนี้เหมาะสมครองบัลลังก์แล้วหรือ

“ข้าไม่คิดทรยศท่านอย่างแน่นอน” จื่อฟางกล่างด้วยเสียงหนักแน่นประหนึ่งว่าภักดีต่อท่านอ๋องยิ่ง ลู่เจียงเอนตัวมาซบเขาพร้อมกับรินสุราเพิ่มให้

“คุณชาย ไม่ได้แวะมานานทำให้ข้าคิดถึงยิ่งนัก”นางกระซิบใกล้หูเขาเบาๆ ฝามือเรียวข้างหนึ่งลูบแผ่นหลังของเขาเบาๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่แต่สัมผัสของนางไม่ใช่สัมผัสในเชิงชู้สาว เขาสบตาลู่เจียง แววตาของนางเข้มลึกเป็นประกาย

“องครักษ์มารายงานข้าว่าคราวก่อนเห็นเจ้าออกไปกับพี่ชายข้าเสียครึ่งค่อนวัน หรือเจ้าคิดเปลี่ยนใจอยากเป็นหนึ่งในชายงามของเขาแล้ว แต่ครั้งก่อนที่ข้าเอ่ยถึง เจ้าถึงกับโกรธไปสามวันสี่วัน”คำพูดของหลิวอ๋องทำให้จื่อฟางนิ่งงันไปชายงามหรือ อารมณ์ขุ่นเคืองไม่ทราบที่มาก่อตัวอยู่ในอก เหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่ากำลังถูกดูแคลนอยู่

“ข้าไม่ได้คิดอยากเป็น”สุ้มเสียงของเขาแฝงแววเย็นชาโดยไม่ตั้งใจ เมื่อรู้ตัวเขาจึงหลุบตามองรอยแผลยาวบนข้อมือ เลือดหยุดไหลแล้ว รอยแผลแดงก่ำราวกับผิวหนังของเสิ่นจิ้งเฟยปริแตก เขาใช้แขนเสื้อเช็ดเบาๆ ผิวบอบบางของเสิ่นจิ้งเฟยเป็นริ้วรอยเสียแล้ว

เจี่ยซินหัวเราะในลำคอ แบบนี้ค่อยสมเป็นเสิ่นจิ้งเฟย “ข้าพูดล้อเล่น หากท่านยอมเป็นชายบำเรอของเขาสิแปลก จงอย่าลืมว่าเขาเป็นคนวางยาปู่ของท่าน หวังลดทอนอำนาจสกุลเสิ่น…เสนาบดีเสิ่นมู่หยางควรได้รับตำแหน่งที่ดีกว่าเจ้ากรมพิธีการที่ไม่ได้มีปากเสียงใด ฝ่าบาทไม่อยากให้สกุลเสิ่นมีอำนาจมากเกินไป แต่ยามนี้สกุลหลี่กลับมีอำนาจในราชสำนักจนยากต่อกร หากไม่ใช่ความผิดของเขาแล้วจะเป็นของผู้ใด”

หลิวอ๋องพูดด้วยน้ำเสียงชิงชังอย่างปิดไม่มิด จื่อฟางได้ยินว่าฮ่องเต้เป็นคนวางยาเสิ่นฉินอี้ก็ได้แต่ตระหนกอยู่ในใจ ไม่คิดว่าการตายของท่านปู่ของเสิ่นจิ้งเฟยจะเป็นฝีมือของเจ้าแผ่นดิน ยิ่งทำให้เขานึกไปถึงประโยคในย่อหน้าสุดท้ายในบทความวิพากษ์ ‘ฮ่องเต้ตระบัดสัตย์ ไม่สมควรครองราชย์’ สองพี่น้องแซ่เจี่ยดูเป็นคนที่ไม่น่าทำร้ายผู้ใดได้…แต่มนุษย์เราตัดสินกันเพียงรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้จริงๆ

“เสิ่นจิ้งเฟย…ข้าสงสารเจ้านัก คิดดูเถิดปู่เจ้าทุ่มเทให้เขามากมาย แต่กลับถูกฆ่าทิ้งเช่นนี้ ไม่ยุติธรรม สวรรค์ไม่ยุติธรรม…เจ้าเห็นด้วยกับข้าที่เขาไม่สมควรครองราชย์ คนน่ารังเกียจเช่นนั้นไม่เหมาะเป็นฮ่องเต้…”หลิวอ๋องพึมพำคล้ายกับคนเมาสุรา จื่อฟางมองท่านอ๋องตรงหน้าทั้งหวาดกลัวและเวทนาไปพร้อม ๆกัน บุรุษผู้นี้เป็นคนเก็บกดจิตใจกระด้างเย็นชา ที่ผ่านมาคงผ่านเรื่องราวมามาก แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด กบฏก็คือกบฏต่อให้มีเหตุผลดูดีร้อยแปดมาแก้ตัว ความหมายก็ไม่เปลี่ยน ท่านอยากได้บัลลักก์ของผู้อื่น อยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตน ไม่มีกบฏคนไหนไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ หากวันใดหลิวอ๋องได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ชีวิตของเสิ่นจิ้งเฟยยังจะปลอดภัยอยู่อีกหรือ เจ้าบ้านี่มีหัวคิดบ้างหรือไม่!

เจี่ยซินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้ตัวว่าเสียกิริยาไปชั่วขณะ เขาจึงยกจอกเหล้าดื่มจนหมด ปรายตามองเสิ่นจิ้งเฟยกับหญิงคณิกา

“เรื่องอาสือก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดของเจ้าเสียทีเดียว จริงอยู่ที่ข้าเสียดาย แต่ข้าคิดไว้แล้วว่าสักวันต้องมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ขุนนางที่มีคำสั่งให้จับตัวเขาก็เป็นคนของฮ่องเต้ ข้าจึงให้เขาพกยาพิษติดตัวเสมอ หากทำพลาดเมื่อใดก็จบชีวิตลงเมื่อนั้น”บุรุษตรงหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาขัดกับใบหน้าอ่อนโยน ทำให้จื่อฟางไม่สบายใจนัก ราวกับได้อยู่กับฆาตกร ถ้าหากวันใดหลิวอ๋องคิดทำกับเขาเช่นนี้บ้างเล่า…

“ท่านรอบคอบยิ่งนัก”เขาได้แต่เสริมเบาๆ

“สิ่งที่ข้าเขียนในจดหมายข้าเพียงแค่อยากย้ำเตือนเท่านั้น เจ้าถือเป็นพี่น้องของข้า…ข้าไม่อยากผิดหวัง”เจี่ยซินเอ่ยตามตรง เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายลืมคำพูด

“ข้าเข้าใจ”จื่อฟางตอบ ย้ำเตือนกับผีน่ะสิ เป็นการข่มขู่ชัดๆ

“ระยะนี้ดูเจ้าจะสนิทสนมกับบุตรชายสกุลไป๋เป็นพิเศษ…ข้ารู้สึกว่าเขาแปลกๆ เจ้าช่วยจับตาดูให้ข้าที สืบให้รู้ว่าสกุลไป๋มีเรื่องใดปกปิด แล้วมารายงานให้ข้ารู้ ทิ้งจดหมายไว้ที่ร้านเถ้าแก่จางเช่นเดิม แต่ช่วงนี้เจ้าต้องระวัง พวกสุนัขของฮ่องเต้เริ่มออกมาเพ่นพ่านกันยั้วเยี้ย”เจี่ยซินออกคำสั่ง จับจ้องเสิ่นจิ้งเฟยที่ยังคงทำหน้านิ่งก็ยกยิ้มมุมปาก เจ้าเด็กนี่พยายามทำสุขุมอยู่หรือ รอจนเจ้าหมดประโยชน์…ข้าจะโละหมากทิ้ง

“ได้ข้าจะพยายาม”จื่อฟางรับคำ แต่ในหัวสับสนวุ่นวาย จับตามองไป๋ผูอวี้ให้เขาเป็นสายลับสองหน้าเนี่ยนะหรือ เถ้าแก่จาง…จากนี้ต้องสืบหาด่วน

“ข้าไม่อยากได้ยินคำว่าพยายาม”หลิวอ๋องมองอีกร่างด้วยสายตาคมปราบ

“ข้าจะทำสุดความสามารถ”จื่อฟางเปลี่ยนคำพูด

“ดี”อีกฝ่ายมีท่าทีพอใจ เขาไม่ได้ดื่มสุราอีกเพราะกลัวจะขาดสติ ลู่เจียงนั่งอิงแอบอยู่ด้านข้างคีบเนื้อไก่มาให้ เขาจำต้องยอมให้นางป้อน จากนั้นก็เคี้ยวไก่อย่างไร้รสชาติ

“ผู้คนในท้องตลาดพูดกันให้แซ่ดว่าเจ้าเรียนหนังสือ เจ้าเบื่อไม่อยากแสร้งโง่ให้คนดูถูกแล้วหรือ”

“ข้าแค่สอบระดับอำเภอให้ท่านพ่อวางใจเท่านั้น”เขาเอ่ยตอบ หลิวอ๋องแค่นเสียงในลำคอแต่ไม่พูดสิ่งใดอีก หลิวอ๋องรั้งอยู่ไม่นานก็หยิบหมวกสานมาสวม ก่อนจากไปทางหน้าต่าง เขาทิ้งถ้อยคำไว้ว่า

“ข้าไม่อยากใจดำทำร้ายกระต่ายที่น่าสงสาร…จงระลึกอยู่เสมอว่าทำงานให้ข้า”กระต่ายที่น่าสงสารของหลิวอ๋องดูเหมือนจะหมายถึงตัวเขา เงาร่างของหลิวอ๋องจากไปแล้ว เขาก็ลอบผ่อนลมหายใจ ปรายตามองหญิงงามข้างตัว สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวทันที นางขยับเข้ามากระซิบเบาๆ

“คุณชายเสิ่น ท่านจะทำเช่นนี้ไปถึงเมื่อใด ข้า…หวาดกลัวนัก ท่านคิดหรือว่าเขาจะไว้ชีวิตท่าน ไหนท่านเคยบอกไว้ว่าจะพาข้าหนีออกไปจากที่นี่อย่างไร”ลู่เจียงน้ำตาคลอหน่วย นางไม่อยากเจอกับหลิวอ๋อง นางไม่อยากเป็นกบฏแต่เสิ่นจิ้งเฟยเกลี้ยกล่อมนางว่าหากยอมช่วยจะพานางออกจากหอผูเยว่ นางจึงตกลงรับปาก แต่เมื่อสองเดือนก่อนคุณชายกลับหายหน้าหายตาทิ้งให้นางกังวลใจแทบแย่

“คือ…”จื่อฟางกระอักกระอ่วนใจมาก เสิ่นจิ้งเฟยสร้างเรื่องมาให้ตนคลี่คลายชัดๆ

“หรือท่านลืมคำพูดแล้ว!”นางถลึงตาโตใส่

“ข้าไม่ลืมแต่เวลานี้ยังไม่เหมาะ หากมีจังหวะเมื่อไรข้าจะช่วยเจ้าแน่นอน”เขาได้แต่กล่าวตามน้ำ สถานการณ์ในยามนี้เขาจะไปช่วยใครได้ นางมีสีหน้าอ่อนลง คว้าข้อมือของจื่อฟางไปดูสีหน้าเคียดแค้น

“ข้าไม่เข้าใจว่าท่านร่วมมือกับเขาได้อย่างไร”นางพึมพำ คำถามนี้เขาก็อยากถามเสิ่นจิ้งเฟยเช่นกัน

“ข้าเกรงว่าอยู่นานไม่ได้”เด็กหนุ่มเกริ่น ลู่เจียงถอนหายใจ นางเข้าใจคุณชายเสิ่น ความสัมพันธ์ของนางกับคนผู้นี้ไม่เรียกว่าเชิงชู้สาว จริงอยู่ที่นางเคยถูกเรียกใช้แต่ก็แค่ไม่กี่ครั้ง คุณชายเสิ่นเปรียบเสมือนผู้มีพระคุณของนาง ลู่เจียงถึงได้ยอมตกปากเข้าร่วมกับหลิวอ๋อง

“ข้าขอบคุณคุณชายมากที่คอยช่วยเหลือข้ามาตลอด ท่านระวังตัวด้วย หากมีเวลาก็แวะมาพูดคุยกับข้าบ้าง”ลู่เจียงเอ่ยเสียงเบาก่อนยอบกายออกจากห้อง เมื่อจื่อฟางได้อยู่เพียงลำพังก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก กุมข้อมือที่เป็นรอยแดงก่ำ หลิวอ๋องเจี่ยซินคนดีของจางต้าก็เป็นแค่คนที่ได้บัลลังก์ผู้อื่นเท่านั้นเอง

“เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าไปรับปากผู้อื่นทั้งที่ไม่คิดทำได้อย่างไร”เขาพึมพำกับตัวเอง ด้วยนิสัยของเสิ่นจิ้งเฟย ไม่มีทางที่จะช่วยให้ลู่เจียงหนีรอดได้แน่ เด็กหนุ่มรอจนร่างกายคลายจากความตึงเครียดก็ออกมาจากห้องรับรอง แต่ไม่พบหยางชวีเฝ้าอยู่หน้าห้อง ได้แต่กวาดสายตามองอย่างงุนงง เจ้าคนหน้าตายหายไปที่ใดแล้ว แต่เขาไม่คิดรอ จื่อฟางอยากกลับจวน นอนหลับแล้วไม่ต้องตื่นมาพบกับเรื่องเสี่ยงตายอีก เขาคิดถึงบ้าน คิดถึงห้องเช่าแคบ ๆ ป่านนี้พ่อแม่ของเขาจะเป็นเช่นไร?ตัวเขาเล่า ตายหรือยังหรือเสิ่นจิ้งเฟยอยู่ในร่างของเขา เป็นคำถามที่คิดให้ตายก็คงไม่ได้คำตอบ

จื่อฟางเดินออกมาจากหอผูเยว่ แม่เล้าเถาฮวาไม่ได้เข้ามาออเซาะเอาใจ เพียงมองเขาด้วยสายตาพราวระยับเท่านั้น เขาได้แต่คิดสงสัยว่านางรู้เรื่องหรือไม่ หรือเป็นคนของหลิวอ๋อง คนของท่านอ๋องมีมากเท่าใด แต่หากจะก่อกบฏจริงก็คงมีกำลังมากพอสมควร จื่อฟางพกเอาความกังวลออกมาด้วย เมื่ออกมาพ้นกรอบประตูหอผูเยว่ก็พบรถม้าคันเดิมจอดรออยู่ คนขับรถม้าส่งยิ้มมาให้ จะว่าไปเห็นหน้าก็หลายครั้งแต่เขายังไม่รู้ชื่อแซ่คนผู้นี้เลย จื่อฟางเข้าไปนั่งในรถม้า แต่ไม่คิดว่าจะมีคนอยู่ด้านในจึงส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ

“ข้าเอง”ไป๋ผูอวี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ร่างบางมีสีหน้าโล่งอก เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็รีบเข้ามานั่งใกล้ๆไหล่เบียดแนบชิดจนสัมผัสได้ถึงไอร้อน ร่างนั้นพึมพำอะไรบางอย่างที่เขาได้ยินไม่ค่อยถนัดนัก แต่บุรุษหนุ่มสัมผัสได้ชัดเจนว่าคุณชายเสิ่นมีอาการเครียดเกร็ง จึงยกมือลูบแผ่นหลังผอมบางของอีกฝ่ายเบา ๆ กลิ่นสุราจางลอยเข้าจมูก ไป๋ผูอวี้มุ่นคิ้วเมื่อได้กลิ่นหอมของเครื่องแต่งหน้ากลิ่นแรงของหญิงสาวติดมาด้วย แม้ว่าพบกับหลิวอ๋องคุณชายเสิ่นก็ยังมีเวลาหาความสุขที่หอผูเยว่ได้ เขาคงกังวลมากไปเอง

“ข้าตกใจหมด เจ้าเข้ามาได้อย่างไร”จื่อฟางเอ่ยถามอย่างสงสัย ไม่คิดว่าคนขับรถม้าของสกุลเสิ่นจะยอมให้คนแปลกหน้าเข้ามานั่งด้านใน   

“ข้ามีวิธีพูดกับคนของท่านก็แล้วกัน”สุ้มเสียงของอีกฝ่ายเจือความเรียบเฉยทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจ จึงเงยหน้ามอง ไป๋ผูอวี้ทอดสายตามองออกไปนอกรถ รถม้ายังคงไม่ขยับเขยื้อนราวกับรอคำสั่งอยู่

“เจ้าเป็นอะไร”เขาขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ เมื่อครู่ตอนที่อีกฝ่ายเห็นหน้าตนก็ยังมีรอยยิ้มอยู่เลย

“เปล่า…”จื่อฟางเลิกคิ้วด้วยความไม่เชื่อ ไป๋ผูอวี้หันมองเขาก่อนกล่าวช้าๆ

“ข้าแค่คิดว่าท่านดีนัก เจอเรื่องคอขาดบาดตายก็ยังมีเวลาเสพความสุขได้…”ได้ยินที่อีกฝ่ายกล่าวก็ต้องใช้เวลาอยู่สักพักถึงจะรับรู้ว่าคนผู้นี้หมายถึงอะไร ไป๋ผูอวี้คิดว่าเขาเรียกหญิงคณิกามาปรนนิบัติหรือ? คนผู้นี้ไปเอาความคิดมาจากไหน

“ข้าไม่ได้เสพความสุขใดทั้งสิ้น เจอกับหลิวอ๋องข้าจะมีอารมณ์ได้อย่างไร”เขาอาจพูดตรงเกินไปเพราะเจ้าของร่างสูงใหญ่จ้องเขาตาเขม็งด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง

“ข้าได้กลิ่นเครื่องแต่งหน้า…”จื่อฟางพลันเข้าใจกระจ่างแจ้งจึงหัวเราะออกมาเบาๆ

“เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าไม่ได้ทำอะไรเช่นนั้น สหายของข้านั่งใกล้ไปสักหน่อย กลิ่นถึงได้ติดเสื้อผ้า”เด็กหนุ่มก้มดมเสื้อผ้าตัวเอง แต่ก็ไม่ได้กลิ่นใด ไป๋ผูอวี้จมูกดีเกินไปแล้ว บุรุษหนุ่มได้ฟังเสิ่นจิ้งเฟยบอกก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เคาะรถม้าเบาๆเพื่อส่งสัญญาณให้คนขับรู้ รถม้าจึงค่อยๆเคลื่อนไปยังทิศตรงกันข้ามของจวนสกุลเสิ่น

“เจ้าจะไปที่ใด หยางชวียังไม่โผล่หน้ามาเลย”คุณชายเสิ่นทำสีหน้าตกใจเหมือนกระต่ายตื่นคน

“ข้าให้ซูเหลียนฮวาไปถ่วงเวลาเขา ท่านไม่ต้องห่วงเดี๋ยวเขาก็กลับจวนสกุลเสิ่น”ไป๋ผูอวี้เอ่ยบอกราวกับไม่ใช่เรื่องของตน ผิดกับจื่อฟางที่อยากรู้อยากเห็นเรื่องของผู้อื่น

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร หยางชวีอยู่กับซูเหลียนฮวา ความสัมพันธ์ของสองคนนั่นเป็นเช่นไรกันแน่”เขาถามอย่างสนใจ ไม่ใช่ว่านางชอบเสิ่นจิ้งเฟยหรอกหรือ 

“ค่อนข้างซับซ้อน เป็นสหายที่เป็นศัตรูกัน”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเรียบ ๆ เขาได้แต่เลิกคิ้วสงสัย แต่ช่างเถอะ ตราบใดที่ไม่เกิดเรื่องกับคนหน้าตายก็ดีแล้ว

“เจ้าจะพาข้าไปที่ใด”เด็กหนุ่มซักเมื่อยังไม่ได้คำตอบจากอีกฝ่าย เขามองออกไปนอกหน้าต่าง เวลานี้คงเป็นช่วงยามไห่( 21.00 - 22.59 )ฟ้าเริ่มมืดจนเห็นแสงดาวสุกสกาวบนฟากฟ้า

“นั่งรถชมวิว”คำตอบของไป๋ผูอวี้ทำให้เขาเหลียวมอง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า

“เวลานี้น่ะรึ เจ้าไปกินสิ่งใดผิดสำแดงมาใช่หรือไม่ ถึงได้ทำตัวแปลกเช่นนี้”เขาไม่ได้ตั้งใจเอ่ยกวนประสาท แต่ไป๋ผูอวี้ทำตัวแปลกจริง ๆ หรือหลงเสน่ห์ร่างนี้เข้าแล้ว บุรุษอีกคนไม่ตอบคำเพียงนั่งเงียบๆ ย้อนนึกไปถึงคำพูดของเว่ยหลงตอนที่ตนบอกว่าจะออกไปข้างนอกสักพักถึงแม้จะไม่ได้บอกว่าไปที่ใดแต่ผู้ติดตามกลับล่วงรู้ความคิดของเขา

ไป๋ผูอวี้เป็นห่วงเสิ่นจิ้งเฟย

‘คุณชายไป๋ ท่านเป็นห่วงเจ้าเต่านั่นถึงเพียงนี้ ท่านว่าไม่แปลกหรือ’เว่ยหลงถาม

‘…เขาเป็นสหายข้า’

‘ฮ่าๆ คุณชาย ท่านหาเหตุผลที่ดีกว่านี้หน่อยเถอะ สหายอะไรกัน เขาเป็นสหายของท่านตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าเพียงอยากให้ท่านระมัดระวังสักเล็กน้อย อย่าให้ความงามของเสิ่นจิ้งเฟยมาล่อลวงท่านได้’

เว่ยหลงพูดจาเหลวไหล เขาพึงระวังคุณชายท่านนี้ไว้เสมอ และเขารู้ตัวดีว่าไม่ได้ถูกล่อลวง ไป๋ผูอวี้หันมองคุณชายเสิ่นที่มีสีหน้าเซื่องซึม หลับตาเอนตัวพิงผนังรถม้า

“ท่านง่วงแล้วหรือ”

“อืม พอได้เจอเจ้า ข้าก็สบายใจมากจนอยากหลับ”จื่อฟางพึมพำตอบ ลืมตามองบุรุษอีกคน นึกถึงเรื่องที่หลิวอ๋องอยากให้จับตาดูไป๋ผูอวี้ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ คนผู้นี้ไม่ได้เอ่ยถามว่าเขาคุยอะไรกับหลิวอ๋องเพียงแค่พาเขานั่งรถม้าไปเรื่อย ๆเหมือนรู้ว่าเขามีเรื่องกลุ้มใจ จื่อฟางไม่อยากเป็นสายสืบให้ท่านอ๋อง

“ไยต้องทำสีหน้าเช่นนั้น”สีหน้าหมองหม่นของคุณชายเสิ่นไม่น่ามองนัก เขาไม่อยากเห็นเท่าใด เพราะมักทำให้จิตใจที่ตั้งมั่นของตนสั่นคลอน

“ข้ามีเรื่องกังวลเต็มหัว”

“ท่านเลือกร่วมมือกับอ๋องสามเอง”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงเรียบ

“เจ้าจะเปิดโปงข้าไหม”จื่อฟางกลับมานั่งตัวตรง นวดขมับที่กำลังเต้นตุบๆ นึกสงสัยว่าหากเป็นเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริง เจ้านั่นจะทำสิ่งใดต่อ เขาได้หาทางหนีทีไล่ของตนไว้หรือยัง

“หากข้าจะทำก็คงลงมือไปนานแล้ว”ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจ ในรถม้าจึงตกอยู่ในความเงียบสักพักจนเมื่อรถแล่นโขยกเขยกมาถึงตรอกซีหมาน จอดอยู่ที่ริมสะพานก่ออิฐใกล้กับร้านเครื่องดนตรีเถ้าแก่เถียน จื่อฟางมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงจันทร์สะท้อนอยู่ในแม่น้ำสายเล็กๆ ไป๋ผูอวี้ลงจากรถม้าก่อนหันมามองเขา

“ลงมา”

“ตอนนี้ข้าเหนื่อย”จื่อฟางโอดครวญเบาๆ แต่ไป๋ผูอวี้ยังคงยื่นมือไปให้คุณชายตรงหน้าที่แสดงอาการเหมือนทารกอยากเข้านอนแต่หัววัน เขาไม่อยากรู้เรื่องหลิวอ๋อง ที่พาเสิ่นจิ้งเฟยออกมาก็เพราะเป็นห่วงต้องการให้คุณชายท่านนี้ผ่อนคลายความตึงเครียด 

“ก็ได้”จื่อฟางจับมือที่ชายร่างสูงใหญ่ยื่นมาให้ก่อนกระโดดลงจากรถม้า สายลมพัดเอากลิ่นชาหอมอ่อนจางของไป๋ผูอวี้มาด้วย เขาเงยหน้ามองท้องฟ้ากระจ่างมองเห็นดวงจันทน์กลมโตได้ชัดเจน ร่างตรงหน้าเดินนำเขาไปที่สะพานช้า ๆ บรรยากาศเงียบสงบ ผู้คนบางตา จื่อฟางไม่ได้มาแถวนี้นานก็พบว่าในบ่อน้ำมีดอกบัวขึ้นแล้ว เด็กหนุ่มเหลียวมองคนขับรถม้า เห็นว่าฝ่ายนั้นยืนอยู่ในมุมมืดคล้ายกับไม่รู้ไม่เห็นเรื่องใดทั้งสิ้น

“เขาคิดว่าข้าเป็นคนรักของท่าน จึงปล่อยให้ลอบมาพบกัน”ไป๋ผูอวี้เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงขบขันเมื่อเห็นว่าคุณชายเสิ่นคาใจ

“ท่านไม่คิดปฏิเสธ?”จื่อฟางเลิกคิ้วถาม ชายตรงหน้าเพียงไหวไหล่

“อย่างน้อยข้าก็ได้มาพบท่าน”

“ฟังเหมือนข้ากับเจ้าเป็นคู่รักกันจริง ๆ เจ้าว่าไหม”ร่างบางยกยิ้ม อีกฝ่ายเพียงแค่นเสียงในลำคอเบาๆ

จื่อฟางมองใบหน้าของไป๋ผูอวี้ก่อนตัดสินใจเอ่ย “ข้ามีเรื่องอยากบอกเจ้า”

“อืม”

“หลิวอ๋องเห็นว่าพักนี้ข้าสนิทกับเจ้า เขาจึงอยากให้ข้าคอยสืบเรื่องของสกุลไป๋…”เอ่ยจบ ก็เกิดความเงียบระลอกใหญ่ มีเพียงสายลมที่พัดมาต้องหน้าบางเบา

“เหตุใดถึงบอกข้า”ไป๋ผูอวี้มองคุณชายเสิ่นด้วยแววตานิ่งลึก คุณชายรูปงามตรงหน้าก้าวมาใกล้พร้อมกับคว้ามือของเขาไปจับ ฝามืออ่อนนุ่มของเสิ่นจิ้งเฟยชื้นเหงื่อเล็กน้อย

จื่อฟางจ้องมองอีกฝ่าย เอ่ยเสียงหนักแน่นมั่นคง “ข้าบริสุทธิ์ใจ ข้าไม่ต้องการสืบเรื่องของเจ้าให้หลิวอ๋อง” เขาไม่อยากถูกไป๋ผูอวี้ระแวง

“แต่ท่านก็ต้องทำตามคำสั่งของเขาอยู่ดี”ไป๋ผูอวี้ยิ้มจาง กวาดมองใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยที่ยามนี้เผยแววอ่อนล้าชัดเจน บุรุษหนุ่มต้องกำมือเพื่อหักห้ามไม่ให้ยกมือเกลี่ยข้างแก้มของร่างตรงหน้า 

“เอาเถอะ ท่านไม่ต้องกังวล”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสริม ตบหลังมือของอีกฝ่าย คิดไว้แล้วว่าหลิวอ๋องต้องใช้วิธีเช่นนี้   

“ข้าไม่ได้อยากผูกมิตรกับเจ้าเพราะอยากสอดแนม”จื่อฟางนึกได้จึงเอ่ยออกมา สบตามองไป๋ผูอวี้ ไม่อยากให้คนผู้นี้คิดระแวงสงสัยตน ไป๋ผูอวี้ไม่ได้เอ่ยตอบ แต่มองเห็นดวงตาคู่งามที่เคยมีชีวิตชีวาเป็นประกายวูบไหว ในใจของบุรุษหนุ่มก็รู้สึกเหมือนถูกคลื่นซัดโถม   

จื่อฟางมองเห็นไป๋ผูอวี้ที่ปกติมักตีหน้าสุขุมนุ่มลึกมีอาการที่เหมือนทำตัวไม่ถูกก็หยักยิ้ม คิดว่าควรหยอกไป๋ผูอวี้สักเล็กน้อยจึงนำฝามือของร่างสูงตรงหน้ามาแตะที่บริเวณอกซ้าย

“ข้ารู้ว่ามันอาจฟังดูประหลาด แต่ข้าอยู่กับเจ้าแล้วรู้สึกปลอดภัยยิ่งนัก ”จื่อฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังแม้ท่าทีจะคล้ายกับหยอกล้อแต่ประกายในแววตามิใช่เช่นนั้น เวลานี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะเล่นลูกไม้ใด ไป๋ผูอวี้ยืนมองคุณชายตรงหน้าอยู่เนิ่นนาน ความรู้สึกปนเปอยู่ในอก เป็นความรู้สึกที่คอยรบกวนเขาเหมือนมีกรงเล็บที่มองไม่เห็นมาข่วนหัวใจ คงเป็นเพราะแสงจันทร์หรือบรรยากาศเงียบสงบที่ทำให้บุรุษเช่นไป๋ผูอวี้หักห้ามใจตนเองไม่ได้ยกฝามือหนาอีกข้างลูบแก้มของร่างบางอย่างเบามือ 

“คุณชายเสิ่นกำลังสารภาพความในใจกับข้าอยู่กระมัง”น้ำเสียงรื่นหูของบุรุษหนุ่มทำให้หัวใจเต้นแรงอย่างไม่ได้เรื่อง จื่อฟางยังคงกุมมือของไป๋ผูอวี้ไว้ ร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมสีขาวกระจ่างตาสืบเท้าประชิดใกล้จนระยะห่างเหลือเพียงช่วงสั้นๆ

“ข้าแค่แสดงความจริงใจ”เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม ปล่อยมือของอีกฝ่าย โน้มตัวเอาหน้าผากอิงแผ่นอกแกร่งของไป๋ผูอวี้กลิ่นอายของคนผู้นี้ชวนให้จิตใจสงบ

“ข้าไม่รู้ว่าควรรู้สึกเช่นไร”ไป๋ผูอวี้กล่าวช้า ๆ แม้จะรับรู้ว่าในอกเต้นไม่เป็นจังหวะเดิม บุรุษหนุ่มเลือกปัดความคิดกวนใจทิ้ง

“ข้ากำลังสืบเรื่องการก่อกบฏของหลิวอ๋อง เป็นเพราะทำงานให้กับคนผู้หนึ่ง ข้าบอกได้เพียงเท่านี้”

จื่อฟางมุ่นคิ้ว ไม่เข้าใจสกุลไป๋นัก ไหนบอกว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับอำนาจอย่างไร “ฮ่องเต้หรือ”

“ไม่เชิง”ไป๋ผูอวี้ตอบ ร่างบางไม่คิดถามต่อ แต่ก็สังหรณ์ใจไม่ดีรู้สึกไม่อยากให้อีกฝ่ายข้องเกี่ยวกับฮ่องเต้เจี่ยผิง   

“ข้อมือท่านไปโดนอะไรมา”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามเสียงเข้ม เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็น เจ้าตัวคว้าข้อมือของเขาไปดู ถกแขนเสื้อจนมองเห็นรอยแผลที่ถูกกรีดเป็นทางยาว

“ฝีมือหลิวอ๋อง ไม่เจ็บหรอก”ตอนนี้เขาไม่รู้สึกอะไรแล้วแค่ตึงๆแผลเล็กน้อย ไป๋ผูอวี้ลากนิ้วมือไปตามรอยกรีดเบาๆ จนจื่อฟางร้อนวูบไปทั้งร่าง บุรุษหนุ่มมองรอยแผลของเขา ช้อนสายตามองด้วยดวงตาล้ำลึกที่แปลไม่ออก ไม่รู้ว่าสิ่งใดดลใจทำให้ไป๋ผูอวี้จรดริมฝีปากลงมาบนบาดแผลของเขา

“เจ้าทำอะไร”จื่อฟางมองตาโต หน้าร้อนวูบ บาดแผลสกปรกเช่นนี้ยังกล้าทำเหมือนในนิยายอีก 

“ท่านแม่เคยทำให้ข้าตอนเด็ก ๆ”ไป๋ผูอวี้ตอบเสียงนุ่ม รอยยิ้มปรากฏอยู่บนริมฝีปาก จื่อฟางพูดไม่ออกได้แต่มองหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย ร่างสูงตรงหน้ายังคงจับข้อมือของเขาหลวมๆ บรรยากาศเช่นนี้…ปกติจะต้องโน้มตัวมาจุมพิตหวานซึ้งแล้ว เจ้ามัวรอช้าอะไรอยู่

บุรุษหนุ่มมองเห็นสายตาที่คล้ายกับรอคอยของเสิ่นจิ้งเฟยก็รู้สึกปั่นป่วนอยู่ในอก เขาแน่ใจว่าตนไม่ได้ชมชอบบุรุษ แต่ว่าคลื่นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคนผู้นี้ คุณชายเสิ่นที่คล้ายกลับเป็นคนใหม่ ไป๋ผูอวี้ปัดความคิดที่วิ่งวุ่นอยู่ในหัวออกไป ตัดสินใจก้มแตะริมฝีปากลงบนหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

“ข้าจะไปส่งท่านที่จวน”กล่าวจบก็หมุนกายกลับไปที่รถม้า ชายเสื้อคลุมไหวเล็กน้อย   

จื่อฟางหยักยิ้ม เท่านี้ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี แต่…คนอย่างท่อนไม้ไป๋คงจูบเป็นอยู่แล้วกระมัง   



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2019 05:06:00 โดย DuenTwinBII »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
หายไวไวนะคะ ขอให้สุขภาพแข็งแรงค่
นุ้งไป๋ของแม่รุกเข้าไป 5555 
ทีนี้ปริษนาก้อชัดเจนขึ้นมากเลย ความเกลียดเพิ่งปรากฏออกมาพร้อมกันกับความลับ ได้แต่หวังว่าพระนายของเราจะอยู่รอดปลอดภัยนะคะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เครียดไม่แพ้จื่อฟางเลยค่ะ ทำไมปัญหามันเยอะขนาดนี้ แต่ดีใจที่มีฉากสวีทเล็กน้อยให้รู้สึกอบอุ่น คุณคนเขียนรักษาสุขภาพด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับนิยายตอนใหม่ค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
เนื้อเรื่องเข้มข้นขึ้นทุกที

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
ขอให้สุขภาพแข็งแรงโดยเร็วนะคะ
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เก็บคำตอบไปทีละตอน
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
ฮือออ คิดถึงจื่อฟางมากกกก คนเขียนหายไวๆนะ คิดถึงเหมือนกัน ขอให้เรื่องคลี่คลายไปในทางที่ดีด้วยเถอะ ขอให้เฟยเอ๋อไม่กลับมากลัวจื่อฟางไม่มีที่ยืน...

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ขอให้หายป่วยไวไวนะคะไรท์

ออฟไลน์ ปาปริก้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ jaja-jj

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-3
เข้มข้นมาก เรื่องดีมาก หายป่วยไวๆนะคะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เรื่องราวซับซ้อนซ่อนเงื่อนหลายปมเหลือเกิน  :hao4:

ออฟไลน์ naplatoo

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
เข้ามาอ่านตอนแรก ไม่คิดว่าเนือหาจะเข้มข้น และมาไกลถึงขนาดนี้
สนุกมากค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ

//แอบอยากรุ้ความทรงจำของเสิ้นจิ้งเฟย รอติดามๆ

ออฟไลน์ Toxic

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พระเอกของเรา รู้เดียงสารึไม่?  :oo1: :z1:

ออฟไลน์ →Yakuza★

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-0
เราชอบเรื่องนี้มาก เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ :L2:

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
ยิ่งอ่านยิ่งซับซ้อนไปเรื่อย ลุ้นกันต่อไปจ้า
ขอให้หายไวไวนะค่ะ
 :L2: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ Sistel2

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอ๊ย กรี๊ดดดดด ฟินเฟ่อร์  :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
โอ้ยยยยย เครียดแทนจื่อฟางงง

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
เงื่อนงำเยอะอ่ะ จะผ่านพ้นไปได้ไหมหนอ :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ไรท์ ป่วยเพราะเป็นหวัดแน่เลย เพราะป่วยเหมือนกัน 
ขอให้สุขภาพแข็งแรงไวๆนะ   :mew1: :mew1: :mew1:

เนื้อเรื่องเข้มข้น
ตัวร้ายออกมาแล้ว

ที่สำคัญ จิ้งเฟยได้ใจไป๋ผูอวี้แล้ว  :z3: :z3: :z3:
มีจุ๊บรอยกรีดข้อมือ จุ๊บหน้าผากด้วย  :hao5: :sad4: :heaven
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2018 05:12:26 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด