บทสิบ: ข่มขู่
เสียงตีกลองบอกเวลายามเหม่า ดังขึ้นฟ้ายังไม่สว่างดีนัก แต่จื่อฟางถูกหยางชวีปลุกให้ลุกจากเตียงด้วยสภาพสะลึมสะลือ เขาลุกมาบ้วนปากล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น พบว่าจางต้ากำลังเคี่ยวยาสมุนไพรอยู่ที่มุมห้องด้วยท่าทางขันแข็ง จื่อฟางสวมเสื้อคลุมทับเสื้อผ้าไหมตัวบางเดินตามหยางชวีออกไปนอกเรือน อากาศเย็นยามเช้าไล่อาการง่วงงุ่นได้ดีนัก
“เจ้าจะให้ข้าทำอะไร”เขาถามระหว่างที่คนตรงหน้านำเขาออกมาที่ลานบ้าน สายลมพัดเอื่อยๆทำให้ใบหลิวส่ายไหวน้อยๆ
“ออกกำลังสักเล็กน้อยจะช่วยกระตุ้นร่างกายของคุณชาย...”หยางชวีร่ายสารพัดประโยชน์ของการออกกำลังให้เขาฟัง หมอนี่ว่าอย่างไรเขาก็ทำตามนั้น การออกกำลังที่ว่าคล้ายกับการรำไทเก็ก หยางชวีให้เขาฝึกเพียงสามท่า แต่ไม่คิดว่าเท่านี้ก็ทำให้เขาเหนื่อยหอบแล้ว ร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยบอบบางจริง ๆ บ่าวไพร่ในเรือนต่างก็มองคุณชายเสิ่นด้วยสายตาแปลกใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นคุณชายตื่นแต่ฟ้ายังไม่สาง ทั้งยังฝึกกำลังกับหยางชวีอีก สาวใช้ลู่เฟยแอบมาเมียงมองอยู่หลายคราแต่ก็โดนพ่อบ้านสุ่ยไล่กลับไปทำหน้าที่ของตน
“พอก่อนได้หรือไม่”ถึงปากจะเอ่ยถามแต่เขาไม่รอฟังคำตอบนั่งพักที่ม้านั่งใต้ร่มไม้ทันที หยางชวีรอจนคุณชายเสิ่นหายใจเป็นปกติจึงค่อยช่วยเดินลมปราณ ครั้งนี้จื่อฟางรู้สึกสั่นสะท้านน้อยกว่าคราวก่อน ใจนึกไปถึงบทความวิพากษ์ฮ่องเต้ของเสิ่นจิ้งเฟย เรื่องของอ๋องสามและคำพูดของไป๋ผูอวี้เมื่อคืน ก็ต้องดูว่าท่านมีค่าพอให้เขาเล่นงานหรือไม่ หรือว่าเสิ่นจิ้งเฟยเกี่ยวข้องกับอ๋องสามผู้นั้นจริง ๆ? แล้วอ๋องที่ว่ามีประวัติความเป็นมาเช่นไร เหตุใดเสิ่นจิ้งเฟยถึงไปรู้จักมักจีได้
“คุณชายไม่ได้ยินที่ข้าถามหรือ”เสียงของหยางชวีทำให้จื่อฟางกลับมามีสติ เขากระพริบตาเพิ่งรู้สึกตัวว่าชายหนุ่มเดินลมปราณให้เสร็จแล้ว
“เจ้าว่าอะไรนะ”เขาถามซ้ำ หยางชวีเดินอ้อมมาอยู่ตรงหน้า
“คุณชายสิ่งที่ท่านควรรู้หากคิดจะฝึกวิชาลมปราณคือสมาธิและจิตตั้งมั่น หากคุณชายไม่พร้อมข้าก็ไม่อยากเร่งรีบ กลัวว่าร่างกายของท่านจะรับไม่ไหว”หยางชวีกล่าวด้วยน้ำเสียงติติง
“ข้าแค่คิดฟุ้งซ่านมากไปหน่อย เจ้าว่าอะไรพูดมาอีกทีซิ”จื่อฟางถามอีกรอบ
“ข้าบอกว่าท่านควรพักผ่อนให้เพียงพอ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะให้ท่านออกกำลังตอนเช้าทุกวันเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง บางทีข้าควรให้ท่านนั่งสมาธิเพิ่มด้วย คุณชายจะได้ไม่กลายเป็นคนสมาธิสั้นไปเสีย”คนสมาธิสั้น จื่อฟางมุ่นคิ้ว เจ้านี่กล้าพูดเช่นนี้กับเขาแล้วหรือ แต่ก่อนไม่ได้เป็นคนแบบนี้เสียหน่อย
“เจ้าดูเปลี่ยนไปจากตอนที่มารับใช้ข้าวันแรกนะหยางชวี”เขายิ้ม แต่ก็ดีแล้วเขาชอบที่อีกฝ่ายเป็นเช่นนี้มากกว่า
“มนุษย์ย่อมพัฒนาขึ้น คุณชายก็ต้องพัฒนาเช่นกัน”บุรุษตรงหน้าตอบโต้อย่างไหลลื่น จื่อฟางอ้าปากจะพูดแต่ก็คิดว่าเถียงไปคงโดนสวนกลับมาด้วยถ้อยคำสำบัดสำนวนจึงเลือกที่จะเงียบ เขาถอนหายใจลุกยืนบิดเนื้อบิดตัวไปมา มองท้องฟ้าที่เริ่มสว่าง
“คุณชาย…เมื่อคืนท่านทำอะไรดึกดื่นหรือ ข้าได้ยินเสียงจากด้านนอก”หยางชวีเอ่ยถามเลี่ยงไม่เอ่ยถึงไป๋ผูอวี้ ภาพที่เห็นเมื่อคืนเขาไม่แน่ใจนักว่าคุณชายแค่แกล้งเล่นหรือเป็นเรื่องจริง แต่บรรยากาศระหว่างคุณชายและไป๋ผูอวี้ก็ดูคลุมเครืออย่างบอกไม่ถูก
“เจ้าหมายถึงที่ข้าทำกับไป๋ผูอวี้?”เขาแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ ลอบมองหยางชวีที่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง
“คุณชายเสิ่น…”
“ไม่มีอะไร ข้าแค่นอนไม่ค่อยหลับคิดเรื่องท่านพ่อ เจ้าทำงานกับพ่อข้ามานาน คิดว่าเขาเป็นคนเช่นไร”จื่อฟางยกเรื่องนี้มาพูดแทน เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่กล้าซักไซ้มากความแน่นอน เขายังไม่ไว้ใจหยางชวีเต็มร้อย ถึงอย่างไรหมอนี่ก็ยังต้องรายงานเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเขาให้เสิ่นมู่หยางฟังอยู่ดี น่าเสียดายจริง ๆ หากได้หยางชวีเป็นพวกคงอุ่นใจไม่น้อย
“ข้าน้อยไม่กล้า”คุณชายแกล้งเขาอีกแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นใดๆเกี่ยวกับเจ้านายทั้งสิ้น
“เจ้าช่างน่าเบื่อจริงๆ”จื่อฟางพึมพำ หยางชวีได้แต่นิ่งเงียบ รู้ดีว่าคุณชายเสิ่นยกเรื่องนี้มาเบี่ยงประเด็น ถึงอย่างไรคุณชายก็คงไม่ไว้ใจเขาง่ายๆ เพราะเขาทำงานให้นายท่านเสิ่น ชายหนุ่มรู้ว่าการทำให้คนเชื่อใจต้องใช้เวลา เขาไม่รีบร้อน ดูท่าคุณชายจะมีความลับมากกว่าที่คิด หยางชวีได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆดังเข้ามาใกล้จึงถอยเว้นระยะห่างจากคุเสิ่นจิ้งเฟย พอดีกับร่างสูงใหญ่ของเสนาบดีเสิ่นก้าวเข้ามาในบริเวณลานบ้าน เขาสวมชุดขุนนางสีเข้มเสริมให้ดูน่าเกรงขามกว่ายามปกติ
“เจ้าตื่นเช้าเป็นด้วยหรือ”เสิ่นมู่หยางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ วันนี้ฮ่องเต้ไม่เรียกประชุมท้องพระโรง เขาก็เลยไม่ต้องตื่นแต่ฟ้ามืด เห็นว่าเช้านี้อากาศดีจึงออกมาเดินเล่นรับลมรอเวลาไปราชสำนักแต่ได้ยินเสียงดังมาจากเรือนของบุตรชายจึงแวะมาดูก็พบว่าเสิ่นจิ้งเฟยและหยางชวีพูดคุยอยู่ในลานบ้านท่าทางดูเข้ากันได้ดี ทีแรกเขาคิดว่าบุตรชายไม่ชอบใจที่ตนส่งคนมาตามติดเสียอีก
จื่อฟางเก็บสีหน้าประหลาดใจก่อนเอ่ยตอบ “ข้าแค่อยากสูดอากาศยามเช้าดูบ้างว่าจะสดชื่นอย่างที่เขาว่ากันหรือไม่”เขาใช้น้ำเสียงสบายๆ เสิ่นมู่หยางได้ยินก็หัวเราะเสียงดัง กวาดตามองใบหน้าหมดจดที่แฝงความซีดเซียวของบุตรชายก่อนเบนหันมองหยางชวีด้วยสายตาตักเตือน ตอนที่ให้หยางชวีมาทำหน้าที่เขาบอกอีกฝ่ายไปว่าให้ทำหน้าที่ให้ดี อย่าคิดสนิทสนมกับบุตรชายของเขา คงไม่ได้ถูกเจ้าเด็กนี่หลอกตีสนิทอยู่กระมัง
“ฝีมือวาดภาพของเจ้าถูกพูดถึงไปทั่ว”ผู้เป็นบิดาพยายามสานต่อบทสนทนาเพราะคิดว่าช่วงนี้ไม่ค่อยได้คุยกับบุตรชาย ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่ว่าเสิ่นจิ้งเฟยวางตัวห่างเหินกับตนยิ่งนัก เสิ่นมู่หยางรู้ว่าเจ้าเด็กนี่เคยใช้ให้คนตามสืบเรื่องของเขาและค่อนข้างแน่ใจว่าบุตรชายทราบเรื่องที่ปกปิดไว้แล้ว แต่เสนาบดีเสิ่นกลับไม่มีความกล้าจะเอ่ยบอกด้วยตัวเองเพราะเกรงว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะทำใจไม่ได้และยามนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาที่สมควร
จื่อฟางคงดีใจอยู่หรอกหากการแสดงฝีมือของตัวเองไม่ได้แลกมาด้วยการทำให้คนของอ๋องสามถูกจับ
“แค่ความสามารถเล็กน้อยของข้าเท่านั้น”เด็กหนุ่มพูดถ่อมตัว เสิ่นจิ้งเฟยอย่างกับดาราที่ไม่ว่าจะมีเรื่องดีหรือเรื่องแย่ก็เป็นที่พูดถึงตลอดไม่รู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยทนไปได้อย่างไร เสิ่นมู่หยางได้ยินคำว่าความสามารถก็นึกได้ว่าไม่ได้ยินบุตรชายบรรเลงกู่เจิงมาสักพักแล้ว
“จริงสิ พักนี้ข้าไม่เห็นเจ้าฝึกกู่เจิง เพลงบทใหม่ที่เจ้าพูดถึงคงไม่ใช่แค่คำพูดลอย ๆหรอกกระมัง”เขาลูบคางไปมา ระหว่างสำรวจดูบุตรชาย โหยวหลันเคยเขียนบทเพลงไว้ เสิ่นจิ้งเฟยจึงมักบรรเลงเพลงที่นางชอบบ่อย ๆ แต่พักนี้เขากลับไม่ได้ยินเสียงดีดกู่เจิงดังมาจากเรือนของบุตรชายเลยสักครั้ง เสิ่นจิ้งเฟยมีพรสวรรค์ในการเล่นดนตรีตั้งแต่เด็ก ชื่อเสียงและฝีมือจึงเป็นที่กล่าวถึง กระทั่งฮ่องเต้เจี่ยผิงยังเคยเรียกเสิ่นจิ้งเฟยไปบรรเลงให้ฟังถึงวังหลวง ตอนนั้นเขาไม่สบายใจมากเพราะข่าวลือที่ฝ่าบาททรงเลี้ยงดูชายงามเป็นเรื่องจริง บุตรชายของเขามีใบหน้าหมดจดจึงหวาดกลัวว่าฝ่าบาทจะสนใจในตัวบุตรไม่เอาไหนผู้นี้เข้า
“เรื่องนั้น…”อา แย่แล้ว! จื่อฟางใจกระตุก “พักนี้ข้าไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่…”
“เอาเถอะ ข้าไม่ได้เร่งร้อน หากฝึกเสร็จสมบูรณ์เมื่อใดก็มาบรรเลงให้ข้าฟัง”เสิ่นมู่หยางตบบ่าบุตรชายเบาๆ ก่อนหันมองหยางชวีด้วยสายตาคมปราบ
“เจ้ามากับข้า”เสิ่นมู่หยางเอ่ยเสียงห้วนก่อนหมุนตัวออกไปจากลานบ้าน หยางชวีเดินตามผู้เป็นนายออกไปด้วยจิตใจที่ไม่กริ่งเกรง เตรียมพร้อมกับการถูกซักถามแล้ว
จื่อฟางมองร่างของทั้งสองจนลับตาก่อนพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เสิ่นจิ้งเฟย เจ้ารู้ไหมว่าทำให้ข้าเจอแต่เรื่องยุ่ง! เขารีบกลับไปในเรือน คิดฉวยโอกาสตอนที่หยางชวีไม่อยู่สอบถามจางต้าเรื่องอ๋องสาม เขาต้องรู้คร่าวๆก่อนว่าคนผู้นี้เป็นใคร จะได้จับต้นชนปลายได้ถูก หากได้ความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยก็ดีน่ะสิ
จื่อฟางตรงไปที่เรือนนอน บ่าวคนสนิทยังคงเฝ้าหมอต้มยาอยู่เช่นเคย “จางต้า...เจ้าเคยได้ยินเรื่องของอ๋องสามบ้างหรือไม่”
เขาเอ่ยถามอย่างไม่รอช้า สายตาสอดส่องอยู่ที่ประตูราวกับกลัวว่าหยางชวีจะกระโดดโผล่เข้ามาได้ทุกเมื่อ
“อ๋องสาม? เคยได้ยินสิขอรับ ท่านถามทำไมหรือ”จางต้าถามเสียงฉงนเงยหน้ามองคุณชายเสิ่นด้วยความแปลกใจ ปกติเขาไม่เคยเห็นคุณชายสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อน
“ข้าแค่สงสัย พอดีได้ยินท่านพ่อกล่าวถึงบ่อย ๆ ก็เลยคิดว่าท่านอ๋องเป็นคนสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ”จื่อฟางพูดอย่างลื่นไหล จางต้าละมือจากหม้อต้มยา อยากบอกคุณชายเหลือเกินว่าท่านช่างไม่รู้อะไรเลย! แต่ก็ไม่แปลกเพราะคุณชายของเขาเอาแต่เที่ยวเล่นไม่เคยสนใจเรื่องบ้านเมือง
“หลิวอ๋องเจี่ยซินเป็นพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เจี่ยผิง ท่านอ๋องมีความสามารถตั้งแต่อายุยังน้อย ฮ่องเต้จึงให้อยู่ช่วยงานข้างกาย เรียกได้ว่ารักใคร่กลมเกลียวกันดี แต่มีเสียงเล่าลือกันว่าเป็นเพราะฮ่องเต้ต้องการให้ท่านอ๋องอยู่ใกล้สายตาจึงไม่ยอมส่งหลิวอ๋องไปครองหัวเมืองอื่น”จางต้ากระซิบเสียงเบา เขาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แน่ล่ะ มีฮ่องเต้คนไหนบ้างที่ไม่ระแวงคนเก่งมีฝีมือโดยเฉพาะพวกอ๋องทั้งหลาย ไม่ว่ายุคไหนก็ต้องคิดกบฏ
“หลิวอ๋องไม่เคยคิดอยากแย่งบัลลังก์ฮ่องเต้บ้างเลยหรือ”จื่อฟางถามอย่างสงสัย เท่าที่อ่านประวัติศาสตร์มาพวกอ๋องทั้งหลายมักจะคิดก่อกบฏอยู่เสมอ จางต้าได้ยินเขาพูดก็ทำตาโตจุ๊ปากใส่ทันที
“คุณชายก็พูดไป หลิวอ๋องเป็นคนดี ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเสียหายของท่านอ๋องเลยสักเรื่อง เขาไม่คิดอยากได้อำนาจถึงได้เป็นพระอนุชาที่ฮ่องเต้ทรงสนิทสนมมากที่สุด แต่จะอย่างไรพระองค์ก็ระแวงหลิวอ๋องอยู่ดี”จางต้าเล่าตามที่เคยได้ยินมา รู้สึกพอใจในตัวเองน้อย ๆที่เห็นคุณชายตั้งใจฟังที่ตนพูดทุกคำ
จื่อฟางยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย “แล้วฮ่องเต้เล่า เป็นคนเช่นไร ข้าเคยได้ยินว่าเขาแอบเลี้ยงชายงามไว้ด้วย”เขาเอ่ยถามเมื่อนึกถึงข้อความในบทวิพากษ์ของเสิ่นจิ้งเฟย ดูแล้วไม่น่าจะใช่ฮ่องเต้ที่นิสัยดีเท่าไหร่ แต่เสิ่นจิ้งเฟยก็ยังชมว่าบริหารบ้านเมืองได้ดี จื่อฟางคิดว่าฮ่องเต้ก็เหมือนนักการเมืองมีทั้งด้านดีและไม่ดี
จางต้าหรี่ตาใส่คุณชาย “คุณชายป่วยจนหลงลืมไปแล้วหรือ ท่านยังเคยบรรเลงกู่ฉินให้พระองค์ฟังถึงในวัง ข้าจำได้ว่านายท่านเป็นกังวลมาก กลัวว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงจะถูกใจท่าน”
“…”โอ้ อะไรนะ จื่อฟางได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง ที่แท้เสิ่นจิ้งเฟยก็เคยเจอฮ่องเต้มาก่อน มิน่าเล่าในบทความวิพากษ์ถึงได้มีถ้อยคำแฝงแววรังเกียจอยู่ด้วย จื่อฟางอยากกรีดร้องดังๆ ไม่คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะมีเรื่องลึกลับสร้างปัญหาให้เขารับหน้าเช่นนี้ แล้วตอนนี้เจ้านั่นไปอยู่ที่ใดแล้ว? เขาไม่อยากจินตนาการเลยว่าเสิ่นจิ้งเฟยอยู่ในร่างของตนในโลกปัจจุบัน เพราะมันเลวร้ายเกินไป!
“ข้าจะไปเตรียมน้ำร้อนให้คุณชาย”จางต้าเห็นว่าคุณชายไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดอีกจึงออกไปจัดการตามหน้าที่ จื่อฟางยืนทำอะไรไม่ถูก หลายเรื่องประดังประเดเข้ามาพร้อมกันจนไม่รู้ว่าจะเริ่มจากเรื่องไหนก่อน จากที่ฟังหลิวอ๋องดูไม่ใช่คนเลวร้ายคงไม่คิดโกรธที่เขามีส่วนทำให้ขอทานนั่นโดนจับหรอกกระมัง เขาได้แต่เดินไปเดินมาอย่างว้าวุ่น ไป๋ผูอวี้เหมือนจะรู้เรื่องบางอย่าง ไว้ค่อยแวะไปถามให้รู้เรื่องก็แล้วกันดังนั้นจื่อฟางจึงทำกิจวัตรยามเช้าตามปกติราวกับไม่มีเรื่องใดกวนใจ
หยางชวีกลับมาตอนที่เขากำลังกินมื้อเช้าพอดี เขาเงยหน้ามองผู้ติดตามด้วยความอยากรู้ว่าเสิ่นมู่หยางซักถามอะไรบ้าง
“คุณชายไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้พูดเรื่องอาการป่วยของท่าน”หยางชวีตอบเพราะรู้ว่าคุณชายอยากรู้เรื่องใด นายท่านเพียงสงสัยว่าเพราะเหตุใดเขาถึงดูสนิทกับคุณชายเสิ่นและย้ำกับเขาว่าอย่าผูกมิตรกับคุณชายเด็ดขาด จื่อฟางพยักหน้า ในห้องจึงตกอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน หลังจากกินข้าวเสร็จก็ตามด้วยยาสมุนไพรหนึ่งถ้วยเช่นเคย
“วันนี้คุณชายจะทำอะไรดีขอรับ”จางต้าเอ่ยถามเพราะทราบมาว่าคุณชายไม่มีเรียนสองวัน คุณชายเสิ่นชี้ไปที่หีบหนังวัวใบแรกที่วางอยู่ใกล้กับตู้เก็บของ
“ยกไปที่ศาลาในสวน”จื่อฟางบอก สีหน้างุนงงปรากฏอยู่บนหน้าของบ่าวรับใช้แต่ก็ทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย เมื่อคืนตอนที่เปิดดูหีบเก็บพัด เขาเจอบทกลอนที่เสิ่นจิ้งเฟยเขียนไว้จึงตั้งใจจะนำมาอ่านทั้งหมด เผื่อว่าจะเข้าใจความคิดของเจ้านั่นบ้าง เขาหยิบหนังสือนิยายชายรักชายปกเก่าที่ยังอ่านไม่จบมาด้วย รู้ว่าโลกนี้ไม่เหมือนในนิยายที่ตนอ่าน แต่ก็รู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก หยางชวีเหลือบมองหนังสือในมือคุณชายก็หน้าชาไปครู่หนึ่ง ท่านถือหนังสือเช่นนี้เดินไปเดินมาในจวนได้อย่างไร
จื่อฟางเดินเตร่ไปที่ศาลาในสวนอันเงียบสงบ ท้องฟ้ากระจ่างใส ลมเย็นพัดวูบทำให้เศษใบไม้ปลิวเกลื่อน สงสัยจะเข้าใกล้เหมันต์ฤดู กระมัง เด็กรับใช้ในจวนเห็นเขาเดินมาก็ค้อมตัวให้ก่อนเร่งรีบหลบไปให้พ้นทาง จื่อฟางเดินมาถึงศาลาที่ก่อสร้างแบบเก๋งจีน ทิ้งตัวนั่งอ่านนิยายเงียบๆ จางต้ายกหีบมาวางไว้ข้างตัวคุณชาย สายตาจับจ้องอยู่ที่หนังสือในมือของร่างบางทำสีหน้าฉงนเมื่อเห็นหนังสือที่คุณอ่าน คุณชายยังอ่านอยู่อีก เขาอยากรู้นักว่าหนังสือนั่นสนุกมากเลยหรือ เขาจำหนังสือเล่มนี้ได้ เมื่อหลายเดือนก่อนคุณชายไปที่ร้านหนังสือเถ้าแก่จางเพื่อซื้อตำราเครื่องดนตรี เถ้าแก่แนะนำหนังสือเล่มนี้ให้ด้วยท่าทางลับลมคมใน หนังสือนิยายจำพวกนี้ไม่ขายอย่างโจ่งแจ้ง แต่เขาไม่คิดว่าคุณชายเสิ่นจะบ้าจี้ซื้อมาจริง ๆ
จื่อฟางไม่สนใจสายตาของบ่าวรับใช้ทั้งสองคน กวาดตาอ่านนิยายต่อ หนังสือเล่มนี้ไม่มีชื่อเรื่อง ภาพประกอบโจ่งแจ้งชัดเจนจนเขาต้องรีบเปิดผ่าน เมื่อมาไตร่ตรองดี ๆเขาว่านิยายเรื่องนี้แปลก ตัวเอกมีชื่อเรียกว่าเจี่ยเป็นคหบดีที่ร่ำรวยในแคว้นหนึ่ง มีที่ดินหลายพันไร่ที่ได้มาด้วยเล่ห์เหลี่ยม เขาเป็นคนเก่งแต่มีความคิดแปลกประหลาด เจี่ยชอบสะสมบุรุษรูปงามจนสร้างตำหนักให้อยู่กิน ทั้งที่ตัวเขามีทั้งภรรยาและอนุอีกหลายคน เรียกว่าเป็นคนมักมากในกามคนหนึ่ง เจี่ยยังหมกมุ่นในเรื่องยาอายุวัฒนะอีกด้วย
จื่อฟางรู้สึกหนาวขึ้นมาเมื่อหนังสือเล่มนี้ทำให้เขานึกถึงบทความวิพากษ์ของเสิ่นจิ้งเฟย ฮ่องเต้ก็แซ่เดียวว่าเจี่ย และยังเลี้ยงดูชายงามเหมือนกันด้วย หรือนี่เป็นเรื่องราวของฮ่องเต้ที่ถูกตีแผ่อย่างลับๆ เขากัดริมฝีปากอย่างกังวล หนังสือเล่มนี้เป็นของต้องห้ามอย่างแน่นอน หากเจ้าแผ่นดินรู้คงได้หัวขาด ดูแล้วเสิ่นจิ้งเฟยเกลียดชังฮ่องเต้เจี่ยผิง เด็กหนุ่มอยากถามจางต้าใจจะขาดว่าเสิ่นจิ้งเฟยซื้อหนังสือเล่มนี้มาจากที่ใดแต่ก็ไม่อยากทำตัวมีพิรุธ
“คุณชายหากท่านจะอ่านหนังสือพวกนี้ก็ระวังหน่อยได้หรือไม่”หยางชวีกล่าวขึ้นเมื่อเหลือบมองเห็นภาพวาดบรรยายกิจกรรมบนเตียงอย่างโจ่งแจ้ง คุณชายเสิ่นเงยหน้ามองเขาด้วยใบหน้าไร้สีเลือด
“เจ้าอ่านรู้เรื่องด้วย?”คุณชายรีบปิดหนังสือคล้ายกับกลัวเขาแอบอ่าน
“ข้าอ่านออก แต่ไม่ได้อยากอ่านหนังสือของท่าน”ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบ
จื่อฟางไม่อยากเก็บหนังสือที่สุ่มเสี่ยงไว้กับตัวแต่ก็ไม่อยากทำลายทิ้งสุ่มสี่สุ่มห้าจึงได้แต่เก็บไว้ก่อน เขาเริ่มจัดการนำกล่องพัดออกมาจากหีบมีทั้งหมดยี่สิบกว่ากล่อง ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะอ่านบทกลอนบนพัดกระดาษครบทุกอัน บทกลอนที่เสิ่นจิ้งเฟยแต่งล้วนรำพึงถึงชีวิตอันเปลี่ยวเหงาในจวนเสนาบดี เช่นใต้แสงจันทร์ มีเพียงเสียงพิณเป็นเพื่อน เอื้อนเอ่ยบทกลอนกับสายลม ตัวอักษรเหล่านี้แฝงไว้ด้วยความโดดเดี่ยวของเสิ่นจิ้งเฟย จื่อฟางถอนหายใจ รู้เพียงว่าเสิ่นมู่หยางไม่เคยใส่ใจบุตรชายอย่างแท้จริง
จางต้าและหยางชวีได้แต่มองท่าทางเซื่องซึมของคุณชายด้วยสีหน้าโง่งม
“ไปเตรียมรถม้าให้ข้าที”จื่อฟางหันไปสั่งจางต้า เขาต้องไปคุยกับไป๋ผูอวี้เสียหน่อย
“ขอรับ”จางต้ารับคำก่อนทำตามคำสั่งของคุณชายโดยไม่เอ่ยถามสักคำ
“ท่านจะไปที่ใดหรือ”แต่ยังมีคนที่ขี้สงสัยอยู่อีกคน
“ไปหาไป๋ผูอวี้ เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ได้ไปก่อเรื่อง ข้าแค่คิดถึงเขา”จื่อฟางตอบพร้อมรอยยิ้มซุกซน หยางชวีนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืนก็พูดไม่ออก จื่อฟางเก็บหนังสือไว้ในหีบ เรียกบ่าวไพร่คนหนึ่งให้นำไปเก็บในห้องนอน เขายืดกายปัดเสื้อคลุมลายดอกสีเทาสง่างามให้เรียบร้อย หยิบพัดกระดาษเล่มหนึ่งมาใช้
“เจ้าจะไปหรือไม่”จื่อฟางถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยืนทึ่มอยู่ที่เดิม หยางชวีปั้นหน้านิ่งเดินตามเขามาเงียบๆ จะว่าไปแขกที่พักอยู่ในจวนอย่างใต้เท้าเฉินแทบไม่ได้ออกมาเจ้ากี้เจ้าการกับตน เอาแต่อยู่ในเขตเรือนรับรองของตน แต่จื่อฟางรู้ดีว่าหากถึงวันเรียนกับใต้เท้าเฉินเมื่อไหร่คงถูกทดสอบความรู้แน่
พ่อบ้านสุ่ยกำลังดุด่าบ่าวรับใช้เห็นคุณชายเสิ่นทำท่าจะออกไปนอกจวนก็ได้แต่ชะเง้อชะแง้มองด้วยความใคร่รู้ เด็กหนุ่มเดินเอ้อระเหยไปตามเฉลียงทางเดินทอดยาวกว่าจะเดินมาถึงประตูหน้าก็กินเวลาไปนาน จางต้าเตรียมรถม้าให้เขาเรียบร้อยแล้ว คนขับรถม้าหน้าเดิมรออยู่เช่นกัน เขาก้าวเข้าไปนั่งบนรถม้า รถเคลื่อนตัวออกทันที จื่อฟางใช้พัดเขี่ยม่านมองออกไปด้านนอก เขาจำถนนสายนี้ได้ขึ้นใจแล้ว ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงโรงน้ำชาขนาดใหญ่ของสกุลไป๋
“ข้ารออยู่ด้านนอกนะขอรับ”หยางชวีกล่าวเพราะไม่คิดไปเจอกับคุณชายไป๋และเว่ยหลง จื่อฟางจึงเข้าไปในร้านกับจางต้า ภายในร้านมีคนแน่นขนัดแทบไม่มีโต๊ะว่าง แต่เขาไม่ได้มาดื่มชา จื่อฟางตั้งใจจะเรียกเด็กในร้านมาถามหาไป๋ผูอวี้ แต่เขาเห็นคุณชายสูงศักดิ์นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม มาอีกแล้ว? เขาคิดอย่างประหลาดใจ เพียงแต่วันนี้เขานั่งอยู่คนเดียวไม่มีสหายมาด้วย มีเพียงองครักษ์ใบหน้าเข้มยืนเฝ้าอยู่ด้านหลัง จื่อฟางคงสนใจมากกว่านี้หากสายตาไม่สะดุดอยู่ที่โต๊ะด้านใน หญิงงามสวมชุดสีเหลืองอ่อนสบายตามีรอยยิ้มประดับหน้าทำให้นางยิ่งดูอ่อนหวาน เขามองปราดเดียวก็จำได้ นางคือฉินเซียงอิน เนื่องเพราะนางนั่งหันหน้ามาทางเขา ฉินเซียงอินจึงเห็นจื่อฟางเต็มตารอยยิ้มของนางจางลง ส่วนแผ่นหลังคุ้นตาของชายหนุ่มคนหนึ่งจะเป็นใครไปได้หากไม่ใช่คนที่เขาตั้งใจจะมาหา
ไป๋ผูอวี้
“คุณชาย…”จางต้ากระซิบเรียกเสียงอ่อน คุณชายของเขาเจอภาพบาดตาอีกแล้วถึงได้ชะงักไปเช่นนี้
“คุณชายเสิ่นโต๊ะเต็มหมดแล้ว แต่ชั้นบนยังมีที่เหลือขอรับ”เด็กร้านน้ำชาเข้ามาบอกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม จื่อฟางเหมือนได้ยินเสียงหึ่ง ๆดังอยู่ในหู เขาแทบลืมฉินเซียงอินไปแล้วไม่คิดว่าจะได้เจออีก แต่ทุกครั้งที่เจอเหตุใดนางต้องอยู่กับไป๋ผูอวี้ทุกที
ไป๋ผูอวี้ได้ยินเด็กในร้านเอ่ยถึงคุณชายเสิ่นจึงหันมอง วันนี้เสิ่นจิ้งเฟยไม่มีเรียนกับเขาแต่ก็ยังมาที่โรงน้ำชาหรือมาก่อกวนจนเคยชินไปแล้ว ชายหนุ่มนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืนใบหน้าก็ยิ่งเรียบเฉย เรื่องของหลี่ฮุ่ยจือทำให้เขาไม่สบายใจ คำตอบของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้เขาผิดหวังอยู่บ้างแต่ก็ไม่ผิดคาดนัก เจ้าหวังอะไรอยู่?ไม่มีทางที่นิสัยส่วนนี้ของเสิ่นจิ้งเฟยจะเปลี่ยนได้ ไป๋ผูอวี้จึงมองผ่านคุณชายเสิ่นราวกับมองไม่เห็น
“คุณชายไป๋ ไม่กลัวเขาก่อเรื่องวุ่นอีกหรือ”คุณหนูฉินเอ่ยถาม ปรายตามองเสิ่นจิ้งเฟยด้วยสายตาปั่นปึ่ง นางรู้ว่าคุณชายไม่ได้เรื่องผู้นี้คิดอย่างไรกับนาง แม่ว่าหญิงสาวจะปฏิเสธไปหลายครั้ง เสิ่นจิ้งเฟยก็ไม่เคยลดละความพยายามแม้แต่น้อย แต่นางไม่ได้ชมชอบบุรุษที่หยิบจับสิ่งใดไม่เป็น
“ก็ให้เขาก่อไป”เขาตอบเสียงเรียบคล้ายไม่ใส่ใจ
หนอย ไป๋ผูอวี้ เห็นเขาแล้วแท้ๆ จื่อฟางพลันหงุดหงิดใจที่ถูกเจ้าท่อนไม้มองเมิน เขาได้ยินเสียงโต๊ะใกล้ๆกระซิบกระซาบใส่กันเบาๆจึงหันไปมองตาเขียว ในฉางอันมีใครไม่รู้บ้างว่าคุณชายเสิ่นชอบพอคุณหนูฉิน
“คุณชายเสิ่นเชิญด้านบนเถอะขอรับ”เด็กร้านน้ำชาไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่น เห็นท่าทางของคุณชายไป๋ก็ได้แต่จนใจ เว่ยหลงไปที่ใดแล้ว เหตุใดไม่โผล่มาเสียที ดูท่าเขาต้องรับมือกับคุณชายเสิ่นเพียงลำพัง
“ข้ามาหาไป๋ผูอวี้”จื่อฟางเอ่ยกับร่างที่ยืนนอบน้อมอยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายมีท่าทีลำบากใจทันที
“คุณชาย…ท่านก็เห็นว่าคุณชายไป๋มีแขก”เจ้าเด็กนี่เน้นคำว่าแขกเป็นพิเศษ จื่อฟางนึกอยากเดินเข้าไปหาไป๋ผูอวี้ที่โต๊ะ แต่การทำเช่นนี้เสียมารยาทและจะยิ่งทำให้เขากลายเป็นที่หัวเราะ
“คุณชายเสิ่น…”เด็กรับใช้เรียกอีกครั้งคล้ายจะร่ำไห้อยู่รอมร่อ ลูกค้าที่นั่งกันหน้าสลอนต่างก็มองดูว่าคุณชายเสิ่นจะอาละวาดหรือไม่
“ข้าจะรอจนกว่าเขาจะส่งแขกกลับ”จื่อฟางเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง สายตาจับจ้องศีรษะของไป๋ผูอวี้เขม็ง เหมือนอยากมองให้ทะลุว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ฉินเซียงอินเหลือบมองจื่อฟางด้วยสายตาปั้นปึ่งราวกับต่อว่าที่เขามาทำให้เสียบรรยากาศ
ไม่ต้องมองข้าเช่นนั้น ข้าไม่ได้ชอบพอท่านเสียหน่อย!
เขาส่งเสียงขึ้นจมูก เช่นนั้นเขาก็จะก่อกวน เด็กหนุ่มใช้พัดชี้ไปที่โต๊ะตัวใกล้กับไป๋ผูอวี้ซึ่งมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“ข้าจะนั่งโต๊ะนี้”จื่อฟางบอกคล้ายกับเด็กที่อยากได้ของเล่น
“คุณชายด้านบนยังมีโต๊ะเหลืออยู่…”เด็กรับใช้มองไปที่เจ้านาย
ไป๋ผูอวี้เพียงแค่ยกถ้วยชาจิบไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เอาเถิดหากท่านอยากสร้างเรื่องก็สร้างไป ข้าจะนั่งชมว่าท่านจะทำอย่างไร
“คุณชายข้าว่าไปที่ชั้นบนดีกว่า”จางต้าช่วยพูดอีกแรง เห็นเด็กรับใช้ในร้านเหมือนจะร้องไห้ก็รู้สึกเห็นใจเล็กน้อย แต่คุณชายของเขาน่าสงสารมากกว่า คุณหนูฉินมองท่านด้วยสายตาดูแคลนเช่นนี้... จางต้าช้ำใจแทนคุณชายจนอยากพาไปหอผูเยว่เลือกสาวงามมาปลอบใจสักสองสามคน จื่อฟางใช้ความคิดว่าจะอาละวาดต่อหรือยอมแพ้จากไปเงียบๆ แต่ทางไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น
“น้องชาย หากไม่รังเกียจเชิญนั่งกับข้าเถอะ”เสียงหนึ่งดังขึ้น เขาหันมองก็พบว่าเป็นคุณชายสูงศักดิ์ผู้นั้นนั่นเอง คนในร้านต่างมองอย่างแปลกใจเพราะเห็นคุณชายท่านนี้นั่งมองอยู่นานแล้วและดูเหมือนจะสนุกเสียด้วยซ้ำ
“ข้า…”จื่อฟางไม่แน่ใจว่าจะรับน้ำใจดีหรือไม่ หากเขารู้จักกับเสิ่นจิ้งเฟยจริงจะทำอย่างไร? ปฏิเสธคงไม่ดีนัก
“รบกวนท่านแล้ว”เขาจึงตัดสินใจรับคำเชิญ แม้รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มาจากองครักษ์ด้านหลัง คุณชายสูงศักดิ์ยิ้มก่อนเอ่ยพูด
“เจ้าอย่าสนใจ เขาเป็นเช่นนี้เสมอ”คุณชายสูงศักดิ์รินน้ำชาให้อีกร่างที่ดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัด บุรุษหนุ่มมองไปที่โต๊ะของคนแซ่ไป๋ เห็นว่าคนผู้นั้นมองมาที่ตนด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“ขอบคุณท่านมาก”จื่อฟางรับถ้วยน้ำชามาอย่างเกรงใจ ยิ่งรู้สึกอึดอัดเพราะคนในโรงน้ำชาพุ่งสายตามาที่เขาและคุณชายท่านนี้อย่างใคร่รู้
“ฮ่า ๆ ตามสบายเถอะ ข้ากับเจ้ายังต้องเกรงใจกันอีกหรือ”ฝ่ายนั้นเอ่ยเสียงใส เด็กหนุ่มไม่รู้ชื่อแซ่ของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แต่จะให้เอ่ยถามก็คงแปลกพิลึกในเมื่อเสิ่นจิ้งเฟยรู้จัก จื่อฟางมองคนตรงหน้าอย่างครุ่นคิด คนๆนี้มีใบหน้าหล่อเหลาอ่อนเยาว์ ผิวขาวละเอียดปานหยก แต่ลักษณะท่าทางเหมือนคนที่ผ่านโลกมาเยอะ คงมีฐานะไม่ธรรมดา จื่อฟางยกถ้วยชาแตะริมฝีปากสายตาเหลือบมองจางต้าที่ทำสีหน้างุนงง เจ้านี่ก็ไม่รู้จักสินะ เสิ่นจิ้งเฟยมีความลับเยอะนัก! ความลับเต็มไปหมด
“ดูท่าเจ้าคงลืมข้าไปแล้วจริง ๆ”ฝ่ายตรงข้ามพูดเสียงแผ่ว สายตากวาดมองใบหน้าของเขาเหมือนหาสิ่งผิดปกติ จื่อฟางได้แต่ซ่อนสีหน้าตื่นตกใจไว้ พยายามทำใจให้สงบ