One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)  (อ่าน 73735 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่...คนในอดีตนี่มีแต่พวกแรง ๆ นะ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ติวบนเตียง
หุหุ

กรูว่าแล้ว

ถ้าเป็นเรื่องจริง
คิงเลิกเหอะ

แล้วไบร์ท..นายไม่รู้จริงๆเหรอที่กายเข้ามาวอแวเนี่ยะ
มีจุดประสงค์อะไร อย่ามาอ้างนะว่ารู้แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรด้วยนี่
มันซ้ำซาก..น่าเบื่อ กับเหตุผลเน่าๆพรรค์นี้

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
:pig4: :pig4: :pig4:

แหม่...คนในอดีตนี่มีแต่พวกแรง ๆ นะ


ต้องติดตามความแรงนี้ในตอนต่อๆไปนะครับ อิอิ

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
ติวบนเตียง
หุหุ

กรูว่าแล้ว

ถ้าเป็นเรื่องจริง
คิงเลิกเหอะ

แล้วไบร์ท..นายไม่รู้จริงๆเหรอที่กายเข้ามาวอแวเนี่ยะ
มีจุดประสงค์อะไร อย่ามาอ้างนะว่ารู้แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรด้วยนี่
มันซ้ำซาก..น่าเบื่อ กับเหตุผลเน่าๆพรรค์นี้


ใจเย็นๆน้า อิอิ

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน


Chapter 43: จบไม่สวย

                ผมจ้ำมาที่รถด้วยความรู้สึกอึดอัดเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่ขัดใจเวลาที่อยากได้ของเล่นแต่พวกเขาไม่ซื้อให้ หมัดทั้งสองกำแน่น นึกอยากให้มีกระสอบทรายแขวนอยู่แถวนี้เผื่อจะได้มีที่ระบายอารมณ์ บุหรี่ในมือมอดไหม้โดยไม่ได้ตั้งใจสูบ แค่เพียงต้องการระงับอารมณ์ที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้

                น่าแปลกที่ผมไม่ร้องไห้เลยสักแอะ ผมไม่ใช่คนอ่อนไหว แต่หลายวันมานี้ผมร้องไห้บ่อยครั้งจนเหมือนกับว่าตัวเองอ่อนแอลงไปเยอะ แต่ที่ไม่ร้องคงเป็นเพราะคิดมาตลอดทางแล้วว่าต้องเจอเรื่องแบบนี้ มันไม่ใช่ความชินชา ถ้าจะพูดกันตรงๆนะ มันคือเรื่องที่เราคิดไว้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบที่เราคิดไว้จริงๆ

....บางทีผมคงคาดหวังอย่างอื่น พอมาเจอแบบนี้เข้า ผมก็เลยรับไม่ได้

ผมเดินมาถึงที่รถตอนไหนไม่รู้ แต่พอดูสารรูปรถตัวเองแล้ว ความโมโหของผมพุ่งขึ้นถึงขีดสุดอีกครั้ง รถของผมเต็มไปด้วยรอยครูดเกือบรอบคัน(ผมดูไม่หมดหรอก เห็นแค่ด้านข้าง แต่ก็เดาเอาว่าคงเยอะไม่น้อย) อีกด้านหนึ่งมีเงาคนเคลื่อนไหว ผมย่างเข้าไปหาช้าๆก็พบว่าใครกำลังลงมือขูดรถผมด้วยเหรียญ

“อุ๊ปส์!” เสียงนั้นยียวนไม่มีอาการของคนรู้สึกสำนึกเวลาถูกจับได้ว่าทำผิด ... แบบคาหนังคาเขา

“กาย!” ผมยืนนิ่งๆ พยายามอย่างยิ่งยวดไม่ให้เสียงตัวเองสั่น “ทำอะไรน่ะ”

“แหมๆๆๆ ถามมาได้ว่าทำอะไร เล่นขายของมั้ง” เสียงน้องเค้ากวนประสาท “ตาบอดรึไง”

“ตาไม่บอดหรอก แต่อยากรู้ว่าเราทำแบบนี้ทำไม” ผมถามเสียงเรียบ กำลังข่มสติตัวเองอย่างหนัก

“ถามมาได้ว่าทำไมไม” กายเสียงเขียวใส่ น้ำเสียงของเขาอ้อนแอ้นตามร่างกายไม่ผิดเพี้ยน ไม่มีความเข้มแข็งสมชายชาตรีเลยสักนิด “ก็สั่งสอนไอ้พวกตุ๊ดที่ชอบแย่งแฟนชาวบ้านไง!!” เสียงนั้นตะโกนดังลั่น ใบหน้าแดงจากความเกรี้ยวกราด

“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ”

“กูบอกว่า มึงแย่งแฟนกู” เขาตะโกนอีกครั้ง “อีหน้าด้าน!!”

“ไม่ใช่ ก่อนหน้าแย่งแฟน...มึงเรียกกูว่าไงนะครับ” ผมเริ่มคุมสติไม่อยู่

“อ่อ...ก็เรียกมึงว่าไอ้ตุ๊ดไง” เขายิ้มเยาะ “ทำไม เรียกไม่ถูกเหรอ อีตุ๊ดหน้าไม่อาย ร่านแย่งผัวชาวบ้าน!”

“มึงเรียกกูว่าตุ๊ดเหรอ” สติผมขาดผึง เกิดมาไม่เคยถูกเรียกแบบนี้เลยสักครั้ง ไม่มีใครกล้าเรียกผมแบบนี้ด้วย ตอนนี้ผมกำลังถูกเกย์สาวคนหนึ่งตราหน้าว่าเป็นตุ๊ดและแย่งผัวมัน

“ใช่ อีตุ๊ด นี่แสดงว่ามึงเห็นของที่ระลึกที่กูทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าแล้วสิ” น้ำเสียงนั้นเยาะหยัน “โถ นี่คงหึงจนหน้ามืดตามัวเลยสินะ อีร่าน! หึงจนไม่รู้เลยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า” ผมอึกอัก แสดงว่ากางเกงในบนเตียงที่แผนล่อให้ผมรีบออกมาเจอเขา

ผมเดินปรี่เข้าไปหา ตัวของผมใหญ่กว่าแต่เขาไม่มีท่าทางจะถอยหนี “หมายความว่ายังไง” ผมถาม ก้าวขาไปต่อ

“กูไม่กลัวมึงหรอกอีตุ๊ด เข้ามาสิ แม่จะถวายหลังแหวนให้” เขาถลามาหาผม เงื้อมือกว้าง กางนิ้วทั้งห้าทำท่าจะตบ   

ผมไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ คนที่ต่อยมวยมาตั้งแต่เด็กไม่เสียเชิงให้คนแบบนี้ง่ายๆหรอก จังหวะกางแขนของเขาปล่อยช่องว่างเต็มไปหมด แรงเงื้อและแรงโถมทำให้การทรงตัวนั้นดูง่อนแง่นไปอีกเยอะ ผมหยุดมองการเคลื่อนไหว มันเหมือนกับคนเยื้องย่างกรุยกรายมากกว่าคนที่กำลังจะมีเรื่องกัน ฝ่ามือนั้นฟาดลงมา ผมใช้แขนป้องไว้ เขาตกใจที่เห็นผมไม่หลบแถมหยุดแรงตบนั้นได้ ก่อนที่เขาจะทำอะไรต่อ ผมปล่อยหมัดฮุกเข้าที่หน้าท้องสุดแรงด้วยความหน้ามืดและโมโหที่กักเก็บไว้มาก่อนหน้านี้ เขาทรุดฮวบแต่ผมใช้มือข้างเดิมที่ป้องแรงตบนั้นพยุงตัวเค้าไว้แล้วเข้าไปคลุกวงใน ผมให้คางเค้าเกยไหล่ผมไว้ก่อนจะถลุงหมัดใส่ตามลำตัวไม่ยั้ง เสียงผลั่ก! ดังสนั่นตามแรงปะทะ เขาร้องโฮด้วยความเจ็บ

“พี่คิง หยุดครับ!!” นายไบรต์คว้าตัวผมที่กำลังออกหมัดอย่างเมามันออกมา แรงขืนของผมเยอะกว่าตอนมีสติ เค้าโดนผมเสียหมัดเข้าที่แก้มอย่างจังไปหนึ่งทีก่อนกระเด็นลงไปกองกับพื้น...

ผมเดินเข้าหาไอ้วายร้ายที่ขูดรถผมเป็นรอยลายไทย แถมยังกล้าเรียกผมว่าไอ้ตุ๊ด แทนตัวผมด้วยคำว่า “อี” อีกต่างหาก “พี่คิง พอแล้ว” นายไบรต์ลุกมาฉุดกระชากผมไว้ ผมดิ้นขืนแต่สุดท้ายก็ถูกเค้าล็อกไว้ สติผมเริ่มกลับมาและมองเห็นร่างของกายนอนแผ่กับพื้น สายตาอาฆาตยังจับจ้องมาทางผม

“มึง!!” เสียงนั้นขาดห้วง เขากำลังรวบรวมกำลังเฮือกใหญ่เพื่อพูดกับผม “มึงทำร้ายกู มึงรู้มั้ยว่ากูลูกใคร!”

ผมเลือดขึ้นหน้าอีกครั้ง เด็กสมัยนี้แม่งเป็นอะไรไปหมด ไม่มีสัมมาคาราวะไม่พอ ยังอวดอ้างศักดาพ่อแม่อีก

“มึงก็บอกกูมาสิ ว่ามึงลูกใคร”

“พ่อกู....พันตำรวจโทรสิทธิ์ กรวิเศษกุล” เขาทำเสียงเหี้ยม “เรื่องนี้จบไม่สวยแน่ กูจะให้พ่อกูมาจัดการมึง”

“อ่อ เหรอ” ผมกวน “พ่อมึงแค่พันโทเองเหรอ” ผมสะบัดตัวจนหลุด “แล้วมึงรู้มั้ยว่ากูลูกใคร” ผมนั่งยองๆในระนาบสายตาเขา

“พ่อกู พลตำรวจเอก ศักดา ศิลาอาจน์ (บอกตำแหน่งพร้อม)” ผมไม่ชอบเลยเวลาที่เอาพ่อมาอ้าง แต่ครั้งนี้ขอเถอะ ไม่ไหวแล้วจริงๆ “ถ้ากูจำไม่ผิด น้ารสิทธิ์พ่อมึงน่ะ ตามรับใช้พ่อกูต้อยๆ” ผมเห็นเขาอ้าปากค้าง “น้ารสิทธิ์คงไม่พอใจแน่ๆที่ลูกชายของเค้ามาหาเรื่องผู้บังคับบัญชาแบบนี้” ผมยิ้มสะใจยิ่งขึ้นเมื่อหน้าเขาซีดเผือด

“กาย...” ผมเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ “กูอยากรู้จริงๆ ว่าเรื่องนี้จะจบยังไง”

------------------------------------------------------------------------

หมอหนุ่มไล่ตามจนทันคนรัก เขาคว้าแขนบางนั้นไว้ “คุณเฟียซ ฟังผมก่อน”

“ขอชั้นอยู่คนเดียวนะคะคุณหมอ” น้ำเสียงห่างเหินทำให้หัวใจเจ็บแปลบ

“ไม่ครับ จนกว่าคุณเฟียซจะฟังผม” เขารั้งร่างบางนั้นไว้ “ผมกับนิดไม่มีอะไรกันแล้ว เราจบกันไปนานแล้ว”

“จบไปนาน แล้วทำไมวันนี้เค้ายังมาหาเรื่องดิชั้นอีกล่ะคะ” หน้าเธอแดงก่ำ

“นิดพูดว่าอะไรบ้างครับ” เธอไม่อยากจะต่อความยาว แต่สุดท้ายก็บอกไปตามที่ได้ยิน

หมอหนุ่มหัวเราะลั่น

“คุณหมอหัวเราะอะไรคะ” เธอเหมือนกำลังถูกปั่นหัว อีกฝ่ายทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ อีกฝ่ายกลับมาหัวเราะลั่น

“ก็หัวเราะคุณเฟียซไง” เขายิ้มกว้าง

“ไม่ใช่เรื่องน่าขัน” เธอแหว

“ขำสิ โอย ผมก็นึกว่าเรื่องอะไร” เขาลอบมองสีหน้างอนของคนรัก ผมยาวสยายประบ่า ลมหายใจหอบเพราะเร่งฝีเท้าเดินออกมา “นิดกับผมจบกันแล้วจริงๆ อีกอย่างนิดเค้าก็แต่งงานแล้วด้วย”

สีหน้าของเฟียซดูตกใจไม่น้อย

“ใช่ครับ นิดแต่งงานแล้ว ผมกับเค้าจบกันไปแล้วจริงๆ”

“แล้วทำไมคุณนิดถึงพูดกับดิชั้นแบบนั้นล่ะคะ”

“รายนั้นเป็นโรคจิตครับ ชอบแกล้ง” เขาดึงเธอมาใกล้ ท่าทางขัดขืนหายไปเยอะแล้ว “แฟนเก่าผมก็โดนแกล้งแบบนี้หมดแหละ”

“ใช่แล้วค่ะ” เธอมองไปที่ต้นเสียง

“คุณนิด” ฝ่ายที่ถูกเรียกชื่อยิ้มร่า

“55 ไม่คิดว่าคุณเฟียซจะหึงแรงขนาดนี้นะคะ” นิชาเดินตามมาสมทบ ในฐานะที่เป็นต้นเรื่องเธอต้องมาจัดการให้มันจบ

“ดิชั้นกับเบสต์จบกันไปนานแล้ว และดิชั้นก็แต่งงานแล้ว” นิชาโชว์แหวนเพชรเม็ดเบ้งที่นิ้วนางข้างซ้าย เฟียซหน้าเสียเพราะความหึงบดบังตาจนลืมสังเกต “ดิชั้นแค่แกล้งพูดน่ะค่ะ อย่าถือสากันเลยนะคะ” อีกฝ่ายหนึ่งขอโทษ น้ำเสียงเป็นมิตรมากกว่าตอนอยู่ในห้องน้ำ “แค่อยากทดสอบน่ะค่ะ ว่าคุณเฟียซรักเบสต์มากแค่ไหน ต้องขอโทษจริงๆนะคะที่ทำให้เรื่องมันเลยเถิดขนาดนี้”

“นี่หมายความว่า”

“ใช่ค่ะ เรื่องที่พูดในห้องน้ำน่ะ ดิชั้นแกล้งลองใจคุณเฟียซแค่นั้นเอง” เฟียซถอนหายใจ เธอเชื่อว่านิชาหมายความตามนั้นจริงๆ

“นิดเค้าชอบแกล้งน่ะครับ คุณเฟียซไม่ใช่คนแรกหรอกที่โดนอำแบบนี้” เขาอธิบาย “ครั้งนี้เกือบไปแล้วนะนิด ถ้าง้อไม่ได้นี่ผมจะคิดบัญชีคุณ” เขาเสียงเข้ม

“แหม อย่าใจร้ายกับเพื่อนเก่าอย่างนี้สิเบสต์” นิชาส่งน้ำเสียงร่าเริงเข้าหา “ขอโทษอีกครั้งนะคะคุณเฟียซ”

“เอ่อ...”

“นะคะ น่านะ ดิชั้นล้อเล่นจริงๆ” นิชามาคว้าแขนเธอไว้ “ไปกินข้าวกันต่อเถอะค่ะ ลืมเรื่องนี้ไปซะนะ”

เฟียซถอนหายใจอีกครั้ง ความโล่งใจครั้งนี้มันมากกว่าตอนที่รู้ว่าเธอเจอไขกระดูกที่เข้ากันเสียอีก

นี่เธอรักหมอเบสต์มากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย...

-----------------------------------------------------------------

                บรรยากาศในโต๊ะอาหารหลังจากนั้นดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ทั้งหมด เฟียซกับนิชาท่าทางเข้าขากันได้ดี แต่นรินทร์ก็สังเกตได้ว่าแฟนของเขาฝืนแสดงออกตามมารยาทเท่านั้น

“ผมขอโทษแทนนิดอีกครั้งนะครับ” เขาพูดตอนที่มาส่งเธอที่บ้าน “นิดไม่ควรพูดอย่างนั้นเลย”

“พี่เบสต์ไม่ผิดหรอก” เธอพยายามหาข้อแก้ตัวมาให้เขาและอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าตะกอนความโกรธขึ้งยังหลงเหลืออยู่

...บางที พี่เบสต์ควรจะได้คนที่อายุยืนยาวกว่านี้... ความคิดนี้ก่อกวนใจเธอตลอดเวลา

“อย่าคิดมากนะครับ ผมเป็นห่วง” หมอหนุ่มกุมมือเธอแนบที่หน้าอก “หัวใจดวงนี้ให้คุณคนเดียวนะครับ” เขายิ้มอีกแล้ว มันเป็นรอยยิ้มที่หายาก เธอรู้สึกราวกับว่านี่คือรอยยิ้มของเธอเพียงผู้เดียว

“ค่ะ” หญิงสาวยิ้มกลับไป เขาจับจ้องใบหน้าเธอเนิ่นนาน ริมฝีปากของเขาอิ่มเอิบและเย้ายวน เธอไม่หนีเมื่อร่างใหญ่เคลื่อนตัวมาช้าๆ สายตาของทั้งคู่ประสานกัน เสียงแอร์ภายในรถดังหึ่งๆ แต่เสียงหัวใจเธอเต้นโครมครามกลบทุกสรรพเสียง ยิ่งชายหนุ่มเลื่อนหน้ามาใกล้ก็ยิ่งได้กลิ่นเย้ายวน ... กลิ่นของเขา กลิ่นผู้ชายที่พร้อมจะปกป้องเธอจากทุกสิ่งทุกอย่าง

แล้วเขาก็จูบเธอ ปลดปล่อยความอบอุ่นที่ริมฝีปาก ต่อให้โลกถล่มมาตอนนี้เธอก็ยอม...

-------------------------------------------------------------------------------

เรื่องมันจบง่ายๆที่โรงพัก.... พ่อผมกับน้ารสิทธิ์ต่างมากันครบ ผมแจ้งความนายกายข้อหาทำลายทรัพย์สิน เขาพยายามจะแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายกับผมเช่นกัน แต่เมื่อผมเล่าเรื่องให้พ่อของเขาฟังแล้ว กลายเป็นว่าฝั่งโน้นไม่แจ้งความอะไร

“น้าต้องขอโทษคุณคิงด้วยนะครับ ที่ลูกชายน้าก่อเรื่องแบบนี้” น้ารสิทธิ์พูดด้วยความเกรงใจ(ในที่นี้หมายถึงบารมีพ่อผม) ผมคุ้นเคยกับน้ารสิทธิ์มานาน เพราะเป็นคนสนิทที่คุณพ่อพยายามผลักดันตำแหน่งต่างๆในกรม เหตุการณ์ในครั้งนี้เลยกลายเป็นตอขนาดใหญ่ที่ตำใจเขาอยู่ตอนนี้

“พ่อไปขอโทษมันทำไม มันทำร้ายผมนะ!!” เจ้านั่นยังไม่สำนึกในการกระทำของตัวเองแก ผมล่ะเริ่มเสียใจที่ไม่พังหน้ามัน ผมไม่ตอบโต้อะไร เพราะหลังจากคำพูดนั้น น้ารสิทธิ์ก็ด่ามันยกใหญ่

สารวัตรของสน.นี้เป็นลูกน้องเก่าพ่อผมมาก่อน การที่ผมไม่โดนข้อหาอะไรเลยก็มาจากบารมีของพ่อเช่นกัน ผมหลบเลี่ยงที่จะพูดอะไรไปมากกว่านี้เพราะทั้งเหนื่อยและใจคอไม่ดี รู้สึกว่าตัวเองโง่เหลือหลายที่ไปตกหลุมพรางไอ้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนั้น แค่กางเกงในตัวเดียววางบนเตียง...พูดตามตรงนะครับ เป็นใครก็คิดว่าต้องมีอะไรกันแน่ๆ...แต่กลับกลายเป็นเกมพลิก ผมถูกหลอก!!

ถ้าวันนี้ไม่สะเออะมา ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ ผมคงไม่ต้องโดนหลอก รถก็ไม่ต้องโดนขูด พ่อของผมก็คงไม่ต้องออกโรงแบบนี้ ผมสำนึกผิดอย่างมหันต์ ความจริงแล้วพ่อของผมต้องไปเยี่ยมยายที่เพิ่งป่วยกับแม่ที่สุราษฎร์ฯด้วย แต่ผมดันมามีเรื่องเสียก่อน นายคิ้วก็เลยถูกยัดเยียดภาระกิจเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวแทน

นายไบรต์...หลังจากให้ปากคำแล้วก็ไปยืนรอหน้าสน.ไม่ยอมพูดจากับใครอีกนับจากนั้น ผมลอบมองบ่อยๆเฉกเช่นเค้า เพราะเราสบตากันบ่อยครั้ง ผมเห็นคำถามและความน้อยใจวนเวียบรอบตัวเค้านับไม่ถ้วน

“เรื่องรถ คุณคิงไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เดี๋ยวน้าจะรับผิดชอบซ่อมให้เอง”

“ขอบใจมากนะสิทธิ์” พ่อผมตบต่าลูกน้องเบาๆ ถึงแม้ระดับขั้นจะใกล้กัน แต่ผู้บังคับบัญชาก็คือผู้บังคับบัญชาอยู่วันยังค่ำ ไม่มีการข้ามหัวกันไปมาได้ ใครมาก่อน อยู่มานานก็ควรค่าแก่การเคารพ...นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมไม่ชอบวงการนี้ ตอนที่โดนพ่อบังคับให้ไปสอบนายร้อย ผมก็ไปอย่างเสียไม่ได้ และรู้ว่าตัวเองต้องติดแน่ๆถึงแม้จะทำข้อสอบมั่วแค่ไหนก็ตาม แต่สุดท้ายผมก็ไม่ติด เพราะผมส่งกระดาษเปล่าไป พ่อผมโวยวายอยู่เป็นเดือน แต่สุดท้ายก็เลิกบังคับ เพราะท่านรู้ว่าลูกตัวเองเป็นคนยังไง ถ้าผมบอกว่าไม่ มันก็มีความหมายตามนั้น

“กลับกันเถอะคิง” พ่อผมชวน เราแยกย้ายกันทางใครทางมัน ผมใจแป้ว เพราะรู้ว่าพ่อต้องซักถึงต้นตอเรื่องนี้แน่ๆ ตอนนี้ก็ค่อนข้างดึกแล้วด้วย พรุ่งนี้รถก็ไม่มีขับไปทำงาน ความคิดของผมปั่นป่วนไปหมด

“ไบรต์ คืนนี้กลับกับพ่อนะครับ พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย” ผมจ้องพ่อด้วยใบหน้าซีดเผือด...

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

คู่ขาคนเก่าของไบรต์  นี่ออกสาวมากมาย

ในขณะที่คิง...ไม่เห็นความสาวเลย

สรุปแล้ว  รสนิยมของไบรต์คือยังไงหว่า?

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน


Chapter 44:จำนนต่อหลักฐาน





เฟียซเดินเข้าบ้านด้วยจิตใจกึ่งเบิกบานและหงอยเหงา มองในแง่ดีคืออย่างน้อยหมอเบสต์ก็ทำให้มั่นใจได้ว่าเธอคือปัจจุบัน แต่ด้านตรงกันข้ามคือ ตัวเองก็ไม่สามารถก้าวผ่านคำว่า “อายุสั้น” ไปได้

“กลับมาแล้วค่า” มันกลายเป็นธรรมเนียมสำหรับบ้านนี้ไปเสียแล้วที่จะบอกการมาถึง เธอจำไม่ได้ว่าทำมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะมันนานจนกลายเป็นเรื่องปรกติ

“กลับมาแล้วเหรอเฟียซ มานี่สิ น้าภูมิมาหา” เฟียซเดินไปตามเสียงเรียกของผู้เป็นแม่ ห้องนั่งเล่นของบ้านอบอวลไปด้วยรอยยิ้มและความอบอุ่น

“สวัสดีค่ะป๋า มานานรึยังคะ” หญิงสาวไหว้ทักทายแขก หนุ่มใหญ่วัยสี่หรือห้าสิบที่คะเนอายุที่แท้จริงไม่ได้ น้าภูมิเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่ ตามศักดิ์แล้วจะเป็นแค่พี่น้องกับเธอ แต่ตามอายุแล้ว เรียกพี่ก็คงไม่เหมาะ หน้าตาหล่อเข้มรูปร่างบึกบึนนั่งที่โซฟาโดยมีฟางนั่งติดกัน ผมขาวกับริ้วรอยบนใบหน้าทำให้ดูเหมือนพ่อกับลูกสาวมากกว่าจะเป็นน้ากับหลาน เธอนั่งลงฝั่งตรงข้ามติดกับผู้เป็นแม่

“เอ๊ะ เรานี่ยังไง เรียกพี่เค้าว่าป๋าอยู่ได้” แม่แหว

“แหม แม่ก็” เฟียซตอบเสียงอ่อน พลางหยิบคุ้กกี้เข้าปาก “หนูก็เรียกมาตั้งแต่เด็กแล้ว มันติดปากนี่นา” ป๋า หรือ พลภูมิ เป็นเหมือนญาติที่สนิทกัน ย้ายมาอยู่บ้านหลังเก่าของเฟียซที่อยู่ถัดไปอีกสองสามซอยเมื่อหลายปีที่แล้วก่อนที่พ่อเธอจะเสียไม่นาน เธอยังจำมันได้ดี บ้านหลังกระทัดรัดเหมาะสำหรับอยู่ไม่เกินสามคน รั้วรอบขอบชิด เฟียซชอบบ้านหลังนั้นมาก เพราะมันเคยเป็นบ้านของคุณย่ามาก่อน ตอนเด็กๆก็มักจะไปขลุกอยู่กับท่าน ฟังนิทาน กินขนม พอคุณย่าเสียบ้านก็ถูกปล่อยให้ว่าง เธอยังจำบ้านเลขที่ได้เลย 77/44

“น่าตีจริงเชียวเราเนี่ย” แม่บ่นอีกครั้ง

“อย่าไปว่าเฟียซเลยครับน้าเพ็ญ ปล่อยเค้าเรียกตามสะดวก”

“เราก็ให้ท้ายน้องซะทุกทีเลยนะภูมิ” เสียงหัวเราะของทุกคนดังพร้อมๆกัน

“แหม แม่ก็ หนูไม่ใช่เด็กๆแล้วนะคะ ให้ทงให้ท้ายอะไรกัน”

“พี่เฟียซน่ะขี้อ้อนเหมือนเด็กออกจะตายไป ขนาดพี่คิ้วยังบอกเลยว่า ฟางน่ะเหมือนเป็นพี่สาว พี่เฟียซเป็นน้องสาวมากกว่า”

“ได้ทีทับถมพี่ใหญ่เลยนะยัยฟาง เดี๋ยวนี้คำก็พี่คิ้ว สองคำก็พี่คิ้ว” เธอจ้องที่น้องสาวที่กำลังหน้าแดง

“อ้าวๆๆๆ ไหงเปลี่ยนมาเรื่องหนูเฉยเลยล่ะ” ผู้เป็นน้องโวยวายลั่น

“สาวๆ สำรวมหน่อยสิจ๊ะ เกรงใจแขกบ้าง” แม่ปราม

“ไม่เป็นไรครับพี่เพ็ญ เห็นสาวๆเฮฮาผมก็พลอยมีความสุขไปด้วย”

“ทำเป็นพูดดีไป เมื่อไหร่เราจะมีสาวๆข้างกายบ้าง อายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้วนะ หน้าตารึก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่”

“ช่าย ป๋าน่ะหล่อจะตาย แต่งตัวนิด ทำผมหน่อย ขี้คร้านจะสับรางไม่ทัน”

“พอๆเลยทั้งคุณแม่ คุณลูก ฟางช่วยน้าหน่อยเร้ว” เขาหันไปขอความช่วยเหลือ

“โหย เห็นท่าจะไม่ไหวล่ะค่ะน้า ลองให้แม่และพี่เฟียซร่วมมือกันขนาดนี้ รอดยาก!” ฟางทำท่าเชือดคอเหมือนให้เขายอมแพ้แต่โดยดี

“ป๋าขา ขอบคุณมากนะคะสำหรับของขวัญวันเกิด เฟียซชอบมากเลยค่ะ”

“ถูกใจก็ดีแล้ว ป๋าเลือกตั้งนานแน่ะ” ภูมิยิ้ม ท่าทางโล่งใจ

“ของขวัญจากป๋าเฟียซชอบหมดแหละค่ะ เก็บไว้ทุกชิ้นเลยด้วย เนี่ยว่าจะซื้อตู้ใส่ละ” พลภูมิจะซื้อกระเป๋าให้เป็นของขวัญวันเกิดกับเธอทุกปี มีทุกยี่ห้อแถมมีราคาทั้งนั้น แรกๆแม่ของเธอก็พยายามปราม แต่ป๋าก็ยังซื้อให้เสมอๆ จนกลายเป็นเรื่องปรกติไปแล้ว

“แล้วนี่กล่องอะไรอะคะ” เธอเพิ่งสังเกตกล่องเก่าคร่ำครึทำจากเหล็กหรือสแตนเลสนี่แหละ ตัวกล่องไม่มีสีอื่นนอกจากสนิมที่เกาะกรัง ขนาดพอๆกับกล่องทิชชู่

“อ่อ วันนี้ป๋าว่างๆน่ะไม่ได้ไปทำงานเลยทำความสะอาดบ้านเลยไปเจอกล่องนี้ในห้องเก็บของ มันวางไว้ลึกแถมสีมันทึบๆไม่สังเกตดีๆก็จะไม่เห็นมัน” เธอถือวิสาสะเปิดออกมา ภายในไม่มีของสำคัญอะไรแค่กระดาษที่จดบันทึกลายมือของพ่อ มีรูปถ่ายสองสามใบที่เป็นรูปของครอบครัว รูปคุณย่า แต่มีรูปหนึ่งที่ถูกความชื้นทำลายส่วนใบหน้าไปหมด เหลือเพียงตรงลำตัวในชุดนักศึกษา เธอคิดว่าน่าจะเป็นรูปคิง แต่ก็ไม่แน่ใจเพราะคนในรูปสีผิวสว่างเกินไป

“มีแค่นี้เองเหรอคะ” เธอถาม

“ใช่จ้ะ” แม่เธอตอบ

“ของคุณพ่อทั้งหมดเลยเหรอคะ”

“คิดว่าอย่างนั้นนะ ป๋าเลยเอามาให้เราเก็บไว้”

“ขอบคุณมากค่ะป๋า” เธอยิ้ม มองรูปถ่ายสีหม่นด้วยความรู้สึกที่ยากอธิบาย....

“อ้อ มีอีกกล่องหนึ่งอยู่ในรถ เดี๋ยวผมไปเอามาให้นะครับพี่เพ็ญ”

“อ่อ ได้จ้ะ รบกวนด้วยนะจ๊ะ ไหนบอกว่ารถเสียไง ซ่อมเสร็จแล้วเหรอ”

“เพิ่งได้มาสดๆร้อนๆเลยครับพี่” ชายหนุ่มตอบพลางเดินออกจากวงสนทนา ก้าวขายาวๆด้วยความเร่งรีบมาที่รถ ตรงนั้นเองที่เห็นรถคันหนึ่งที่จอดนิ่ง ผู้ชายที่ยืนพิงนั้นคุ้นตา จนกระทั่งเข้าไปใกล้ จึงจำได้ในทันที

“บั๊มพ์...บั๊มใช่มั้ย?” ชายคนนั้นหันกลับมา ริ้วรอยแห่งวัยบนใบหน้าเพิ่มพูนตามอายุ ถึงแม้จะผ่านมาแล้ว 10 ปี แต่ภูมิไม่มีวันลืมใบหน้านี้ไปได้ “บั๊มพ์จริงๆใช่มั้ย” เขาทักอีกครั้ง ก่อนจะขยี้ตาเพื่อให้มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด และนึกขึ้นได้ว่าคนชื่อบั๊มพ์ตายไปแล้ว

“เอ่อ คุณคงทักคนผิดแล้วนะครับ” ชายหนุ่มนั้นถอยหนี ท่าทางห่างเหิน

“อ่อ ขอโทษครับ ผมคงจำผิด มาหาเจ้าคิ้วเหรอ”

“เปล่าครับ ผมมาหาเฟียซ” ชายหนุ่มตอบด้วยสีหน้าแปลกใจ

 “อ๋อ คุณคงเป็นคุณหมอเบสต์ แฟนของเฟียซใช่มั้ยครับ”

ชายหนุ่มตอบรับมองคนแปลกหน้าหน้าที่กำลังคิดทบทวน

“ขอโทษนะครับที่ทักผิดไปเมื่อกี้ คุณเหมือนคนที่ผมเคยรู้จักมากคนหนึ่ง”

“บั๊มพ์น่ะเหรอครับ”

“ใช่ครับ” ภูมิพยักหน้า

“บั๊มพ์เป็นน้องชายฝาแฝดของผมเองครับ แล้วคุณคือ...”

“ป๋า กลับแล้วเหรอคะ อ้าวพี่เบสต์มาตั้งแต่ตอนไหนคะ” เฟียซเดินออกตามหาป๋า กลับพบสองหนุ่มอยู่ที่หน้าบ้าน

“พอดีป๋ามีธุระ ต้องรีบกลับน่ะ ฝากของให้แม่ด้วยนะเฟียซ ขอตัวนะครับ” ภูมิเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ความงุนงงตกที่หมอหนุ่มอย่างเลี่ยงไม่ได้

-------------------------------------------------------------------

                เรานั่งเงียบตลอดทางกลับบ้านโดยมีผมเป็นสารถี และนายไบรต์ขี่มอเตอร์ไซค์ตามมา ผมนั่งคิดมาตลอดทางว่าพ่อจะถามอะไรบ้าง ควรจะตอบยังไง พ่อจะรู้เรื่องผมกับเค้ามั้ย แล้วพ่อจะว่ายังไง ความกังวลใจมันเกาะเกี่ยวบีบรัดจนผมแทบหายใจไม่ออก พยายามคุมสติและบังคับมือให้หยุดสั่น

                พอมาถึงบ้าน พ่อสั่งให้ผมไปรอที่ห้องตัวเอง และเรียกนายไบรต์เข้าไปคุยในห้อง ผมยิ่งตระหนกเข้าไปใหญ่ ทั้งคู่คุยกันนานมาก มากพอที่ผมจะสูบบุหรี่หมดไปซองครึ่ง อัดควันเข้าปอดจนผมเมาไปหมดแล้ว

และสุดท้าย นายไบรต์ก็มาเรียกผมไปที่ห้องพ่อ....

                ผมเก้ๆกังๆเข้าไปข้างใน พ่อนั่งอยู่บนเตียงด้วยมาดตำรวจ พ่อไม่เคยทิ้งลายอดีตตำรวจสอบสวนเลยสักนิด นายไบรต์เดินนำมาแล้วนั่งพับเพียบตรงพื้น ผมเห็นแบบนั้นเลยต้องนั่งข้างๆ

“มีอะไรจะบอกพ่อมั้ยคิง?” มันเป็นคำถามปลายเปิดที่โคตรกว้าง ผมจะเลี่ยงตอบว่าผมน่ะกำลังจะได้ปรับตำแหน่งตอนต้นปีเลยยังได้ แต่ทุกคนต่างก็รู้ ว่าคำถามพ่อเจาะจงถึงเรื่องอะไร

“พ่ออยากรู้เรื่องอะไรครับ” ผมพยายามเลี่ยง วลีนี้ไม่ได้ก่อกวน แต่อยากรู้มากกว่าว่าพ่อรู้อะไรไปบ้าง การแยกผมกับเค้าคุยมันเป็นเรื่องที่บีบคั้นสุดๆ เพราะไม่รู้เลยว่านายไบรต์พูดว่าอะไร แล้วผมควรจะพูดว่าอะไร

“เอาเรื่องคืนนี้ก่อนก็ได้” พ่อผมตอบเรียบๆ “พ่ออยากรู้ว่าต้นตอของเรื่องมันมายังไง”

“ผมไปหาไบรต์แล้วกำลังจะกลับ แล้วก็เห็นเด็กนั่นขูดรถผมอยู่แล้ว...ก็เป็นอย่างที่พ่อเห็น”

“แค่เขาขูดรถ ถึงขั้นต้องทุบตีขนาดนั้นเลยหรือ” พ่อผมถามจี้ใจ “แค่นี้จริงๆเหรอคิง”

ผมมองหน้านายไบรต์ คำถามร้อยแปดที่พยายามสื่อออกไปเหมือนจะไม่เป็นผล เราสบตากันนิ่งๆ

“คิง” พ่อผมเรียกหาคำตอบ “แล้วทำไมเราถึงต้องออกไปหาน้องตอนค่ำมืดด้วยล่ะ”

 “ผมจะเอาของกินที่แม่ทำเผื่อไปให้นายไบรต์” ผมเอาแม่มาอ้าง จริงๆแล้วเป็นแค่ขนมตะโก้ของโปรดของคุณยายเฉยๆ แม่ผมทำไว้เผื่อให้พวกเรากินอยู่แล้ว เลยอาสาเอาไปฝากลูกชายคนใหม่ของแม่ ผมเล่าเรื่องในวันนี้ให้พ่อฟัง อย่างน้อยผมก็ละคำว่าระหว่างผมกับเค้ามีความสัมพันธ์กันออกไปก่อน  “แล้วเรื่องมันก็เกิดขึ้นอย่างที่พ่อเห็นครับ” ผมได้แต่ภาวนาให้พ่อจะคล้อยตาม

“อีกคำถามหนึ่งคิง แค่เขาขูดรถ ถึงขั้นลงไม้ลงมือเลยเหรอ” ผมใจหายวาบ ตัวสั่นไปหมด

“ผมห้ามแล้ว เค้าไม่หยุด แถมยังกวนประสาทผม” ผมพยายามควบคุมเสียงให้หยุดสั่น “แถมยังจะทำร้ายผมอีกด้วย”

“ทำไมเขาต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะคิง” พ่อผมถามเสียงเย็น ผมใจเสียเพิ่มขึ้น 30% “เด็กคนนั้นตัวเล็กกว่าเรา แถมเราเป็นนักมวย จะให้พ่อเชื่อเหรอว่าคิงกลัวจะโดนทำร้าย?”

“...” ผมไม่มีคำตอบให้ อย่างน้อยผมก็ไม่อยากเป็นคนที่หลุดปากเรื่องบ้าๆระหว่างผมกับนายไบรต์ออกไปแน่ๆ

“คิงสบตาพ่อสิลูก” พ่อผมพูดเพราะเวลาที่ออกคำสั่งเสมอ ผมเงยหน้าช้าๆ ดวงตาแดงก่ำเริ่มแสบเพราะพยายามข่มความกลัวเอาไว้

“พ่อไม่เคยสอนให้คิงโกหกหรือปิดบังพ่อใช่ไหม?” ผมพยักหน้า รู้สึกถึงน้ำตาเค็มๆที่ไหลตามแก้ม

“เรื่องคืนนี้ คิงก็บอกพ่อไม่หมด” พ่อผมเข้าประเด็น ผมหลบสายตาหันไปมองนายไบรต์ที่ก้มหน้าเช่นกัน

“ผม...”

“พ่อไม่โกรธหรอกที่ลูกไปมีเรื่อง” พ่อทิ้งช่วง “พ่อไม่โกรธเลยสำหรับเรื่องวันนี้ พ่อแค่เสียใจ...” ผมได้ฟังแล้วสะอึก พ่อเสียใจ...เรื่องอะไร?? ผมสบตาพ่ออีกครั้งคราวนี้มีเครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมาด้วย

“พ่อเสียใจ ที่ลูกปิดบังพ่อ” น้ำเสียงพ่อลดความกระด้างลง ภาพไหล่ของพ่อที่เคยกว้างกลับดูแคบตามวัยที่ล่วงผ่าน ใบหน้าพ่อเหี่ยวย่นไปตั้งแต่ตอนไหนกันนะ ทำไมพ่อดูตัวหดเล็กลงขนาดนี้ไปได้...

“ผมขอโทษ” ผมรู้ว่าพ่อหมายถึงอะไร

“พ่อไม่ด่าหรือตบตีลูกเพราะเรื่องแค่นี้หรอกนะคิง” พ่อผมเสียงสั่นเครือ “คนเป็นพ่อแม่ เลี้ยงลูกได้แค่ร่างกาย แต่เราบังคับจิตใจใครไม่ได้หรอกลูก...”

“แต่พวกเราก็ได้แต่หวัง ว่าลูกๆของเราจะเติบโตเป็นคนดี” นายไบรต์สบตาผมอีกครั้ง เค้าจับมือผมแน่น “ตอนเด็กๆ ลูกเป็นเด็กขี้อ้อน มีอะไรก็บอกพ่อตลอด จำได้ไหมลูก” ผมพยักหน้า ภาพควาทรงจำตอนเด็กลอยวนเวียน “ลูกน่ะเป็นเจ้าหนูจำไม ถามนั่นถามนี่ไม่หยุด มีเรื่องอะไรก็จะเล่าให้พ่อฟังเสมอ”

“พ่อก็แค่หวัง ว่าลูกชายของพ่อจะไม่เปลี่ยนไป เวลามีอะไรก็จะมาคุยกันแบบแต่ก่อน” พ่อผมตัวสั่น “แต่พ่อก็ได้แต่หวังลมๆแล้งๆไปเองสินะ” น้ำตาผมไหลนองหน้า นายไบรต์กุมมือผมแน่นไม่ยอมปล่อยออก

“พ่อแค่เสียใจ ที่คำว่าพ่อไม่สำคัญในสายตาลูกชายคนนี้อีกแล้ว”

“พ่อครับ มันไม่ใช่อย่างนั้น...” ผมประท้วง

“แต่ลูกก็เลือกที่จะปกปิดทุกอย่างกับพ่อ ใช่ไหมล่ะ? แม้กระทั่งเมื่อกี้ที่พ่อถามก็ตาม” ผมสะอึก พ่อพูดจี้ใจอย่างแรง

“ผมขอโทษครับ” ผมเช็ดน้ำตา “ผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง”

“ถ้าอย่างนั้น เริ่มต้นจากความจริงตรงหน้าพ่อก่อนได้ไหม”

พ่อผมชี้มาที่มือเราทั้งคู่ คราวนี้ผมต้องจำนนด้วยหลักฐานแล้วสินะ...

--------------------------------------------------------------------

หมอหนุ่มครุ่นคิดขณะขับรถกลับบ้าน เขาแค่จะเอาของกลับไปให้คนรัก แต่กลับมาเจอใครที่ไหนก็ไม่รู้มาทักว่าเป็นบั๊มพ์ “บั๊มพ์ บอกเราสิ คนนี้เหรอคนรักของนาย?” เขาถามไปกับอากาศ หวังว่าจะได้รับคำตอบกลับมาจากสายลมที่ไหนสักแห่ง...

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โลกกลมนะ  ภูมิที่เป็นคนรักของบัมพ์คือญาติของเฟียซ

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
Chapter 45: ความสัมพันธ์อันแสนงุนงง

               ถ้าผมเป็นพ่อคนในวงเล็บว่าถ้ามีโอกาสนะครับ คงจะรู้สึกเสียใจเหมือนที่พ่อรู้สึก แต่ผมคงไม่ใจกว้างขนาดยอมรับความสัมพันธ์ของลูกชายแบบนี้ได้ง่ายๆแบบนี้แน่...แต่ใครจะรู้ ถ้าผมได้เป็นพ่อคนจริงๆผมคงยอมลูกทุกอย่างเหมือนที่พ่อทำนั่นแหละ ความรักของสายเลือดมันยากจะอธิบาย แต่เรื่องนี้มันคงอยู่นอกเหนือตัวตนของผมไปแล้ว

               สุดท้ายแล้วพ่อก็ไม่ว่าอะไร เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด พ่อนิ่งเงียบเหมือนกับเรื่องนี้ได้เคยผ่านหูมาก่อน ผมเดาว่าก่อนหน้านี้พ่อคงคาดคั้นจากเค้ามาหมดแล้ว การที่ได้เห็นท่าทางแบบนี้ทำให้ผมแปลกใจ ไม่รู้สิ ทำไมพ่อยอมง่ายจัง???

“พ่อไม่โกรธผมเหรอครับ”

“พ่อจะโกรธทำไมล่ะคิง พ่อไม่มีสิทธิ์ไปห้ามลูกไม่ให้รักใครชอบใคร หน้าที่พ่อคือคอยเฝ้าดูลูกอยู่ห่างๆ ให้คำปรึกษาเวลาที่ลูกเสียใจ”

“ผมจะไม่ทำให้พี่คิงเสียใจแน่นอนครับ” พ่อผมตาขวางนิดๆ

“ทำให้ได้อย่างที่พูดละกัน เราน่ะตัวต้นเรื่องเลยนะ” พ่อผมดุ นายไบรต์ถึงกับหงอยไปเลย

“พ่อครับ...ผม...” ผมอยากจะพูดหรืออธิบายเรื่องราวต่างๆ เพิ่ม แต่มันเหมือนถูกกำกับไว้หมดแล้วจากภาพที่เห็นและสิ่งที่เป็น

“ไม่ต้องอธิบายพ่อหรอกคิง” พ่อผมปลอบ “ไว้อธิบายเรื่องนี้กับแม่ดีกว่า” บรื๋ออออ...นี่แหละที่ผมกลัว...

               กว่าพวกเราจะได้นอนก็เกือบตีสอง ผมโล่งใจที่พ่อยอมรับในเรื่องนี้ ถึงแม้พ่อจะไม่ได้พูดตรงๆว่ารับได้ที่ผมกับเค้าเป็นอะไรกัน แต่การที่พ่อไม่คัดค้าน (ก็เหมือนพ่อยอมรับแล้วนั่นแหละ) ตอนนี้ที่นอนผมเริ่มแคบเพราะมีหมีตัวใหญ่ๆนอนแผ่หราโดยมีผมนอนหนุนแขนเค้าเหมือนเดิม กลิ่นกายหลังอาบน้ำของเค้าโชยปะทะ ไอร้อนจากร่างกายของเค้าลอยเวียนพลอยให้ผมอุ่นขึ้นในคืนนี้

“พ่อถามอะไรบ้างอะ” ผมถามเรื่องที่เค้ากับพ่อคุยกันในห้องก่อนหน้าที่จะเรียกผมไป

“พ่อบังคับให้ผมเล่าเรื่องทั้งหมด” เค้าสารภาพ

“พ่อเนี่ยนะ บังคับนายได้” ผมเสียงสูง ทั้งๆที่พอจะเดาได้ว่าเค้าจะโดนพ่อซักไซร้อะไรบ้าง

“พ่อพี่น่ากลัวจะตาย พี่ก็น่าจะรู้ดี”

“ทำเป็นพูดดีไป ใครก่อเรื่องกันล่ะ”

“โทษผมคนเดียวได้ไงล่ะ พ่อพี่เป็นตำรวจนะครับ พี่ก็น่าจะรู้ว่าท่านมีสารพัดวิธีขู่ผมแหละ” เค้าเสียงอ่อย

“แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปสารภาพง่ายๆนะ” ผมประท้วง

“ผมปิดไม่ได้หรอกครับ เพราะท่านเห็นเราสองคนเมื่อคืน” ผมตะลึงลืมตาโพลง พ่อเห็นตอนนายไบรต์มาหาที่บ้านเมื่อคืน!!

ผมเริ่มประติดประต่อเรื่องราวได้

“แม่ง นายไม่น่ามาเลยนะ” ผมทุบอกเค้าดังพลั่กๆ จนเค้าต้องคว้ามือผมไว้นั่นแหละผมถึงสงบ ก่อนที่เค้าจะลูกขึ้นมาคร่อมตัวผมไว้

“ก็ผมคิดถึงพี่นี่นา” เสียงหัวใจของเราทั้งคู่เต้นโครมคราม ลมหายใจอุ่นๆของพวกเราประสานกัน “ผมขอจูบพี่ได้มั้ย” ผมแอบยิ้มในความมืด อย่างน้อยเค้าก็ยังทำตามกติกาของผม...แล้วไฟก็สว่างพร้อมๆกับคำตอบที่ออกจากปากผม

“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา” เมื่อริมฝีปากเค้าประกบลงมา...ผมก็นึกขึ้นได้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะผมไปจูบเค้าวันแรกที่เราเจอกัน...ผมพลาดเองแหละที่ไปเริ่มก่อน มันไม่มีเค้าลางอะไรสักนิด แค่ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย สมองมันก็เลยรวน การสั่งการเลยผิดแผกไปจากเดิม...นี่ไม่ใช่คำแก้ตัวนะ (หวังว่าจะมีคนเชื่อผมบ้าง)

--------------------------------------------------------------------------------------------

               เช้าวันนี้...วันอังคารสินะถ้าผมจำไม่ผิด (ขอนับนิ้วก่อน) ถ้านับรวมคืนแรกที่เจอกันจนถึงคืนนี้ ก็สิริรวมก็เป็นเดือนแล้วที่ผมเจอกับเค้า และก็ถูกเค้าติดหนึบอยู่แบบนี้  เช้านี้ก็ไปทำงานพร้อมพ่อตัวดีนี่แหละเนื่องจากรถคู่ชีพเข้าอู่ยังไม่รู้กำหนดจะได้คืน

“คืนนี้ไปปาร์ตี้กันนะครับ”

“ไม่ไป”

“โหย พี่คิงงงงงงงงงงงงง” เค้าลากเสียง

“ไปทำไม”

“ไปสนุกกันงายยยยยยยยยยยยยยย” เค้าอ้อน

“ไรสาระ” บทสนทนาของพวกเราก็เป็นแบบนี้แหละครับ ผมไม่ใช่คนหวานจนเลี่ยนซึ่งผมกับเค้าที่พยายามสรรหาอะไรต่อมิอะไรมาให้อยู่เรื่อยๆ “ไปทำงานได้แล้ว” ผมลากตัวเค้าออกจากโต๊ะอาหาร พ่อยังไม่ตื่น สงสัยเพราะเมื่อคืนนอนดึก วันนี้คงเข้ากรมสายๆแหละครับ

               เค้าพาผมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปทำงานด้วย พี่ภูมิเสนอตัวจะมารับเพราะรถแกซ่อมเสร็จแล้ว แต่ผมก็ปฏิเสธไป ไม่อย่างนั้นพ่อเจ้าประคุณจะโกรธ ลมกรุงเทพยามเช้าส่งกลิ่นเหม็นบูดและแผ่ไอร้อนปะทะหน้า นี่ขนาดยังไม่เช้ามาก ความขวักไขว่จอแจมีเต็มไปหมด

ผมนึกถึงเรื่องเมื่อคืน...

               ริมฝีปากอุ่นๆของเค้าถอนออกพร้อมแรงหายใจหอบหนักของผมที่โดนรุกเร้าปลุกปั่น หากใครที่เคยโดนจูบจะรู้ดีว่า ฝ่ายที่รองรับแรงบดเบียดนั้นจะเหนื่อยกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง เนื่องจาก...เอาน่า ผมว่าคุณๆรู้แหละ

“พี่ยังไม่ตอบที่ผมเคยถามไปเลย”

“ถามไรวะ”

“ที่ผมขอพี่เป็นแฟนไง” อุ๊ปส์!!! นี่ใจคอจะไม่ให้ได้หายใจคล่องคอเลยใช่มั้ยเนี่ย แสงไฟสาดส่องใบหน้าเค้า ผมเห็นความจริงจังและน้ำเสียงที่หนักแน่น

 “ทำไมพี่ต้องเป็นแฟนเราด้วยวะ คนเจอกันไม่กี่วันจะเป็นแฟนกันได้ไง”

“พี่พูดแบบนี้อีกละ” น้ำเสียงเค้างอนๆ โอยยยย ขี้งอนจริงพ่อคู๊ณ!

“แล้วมันจริงมั้ยล่ะ เรารู้จักกันดีแค่ไหน พี่แทบไม่รู้จักเราเลยนะ”

“แต่ผมรักพี่ แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ”  รัก!! เค้าหลุดมาแบบง่ายๆอีกแล้ว แต่ครั้งนี้กลับทำให้ผมใจเต้นโครมใหญ่ คำพูดที่คิดไว้หายไปหมด สมองตื้อกระทันหัน

“พี่ไม่รู้ว่ะ อย่างที่บอก ว่าเราแทบไม่รู้จักกันเลย” เค้าลูบที่แก้ม ฝ่ามือร้อนผ่าวส่งผ่านความอบอุ่น สองตาจับจ้องมาที่ผม

“พี่จำผมไม่ได้จริงๆเหรอ” ผมจ้องตาเค้ากลับ พลางสำรวจใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทวดาที่นอนตะแคงอยู่ตรงหน้า พยายามนึกหาความคุ้นตา วันแรกที่ผับ ก่อนหน้านั้นที่ญี่ปุ่น แล้ว....

“จำไม่ได้ว่ะ” ผมสารภาพ “พี่ก็สงสัยอยู่เหมือนกัน เราชอบพูดบ่อยๆว่ารู้จักพี่มานานแล้ว ตั้งแต่ตอนไหนวะ?”

“ถ้าอย่างงั้น ผมจะเล่าให้พี่ฟังเองครับ” เค้าส่งตาหวานมาให้ผมจนเลี่ยน รู้สึกว่าพักนี้จะถูกลวนลามทางสายตาบ่อยครั้งเกินไปละ

-----------------------------------------------------------------

ชายหนุ่มเดินอย่างใจเย็นและมาหยุดที่หน้าห้องนี้ เขาเคยมีความหลังกับมันเมื่อนานมาแล้ว แต่เวลาก็คือสิ่งที่ล่วงผ่าน ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ...

ประตูเปิดแกร็ก พร้อมเสียงเชื้อเชิญให้เข้าไป...

“มาแต่เช้าเชียวนะเบสต์ ตามสบายเลยนะ ขอเวลาต้มกาแฟแป๊บนึง” น้ำเสียงนั้นสบายๆไม่มีอารมณ์ทุกข์ร้อน

หมอหนุ่มจับจ้องอากัปกิริยาของหญิงสาว ท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียวพลิ้วไหวทุกการเยื้องย่างชวนให้หลงใหล ครั้งหนึ่งเขาเคยลุ่มหลงกับเรือนร่างนี้มาแล้ว พยายามคุมสติ เขาเตือนตัวเอง ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะเข้าชุดที่เคยซื้อด้วยกันเมื่อครั้งกระโน้น กาแฟหอมกรุ่นวางพร้อมๆกับการมาของเธอ “กาแฟดำครีมสองไม่ใส่น้ำตาล ใช่มั้ย” หมอหนุ่มมองอดีตคนรักตักครีมเทียมใส่แล้วคนไปมาก่อนยื่นมาให้ กาแฟส่งกลิ่นกรุ่นปะทะจมูก เขาจิบมันโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเชื้อเชิญ

“ทำไมต้องพูดแบบนั้นกับคุณเฟียซด้วย” ชายหนุ่มเข้าประเด็นที่ค้างคาตั้งแต่เมื่อวาน

“เรื่องไหน...” อีกฝ่ายทำท่าครุ่นคิด หมอหนุ่มคิดว่ามันเป็นละครฉากเล็กๆที่คุ้นเคย “อ๋อ เรื่องที่พูดในห้องน้ำน่ะเหรอ” เขาพยักหน้ารับ

“คุณทำอย่างนั้นเพื่ออะไร นิด”

“คุณก็รู้ดีแก่ใจนี่นาเบสต์ คุณจะถามอีกทำไม”

“แต่เรื่องของเรามันจบไปตั้งนานแล้วนะนิด”

“นานแล้วเหรอ หึ คุณเป็นคนจบมันฝ่ายเดียวนะเบสต์ ไม่ใช่ชั้น” น้ำเสียงของเธอโมโหอย่างชัดเจน เขาเหนื่อยหน่ายกับนิสัยแบบนี้เต็มทน ชายหนุ่มไม่พูดอะไร ยื่นของบางอย่างให้ นิชารับไปอย่างไม่ใคร่จะใยดีเท่าใด

“แต่คุณก็เอาตัวรอดเก่งนะคะเบสต์” เธอพูดขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบโต้ “ที่บอกว่าชั้นแต่งงานแล้ว” นิชาพิจารณาสิ่งที่เขายื่นให้เมื่อครู่

“แต่คุณลืมบอกไปนี่นา ว่าคนที่แต่งงานกับชั้น ก็คือคุณ” เธอยื่นสิ่งนั้นกลับมาให้โดยที่ไม่ทำอะไรกับมัน “นี่เหรอ เหตุผลจริงๆที่คุณมาหาชั้นวันนี้”

“ใช่ มันจะต้องจบวันนี้” เขาพูดขึ้นในที่สุด “เซ็นซะเถอะนิด อย่ายื้ออีกเลย คุณก็รู้ว่าเราทั้งคู่ไปกันไม่รอด”

ทั้งคู่ต่างสบตากัน แววตาอีกฝ่ายหนึ่งจริงจังจนน่ากลัว แต่อีกฝ่ายนั้น ถึงแม้นจะดูว่าเสแสร้ง แต่ความเหม่อลอยที่แสดงออกมาสื่อความหมายที่เจ็บปวด และอยากให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจ

“เซ็นใบหย่าเถอะนะนิด ให้เรื่องระหว่างเราจบๆไปเสียที”

------------------------------------------------------------------

“คิง มาก็ดีแล้ว คุณภูมิเรียกนักศึกษาฝึกงานไปพบน่ะ ที่ห้องประชุม 3” เสียงเลขาพี่ภูมิดึงผมจากภวังค์

“กี่โมงครับพี่” เค้าถามแทนผม

“สิบโมงครึ่งจ้ะ ตอนนี้แกมีประชุมบอร์ดอยู่ อีกชั่วโมงนึงคงเสร็จ อ้อ คิงไปด้วยนะ ในฐานะพี่เลี้ยงและคนประเมินน้องๆ” พี่เลขาตอบ พวกเราตอบรับและขอบคุณแล้วก็มาที่โต๊ะ วันนี้ประขุมแผนปิดยอดสิ้นเดือน ผมมีสรุปยอดขายรายสัปดาห์ที่ต้องเตรียมทำ พอสิ้นวันนี้ก็จะปิดยอดของแต่ละร้านค้า อีก 3 วันก็จะส่งตัวเลขประเมินยอดของเดือนได้ว่าจะปิดที่เท่าไหร่ ได้เป้าหรือไม่ ส่วนใหญ่ที่ต้องทำคือตระเตรียมเนื้อหาส่วนของความเคลื่อนไหวทางการตลาดเสียมากกว่า เนื้อหาก็มาจากพี่ๆน้องๆเซลล์ในพื้นที่ ผมมีหน้าที่เอาข้อมูลมาอ่านแล้วสกรีน เพิ่มเติมหรือตัดทอน

               เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วก็หน้าแดงอีกครั้ง เพราะเรื่องราวทั้งหมดว่าอะไรคือเหตุผลที่เค้าตามผมต้อยๆ ยิ่งรู้ก็ยิ่งไม่อยากจะเชื่อ เหตุผลแค่นั้นทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียว ผมทำงานต่อไปเรื่อยๆจนเก้าโมงกว่าก็ได้โครงร่างรายงานประจำเดือน ยังมีเวลาอีกเป็นชั่วโมงก่อนประชุมทีมเด็กฝึกงาน

“ไบรต์ พี่จะไปบรี๊ฟงานที่ห้องคุณภูมิ ไปด้วยกันนะ” ผมออกปากชวนเค้า เพราะหน้าที่ของเค้าคือรวมข้อมูลการประชุมที่ได้มาจากเซลล์ในพื้นที่ก่อนให้ผมอ่านอีกที (ปรกติผมเป็นคนทำเอง แต่เมื่อมีเด็กฝึกงานมา ก็ต้องใช้ให้เข็ด 555)

               ห้องทำงานพี่ภูมิอยู่ใกล้ๆกับคอกทำงานผม เราผ่านพี่เลขา แกบอกว่าพี่ภูมิยังไม่มาแต่คงอีกไม่นาน พวกเราเลยมานั่งรอในห้องก่อนได้ ผมสำรวจโต๊ะทำงานพี่ภูมิที่ค่อนขางเป็นระเบียบ เท่าที่รู้จักกันมา แกไม่ใช่คนที่มีระเบียบมากขนาดนี้ แต่คงเป็นฝีมือพี่เลขาที่จัดซะดูดีเชียว เรานั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเก้าอี้เจ้าของห้อง ผมวางเอกสารลง สายตายังไม่หยุดสำรวจ แล้วสายตาผมก็จับจ้องไปที่ขวดโหลใบหนึ่ง ในนั้นมีนกกระดาษตัวเล็กๆอยู่เต็มไปหมด อีกขวดหนึ่งมีรูปดาวและหัวใจ ผมมองแล้วนึกถึงคำพูดใครบางคนแถวนี้

“พี่บั๊มพ์พับกระดาษเก่งมาก...”

เสียงประตูห้องทำลายความคิด ผมหันไปมองร่างสูงที่เดินเขย่งเข้ามา ท่าทางฟุตบอลเมื่อวานซืนจะทำพิษกับพี่ภูมิไม่น้อย

“อ้าว คิง มีอะไร” พี่ภูมิถามโดยไม่มองมาทางพวกเรา แกจับจ้องพื้นและค่อยๆก้าวราวกับว่ามันขรุขระเสียมากมาย

“ผมมีดร๊าฟท์รายงานมาให้พี่ดูก่อนน่ะครับ”

“อ่อ เออ ดีๆ พี่ก็ว่าจะเรียกมาดูก่อนเหมือนกัน แล้วนี่ใครล่ะเนี่ย” พี่ภูมิถามถึงคนที่นั่งหันหลังให้ เค้ายังไม่หันมาจนกระทั่งได้ยินคำถามนี้แหละ

“อ๋อ เด็กฝึกงานครับ ชื่อนราธิป” นายไบรต์หันมาทางพี่ภูมิ ยกมือไหว้ ผมเห็นพี่ภูมิลืมตาโพลงด้วยความตกใจ

“ไบรต์เหรอ?” พี่ภูมิเป็นฝ่ายทัก ตอนนี้กลายเป็นผมที่ตกใจยิ่งกว่า เจ้านายผมทำท่าเหมือนรู้จักไอ้ตัวดีนี้...เป็นไปได้ไง????

“ครับ น้าภูมิใช่มั้ย” เค้าทักทายอย่างเป็นกันเอง ทั้งๆที่เพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก มันยิ่งทำให้ผมประหลาดใจไปกันใหญ่

“ใช่ น้าเอง ไบรต์หายไปไหนมา กี่ปีแล้วเนี่ยที่ไม่ได้เจอกัน โห ตัวโตขึ้นตั้งเยอะ”

“นี่ ทั้งสองคนรู้จักกันด้วยเหรอครับ” ผมถามแทรก

“ใช่แล้ว...เอ่อคิง เดี๋ยวพี่ขอคุยกับไบรต์เค้าแป๊บนึงนะ เสร็จแล้วจะโทรไปเรียก” อ้าว! กลับกลายเป็นว่าผมถูกกำจัดออกจากวงสนทนาเสียแล้ว ผมได้แต่จำใจลุกและเดินออกมา นายไบรต์สบตาผมเหมือนกับบอกว่าไม่มีอะไรหรอก แต่ถ้าไม่มีอะไร ทำไมพี่ภูมิต้องให้ผมออกไปก่อนด้วยฟระ!! ผมจะมาคุยงานนะเฟร้ย!!

“สบายดีมั้ยนายไบรต์ สิบปีแล้วสินะเนี่ยที่ไม่ได้เจอกัน แล้วพี่ชายเราเป็นยังไงบ้าง...” ผมได้ยินพี่ภูมิยิงคำถามแค่นี้ก่อนที่ประตูห้องจะปิดลง ผมกลับไปนั่งที่โต๊ะด้วยความงุนงง ถ้าเรื่องที่เค้าเล่าเมื่อคืนมันจะเกี่ยวข้องกับพี่ภูมิด้วยล่ะก็ ผมพอจะรู้แล้วว่าแกมีบทบาทในเรื่องนี้ยังไง....

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

คิงแกรู้รายละเอียดที่ไบรต์เล่า   แต่คนอ่านไม่รู้ 

นี่คิดจะปิดคนอ่านไปถึงเมื่อไร?

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
ทำไมเรื่องมันวุ่นวายขนาดนี้
หมอเบสต์ นี่คือหลอกเฟียสมากอ่า
ภูมิกะไบร์ท ก็มีความโลกกลม
หวังว่าคู่ไบร์ทกะคิง จะไม่มีอดีตอะไรแย่ๆตามมาอีกนะ
 :hao5:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:


ขอบคุณมากครับ  :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ทุกคนต่างก็มีความเห็นแก่ตัวกันหรือเปล่า
อยากได้ อยากครอบครอง จึงต้องร้าย???

โอ๊ยยยยยย...รู้สึกน่ากลัวกันทุกคนเลย
ม่ายยยยยยยหวายยยยยยยยย น่ออออ

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
​แจ้งข่าวนะครับ....

ไรต์มีความยินดีจะแจ้งให้ทราบว่า อีกไม่นานนิยายของไรต์ เรื่อง

สัญญาธนาการ (Eternity Bondage) จะตีพิมพ์แล้วนะครับ

หากใครชื่นชอบผลงานของไรต์ ก็อย่าลืมอุดหนุนกันได้นะครับ

ที่สำคัญ จะมีตอนพิเศษเพิ่มอีก 5 ตอนรวดให้อ่านกันจนจุใจแน่นอนครับ

---------------------------------------------------------------------------



Chapter 46: โกหกคำโต

ผมกับเค้านั่งกินข้าวกันที่ร้านส้มตำร้านโปรด(ของผม) นายไบรต์กำลังถูกทดสอบเรื่องอาหารการกินอยู่ครับ เพราะผมเป็นคนชอบกินรสจัด(เป็นบางครั้ง) เที่ยงนี้เลยสั่งส้มตำปูปลาร้า น้ำตกหมู ลาบหมู มาจัดเต็มให้ซะหน่อย ดูเหมือนว่าบททดสอบนี้จะไม่ส่งผลอะไรกับเค้าเท่าไหร่ เพราะรายนี้สั่งไส้หมูย่าง คอหมูย่างและไก่ย่างมาแกล้มครบทีม พออาหารมาครบผมแทบลมจับ เพราะว่ามีแค่ 2 คน...

“กินส้มตำด้วยดิ” ผมตักส้มตำใส่จาน เค้ามองพร้อมเบ้ปาก

“ไม่เอา ผมไม่กินปลาร้า” แล้วเค้าก็เขี่ยมันออก

“ไรวะ พี่อุตส่าห์ตักให้”

“ผมกินไม่เป็นจริงๆอะพี่คิง ตักอย่างอื่นมาเถอะนะ” น้ำเสียงเค้าอ้อนๆเชิงง้อ

“ตักเองสิ พี่ตักให้แล้วไม่กินเองช่วยไม่ได้” ผมจ้วงข้าวเหนียวเข้าปาก เคี้ยวแก้มตุ่ยไม่สนใจเค้า

“โหย พี่คิงอะ”

“อะไรกันสองคนนี้ งอนอะไรกันอีก” เสียงไอ้ใหญ่แซวตอนมันมาสมทบที่โต๊ะ

“อ๊ะ พี่ฝรั่ง สวัสดีครับ” นายไบรต์ยกมือไหว้ ถึงแม้จะอยู่สำนักงานเดียวกัน แต่เค้าก็ไม่ได้เดินไปเดินมาสักเท่าไหร่

“หวัดดีครับ ไอ้คิงแกล้งอะไรล่ะเนี่ย หน้ามุ่ยเชียว”

“ก็พี่คิงอะดิ ตักปลาร้าให้มาให้ ผมบอกไม่กินก็ไม่ฟัง” นั่น ได้ทีฟ้องใหญ่

“อะไรกัน หยอกกันเป็นคู่รักวัยหวานไปได้ห๊ะไอ้คิง”

“หยอกเชี่ยอะไร!!” ผมตะคอก มันรู้แหละว่าไม่ได้จริงจังอะไร

“เอาน่า อย่าว่าแฟนดิวะ”

“แฟนเชี่ยอะไรอีกล่ะ” ผมเน้นเสียงตรงคำว่าเชี่ยอย่างจงใจ...

“พี่ไง แฟนผม พี่ฝรั่งดูยังรู้เลย” นั่น นั่น นั่น มันได้ทีนะครับ

“หุบปากไปเลยนายไบรต์ เดี๋ยวเพื่อนพี่เข้าใจผิดหมด” ไอ้ใหญ่มองผมกับเค้าสลับกันไปมา เลิกคิ้วกับคำพูดของผม

“กูเนี่ยนะเข้าใจผิด มึงรู้มั้ยตอนกูมองอยู่หน้าร้าน พวกมึงสวีตกันจนมดแทบตอมแล้ว” อ้าว ไอ้เพื่อนเวร

“มึงยอมรับความจริงเถอะไอ้คิง มึงน่ะหลงเสน่ห์น้องไบรต์แล้วใช่มั้ย” ผมไม่ตอบ คำถามมันแทงใจจี๊ดใหญ่ ได้แต่หลบตาไอ้เพื่อนปากหมาแล้วไปสบตาเค้าแทน

ผมรู้สึกว่า กำลังโดนลวนลามทางสายตาอีกแล้ว....

---------------------------------------------------------------------------

แล้วไอ้ใหญ่มันก็ไม่ไปไหน นั่งกินกับพวกผมจนจบรายการ (นอกจากไอ้ใหญ่แล้วยังมีไอ้นัทตามมาทีหลังด้วย) ผมเลยหมดโอกาสที่จะถามพ่อตัวดีเลยว่าคุยอะไรกับพี่ภูมิไปบ้าง เพราะเท่าที่ฟัง(ได้แค่ประโยคเดียว)มันเกี่ยวกับพี่บั๊มพ์ทั้งนั้น

“เออคิง พี่ภูมิไปไหนละ มีเอกสารด่วนจะให้เซ็นซะหน่อย” ไอ้นัทเป็นคนออกปากถาม

“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ พอประชุมเด็กฝึกงานแกก็พุ่งออกไปข้างนอกเลย บอกว่ามีธุระด่วน” ไอ้ใหญ่ตอบ

“มึงรู้ได้ไงวะเนี่ย อยู่คนละแผนกแท้ๆ” ผมถามด้วยความสงสัย

“กูจะมาให้แกเซ็นพรูฟ(prove) โฆษณาหนังสือพิมพ์ซะหน่อย แกบอกว่ารีบ เดี๋ยวบ่ายๆกลับมาเซ็นให้แล้วก็พุ่งออกไปเลย”

“พุ่งเลยเหรอ” ไอ้นัทถาม

“เออ พุ่งเลย มึงรู้มั้ยว่าพุ่งน่ะเป็นยังไง แน่ะ สงสัยไม่รู้ แสดงว่าสามีไม่ค่อยพุ่ง” ไอ้ใหญ่ปากหมาอีกแล้ว

“ไอ้ใหญ่ไอ้ลามก” ไอ้นัทด่า ผมได้แต่หัวเราะที่เพื่อน(อดีต)ทอมของผมหน้าแดงด้วยความอาย

“อะไรวะ ก็พูดจริงนี่นา ถ้าพุ่งบ่อยๆมึงคงท้องไปแล้ว” ไอ้ใหญ่ยังไม่หยุดแซว

“กูเพิ่งแต่งงานยังไม่ถึงสองเดือนเลย มึงจะให้กูป่องซะแล้ว กูไม่ใช่ปลากัดนะไอ้ใหญ่!” ไอ้นัทฉะ

“โอ๊ะ โอ... ดูสิใครโทรมา” ผมยกมือถือไอ้นัท โชว์ชื่อคนโทรเข้าหรา

“อ๊ะ สามีใครเนี่ย ตายยากจริงๆน้อ เพิ่งนินทาก็โทรมาซะแล้ว”

“เอามานี่” ไอ้นัทคว้ามือถือ ชูนิ้วกลางให้ไอ้ใหญ่แล้วเดินออกไปนอกวง

“แม่ง ไหนมึงบอกว่ามันเป็นทอมไม่ใช่เหรอวะไอ้คิง ไหงเป็นอย่างงี้ไปได้ล่ะเนี่ย” เออ ผมก็งงเหมือนกัน สมัยก่อนไอ้นัทมันแมนกว่าผมซะอีก

“กูไม่รู้ว่ะ สงสัยได้ยาดี” ผมตอบ

“ต้องยกให้พี่หมอเป็นนายกสมาคม ‘เปลี่ยนทอมให้เป็นเธอซะแล้ว’” มันพล่าม

“สมาคมเหี้ยอะไรของมึงวะ” ผมถามประชด

“ไม่ได้มีสมาคมเดียวนะเว้ย” มันยวน

“มีอะไรอีกครับ” นายไบรต์ถามโพล่งเข้าทางมันพอดี

“ก็สมาคม เปลี่ยนชายให้กลายเป็นเมียไง นายเป็นนายกสมาคมนะไบรต์” มันพูดจบก็หันมาทางผม

จึก!!! ผมรู้สึกเหมือนโดนมีดปักกลางหลัง ก่อนจะยกเท้ามาหมายจะถีบ ไอ้ใหญ่มันก็พุ่งพรวดหลบไปแล้ว

“เอาน่าพี่คิง อย่างน้อยนายกสมาคมนี้ก็หน้าตาดีนะ” ผมทำตาเขียวใส่ไอ้ตัวดีที่อยู่ตรงหน้า

---------------------------------------------------------------------------

ภูมิมองแผ่นหลังนั้นอย่างสะท้อนใจ ถึงแม้เวลาจะผ่านไปถึงสิบปีแล้ว บาดแผลก็ยังไม่เคยถูกเยียวยาจากใจไปได้

“พอเถอะ กลับบ้านกัน”

“อืม”

“อย่าหนีมาแบบนี้อีกนะ” ภูมิออกคำสั่งกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“เจอบั๊มพ์ด้วยแหละ” เสียงนั้นพูดด้วยท่าทีไร้เดียงสา

ภูมิมองไปที่ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องชายของเขาอย่างเศร้าสร้อย ... บั๊มพ์ตายแล้วนะ... เป็นประโยคที่เขาอยากจะพูดที่สุด แต่ก็ทำได้แค่เพียงพยักหน้าเท่านั้น “เจอที่ไหนเหรอ”

“ที่บ้านป้าเพ็ญ”

“อ๋อ” ภูมิเข้าใจ คนนั้นคงเป็นหมอหนุ่มแฟนของเฟียซ หรือไม่ก็เจ้าไบรต์เป็นแน่แท้ พี่น้องสามคนนี้หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ “บั๊มพ์ว่าไงบ้าง”

“บั๊มพ์ ฮือ” เสียงนั้นเปลี่ยนไป “บั๊มพ์ตายแล้ว”

“ใช่” ภูมิจับจ้องไปที่ร่างของน้องชายของตนที่กำลังร้องไห้อย่างคนสิ้นสติ



---------------------------------------------------------------------------
โปรดติตามตอนต่อไป...


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
มาต่อแล้ว หลังจากรอตั้งนาน รอปมในอดีตถูกเปิด

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน


Chapter 47: ไปตายซะ

 “นี่อะไรคะ” เฟียซถามเมื่อได้รับเอกสารฉบับหนึ่งจากหมอหนุ่ม เธอหยิบมันมาอ่าน ลมหายใจขาดห้วงด้วยความรู้สึกเหมือนถูกทรยศ  “ใบหย่า...” น้ำเสียงเธอขาดหายราวกับถูกกลืนไปกับสุญญากาศ “หมะ หมายความว่า...”

“ครับ พี่เคยแต่งงานกับนิด” เขาเน้นคำว่าเคยเพื่อให้เธอเข้าใจถึงสถานะปัจจุบัน

“งั้นที่คุณนิดพูดเมื่อวันก่อนก็...” เธอนึกถึงคำพูดส่อเสียดนั้น ถึงแม้มันน่าขยะแขยง แต่มันก็คือความจริงที่เธอต้องยอมรับให้ได้

“เฟียซอย่าใส่ใจเลยนะครับ ถึงยังไงพี่กับนิดก็จบกันแล้ว” เขากุมมือเย็นเยียบนั้นไว้ราวกับว่าเธอกำลังจะหายวับไปกับตา

“พี่เบสต์จะไม่ให้เฟียซใส่ใจได้ยังไงคะ...” เธอไม่พูดต่อ ถึงแม้จะมีอีกล้านคำที่อยากระบาย แต่เธอเหนื่อยเกินไปที่จะตอกย้ำคำพูดของอดีตภรรยาชายที่อยู่ตรงหน้า ดวงหน้าที่อ่อนล้าตอกย้ำให้หมอหนุ่มรู้สึกผิด

“พี่กับนิดคบกันตอนเรียนอยู่...” เขาเริ่มต้นเล่า ความรักของวัยรุ่นนั้นรุนแรง เขาเหมือนถูกดึงดูดให้เข้าหาผู้หญิงที่ชื่อนิชาที่แสนสวยเร่าร้อนและน่าค้นหา แต่เมื่อความครุกรุ่นมอดไหม้ ทั้งคู่ก็เลิกกันก่อนจบปีสุดท้าย

“แล้วพี่ไปแต่งงานกันตอนไหน” ดูเหมือนว่าเธอจะคล้อยตามเขาแล้ว

“ตอนเจอกันอีกครั้งที่อักฤษ เราต่างก็ไปเรียนต่อ ด้วยความที่เราเคยเป็นแฟนกันมาก่อนและนิดก็ไม่มีใคร พวกเราเลยกลับมาคบกันใหม่...แล้วก็แต่งงานกัน” เขานึกย้อนถึงความหลัง ความสุขที่ถูกฉาบฉวยด้วยเปลือก มันไม่เคยอยู่คงทนได้เลย

“แล้วทำไมพี่ถึงเลิกกับเธอล่ะ” เฟียซรู้ว่าคำถามนี้ไม่ค่อยสุภาพ แต่หากเพราะเธอสนิทใจกับเขาจึงกล้าถาม

“นิด...เอ่อ...” เขาเหมือนคอแห้งเป็นผง คำถามนี้ดูง่ายแสนง่าย แต่มันกลับกดดันเขาอย่างหนัก เพราะหากตอบตามจริง มันก็เหมือนกับว่าเขากำลังนินทาอดีตคู่ชีวิต แต่หากไม่ตอบ ก็เหมือนกับว่าเขากำลังปกปิดความรักในปัจจุบัน

“ถ้าพี่หมอไม่สะดวกใจ ก็ไม่ต้องตอบก็ได้ค่ะ เฟียซเข้าใจ” น้ำเสียงนั้นออกมาในทำนองน้อยใจ

“ไม่เป็นไร” เขาเลือกแล้ว และต้องมั่นใจในทางเลือก ถึงแม้มันจะต้องทำร้ายใครก็ตาม แต่ความจริงก็คือความจริง

“นิดเค้า....” เขาถอนลมหายใจลึกๆ และตอบออกไปในที่สุด “พี่จับได้ว่านิดเค้ามีชู้”...

เขาตอบเพียงเท่านั้น โดยไม่บอกต่อว่าคนที่เป็นชู้กับภรรยาเก่าคือใคร

---------------------------------------------------------------------

เค้ามองโทรศัพท์ด้วยอาการเฉยชาผิดวิสัย จนมันหยุดสั่นถึงได้เก็บในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม

“ทำไมไม่รับล่ะ” ผมถามซื่อๆตามประสา

“ไม่เอาอะ ผมไม่อยากรับ” เค้าก็ตอบง่ายๆ แต่ท่าทีที่ดูอึดอัดทำให้ผมแปลกใจ ผมไม่ใช่คนชอบซอกแซกหรือละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของใคร แต่การที่เค้ายกโทรศัพท์ที่กำลังสั่นจากการโทรเข้ามาวางทำให้ผมได้เห็นชื่อของคนโทรมาอย่างถนัดถนี่

ใครกันนะนิชา....

---------------------------------------------------------------

               เพ็ญแขนั่งประจัญหน้ากับอีกฝ่าย เธอยื่นกล่องโลหะให้ เขาจำมันได้แต่ก็ไม่ได้แตะต้องมันทันที ท่าท่างเยือกเย็นนั้นทำให้เธอยิ่งร้อนรน “คุณจำกล่องนี้ได้ใช่มั้ย คุณศัก?”

“ผมจำได้” ศักดา ศิลาอาจน์ ชายผู้เป็นเสมือนเพื่อนสนิทของสามีเธอตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่เคยจะแสดงท่าทีใดๆกับเธอเลยตั้งแต่รู้จักกันมา มันไม่ใช่ความเกลียดชัง แต่มันมากกว่านั้น ท่าทางที่ดูห่างเหินทำให้เธอยิ่งกระอักกระอ่วน ไม่เว้นแม้กระทั่งยามนี้

“มีคนเอามาให้ ชั้นเลยเอามาให้คุณ เปิดดูสิ” เขาบรรจงหยิบกล่องนั้น เธอสังเกตว่าเขาลอบถอนหายใจเบาๆแล้วเปิดมันออก เธอรู้ว่าข้างในนั้นมีอะไร ท่าทางของเขาก็บ่งบอกว่ารู้แล้วเช่นกัน

“นี่...”

“ใช่ มันคือของๆคุณสองคน” น้ำเสียงเธอเจ็บปวด รูปภาพที่อยู่ภายในฟ้องเรื่องราวในอดีต มันเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนที่เธอย้ายมาบ้านหลังข้างๆกันนี้ บ้านหลังเก่าถูกปล่อยว่าง เธอเข้าใจว่าอย่างนั้น แต่เปล่าเลย มันกลับถูกใช้เป็น รังรัก ของศักดาและสามีเธอ ทั้งคู่ใช้มันเสพสุขกับเด็กสาวในยามที่เธอและศรีประจันต์เผลอ

“ผมนึกว่าไอ้ไฟทำลายมันทิ้งหมดแล้ว”

“ชั้นก็หวังอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ” เธอพูดตรงๆ มันอาจจะดีกว่านี้ถ้ารูปภาพเด็กผู้หญิงในชุดนักศึกษาเหล่านี้ถูกเผาทิ้งไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น หรืออย่างน้อย ให้มนจมหายไปกับลมหายใจของสามีเธอก็ยังดี

“มีเท่านี้ใช่มั้ย”  เธอจับจ้องดวงตาที่ว่างเปล่าของคนที่นั่งตรงข้าม ท่าทางที่หมางเมินทำให้เธอสะท้อนใจ เธอไม่อาจรู้ได้ว่าระหว่างเขากับสามีของเธอบางหมางใจอะไรกันในตอนนั้น ท่าทางที่มึนตึงเกิดขึ้นไม่นานก่อนที่สามีเธอจะเสีย ตอนนั้นศักดาไม่ได้อยู่กรุงเทพฯเนื่องจากติดราชการที่ต่างจังหวัด เขากลับมาในคืนก่อนวันสวดวันสุดท้าย และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นน้ำตาของผู้ชายคนนี้

“มีอีกกล่องหนึ่ง แต่มันเป็นของพี่ไฟ”

“คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นของไอ้ไฟ”

“ในนั้นมีแต่ลายมือเค้าน่ะค่ะ” เธอตอบสั้นๆเพราะคิดว่าเขารู้แล้วว่าอีกล่องหนึ่งมีอะไรอยู่

“คุณศัก ชั้นถามตรงๆนะคะ พี่ไฟเคยบอกไหมว่าทำไมถึงทำแบบนั้น” เธอรวบรวมความกล้าที่มีทั้งหมดถามชายตรงหน้า ผู้ที่มีมาดตำรวจอาบไปทั่วร่างแม้กระทั่งยามนี้

“คุณอยากรู้ไปทำไมรึคุณเพ็ญ เรื่องมันก็ผ่านมาตั้ง 10 ปีแล้ว”

“เค้าเป็นสามีชั้นนะคะ อีกอย่างศรีประจันต์ก็เป็นเพื่อนสนิทชั้น อย่างน้อยชั้นก็มีสิทธิ์รู้ว่าทำไมคุณทั้งคู่ถึงได้นอกใจเราทั้งคู่”

“ผมไม่เคยนอกใจศรี” เขาเน้นเสียงเข้ม “ผมไม่เคยกกกับผู้หญิงพวกนั้น”

“แล้ว...คุณไปขลุกกับพี่ไฟที่บ้านหลังนั้น ทำไม?”

“ถามตัวเองสิเพ็ญ คุณทำอะไรไว้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว” ศักดาจ้องเพ็ญแขกลับ ดวงหน้าที่ฉาบไปด้วยความรู้สึกผิดทำให้เขาใจหายวาบ เหตุผลง่ายๆที่สามีเธอนอกใจมันทำให้เธอปวดร้าวมากเกินพอ

“คุณ” เพ็ญแขจนคำพูด “พี่ไฟรู้”

“ใช่ มันรู้” เขาถอนหายใจ “ว่าเฟียซไม่ใช่ลูกมัน” เพ็ญแขน้ำตาปริ่ม ความหวั่นไหวของเธอนำมาสู่ความจริงที่โหดร้าย

“เค้ารู้ได้ยังไง”

“ตอนฟางล้มเข้าโรงพยาบาลแล้วต้องการเลือดนั่นแหละ” เพ็ญแขตะลึง เรื่องนี้มันตั้งสิบเอ็ดหรือสิบสองปีที่แล้ว เมื่อลูกสาวคนเล็กประสบอุบัติเหตุต้องถ่ายเลือด หมอต้องใช้เลือดคนในครอบครัว ฟางเลือดกรุ๊ปเอบี แต่เฟียซพี่สาวแท้ๆเลือดกรุ๊ปโอ... เธอพยายามปกปิดผู้เป็นสามี และคิดมาตลอดว่าเขาไม่มีทางรู้เรื่องนี้...เธอเลือดกรุ๊ปเอ ส่วนสามีเลือดกรุ๊ปเอบี ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ลูกสาวของเขาจะมีเลือดกรุ๊ปโอ

“เฟียซรู้เรื่องนี้มั้ย” เขาถามต่อ ฝ่ายตรงข้ามยังนิ่งเงียบบ่งบอกท่าทางที่ยากจะเข้าใจ “ว่าไง คุณเพ็ญ”

เธอสบตาเขา ผู้ชายคนนี้รู้เรื่องราวทุกอย่าง มันยากที่จะปฏิเสธความจริงไปได้ เธอส่ายหัวแทนคำตอบ

เขาถอนหายใจ “เอาของๆคุณกลับไปเถอะมันไม่ใช่ของผม ผมไม่มีทางนอนกับเด็กพวกนั้นแน่ๆคุณเพ็ญ” เขาพูดพลางเลื่อนกล่องนั้นกลับไป

-------------------------------------------------------------------

นรินทร์กลับมานั่งที่โต๊ะทำงานหลังจากไปส่งคนรักแล้ว เขาครุ่นคิดถึงนัดเมื่อตอนกลางวันด้วยความเหน็ดเหนื่อยใจ ความเข้าใจผิดและไม่รับฟังของอีกฝ่ายยังสามารถทำให้เขาหงุดหงิดใจได้แม้กระทั่งยามนี้  เสียงโทรศัพท์ปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์ คำพูดสุดท้ายของเขากับบั๊มพ์ยังแจ่มชัดในหัว หากย้อนเวลาได้ เราจะไม่มีวันพูดอย่างนั้นกับนายเลยบั๊มพ์ เขาได้แต่คิด แต่ไม่มีทางแก้ไขหรือเรียกร้องคำพูดนั้นกลับมาได้ หลังจากนั้นอีกไม่กี่อาทิตย์ บั๊มพ์ก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต โดยที่เขาไม่ได้ขอโทษเรื่องคำพูดนั้นเลย

“คุณหมอคะ สายนอกค่ะ จากคุณหมอยิ่งยศ”

“โอนมาเลยครับ” เขารอสายครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินฝ่ายที่โทรมา

“หมอนรินทร์ ขอโทษที่ต้องโทรเข้าเบอร์นี้นะครับ ผมพยายามติดต่อที่เบอร์มือถือแต่ไม่ติด” เขาหยิบมือถือตัวเองมาดู

“อ๋อ ผมต้องขอโทษจริงๆแบตหมดครับคุณหมอ”

“ไม่เป็นไร เอ้อ คุณหมอว่างมั้ยครับตอนนี้” เขาเช็คดูตาราง ไม่มีอะไรต่อในช่วงบ่าย

“ว่างครับ”

“ถ้าอย่างนั้นมาเจอกันที่โรงพยาบาลผมนะครับ ผู้บริจาคไขกระดูกมาถึงแล้ว เค้าอยากคุยกับคุณหมอครับ”

หมอหนุ่มแปลกใจ “หืม มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่าครับ”

“มีครับ ผมว่าเรื่องนี้คุณหมอต้องอยากรู้จากปากเค้าเองแน่ๆ” เขาวางสาย แล้วเก็บของที่จำเป็นก่อนโทรบอกพยาบาลว่าเขาจะออกเวรแล้ว คำพูดสุดท้ายของหมอยิ่งยศยังเวียนว่ายอยู่ในหัว

------------------------------------------------------------------

“แต่คุณยังไม่ได้บอกชั้นเลย ว่าคุณไปบ้านหลังนั้นทำไม” เพ็ญแขไม่ละความพยายาม อย่างน้อยเธอก็อยากได้คำตอบที่มากพอที่จะทำให้เธอรู้สึกว่าไม่ใช่แค่สามีเธอที่นอกใจ

“เรื่องบางเรื่องมันก็ต้องมีคนตามล้างนะคุณเพ็ญ”

“หมายความว่ายังไง”

“เด็กพวกนั้นอายุยังน้อย บางคนยังไม่ถึง 20 นะคุณเพ็ญ คุณคิดว่าการที่ไอ้ไฟทำอย่างนี้มันถูกงั้นเหรอ”

“แล้วทำไมคุณไม่ห้ามเค้า คุณเป็นตำรวจนะ” เธอตวาด ก็สมควรที่เขาต้องโดนอะไรแบบนี้

“ผมทำสุดความสามารถแล้ว” เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณก็รู้ว่าเราหมางใจกันก่อนหน้าที่ไอ้ไฟจะเสียไม่นาน” เธอสบตาเขา พลางครุ่นคิดว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จากแววตาคู่นั้น

“คุณคิดว่าผมไม่ทำอะไรเหรอ...ผมทำจนมันโกรธผมจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตมันนะ” เธอเห็นแววตานั้นแดงก่ำ...ใช่ เขาทำ

“แต่คุณก็ดูแลเขาอย่างดีไม่ใช่เหรอ ตลอดระยะเวลาที่เขาถูกฝากขัง”

“แต่ก็ดีไม่พอ” เขาเช็ดขอบตา “ผมควรหยุดเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น ไม่ควรให้มันลุกลามขนาดนี้”

“การที่พี่ไฟถูกจับ ต้นเหตุไม่ได้มาจากคุณนี่คะ” เธอพยายามปลอบใจ

“ผมรู้ ผมรู้” เขาตอบรับด้วยเสียงเลื่อนลอย “และผมก็รู้ว่าไอ้ไฟมันไม่คิดแบบนั้น”

สามีของเธอถูกจับด้วยข้อหาซื้อประเวณีกับเด็กที่อายุไม่ถึง 20 ปีในช่วงที่ศักดาไปราชการ แต่เขาก็พยายามทำทุกอย่างที่จะช่วยเหลือสามีของเธอให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหา ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำให้ความโกรธในตัวเพื่อนสนิทของสามีเธอลดลงไปได้ เขาโทษว่าที่ถูกจับเพราะศักดา...นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่มีเรื่องบาดหมางใจกัน

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
แปะจองพื้นที่..อ่านก่อนนะ
เม้นท์ทีหลัง อิอิ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอมายกอด   ปมอะไรเยอะแยะมากมายขนาดนี้

ทุกอย่างพันกันไปหมด

แล้วก็  อย่าเฉลยว่า นิชาเป็นชู้กับไบรต์หรือบัมพ์นะ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
โอยยยยย..ปมซับซ้อนซ่อนเงื่อนพันกันยุ่งเหยิง
จะแกะปมออกได้หมดทุกอันมั้ยอ่ะ..แนะนำตัดทิ้งดีไหม อิอิ

ปมอันสุดท้าย..คงไม่ทำให้คนอ่านหัวใจวายไปเลยนะจ้ะ
หวั่นใจแต่ก็อยากรู้
หุหุ

ป้อล่อ..อย่าไปตรงกับเม้นท์ข้างบน
ใจคงสลาย วายวางไปจริงๆ กาซิก
 :ling3:

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
​สวัสดีครับ ไรต์เองนะครับ

วันนี้จะมาบอกว่า เรากำลังเข้าใกล้โค้งสุดท้ายของนิยายเรื่องนี้กันแล้ว

เพราะว่าเราเหลืออีกแค่ 5 ตอนเท่านั้นก็จะจบบริบูรณ์กันแล้ว

มาลุ้นกันว่าปมทั้งหมดจะคลี่คลายไปทางไหนนะครับ

สำหรับตอนนี้ มาอ่านกันเลยจ้า กับตอนที่ 48

-------------------------------------------------------------------------------

Chapter 48: เข้าเค้า

ผมว่าการใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยมันเป็นเรื่องที่น่าสนุก แต่ไม่สนุกเอาเสียเลย ผมคิดมาได้เพราะคำถามของพ่อตัวดีที่นั่งกินข้าวด้วยกันเมื่อตอนเย็น “พี่คิงจะทำงานบริษัทไปอีกนานมั้ย”

“ไม่รู้ดิ ทำไมวะ” ผมใช้เวลาเสี้ยววินาทีครุ่นคิดถึงคำถามของเขา มันไม่ใช่คำถามที่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายที่จะตอบ

“พี่ไม่คิดจะทำอย่างอื่นบ้างเหรอ พี่ทำงานได้เงินเดือนไปวันๆไม่เบื่อบ้างเลยเหรอครับ ต้องตื่นแต่เช้า ทำงานจันทร์ถึงศุกร์ อยู่ในกฎระเบียบ ไปไหนมาไหนวันธรรมดาก็ไม่ได้” พ่อตัวดีจ้วงบะหมี่เย็นของเค้าต่อ

“ถ้าไม่ทำงาน จะให้ไปทำอะไรวะ” ผมถามเค้าแบบไม่ได้คาดหวังอะไร

“ก็หาอะไรที่เราเป็นนายตัวเองทำไงพี่”

“โหย พี่ไม่รู้จะไปทำอะไรอะดิ”

“ทำที่พี่ชอบไง”

“พูดง่ายนะ พี่ชอบอะไรตั้งหลายอย่าง จะให้ทำหมดก็ไม่ไหวนะ” ทั้งฟุตลบอล มวย สูบบุหรี่ เที่ยว นวด และอื่นๆสารพัด

“พี่ก็เลือกเอาดิ ง่ายๆเลย อะไรที่พี่ชอบมากๆขาดไม่ได้แล้วคนทำไม่เยอะ” อืม โจทย์ยากแฮะ

“คิดไม่ออกว่ะ กินต่อเถอะ ขอไปคิดก่อนละกัน” ผมตักปลาหมึกเข้าปาก เรามากินอาหารญี่ปุ่นกันครับเย็นนี้ “ว่าแต่นายเถอะ เรียนจบแล้วจะทำอะไร”

“ผมว่าจะทำธุรกิจ” เค้าตอบด้วยท่าทางมุ่งมั่น “ผมไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร”

“ไม่เป็นลูกจ้างเค้าแล้วจะรู้วิธีทำธุรกิจได้เหรอ”

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมมีญาติที่เก่งด้านนี้อยู่ เค้าช่วยได้”

“หืม ใครกัน นายบอกว่าครอบครัวนายเป็นหมอกันหมดนี่”

“ใช่ เฉพาะครอบครัวผม แต่พี่ๆน้องๆพ่อกับแม่ไม่ได้เป็นหมอนี่ครับ ลูกพี่ลูกน้องผมคนนึงบ้านทธุรกิจหลายอย่าง เก่งเชียว”

“นายก็เลยอยากเก่งบ้าง ว่างั้น?” ผมถามกวนๆ

“ผมไม่ได้อยากเก่งพี่ ผมอยากมีเงินเอาไว้พาแฟนผมไปฮันนีมูน” ว่าแล้วเค้าก็จ้องหน้าผมโดยสายตากรุ้มกริ่มอีกแล้ว

“หึ ใครแฟนนายไม่ทราบ”

“เอ ผมก็ไม่รู้นะว่าใครเป็นแฟนผม ผมรู้แต่ว่าคนที่นั่งข้างหน้าเนี่ย ภรรยาสุดที่รักของผมเอง”

“ไอ้บ้า” ผมจนคำพูดละครับ อายโว้ย!!

“ขอบคุณนะครับพี่”

“ขอบคุณอะไรวะ”

“ขอบคุณที่...อยู่ตรงนี้ให้ผมรัก” โอ้ยยยยยยยยยยยยยย อย่าเยอะ กูอาย

>___<

“เขินเหรอ”

“เปล่า” ผมเลี่ยง “แล้ววันนั้นคุยอะไรกับพี่ภูมิบ้าง ทำไมเรากับพี่ภูมิถึงได้รู้จักกันดีขนาดนี้”

เค้าชะงักกลางอากาศ คงไม่รู้จะเริ่มเล่ายังไง “คือ”

“ได้ ไม่เล่าก็ไม่ต้องเล่า”

“โธ่ เปล่าครับ คือผมแค่ไม่รู้จะอธิบายยังไงเฉยๆ”

“เกี่ยวกับพี่บั๊มพ์ใช่มั้ย” ผมคิด พี่ภูมิเจ้านายผมอายุไม่น้อยแล้วแต่ยังครองตัวโสด แถมรู้จักกับคนที่นั่งกินข้าวกับผมอย่างสนิทสนมอีกด้วย

“ใช่ครับ” เค้ายอมรับ “น้าภูมิกับพี่บั๊มพ์รู้จักกัน ผมก็เลยรู้จักด้วย” ผมอึ้ง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน นี่หมายความว่าพี่ภูมิมีรสนิยมแบบนี้จริงๆหรือนี่ “วันก่อนน้าภูมิเจอพี่เบสต์ที่บ้านพี่เฟียซโดยบังเอิญ เค้านึกว่าเป็นพี่บั๊มพ์ พอมาเจอผมอีก แกก็เลยยิ่งตกใจ”

 มันก็น่าตกใจไม่ใช่เหรอ คนใกล้ตัวผมเกี่ยวพันกับสามพี่น้องนี้หมด ผมกับเค้า น้องชายคนสุดท้อง ที่คอยถามผมตลอดว่าจำเค้าไม่ได้เหรอ ทั้งเฟียซกับหมอเบสต์พี่ชายคนโตของบ้าน และยังมีพี่ภูมิกับนายบั๊มพ์ที่ตายไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน

“นายกับพี่ภูมิสนิทกันมากเลยเหรอ”

“ไม่เชิงสนิทหรอก น้าเค้าสนิทกับพี่บั๊มพ์มากกว่า ผมจะเจอน้าแกก็ต่อเมื่อพี่บั๊มพ์พาผมมาที่บ้านโน้น”

“บ้านโน้น บ้านไหน”

“ก็บ้านถัดจากบ้านพี่ไง เวลาพี่บั๊มพ์ลงมากรุงเทพ แกจะมาขลุกที่บ้านนั้นประจำ”

“ตอนที่พี่ชายนายรถชน นายก็อยู่ที่นี่ใช่ไหม” ผมรู้สึกว่าความทรงจำของตัวเองเริ่มไหลมาทีละน้อย

“ใช่”

“พี่ชายนายตายวันเดียวกับที่พ่อเฟียซตายใช่ไหม”

ผมมองเค้าช้าๆราวกับกลัวคำตอบ “ใช่”

ผมนิ่ง เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าเค้า ภาพความหลังก็เริ่มแจ่มชัด “แสดงว่าเด็กชายที่อยู่ในฝันพี่มาตลอด คือนายงั้นเหรอ”

“ใช่” เค้าตอบกลับแทบจะทันที “ผมไม่ได้อยู่ในฝัน วันนั้นผมอยู่กับพี่ ทั้งตอนนั่งรถพยาบาล ตอนที่อยู่โรงพยาบาล ตอนที่รอพ่อแม่รอพี่เบสต์มา พี่อยู่กับผมตลอด”

“นายจำพี่ได้ขนาดนี้เลยเหรอ”

“ผมไม่ได้จำพี่ได้” เค้ามองหน้าผมอย่างจริงจัง “ผมไม่เคยลืมพี่ต่างหากล่ะ”

 นี่มันเรื่องบังเอิญระดับชาติหรือยังไง ยิ่งคิดผมก็ยิ่งมึนไปหมด ผมกำลังมีความสัมพันธ์กับน้องชายของคนที่ขับรถชนลุงไฟพ่อของอดีตคู่หมั้น และมิหนำซ้ำ เฟียซก็ยังคบกับพี่ชายของคนที่พรากคนรักของเธอไปเสียด้วย “แล้วเฟียซ...”

“พี่เฟียซรู้แล้ว พี่เบสต์เล่าให้ฟัง”

“นี่พี่ลืมเรื่องสำคัญขนาดนี้ไปได้ยังไง” ผมรู้สึกขัดใจตัวเอง

“เดี๋ยวคืนนี้ ผมจะทำให้พี่จำทุกอย่างเอง”

“นายจะทำยังไง”

“ก็ทำเหมือนที่ทำทุกคืนไง” ผมสะดุ้ง ทำที่ทำเหมือนทุกคืนก็... “ไอ้บ้า” แล้วเค้าก็หัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง

-------------------------------------------------------------------------------

เพ็ญแขจับจ้องรูปแต่งงานของตัวเอง มันผ่านมาสามสิบกว่าปีแล้วนับจากวันนั้น ทั้งเขาและเธอได้ผ่านทั้งสุขและทุกข์ ความโกรธและการให้อภัย ทุกสิ่งทุกอย่างได้หล่อหลอมให้เธอเรียนรู้ที่จะปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับคนอีกคน การใช้ชีวิตร่วมกันไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ แต่มันคือการประนีประนอมรวมไปถึงประคับประคองให้ชีวิตคู่มันอยู่รอด หากแต่เมื่อ 30 ปีก่อนไม่ใช่อย่างนั้น ฝันร้ายยังคอยตามหลอกหลอนตัวเธอซ้ำๆไม่ว่ามันจะผ่านมานานแค่ไหนก็ตาม

“คุณคะ ชั้นขอโทษ” เธอพูดซ้ำๆกับรูปตรงหน้า “ขอบคุณที่รักลูกนะคะ” เธอร้องไห้ ซาบซึ้งในความเสียสละของผู้เป็นสามี เขายอมเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องลูกสาวของเธอไว้

เธอรู้ว่าสิ่งที่ทำกับผู้เป็นสามีนั้นผิดมหันต์ แต่เขาก็ไม่เคยโทษเธอเลยสักครั้ง....

----------------------------------------------------------------------------------------

ผมอยู่หน้าห้องไอซียูด้วยสภาพมอมแมม คราบเลือดเกรอะกรังเกาะตามตัวและเสื้อผ้า ผู้ชายคนนั้นไม่ได้สติอีกเลยนับจากคำพูดสุดท้ายของเขา กว่ารถพยาบาลจะมา คนก็มามุงกันเยอะแล้ว ป้าเพ็ญกรีดร้องเหมือนใจจะขาดผมไม่ได้เข้าไปหาเฟียซที่นั่งร้องไห้ข้างๆร่างของผู้เป็นพ่อ เสียงร้องระงมทำให้ผมสับสน

“ช่วยด้วย...” ผมช้อนร่างเขาให้มานอนบนตัก ก้มดูใบหน้าที่เปรอะไปด้วยลิ่มเลือด ดูราวกับว่า ความเจ็บปวดนั้นแทรกซึมไปทั่วร่างแล้ว

“ใจเย็นๆนะครับ เดี๋ยวรถพยาบาลก็มาแล้ว ทำใจดีๆไว้นะครับ” ผมบอกเขา พยายามบังคับไม่ให้ตัวเองตื่นตระหนกไปมากกว่านี้

“ช่วยด้วย...” เขาพยายามชี้ไปที่รถ ผมมองตามนิ้วเปื้อนเลือดที่สั่นเทานั้น

“ครับ ผมกำลังช่วยคุณอยู่ ทำใจดีๆไว้นะ” ผมคุมสติ บังคับเสียงไม่ให้สั่นเหมือนตัว

“ช่วยน้องผมด้วย..” เขาพูดประโยคนี้ซ้ำๆ ผมมองไปที่รถ ค่อยๆวางเขาลงกับพื้น เขาดูเหมือนจะพอใจกับการกระทำนี้ “ช่วยน้องผมด้วย...”

ผมเปิดประตูรถด้วยความลำบาก มันติดแน่นไปหมด เบาะหน้าว่างเปล่ามีแต่เศษกระจกแตกกระจายไปทั่ว ผมมองไปที่เบาะหลัง เด็กคนหนึ่งนอนก้มตัวร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว ผมเปิดประตูเข้าไป เด็กชายหันมามองผมช้าๆเราสบตากันชั่วครู่ ผมฝืนยิ้ม ทั้งๆที่หวาดกลัวอย่างหนัก “ไม่ต้องกลัวนะครับ พี่มาช่วยแล้ว” ผมเอื้อมมือไปหาร่างน้อย เขาค่อยๆเขยิบมาหา ผมบังคับมือไม่ให้สั่น เสียงรถหวอดังมาแต่ไกล ผมยังจ้องคนที่อยู่ข้างหน้า นึกแปลกใจที่ตัวเองยืนอยู่เฉยๆไม่ยอมเข้าไปใกล้มากกว่านี้ ไม่นานนัก เด็กคนนั้นก็โผมาหา เขากอดร่างน้อยที่กำลังร้องไห้นั้นไว้ “ไม่เป็นไรแล้วนะครับ พี่จะดูแลเราเอง” แล้วผมก็เห็นว่าเด็กน้อยคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง

 ผมลืมตาโพลง ความฝันที่ขาดหายไปกลับมาจนหมดสิ้น ผมมองนาฬิกาแล้วดูผู้ชายที่นอนข้างๆแล้วยิ้มให้กับเรื่องบ้าๆที่เกิดขึ้น ลมหายใจเค้าสม่ำเสมอ ผมแกะแขนเค้าออกช้าๆ

“หืม ไม่ให้ไป” เสียงเค้างัวเงียกระชับอ้อมกอด คำพูดน่าหมั่นไส้มาก

“เช้าแล้ว ปล่อยยยย พี่จะไปอาบน้ำ”

“ไม่อาวววว นอนต่ออีกนิดนึงนะ นะ” เค้าอ้อน ท่าทางยังอ่อนเพลียอยู่ ใครใช้ให้ออกแรงเยอะล่ะ ... ผมนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วหน้าแดง การที่มีแฟนเด็กมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน

เอ๊ะ! เมื่อกี้ผมเพิ่งพูดว่าแฟนเหรอ...ไม่ใช่นะครับ ยังไม่ใช่แฟน >__________<’’

----------------------------------------------------------------------------------------

“นะคะพี่เบสต์ เฟียซอยากจะรู้ว่าใครที่เป็นคนบริจาคไขกระดูกมาให้” แฟนสาวจ้องมองเขาอย่างอ้อนวอน แววตาที่คาดเดายากแต่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นยิ่งทำให้หวั่นไหว เรื่องนี้เป็นความตั้งใจของผู้บริจาคที่ไม่ประสงค์จะออกนาม หากเขาเข้าไปก้าวล้ำ ก็เท่ากับว่ากำลังทำผิดจรรยาบรรณต่ออาชีพ ความเสี่ยงที่จะถูกริบใบอนุญาตจะตกอยู่กับเขาและพี่หมอยิ่งยศอย่างเลี่ยงไม่ได้ “นะคะ”

แต่สุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้ต่อคนรักโดยสิ้นเชิง

----------------------------------------------------------------------------------------


โปรดติดตามตอนต่อไป...

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใครหนอบริจาค?

น่าจะเป็นคนที่ไขกระดูกเข้ากันได้

ซึ่งน่าจะเป็นญาติ  นั่นก็คืออาจจะเป็นพ่อแท้ ๆ ของเฟียซ ที่บริจาคให้  มั้ง

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน


Chapter 49: ขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง



แล้วเรื่องที่ผมกลัวที่สุดก็มาถึง เมื่อแม่ของผมนั่งตาเขียวปั๊ดอยู่ที่โซฟา พร้อมหน้ากันทั้งพ่อและน้องชายตัวดีในสภาพหน้าหงอ ผมรู้ในทันทีว่ามีเรื่องบางอย่างไม่ชอบมาพากล และต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อแม่สั่งให้นั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“คิง มีอะไรจะบอกแม่มั้ย” แม่ผมกลับบ้านที่ต่างจังหวัดมา แทนที่จะรีบพักผ่อน แต่กลับมานั่งรอผมราวกับว่ามีเรื่องสำคัญจะต้องสะสาง ผมหันไปมองใบหน้าผู้เป็นพ่อและน้องชายเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ทุกคนต่างก็ส่ายหน้า และนี่ก็คือชะตากรรมของผมสินะ

“ในเมื่อไม่พูด งั้นก็ตอบคำถามแม่มา” ศรีประจันต์ใช้น้ำเสียงดุ ภายใต้ใบหน้าที่ดุดันด้วยแล้ว การที่เธอเอ็ดตะโรแบบนี้ยิ่งทำให้น่ากลัวมากขึ้น เธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ยอมใครมานาน นิสัยนักเลงนี้ไม่เคยส่งผ่านไปหาลูกชายคนไหนได้เลย

“แกเลิกกับหนูเฟียซเพราะนายไบรต์นั่นใช่มั้ย”

“แม่” คิงเสียงอ่อน สรรพนามที่แม่เรียกไบรต์นั้นดูห่างเหิน “ไม่ใช่อย่างนั้น”

“ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วเป็นแบบไหน อยู่ๆลูกชายคนโตของชั้นก็ถอนหมั้นกับแฟนสาวและมาควงเด็กหนุ่มอายุเพิ่งจะยี่สิบ”

“ยี่สิบสอง” ผมตอบในใจ

“ทีแรกแม่ก็เข้าใจว่าเพราะหนูเฟียซป่วย แต่ที่ไหนได้ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”

“ใจเย็นๆก่อนนะคุณ”

“เงียบเลยค่ะ คุณนั่นแหละตัวดี ให้ท้ายลูกจนเคยตัว” พ่อผมหงอจนไม่เหลือคราบตำรวจ

“แล้วอะไร คิ้วก็อีกคน ทำไมเห็นดีเห็นงามกับพี่ชายเราแบบนี้ โอ๊ย ชั้นละไม่เข้าใจ ทำไม...”

“แม่” ผมพูดในที่สุด “ผมขอโทษ แม่จะตีผม จะด่าผมก็ได้นะครับ แต่ผมกับเฟียซเราจบกันแล้ว” ผมรู้สึกว่าตัวเองอยากจะร้องไห้ แม่ของผมต่อต้านความรักประเภทนี้มาแต่ไหนแต่ไร จนผมยังแปลกใจว่าทำไมแม่จะต้องรังเกียจความรักเพศเดียวกันขนาดนี้ด้วย “ผมขอโทษที่ทำให้แม่และพ่อผิดหวัง แต่ผม...” น้ำตาผมไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ผมรู้สึกรังเกียจตัวเองที่ต้องเป็นแบบนี้ เกลียดที่จิตใจของผมถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกและการสัมผัสของผู้ชายที่ชื่อไบรต์ เสียใจที่ทำให้คนที่รักผมมากที่สุดต้องผิดหวัง

“คิง” แม่ผมหน้าเสีย ตั้งแต่เล็กจนโตผมไม่ใช่คนขี้แย โดนกระหน่ำตีแค่ไหนผมก็ไม่เคยร้องไห้ หลายครั้งที่ผมได้รีบบาดเจ็บ ผมไม่เคยร้องไห้ ผมเข้มแข็งในแบบของผมจนแม่ผมชอบแซวว่าผมเป็นคนไร้หัวใจ “แม่..”

“ผมขอโทษ” ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดได้อีกแล้ว สมองมันตื้อไปหมด ความกลัวแล่นพล่าน กลัวว่าแม่จะไม่รัก กลัวว่าพ่อจะเสียชื่อเสียง กลัวว่า...จะต้องสูญเสียเค้าไป

“ลูกรักนายไบรต์เหรอ” ผมไม่ตอบ

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” แม่ถามซ้ำ แต่ก็ไม่มีคำตอบใดๆเล็ดลอดออกมาจากผมนอกจากน้ำตาที่ไหลริน ผมนั่งนิ่งด้วยความหวาดหวั่น ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอแบบนี้เลย นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าชีวิตของผมมันอ้างว้าง รู้สึกราวกับว่าตัวเองคือคนแปลกหน้าของครอบครัวนี้ ถ้าแม่จะไม่ยอมรับ ผมจะทำอย่างไร ผมกลัวที่จะต้องเสียเค้าไปมากพอๆกับกลัวสูญเสียความเป็นครอบครัวตรงนี้

“คุณ ใจเย็นๆนะ” พ่อผมพูด “ยังไงคิงก็เป็นลูกเรา ไม่ว่ายังไง ไม่ว่าลูกจะเลือกทางไหน เค้าก็เป็นลูกเรานะ”

แม่ไม่ตอบ แต่ลุกมากอดผมไว้ “ไอ้เด็กโง่เอ๊ย” ผมซึมซับความอบอุ่นนั้นและร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

“ผมขอโทษ”

แม่ผมกระชับอ้อมกอด ผมรู้สึกถึงน้ำตาที่ไหลหยดลงมาเช่นกัน “แม่ก็ต้องขอโทษเราเหมือนกันนะ ที่แม่ดุด่าลูก แต่ที่แม่ทำก็เพราะ..”

“อื้อ” ผมแทรกขึ้นมา “ผมรู้ครับ ผมขอโทษที่ทำให้แม่ผิดหวัง”

“แม่ไม่ได้ผิดหวัง แม่แค่กลัวว่าลูกของแม่จะเสียใจ แม่แค่กลัวว่าความรักแบบนี้มันจะไม่ยั่งยืน”

“ผมขอโทษ”

“พอแล้วเด็กโง่ ถึงวันนี้แม่จะยังรับไม่ได้ แต่แม่จะพยายาม ยังไงนายไบรต์นั่นก็ดูหน่วยก้านไม่เลวนะ”

“เห็นมั้ยผมบอกคุณแล้ว”

“คุณเงียบไปก่อนค่ะ” แม่แหว “คิง”

“ครับ”

“บอกแม่มาก่อน ว่าแม่ได้ลูกเขยหรือลูกสะใภ้”

ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ๆ กลัวว่าคำตอบจะทำให้แม่ช็อกอีกรอบ...

----------------------------------------------------------------------------------------

ชายหนุ่มมองผู้หญิงคนนั้นอย่างรังเกียจ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนเธอก็ยังเป็นคนเดิมที่เห็นแก่ตัวและไร้ยางอาย

“พี่มาที่นี่ทำไม”

“ทำไมพี่จะมาไม่ได้ ในเมื่อเราไม่เคยรับโทรศัพท์พี่เลยสักครั้ง”

“ผมไม่ว่าง”

“ไม่ว่างหรือหนีหน้าพี่”

ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหมดความอดทน “พี่กลับบ้านซะเถอะ”

“ไม่กลับ ยังไงพี่ก็จะต้องเคลียร์เรื่องของเรา”

“ผมไม่มีอะไรจะเคลียร์”

“แต่พี่มี นายจะมาทำเหมือนว่าพวกเราไม่เคยมีอะไรกันไม่ได้นะ”

ชายหนุ่มเหลืออด “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ คืนนั้นผมเมา พี่มาปล้ำผม สั้นๆง่ายๆ แล้วจะให้ผมรับผิดชอบยังไง ในเมื่อคนที่เริ่มคือพี่เองทั้งนั้น”

เพี้ยะ!

“หึ ยอมรับความจริงไม่ได้ล่ะสิ จำผมกับพี่เบสต์สลับกันงั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก ที่พี่เบสต์เค้าขอหย่าก็เพราะตัวพี่เองทั้งนั้น พี่มันคนไม่ดี พี่รู้ตัวเองบ้างมั้ย ทั้งเรื่องที่เป่าหูพี่บั๊มพ์ว่าแฟนพี่บั๊มพ์นอกใจ ทั้งเรื่องที่อ่อยผมไม่เว้นแต่ละวันจนผมอยู่บ้านนั้นไม่ได้ก็เพราะพี่นั่นแหละ” หญิงสาวเงื้อมือจะตบอีกที “ตบสิ คราวนี้ผมจะยอมเป็นไอ้หน้าตัวเมียต่อยพี่คืนบ้าง เอาให้สาสมกับความเลวของพี่ คนที่สร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวผม คนที่นอกใจพี่ชายผม คนที่ทำทุกอย่างให้พังแต่ก็ยังไม่เคยสำนึกผิด”

“พอแล้ว พอได้แล้ว” หญิงสาวกรี๊ดลั่น พวกเขาเสียงดังอยู่หน้าห้องจนเพื่อนร่วมคอนโดออกมามอง

“พอเถอะพี่นิชา ผมไม่ได้รักพี่ ที่มีอะไรกับพี่ตอนนั้นก็เพราะผมขาดสติถือว่าเป็นความผิดของผมก็ได้ถ้าทำให้พี่เข้าใจผิด ผมไม่ได้รักพี่ ผมเกลียดพี่ ผู้หญิงแบบพี่สมควรแล้วที่จะได้รับผลกรรมแบบนี้”

“ไบรต์ ไบรต์”

“พอเถอะ พี่ไปซะ ถึงพี่บั๊มพ์จะตายไปแล้ว แฟนพี่บั๊มพ์จะไม่รู้เรื่องที่พี่ยุแยง แต่ผมก็เดาได้ว่าทั้งหมดเพราะปากของพี่ ที่ผมกับพี่เบสต์ต้องหมองใจกันหลายปี ก็เพราะพี่เองทั้งนั้น พี่กลับไปเลยนะ แล้วอย่ากลับมาอีก ถ้าพี่ยังตามตอแยกับผมหรือพี่เบสต์อีก ผมจะไม่ปล่อยพี่ไว้แน่”

“หึ อย่างแก จะทำอะไรชั้นได้ เด็กเมื่อวานซืน” เธอพูดอย่างเคียดแค้น รอยมาสคาร่าไหลเปรอะทั่วหน้าทำให้ดูน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม

“พี่คิดว่าที่พี่ต้องถูกเชิญออกจากมหาลัยตอนปีสุดท้าย เพราะอะไรล่ะครับ ผมไม่ได้ใจดีแบบพี่เบสต์นะ รายนั้นเค้าพ่อพระที่ยอมทุกอย่าง อโหสิกรรมให้ ส่งค่าเลี้ยงดูรายเดือนให้พี่ ทั้งๆที่พี่เลวระยำขนาดนี้”

หญิงสาวอึ้ง ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะรู้เรื่องราวมากขนาดนี้ “ถ้าพี่ยังไม่เลิกตอแยกับผม หรือกับพี่เบสต์ พี่ก็อย่าหวังว่าจะได้เงินที่พี่เบสต์ให้พี่ทุกเดือนอีก อ้อ...อย่าคิดนะว่าการที่พี่เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม ล้างอดีตและกลับมาเรียนหมออีกรอบมันจะปกปิดทุกอย่างได้ อย่าให้ผมต้องแฉพี่ว่าสมัยก่อนพี่ทำอะไรไว้บ้าง”

“แก”

“อ้อ อีกอย่างหนึ่ง ผมขอย้ำไว้ตรงนี้เลยนะครับพี่ ผมไม่ได้รักพี่ ไม่เคยรักพี่ ผมเป็นเกย์ ชัดเจนมั้ยครับ และผมมีคนที่ผมรักอยู่แล้ว เลิกตอแยผมซะเถอะ ไม่มีประโยชน์หรอก”

หญิงสาวกำหมัดแน่น ชายหนุ่มโน้นตัวมากระซิบข้างๆหู “หรือจะให้ผมบอกพี่เบสต์ ว่าพี่เป็นคนตัดสายเบรครถพี่บั๊มพ์ในวันนั้น”

นิชาหน้าซีด จ้องตาชายหนุ่มอย่างกังวล ความลับที่เธอปกปิดมาแสนนานมีคนล่วงรู้ เธอกับหมอเบสต์แต่งงานกันตั้งแต่ยังเรียนอยู่ ไม่นานเธอก็ถูกจับได้ว่าแอบมีความสัมพันธ์กับคนไข้ตอนอินเทิร์นจนต้องลาออก พอเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามใหม่ก็ขอไปเริ่มต้นที่ต่างประเทศกับสามีหนุ่ม แต่แล้วด้วยความไม่รู้จักพอของตัวเอง เธอมอมเหล้าน้องชายของสามีตัวเองจนมีความสัมพันธ์กันจนกระทั่งถูกหมอเบสต์จับได้และแยกกันอยู่ในที่สุด

“นายมีหลักฐานอะไร”

“พี่คิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าพี่ก็แอบไปมีอะไรกับพ่อผมด้วยเหมือนกัน”

นิชาเบิกตาโพลง ความลับอีกข้อหนึ่งถูกงัดขึ้นมาจนเถียงไม่ออก “พี่กับพี่เบสต์คบกันมานาน ตอนนั้นพ่อผมก็ยังหนุ่มแน่นหน้าตาดี เมื่อพี่เบสต์เค้าไม่ว่างเพราะเรียนหนัก ใครล่ะที่จะมาตอบสนองความต้องการของพี่ได้”

“แล้วใครล่ะ ที่บังคับให้พี่เลิกกับพี่เบสต์ เพราะรู้สึกผิด แต่เพราะพี่ไม่ยอมเลิก พี่เลยวางแผนจะกำจัดพ่อผม”

“แต่คนที่รับเคราะห์ กลับกลายเป็นพี่บั๊มพ์ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

“นาย”

“วันนั้นพี่พยายามยุให้พี่บั๊มพ์ออกจากบ้าน เพื่อหาเรื่องให้พ่อผมไปข้างนอกด้วย แต่กลายเป็นว่าพี่บั๊มพ์ขับรถพ่อออกมาเพราะความรีบร้อนหลังจากที่พี่บอกว่าเจอแฟนพี่บั๊มพ์กำลังเดินอยู่กับผู้ชายคนอื่น”

“พอซะที”

“พี่มันไม่ใช่คน พี่มันเลว ที่ผมไม่เอาเรื่องพี่ก็เพราะผมยังสงสารพี่ที่เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว”

“แต่พี่กำลังทำให้ผมหมดความอดทน ไปซะ เลิกยุ่งกับผม ไม่อย่างนั้นผมจะแฉทุกอย่างกับทุกคน พี่จะยอมให้คำว่าแพทย์หญิงอนาคตไกลมาดับตรงนี้อย่างงั้นเหรอ”

“นาย”

“ไป๊” ไบรต์ตวาดอย่างเหลืออด “เลิกยุ่งกับตระกูลผมซะที ไป๊!”

หญิงสาวถอยร่น คนทั้งชั้นมองราวกับเป็นเชื้อโรคร้าย เธอวิ่งกึ่งเดินโดยไม่สนใจว่าจะขนใครบ้าง ชายหนุ่มหน้าแดงก่ำปิดประตูห้องด้วยความอ่อนแรง จนไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งดันประตูเข้ามา

“หมายความว่ายังไง”

“พี่คิง” ไบรต์มองอีกฝ่ายอย่างตะลึง ไม่คิดว่าเขาจะมาหากลางดึกแบบนี้

----------------------------------------------------------------------------------------


โปรดติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ปมหลายอย่างเริ่มไขออกมา พันกันอีรุงตุงนังไปหมด  :katai1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอ๊ย...ตรู

ทำไมไม่ไปซื้อหวยฟระ

เดาถูกหมดเลยว่า นาง"แพศ"ยา เนี่ยเอาหมดทุกคนทั้งพี่ทั้งน้อง 

แต่ดันนึกไม่ถึงว่านางจะเอาพ่อด้วย  แถมยังเป็นตัวการทำให้บัมพ์ตายอีก

เลวได้โล่จริง ๆ


ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
นี่นางติดใจนายไบร์ท..เหรอออออออ
บร๊ะเจ้า น้ำยาของน้องคนเล็กสุด

แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่ดวงซวยที่สุด
งานเข้าเลยนายไบร์ท จะเคลียร์กับพี่คิงสุดที่รักได้หรือเปล่า

ทำไงดีล่ะทีนี้ พ่อสุดหล่อกาดอเด็ด
หุหุ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด