One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)  (อ่าน 73739 ครั้ง)

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน


Chapter 32: ข้อตกลง



เช้าวันศุกร์สิ้นเดือนที่แสนวุ่นวาย เมื่อถึงที่ทำงาน ผมก็โดนลูกค้าจัดชุดใหญ่...

“พี่ภูมิครับ ผมต้องไปหาลูกค้าที่ระยองนะครับพี่ ... ใช่ครับ เค้าโกรธ ผมขอไปเคลียร์กับเค้าก่อน”

ปลายสายเห็นด้วย “ผมพาน้องฝึกงานไปด้วยนะครับ อยู่ทางนี้ไม่มีคนดูแล”

พี่ภูมิเป็นเจ้านายที่ไม่เรื่องมาก แต่ขอให้บอกกล่าวก่อนถ้าจะทำอะไร

“ไบรต์ เก็บของ อีกครึ่งชั่วโมงไปหาลูกค้ากัน” ผมบอกเค้าสั้นๆ ก่อนกดเบอร์ภายใน

“พี่เปี๊ยก ขอรถบริษัทคันนึงครับ ด่วนมาก ผมจะไปหาลูกค้า” อีกฝ่ายบ่นอุบ เพราะผมขอกระชั้นและจะเอารถเลย

ปรกติต้องแจ้งล่วงหน้า 2-3 วันเพื่อเตรียมหารถให้ ถ้ารถส่วนกลางของบริษัทไม่มี ก็ต้องเช่าข้างนอก

“มีรถส่วนกลางคันนึงพอดีเลย ทีหลังอย่าขอกระชั้นแบบนี้อีกนะ” ผมโดนบ่น

“ขอบคุณครับพี่ ผมก็ไม่อยากหรอก แต่ลูกค้างอแงสดๆร้อนๆเลย ผมต้องรีบไปเคลียร์” ผมแก้ตัว

พอวางสาย ผมก็ทำใบขออนุมัติเดินทาง และส่งให้เลขาพี่ภูมิ รอเขากลับมาเซ็น นายไบรต์เดินหน้าซึมมาหา

“ปะ ไปเช็ครถกัน” ผมกวาดข้าวของ เดินนำเค้าไปที่ลานจอดรถหน้าสำนักงาน

หลังจากตรวจสอบความเรียบร้อยของรถเสร็จ ผมก็ขับรถออกมา...ผมเลี่ยงที่จะขับรถส่วนตัวไปทำงาน

เพราะไม่อยากเสี่ยงชนหรือเฉี่ยวแล้วต้องมาเคลมประกันและไม่มีรถยนต์ใช้

การใช้รถของบริษัทมันคล่องตัวกว่า...แถมไม่ต้องยุ่งยากในการเบิกค่าใช้จ่ายทีหลังอีก...

พวกเรานั่งเงียบจนถึงชลบุรี... “พี่ ผมปวดฉี่” ผมขับไปอีกเกือบห้ากิโลเมตรก่อนจะแวะปั๊มข้างทาง

ผมสูบบุหรี่หน้าห้องน้ำระหว่างรอเค้า อาการป่วยเริ่มดีขึ้นกลังจากได้นอนพักเต็มอิ่มจากเมื่อคืน...

เมื่อคืน...

“ผมสัญญา ผมจะปรับปรุงตัว ผมจะคิดถึงใจพี่....พี่ให้โอกาสผมอีกครั้งนึงได้มั้ย”

น้ำเสียงของเค้าหนักแน่น สีหน้าจริงจัง

“ทำไมพี่ต้องให้โอกาสเราล่ะ” ผมถาม

เค้าเงียบ หันไปควานหาอะไรสักอย่างในกระเป๋าสตางค์แล้วยื่นรูปใบเก่าๆมาให้ผม

“นี่พี่บั๊มพ์ พี่ชายผม” ใบหน้านั้นเหมือนเค้าราวกับแกะ “พี่บั๊มพ์ฝาแฝดพี่เบสต์”

ผมจับจ้อง ความละม้ายคล้ายคลึงของสามคนพี่น้องทำผมขนลุก “ทำไมพี่ไม่เคยเห็นเลยล่ะ”

“พี่บั๊มพ์เสียตั้งแต่ 10 ปีที่แล้วแล้วครับ” อ๋อ มิน่าล่ะ...เพราะหน้าเหมือนกันนี่เองเลยดูคุ้นๆ

“แล้วนายเอารูปพี่เค้ามาให้พี่ดูทำไม”

“ผมเอารูปพี่บั๊มพ์มาเป็นพยาน ... พี่บั๊มพ์คือพี่ชายที่ผมรักและเคารพที่สุด” น้ำเสียงเป็นการเป็นงานมาก

“แล้ว?” ผมไม่ใส่ใจ

“ผมขอสาบานต่อหน้าพี่บั๊มพ์ ว่าต่อไปผมจะไม่ทำตัวแย่ๆกับพี่อีก” เอ่อ...

-__________-”

“ถึงขั้นเอาคนตายมาเป็นพยานเลยเหรอ” น้ำเสียงผมยังราบเรียบ

“ก็ผมไม่รู้จะทำยังไงให้พี่หายโกรธผมอะ...กลับมาดีกันนะ” เค้าชูนิ้วก้อยขึ้นมาง้อ กระดิกดิ๊กๆ

เฮ้อ...เด็กน้อเด็ก... “ถ้าหากมีครั้งต่อไปอีกล่ะ...”

“ไม่มีแล้วครับ พี่บั๊มพ์เป็นพยานแล้ว”

เค้าดึงตัวผมไปกอด... “ผมสัญญา ว่าผมจะเป็นคนดี”

ผมอยู่เฉยๆ ไม่รู้ว่าจะต้องตอบอะไรยังไง เกิดมาไม่เคยโดนผู้ชายที่ไหนง้อเลย

แถมตอนที่เป็นคู่หมั้นกับเฟียซ รายนั้นไม่เคยจะงอนอะไรใหญ่โตให้ผมต้องตามง้อเลยสักครั้ง...

ตอนนี้ผมก็ไม่ได้โกรธขึ้งเค้าหรอก แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทนทู่ซี้ให้เค้าทำมิดีมิร้ายและตามมาง้ออยู่แบบนี้...

หึหึ...แค่อยากแกล้งเด็ก

“จะให้พี่เชื่อเหรอ ว่าเราจะเป็นคนดีจริงๆน่ะ”

“เชื่อเถอะ นะๆๆๆๆ” เค้าย้ำซ้ำๆ ร้อนรนในที

“งั้นต้องพิสูจน์” ปฏิบัติการแกล้งเด็กหมายเลข 001 เริ่มแล้ว

“ทำยังไงครับ ให้ทำอะไรก็ทำล่ะอะ ยอม!” น้ำเสียงเค้าดีใจ ตาลุกวาว

อย่างแรกที่ผมให้เค้าทำคือ...ห้ามรุ่มร่ามกับผมในที่ทำงานหรือสถานที่สาธารณะ...

เค้าก็เลยต้องอยู่แบบซึมๆเวลาเห็นผมน่ะสิ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า สะจายยยยยยยยย

อย่างที่สอง...ห้ามทำมิดีมิร้ายผมโดยที่ผมไม่ยินยอม...

“โหยพี่ ใครจะอดใจไหวล่ะ”เค้าประท้วง

“เห้ย นี่ยังไม่ทันเริ่มเลยจะขัดซะละ แล้วจะให้เชื่อใจได้ไงเนี่ย” ผมแกล้งรุกต่อ

เค้าหน้าเหยเกไปเลย

“กอดหรือจูบได้ป๊ะ” ต่อรองอีก

“ถ้าพี่ไม่ยินยอม ห้ามทำอะไรทั้งนั้น” ผมยื่นคำขาด

“โหย พี่อะ” น้ำเสียงเหมือนเด็กโดนขัดใจ เค้าหน้ามุ่ย

“ข้อสาม ห้ามเถียง ห้ามขัดพี่ เข้าใจมะ” ข้อนี้เพิ่งคิดได้สดๆร้อนๆ

“เมียใครวะ ดุชิบ!”

ผมทำตาเขียว และบอกสิ่งที่เค้าต้องปฎิบัติตัวกับผมไปอีกหลายข้อ...

แกล้งเด็กมันสนุกแบบนี้นี่เองโว้ยยยยยยยยยยยยยยย!!!

สะใจไอ้คิงชะมัด!

------------------------------------------------------------------------

พวกเราถึงระยองตอนสิบเอ็ดโมงกว่า เข้าหาลูกค้ากว่าจะเกลี้ยกล่อมให้ใจเย็นลงได้ก็ต้องพาไปเลี้ยงข้าวชุดใหญ่

เสร็จงานก็บ่ายสาม...ผมขับรถไม่ไหวเพราะอาการป่วยยังอยู่

“ไบรต์ ขับรถยนต์เป็นมั้ย” ผมถามเค้า ทั้งที่จะหายอยู่แล้วเชียว ดันต้องขับรถมาไกล

“เป็นพี่ สบายมาก” เค้ายิ้มให้ ตาหยีๆของเค้าทำให้ผมตลก

“งั้นมาขับให้หน่อย พี่จะนอน”ผมจอดรถในปั๊ม ลงมานั่งข้างคนขับ ปิดตาลงอ่ยางรวดเร็วด้วยความเพลีย

เสียงโทรศัพท์ผมดังแว่วมาแต่ไกล...แต่ผมลืมตาไม่ไหวเลยงึมงำบอกให้คนขับรับแทน

“สวัสดีครับ...” ผมได้ยินแว่วมาแค่นั้นก่อนจะหลับไป

ผมตื่นมาอีกทีก็เกือบสองชั่วโมงหลังจากนั้น...วิวด้านนอกไม่คุ้นตา“ไบรต์ ถึงไหนแล้ว”

“ถึงแล้วพี่” ผมงงกับคำตอบ

“ถึงอะไร ที่นี่ที่ไหน” ผมใจเสีย มันจะพากูไปไหนวะ

“โหยพี่ อย่าทำหน้าแบบนั้นดิ ผมไม่ทำอะไรพี่หรอก” น้ำเสียงนั้นเจ้าเล่ห์ ผมเสียวสันหลังวาบ

“ไม่ทำอะไรก็บอกมาก่อนสิว่าที่นี่ที่ไหน” ผมยิงคำถาม

“ท่าเรือไงพี่ โน่นแน่ะป้ายบอก” เค้าชี้ไปทางป้ายท่าเรือ...ไปเสม็ด!!!

ผมตกใจ “เห้ย พาพี่มาที่นี่ทำไม”

“ก็พาพี่ไปเที่ยวไง” เค้ายิ้มกว้าง ปกปิดความเจ้าเล่ห์ไม่มิด

“เห้ย ไปได้ไง ไม่ไป จะกลับบ้าน” ผมโวยวาย

“ไม่ทันครับ นี่ตั๋วขึ้นเรือ ผมให้เวลาพี่สองนาที ถ้าไม่ออกจากรถ ผมอุ้มไปแน่”

“หยุดเลยนะ ไหนตกลงกันแล้วว่าจะไม่รุ่มร่ามกับพี่”

“แค่อุ้ม ผมไม่ถือว่ามันเป็นการรุ่มร่ามนะครับ” เค้ากวน “ถ้าไม่อยากโดนอุ้ม ก็ลุกให้ไว”

แม่งงงงงงงงงงงงงงงงงงงง บังคับกันเห็นๆ

อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาผมก็มาอยู่หน้ารีสอร์ตบนเกาะเสม็ดจนได้...

“สวัสดีค่ะคุณคิง ห้องที่จองไว้คือห้อง 101 นะคะ” นายไบรต์รับกุญแจ และดันตัวผมให้เดินไปที่พัก





TBC...

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

แบบนี้ก็ได้เหรอ?

ขอรถบริษัทมาใช้วันเดียว  แต่นี่ค้างคืนด้วยนะ

แล้วใครรับผิดชอบหล่ะนั่น?

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน


Chapter 33 : ความลับไม่มีในโลก



ผมลืมไปแล้วว่าจองห้องที่รีสอร์ตไว้ เพื่อฉลองวันเกิดเฟียซ...ผมวางแผนไว้นานแล้วว่าจะพากันมาฉลองกันที่นี่

“ตอนพี่หลับ ทางรีสอร์ตเค้าโทรมาถามว่าพี่จะเช็คอินอยู่ไหม เพราะใกล้มืดแล้วพี่ยังไม่มา”

ไบรต์เล่าให้ฟังตอนที่อยู่บนเรือมาที่เกาะ “ผมเห็นว่าไหนๆพี่ก็จองและจ่ายเงินแล้ว เลยบอกเค้าว่ามา แต่ช้าหน่อย”   

ความรู้สึกผมตอนนั้นคือ ไม่น่าปล่อยให้มันรับโทรศัพท์เล้ย!!! พลาด...

ห้องนอนไม่เปิดไฟ มีแต่เสียงเทียนหลากสีสันวับวาม ผมอีกนั่นแหละที่บอกให้รีสอร์ตสร้างบรรยากาศโรแมนติกเอาไว้

แล้วมันกลับมาเป็นเชือกรัดคอตัวผมเองอยู่ตอนนี้...

ผมได้แต่อึ้ง มองหน้าหล่อของคนข้างๆ “สวยดีจัง” เค้าพึมพำ “พี่เตรียมไว้เพื่อผมเหรอ”

“บ้า ใครจะเตรียมให้นายกัน” ผมบอกความจริงเขาไป“โถ่ ไอ้เราก็อุตส่าห์ดีใจ” เค้าบ่นอุบ

“ใครใช้ให้คิดเองเออเองล่ะ” ผมปัดเทียน

“เฮ้ย พี่อย่าไปดับมันสิ สวยดีออก หอมด้วย” เค้าห้าม มือเกาะกุมผมไว้แล้วก็หอมมือผม

“ลงโทษ” จากนั้นก็โน้มตัวมาจูบ ผมถอยหลังออก เค้าคว้าเอวผมไว้และดึงตัวผมกลับ

“ห้ามทำอะไรโดยที่พี่ไม่อนุญาต” เค้าไม่ตอบ แค่กอดผมไว้

“อา..ดีจังเลยที่ได้อยู่กับพี่แบบนี้” เค้าดึงมือผมไปเกาะตัวในท่ากอด ร่างใหญ่หนาอบอุ่นจนความหนาวจากพิษไข้ผ่อนคลาย...

เค้าเลื่อนใบหน้ามาชิดหน้าผม แก้มเราแนบกัน ลมหายใจอุ่นๆของเค้าส่งผ่านมาทางผม

“ผมขอบจูบพี่นะ” ผมรู้สึกประหลาดใจ เค้าทำตามที่ผมสั่งไว้

ผมไม่ตอบ ได้แต่มองแววตานั้น ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาใกล้และประทับรอยจูบลงมาโดยไม่รอคำตอบ...

-------------------------------------------------------------------------

สุดท้ายเราก็ได้แค่จูบกัน...โชคดีที่ผมห้ามทัพได้ ไม่อย่างนั้นไอ้ที่ระบมอยู่ไม่หายขาดซักที

เจอกันทุกวันเป็นเดือน จัดหนักติดๆกันแบบนี้ใครมันจะทนได้ แค่นี้ก็เยอะเกินไปแล้ว

“หิวอะ” เค้าพูดพร้อมๆกับจูบไปตามตัวผม เค้าเลิกขออนุญาตไปแล้วเพราะเห็นว่าผมไม่ขัดอะไร

ทำไมง่ายจังวะกู!!!“อาบน้ำแล้วไปหาอะไรกินกัน”

เค้าลุก เผยเนื้อตัวเปลือยเปล่า รูปร่างเฟิร์มกระชับด้วยมัดกล้ามจนผมอิจฉา เอาเวลาตอนไหนไปเล่นกล้ามวะ!!

“อาบด้วยกันนะ” แล้วเค้าก็ช้อนตัวผม อุ้มเข้าไปในห้องน้ำ ผมได้แต่โวยวาย แต่สุดท้ายก็โดนเค้าอาบให้...

“นะ...ขอผมเถอะ” เค้าใช้เสียงแหบพร่าออดอ้อน...

“ไม่!”ผมเสียงแข็ง “ไม่ต้องเอามาเสียดสีเลย เอาไปไกลๆ”

ผมสนุกที่ได้แกล้งเค้าแบบนี้ ตอนนี้เค้ามีอารมณ์อย่างหนัก แต่ผมไม่เล่นด้วย

สมน้ำหน้า อาบเองดีๆไม่ชอบ เอาผมมาอาบด้วยทำไม...

“ช่วยตัวเองไปละกัน” ผมรีบคว้าเช็ดตัวและเดินออกมาก่อน เค้าอยู่ในนั้นอีกเกือบ 10 นาทีถึงเดินตามออกมา

“เร็วๆ หิว” ผมแต่งตัวเสร็จแล้ว เร่งเค้าอยู่“ไม่อยากกินข้าวอะ อยากกินอย่างอื่น” เค้าส่งตาหวานมาให้ผม

“ฝันไปเถอะ” ผมแลบลิ้นใส่ สะใจ ฮ่าๆ สุดท้ายเค้าก็ได้แต่บ่นและแต่งตัว

-------------------------------------------------------------------------

เราพักกันที่อ่าวไผ่ เย็นนี้เลยกินอาหารที่รีสอร์ตนี่แหละ พออิ่มหนำสำราญผมก็ทำท่าจะกลับไปที่ห้อง แต่ถูกเค้าดึงไว้

“ไปเดินเล่นกันนะ” ด้วยสายตาที่เว้าวอน ผมก็เลยใจอ่อน

ท้องฟ้ามืดสนิท แต่แสงไฟจากรีสอร์ตและร้านอาหารริมหาดทำให้ดูสว่างไสว เราเดินเล่นเลาะชายหาด เสียงคลื่นซัดสาดพร้อมลมเย็นๆปะทะตัวทำผมหนาว แต่อยู่ในเกณฑ์ที่ทนได้ เค้าจับมือผม“เห้ย! ห้ามรุ่มร่าม” ผมชักมือหนี แต่เค้าก็ยื้อไว้

“ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเราหรอก” เค้ายิ้มให้ “ขอผมจับมือพี่เดินไปนะ ดูดิ มือพี่เย็นเชียว”

ผมไม่ดึงมือออกแล้วเพราะโดนเค้าบีบไว้เลยปล่อยให้เค้าจับมือเดินเลาะตามเสียงคลื่นและลมทะเล พวกเราเดินผ่านร้านรวงไปทางหาดทรายแก้ว แสงอาทิตย์เลือนหายไปทีเมื่อไหร่ไม่รู้ได้เมื่อเดินผ่านโขดหินระหว่างทาง ผมไม่อยากเดินต่อเพราะรู้สึกระบมยังไม่หาย เลยอิดออด

“พอละ เหนื่อย”

“ผมอุ้มมั้ย” เค้าเสนอตัว ผมหน้าเบ้

“เกินไปละ แค่จับมือก็พอแล้ว”

เค้านั่งลงตรงโขดหิน ดึงตัวผมให้นั่งข้างๆ ละแวกนั้นมีหนุ่มสาวคนรักนั่งสองสามคู่ ต่างไม่สนใจคนที่มาทีหลัง ผมทรุดตัวนั่งข้างๆเฝ้ามองคลื่นยามค่ำคืน แสงไฟฉายส่องสลัวเป็นเงาด้านหลัง เค้าดึงผมไปกอด ผมขัด ก่อนที่จะถุกอุ้มไปนั่งบนตัก เค้าเอาคางสากๆมาวางที่ไหล่ผม ลมหายใจอุ่นๆไหลรด

“อุ่นดีจัง” เค้าพูด พลางกอดผมแน่น “พี่ไม่หนาวแล้วนะ” แน่ะ รู้ด้วยว่าผมหนาว

“ฉวยโอกาส” ผมบ่น ไม่มีทางที่เค้าจะสนใจคำนี้หรอกได้แต่หัวเราะและกอดผมแน่นเหมือนเดิม

“เล่าเรื่องพี่ชายนายให้ฟังหน่อยสิ” ผมถาม

“คนไหนอะ พี่เบสต์หรือพี่บั๊มพ์”

“คนที่เสียน่ะ ที่เอารูปให้พี่ดูวันก่อน”

“อ่อ...พี่บั๊มพ์น่ะ เป็นพี่ชายที่ใจดีที่สุดในโลก” เสียงเค้าหงอยๆแต่เปี่ยมไปด้วยความสุข “แล้วให้ผมเล่าเรื่องอะไรอะ”

“เอ่อ...” ผมคิด “ทำไมพี่เค้าถึงตายล่ะ”

“พี่บั๊มพ์เสียตอนผมอายุ 12 พี่บั๊มพ์ 29  ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจอะไรหรอก แค่รู้คร่าวๆว่าพี่เค้าทะเลาะกับแฟน คืนนั้นพี่บั๊มพ์กลับมาร้องไห้กับผม คร่ำครวญถึงแฟนที่ห้องผมและกอดผมไว้ ผมยังจำคำพูดพี่เขาได้” เค้าทำหน้าครุ่นคิด แล้วพูดต่อ

“‘ไบรต์ จำคำพูดพี่ไว้นะ...’ พี่บั๊มพ์กอดผมร้องไห้ไปด้วย... ‘อย่ากลัวหรืออายที่จะบอกคนอื่นว่าเราเป็นหรืออยากเป็นอะไร เราต้องเคารพตัวเองให้มาก ถ้าวันนี้เรายังยืนหยัดต่อสู้เพื่อตัวเองไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าใครจะมาทำให้เรา’ … ผมไม่เข้าใจหรอกว่ามันหมายความว่ายังไง ตอนนั้นผมยังเด็กเกินไป” เค้าหยุดพูด ผมหันไปมองหน้าที่เศร้าสร้อยของเค้า

“แล้วยังไงต่อ” ผมถามรู้สึกว่าตัวเองละลาบละล้วง แต่มันก็อดไม่ได้

“วันรุ่งขึ้น เหมือนพี่บั๊มพ์ทำใจได้แล้ว แกบอกว่าจะไปปรับความเข้าใจกับคนรัก แต่...” เค้าหยุดพูด ผมเอียงตัวไปหา มองไปยังดวงหน้าที่โศกสลดนั้น เหมือนผมไปเปิดปากแผลที่กำลังจะหายดีของเค้า...

“แต่พี่บั๊มพ์ก็ขับรถไปชน...ตูม...” เค้าน้ำตาไหล ผมอดสงสารไม่ได้ ใช้มือปาดน้ำตานั้น

“พี่ขอโทษ” ผมเอ่ย

“ขอโทษเรื่องอะไรครับ” เค้ากลั้นน้ำตา ผมรู้ว่าตาสองข้างเค้าคงแดงๆ

“ก็...พี่ไม่น่าถามเรื่องนี้เลย” ผมรู้สึกผิดจริงๆที่ไปถามเค้าแบบนั้น

“ไม่เป็นไรครับ...มันนานจนผมทำใจได้แล้วล่ะ” เค้าโกหก แต่เพื่อให้ผมสบายใจนั่นแหละ ผมซุกหน้าที่หน้าอกเค้า

แค่ครั้งนี้นะ...ที่ผมจะทำอะไรแบบนี้!!

เค้ากระชับอ้อมกอด เกยคางผมขึ้นแล้วจูบอย่างอ้อยอิ่ง...

ผมหลงไหลกับรสจูบนั้น มันแผ่ความเหงา ความเศร้าปะปนมากับริมฝีปากอบอุ่น...

“พี่คิง!”

ผมตกใจสะดุ้งพรวด “คิ้ว!!” ตกใจตาค้าง รีบผละตัวออกจากเค้า

“มะ มาได้ไง” ผมถามตะกุกตะกัก

“ผมต่างหากที่ต้องถาม ว่าพี่มาได้ไง...แล้วเมื่อกี้...พี่กับเค้า...” น้องชายผมทำหน้าขมขื่นปนตกใจ

“คุณหมอ ทำไมคุณหมอทำแบบนี้” สิ้นเสียงพูด ฝ่ามือน้อยๆก็ตบเบ้าหน้าเค้าอย่างแรง

“ฟาง ใจเย็นๆนี่ไม่ใช่คุณหมอนรินทร์นะ” ผมห้าม

“ไม่ใช่ได้ยังไง ทำไมคุณหมอต้องหลอกพี่เฟียซด้วย...” ซวยละหว่า ทำไมเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะเนี่ย

“ใจเย็นๆก่อนนะครับ” ไบรต์พยายามอธิบาย

ผมมองหน้าคิ้วกับฟางสลับกันไปมา ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ใบหน้านั้นทั้งโกรธ ตกใจ ผิดหวังปนเปกัน

...แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากผมหรอก ที่ตอนนี้หน้าซีดจนไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปแล้ว จะปฏิเสธ หลักฐานก็คงคาตา

น้องชายคนเดียวของผม มาเห็นพี่ชายจูบกับผู้ชายที่ชายหาดท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติก...

ต่อให้เป็นเด็กอนุบาลก็คงจะเข้าใจว่า...คู่นี้ไม่ธรรมดา!!

ผมได้แค่คอตก คิดแต่ว่าจะพูดยังไงต่อไป ที่แน่ๆ...ความแตกแล้วล่ะงานนี้





โปรดติดตามตอนต่อไป...

FB: https://www.facebook.com/Begintillanend

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

กำลังคิดว่า  ความเชื่อมโยงระหว่าง  บัมพ์ กับ คิง นั้น

น่าจะเป็นอุบัติเหตุที่ บัมพ์ ขับรถชนกับ  รถของคิงที่มีเฟียซนั่งไปด้วย   

ใช่ป่าวหว่า

ว่าแต่.....โลกกลมเนอะ  ดันมาเจอน้องชายกับน้องสาวเฟียซ ที่เกาะซะงั้น

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน


Chapter 34: เปล่า...ไม่ได้หึง



พวกเราทั้งสี่เดินเงียบๆมานั่งที่ร้านริมชายหาด ต่างนั่งประจัญหน้ากันโดยพร้อมเพรียง

“พี่คิง หมายความว่า...พี่กับเค้า...อึ๋ยยย” น้องชายผมทำหน้ากระอักกระอ่วน

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” แต่ก็ยังถามต่อ ผมได้แต่อึกอัก รู้สึกอึดอัดที่ต้องมาตอบคำถามพวกนี้

“เดือนที่แล้ว” นายไบรต์ตอบแทน

“ทำไมต้องเป็นแบบนี้” น้องชายผมพูดลอยๆ

“พี่ขอโทษนะคิ้ว...แต่...” ผมไม่รู้จะพูดอะไร สำหรับน้องชาย ผมคือฮีโร่ของเขา หน้าตาขมขื่นของคิ้วทำให้ผมยิ่งรู้สึกผิด

“อย่าโทษพี่คิงเลยนะครับพี่คิ้ว...เป็นความผิดของผมเอง” ไบรต์เล่าเหตุการณ์คร่าวๆให้ฟัง ทั้งสองนั่งนิ่งฟังจนจบ

ผมได้แต่เสริมในบางเรื่องตามที่ตัวเองรู้สึก ไม่ให้เค้ารับผิดเต็มๆไปเอง...ทั้งๆที่เค้านั่นแหละที่ผิด!!

“หมายความว่า พี่คิงพลาดท่า...โอยยย ตายๆๆๆ ผมจะไปแจ้งความ!!”  น้องชายผมเริ่มเอะอะ

“ข้อหาอะไร...มันไม่มีกฎหมายข่มขืนเพศเดียวกันนะ อย่างมากก็ได้แค่ทำร้ายร่างกาย จ่ายค่าปรับแล้วก็จบ แต่...ชื่อเสียงพี่คิงล่ะครับ ผมน่ะไม่มีปัญหาหรอก เพราะครอบครัวและเพื่อนๆผมต่างก็รู้ว่าผมเป็นอะไร แต่พี่คิงไม่ใช่...” นายไบรต์สาธยาย

“ขอร้องล่ะคิ้ว...อย่าเพิ่งบอกใครได้มั้ย” ผมขอร้องน้องชายตัวเอง

“คิ้วจะโกรธ จะเกลียดพี่ก็ได้ แต่อย่าเพิ่งบอกพ่อกับแม่เลยนะ...ฟางด้วย”

“ผมแค่...” น้องชายผมสับสน “โอ๊ย! ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงอะพี่คิง อยู่ๆพี่ชายมาดแมนของผมมีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกัน...โว้ย! โลกนี้มันเป็นอะไรไปวะ” เจ้าคิ้วโวยวายหนักเข้าไปอีก

“พี่คิ้ว...ฟางว่าให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของพี่คิงกับไบรต์ดีกว่านะคะ...” ฟางออกความเห็น

“และพี่ก็ขอโทษไบรต์ด้วยที่เข้าใจผิด ตบไปฉาดใหญ่เลย เจ็บมั้ยคะ?” เจ้าตัวดีลูบหน้าหล่อๆ

“ไม่เจ็บหรอกครับ แต่พี่ฟางเนี่ยมือไวแถมหนักใช้ได้เลยนะเนี่ย” ในสถานะการณ์เช่นนี้เค้ายังทีเล่นทีจริงได้อีก

“นะ พี่คิ้ว...ยังไงพี่คิงก็เป็นพี่ชายพี่ ไม่ว่าจะรักใครชอบใคร เราก็ไปขวางเค้าไม่ได้หรอก”

เออ...ไอ้ฟางพูดได้ดี แต่ เอ๊ะ!! ไม่ได้รักเว้ย แค่ถูกล่วงละเมิด

เจ้าคิ้วไม่ตอบ ได้แต่นั่งนิ่ง ก่อนที่จะพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

“นั่นสินะ...ไม่ว่ายังไง พี่ก็คือพี่ชายผม...ผมควรจะยินดีกับความรักครั้งนี้ของพี่ถึงจะถูก” ผมควรจะดีใจหรือเสียใจดีล่ะเนี่ย

เขาจับมือผมแน่น “ผมจะไม่บอกพ่อแม่หรือใครๆ ให้พี่เป็นคนจัดการเอง โอเค๊”

“อืม ขอบใจว่ะคิ้ว...” ผมโล่งใจ รู้สึกเบาหวิว “ว่าแต่...ทำไมมากันสองคนได้เนี่ย”

ทีนี้ก็เป็นทีของผมบ้างล่ะ

“โอ๊ย สองคนที่ไหน มากันเป็นโขยง ฟางมากับเพื่อนที่ทำงานค่ะ” ฟางเป็นคนตอบ น้ำเสียงตกใจที่อยู่ๆโดนจู่โจม

“แล้วเจ้าคิ้ว มาได้ยังไง นายทำงานคนละที่กันนะ” ผมคาดคั้นน้อง

“คือ...เอ่อ...ผมตามมาน่ะ” เขาอ้อมแอ้ม ท่าทางมีพิรุธชัดเจน

“แล้วเราสองคน...” ผมชี้ไปที่ทั้งคู่ที่ต่างพากันหลบตาผม “หมายความว่า...”

ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก

“ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย!!” ผมถาม

“แหมพี่ คนบ้านติดกัน เจอกันทุกวัน ฟางก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่” น้องผมตอบ

“แต่....” ผมหันไปอีกทาง “ฟาง”

“ค่ะพี่...เราเป็นแฟนกัน” เสียงนั้นตอบเบาๆ

                ผมยิ้มอย่างดีใจ ถึงแม้ผมกับเฟียซจะไม่ได้เป็นคู่กัน แต่อย่างน้อยก็ยังมีอีกคู่หนึ่งที่พอจะสานต่อความต้องการของผู้ใหญ่ได้ ก่อนแยกกันผมได้แต่กำชับให้คิ้วอย่าทำตัวนอกลู่นอกทาง เพราะยังไงก็ยังเกรงใจป้าเพ็ญและเฟียซ ถ้าเกิดอะไรขึ้น พ่อแม่เราจะมองหน้ากันไม่ติด...

“ที่ว่ามองหน้ากันไม่ติด เพราะอะไรอะครับพี่” นายไบรต์ถามตอนเดินจับมือผม(อีกแล้ว) เดินกลับรีสอร์ต

“มันตั้ง 10 ปีมาแล้วล่ะ ตอนที่พ่อฟางเสีย...ป้าเพ็ญโทษว่าเป็นความผิดพี่” ผมสารภาพ

“ยังไงอะครับ”

“พี่ไม่รู้ว่ะ พี่จำไม่ได้...พี่จำเหตุการณ์วันนั้นไม่ได้เลย”

“อ้าว ทำไมเป็นแบบนั้นอะครับ” น้ำเสียงเค้าดูเสียดายมากกว่าสงสัย

“หมอบอกว่า พี่ช็อกกับเหตุการณ์ที่เจอจนเกิดการปิดกั้นตัวเองจากสิ่งนั้น มันส่งผลให้พี่ลืมเหตุการณ์วันนั้นไปเลยน่ะ”

ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังแคลงใจ ว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว...

“เพราะแก เพราะแก...” ภาพป้าเพ็ญคร่ำครวญโหยหวนยังติดตาผม

“อย่าคิดมากเลยครับ” เค้าจับมือผมไว้ “สักวันพี่จะต้องรู้ความจริง”

ผมพยักหน้าในความมืด “พี่อยากรู้ว่า พี่ทำอะไรลงไป...ถึงแม้จะแก้ไขอะไรไม่ได้ อย่างน้อยพี่ก็เรียนรู้จากมันได้”

“ไม่นานพี่ก็จะรู้เองว่าพี่ทำอะไรไปบ้าง” เสียงนั้นดูแผ่วเบา ผมเข้าใจไปว่าเค้ากำลังปลอบใจผมอยู่...

เสียงเพลงจากผับของรีสอร์ตดังแว่วมาแต่ไกลเมื่อเข้าใกล้รัศมี ผมรู้สึกดีที่มีอะไรมาเปลี่ยนความอึมครึมนี้ได้บ้าง

“ไบรต์ ไปเที่ยวกัน ปะ” ผมดึงมือเค้าให้รีบเดินไปตามเสียงนั้น

“ไม่เอาน่า พี่ไม่สบายอยู่นะ”

“เห้ย ใครบอก ฟิตเปรี๊ยะ” ผมดึงตัวเค้าไปในผับ มันเป็นผับแบบเปิดที่เห็นคนข้างในกำลังโยกย้ายส่ายตัวไปกับจังหวะเพลง ผมเบียดตัวเข้ามาที่บาร์ที่ทอดยาวอยู่มุมด้านข้างของร้าน ผมสั่งเบียร์ ส่วนเค้าสั่งสปาย

“เห้ย ตุ๊ดว่ะ” ผมแซว ก่อนชนขวดกับเค้า

“ขวดเดียวพอนะพี่” เค้าตะโกนแข่งกับเสียงเพลง

“เห้ย อะไรวะ ยังไม่ทันมันเลยจะพอได้ไง” ผมจุดบุหรี่ ตั้งแต่ศุกร์ที่แล้วเลยนะเนี่ยที่ไม่ได้สังสรรอะไรแบบนี้

“เต้นหน่อยเดะ ทำตัวเป็นคนแก่ไปได้” ผมโยกไปตามเสียงเพลง กระดกเบียร์ไปเรียบและสั่งเพิ่ม

“พี่...” เค้าพยายามขัด

“เฉยๆเหอะน่า” ผมเต้น ค่อยๆเลื้อยตัวออกห่างจากเค้า เริ่มสังเกตรอบๆตัวมีแต่ผู้ชายแต่งตัวน้อยชิ้น ผมพยายามไม่สนใจคนเหล่านั้น ได้แต่เต้นตามจังหวะของตัวเอง

พอเบียร์ขวดที่สาม ผมก็เริ่มมึนและมัน เต้นแบบไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมแล้ว บุหรี่ถูกจุดมวนต่อมวน เค้าพยายามลากผมไปเต้นใกล้ๆ สุดท้ายผมก็ยกตัวเองออกมาเต้นหน้าเวที

แล้ววินาทีนั้นเอง...ผมก็เห็นผู้ชายตัวขาวบางคนหนึ่งกำลังสีตัวอยู่กับเค้า ไบรต์ทำหน้าแหยๆแต่ก็ไม่ได้ไล่ไปไหน สองตาเค้าจับจ้องมาทางผมแล้วยักคิ้วให้ ผมไม่สนใจเต้นต่อ ผ่านไปไม่นาน ผู้ชายคนนั้นก็โอบคอเค้าไว้

เห้ย!! โอบคอเลยเรอะ!!

ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องเดือดปุดๆ แต่ก็พยายามไม่สนใจ แต่ก็ชำเลืองมองผู้ชายคนนั้นกำลังโน้มคอเค้าลงมา ใบหน้าน้อยๆนั้นดูเหมือนพยายามซุกคอเค้าไว้ ผมกระดกเบียร์จนหมดขวด เดินไปวางที่เค้าน์เตอร์แล้วเดินฉับออกนอกร้านไปผมหยุดที่ริมหาด จุดบุหรี่มวนที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ สูดจนเต็มปอดแล้วพ่นควันสีขุ่นออกมา ลมทะเลเย็นๆปะทะใบหน้าแต่มันก็ไม่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ ความเหนียวเหนอะจากการเต้นทำให้ผมหงุดหงิด ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้สึกโมโหด้วย...

“มาคนเดียวเหรอครับ ขอผมคุยด้วยคนได้มั้ย” ผมหันไปตามเจ้าของเสียง ก่อนพ่นควันบุหรี่ไปหา

“ไม่ได้ครับ ผมไม่ชอบผู้ชาย” ผมบอกด้วยความรำคาญ

“คุณไม่ชอบ แต่ผมชอบนี่ครับ” น้ำเสียงทะเล้นทำให้ผมยิ่งหงุดหงิด

“ถ้าชอบ ก็ไปหาคนเมื่อกี้สิ นัวเนียกันอยู่นี่” ผมไล่

“โอ๊ย ใครนัวเนีย เปล่าซะหน่อย...แน่ะ หึงผมเหรอ” เค้าล้อเลียน

“หึงเหิงอะไร ไม่มี๊” ผมปฏิเสธ สูบบุรี่ต่อ

“ถ้าไม่หึง ทำไมหนีมาสูบบุหรี่ที่นี่คนเดียวล่ะ” เค้ารุก น้ำเสียงเหน็บแนม

“ร้อน...อึดอัด” ผมแก้ตัว ยืนหันหลังให้เค้า ผมขยี้บุหรี่กับพื้นทราย แต่สุดท้ายก็เก็บปลายมันไว้ อย่างน้อยก็เมาอย่างมีสติ ไม่สร้างความสกปรกให้สถานที่

“ว้า...ไอ้เราก็นึกว่าหึง เห็นปุบปับเดินออกมา”

“คิดเองเออเอง” ผมด่า ยืนกอดอกมองทะเลในความมืด เส้นขอบฟ้าสีดำอยู่ห่างไปแสนไกล ดาวบนท้องฟ้าสว่างไสว ผมหลับตาพริ้มดื่มด่ำกับความสงบ(และความมึนของตัวเอง) แล้วจู่ๆเค้าก็เคลื่อนตัวมาหา กอดผมทางด้านหลัง

“ใครบอกว่าคิดเองเออเอง ท่าทางพี่น่ะฟ้องว่าหึงผมนะ” เค้าเกยคางบนไหล่ผม ท่าประจำของเค้าล่ะ

“อย่าโกรธผมเลยนะ ไม่มีอะไรจริงๆ เค้าเมาแล้วพยายามชวนผมคุยน่ะ” เค้าหอมซอกคอผม นี่มันไม่อายอะไรบ้างเรอะ

“บอกพี่ทำไม” ผมเบี่ยงตัวหนี แต่ก็ถูกเค้ารัดไว้แน่นเหมือนเดิม

“ถ้าไม่บอก พี่ก็ไม่หายงอนผมอะเดะ” เค้ากวน “ผมเลยบอกเค้าไปว่า ผมมีแฟนแล้ว เต้นอยู่โน่นเค้าถึงยอมปล่อยผมมา”

“ใครแฟนนายวะ” ผมพยายามแกะแขนเค้าออก แต่ยิ่งแกะเค้าก็ยิ่งรัด

“ไม่รู้สิ ใครบางคนแถวนี้แหละ ขี้หึงด้วย” เค้าขโมยหอมแก้มผมฟอดใหญ่ “แถมพูดความจริงก็ไม่ยอมเชื่อ”

“หยุดเลยนายไบรต์!” ผมแหว “พี่จะไปนอนละ ปล่อย!”

เค้ายอมปล่อยแต่โดยดี แต่ก็จับมือผมไว้ “เดินไปด้วยกันนะครับ”

ผมได้แต่เงียบ เค้าจูงมือผมเดินผ่านผับเมื่อกี้เพราะเป็นทางเข้ารีสอร์ต ผู้ชายคนที่นัวเนียกับเค้าชูขวดเบียร์พร้อมยกนิ้วให้ เค้าโบกมือกลับ โค้งศีรษะพอประมาณ แล้วเราก็เดินกันเงียบๆจนถึงห้องนอน...

“ปล่อยมือสิ พี่จะเข้าห้อง” เค้าไม่ยอมปล่อยมือ ไขกุญแจแล้วมองมาทางผม

แล้วตัวผมก็ปลิว เพราะเค้าอุ้มผมและวางผมที่เตียงเบาๆ...

“พี่คิง” ผมพยายามหลบตากรุ้มกริ่มของเค้าอยู่ แอลกอฮอล์ทำให้ผมพลาดท่าเค้ามาหลายต่อหลายรอบละ

“พี่คิง” เค้าเรียกซ้ำ

“อะไร!” ผมถามด้วยความรำคาญ

“ผมรักพี่นะ...รักมากด้วย” โอ๊ย จะมาเพ้ออะไรตอนนี้เนี่ย

“เป็นของผมนะครับ” ผมหลับตาปี๋ แล้วเค้าก็ก้มมาจูบ...

อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดสินะ





TBC...

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อุบัติเหตุครั้งนั้น  ใครได้รับผลกระทบบ้างเนี่ย

น่าจะมี พี่บัมพ์ มีพ่อเฟียซ ใช่ป่ะ?

ป.ล. เดาล้วน ๆ

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
:pig4: :pig4: :pig4:

อุบัติเหตุครั้งนั้น  ใครได้รับผลกระทบบ้างเนี่ย

น่าจะมี พี่บัมพ์ มีพ่อเฟียซ ใช่ป่ะ?

ป.ล. เดาล้วน ๆ


ต้องติดตามกันต่อไปคับ อิอิ  :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน

เราดำเนินมาเกินครึ่งเรื่องแล้วนะครับ สำหรับเรื่องนี้
บอกเลยว่ายิ่งใกล้จบยิ่งต้องลุ้นตามจริงๆ
หากชื่นชอบ ฝากช่วยคอมเม้นต์ แชร์ และติดตามที่ FB ผมด้วยนะครับ

ผลงานเรื่องที่เอาลงตอนนี้ที่อยากให้อ่านคือ >>> จะรักนาย เท่าชีวิต
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64729.0


ผลงานที่จบไปแล้ว >> สัญญาธนาการ
https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52913.0


มาติดตามตอนต่อไปของ บังเอิญรักโดยตั้งใจกันได้เลยครับ


Chapter 35: วันสบาย



...มันเป็นการร่วมรักที่อ่อนโยนที่สุดตั้งแต่เรามีอะไรด้วยกันมา

เค้าถนอมผมราวกับว่าเป็นแก้วที่เปราะบาง พยายามคุมจังหวะให้เนิบนาบ เนิ่นนานแต่เปี่ยมสุข ผมเผลอรับด้วยความยินดี ก่อนจะจบที่ผมนอนทับตัวเค้าไว้

“ขอบคุณนะ” เค้าพูดขึ้นมา

“ขอบคุณไร” ผมถามห้วนๆ

“ขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน” มาไม้ไหนอีกเนี่ย เค้ากอดผมไว้ เหมือนกับว่าผมจะบินหายไป

“เจ็บมั้ย” เค้าถาม

“นิดหน่อย” ผมตอบ เค้าทำท่าเหมือนจะมาสำรวจอีก ผมรีบห้าม “ไม่ต้องหรอก พี่ทนไหว”

“ขอโทษนะครับ” เค้าพร่ำบอกคำนี้ซ้ำๆ

“พอเถอะ พูดบ่อยๆพี่ก็รำคาญนะ” ผมตัดบท เค้ายิ้ม

“ไปล้างตัวมั้ยครับ”

“ไม่เอาอะ พี่มึนหัว เหนื่อยด้วย ไม่มีแรง ขอนอนได้มั้ย” ผมต่อรอง

เค้าไม่ตอบ ปิดไฟแล้วขยับตัวผมให้หัวมาหนุนแขนล่ำเค้าไว้ แล้วจูบผมเบาๆ

“ราตรีสวัสดิ์ครับ คนดีของผม” ผมผลอยหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ รับรู้แต่ความแข็งแกร่งและอบอุ่นที่กำลังห่อหุ้มตัวผมไว้

เรานอนเปลือยเปล่าและกอดกันจนถึงเช้า...

------------------------------------------------------------------------------

“คุณหมอมาแต่เช้าเชียว เข้ามาก่อนสิคะ” เฟียซเปิดประตูรับเขาเข้ามาในบ้าน

“คุณป้าไม่อยู่เหรอครับ” เขาถาม เมื่อเห็นบ้านเงียบเชียบ

“คุณแม่ไปวัดน่ะค่ะ วันนี้มีงานบุญ ฟางไปทะเลกับเพื่อนๆ” เธอหายไปห้องครัวยกน้ำมาให้

“รอแป๊บนะคะ ขอแต่งตัวอีกนิด ตามสบายนะคะคุณหมอ” หญิงสาวหายไปอีกครึ่งชั่วโมงก่อนจะเดินลงมา

“ไปไหนดีครับวันนี้” ชายหนุ่มถามเมื่อทั้งคู่นั่งในรถแล้ว

“ไปไหว้พระก่อนได้มั้ยคะ เมื่อเช้าตื่นสายไม่ทันใส่บาตร” เธอตอบ เขาพยักหน้าก่อนขับรถออกไป...

เสียงกริ่งจากบ้านติดกันทำให้ศรีประจันต์ต้องออกมาดู

“อ้าว ภูมิ ไม่มีใครอยู่หรอก ไปข้างนอกกันหมด”

“อ้าวเหรอครับ สวัสดีครับพี่” ชายร่างใหญ่ยกมือไหว้ เธอรับไหว้ก่อนยิ้มให้

“กลับมาตอนไหนเนี่ย เห็นคิงบอกว่าไปหาลูกค้าไม่ใช่เหรอ”

“ลงเครื่องเมื่อคืนครับ วันนี้วันเกิดเฟียซ ผมเลยเอาของขวัญมาให้”

“อ๋อ เฟียซเพิ่งออกจากบ้านไปเมื่อกี้นี้เอง สงสัยจะสวนทางกันน่ะ”

ศรีประจันต์มองชายร่างใหญ่ คนทั่วไปแค่ดูจากหน้าตาจะเดาไม่ออกว่าอายุเท่าไหร่กันแน่ ผมขาวเต็มหัวบวกกับหนวดเคราครึ้มยิ่งทำให้เขาดูแก่เกินวัย

“งั้น เดี๋ยวผมมาใหม่ตอนเย็นก็ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับพี่” เขายกมือไหว้ แล้วเดินจากไปช้าๆ

เธอได้แต่ถอนหายใจมองตามแผ่นหลังกว้างนั้น...

----------------------------------------------------------------------------------

                เฟียซสั่งสปาเก็ตตี้เส้นดำผัดขี้เมา ส่วนเขาสั่งสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าที่ดูเลี่ยนและอมน้ำมัน

“ทำไมคุณเฟียซชอบทานสปาเก็ตตี้ล่ะครับ” เขาถาม

“ไม่ได้ชอบหรอกค่ะ แต่พอคิดไม่ออกว่าจะกินอะไร ก็จบที่สปาเก็ตตี้ทุกทีเลย คุณหมอไม่ชอบเหรอคะ”

“อ๋อ เปล่าครับ ผมน่ะกินได้ทุกอย่างแหละ” เธอขัน นรินทร์เป็นอย่างที่พูดจริงๆ ไม่ว่าจะของคาว ของหวาน อร่อยหรือไม่อร่อย ก็สามารถจัดการเรียบ เฟียซมองชายหนุ่ม ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูตั้งใจแม้กระทั่งเรื่องกิน ดูเหมือนว่าน้ำหนักเขาจะขึ้นมานิดหน่อยจากการออกมากินข้าวด้วยกันบ่อยๆและคอยจัดการอาหารที่เธอมักสั่งมาจนกินไม่หมด

“ได้ข่าวจากคุณหมอยิ่งยศบ้างมั้ยคะ” เธอรู้ว่าคำถามนี้เหมือนเร่งรัดเพราะผลตรวจที่ได้รับมาเพิ่งจะไม่กี่วันนี้เอง

“คุณหมอเพิ่งได้ตัวอย่างเพิ่มครับ คาดว่าวันจันทร์นี้เราจะได้ผลคร่าวๆ”

“จริงเหรอคะ” น้ำเสียงเธอมีความหวัง ยิ่งแสดงออกมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดมากเท่านั้น

“ครับ” ชายหนุ่มไม่รู้จะตอบว่ายังไงต่อดี แต่อย่างน้อยก็ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว

“เดี๋ยวเราไปดูหนังกันต่อมั้ยคะ” เธอเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวน “มีหนังใหม่น่าดูหลายเรื่องเชียว”

วันนี้วันเกิดเธอ เขาเลยไม่ขัดใจ ถ้าจะว่ากันตรงๆ เขาไม่เคยขัดใจเธอเลย...

“ได้สิครับ...แต่เย็นนี้ คุณเฟียซต้องพาผมไปกินข้าวกับที่บ้านด้วยนะ”

เธอยิ้มกว้าง “ไม่มีปัญหา...”

นรินทร์สบตาคู่สวยนั้น ก่อนที่ยิ้มออกมาให้กว้างที่สุด

---------------------------------------------------------------------------

ผมตื่นเที่ยง และพลาดมื้อเช้า!! มองไปข้างๆ กลับว่างเปล่า ผมลุกไปดูในห้องน้ำก็ไม่มีใคร...

หรือจะกลับไปแล้ว...ผมใจแป้ว แต่ก็สลัดมันทิ้ง ก่อนเข้าไปอาบน้ำ ความเมื่อยขบกัดทึ้งทั่วตัวผม

ห้องน้ำที่นี่ค่อนข้างโอ่โถง สามารถอาบพร้อมกันได้เป็น 10 ในคราวเดียว แต่เสียที่ว่าฝักบัวมีแค่ 2 หัว

อันแรกสำหรับน้ำอุ่นที่ไม่ค่อยอุ่นเอาเสียเลย น้ำไหลเอื่อยๆเหมือนไร้แรงดัน ยิ่งเปิดยิ่งเสียอารมณ์

อันที่สองเป็นแบบกลมคล้ายใบบัวขนาดใหญ่ เปิดปุ๊บน้ำเย็นก็ไหลลงมาเป็นสาย แต่ผมต้องรีบปิด เพราะยังหนาวจากแอร์อยู่

ผมเลยอาบน้ำแบบลวกๆแล้วออกมา...เค้านั่งยิ้มหน้าทะเล้นอยู่ที่โซฟา

“ตื่นแล้วเหรอครับ” แล้วเค้าก็เดินมาหาผม กระตุกผ้าเช็ดตัวผมออก แล้วเอามาเช็ดหัวเปียกๆของผม

“ป่วยอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมปล่อยให้หัวเปียกแบบนี้ล่ะครับ...แถมเมื่อคืนยังกินเบียร์สูบบุหรี่อีกเพียบ”

“อย่าบ่นน่า” ผมเถียงไม่ออก กางสองแขนให้เค้าเช็ดตัวให้ เออ...เดี๋ยวนี้เป็นงานแฮะเรา!

“พอเลย เช็ดตัวอย่างเดียว” ผมดุเมื่อเห็นเค้าเริ่มพรมจูบ “หิวข้าว”

“โหย...พี่อะ ใจร้ายว่ะ” สุดท้ายผมก็แต่งตัวจนเสร็จ

                เรากินอะไรง่ายๆจากเมนูของรีสอร์ต ความจริงรสชาติมันออกจะแย่ด้วยซ้ำไป แต่ผมปวดเมื่อยจนไม่อยากออกแรงเดินไปไหน เค้าพยายามเอาใจผมทุกอย่าง(เหมือนเดิม) ซึ่งไม่นานผมว่าตัวเองจะกลายเป็นตาแก่เอาแต่ใจเข้าสักวัน

“ตรงโน้นมีหมอนวด สนใจมั้ยครับ” ผมหันไปดูที่เค้าชี้ หมอนวดหลายรายใช้ผ้าบางๆขนาดนอนได้หนึ่งคนปูใต้ต้นไม้ริมหาด มีลูกค้าประปรายส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติเปลือยท่อนบน บ้างก็ใส่แค่กางเกงว่ายน้ำนอนพริ้มให้นวด

“เอ่อ...ไม่เอาอะ พี่ไม่ชอบนวดในที่โจ่งแจ้ง” ผมหันมากินน้ำมะพร้าวต่อ รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที “งั้นแป๊บนะ” เค้าลุกหายไปหน้าเค้าน์เตอร์ของรีสอร์ต ไม่ถึงนาทีก็ยิ้มแฉ่งกลับมา

“แท้แด่...” เค้าชูแผ่นพับ “สปาแบบอะโรม่า ห้องสวีต” ผมคว้าแผ่นพับมาอ่าน อืม น่าสน...

“ผมจองไว้แล้วนะครับ อีกครึ่งชั่วโมงก็ไปได้เลย” ผมเลิกลั่กมองหน้า นี่ใจคอจะไม่ถามกันซักคำเลยรึไง!!

เสียงโทรศัพท์ผมดัง ผมดูเบอร์แล้วสั่งให้เค้าเงียบเสียง

“ครับพี่ภูมิ” ผมตอบรับสายนั้น “ผม...เอ่อ...แวะมาเที่ยวนิดหน่อยครับ” ผมสารภาพ

“กลับ พรุ่งนี้มั้งครับพี่ วันนี้คงไม่ทัน...อ่อ เฟียซเหรอ” ผมรู้สึกแย่ที่ถูกถามเรื่องเฟียซ เหมือนกับว่ายังทำใจไม่ได้

“ครับ...ใช่ครับ...” พี่ภูมิถามว่าผมเลิกกับเฟียซแล้วเหรอ ผมได้แต่ตอบตามจริง สงสัยมีคนบอกแกแล้ว

“เตะบอล พรุ่งนี้ อ่อ...” ผมโดนขู่แกมบังคับ ปรกติพวกเราจะมีแก๊งแตะบอลกันทุกบ่ายวันอาทิตย์มีพี่ภูมิเป็นแกนนำ ครั้งนี้แกกำชับว่าผมห้ามเบี้ยว เพราะอาทิตย์ที่แล้วก็ไม่โผล่หัวไป ผมเลยรับคำไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที ถ้าคืนนี้ไม่กรำศึกหนักจนบั้นท้ายยอกคงจะพอมีแรงวิ่งได้บ้าง ผมมองไอ้คนต้นเหตุที่ทำให้ผมเคล็ดอยู่ตอนนี้ หน้าตาบ่งบอกว่ามีความสุข แถมยังยิ้มแป้นแล้น เค้าใส่เสื้อกล้ามสีขาวโชว์แขนล่ำยั่วตาเหล่าสาวๆทั้งสาวแท้สาวเทียม ก่อนหน้านี้ไม่นานก็มีคนเดินมาขอเบอร์ของเค้า ผมได้แต่นิ่งเสมองไปทางอื่น ก่อนจะฟังเค้าตอบไปว่า

“ขอโทษนะครับ ให้ไม่ได้จริงๆ แฟนผมนั่งอยู่ตรงนี้เค้าขี้หึง” ผมตาเขียวใส่ สาวน้อยคนนั้นมองผมตั้งแต่หัวจดเท้า ผมยิ้มน้อยๆแบบทำหน้าไม่ถูก ก่อนได้ยินเสียงกระซิบกระซาบกันว่า “ดูดิ หล่อทั้งคู่ ไม่น่าเลย เสียดายทรัพยากร” ผมอยากจะตะโกนไปบอกว่าผมได้ยินนะ แต่ก็ไม่รู้จะทำไปทำไม

ผมใส่เสื้อยืดคอวีสีเทา เนื้อผ้าบางเบาทำให้ใส่สบาย กางเกงบอลขาสั้นที่เพิ่งซื้อเมื่อวานเพราะไม่ได้เตรียมอะไรมา ส่วนเค้าเตรียมมาพร้อมสรรพในเป้คู่ใจ “พี่ยืมกางเกงในผมก็ได้นะ ผมไม่ค่อยได้ใส่หรอก” ผมเขี่ยมันทิ้ง...แต่สุดท้ายก็ต้องยอมเอามาใส่ดีกว่าปล่อยให้มันโทงเทงแบบเค้า... เค้านั่งไขว่ห้าง โชว์ขาที่ดูแข็งแรงใหญ่โต ความขาวของเค้าเจิดจ้าราวกับกินน้ำยาซักผ้าขาวเป็นอาหาร ผิดกับผมที่ยิ่งโดนแดดยิ่งดำ ไม่รู้ว่าคนหล่อๆเข้าขั้นเพอร์เฟคแบบนี้มาตกหลุมรักอะไรผมนักหนา

“จ้องผมใหญ่เชียว อยากกินผมล่ะสิ” เค้าแซวมา ผมทำหน้าเหรอหรา

“ไอ้บ้า ใครจะไปอยากกิน” ผมคิดแล้วหน้าแดง ทุกท่วงท่าลีลาของเค้ามันยังว่ายเวียนในหัวผม ยิ่งสลัดก็ยิ่งชัดเจน

“ไปนวดกันดีกว่า” ผมเปลี่ยนเรื่อง ก่อนบอกเลขห้องให้บริกรเรียกเก็บเงินหลังจากนวดเสร็จ

การนวดอะโรม่าของที่นี่คือต้องถอดเสื้อผ้าออกหมด เราได้ห้องเตียงคู่ที่สามารถนอนนวดพร้อมกันทีละสองคน มาถึงก็เข้าห้องถอดเสื้อผ้า ผมอายจนเลิกอายเค้าไปแล้ว เลยถอดต่อหน้าเค้านี่แหละ แต่...

“เห้ย ทำไมไม่ถอดวะ” ผมถามเมื่อเห็นอาการกระมิดกระเมี้ยนของเค้า

“ถอดไม่ได้ว่ะพี่” เค้าหน้าแดง

“ทำไมวะ” ผมถาม

“ก็...” เค้าชี้ไปฐานที่มั่น “พอเห็นพี่เปลือย มันก็...เอ่อ...โด่ขึ้นมาน่ะ”

“ไอ้ลามก!!” ผมพูด ก่อนสวมชุดคลุมสำหรับอาบน้ำแล้วเดินออกมา ไม่วายบ่นอุบ

“ไอ้เด็กบ้า ไอ้เด็กลามก แค่เห็นแค่นี้ทำเป็น...” ผมเขิน แค่คิดว่าใต้ร่มผ้าที่กำลังผงาดของเค้าเป็นแบบไหน...ภาพที่เคยติดตากลับมาหลอนอีกครั้ง โอ๊ยยยยยยยย!!! เป็นอะไรไปเนี่ยกู

ไม่นานเค้าก็เดินตามออกมา เราทั้งคู่นอนคว่ำโดยมีผ้าขนหนูบางๆปิดสะโพกไว้ หมอนวดของพวกเราเป็นผู้ชายทั้งคู่ หน้าตาดีไม่หยอก ดูท่าทางหมอของนายไบรต์จะปลื้มเค้าออกนอกหน้าเสียด้วย ผมได้แต่หายใจฟึดฟัดแล้วปล่อยตัวตามสบาย





โปรดติดตามตอนต่อไป....

https://www.facebook.com/Begintillanend


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
โอ้ยไบรท์ หื่นตลอดๆๆ
 :m20:

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน

มาแล้วครับผม บังเอิญรักโดยตั้งใจตอนที่ 36
แอบมาสปอยว่า เรื่องนี้มีทั้งหมด 53 ตอนนะครับ นี่ก็ครึ่งเรื่องกว่าๆแล้ว
ปมจะค่อยๆคลายไปทีละเปราะนะครับ อีกไม่นานความจริงทุกอย่างก็จะเปิดเผย

หากชอบเรื่องนี้ของไรต์ ก็อย่าลืมเม้นต์ให้กำลังใจกันด้วยนะครับ
และขอฝากนิยายอีกเรื่องหนึ่งที่ไรต์เขียนอยู่ด้วย คือ จะรักนายเท่าชีวิต
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64729.0

ซึ่งหากใครติดตามอยู่จะรู้ว่าสองเรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกันอยู่ด้วย....


Chapter 36: ความสุขและความเจ็บปวด



เฟียซนั่งรอหมอหนุ่มที่กลับมาเอาของในห้องทำงาน เธอเคยมาที่นี่หลายครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ครั้งแรกคือหวาดกลัว แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าเดิม คงเป็นเพราะไม่ต้องลุ้นเรื่องการตรวจของตัวเองแล้วก็เป็นได้... บนโต๊ะทำงานของเขายังเรียบร้อยเหมือนเดิม มีคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ตั้งไว้ ถัดไปเป็นป้ายทำจากไม้สลักชื่อ สกุลพร้อมตำแหน่ง ถัดมาเป็นกรอบรูปที่หันไปทางเจ้าของโต๊ะซึ่งเธอไม่เคยละลาบละล้วงแตะต้องข้าวของใดๆเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ครั้งนี้เฟียซกลับถือวิสาสะหันรูปนั้นกลับมา...

ห้าชีวิตในรูปนั้นยิ้มแย้มมีชีวิตชีวา ชายหญิงสองคนที่อายุมากน่าจะเป็นพ่อและแม่ยืนอยู่ด้านหลัง คนถัดมาเธอจำได้เพราะรอยยิ้มน้อยๆที่คุ้นชิน เขาในวัยเด็กต่างจากตอนนี้ค่อนข้างมาก แต่เค้าโครงหน้ายังเหมือนเดิม เพียงแต่วัยที่มากขึ้นทำให้มีริ้วรอยของประสบการณ์ตามแบบผู้ชายที่เริ่มมีอายุ ใบหน้าที่มีความหล่อเหมือนถูกเติมเต็มมากขึ้นด้วยตามกาลเวลา แก้มไม่ตอบเหมือนก่อน ความซูบซีดหายไป เหมือนกับว่ายิ่งโต เสน่ห์ก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย ตรงกลางเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกัน เธอเดาว่าน่าจะเป็นไบรต์ ส่วนอีกคนที่หน้าเหมือนกันกับเขาอย่างน่าตกใจ “คุณหมอคะ...นี่ใครคะ” เธอถาม

“อ่อ เค้าชื่อบั๊มพ์ครับ เป็นน้องชายผมอีกคน” เขาตอบ ยังง่วนอยู่กับการหาของในล้นชัก

“น้องชาย...อีกคน...” หญิงสาวหน้าซีด ความหลังครั้งเก่าโถมเข้ามาเหมือนคลื่นยักษ์ เธอผะอืดผะอมที่ต้องถามต่อ “ชื่อจริงว่าอะไรอะคะ”

“นายบั๊มพ์เหรอ...นริศครับ”

“เค้า ไปไหนแล้วคะ” เฟียซปรับเสียงให้เรียบ

“เค้าเสียไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วแล้วครับ” นรินทร์ตอบ

“เค้าเสียวันที่ 12 สิงหาคม ใช่มั้ยคะ” น้ำเสียงสั่นเครือ ภาวนาอย่าให้เป็นดังที่คิดไว้

“ใช่ครับ คุณเฟียซรู้ได้ไงเนี่ย...อ๊ะ เจอแล้ว” เขายื่นของที่หามาให้ มันเป็นของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีฟ้า ผูกโบว์เล็กๆ

“คุณเฟียซ เป็นอะไรไปครับ” เขาถามด้วยความตกใจ เมื่อเห็นผู้หญิงคนข้างหน้ากำลังร้องไห้

“หมายความว่ายังไงคะ...น้องชายคุณ...” เธอหลับตา พยายามป้ายน้ำตาทิ้งให้หมด

“คุณเฟียซ...” แล้วเขาก็นึกได้ เธอรู้แล้ว เธอรู้แล้ว...ทั้งคู่หน้าซีดราวกับกระดาษไม่ต่างกัน

“น้องชายคุณ คือคนที่ขับรถชนพ่อชั้น...ใช่มั้ยคะ?” น้ำเสียงนั้นเจ็บปวด เธอคิดมาโดยตลอดว่าเขาแค่คนหน้าคล้ายชายหนุ่มในวันนั้น ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่คนรู้จัก แต่ไม่คิดว่ามันจะบังเอิญจนทำใจไม่ได้...น้ำเสียงเธออ่อนแรง เต็มไปด้วยความหวังว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง

“คุณเฟียซ...” ท่าทางเขาอึกอัก ยิ่งเห็นยิ่งรับรู้ได้ว่ามันคือเรื่องจริง...

“ชั้นขอตัวก่อนดีกว่านะคะ...” เธอลุก เขาลุกตาม “ขอร้องล่ะค่ะคุณหมอ อย่าตามชั้นมาเลยนะคะ”

เฟียซพูดด้วยความเจ็บปวด มันเจ็บเกินกว่าจะทนรับได้ เมื่อรู้ว่าคนที่พรากลมหายใจของพ่อสุดที่รักของตนคือน้องชายของคนที่เธอรักในตอนนี้...หญิงสาวก้าวขาจากไป โดยไม่แตะต้องห่อของขวัญนั้นเลย...

---------------------------------------------------------------------------------

ผมตื่นมาอีกที หมอนวดก็หายไปไหนแล้วไม่รู้...มีแต่นายไบรต์นั่งสัปงกรออยู่ข้างๆที่นอนนวด

“ตื่นแล้ว” เค้าทำหน้าทะเล้น “พี่ขี้เซาจัง” เค้าล้อ ความปวดเมื่อยคลายตัว ผมลุกขึ้นนั่ง มองสารรูปตัวเองก่อนตกใจและเอาผ้ามาปิด “มองอะไร คนโป๊อยู่” ผมแหว เค้าได้แต่หัวเราะร่วน “แต่งตัวเถอะครับ เดี๋ยวไปอาบแดดกัน”

ผมลุกตามอย่างว่าง่าย “ไม่อาบแดดได้ปะ แค่นี้ก็ดำจะแย่อยู่แล้ว” ผมต่อรอง

“งั้นเล่นน้ำ”

“พอกันแหละ ดำ” ความจริงผมไม่แคร์เรื่องสีผิวตัวเองหรอก แต่พอเทียบกับเค้าแล้วผมรู้สึกอายที่ดำเป็นถ่านขนาดนี้

“โหยพี่ มาทะเลทั้งที ไม่เล่นน้ำไม่อาบแดดจะมาทำไมล่ะ” เค้าบ่น

“ใครอยากมาล่ะ ชิ!!” ผมบ่นออดแอด รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินมาหาเค้า

“พี่นี่น่ารักชิบเป๋ง” อยู่ๆเค้าก็โพล่งออกมาแล้วมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่

“ไหนบอกว่าจะไม่ทำอะไรถ้าพี่ไม่อนุญาตไง”

“อยู่บนเกาะ ผมไม่นับ” เค้าตอบกวนๆทำหน้าทะเล้น แม่งงงงงงตอบมาได้หน้าด้านๆ!!

“ไปกันเถอะ” เค้ายื่นมือมาให้ ผมไม่จับ ก่อนที่จะโดนเค้าคว้าไปจับเอง

แสงแดดเจิดจ้าของบ่ายวันเสาร์แยงตาจนผมปรับสภาพไม่ทัน ตัวเซไปชนคนข้างๆ เค้าจับตัวเอวผมไว้ ก่อนที่ผมจะสวมแว่นกันแดดราคาถูกที่หาซื้อได้ตามร้านริมทะเล หลังจากนั้น เราก็เดินเลาะชายหาดด้วยท่าโอบเอวกันตลอดทาง ผมพยายามแหว บ่น กร่นด่าเค้าก็ไม่เปลี่ยนท่า สายตาของนักท่องเที่ยวต่างพากันจับจ้องมาทางเรา ผมได้แต่หน้าแดงด้วยความอาย ผิดกับเค้าที่ยิ้มร่าเริงไม่แคร์สายตาใครหน้าไหน...หน้าด้าน!! ผมด่าในใจ ...เค้าพามาที่หาดหน้ารีสอร์ต เรามีบัตรนั่งเก้าอี้ฟรีสองตัวอยู่แล้วจากการเป็นแขกของที่นี่ พอจับจองที่นั่งกันเสร็จ เค้าก็ถอดเสื้อออก เผยมัดกล้ามเป็นมัด ก่อนนอนราบลงไปไม่สนใจสายตาที่จับจ้องจะงาบเค้าไปกิน

“ผมชินแล้ว ไปที่ไหนก็มีแต่คนมองแบบนี้แหละ” เสียงเค้าดูไม่แยแส สงสัยจะชินจริงๆ แต่ผมนี่สิไม่ชิน โชคดีที่มีแว่นกันแดดใส่หลบสายตาคนอื่นแล้วนอนฟังเสียงคลื่น..

“ผมทาครีมกันแดดให้นะ” เค้าล้วงในเป้คู่ชีพ นี่มึงมีครบเป็นกระเป๋าโดราเอม่อนเลยรึ!!

“ไม่เอา” ผมบ่ายเบี่ยง คนยังมองมาที่หุ่นล่ำๆและใบหน้าหล่อๆของเค้าไม่ขาดสาย

“อย่าขัด” แล้วเค้าก็ปล้ำผมให้ลุก ถอดเสื้อให้แล้วบังคับให้ผมนั่งเฉยๆ สองมือใหญ่หนาชะโลมครีมสีขาวข้นเหนอะหนะตามคอ แขน ลำตัวผม เกลี่ยให้มันซึมซาบไปทั่ว ก่อนผลักผมให้นอน ถกกางเกงผมขึ้นเห็นขาอ่อนสีดำ (ตามประสาคนตัวดำ... คิดแล้วเศร้า) เค้าไล่ทาตั้งแต่ต้นขาลงมาถึงปลายเท้า ก่อนจะจี้ปลายเท้าผม “เห้ย จั๊กกระจี๋ ไม่เอา” ผมหดขา ดิ้นหนี     

“คราวนี้ ตาพี่ทาให้ผมบ้างนะ” เค้ายื่นขวดครีมมาให้

“เรื่องอะไร” ผมทำไม่รู้ไม่ชี้ เค้าทำหน้างอนๆก่อนหันมากระซิบ

“ถ้าพี่ไม่ทา ผมจะปล้ำจูบพี่ตรงนี้แหละ” ผมมองไปรอบๆ การทาครีมของเค้าเมื่อกี้ก็ดึงดูดสายตาแทบทุกคู่ไว้แล้ว ถ้าหากว่าเค้าจะจูบผมตรงนี้อีก... แม่ง!!

และแล้วผมก็ต้องทาครีมกันแดดให้ ไล้ไปตามเนื้อตัวที่อัดแน่นไปด้วยมัดกล้าม เค้ากอดกางเกงออกเหลือแต่กางเกงว่ายน้ำสีเข้ม เผยให้เห็นบางส่วนที่นอนหลับไหล ผมจ้องมันด้วยความเขิน พยายามหลุบตาไม่สบสายตากับมันอย่างเด็ดขาด ระหว่างที่ทาครีมให้ผม มีฝรั่งคู่หนึ่งมาแย่งเก้าอี้ผมไปหน้าตาเฉย ผมทวงคืน แต่ทั้งคู่ทำไม่ใส่ใจพลางชี้ไปที่ตัวอื่นที่ถูกจับจองไปหมดแล้วเช่นกัน ผมเลยต้องยกให้เพราะไม่อย่างนั้นทั้งคู่ก็ไม่มีที่นั่งเหมือนกัน

“งั้นพี่มานอนกับผมนี่ มาๆ” เค้าดึงตัวผมให้นอนแหมะบนตัว ไอร้อนจากทะเลและจากตัวเราทั้งคู่ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ความเหนอะหนะของครีมเมื่อครู่ทำให้ผมยิ่งอึดอัด “อย่าดิ้นสิครับ” ผมนอนกึ่งตะแคงบนตัวเค้าที่นอนหงาย ร่างยักษ์ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแผ่หราอย่างไม่เกรงใจใคร เค้าไม่ยอมให้ผมลุกหนีไปไหน ผมพยายามไม่ให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายไปสัมผัสเจ้านั่นของเค้า แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก เพราะเก้าอี้มันแคบเกินกว่าจะแผ่ทีเดียวสองคน แค่มันรับน้ำหนักได้โดยไม่ทรุดกับพื้นทรายก็นับว่าเป็นบุญโขแล้ว ผมเลยเกยขากับ...เจ้านั่น...เค้าโดยไม่มีทางเลือก เค้ายกขาข้างหนึ่งมาทับไม่ให้ผมดึงขาออก การเสียดสีทำให้มันพองตัว ผมถึงขั้นตกใจ

“เห้ย...@#$%^&*()(*&^$%^&*(*&^%@#$%^&”

“อย่าดิ้นสิพี่..มันตื่นแล้วเห็นปะ” ผมเลยต้องอยู่นิ่งๆหายใจแรงด้วยความเขิน หน้าขาของผมทับเนื้อแข็งของเค้าไว้ มันเต้นตุบๆชนกับต้นขาผม “ไอ้ลามก กล้าดียังไงเนี่ยมาตื่นท่ามกลางคนหมู่มากแบบนี้”

“โหย มันห้ามใจลำบากนะ พี่นอนทับมันแถมไม่ใส่เสื้ออีก ใครจะอดใจไหว” เค้าล้อเลียน

ผมได้แต่นอนนิ่งๆ ซบหน้ากับหน้าอกแกร่งของเค้า เริ่มชินกับสายตาของคนที่เดินผ่านไปมาแล้วล่ะ ไม่นานนักลมหายใจของเค้าก็ราบเรียบ อะไรที่นูนแข็งก็เริ่มสงบ ผมดึงขาและยกตัวออกมา ไม่ลืมเอากางเกงเค้ามาปิดท่อนล่างเค้าไว้ สายตาจับจ้องไปที่ทะเลสีฟ้า นักท่องเที่ยวหนาตามากขึ้นในช่วงใกล้ค่ำแบบนี้

“คุณเป็นแฟนกับผู้ชายคนนั้นเหรอครับ” เสียงหนึ่งถามมา

“เอ่อ..เปล่าครับ” ผมปฏิเสธในทันที

“อย่าปฏิเสธเลยครับ..ผมแค่อยากบอกว่า คุณโชคดีมากๆเลยที่เป็นแฟนกับคนที่หล่อและหุ่นดีขนาดนั้น”

กระทาชายคนนั้นยิ้มให้ ก่อนเดินอ้อนแอ้นเดินจากไป สายตาของเขาจับจ้องไปที่คนนอนหลับอย่างไม่ปกปิดความอยากได้แม้แต่น้อย ผมมองนายไบรต์ที่นอนหลับอยู่ ... คนมันหล่อ ยังไงก็หล่อเนอะ ปฏิเสธยากจริงๆ

แล้วผมก็ดับความรู้สึกปั่นป่วนด้วยการลงไปเล่นน้ำทะเล...หวังให้ความเย็นระงับความคิดนี้ให้ดับมอดลงไปได้บ้าง...

--------------------------------------------------------------

ผู้เป็นแม่กอดลูกสาวคนโตที่ร่ำไห้ปริ่มใจจะขาด ได้แต่สงสารลูกที่ต้องมาเจอกับชะตากรรมแบบนี้

“ใจเย็นๆนะเฟียซ” เสียงกล่อมนั้นดูห่างเหินราวกับว่าเจ้าตัวเองก็ทำใจไม่ได้ที่จะยอมรับความจริงนี้เหมือนกัน

น้องชายของหมอนรินทร์คือคนที่ขับรถชนสามีเธอเมื่อ 10 ปีก่อน ยิ่งคิดยิ่งปวดร้าว ถึงแม้ครั้งนั้นทางตำรวจจะระบุว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่เพ็ญแขก็อยากให้ใครสักคนเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องที่เกิดขึ้น มันมาเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ก่อนออกจากบ้าน สามียังกอดเธอ ยังหอมแก้มราวกับเป็นสาวแรกรุ่น แต่ไม่นานนัก ตำรวจก็กรูกันมาที่บ้านแล้วบอกว่าผู้เป็นสามีประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เพ็ญแขกรีดร้องด้วยความเสียใจ ความเจ็บปวดจากการสูญเสียไม่เคยเจือจางไปไหนได้ ถึงแม้ใครต่อใครจะพร่ำบอกว่าเวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง แต่สำหรับตัวเธอ ยิ่งนานก็ยิ่งทิ้งบาดแผลร้าวลึกจนแทบก้าวต่อไปไม่ไหว...

 แต่เวลานี้...เมื่อเห็นน้ำตาของลูกสาว ในฐานะแม่กลับรู้สึกตัวว่า ตัวเองเอาชีวิตไปทิ้งกับอดีตจนลืมนึกถึงคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตของผู้เป็นลูกแขวนอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย ความรักเป็นเหมือนน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงให้เฟียซยังตื่นขึ้นมาด้วยลมหายใจที่แจ่มใส คุณหมอคือผู้ชายที่ทำให้ลูกสาวเธอมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่อีกครั้ง...หากยังยึดมั่นถือมั่นอยู่กับกับดักในอดีต คนที่จะเสียใจที่สุด ไม่ใช่ตัวเธอเลย...

“เรื่องมันผ่านมาตั้ง 10 ปีแล้วนะลูก...” เพ็ญแขกลั้นลมหายใจก่อนจะพูดสิ่งที่ตัวเองไม่คิดอยากจะพูดมาเลยตลอดชีวิต

“ให้อภัยเขาเถอะ...อย่างน้อย เขาก็ไม่ใช่คนที่ก่อเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมา”

ลูกสาวมองหน้าเธอด้วยความประหลาดใจ “แต่...น้องชายเขา...”

“แม่รู้...” ผู้เป็นแม่น้ำตานองหน้า “และแม่ก็รู้ว่าลูกรักคุณหมอ...อย่าให้เรื่องร้ายๆในอดีตมาทำร้ายปัจจุบันของเราเลยนะลูก”

เพ็ญแขกอดลูกสาวไว้แน่น ปล่อยให้น้ำตาไหลรินไปกับความรู้สึกที่ก่อตัวมานานกับทศวรรษ

“แม่ไม่โกรธเค้าแล้วเหรอ” เธอรู้ว่าลูกสาวหมายถึงน้องชายคุณหมอ

“แม่ยังโกรธอยู่...แต่เราก็เรียกร้องมันกลับมาไม่ได้..” เธอสูดน้ำมูก “ไม่มีใครไม่สูญเสีย...”

มันเป็นอย่างที่พูด ไม่มีใครไม่สูญเสียกับเหตุการณ์วันนั้น เพียงแต่ว่าเพ็ญแขยังเกาะมันไว้ราวกับว่าผู้เป็นสามีจะกลับมาหาในสักวัน “เราต้องก้าวต่อนะลูก...” ความคิดของเธอกำลังขัดแย้งกันเอง แต่สุดท้ายเพื่อความรัก เพื่อชีวิตของลูกสาว จึงต้องตัดสินใจที่จะปล่อยวางทุกอย่าง... “ให้อภัยเขา...ไปคุยกับเขานะลูก”

เพ็ญแขกอดประโลมลูกสาวสักพัก ก่อนที่จะปล่อยให้คุณหมอเดินเข้ามาในห้อง...

“ปรับความเข้าใจกันซะนะ...” เธอขอตัวเดินออกไป หมอหนุ่มยิ้มเศร้าๆพร้อมกล่าวขอบคุณ

เพ็ญแขเดินเข้าในห้องนอน ห้องที่ครั้งหนึ่งมีสามีอันเป็นที่รักอยู่ข้างๆ จับจ้องที่รูปถ่าย รอยยิ้มของเขายังส่งให้ทุกเมื่อเชื่อวัน ราวกับว่ามันยังไม่แตกดับไปไหน “หวังว่าชั้นคงจะตัดสินใจถูกต้องนะคะคุณ...” เพ็ญแขร้องไห้ แม้ยามนี้ก็ยังรู้สึกเศร้าสุดหัวใจ...

-----------------------------------------------------------------





โปรดติดตามตอนต่อไป...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-05-2018 09:30:52 โดย จากต้นจนอวสาน »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เฉลยมาแล้วหนึ่งปม

คำว่า "อุบัติเหตุครั้งนั้น"  มีแค่เหตุการณ์บัมพ์ขับรถชนรถของพ่อคิงและเฟียซ  เท่านั้นใช่ไหม?

หรือจะมีอีกเหตุการณ์?  แต่ไม่น่ามีแล้วเนอะ

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน

Chapter 37: กระเทาะเปลือกความหลัง



ผมดำผุดดำว่าย จู่ๆก็มีแรงกระชากจนผมจมลงไป ผมโผล่ขึ้นมาด้วยความตกใจ น้ำทะเลเข้าปากและจมูก

“แฮ่กๆ เล่นอะไรน่ะไอ้บ้า” ผมแหวไอ้คนหน้าทะเล้น เค้าว่ายมากอดผมไว้ “ขอโทษครับ”

แล้วก็หอมแก้มผม “ไถ่โทษ” ผมกระทุ้งเค้า แต่ก็สร้างความเสียหายไม่มาก เพราะน้ำทะเลหน่วงแรงออกไปหมด

“อย่ารุ่มร่าม ออกไป๊” ผมดันตัวเค้าให้พ้นๆก่อนวักน้ำทะเลสาดโครมใหญ่ เค้าคงนึกว่าผมเล่นด้วย สาดกลับจนกลายเป็นสงครามย่อมๆ

----------------------------------------------------------------

เฟียซไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือต้องทำตัวยังไงต่อหน้าเขา รู้สึกกระอักกระอ่วนที่ต้องอยู่ตรงกลางระหว่างคนที่รักกับคนที่ทำลาย ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขาเลยสักนิด แต่ก็ไม่สามารถห้ามความคิดได้ว่าคนที่พรากลมหายใจของคนที่เธอรักที่สุด คือน้องชายของเขา...หมอหนุ่มนั่งลงข้างๆบนเตียงหนานุ่มและจับมืออย่างอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง มือที่แกร่งและอบอุ่นเป็นสิ่งที่เธอโหยหามานานแล้ว ถึงแม้คิงจะเคยเกาะกุมมือ แต่มันไม่เคยทำให้อบอุ่นใจได้เท่านี้เลยสักนิด

“คุณหมอรู้ใช่มั้ย ว่าทำไมสุขภาพชั้นถึงทรุด” เธอถามเรื่องอื่นกับเขา หลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องนั้นตรงๆ

“ครับ ผมรู้”

“แล้วคุณหมอยังรับได้อยู่อีกเหรอคะ” หญิงสาวเงียบ ไม่สบสายตาแต่ก็ไม่ขืนมือออก

“ผมรักคุณนะครับ สิ่งที่ผ่านมาแล้วให้มันเป็นเรื่องในอดีตได้ไหม...ผมรักคุณที่เป็นปัจจุบัน และจะรักคุณต่อไปในอนาคต”

เฟียซหันมาสบตาเขา นั่นสินะ...อดีตเป็นสิ่งที่ไม่มีใครแก้ไขได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวเองหรือน้องชายเขา มันเป็นเรื่องที่ต้องปล่อยวาง ยอมรับมันให้ได้และก้าวไปข้างหน้า แต่เธอกลับเป็นฝ่ายจมปลักอยู่กับความทรงจำอันโหดร้าย ความทรงจำที่หลอกหลอนเธอแม้กระทั่งในความฝัน...

“แต่...” หญิงสาวไม่มีเสียงพูด ความทรงจำวันนั้นเมื่อหกเดือนก่อนกลับมาฉายซ้ำ วันที่ 2 มีนาคม เธอรู้สึกหน้ามืดและพลัดตกบันได รับรู้ถึงลิ่มเลือดทะลักออกมาจากใต้ร่มผ้า ความเจ็บปวดบิดมวนที่ท้องจนหายใจไม่ออก นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้ว่าท้อง และเป็นครั้งแรกที่เธอตรวจพบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคร้าย...

“อย่าพูดเลยครับ...ผมรับทุกอย่างของคุณได้ อดีตคืออดีต ผมไม่ยอมให้มันมาทำร้ายปัจจุบันอย่างเด็ดขาด”

เป็นครั้งแรกที่เธอหันมาสบตาเขา ทิฐิต่างๆที่เคยก่อตัวเลือนหายไปอย่างง่ายดาย...

“ขอบคุณค่ะ...ขอบคุณมากค่ะ” เธอไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรออกมาอีก ได้แต่พร่ำบอกคำๆนี้แล้วปล่อยให้เขากอดอย่างทะนุถนอม...

------------------------------------------------------------------------

“วู๊ ถ้าจะสวีตกันขนาดนี้ ไม่ไปต่อที่ห้องล่ะครับ” เสียงน้องชายผมตะโกนมาจากฝั่ง มึงนี่ช่างไม่รู้อะไรเอาซะเลยไอ้น้องเฮงซวย

“ปะ ไปกันเถอะ น้องชายพี่อนุญาตแล้ว” นั่นไง มันเอาด้วยจนได้

“มาทำไมไอ้คิ้ว” ผมตะโกนถาม

“ผมจะมาบอกว่าผมกลับก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันที่บ้านนะพี่ อ้อ..ไปเตะบอลชวนผมด้วยนะ” มันโบกมือลาแล้วเดินจากไป ผมไม่เห็นฟาง สงสัยจะรออยู่ในร่ม “เห็นมั้ย น้องชายพี่ยังสนับสนุนเลย กลับห้องกัน นะๆๆๆ”

“ไอ้ลามก ไม่กลับ จะเล่นน้ำ” ผมดำลงไปในทะเลสีเข้ม ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี พอกลั้นหายใจไม่ไหวผมก็ต้องรีบโผล่ เค้ารออยู่แล้วเลยรวบตัวผมไว้ “จะมืดแล้ว กลับกันเถอะ” ตรงที่เราดำผุดดำว่ายเนี่ยประมาณหัวผม แต่มันแค่คอเค้า เลยกลายเป็นว่าเค้าเดินลากผมไปอย่างขัดไม่ได้ ถึงแม้จะอยู่ในน้ำ แต่แรงวัวแรงควายยังไงก็ยังเข้มแข็งกว่าแรงผู้ชายบอบบางแบบผม

---------------------------------------------------------------------

“ป้าดีใจนะ ที่ทั้งสองปรับความเข้าใจกันได้” กับข้าวฉลองวันเกิดของเธอเต็มโต๊ะ หลังจากที่เข้าใจกันแล้วเขาก็ช่วยงานในครัว

“ผมก็ดีใจครับ...ขอบคุณคุณป้าและคุณเฟียซมากๆที่ยกโทษให้น้องชายผม” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆแบบที่ทำบ่อยๆ

“เรื่องมันผ่านมานานแล้วค่ะ...” เธอตักอาหารเข้าปาก

“เปลี่ยนเรื่องคุยเถอะนะ ยิ่งคุยยิ่งเครียด...ไหนคุณหมอซื้ออะไรเป็นของขวัญให้ลูกล่ะเฟียซ”

ผู้เป็นแม่เปลี่ยนบรรยากาศของมื้ออาหาร มันคงดีกว่าหากเปลี่ยนไปสนทนาเรื่องอื่น ลูกสาวเธอแกะของขวัญ มันเป็นสร้อยคอสีเงินระยิบระยับ จี้รูปหยดน้ำประดับมรกตสีเขียวช่างเข้ากับบุคลิกคนใส่ เขาขออนุญาตใส่ให้ เธอได้แต่ยิ้มที่เห็นภาพอันชื่นมื่น

“คุณป้าครับ...จะว่าอะไรมั้ย ถ้า...” เขาดูประหม่า แต่เธอก็รอให้เขาพูดจนจบ “ถ้าผมจะให้พ่อกับแม่มาสู่ขอคุณเฟียซ”

สองแม่ลูกตะลึง ไม่คาดฝันว่าเขาจะพูดเรื่องนี้ในตอนนี้

“รอให้ชั้นหายดีก่อนแล้วค่อยมาพูดเรื่องนี้กันดีกว่ามั้ยคะ” เฟียซเสนอ

“ผมไม่อยากซื้อเวลาอีกแล้วครับ ไม่ว่าคุณเฟียซจะป่วยหรือจะสบายดี ผมก็อยากอยู่กับคุณตลอดเวลา” เขาหันมาทางผู้เป็นแม่ “ผมหวังว่าคุณป้าจะไม่ขัดนะครับ”

เธอไม่รู้ว่าควรจะตอบเขาว่ายังไง มันทั้งตื้นตันและน่าหวั่นใจ

“ถ้าเฟียซไม่ขัด ป้าก็ไม่ขัดข้องจ้ะ”

มืดแล้ว...หมอหนุ่มขอตัวกลับบ้านก่อน เพราะไม่อยากรบกวนเธอมากกว่านี้ เขาบอกลาและเดินออกมาหน้าบ้านโดยไม่ให้ใครมาส่ง เขาเปิดประตูพร้อมกับเจอคนๆหนึ่งท่าทางลังเลระหว่างจะกดกริ่งดีหรือเปล่า ผู้ชายคนนั้นจับจ้องเขาราวกับรู้จักมานานแสนนาน เขารู้สึกอึดอัดที่ถูกมองแบบนั้นเลยเดินเลี่ยงออกมาโดยเร็ว ชายคนนั้นเหมือนเรียกสติกลับมาได้แล้วเดินตามมา ก่อนที่จะเรียกเขา

“บั๊มพ์...บั๊มพ์ใช่มั้ย???”

หมอหนุ่มไม่ตอบ ได้แต่ตะลึงที่คนแปลกหน้าทักผิด ตอนนี้เขาไม่อยากรับรู้เรื่องอื่นใดอีกแล้ว ชื่อของบั๊มพ์กลับมาหลอกหลอนตนหลายครั้งเหลือเกินในวันนี้ มันถึงเวลาที่จะต้องทิ้งความรู้สึกผิดและก้าวไปข้างหน้า... รถถูกขับออกไปโดยที่ไม่ใยดีว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร...

-------------------------------------------------------------------------------

“พี่รู้มั้ย ว่าเราเคยเจอกันมาก่อน” เป็นเค้าเองที่โพล่งเรื่องนี้ขึ้นมาตอนที่เรานั่งกินข้าวที่ร้านอาหารทะเลบริเวณหาดทรายแก้ว มันเป็นร้านธรรมดาที่อยู่จนเกือบสุดหาด มีโต๊ะขนาดเล็กวางเกลื่อนริมหาดโดยมีเสื่อผูรองข้างใต้ ที่นั่งเป็นเบาะและหมอนอิงขนาดพอดีตัวแบบผม เค้าเป็นคนสั่งอาหาร ส่วนใหญ่จะเน้นปลาหมึก “ผมรู้ว่าพี่ชอบกิน” แต่มันก็มากไปนะสามในสี่จานเป็นปลาหมึกหมดเลย “ใจคอจะให้พี่คอเลสโตรอลสูงตายใช่มั้ย” เค้าหัวเราะและตักปลาหมึกแดดเดียวใส่จานผม

“ทำไมไม่นั่งตรงข้ามวะ มานั่งเบียดทำไม” ผมบ่น เค้ามานั่งแหมะข้างๆทั้งๆที่พนักงานจัดที่นั่งฝั่งตรงข้ามให้แล้ว

“ไม่เอาอะ คนแถวนี้จะได้รู้ว่าผมมีเข้าของแล้ว จะได้ไม่ต้องมองตาเป็นมันอีก” เค้าพูดหน้าตาเฉย ผมก็เห็นด้วยนิดๆแต่

“ใครเจ้าของใคร” ผมเดือดปุดๆ

“จะถามทำไมเนี่ย พี่ก็รู้อยู่เต็มอก” ผมเบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียงได้แต่นั่งกินต่อ ปลาหมึกแดดเดียวทอด ปลาหมึกนึ่งมะนาว ปลาหมึกผัดไข่เค็ม สุดท้าย ต้มยำทะเลน้ำข้นเน้นปลาหมึก...ความพอดีอยู่ที่ไหน!!!!

ผมกินเงียบๆไปอีกสักพัก เค้าถึงเปิดประเด็นนั้นมา “เออ ว่าจะถามตั้งหลายทีแล้ว ที่ว่ารู้จักพี่มานานน่ะ”

“พี่นี่แก่แล้วแก่เลยจริงๆเนอะ...จำไม่ได้จริงๆเหรอ” เค้ารวบผมแล้วใช้หนังยางที่หาได้มารัด พร้อมทั้งเอาแว่นตากลมๆมาใส่ หน้าตาแบบนี้ ชุดแบบนี้ มันคุ้นๆที่ไหนซักแห่ง...

“โหย พี่ ผมยอมก็ได้...ที่ชิบูย่าไง ตอนเดือนกุมภาน่ะ” ความหนาวเหน็บของญี่ปุ่นพัดกรูเข้ามาทันที

“อ๋อออออออออออออออ!!” ผมถึงบ้างอ้อ ไอ้ลูกครึ่งจอมหลงทางคนนั้น

ครับ ผมนึกออกแล้ว ผมเคยเจอเค้ามาก่อนตอนที่ผมไปสัมนาที่ญี่ปุ่นตอนต้นปี ตอนนั้นผมเค้ายาวกว่านี้แต่มัดจุกไว้กลางหัว แถมใส่แว่นเป็นเด็กเนิร์ดมาคอยถามทางผมเป็นภาษาอังกฤษ บอกว่าเพิ่งเคยมาครั้งแรกจากฮ่องกง “ไอ้คนขี้จุ๊”

“อะไรจุ๊ๆ” เค้าถาม

“ขี้จุ๊ ภาษาเหนือ แปลว่า โกหก”

“เหวยยยย ผมเปล่า ผมหลงทางจริงๆ...แต่หลงทางรักกับพี่นะ”

วู๊!! เสี่ยว ผมทำปากยื่นและหันมาสนใจการกินต่อ...

----------------------------------------------------------------------------

มันเป็นการท่องเที่ยวครั้งสุดท้ายในฐานะคู่หมั้นระหว่างคิงกับเธอ...เขากุลีกุจอจัดการจองตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พัก ทำรายละเอียดการท่องเที่ยวของเชียงใหม่มาเสร็จสรรพ กำหนดการคือหลังวันปีใหม่อีก 1 อาทิตย์เพื่อหลีกเลี่ยงนักท่องเที่ยวที่แห่แหนไปกันในตอนนั้น เขาพาเธอไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพในตอนเช้า จากนั้นก็พาวนคูเมืองเพื่อไหว้พระ พาเธอไปช็อปปิ้งแถวสิบสองห้วยแก้ว และปิดท้ายที่ถนนคนเดินตรงประตูท่าแพ บรรยากาศเหน็บหนาวและโรแมนติกของเชียงใหม่ทำให้เธอเคลิบเคลิ้ม เธอใฝ่ฝันว่าสักวันจะได้กลับไปอยู่ที่นั่น

แต่การเที่ยวครั้งนั้นยิ่งตอกย้ำ ว่าเธอกับคิงช่างแตกต่างกันมากเพียงใด เขาชอบเที่ยวแบบสมบุกสมบัน แต่เธอรักความสบาย เขาอยากไปล่องแก่ง ขี่ช้าง ในขณะที่เธอชอบเดินดูของและเที่ยวโบราณสถาน เมื่อตกลงกันไม่ได้ สุดท้ายก็พากันไปทำสปาเพราะต่างคนต่างชอบ นี่กระมังความชอบที่เหมือนกันของพวกเราทั้งคู่...

“เฟียซ...” เขาถามเธอด้วยสีหน้าจริงจัง “เราแต่งงานกันปีหน้าเลยนะ” เธอมองลึกไปในแววตานั้น มองหาแววล้อเล่น แต่ไม่มี

“แกแน่ใจแล้วเหรอ” เธอถามย้ำ

“เราหมั้นกันมานานแล้วนะ มันคงถึงเวลาแล้วล่ะ อีกอย่างเรือนหอก็ใกล้จะเสร็จแล้ว” เรือนหอของเขาและเธออยู่ด้านหลังบ้านหลังปัจจุบันของเธอนี่เอง มันเป็นที่โล่งมานาน เขาเห็นว่ามันสะดวกและไม่ต้องระเห็จไปไกลจากพ่อแม่เลยตัดสินใจซื้อที่ดินเปล่า ถึงแม้จะถูกโก่งราคาไปหน่อย แต่มันก็คุ้ม...

“งั้นทำไมไม่แต่งปีนี้เลยล่ะ” เธอถามเขา ไม่ได้เร่งรัดหรือไร แต่ออกแนวประชดประชันเสียด้วยซ้ำ

“เราไม่พร้อมน่ะ เดือนหน้าเราต้องไปอบรมที่ญี่ปุ่นอีก 3 เดือนกลับมาก็หลังสงกรานต์แล้ว กว่าทุกอย่างจะลงตัวก็คงปีหน้าเลยแหละ เฟียซว่าไง” นี่เป็นครั้งแรกสินะที่เขาถามความเห็นของเธอ...

“เอาไว้แกกลับมาแล้วค่อยว่ากันดีกว่ามั้ย”

“อืม...เอางั้นก็ได้”

หลังจากนั้นอีกสามเดือน เธอก็แท้งลูกของเขา พร้อมกับรู้ว่าป่วยเป็นโรคร้าย ตลอดเวลา 6 เดือนหลังจากนั้น เขาก็ไม่ระแคะระคายเลยว่า เธอไม่เหมือนเดิม....

----------------------------------------------------------------------------





โปรติดตามตอนต่อไป...

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ผู้ชายคนนั้น  คงจะเป็นคนรักของบัมพ์แหละ

แต่ฉันจำชื่อไม่ได้ 555

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน


กลับมาแล้วครับ ขอโทษที่หายไป พอดีคอมเจ๊ง + ลืม password เข้าเว็บ

ตอนนี้คอมกลับมาดีแล้วครับ อิอิ

-------------------------------------------------------------------------------

Chapter 38: สัพเพเหระ

หลังจากอิ่มเอมอาหารและเต็มอิ่มกับการแสดงเล่นไฟแล้ว พวกเราก็พากันเดินกลับ คราวนี้ผมรู้สึกดีขึ้นมากจึงไม่มีท่าทางกระปลกกระเปลี้ยแบบเดิมแล้ว เราเดินด้วยกันโดยเค้ากุมมือผมไว้ตลอดทางจนถึงห้อง (จะหวานไปไหน...ไม่หนีไปไหนหรอกน่า เกาะก็มีแค่นี้!!) คราวนี้ผมไม่รบเร้าเข้าผับอีก ถึงห้องปุ๊บผมเดินเข้าห้องน้ำปั๊บ(คงจะรู้กันนะครับว่าหลังการกินเยอะๆน่ะต้องทำอะไร) พอออกมาก็เห็นเค้าถืออะไรบางอย่าง

“ผมให้” เค้ายื่นขวดโหลใบหนึ่งมาให้ ภายในเต็มไปด้วยนกกระดาษ “นกกระเรียนพันตัว” ผมมองขวดโหลใบใส

“ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น การพับนกกระดาษพันตัวให้คนป่วยจะทำให้หายป่วยเร็วขึ้น”

“จริงดิ ใครบอกเนี่ย” ผมรับมาด้วยความงงๆ เกิดมาไม่เคยมีใครจะให้อะไรแบบนี้เลยสักที

“โอ๊ย เยอะแยะ” เค้ายักไหล่

“งั้นบอกมาชื่อนึงดิ” ผมกวนบาทา

“โหยพี่ จะหวานกันหน่อยก็ไม่ได้” เค้าบ่นอุบ ตอนนี้ทำแก้มตุ่ยบ่งบอกว่างอน

“อืม...ขอบใจนะ พับเป็นด้วยเหรอ” ผมทำปากจู๋ จมูกย่น

“เป็นสิ ผมพับได้ทั้งนก ดาว ต้นไม้ รูปสัตว์หรือแม้กระทั่งหัวใจเลยนะ พี่บั๊มพ์เก่งเรื่องนี้ เค้าสอนผมพับตั้งแต่เด็ก” เค้าดูมีความสุขเมื่อกล่าวถึงพี่ชายที่จากไป “ทีแรกผมจะพับเป็นรูปดาว แต่กลัวพี่จะด่าว่าเด็ก พอจะพับเป็นรูปหัวใจก็กลัวว่าพี่จะด่าและไม่ยอมรับอีก” เค้าหันมาสบตาผม “ผมรู้ว่าผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่ไม่สบาย ผมเลยตัดสินใจพับนกกระดาษมาให้...พันตัวพอดิบพอดี”

ผมเขย่าขวดโหล นกกระดาษตัวจิ๋วกลิ้งไปมา หนึ่งพันตัวเลยเหรอ...มันต้องใช้ความพยายามแค่ไหนกันนะ “ขอบใจนะ” ผมพูดได้แค่นี้จริงๆ รู้สึกดีกับเค้ามากขึ้น อย่างน้อยเค้าก็ไม่ได้คิดแต่จะเอาเปรียบผมอย่างเดียว...

“เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้มั้ย” เค้าแลบลิ้นก่อนเลียริมฝีปาก...

ผมขอถอนคำพูดที่ชมเค้าว่าเป็นคนดีเมื่อกี้!!!

---------------------------------------------------------------------------------

เช้าวันอาทิตย์ ผมตื่นแต่เช้าตรู่ พักเรื่องความหวานจนเลี่ยนของพ่อตัวดีไว้บ้างนะครับ เค้าก็ยังอ้อล้ออยู่ไม่เปลี่ยนนั่นแหละ แต่วันนี้ผมมีนัดเตะบอล เลยต้องออกจากเกาะโดยไวท่ามกลางเสียงบ่นออดแอดของนายไบรต์

“ทำไมต้องรีบกลับด้วยล่ะ” ทั้งน้ำเสียงและหน้าตาชวนหดหู่ทำให้ผมยิ่งหมั่นไส้

“ก็รับปากเค้าแล้วไง ไม่รีบไปก็เสียคำพูดหมด” ผมให้คำตอบ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องอธิบายให้เค้าฟัง

“ใครใช้ให้ไปรับปากล่ะ ไม่ถงไม่ถามผมซ๊ากคำ” เค้ายังประปอดกระแปด ผมได้แต่เมินคำพูดพวกนั้น ขี้บ่นจริงเชียว

“ทีมาที่นี่เรายังไม่เคยถามพี่เลย ทีงี้ทำมาบ่น” ผมตอกกลับ รู้เลยว่าหมีหงอยเป็นยังไง

สุดท้ายเราก็คืนกุญแจและได้เรือกลับขึ้นฝั่งตอนเก้าโมง... ที่บนเรือลมเย็นๆปะทะหน้า ผมกับเค้ายืนบนกาบเรือข้างๆคนขับ ที่นั่งในรอบเช้าก็ยังเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจนไม่มีที่ให้พวกเราทั้งคู่ ระยะทางจากเกาะเสม็ดมายังท่าเรือไม่ไกลมากนัก แต่ด้วยความที่เรือแล่นช้าๆทำให้ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะกลับมาถึง

“เดี๋ยวนะพี่ ขอผมซื้อของก่อน” เค้าลากผมวนเวียนแถวร้านรวงตรงท่าเรือ เค้าใช้เวลานานและซื้อเยอะมากจนผมต้องทัก

“นี่กะเอาไปถมที่ปะเนี่ย” ผมมองดูข้าวของในมือเค้า มันเยอะเสียจนน่ากลัว

“เอาน่าพี่ เดี๋ยวก็รู้” ผมล่ะเกลียดจริงๆกับไอ้ท่ายักคิ้วแล้วแลบลิ้นแบบนี้ของมัน!

เค้าอาสาขับรถตั้งแต่ท่าเรือจนถึงกรุงเทพ ระหว่างทางก็บ่นอุบเรื่องรีบกลับ ผมได้แต่เบือนหน้าหนี ทำไมเข้าใจอะไรยากอย่างนี้ฟะ!! แต่ผมก็ไม่ได้กวนอะไรเค้าอีก เพราะอย่างน้อยเค้าก็แค่บ่น แต่ก็ยังตามใจผมอยู่

“พี่จะไปเตะบอล แล้วพี่หายแล้วเหรอ”นั่น ทำมาเป็นตั้งข้อสังเกต

“โอย สบายมาก ไม่มีไข้แล้วนี่” ผมตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงกว่าปรกติ อย่างน้อยก็ไม่อยากฟังเค้าหาเรื่อง

“ผมไม่ได้หมายถึงอาการไข้” เค้าเงียบก่อนเอามือปิดปาก “ผมหมายถึง...ตรงนั้น”

ผมตบหัวเค้าตุบใหญ่ “ไอ้ลามก” ก่อนจะคิดได้ว่า มันก็ค่อยยังชั่วแหละ แต่ก็ไม่เต็มร้อย

...มันไม่เต็มร้อยมาตั้งแต่เจอเค้านี่แหละ ผมนั่งเงียบๆแต่เค้าก็ชวนคุยเรื่อยเปื่อยตลอดทางแถมยังกุมมือผมไว้อีกที   

“เข้าบริษัทก่อนนะ” ผมบอก

“อ้าว ทำไมอะ”

“เอารถไปคืนไง”

“คืนได้ไง ไม่มีคนอยู่”

“โอย ที่จอดรถเปิดตลอดเวลา อย่างน้อยเอาไปจอดแหมะไว้ก่อนก็ยังดี” เค้าก็ทำตามอย่างว่าง่าย

“เรานี่ว่าง่ายเนอะ พูดอะไรเชื่อหมด”

“ก็แค่กับพี่คนเดียวแหละ” แล้วเค้าก็หันมาสบตาก่อนจะยิ้มให้ ตาของเค้าจะหยีตอนยิ้มแบบเต็มที่ ผมรู้สึกแปลกๆทุกทีเวลาที่เค้ายิ้มให้แบบนี้ “แต่ผมก็ไม่ได้ตามใจพี่ทั้งหมดนะ” เค้าทิ้งท้าย ผมได้แต่คิด ว่ามันเคยขัดใจอะไรผมอีกบ้างเนี่ย...แล้วเค้าก็เฉลยออกมา

“อย่างน้อย ผมก็ไม่ใส่กางเกงในแบบที่พี่อยากให้ทำ”ผมได้แต่กรอกตาไปมาและถอนหายใจเท่านั้น....

-------------------------------------------------------------------------------

ผมวางกระปุกนกกระดาษไว้ที่เบาะหลัง เราเปลี่ยนมานั่งรถผมแทนแล้วตอนนี้

“ทำไมเอาไปไว้ข้างหลังนู่นเลยล่ะ”เค้าทำเสียงน้อยใจ

“แล้วจะให้วางไว้ไหนล่ะ ไว้ข้างหน้าก็เกะกะ” เค้ามองที่นั่งแถวหน้าและพยายามหาที่วางขวดโหลก่อนที่จะยอมแพ้แล้วก็เงียบไป ผมขับรถต่อมาจนถึงบ้าน บ่ายสองกว่า...

แม่เป็นคนมาเปิดประตูให้อีกแล้ว นายไบรต์ไหว้แม่ เดินถือของตามเข้าไปในบ้านต้อยๆ เห้ย!! นี่บ้านใครวะ???

“พ่อไปไหนแล้วอะครับ” เสียงเค้านะครับไม่ใช่เสียงผมที่ถาม ผมกำลังสงสัยอยู่ว่าใครเป็นลูกบ้านนี้กันแน่

“พ่อไปออกรอบน่ะลูก” แม่ผมเสียงปลื้มเค้าออกนอกหน้ามากๆ เพราะของฝากกองเบ้อเริ่มที่ซื้อมาเค้ายกให้แม่หมด

“ไม่รู้จะซื้อมาทำไมเยอะแยะ” แม่บ่นไปเรื่อยแหละ แต่ตอนนี้กำลังคัดของฝากไปเก็บตามหมวดหมู่ กะปิเอย ไข่เค็มเอย ปลาหมึกอบ ปลาทาโร่กรอบ ข้าวหลามก็ไม่เว้น แถมมีพวกปลาหมึกและปลาตากแห้งที่เค้าซื้อตุนมากะจะให้กินตลอดฤดูหนาว

“ผมไม่รู้ว่าคุณแม่ชอบอะไรน่ะครับ เลยกว้านซื้อมาหมดเลย” เค้ายิ้มแบบเจ้าเล่ห์ให้ แต่แม่ผมมองว่ามันเป็นรอยยิ้มของคนขี้เล่นและสุภาพ (ผมอยากจะอ๊วก)

“ผมไปนอนนะครับแม่...กลับบ้านได้แล้วนายไบรต์” เค้าทำหน้าเบ้

“โอ๊ย ทำไมไปไล่น้องอย่างนั้นล่ะ มาด้วยกันแท้ๆน้องก็คงเหนื่อยเหมือนกันแหละ ไปพักผ่อนด้วยกันเลยนะไบรต์” แม่หันไปพูดกับเค้า ผมแอบเห็นรอยยิ้มที่กำลังเยาะเย้ยผมอยู่

“พี่คิง มอเตอร์ไซค์ใครจอดหน้าบ้านน่ะ” เสียงไอ้คิ้วโหวกเหวกเข้ามาในบ้าน

“ของผมเองครับพี่” นายไบรต์ตอบ ทั้งสองเผชิญหน้ากัน ผมเห็นบรรยากาศแปลกๆที่สองคนนั้นจ้องมองกันได้ มันเหมือนกำลังหยั่งเชิงกันอยู่ในที“มันใช่ มอนสเตอร์ปะ” น้ำเสียงนายคิงดูตื่นเต้น

“ครับ ตัวใหม่ สเป็คเต็ม แต่งครบ” เค้าตอบ “พี่สนใจมอเตอร์ไบค์ด้วยเหรอ” นายไบรต์ถามต่อ

“โอย ใครบ้างไม่ชอบ มันเจ๋งโคตรเลยว่ะ ขอลองขับหน่อยได้ปะ” คิ้วยิ้มดีใจ “ดูคาติมอนสเตอร์ เจ๋ง!”

“เห้ยๆ น้องเค้ารีบกลับบ้าน” ผมรีบประท้วง

“ไม่เป็นไรครับพี่คิง ผมไม่รีบหรอก ขับได้ใช่ปะครับพี่คิ้ว” เสียงเค้ารีบสวนทันควัน

“โหย สบายมาก รุ่นไหนแล้ว” ไบรต์ยื่นกุญแจให้ นายคิ้วรับกุญแจไปด้วยความเบิกบานใจ

“งั้นระหว่างรอก็ไปพักผ่อนก่อนนะลูก” เสียงแม่ผมเองครับ “คิงพาน้องไปงีบก่อนนะ เดี๋ยวแม่จัดของก่อน”

แม๊!!! แม่! ทำไมเปิดโพรงให้กระรอกแบบนี้นะ!!

ผมได้แต่เดินซึม โดยมีเค้าเดินตามมาต้อยๆ นี่ถ้าแลบลิ้นและกระดิกหางได้เค้าคงทำไปนานแล้ว...

สุดท้ายผมก็นอนไม่หลับ ทั้งๆที่เพลียแสนจะเพลีย เพราะโดนเค้าทั้งกอดทั้งซอกไซร้ แต่ผมก็ห้ามทัพได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีแรงไปเตะบอลเป็นแน่ ผมมองขวดโหลที่เค้าเอามาตั้งบนหัวเตียง

“เอาไว้วางที่ชั้นหนังสือโน่น” ผมเปลี่ยนที่ แต่เค้าก็แยกเขี้ยวและเอามาตั้งไว้ที่เดิม

“จะได้มองแล้วคิดถึงผม” เห้อ!! เค้านอนกอด ผมร้อนจนต้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำแต่ก็ไม่วายโดนเบียดรัดเพราะไอเย็นของมัน ผมก็ต้องจำใจอยู่นิ่งๆให้เค้ากอด นอนตะแคงหันหลังให้ เค้ารัดและให้ผมนอนหนุนแขน(ท่าเดิมตลอดศก)โดยที่มีใบหน้าของเค้าซุกแถวรอบคอผม...ผมลืมตาโพลงจนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจเค้าราบเรียบ

---------------------------------------------------------------------

พอห้าโมงครึ่ง ผมก็แต่งตัวและออกไปปล่อยให้เค้านอนพักผ่อนยาว...สนามฟุตบอลของหมู่บ้านมักจะเต็มไปด้วยวัยรุ่นในช่วงวันหยุดแบบนี้ พวกเราต้องขับรถมาอีกสนามหนึ่งใกล้ๆ เป็นสนามขนาดมาตรฐาน ซึ่งเหมาะสำหรับเล่นฟุตซอลมากกว่า แต่พวกเราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเพราะยังไงสภาพก็ดีกว่าสนามฟรีตั้งเยอะ ยิ่งคนมาเยอะ ค่าเช่าต่อหัวก็ยิ่งถูกลงตามไปด้วย วันนี้มากันเกือบครบเลยครับ พี่ภูมินำทีม มีเพื่อนที่บริษัทมาเพียบรวมๆแล้วได้เกือบสองทีมฟุตบอลลีค

“อ้าว มาด้วยเหรอมึง นึกว่าจะเบี้ยวอีก” เสียงไอ้ใหญ่เพื่อนที่ทำงานครับ มันกับผมเข้าทำงานพร้อมกัน อยู่คนละแผนก แต่พวกเราก็สนิทกันในระดับหนึ่ง คงเป็นเพราะความที่มันเป็นคนเปิดเผยและผมไม่ใช่คนชอบพูดมากเลยเข้ากันได้ไม่ยาก

“ไม่มาจะเห็นกูมั้ย” ผมกวนมันกลับ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงกับมันเท่าไหร่ เพราะมันตัวใหญ่มาก สูงน่าจะเกือบร้อยเก้าสิบได้ แถมหน้าตาก็ฝรั่งจ๋า ไม่มีใครคิดว่ามันจะพูดไทยได้คล่องปากขนาดนี้หรอก (แถมปากหมาด้วยนะ)

“เช็ด มึงนี่ปากดีตลอด” มันสวนกลับพวกเราก็วอร์มอัพไปเรื่อยๆคุยกันแต่เรื่องสรรพเพเหระนั่นแหละครับ ผู้ชายเป็นฝูงขนาดนี้สุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่องใต้สะดือเป็นแน่แท้

“วู๊ ดูซิใครมา” ไอ้คิ้วขับมอเตอร์ไซค์ของนายไบรต์มาจอดพร้อมกับเพื่อนผมอีกคนหนึ่ง “อ้าว ไอ้ทศ มาได้ไงเนี่ย”ผมตะโกนถาม มันวิ่งเหยาะๆมาสมทบพร้อมกับน้องชายตัวแสบของผม ไอ้ทศเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนครับ มันรู้จักกลุ่มนี้เพราะมาเตะบอลด้วยกันนี่แหละ แต่หลังๆมันมาๆดับๆเพราะทำงานหนัก

“กูมาแจกซอง” มันบอก

“ซองเหี้ยไร อย่าบอกนะว่าซองผ้าป่า พวกกูทำบุญไม่ขึ้นหรอก” เพื่อนๆพากันแซว

“ผ้าป่าเชี่ยอะไร” มันชูการ์ดขึ้นมา “กูกำลังจะแต่งงาน”

“เช็ดดดดด” เสียงใครสักคนสบถ

“หน้าอย่างมึงเนี่ยนะจะแต่งงาน ใครมาหลงแต่งกับมึงได้เนี่ย” ผมถามกวนๆ

“มีแล้วกันแหละน่า” มันทำหน้าขัดเขิน ตัวอย่างกับยักษ์ ทำท่าเขินไม่เข้ากันจริงๆ

ปรกติเราจะเล่นกันจนเหนื่อยจัดถึงจะเลิก ส่วนใหญ่จะเล่น 30 นาทีต่อ 1 เกม ครึ่งละ 15 นาที ใครโดนลูกแรกต้องถอดเสื้อ คราวนี้ผมไม่ต้องถอดเพราะพี่ภูมิทำประตูได้ ไม่อย่างนั้นคนไม่น้อยคงเห็นรอยที่นายนั่นทิ้งไว้เต็มแผ่นหลังแน่ๆ วันนี้คนเยอะ เลยเล่นครึ่งละ 30 นาทีเต็ม เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องทนทั้งๆที่สภาพแต่ละคนดูฝืนสังขารกันสุดๆ แต่ผมลงสนามได้แค่ครึ่งแรกก็ไม่ไหว แข้งขามันสั่นเป็นเจ้าเข้า มันปวดหนึบๆแถมจู่ๆก็รู้สึกไม่มีแรงกระทันหันจนต้องเดินออกนอกสนามไปมีไอ้คิ้วตามมาติดๆ “โหพี่ นี่ไบรต์จัดหนักถึงขั้นเข่าอ่อนเลยเหรอ”

ผมมองหน้าไอ้น้องชาย “ไอ้เชี่ย อย่าพูดดังไปสิวะ”

“เออ โทดทีพี่ ผมลืมตัว” ผมมองไปที่สนาม ดีนะที่พวกนั้นสนใจแต่เกม ไม่งั้นความแตก มันนั่งข้างๆผม กินน้ำและเช็ดเหงื่อ เราอยู่คนละทีมกัน และมันได้ถอดเสื้อ

“ไปละพี่” มันบอกแล้วกระโดดแหยงๆไปที่สนาม ผมมองพวกนั้นเล่นต่อ ผ่านครึ่งหลังไปได้ไม่ถึงยี่สิบนามีพี่ภูมิก็ถูกหามออกมา

“สงสัยจะเอ็นฉีกว่ะ” สภาพแกเหมือนคนเป็นลม ไอ้ใหญ่เป็นคนสันนิษฐานก่อนที่ไอ้ทศจะหามแกออกไปโรงพยาบาล ตอนนี้เหลือคนหรอมแหรมที่กำลังเล่นอยู่ ส่วนหนึ่งเหนื่อยและฟุบอยู่ข้างๆเสียหมด

“เห้ย พี่คิง ไหวยังเนี่ย ลงมาหน่อย” ไอ้น้องชายผมตะโกนเรียก ผมโบกมือขอบาย เล่นได้แค่นี้จริงๆ

“อ๊า นายไบรต์มาพอดี ลงมาหน่อย” มันตะโกนเรียกเมื่อเห็นเค้าเดินมา หัวฟูจากการนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาแหงๆ เราสบตากันก่อนผมจะเบือนหนี เพราะท่าทางที่เค้ามอง มันชวนให้รู้สึกพิลึก สายตาเค้าเหมือนถามผมว่าไหวไหม อยากให้ไปดูแลหรือเปล่า

เค้าใส่กางเกงบอลสีขาวซึ่งเป็นของผมเอง มันหดสั้นและดูรัดทึ้งน่าอึดอัด ส่วนเสื้อเป็นเสื้อยืดตัวเก่งของเค้าที่ใส่มาตั้งแต่เสม็ด สุดท้ายเค้าก็ต้องถอดออก เพราะอยู่ทีมที่เสียลูกแรก ผมจดจ้องดูเรือนร่างผึ่งผายของเค้าอย่างลืมตัว จนเห็นไอ้คิ้วมันยักคิ้วให้เท่านั้นแหละผมถึงหลบตาและรู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าแดง

“สารภาพมาซะดีๆไอ้คิง...มึงกับน้องคนนั้นมีอะไรกันใช่มั้ย” ผมสะดุ้งเฮือก

“เชื่ยใหญ่ ถามไรแปลกๆ” มันตบไหล่ผมฉาดใหญ่แล้วนั่งลงข้างๆ

“มึงอย่ามาหลอกกู มึงก็รู้ว่ากูก็มีแฟนเป็นผู้ชาย เรื่องแค่นี้ทำไมกูจะดูไม่ออก” เอื๊อก!! เสียงผมกลืนน้ำลาย

“สายตาที่เค้ามองมึงยังกับผัวห่วงเมีย ส่วนมึงก็มองเค้า..” มันมองหน้าผม หยุดกึก..

“พูดดีๆนะมึง มองยังไง” ผมตาเขียวใส่มัน

“มองแบบ...” มันทำหน้าล้อเลียน “แบบลึกซึ้ง”

“ลึกซึ้งเชี่ยไร มึงคิดมาได้” ผมทำเสียงหงุดหงิด

“อย่าปิดกูเลยไอ้คิง กูดูออก” แล้วมันก็เลื่อนจมูกมาใกล้ๆแล้วสูดกลิ่นฟุดฟิดๆ “กูได้กลิ่นแปลกๆแถวนี้”

“ไอ้เชี่ย มึงเป็นหมารึไง มาเที่ยวสงสัยว่าคนอื่นจะเป็นแบบมึงไปเสียหมด”

“โหย มึงน่ะกูไม่สงสัยหรอก กูสงสัยคนโน้น” มันชี้ไปทางนายไบรต์ที่วิ่งไล่ลูกบอลท่วงท่าสวยงาม “เค้าเป็นเกย์ชัวร์ กูมั่นใจ”

ผมอึ้ง และมองหน้ามันนิ่ง “และกูก็คิดว่า เค้าต้องมีอะไรซักอย่างกับมึง” มันตบหลังผมแปะๆอีกหลายครั้งก่อนบีบไหล่ผมจนเจ็บ ยักคิ้วให้แล้ววิ่งลงสนาม ทิ้งให้ผมนั่งทึ่งในประสาทสัมผัสของมัน...

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใหญ่.....นี่ใครอ่ะ?  ทำไมเซนส์ดีขนาดนั้น?

จะใช่ยิ่งใหญ่จากอีกเรื่องนึงหรือเปล่า?  แต่คงไม่ใช่หรอกเนอะ

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน


Chapter 39: ความทรงจำที่หายไป

นายไบรต์ไม่กลับคอนโด... พ่อกับแม่ผมท่าทางชื่นชอบเค้ามาก เพราะท่าทางที่อ่อนน้อมและขี้เล่นไปในที รู้จักเข้าหาผู้ใหญ่นั่นแหละ (ผมว่ามันตีสองหน้าเก่ง) แม่ผมก็ทำกับข้าวไว้เสียเยอะ พ่อผมก็ชวนคุยไปเรื่อยเปื่อยท่าทางเอ็นดูเหมือนรู้จักกันมานานทำให้ผมยิ่งหมั่นไส้ แถมไอ้คิ้วก็ชอบมันเพราะเรื่องรถอีก สุดท้ายแม่ก็เป็นคนเอ่ยปาก

“ไบรต์ค้างที่นี่ก็ได้นะลูก นี่ก็ดึกมากแล้ว แม่ไม่อยากให้ขับรถกลับ มันอันตราย” นั่นไง คุณนายแม่หาเรื่องอีกละ

“อันตรายอะไรแม่” ให้มันค้างที่นี่ผมน่ะสิจะตกอยู่ในอันตรายผมคิดในใจ “นี่เพิ่งจะสี่ทุ่มเอง”

“เอาน่า น้องเค้าขับมอเตอร์ไซค์นะ โอกาสเจออุบัติเหตุสูงกว่าขับรถยนต์นะ” แม่ผมเถียง “นอนที่นี่แหละจ้ะ ห้องพี่คิงนั่นแหละ”

อ๊ากกกกกกกกก!! ทำไมสวรรค์ช่างโหดร้ายกับผมอย่างนี้วะ!

ก่อนหน้านี้ที่สนาม...

“พี่บอกผมมาซะดีๆนะ เมื่อกี้คุยอะไรกับไอ้หน้าฝรั่งนั่น” นายไบรต์วิ่งสวนออกมาเมื่อเอียนกลับเข้าไปเล่นต่อ ตอนนี้น่าจะเหลือคนแค่โหลเดียว

“อะไรอีกเนี่ย” ผมถามด้วยอาการเซ็ง เดี๋ยวคนโน้น เดี๋ยวคนนี้ ผมลอบมองไอ้ใหญ่ มันจ้องเขม็งมาทางนี้

“ก็ไอ้ฝรั่งคนนั้นน่ะ มันเป็นใคร มันคุยอะไรกับพี่ เมื่อกี้ผมเห็นนะมันทำท่าจะดมพี่ด้วย” เค้าเท้าสะเอว

โอย ให้มันได้อย่างนี้สิ อีกคนก็กำลังสงสัย ไอ้คนนี้ก็ยิ่งตอกย้ำให้ชาวบ้านเค้ารู้...คิดแล้วอยากร้องไห้....

“โอ๊ย ไม่มีอะไร ไปเตะบอลต่อไป๊ พี่กลับบ้านละ” ผมเลิกสนใจเค้า คว้ากระเป๋าใส่ชุดสำรอง

“ผมไปด้วยดิพี่” เค้ายื้อกระเป๋าผมไว้แล้วดึงมันไปถือเอง

“ไปทำไม เพิ่งมาเองไม่ใช่เหรอ”

“ไม่รู้ล่ะ พี่กลับ ผมก็กลับ” ผมไม่อยากต่อความยาวอะไร สุดท้ายเค้าก็ติดรถผมมาจนได้

เสี่ยงกริ่งที่หน้าบ้านดังขึ้นมาฉึดผมออกจากภวังค์ “ผมไปดูเองครับ” ผมอาสาเพื่อกันตัวเองให้หลุดจากวงสนทนานี้ ผมก้าวเท้ายาวๆไปที่ประตูบ้าน ก่อนชะโงกไปมองว่าใครมาหาดึกดื่นป่านนี้...

“อ้าวเฟียซ มาซะดึกเชียว” ผมเปิดประตูให้ “เข้ามาก่อนสิ”

“ไม่เป็นไรหรอก...ชั้นแค่อยากมาคุยด้วยเดี๋ยวก็กลับละ”

“งั้นไปนั่งตรงนั้นก่อนมั้ย” ผมพาเธอไปนั่งที่ม้านั่งตรงเฉลียงหน้าบ้าน เรานั่งกันเงียบๆ ผมมองใบหน้าซูบซีดนั้น

“มีอะไรรึเปล่า ท่าทางดูเหมือนไม่ค่อยสบาย”

“คิง...ชั้นไม่สบายจริงๆแกก็รู้” เฟียซหันมาสบตาผม ใบหน้านั้นขาวซีดมากยิ่งขึ้นใต้แสงนีออน ริมฝีปากที่แห้งยิ่งเด่นชัด

“เอ่อ...” ผมไม่รู้จะตอบยังไงให้เธอสบายใจ

“ชั้นแค่จะมาบอกแก...ชั้นจะแต่งงานกับคุณหมอเบสต์” ผมจุก รู้สึกเหมือนคนโดนต่อยเข้าที่ชายโครง

“จะ จริงดิ” ผมคิดอะไรไม่ออก เวลาแบบนี้ผมควรจะทำยังไงดี ผมควรจะรั้งไว้ไหม...ผมคู่ควรด้วยเหรอ

“อื้ม” เฟียซพยักหน้า ผมจับมือเธอไว้... “เรายินดีด้วยนะ” ผมยิ้ม ก่อนที่เฟียซจะพูดต่อ

“มีสิ่งหนึ่งที่ชั้นอยากบอกแก” ผมตั้งใจฟัง “เรื่องเมื่อ 10 ปีก่อน”

ผมจับจังหวะการเต้นของหัวใจเฟียซได้ มือของเธอสั่นถึงแม้ไม่มีความหนาวเหน็บใดๆปนมาในอากาศเลย

“10 ปีก่อน...ทำไมเหรอ”

“แกจำได้แค่ไหน เรื่องวันนั้น...”

“จำได้แค่วันนั้นเราไปถีบจักรยานเล่น แล้วพ่อเฟียซก็โดนรถชน”

“ใช่...แต่แม่เราก็โทษแก จำได้มั้ย” ผมพยักหน้า “ตอนนั้นชั้นยังขี่รถไม่แข็ง แต่ชั้นก็ดื้อดึงดันจะขี่เอง..” เธอเว้นช่วง

“มันเป็นทางลาด ตรงหน้าบ้านป้าโอ่ง” ผมนึกภาพตาม บ้านป้าโอ่งตรงสี่แยก ถัดออกไปอีกไม่กี่ซอย

“พวกเราเห็นรถไอติม ชั้นอยากกินเลยขับลงไปทางนั้น ตอนนั้นถนนมันลื่น แกจับท้ายมาดีๆแล้วจู่ๆรถก็สะบัด...” เฟียซกำลังกลั้นลมหายใจ หรือไม่ก็กำลังกลั้นน้ำตา

“แกลื่นหกล้ม ปล่อยจักรยานพุ่งไปข้างหน้า...ตอนนั้นชั้นไม่รู้ว่าจะต้องห้ามรถยังไง ไม่รู้ว่าจะทำยังไงนอกจากร้องเสียงหลง”

ผมเห็นน้ำตารื้อเบาๆที่ขอบตา “จู่ๆรถคันนั้นก็พุ่งเข้ามา แต่ภาพที่ชั้นเห็นมันเคลื่อนช้าๆแบบสโลโมชั่น ชั้นเห็นความตายพุ่งมาหา” เธอชักมือกลับไปเช็ดน้ำตาตัวเอง “แล้วพ่อของชั้นก็กระโจนมาจากไหนไม่รู้ มาผลักตัวชั้นทิ้ง” เฟียซร้องไห้หนักแล้วตอนนี้

“รถคันนั้นหักพวงมาลัยและก็ชนพ่อชั้นอย่างจัง...พ่อลอยตามแรงกระแทก เสียงชนโครมใหญ่ยังดังกึกก้องที่หู ภาพนั้นยังติดตาชั้นอยู่ทุกวันนี้” ผมจ้องหน้าเฟียซเนิ่นนานไม่มีคำพูดอะไรเล็ดลอด แต่สุดท้ายผมก็ถามออกมา “แล้วคนขับรถคันนั้นล่ะ”

เฟียซมองหน้าจับจ้องอยู่ราวกับกำลังมองหาซากความทรงจำของผม “เค้าพุ่งทะลุออกมาจากกระจกหน้า ตกลงมาที่ข้างตัวชั้น” ผมพยายามนึกภาพนั้น มันรางเลือนเหมือนไอหมอก แต่เมื่อได้ยินคำบอกเล่าภาพนั้นก็เด่นชัดขึ้นมาทีละน้อย

ภาพที่ผมเห็นมันสยดสยองกว่าที่เฟียซเล่ามากมายนัก ร่างของคุณลุงลอยตกไปข้างทางเสียงกระดูกหักเหมือนจะดังกว่าปรกติ ผมรู้สึกว่ามันดังแทบจะทำให้แก้วหูผมแตก ในเวลาไล่เลี่ยกันก็มีอีกร่างหนึกทะลุกระจกรถพุ่งมาตกข้างๆตัวเฟียซ ผมรีบพุ่งไปตรงนั้น เฟียซพุ่งที่ร่างของคุณลุงร้องไห้ครวญครางอยู่กับร่างที่ไร้วิญญาณที่นอนแน่นิ่ง ส่วนผมก็หยุดอยู่ที่ของคนขับ เขากำลังกระตุก ลื่มเลือดทะลักทะลาย...

“แล้วแม่ก็โทษว่าเป็นเพราะแก ถ้าแกไม่ปล่อยมือจากรถเรื่องมันก็ไม่เกิดขึ้น” เธอเงียบ ผมปล่อยให้ความเงียบนั้นเป็นเหมือนการสำนึกผิด “แต่แกรู้ใช่มั้ย...มันไม่ใช่ความผิดของใครเลย มันเป็นอุบัติเหตุ”

“เฟียซมาเล่าให้เราฟังทำไม” ผมถาม มันตั้ง 10 ปีมาแล้ว และจู่ๆวันนี้เธอก็มานั่งตรงนี้แล้วเล่าให้ผมฟัง ความรู้สึกผิดบาปที่มีมันทำให้ผมเจ็บปวดจนตัวเองสร้างเกราะป้องกันขึ้นมา...นี่เองกระมังที่ทำให้ผมลืมเรื่องวันนั้นไปเสียหมด

“ชั้นแค่อยากมาบอกว่า...แกอย่ารู้สึกผิดอีกเลยนะ” ผมสะอึก ภาพป้าเพ็ญชี้หน้าผมด้วยความเกรี้ยวกราดวันนั้นย้อนกลับมาอีกครั้ง “เพราะแก ถ้าแกไม่ปล่อยมือ...” ผมหลับตา ความทรงจำมันถูกกระตุ้นจนผมแทบจะนึกออกทั้งหมด

“ชั้นวางอดีตข้างหลังแล้ว...และอยากให้แกทำเหมือนกัน” เฟียซยิ้มทั้งน้ำตาและกุมมือผม

“แม่และชั้น ให้อภัยแก...แต่ชั้นไม่เคยโทษแกเลยแม้แต่น้อย” ผมบีบมือเย็นๆนั้นกลับ “ถ้าวันนั้นชั้นไม่รั้น ยอมให้แกขี่รถ เรื่องมันก็คง...” เฟียซร้องไห้อีก

“ไหนแกบอกแกปล่อยวางอดีตแล้วไง...มันเป็นอุบัติเหตุนะเฟียซ แกอย่าโทษตัวเองเลย” เธอโผเข้ามากอดผม เราต่างพากันร้องไห้ ผมรู้สึกสับสนปนความโล่งใจ...

”ขอบใจมากนะ ที่เฟียซไม่โกรธเรา” ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยหลังจากนั้น...

สายตาคู่หนึ่งจับจ้องภาพทั้งคู่ที่กอดกันร้องไห้ เขาเห็นและได้ยินทั้งหมด

“เมื่อไหร่พี่คิงจะจำเรื่องทั้งหมดได้นะ” เขาครุ่นคิด “ผมอยากให้พี่รู้จริงๆว่าวันนั้นพี่ทำอะไรไว้”

------------------------------------------------------------------------------------

                ผมเดินช้าๆ เดินบ้างหยุดบ้างทำให้จากบ้านเฟียซมาบ้านตัวเอง ใช้เวลามากกว่า 10 นาที(กับการเดินแค่ไม่กี่สิบก้าวแบบนี้)คำพูดเฟียซยังกังวาน “อีกเรื่องหนึ่งที่ชั้นยังไม่ได้บอกแกเลยนะคิง” ผมจำแววตาที่ปวดร้าวนั้นได้ “ชั้นท้องลูกของเรา” น้ำเสียงนั้นเจ็บปวดไม่แพ้กัน “แต่...ชั้นก็รักษาลูกเอาไว้ไม่ได้ ชั้นขอโทษ ” น้ำตาเฟียซยังไหลไม่หยุด ผมกอดเธอแน่นขึ้นไปอีก

“อย่าโทษตัวเองเลยนะเฟียซ” ผมพยายามปลอบใจทั้งๆที่ตัวเองก็เสียใจไม่แพ้กัน “มันไม่ใช่ความผิดของเฟียซเลย”

ผมหลับตา ให้น้ำตามันไหลออกมาให้หมด ลูกเหรอ...ผมแทบจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าครั้งหนึ่งผมกำลังจะได้เป็นพ่อคน

“ขอบใจมากนะ” น้ำเสียงนั้นยังแหบพร่า ความเจ็บปวดในน้ำเสียงนั้นกรีดลึกเข้าไปในก้นบึ้งหัวใจผม

ผมก้าวช้าๆและหยุดหน้าบ้าน ผมปาดน้ำตา สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วเดินเข้าไปหาความอบอุ่นของคำว่าครอบครัว...   

“อ้าว นายไบรต์ล่ะ” ผมถามเมื่อไม่เห็นเงาของเค้าในบ้าน

“อ๋อ บอกว่ามีธุระด่วนน่ะ เลยกลับบ้านไปแล้ว ไม่ได้สวนทางกันเหรอ”

“เปล่าครับแม่” ผมอยากโผเข้าไปกอดแม่ที่สุดเลยตอนนี้

“เป็นอะไรรึเปล่าคิง”

“อ๋อ เปล่าครับ ผมคงเหนื่อยอะ เพิ่งกลับมา แถมยังเล่นกีฬาอีก”

“อ๋อ งั้นก็รีบไปพักผ่อนเถอะลูก พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้านะ” ผมรับคำแล้วบอกราตรีสวัสดิ์ ภายในห้องนอนที่ว่างเปล่ายิ่งกัดกร่อนหัวใจ ผมมองขวดโหลที่ตั้งไว้ จับมันมาเขย่า

“นายแกเค้าทิ้งแกและกลับไปแล้วนะ” ผมมองนกกระดาษด้วยความรู้สึกเศร้า บางที...ผมอาจไม่ชินกับการอยู่คนเดียวเสียแล้ว

-------------------------------------------------------------------------

“มาซะดึกเชียวนายไบรต์” เขาบ่นน้องชายที่มาปลุกกลางดึก

“พี่เบสต์” ผู้เป็นน้องโผเข้ากอดพี่ชาย “พี่จะแต่งงานกับคุณเฟียซจริงๆเหรอ”

“นายรู้ได้ยังไง”

“ผมได้ยินพี่เฟียซกับพี่คิงคุยกัน...”

“แล้ว...ทำไมล่ะ”

“เปล่า ผมแค่ดีใจน่ะครับ ที่บ้านโน้นเค้าไม่โกรธพวกเราแล้ว”

“นายมาหาพี่ดึกดื่นเพราะเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ”

“ไม่ได้รึไงล่ะ พอรู้ว่าพี่จะได้แต่งงาน ผมก็รีบบึ่งมาแสดงความยินดีเลยนะ”

เขาไม่ได้กลับบ้านหลังนี้มานาน ตั้งแต่พี่ชายคนรองเสียก็พยายามเลี่ยงสถานที่แห่งนี้มาโดยตลอด พอกลับมาถึงเมืองไทย เขาก็ไปอยู่คอนโดทันที

“ไร้สาระน่า ดึกแล้ว ไปนอนได้แล้ว” พี่ชายไล่

“แต่พี่เคลียร์ตัวเองจบแล้วจริงๆใช่มั้ย”

“นายหมายความว่าอะไร”

“พี่ก็รู้ว่าผมหมายความว่าอะไร”

“อืม” พี่ชายของเขารับคำสั้นๆ

“ขนาดผมเปลี่ยนเบอร์ เค้ายังโทรมาได้เลย พี่แน่ใจนะว่าตัดเค้าได้จริงๆ”

“อืม” เสียงนั้นตอบอย่างมั่นใจ “จะนอนนี่เลยมั้ยจะได้ปูที่นอนให้”

“ผมกลับคอนโดดีกว่า...ไม่กวนพี่ละ ผมยินดีด้วยจริงๆนะครับพี่”

หมอหนุ่มมองน้องชายเดินจากไปช้าๆ บ้านหลังนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความหลังที่โหดร้ายเกินกว่านายจะทนอยู่ได้สินะไบรต์...

------------------------------------------------------------------

“คิ้ว...นอนรึยัง” ศรีประจันต์เข้ามาในห้องลูกชายคนรอง เธอมั่นใจว่าความรู้สึกของเธอไม่ผิดพลาด

“ยังครับแม่” ลูกชายคนรองลุกมานั่งบนที่นอน หน้าตาดูแช่มชื่น

“แม่ขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย”

“แม่มีอะไรรึเปล่า”

เธอจับมือลูกชายไว้ “ลูกสัญญานะ...ว่าจะตอบแม่ตามตรง”





โปรดติดตามตอนต่อไป...

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
แม่จะถามเรื่องพี่คิงกับนายไบร์ทหรือเปล่า
ติดตาม ลุ้นๆๆๆๆๆ

แต่คาใจเรื่องของพี่หมอเบสต์
เราอ่านอะไรข้ามไปหรือเปล่า ถึงไม่รู้ว่าคนนั้นที่สองคนพูดถึงคือใคร

พี่หมอเบสต์ยังมีภาระ พันธะผูกพันอยู่กับอีกคนอย่างนั้นเหรอ
แล้วตัดใจได้จริงไหม อย่าทำให้เฟียสต้องเสียใจกับเรื่องอะไรอีกเลย
ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็สงสารเธอจะแย่แล้ว

พี่หมอเบสต์อย่านะ อย่าทำให้เฟียสเสียใจ ซ้ำๆอีก

ขอบคุณคนแต่ง

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อุบัติเหตุครั้งนั้นถูกเปิดเผยรายละเอียดแล้ว

แต่...

มีตัวละครปริศนาที่มีความสัมพันธ์แบบไหนไม่รู้กับอดีตของเบสท์และไบรท์

ใครหว่า?  หรืออาจจะเป็น ภัทร แฟนของ บัมพ์?  เพราะว่าเป็นฝาแฝดกับเบสท์

อ่อ...ส่วนใหญ่ในเรื่องนี้  คงไม่ใช่ยิ่งใหญ่ในเรื่องนั้น  เพราะหน้าฝรั่งจากคำบอกเล่าของไบรท์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2018 21:50:02 โดย DrSlump »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน


Chapter 40:ความลับแตก...



เขานอนไม่หลับ ห้องสี่เหลี่ยมมันยังมีกลิ่นอายของคนๆนั้นหลงเหลืออยู่ ยิ่งอยู่คนเดียวก็ยิ่งชัดเจน เขาพยายามหักห้ามใจ มองเข็มนาฬิกาที่เดินผ่านไปช้าๆราวกับใช้เวลาชั่วกัปชั่วกัลป์

“นอนซะทีสิวะนายไบรต์” เขาพร่ำบอกตัวเอง...

แต่เขากลับยิ่งคิดถึง...ขอแค่อีกคืน ขอแค่ได้อยู่กับพี่อีกคืน... สมองของเขาปั่นป่วนหนัก.... นอนซะทีสิ นอนๆๆๆ

ขอแค่อีกคืน หลังจากนั้นจะหยุดทุกอย่าง....เขาพร่ำบอกตัวเองมาตั้งแต่วันแรกที่ผู้ชายคนนั้นอยู่ในอ้อมกอดเขาแล้ว....

แค่อีกคืนเดียว

...แต่เขาก็ทำไม่ได้สักที

ผมผลอยหลับตอนไหนก็ไม่รู้แต่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ จับจ้องไฟสว่างวับๆตามจังหวะเสียงเพลงด้วยความง่วงงุน นาฬิกาบนหน้าจอบอกเวลาตีสองครึ่ง “ฮาโหลลล” ผมลากเสียง

“พี่คิง...” น้ำเสียงเค้าอ้อนๆ

“อืม มีอะไร คนจะนอน” ผมตัดเยื่อใย

“ผมนอนไม่หลับ”

“นอนไม่หลับก็ข่มตาหลับไปสิ มาบอกพี่ทำไม คนจะนอน” ผมหงุดหงิด

“ผมอยู่หน้าบ้านพี่อะ เปิดประตูให้ผมหน่อย” ผมเบิ่งตาโพลง แอบไปแง้มม่านดู เค้าใส่ชุดที่สำสะพายเป้ใบเก่งยืนหน้าบ้าน ผมเพ่งหารถเค้า มันถูกจอดหลบสายตาไว้ “นะครับ”

“มาทำไม พี่นอนแล้ว” ผมบ่ายเบี่ยง

“ผมนอนไม่หลับ...ผมคิดถึงพี่” เสียงเค้าดูเว้าวอน “ขอผมนอนด้วยคนนะ ผมสัญญาว่าผมจะไม่ทำอะไร”ก็มึงทำมาหมดแล้วนี่!!!ผมตะโกนด่าในใจ

“หรือจะให้ผมกดกริ่งแล้วให้คนอื่นมาเปิดประตู” ชิท!!! ทำไมแพ้คนแบบนี้ไปได้ล่ะวะ!!

ผมจำใจเดินมาหาและเปิดประตูให้ “เข้ามาสิ”ผมหน้าบึ้งใส่ทันทีที่เห็นหน้า

 “ครับ” น้ำเสียงนั้นร่าเริงผิดจากเมื่อกี้ลิบลับ

“หิวมั้ย” ท่าทางเค้าดูซูบซีดแปลกๆ

“หิว...แต่ไม่กินดีกว่า” ผมเห็นด้วย พอตื่นมาตอนนี้ร่างกายมันฟ้องว่าผิดเวลาพักผ่อน กระบวนการเผาผลาญมันเลยรวน ผมก็หิวไปด้วย “จับมือได้มั้ย” เค้าถามห้วนๆ

“ไม่ได้ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็น” ผมลดเสียงเมื่อเดินเข้ามาใกล้ตัวบ้าน หลีกเลี่ยงการส่งเสียงดังให้คนอื่นๆตื่นมาเห็น

ที่ห้องใกล้กับห้องของคิงตรงชั้นสอง มีสายตาคู่หนึ่งมองมาที่ทั้งคู่ในความมืด....

เค้าไม่ว่าอะไรต่อ และเดินเงียบๆตามผมมาในห้อง ขอบตาเค้าดูคล้ำแต่สีหน้ายังทะเล้นและเต็มไปด้วยความสุข “อาบน้ำยัง”

“อาบแล้วครับ”

“เอาชุดนอนมามั้ย” ผมถาม เพราะชุดผมกับเค้าคนละไซส์กัน

“ไม่ต้องหรอก ผมแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวก็นอนได้แล้ว” ว่าแล้วเค้าก็ถอดแจ็คเก็ตและกางเกงยีนส์ออกแล้วไปวางไว้ที่ตะกร้าผ้าของผม “นอนเถอะครับ” ผมปีนขึ้นบนเตียงก่อนแล้วเค้าตามมา ครั้งนี้ผมนอนชิดผนังโดยมีเค้าเบียดตัวมาใกล้ๆ ไออุ่นของเค้าแนบชิด ผมใจเต้นตึกตัก “ผมคิดถึงพี่” เค้ากระซิบ ผมไม่ตอบ

“ผมนอนคนเดียวไม่ได้...” เค้าสารภาพ ผมก็ยังนิ่ง เค้ากอดตัวผมไว้แล้วถือวิสาสะดึงหมอนผมออกแล้วพาดแขนมาให้ผมหนุน

“โอย แบบนี้พี่เมื่อยคออะ” ผมบ่นแต่ดูเหมือนเค้าจะไม่ใส่ใจ แล้วเค้าก็พลิกตัวผมช้าๆให้ใบหน้าผมซุกหน้าอกเค้าไว้

“ทำไมใจนายเต้นแรงจัง” ผมถาม ทั้งๆที่ของตัวเองก็ไม่แพ้กัน

“ไม่รู้สิครับ อยู่กับพี่ทีไรหัวใจผมก็เต้นแบบนี้ตลอด” เค้าตอบง่ายๆ ...”พี่คิง”

“หืม” ผมรับคำสั้นๆ กำลังหวั่นใจว่าจะเกิดอะไรไม่ดีไม่งามขึ้นอีก แล้วเค้าก็เชยคางผมขึ้น เราสบตากันในความมืดก่อนที่เค้าจะจูบผมอย่างอ้อยอิ่ง ครั้งนี้ไม่มีการขอ แต่ก็ไม่มีการปฎิเสธ ผมรู้สึกเสียววูบไปทั้งตัวเพราะเค้าค่อยๆบดริมฝีปากช้าๆสอดส่ายลิ้นเข้ามาพันกันอลวน

สุดท้ายผมต้องถอนตัวออกมา เสียงหอบหายใจถี่ๆของเค้าดังชัดเจนในความมืด“พอเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้า”

“พี่คิง...” น้ำเสียงเค้าเสียดาย

“นะครับ” ผมย้ำคำ เค้านิ่งเงียบ เดาจากรูปการแล้วน่าจะงอน เค้าเคลื่อนตัวมาชิดอีก ท่อนเนื้อแข็งตุงเสียสีผมอยู่

“พอนะ” ผมย้ำอีก “ไม่อย่างนั้นพี่โกรธ”

เค้าดูเหมือนจะทำใจได้แล้ว แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ คลายอ้อมกอดและเปลี่ยนเป็นนอนหงาย ...ผมละหน่ายใจ!!!

“ไอ้เราก็อุตส่าห์คิดถึง” นั่น มาบ่นผมอีก!

ผมลูบหน้าอกเค้า ใช้เล็บที่เพิ่งงอกใหม่ไล้และเขี่ยหัวนมไปมา “อย่าทรมานผมแบบนี้สิครับ...นอนเถอะ” เป็นเค้าเองที่หยุดผมโดยการกุมมือนั้นไว้ ผมเชิดหัวขึ้นมามองเงาตะคุ่มแล้วก็หอมที่คางของเค้า ก่อนไปหอมแก้ม ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องทำแบบนี้ เพียงแต่ตอนนี้ไม่อยากให้เค้าโกรธหรือน้อยใจ

“นอนเถอะนะ...” ผมบอกด้วยเสียงกระซิบ แล้วเค้าก็กลับมากอดผมเหมือนเดิม...”ฝันดีครับ...” เสียงเค้าร่าเริงในความมืด

ผมตื่นเต็มที่อีกครั้งตอนตีห้าครึ่ง กิจวัตรของมนุษย์เงินเดือนกลับมาอีกครั้ง ผมอาบน้ำแต่งตัวด้วยความหงุดหงิดใจที่ก่อตัวมาตั้งแต่เมื่อคืน มันปนเปกันระหว่างความเศร้าและความสำนึกผิด “ผมเคยจะได้เป็นพ่อคน” ทำว่า “เคย” มันช่างทารุณโหดร้าย

ข้างๆมีหมีขาวล่ำตัวหนึ่งนอนอยู่ ใบหน้าที่ดูไร้เดียงสาเกือบทำให้ผมรู้สึกเอ็นดู แต่....ที่ผ่านมาก็ทำกูไว้เยอะ!!

“ไบรต์ ตื่นเถอะ อาบน้ำแล้วไปทำงานกัน” ผมเขย่า เค้างัวเงียตื่น “ไปอาบน้ำก่อนไป” ผมไล่ ในใจก็สงสารเพราะเค้าเพิ่งหลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง ขอบตานั้นคล้ำลึกกว่าที่เจอกันเมื่อกี้เสียอีก เค้างัวเงียด้วยความเพลียสุดขีด

“ขออีก 10 นาทีได้มั้ย”

“ไม่ได้ ห้ามต่อรอง...” ผมใช้น้ำเสียงเด็ดขาด

“งั้นพี่อาบให้ผมนะ” พลาดละที่ไปเชื่อว่าเค้างัวเงียจริงๆ เพราะเค้าพุ่งมารวบตัวผมแล้วอุ้มเข้าไปในห้องน้ำ

“มอร์นิ่งคิส” เค้าพูดแล้วก็ระดมจูบผมยกใหญ่... สุดท้ายเราก็ใช้เวลาอาบน้ำไปเกือบ 50 นาที....

--------------------------------------------------------------------------------------

“อ้าว ไบรต์ มาตั้งแต่เมื่อไหร่” ไอ้คิ้วเป็นคนถาม “เมื่อคืนกลับไปแล้วนี่นา” พ่อกับแม่ผมไม่ว่าอะไร คงเริ่มชินกับนายคนนี้เข้าซะละผมมองหน้าไอ้น้องชายตัวแสบ ที่ถามนี่อยากให้เกิดประเด็นรึไง!!!

“อ๋อ พอดีเมื่อคืนนึกได้ว่าลืมของอะครับ เลยกลับมาเอา” นั่น ไอ้คนปลิ้นปล้อน “พอดีว่าดึก พี่คิงเลยให้ค้าง” กูไปบอกมึงตอนไหนฟะ!!!

“ทำไมคิงไม่เอาไปให้น้องที่ที่ทำงานล่ะลูก ให้น้องมาเอาทำไม” นั่น นายแม่ โยนบาปมาให้ผมอีกละ

“อ๋อ พอดีผมต้องทำรายการน่ะครับ มันต้องใช้ด่วน เมื่อเช้าผมก็รีบตื่นมาทำการบ้านแต่เช้า...”

การบ้าน!!! ผมอายหน้าแดง ไอ้คิ้วยิ้มเยาะจนผมต้องเตะขามันใต้โต๊ะ

“หยุดเล่นกันได้แล้วหนุ่มๆ โตป่านนี้แล้ว” แม่ผมดุ

“คิง...แม่รู้เรื่องทั้งหมดแล้วนะ” แม่ผมโพล่งขึ้นมา กาแฟในปากผมแทบพุ่ง เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ

“ระ รู้เรื่องทั้งหมด...” ผมหายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกเหมือนตัวเองหน้ามืดจะเป็นลม

“ใช่ พ่อก็รู้เรื่องด้วย” พ่อผมเสริมทัพ ชุดทำงานของพ่อยิ่งส่งให้พ่อน่ากลัว...

“ทำไมไม่บอกแม่...เราด้วยนะไบรต์” แม่ผมบ่นลูกนอกไส้ “ทำไมถึงพากันปกปิดแม่พ่อกันหมด”

ชิบ! ราวกับว่าบ่อน้ำตาผมพาลจะแตกเอาดื้อๆ “แม่รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว...” ผมกลืนกาแฟอีกอึกหนึ่ง “ได้ยังไงครับ”

ผมมองหน้าไอ้คิ้วสลับกับเค้า สองคนนี้ต่างพากันก้มหน้ากันหมด...ช่วยกันด้วยสิฟะ!!!

“ไม่ต้องรู้หรอกว่าแม่รู้จากใคร” ผมรู้ละ...ไอ้น้องชั่ว!!!

“แม่...ผมขอโทษครับ...พ่อด้วยนะครับ ที่ผมปิดบังเรื่องนี้...”

“แล้วเราปิดบังพ่อแม่ทำไมล่ะ” พ่อผมถามเสียงทุ้ม เส้นผมที่ดกหนาของพ่อร่วงจนดูบางไปหมด ผมจำไม่ได้แล้วว่าสมัยก่อนพ่อชอบไว้ผมทรงอะไร

ผมกลืนน้ำลายด้วยความฝืดฝาด ไม่มีใครช่วยอะไรได้แล้วตอนนี้... “ก็ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องโพทะนา...”

“คิดแบบนี้ได้ไง!!!” นั่นไง พ่อผมองค์ลงแล้ว “เห็นพ่อแม่เป็นอะไร พระอิฐพระปูนเหรอข้ามหัวกันไปมา”

ฮือ! ผมอยากร้องไห้ นายไบรต์ทำท่าจะมาจับมือผม...

“ใช่! เรื่องน่ายินดีแบบนี้ปิดพ่อแม่ทำไม” ผมตะลึง เค้าก็ไม่แพ้กัน ตอนนี้เรากำลังสบตากันอยู่

“หมะ หมายความว่า...พ่อกับแม่...” ผมไม่คิดว่าอะไรๆมันจะง่ายกว่าที่คิดไว้แบบนี้....

“ถูกต้อง! พวกเราดีใจมากเลยนะที่คิ้วกับฟางคบกัน”

ห๊ะ!!! อะไรนะ ผมตาเบิกโพลงอีกครั้ง

“ใช่ เมื่อคืนแม่คาดคั้นน้องชายตัวแสบของเราน่ะสิ ว่าไปเที่ยวกับใครอะไรยังไง เพราะช่วงหลังๆมานี้ทำตัวแปลกๆ” ผมอ้าปากค้าง รู้สึกโล่งใจแบบทะแม่งๆ

“สุดท้ายแม่ก็คาดคั้นจนรู้ว่าผมกับฟางคบกัน” เจ้าคิ้วสารภาพ “และบอกไปด้วยว่ามีใครรู้เรื่องบ้าง...ก็พี่กับไบรต์แค่นี้แหละ”

แสรดดดดดดดดดดดดด!! ไอ้เราก็นึกว่าเป็นเรื่องอื่น ผมถอนหายใจเบาๆไม่ให้ใครจับสังเกตได้

“ตาคิงนะตาคิง ปกปิดพ่อกับแม่มาได้” คุณนายศรีประจันต์บ่นอุบ

“พ่อน่ะดีใจมากเลยนะ ชวดลูกคนโต แต่ก็ยังได้คนรอง” พ่อผมหัวเราะร่วน

“แค่สัญญาของคนแก่ พ่อยึดมั่นถือมั่นทำไมเนี่ย” ไอ้คิ้วบ่น

“มันเป็นแค่สัญญาก็จริง แต่มันเป็นสัญญาลูกผู้ชาย เข้าใจมั้ยเจ้าคิ้ว” พ่อผมอธิบาย

“คนเราน่ะนะ ถ้าแค่คำสัญญายังรักษาไว้ไม่ได้ ก็อย่าไปหวังอะไรจากคนๆนั้นหรอกลูกเอ๊ย”

ผมสะอึก ความสำนึกผิดก่อตัวราวกับพายุ ความปั่นป่วนบิดมวนช่องท้อง

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมไปทำงานก่อนนะครับ” ผมลุกสวัสดีทั้งคู่แล้วเดินออกมา นายไบรต์ทำตามแบบงงๆและเดินตามมาติดๆ

ผมรักษาสัญญาของพ่อไม่ได้...ผมจะมีค่าอะไรอีกล่ะเนี่ย...

คิดแล้วอยากเตะกระสอบทรายระบายอารมณ์!!!






โปรดติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ตกใจหมดเลย..นึกว่างานเข้าแล้ว
เฮ้ออออ..พี่คิงน้องไบร์ทยื้อเวลารอดตัวไป

แต่ยังไงก็ต้องมีซักวันที่รู้
ทำใจรับมือ..หุหุ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไอ่ตัวหนา  คนที่มองเห็นจากหน้าต่างห้องชั้นสอง   ใครน้อ  เฟียซ ใช่ป่ะ?

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ขอจนจบหน่อยนะ..จะรอ ตาม ๆ ๆ  o13

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
หายไปนานเกิ้นนนนนนนน
อยากอ่านต่อ..จะตายแล้ว

ต่อเหอะ..นะนะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

รอคอยเธอมาแสนนาน  ทรมานหนักหนา .........

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน


Chapter 41 : งอน

พี่ภูมิโทรมาตอนจังหวะที่ผมกำลังจะออกตัวพอดี “ครับพี่” เมื่อวานเอ็นแกฉีกตอนเตะฟุตบอลหมอให้พักวันนึง เลยมีเวลาว่างมาไล่ยอดขายเซลล์ ซึ่งยอดหายผมหายไป...

“อ๋อ อีก 2 เจ้า...ผมคิดว่าปิดยอดได้นะครับ วันนี้วันที่ 30 ยังไหวพี่” แกอยากให้ผมปิดยอดอีกนิดหน่อยในเขต

“งั้นผมไม่เข้าออฟฟิศนะครับ พาน้องฝึกงานไปด้วยนะ” เราคุยกันแป๊บนึง วางแผนว่าจะไปที่ไหน

“ไปไหนอีกอะครับวันนี้” เสียงเค้าแหบอีกแล้ว ท่าทางเพลียจัดเพราะเมื่อคืนนอนน้อยแถมเมื่อเช้าก็...

“ไปปิดยอดหน่อย เหลืออีกนิดเดียวเอง” ผมควานหาแผนที่ในรถ “ไปปราจีนบุรีแล้วก็แปดริ้ว”

 บริษัทผมจะมีเป้าการขายให้พนักงานทุกคนครับ (ผมคิดว่าตอนนี้ที่อื่นๆก็ยังเป็นแบบนี้) ระบบการทำงานของเราคือ จะขายสินค้าผ่านร้านค้าตัวแทนจำหน่าย พอตอนปลายปีก็จะทำแผนการขายรายเดือนให้กับร้านค้าในปีหน้า เช่นประมาณเดือนกันยายนหรือตุลาคม 2556 ก็ต้องทำแผนการขายทั้งปีของปี 2557 พอเรารู้แล้วว่าแต่ละร้านได้เป้าเท่าไหร่ ก็จะแยกย่อยเป็นรายเดือนให้อีกที ในแต่ละเดือนก็ไม่เท่ากันอีก บางเดือนมาก บางเดือนน้อยก็แล้วแต่ช่วง ถ้าเดือนไหนถึงเป้าก็ไม่มีปัญหาอะไร ยิ่งเกินเป้าเรายิ่งชอบ เพราะยิ่งทำให้ผลงานเราดี บางครั้งเราก็โอนยอดขายของเดือนที่ผ่านมามาโปะในเดือนถัดไป(ถ้าเรามองว่าเราจะตกเป้านะ) แต่ของผมไม่ค่อยเกินเป้า มีแต่คาบเกี่ยว เพราะเป็นตลาดที่แข่งกันสูง มีร้านค้าเยอะ แต่ละร้านเลยมียอดกันคนละนิดๆหน่อยๆ ถ้าเดือนไหนตกเป้าก็แย่หน่อย ผมต้องเร่ร่อนออกไปคุยกับร้านค้าเองเพื่อขอให้รับของ เช่นเดือนนี้...

                อาจมีคนสงสัยว่า ผมเป็นถึงผู้ช่วยผู้จัดการนะ ทำไมต้องทำเอง...บางอย่างเราก็ปล่อยให้เซลล์ในพื้นที่จัดการนะครับ เพราะผมก็อยากให้พวกเขามีเครดิต แต่ในภาวะตกระกำลำบากแบบนี้ก็เกินความสามารถของเขา พวกหัวหน้าก็ต้องออกโรงเองตามลำดับขั้น ถ้าวันนี้ผมไปเจรจาแล้วไม่ได้ผล พรุ่งนี้พี่ภูมิก็ต้องลากขาเจ็บๆของแกไปแทน...แต่โชคดีที่เราทำสำเร็จ เพราะสองร้านที่ตกเป้าวันนี้เค้าลืมแฟ็กซ์ใบสั่งสินค้ามาให้ ผมเลยรับด้วยตัวเองและยิ้มลอยตัวเดินออกมา

---------------------------------------------------------

“ขอบคุณที่มากันนะครับ” หมอยิ่งยศขยับขอบแว่นตา ถึงแม้อายุเข้าเลข 4 แต่ความหนุ่มแน่นก็ยังทำให้ดูดี การออกกำลังกายสม่ำเสมอส่งผลให้ดูแข็งแรงกว่าเพื่อนๆในวัยเดียวกัน เขาจ้องมองแพทย์หนุ่มรุ่นน้องที่เกาะกุมมือแฟนสาวท่าทางรักใคร่ ใบหน้าสละสวยนั้นดูเกร็ง แต่ก็ยังไม่ทิ้งมาดของคนสวย

“ผลเป็นยังไงบ้างครับพี่หมอ” นรินทร์หมอหนุ่มอนาคตไกล นอกจากหน้าตาดีแล้ว ความสามารถยังหาตัวจับยาก ทั้งคู่สนิทสนมกันตามประสา “แพทย์ร่วมงาน” เขานึกถูกคอหมอหนุ่มคนนี้เพราะเป็นคนจริงจัง ทุ่มเทกับการรักษา และมีน้ำใจ

หมอยิ่งยศเพ่งผลตรวจนั้นอีกครั้ง ความพยายามครั้งล่าสุดของนรินทร์ทำให้เขานับถือ ถึงแม้ผลตรวจสเต็มเซลล์ของญาติคนไข้ที่ผ่านมาจะไม่เหมาะที่จะทำการปลูกถ่ายไขกระดูกแต่นรินทร์ก็ไม่สิ้นความหวัง ความรักทำให้ชายคนนี้มีกำลังที่จะต่อสู้ให้กับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “จากผลการตรวจ...” เขาอ่านมันอย่างช้าๆอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าผลที่ได้เป็นแบบนี้จริงๆ เขาถอนหายใจ ทั้งสองคนที่นั่งตรงข้ามต่างมีสีหน้าลุ้นระทึก

“เราเจอคนที่เลือดเข้ากันได้แล้ว”

------------------------------------------------------------

“จะกลับเลยเหรอ นี่เพิ่งจะบ่ายเอง” พวกเราออกจากบ้านผมประมาณเจ็ดโมงครึ่ง มาถึงศรีมหาโพธิ (อ่านว่า สี มะ หา โพด) ที่ปราจีนก็เก้าโมงปลายๆ (ผมเหยียบแหลก โดยมีนายไบรต์หลับอยู่ข้างๆให้กำลังใจ รถไม่ติดด้วยเพราะผมขับเลี่ยงเมืองออกมา) คุยกับรายแรกแบบรีบๆเพราะเถ้าแก่มีลูกค้า ออกจากร้านก็สิบเอ็ดโมง ขับไม่ไม่ไกลก็ถึงอีกร้านที่พนมสารคาม(ฉะเชิงเทรา) รายนี้คุยนานหน่อย โม้แหลกเรื่องลูกสาวเพิ่งรับปริญญาเมื่อตอนต้นปีที่เชียงใหม่แล้วก็บินไปเรียนภาษาที่อเมริกาอีกไม่กี่เดือนก็จบ ผมฟังแกเล่าด้วยความเบิกบาน (เราถูกสอนมาให้อดทนและเบิกบานต่อหน้าลูกค้าถึงแม้ว่ามันจะน่าเบื่อแค่ไหนก็ตาม) พอได้ออร์เดอร์มา ผมก็แทบจะลุกแล้วบึ่งรถกลับกรุงเทพทันที

“อ้าว ไม่กลับแล้วจะอยู่ทำไมล่ะคร้าบ” ผมทำเสียงประชดในที

“ไปเที่ยวก่อนดิ มาแปดริ้วทั้งที ข้าวก็ยังไม่ได้กิน” ลูกค้ารายนี้งกครับ ไม่ค่อยพาเซลล์ไปกินข้าวหรอก

“เออ งั้นเดี๋ยวพาไปกิน” ผมขับรถออกมาเส้น 304 พอแยกแรกผมก็เลี้ยวเข้าไปในตลาดพนมสารคาม ที่นี่เป็นอำเภอเล็กๆที่ไม่เล็ก มีของที่เราอยากได้เกือบครบเหมือนกรุงเทพ ผมจอดรถข้างทาง ตอนบ่ายแบบนี้คนไม่ค่อยออกมากันเท่าไหร่

ผมพาเค้ามานั่งในตลาด ร้านอร่อยประจำตัวผมเอง “อะไรอะครับ” เค้าถามหน้าตาสงสัยหนักบอกว่าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

“ปากหม้อไง ของขึ้นชื่อเลยนะ ไม่เคยเห็นเหรอ”

เค้าส่ายหัว “กินยังไงอะ”

“ก่อนอื่นต้องสั่งน้ำซุปก่อน” ผมสั่งน้ำซุป วันนี้มีแข้งไก่ ลูกชิ้น กระดูกหมูและเลือด

ผมสั่งกระดูกหมูกับลูกชิ้น เค้าสั่งตาม

“จากนั้นก็ดูว่าชอบกินไส้อะไร” ผมชี้ไปที่ถ้วยเล็กๆหกใบที่วางเรียงกันแถวละ 3 ในนั้นมีไส้ของปากหม้อนอนนิ่งอยู่ มีทั้ง ถั่วลิสงหวานใส่มะพร้าว หน่อไม้ ผักชี เต้าหู้สับใส่หมู ถั่วงอกและผักเขียวๆอีกอย่างที่ผมไม่รู้จัก “ผมเอาทุกอย่าง ยกเว้นถั่วกับเต้าหู้นะครับ..เอาอะไรบ้างนายน่ะ”

เค้าหน้าเบ้ สงสัยเพราะไม่รู้จะกินอะไรจริงๆ “เอาหมดละกัน ลองดู” ไม่วายจะขยิบตาให้ผมทีนึง

ข้าวเกรียบปากหม้อของพนมสารคามขึ้นชื่อนะครับ ร้านจะเป็นแผงแบกะดินวางตามฟุตบาทหรือในตลาดแบบนี้ ที่นั่งจะจัดง่ายๆมีโต๊ะเตี้ยๆพอนั่งแล้วไม่ถึงหน้าอกพร้อมเก้าอี้คนแคระโต๊ะนึงประมาณ 4 ที่ ตรงกลางโต๊ะจะมีเครื่องปรุงก๋วยเตี๋ยวให้เราปรุงน้ำซุป มีผักอะไรสักอย่างซอยกับกระเทียมเจียวของโปรดผมกระปุกเบ้อเร่อตั้งอยู่ ผมเคาะใส่เกือบครึ่ง เค้ามองมาแบบหยามเหยียด โต๊ะนี้จะเรียงอยู่รอบๆแม่ค้า ที่นั่งอยู่หน้าเตานึ่งฝั่งหนึ่ง(ซ้ายหรือขวาตามความถนัดของแม่ค้า) มีที่ใส่แป้งปากหม้อใบใหญ่ตั้งไว้ใกล้มือ อีกฝั่งหนึ่งเป็นไส้ต่างๆ แม่ค้าจะคอยนับเอาว่าแต่ละคนเอาอะไรไม่เอาอะไรบ้างแล้ววนๆมา นับตามตัวเช่น 6 ตัว 20 บาท ใครอิ่มไวก็ชุดเดียว ใครไม่อิ่มก็หลายชุด ผมกินไปสองก็อิ่ม เพราะน้ำซุปมีซี่โครงหมูที่ผมชอบแทะเนื้อบวกกับลูกชิ้นที่ได้มาก็เต็มคราบ

ส่วนนายนั่น...จากเก้ๆกังๆในครั้งแรก ก็ซดไปหลายชุดอยู่ แม่ค้าต้องเติมซุปให้อีกรอบถึงจะอิ่ม ไม่เพียงแค่นั้น...จัดห่อกลับบ้านอีก 3 ชุดใหญ่...

“เอาไปฝากที่บ้านพี่ไง” แหม๊!!! รู้จักเข้าหาผู้คนเสียจริง!

----------------------------------------------------------------------

“หลังจากนี้เราต้องตรวจร่างกายคุณโสภิดานะครับ เพื่อดูว่ามีโรคแทรกซ้อนอื่นๆหรือเปล่า” เขามองทั้งสองคนที่มีสีหน้าโล่งใจแล้วตอนนี้ สองมือเกาะกุมแน่นทำให้น่าซาบซึ้งในความรักที่มีให้กัน หมอยิ่งยศคิดถึงนัท ภรรยาหมาดๆของเขา ป่านนี้คงจะมุ่งมั่นทำงานอยู่

“ขั้นตอนนี้นายรู้ดีนะนริทนร์ เอาไว้อธิบายให้คุณโสภิดาฟังเพิ่มเติมที่หลังนะ” เขาเอ่ยกับหมอหนุ่มรุ่นน้อง “ที่ต้องตรวจหาโรคแทรกซ้อนเพราะก่อนที่จะปลูกถ่ายไขกระดูก เราต้องใช้เคมีบำบัด” เขามองหน้าหญิงสาวที่ดูมึนงง อาจเพราะความตื่นเต้นหรือไม่ก็เพราะยังไม่คุ้นชินกับการรักษาแบบนี้ “เคมีบำบัดหรือที่เรียกทั่วไปว่าคีโมน่ะครับ” เขาเสริม

“เราจะใช้เคมีก่อนแล้วจึงปลูกถ่ายไขกระดูกให้ร่างกายสามารถสร้างเม็ดเลือดปรกติได้” ทั้งสองคนนั่งฟังอย่างตั้งใจ เขาพูดต่อ “คุณโสภิดาต้องรักษาร่างกายให้ดี อย่าให้มีการเจ็บป่วยมากระทบได้ในช่วงนี้ ที่สำคัญ อาหารจำพวกโปรตีนยังจำเป็นที่สุดเสมอ” หญิงสาวพยักหน้ารับคำ ใบหน้าขาวซีดเซียวนั้นดูมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างเมื่อรู้ข่าวนี้

“ทำไมต้องปลูกถ่ายไขกระดูกด้วยคะ ไม่มีทางอื่นเลยเหรอ”

“มีครับ แต่วิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่จะหายขาดได้” หมอนรินทร์ตอบแทน เขายิ้มด้วยท่าทางผ่อนคลาย

“แล้ว...ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่คะ” หญิงสาวถามต่อ

“ผมบอกไม่ได้ครับ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนป่วย บางคนอาจจะหกเดือน บางคนอาจจะนานกว่านั้น” หญิงสาวเม้มปาก “เราถึงต้องตรวจร่างกายกันก่อน หากคุณโสภิดามีสุขภาพที่พร้อมต่อการรักษา เราก็สามารถเริ่มได้เลย”

“คุณต้องหายครับคุณเฟียซ” หมอนรินทร์กุมมือหญิงสาว ปลอบประโลมด้วยคำพูดที่อบอุ่น

“แล้ว คุณหมอบอกได้มั้ยคะ ว่าใครเป็นคนบริจาคไขกระดูกให้ดิชั้น”

เขาวางแฟ้มลง ถอดแว่นตาวางบนโต๊ะทำงาน “ผมเกรงว่าจะไม่ได้ครับ เพราะเป็นผู้บริจาคนิรนาม”

-----------------------------------------------------------------------------

ชายหนุ่มเฝ้ามองคนรักด้วยความห่วงใย ความมิดดำในชีวิตของเธอเหมือนจะผ่านพ้นไปได้หมดสิ้นแล้ว...เขาตักเนื้อไก่ให้เธอ “พอก่อนค่ะคุณหมอ” เธอยิ้มจางๆมาหา “แค่นี้ก็ล้นจานไปหมดแล้ว”

“ไม่ได้นะครับคุณเฟียซ พี่หมอยิ่งยศบอกแล้วว่าต้องโปโปรตีนเยอะๆ” เธอไม่เถียงอะไรเขา ตักไก่ผัดเม็ดมะม่วงของโปรดของเขาเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

“คุณหมอจ้องแบบนี้ เฟียซเขินหมดนะคะ” เธอเปลี่ยนสรรพนามโดยเรียกชื่อตัวเองแทนคำว่า ฉัน ชั้นหรือดิชั้นตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ แต่หมอหนุ่มกลับชอบใจ

“ผมก็อยากมองคนที่ผมรักตลอดเวลานี่ครับ”

“บ้า คุณหมออะ” หน้าขาวซีดเต็มไปด้วยเลือดฝาด

“ผมไม่มองแล้วก็ได้ครับ อย่าเขินเลย กินต่อเยอะๆนะครับ”

“คุณหมอก็กินด้วยสิคะ” เธอตักกับข้าวมาให้เขาบ้าง

“ผมไม่กินหรอก”

“อ้าวทำไมล่ะคะ” เธอถามด้วยความสงสัย

“ก็คุณเฟียซไม่ยอมเรียกผมว่า พี่เบสต์ซะที” ชายหนุ่มแสร้งทำงอน “ผมน้อยใจนะครับ”

“บ้า คุณหมอก็” เธอหน้าแดงกว่าเดิม “ก็มันไม่ชินนี่คะ”

“น่า นะครับคุณเฟียซ อย่าเรียกผมว่าคุณหมอเลย ฟังดูห่างเหินเกินไป” เขาเอื้อมมือไปจับมือหญิงสาวไว้

“นะครับ...เรียกผมว่าพี่เบสต์นะ” *หรือไม่ก็เรียกว่า ที่รักก็ได้...*เขาคิด

“ก็ได้ค่ะ...พี่เบสต์”...ใบหน้าขาวซีดนั้นแดงก่ำ

ตอนนี้เบสต์อยากตะโกนให้โลกรู้ ว่าเขารักเธอมากเพียงใด

-----------------------------------------------------------------

“เมื่อกี้พี่ขอพรอะไรจากหลวงพ่อบ้างอะครับ” เค้าถามหลังจากอยู่ในรถแล้ว พวกเราเพิ่งออกจากวัดโสธรมา

“ของแบบนี้ใครเค้าบอกกันบ้างล่ะ บอกไปก็ไม่ขลังอะดิ” ผมตอบเค้าแบบกวนๆ

“โหย ทำเป็นมีความลับ” เค้าหน้ามุ่ย ทำงอนงอแงเป็นเด็กอีกแล้ว

“อย่าทำเป็นงอนเลย พี่ไม่ง้อหรอก โกรธไปก็เสียเวลาเปล่า”  เรื่องแบบนี้ใครจะบอกล่ะ

“ทีผมยังบอกพี่เลยว่าขออะไร”

“แล้วใครให้มาบอกล่ะ” ผมกวนกลับ “พี่ไม่ได้ถามซะหน่อย”

เค้ากอดอก เสมองนอกหน้าต่าง ผมแอบมองและนึกขำ ผู้ชายตัวเท่าตึกทำงอนเป็นเด็ก

“ผมขอหลวงพ่อ ให้พวกเรารักกันนานๆ” นั่นเป็นสิ่งที่เค้าบอกผมตอนที่เดินมาที่รถ วันนี้คนมาไหว้หลวงพ่อยังคลาคล่ำ ถึงแม้จะเป็นวันธรรมดาก็ตาม ผมได้แต่กระอักกระอ่วน มาบอกกลางอากาศแบบนี้เป็นใครก็ตั้งตัวไม่ติด

เค้ายังนิ่งอยู่...

“ไบรต์...อยากกินน้ำมะพร้าวมั้ย” ผมจอดรถข้างทาง “พี่จะลงไปซื้อ ถ้าจะกินก็ตามมา” เค้าดูงอนๆไม่สนใจผม

“งอนได้งอนไปนะ ไม่ลงมาพี่ก็ไม่ซื้อให้” ผมดับเครื่องและเดินลงจากรถ แถบนี้จะมีมะพร้าวเผาขายตามข้างทางหาซื้อไม่ยาก ผมชอบมะพร้าวลูกกลางๆ มีกลิ่นหอมๆและเนื้อไม่แข็งมาก หลังจากที่เลือกๆได้สักพัก เค้าก็เดินมาสมทบ

“ซื้อให้จริงๆนะ” เค้าทำเสียงอ่อยๆ สงสัยจะยอมแพ้ที่ผมไม่ยอมง้อ

“อืม อยากกินมั้ยล่ะ” ผมยื่นลูกที่พ่อค้าเฉาะแล้วให้ “เย็นๆจะได้ชื่อใจ” ผมยิ้มให้

“ไม่รู้ทำไมผมถึงต้องแพ้รอยยิ้มแบบนี้ไปซะทุกทีเลยเนี่ย” เค้ารับไปอย่างเสียไม่ได้ และดื่มอึกใหญ่

“อร่อยแฮะ” นายนี่สงสัยจะลิ้นจระเข้ กินอะไรเป็นอร่อยไปหมด “ขออีกได้ปะครับ” เค้าควักเนื้อมะพร้าวและโยนเข้าปาก

“พอได้ของกินก็หายงอนเลยนะ” ผมแซว “เอ้านี่ อีกลูกนึง”

“ไม่หายงอนหรอก แต่ก็ไม่รู้จะงอนไปทำไมเพราะใครบางคนแถวนี้ไม่สนใจ” นั่น ตัดพ้ออีก

ผมจ้องหน้าเค้า ไม่รู้จะเหมือนกันว่าจะต้องพูดยังไง ผมสังเกตพ่อค้ายิ้มแบบกรุ่มกริ่ม...

“อิ่มแล้วก็ไปเถอะ” ผมลากเค้ากลับที่รถ เค้าดึงถุงมะพร้าวเผาไปถือเองแล้วตอนนี้

“พี่ก็เป็นซะอย่างงี้ทุกที”

“เป็นยังไงวะ” ผมสตาร์ทเครื่องแล้วออกตัว

“ก็...ชอบเขินต่อหน้าคนหมู่มาก”

“หุบปากไปเลย” ผมสั่ง “แล้วก็กินมะพร้าวไป!” เค้าแลบลิ้นยิ้มแหยๆแล้วจัดการกับเนื้อมะพร้าวต่อ

กว่าจะถึงเขตกรุงเทพก็เกือบสี่โมง ผมเลยตัดสินใจไม่เข้าบริษัท ตรงดิ่งกลับบ้าน นายไบรต์ก็ขอตัวกลับคอนโดก่อน

“ผมนัดน้องกายติวน่ะครับ”

“ไม่ต้องบอกหรอก ไม่ได้สนใจ” ผมขับรถเข้าบ้านด้วยความหงุดหงิด






โปรดติดตามตอนต่อไป...

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...แอบหึงป่าวเอ่ย  แค่คนน้องบอกจะติว...แค่เนี้ยะ มีสะบัดเสียง

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ติวอะไรก็ไม่กลัวเท่า..ติวกันบนเตียง
เพราะว่ากายก็เป็นคนเคย..เคย

ตับ..ตับ..ตับ..ตั้บๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แล้วติวกันสองคนในห้อง

ฮ่าฮ่า ใครจะไปไว้ใจได้สนิท..บ้าแล้ว
ความระแวงไม่เข้าใครออกใครหรอกนะ เทวดาไบร์ท

ตะเองก็เป็น
กร๊ากกกกกกก

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน


Chapter 42: แรงหึง

                หมอยิ่งยศมาสมทบกับคู่รักหนุ่มสาวที่กำลังนั่งทานข้าวอยู่ในร้านอาหารใกล้กับโรงพยาบาล การเจอกันครั้งนี้เป็นเรื่องบังเอิญ เขาคิดว่าทั้งคู่กลับไปนานแล้วหลังจากรับฟังทุกอย่างครบ

“อ้าว คุณหมอ มาทานข้าวเหมือนกันเหรอคะ” ฝ่ายหญิงทักด้วยท่าทางและน้ำเสียงสบายใจมากกว่าเดิม ยิ่งยศสังเกตว่าทั้งคู่จับมือกันอยู่ก่อนจะผละออกจากกันเมื่อเห็นตน

“ครับ พอดีผมเพิ่งได้พัก” เขาตอบ “นี่คุณนิชา แพทย์หญิงอนาคตไกลของแผนกครับ” แล้วแนะนำเพื่อนร่วมอาชีพที่เดินมาด้วยกันให้ทั้งคู่ ฝ่ายหญิงกล่าวทักทายตามปรกติ ยกเว้นอีกคนหนึ่ง

“นิด” ท่าทางนรินทร์ประหลาดใจเหมือนรู้จักกันมาก่อน ท่าทางกระอักกระอ่วนนั้นชัดเจน

“เบสต์!” นิชาทักทายอย่างคุ้นเคย “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” ฝ่ายชายลุกขึ้นโดยมีนิชาเข้าไปสวมกอด

“อ้าว ทั้งสองคนนี้รู้จักกันด้วยเหรอ” หมอยิ่งยศถามด้วยความประหลาดใจ

“ใช่ค่ะพี่หมอ เบสต์เป็นเพื่อนเก่าสมัยม.ปลายแล้วค่ะ” นิชาตอบฉะฉาน ความมั่นใจตามแบบฉบับของหญิงสาวสมัยใหม่ บวกกับค่านิยมที่เปิดเผยตามแบบนักเรียนนอกทำให้เธอมีเสน่ห์ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเกินพอดี

“โอ้ โลกช่างกลมจริงๆ” หมอยิ่งยศอุทานทีเล่นทีจริง สังเกตหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้วยความอึดอัดใจแบบปิดไม่มิด

“ใช่ค่ะ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะเจอเบสต์ที่นี่” นิชาคลายอ้อมกอด ฝ่ายชายมีสีหน้าลำบากใจเมื่อเห็นคนรักนิ่งเงียบ

“เชิญนั่งสิครับ” นรินทร์เชิญทั้งคู่นั่ง ถึงแม้จะเป็นตามมารยาทแต่นิชาก็ไม่ตะขิดตะขวงใจ เขาเลยต้องนั่งด้วย

“นานเท่าไหร่แล้วเนี่ยที่ไม่ได้เจอกัน” นิชาเปิดชุดคำถาม

“อืม นับปีนี้ด้วยก็ 10 ปีได้แล้วมั้ง” หมอเบสต์ตอบ พลางชำเลืองไปทางคนรัก

“นี่แฟนเหรอ” หญิงสาวถามต่อ “สวัสดีค่ะคุณ...”

“เฟียซค่ะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณเฟียซ” นิชาสบตาแล้วหันมาคุยกับอีกฝ่าย “มีแฟนแล้วก็ไม่บอกกันบ้างเลยนะ” เธอจับแขนล่ำนั้นแน่น

“ปล่อยให้เรารอเก้อตั้งนาน นึกว่าจะกลับมาแต่ดันมีแฟนใหม่ไปซะได้” หมอพิสุทธ์ตกใจไม่แพ้กับหญิงสาวอีกคน

“คุณทั้งสองเป็นแฟนกันมาก่อนเหรอคะ”

“อ๋อ ใช่แล้วค่ะคุณเฟียซ เราคบกันตั้งแต่สมัยเรียนม. 5” อีกฝ่ายหนึ่งตอบ น้ำเสียงมั่นใจยิ่งทำให้เหมือนกำลังเยาะเย้ย “เราคบกันจนเข้ามหาลัยน่ะค่ะ กี่ปีนะเบสต์” เธอทำท่าครุ่นคิด “ 7 ปีสิเนอะ เพราะเราเลิกกันตอนก่อนจบปีหก”

“อืม” ชายหนุ่มรับคำแค่สั้นๆ และไม่มีใครถามว่าทำไมถึงเลิกกัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความงุนงงและความมึนตึง เฟียซทำลายความเงียบโดยการขอตัวไปเข้าห้องน้ำ

“ขอไปด้วยคนนะคะคุณเฟียซ” นิชาลุกขึ้นโดยไม่ฟังคำตอบของอีกฝ่าย...

-----------------------------------------------------------------------------

                ผมจอดรถ แหงนมองที่ตึกสูงนี้ “จะมาทำไมวะ!!” ผมด่าตัวเอง “เค้าแค่ติวกันเฉยๆ” สมองผมกลับฉายภาพทั้งสองคนก่ายกอดกันโดยไม่ใส่เสื้อผ้า ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน มันรบกวนจิตใจผมตั้งแต่กลับไปถึงบ้าน ทำอะไรก็ไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างดูขวางหูขวางตาไปหมด

                ผมกดลิฟต์ ชั้น 18 หมดเวลาละล้าละลังว่าจะขึ้นไปดีไหม

ถ้าเค้าติวหนังสือกันจริงๆล่ะ....

แต่ถ้าเค้าติวอย่างอื่นกันล่ะ!!

ยิ่งคิดผมยิ่งหงุดหงิดใจ และรู้ตัวเองอีกทีก็อยู่หน้าห้องเค้าแล้ว

เอาวะ เป็นไงเป็นกันสิ...ผมเคาะประตู กลั้นหายใจและหาเหตุผลของการมาครั้งนี้

------------------------------------------------------------------

                เฟียซรู้ดีว่าตัวเองสู้นิชาไม่ได้เลย ทั้งรูปร่างหน้าตาและการศึกษา เธอชำเลืองแฟนเก่าของหมอนรินทร์ด้วยความรู้สึกน้อยใจและหึงหวง อีกฝ่ายแสร้งเติมแป้งรอเธอล้างมือ

“คุณเฟียซรู้จักเบสต์มานานแค่ไหนแล้วคะ?” อีกฝ่ายหนึ่งเปิดคำถาม ลิปติกสีเข้มขับความขาวของใบหน้าสวยนั้นจนเธอต้องอิจฉา

“หกเดือนค่ะ”

“หกเดือน!” น้ำเสียงนั้นดูไม่จริงใจ “...แล้วก็เป็นแฟนกันเลยเหรอคะ”

เฟียซไม่เข้าใจประเด็นของคำถามนั้น จะถามเพื่อหยั่งเชิงอะไรสักอย่างอย่างนั้นหรือ เธอเลือกที่จะไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มบางๆ

“เบสต์น่ะเป็นคนขี้สงสาร” อีกฝ่ายเก็บเครื่องสำอางค์แล้ว “ถึงภายนอกเค้าจะดูเคร่งขรึม แต่เค้าเป็นคนที่จิตใจดีมาก”

เธอแอบพยักหน้าเห็นด้วย หมอนรินทร์คือคนที่ภายนอกแม้จะดุดัน แต่การกระทำของเขามีแต่เรื่องดีงาม

“คุณนิชาต้องการบอกอะไรดิชั้นคะ” ได้เวลาที่เธอต้องเข้าประเด็นเสียที

“อย่าเข้าใจนิดผิดนะคะ” อีกฝ่ายหันมาสบตากับเธอ “นิดคิดว่า คุณทั้งสองไม่เหมาะสมกันเลย” เฟียซเม้มปากแน่น พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่คล้อยตามคำพูดของอีกฝ่าย “เบสต์น่ะขี้สงสาร บางทีเค้าอาจจะไม่ได้รักคุณจริงๆก็ได้*” ต้องนับหนึ่งถึงสิบ*...เธอบอกตัวเองแบบนี้ “นิดเห็นรายงานการรักษาของคุณแล้วนะคะ” อีกฝ่ายจู่โจมจุดอ่อน

“แล้วยังไงคะ”

“คุณไม่คิดว่ามันเป็นการเห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ ที่จะดึงใครสักคนมาอยู่ด้วยเพราะความสงสารที่คุณป่วย” คำพูดนั้นรุนแรงและชัดเจนในโสตประสาท “ปล่อยเบสต์ไปเถอะค่ะ ให้เค้าได้เจอคนที่...”

“คนที่อายุยืนกว่านี้...ใช่มั้ยคะ” เธอโต้กลับแบบตรงๆ ถึงแม้มันจะไม่กระทบอีกฝ่ายหนึ่งก็ตามที

“นิดไม่พูดนะคะ” นิชาคว้ามือเธอไปจับ สายตาดูแคลนนั้นทำให้เธอโมโห “แต่ก็ดีใจที่คุณเฟียซคิดเองได้”

เธอเห็นสายตานั้นยิ้มเยาะ น้ำเสียงเหยียดหยามนั้นทำให้เลือดภายในกายพลุ้งพล่าน

“ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะคุณนิชา” เธอดึงมือออก “ดิชั้นรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับพี่เบสต์” เธอสบตาอีกฝ่ายตรงๆแล้วพูดช้าๆ “แต่ดิชั้นก็คือคนที่พี่เบสต์เลือกแล้ว ดิชั้นคือปัจจุบัน ไม่ใช่อดีตแบบคุณ” เธอหันหลังกลับ ความโกรธยังลอยคลุ้ง

“คุณคิดเหรอว่าชั้นเป็นแค่อดีต...” อีกฝ่ายตะโกนตามมา “คุณนี่ช่างไม่รู้อะไรเลยจริงๆ”

เธอทิ้งอีกฝ่ายไว้เบื้องหลัง ถึงแม้จะมีท่าทางไม่สนใจ แต่คำพูดสุดท้ายของนิชายังกึกก้องในหู...

---------------------------------------------------------------

“อ้าว พี่คิงมาพอดี ผมว่าจะโทรหาพี่เหมือนกัน” เค้าเปิดประตูรับเค้าโดยมีน้องกายหลบอยู่ข้างหลัง

“ติวกันเสร็จแล้วเหรอ” ผมถาม

“ครับ กายก็กำลังจะกลับ เดี๋ยวเราไปหาอะไรกินกันนะ ผมชักหิวละ”

“ขอบคุณมากนะครับพี่ไบรต์ เดี๋ยวครั้งหน้าผมมารบกวนใหม่” กายกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงออดอ้อนโดยไม่สนใจผมเลยซักนิด

แหม่!! เห็นเราเป็นหัวหลักหัวตอชัดๆ

“อืม ได้เลยไม่มีปัญหา” เค้าตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง “กลับบ้านดีๆนะ” กายเดินผ่านผมโดยไม่ทักทายเลยสักคำ แว้บหนึ่งผมเห็นเขาแสยะยิ้มให้

นายไบรต์ได้ทีจูงมือผมเข้าห้องต้อยๆ “ทำไมพี่มาได้อะ ไหนบอกว่าจะนอนพักไม่ใช่เหรอ” เค้าถามแบบพาซื่อห้องเค้าค่อนข้างรกตามประสาหนุ่มโสด(แต่ปรกติห้องจะสะอาดมากนะ) ผมเลยไปนั่งบนเตียง

“มาหาไม่ได้เหรอ งั้นพี่กลับก่อนนะ” ผมทำท่าจะลุก (ไม่น่านั่งจุดนี้เลย ให้ตายสิ)

“เห้ยๆๆๆ ไม่ได้ๆๆๆ ไหนๆก็มาแล้ว” เค้ายิ้มยั่ว “คิดถึงผมเหรอ”

“ไอ้บ้า ใครจะคิดถึง”เค้าส่งตาหวานเยิ้มมาให้เลยตอนนี้ เอาสิ ส่งมาให้ตายกันไปข้างนึง

“หรือว่าพี่กลัวว่าผมกับกายจะ...มีอะไรกัน” เค้าเลื่อนหน้ามาประชิด ผมถอยร่น แต่ก็ไม่วายโดนเค้าจูบ ผมผลักตัวเค้าทิ้ง รู้สึกว่ากำลังนั่งทับอะไรสักอย่าง...

เพจเจอร์!!

“โหย ทำไมทิ้งเรี่ยราดแบบนี้เนี่ย ดีนะที่ไม่แตก” ผมบ่น ลูบๆคลำๆเพจเจอร์เครื่องเก่าคร่ำครึของเค้า

“มันเก่าแล้วครับ พี่อย่ากังวลไปเลย” เค้าให้กำลังใจ

“สมัยนี้เค้ามีมือถือกันหมดแล้ว นายก็ด้วย...แล้วทำไมยังเก็บเจ้านี่ไว้อีกล่ะ” ผมส่งมันให้ เค้าเอาไปวางที่หัวเตียง

“ของที่ระลึกจากพี่บั๊มพ์อะครับ” น้ำเสียงเศร้าอีกแล้ว

“โห ตั้ง 20 ปีแล้วเนี่ยนะ สมัยนั้นบ้านเรายังไม่มีเลยมั้งน่ะ”

“มีสิ แค่ไม่แพร่หลายเท่านั้นเอง พ่อกับแม่ซื้อให้เป็นของขวัญที่พี่บั๊มพ์กับพี่เบสต์ติดหมอ” เค้ามองเพจเจอร์เครื่องเก่าที่นอนแน่นิ่งตรงที่วางมันไว้

“มันยังใช้ได้เหรอ” ผมถาม

“ไม่ได้แล้วครับ อีกไม่นานก็คงพัง แล้วที่พี่มาหาผมเนี่ย เพราะว่าแค่ผ่านมาจริงๆเหรอ” ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนผ่าว  ดึงผ้าห่มมาบังตัว เพราะเค้ากำลังโถมทั้งตัวลงมา หน้าตากรุ้มกริ่ม...แล้วผมก็เจอบางอย่างที่ถูกวางไว้ใต้ผ้าห่ม

กางเกงใน!!!

แน่นอนไม่ใช่ของผม เพราะผมไม่มีกางเกงในสีเขียวสว่างแบบนี้

และแน่นอนไม่ใช่ของเค้า เพราะไซส์มันเล็กเกินไป...

เค้าหน้าซีด...ผมหน้าบึ้ง

“...” ผมไม่รู้จะพูดอะไร

“พี่คิง”

“พี่กลับล่ะ”

“อย่าเพิ่งสิครับ ฟังผมก่อน” ผมสะบัดตัวออกจากเค้า ความหงุดหงิดก่อตัวจนแทบคุมไว้ไม่อยู่

“ไบรต์ครับ ปล่อยพี่” ผมพูดช้าๆด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“พี่คิง...”

“ปล่อยครับ” ผมสะบัดตัวจนหลุดแล้วจ้ำพรวดออกจากห้อง เค้าคว้าตัวผมไปกอด ผมถองสีข้างแล้วประเคนเข่าเข้าชายโครงจนเค้าล้มตัวงอก่อนเดินออกมาด้วยความโมโหสุดชีวิต!!

ไอ้เชี่ย!! ไอ้....!!!

 ผมคิดหาคำอะไรมาด่าไม่ได้ สมองมันตื้อไปหมด...สุดท้ายก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆเค้ากับน้องกาย….

ผมเดินฉับๆไปที่ลิฟต์กดลงชั้นล่าง ลมหายใจหอบถี่ด้วยความโกรธที่เดือดพล่าน...

--------------------------------------------------------------

                เฟียซเดินกลับมาที่โต๊ะโดยไม่สนใจว่านิชาจะตามมาหรือเปล่า พอมาถึงเธอก็ขอตัวกลับอย่างกระทันหันจนสร้างความประหลาดใจให้สองหนุ่ม

“ผมไปส่งนะครับคุณเฟียซ” นรินทร์อาสา

“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณหมอ” เธอส่งน้ำเสียงห่างเหินมาให้ “ดิชั้นกลับเองได้” เธอคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไป

หมอหนุ่มเห็นอาการแบบนี้ก็รู้ได้ว่าต้องมีเรื่อง เขาขอตัวกับนายแพทย์รุ่นพี่ก่อนจะเดินตามออกมา

“แหม รีบตามเชียวนะ” เสียงคุ้นเคยทักมาจากด้านหลัง ชายหนุ่มหันขวับ

“นิด คุณทำอะไรคุณเฟียซน่ะ” ชายหนุ่มถามเสียงแข็ง ค่อนข้างมั่นใจว่าความรู้สึกของเขาถูกต้อง

“ไม่มีอะไรหรอก คุยตามประสาสาวๆไง” นิชาขยิบตาให้ เขารู้ทันทีว่าเธอทำอะไรลงไป

“วันหลังผมจะมาคิดบัญชีกับคุณ”

“รีบๆมานะคะเบสต์ ชั้นรออยู่” หญิงสาวหัวเราะก่อนเดินกลับไปที่โต๊ะ ปล่อยหมอหนุ่มวิ่งตามคนรักไปด้วยความเร็วแสง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด