มาแล้วครับผม บังเอิญรักโดยตั้งใจตอนที่ 36
แอบมาสปอยว่า เรื่องนี้มีทั้งหมด 53 ตอนนะครับ นี่ก็ครึ่งเรื่องกว่าๆแล้ว
ปมจะค่อยๆคลายไปทีละเปราะนะครับ อีกไม่นานความจริงทุกอย่างก็จะเปิดเผย
หากชอบเรื่องนี้ของไรต์ ก็อย่าลืมเม้นต์ให้กำลังใจกันด้วยนะครับ
และขอฝากนิยายอีกเรื่องหนึ่งที่ไรต์เขียนอยู่ด้วย คือ จะรักนายเท่าชีวิต
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64729.0ซึ่งหากใครติดตามอยู่จะรู้ว่าสองเรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกันอยู่ด้วย....
Chapter 36: ความสุขและความเจ็บปวด
เฟียซนั่งรอหมอหนุ่มที่กลับมาเอาของในห้องทำงาน เธอเคยมาที่นี่หลายครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ครั้งแรกคือหวาดกลัว แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าเดิม คงเป็นเพราะไม่ต้องลุ้นเรื่องการตรวจของตัวเองแล้วก็เป็นได้... บนโต๊ะทำงานของเขายังเรียบร้อยเหมือนเดิม มีคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ตั้งไว้ ถัดไปเป็นป้ายทำจากไม้สลักชื่อ สกุลพร้อมตำแหน่ง ถัดมาเป็นกรอบรูปที่หันไปทางเจ้าของโต๊ะซึ่งเธอไม่เคยละลาบละล้วงแตะต้องข้าวของใดๆเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ครั้งนี้เฟียซกลับถือวิสาสะหันรูปนั้นกลับมา...
ห้าชีวิตในรูปนั้นยิ้มแย้มมีชีวิตชีวา ชายหญิงสองคนที่อายุมากน่าจะเป็นพ่อและแม่ยืนอยู่ด้านหลัง คนถัดมาเธอจำได้เพราะรอยยิ้มน้อยๆที่คุ้นชิน เขาในวัยเด็กต่างจากตอนนี้ค่อนข้างมาก แต่เค้าโครงหน้ายังเหมือนเดิม เพียงแต่วัยที่มากขึ้นทำให้มีริ้วรอยของประสบการณ์ตามแบบผู้ชายที่เริ่มมีอายุ ใบหน้าที่มีความหล่อเหมือนถูกเติมเต็มมากขึ้นด้วยตามกาลเวลา แก้มไม่ตอบเหมือนก่อน ความซูบซีดหายไป เหมือนกับว่ายิ่งโต เสน่ห์ก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย ตรงกลางเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกัน เธอเดาว่าน่าจะเป็นไบรต์ ส่วนอีกคนที่หน้าเหมือนกันกับเขาอย่างน่าตกใจ “คุณหมอคะ...นี่ใครคะ” เธอถาม
“อ่อ เค้าชื่อบั๊มพ์ครับ เป็นน้องชายผมอีกคน” เขาตอบ ยังง่วนอยู่กับการหาของในล้นชัก
“น้องชาย...อีกคน...” หญิงสาวหน้าซีด ความหลังครั้งเก่าโถมเข้ามาเหมือนคลื่นยักษ์ เธอผะอืดผะอมที่ต้องถามต่อ “ชื่อจริงว่าอะไรอะคะ”
“นายบั๊มพ์เหรอ...นริศครับ”
“เค้า ไปไหนแล้วคะ” เฟียซปรับเสียงให้เรียบ
“เค้าเสียไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วแล้วครับ” นรินทร์ตอบ
“เค้าเสียวันที่ 12 สิงหาคม ใช่มั้ยคะ” น้ำเสียงสั่นเครือ ภาวนาอย่าให้เป็นดังที่คิดไว้
“ใช่ครับ คุณเฟียซรู้ได้ไงเนี่ย...อ๊ะ เจอแล้ว” เขายื่นของที่หามาให้ มันเป็นของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีฟ้า ผูกโบว์เล็กๆ
“คุณเฟียซ เป็นอะไรไปครับ” เขาถามด้วยความตกใจ เมื่อเห็นผู้หญิงคนข้างหน้ากำลังร้องไห้
“หมายความว่ายังไงคะ...น้องชายคุณ...” เธอหลับตา พยายามป้ายน้ำตาทิ้งให้หมด
“คุณเฟียซ...” แล้วเขาก็นึกได้ เธอรู้แล้ว เธอรู้แล้ว...ทั้งคู่หน้าซีดราวกับกระดาษไม่ต่างกัน
“น้องชายคุณ คือคนที่ขับรถชนพ่อชั้น...ใช่มั้ยคะ?” น้ำเสียงนั้นเจ็บปวด เธอคิดมาโดยตลอดว่าเขาแค่คนหน้าคล้ายชายหนุ่มในวันนั้น ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่คนรู้จัก แต่ไม่คิดว่ามันจะบังเอิญจนทำใจไม่ได้...น้ำเสียงเธออ่อนแรง เต็มไปด้วยความหวังว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง
“คุณเฟียซ...” ท่าทางเขาอึกอัก ยิ่งเห็นยิ่งรับรู้ได้ว่ามันคือเรื่องจริง...
“ชั้นขอตัวก่อนดีกว่านะคะ...” เธอลุก เขาลุกตาม “ขอร้องล่ะค่ะคุณหมอ อย่าตามชั้นมาเลยนะคะ”
เฟียซพูดด้วยความเจ็บปวด มันเจ็บเกินกว่าจะทนรับได้ เมื่อรู้ว่าคนที่พรากลมหายใจของพ่อสุดที่รักของตนคือน้องชายของคนที่เธอรักในตอนนี้...หญิงสาวก้าวขาจากไป โดยไม่แตะต้องห่อของขวัญนั้นเลย...
---------------------------------------------------------------------------------
ผมตื่นมาอีกที หมอนวดก็หายไปไหนแล้วไม่รู้...มีแต่นายไบรต์นั่งสัปงกรออยู่ข้างๆที่นอนนวด
“ตื่นแล้ว” เค้าทำหน้าทะเล้น “พี่ขี้เซาจัง” เค้าล้อ ความปวดเมื่อยคลายตัว ผมลุกขึ้นนั่ง มองสารรูปตัวเองก่อนตกใจและเอาผ้ามาปิด “มองอะไร คนโป๊อยู่” ผมแหว เค้าได้แต่หัวเราะร่วน “แต่งตัวเถอะครับ เดี๋ยวไปอาบแดดกัน”
ผมลุกตามอย่างว่าง่าย “ไม่อาบแดดได้ปะ แค่นี้ก็ดำจะแย่อยู่แล้ว” ผมต่อรอง
“งั้นเล่นน้ำ”
“พอกันแหละ ดำ” ความจริงผมไม่แคร์เรื่องสีผิวตัวเองหรอก แต่พอเทียบกับเค้าแล้วผมรู้สึกอายที่ดำเป็นถ่านขนาดนี้
“โหยพี่ มาทะเลทั้งที ไม่เล่นน้ำไม่อาบแดดจะมาทำไมล่ะ” เค้าบ่น
“ใครอยากมาล่ะ ชิ!!” ผมบ่นออดแอด รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินมาหาเค้า
“พี่นี่น่ารักชิบเป๋ง” อยู่ๆเค้าก็โพล่งออกมาแล้วมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่
“ไหนบอกว่าจะไม่ทำอะไรถ้าพี่ไม่อนุญาตไง”
“อยู่บนเกาะ ผมไม่นับ” เค้าตอบกวนๆทำหน้าทะเล้น แม่งงงงงงตอบมาได้หน้าด้านๆ!!
“ไปกันเถอะ” เค้ายื่นมือมาให้ ผมไม่จับ ก่อนที่จะโดนเค้าคว้าไปจับเอง
แสงแดดเจิดจ้าของบ่ายวันเสาร์แยงตาจนผมปรับสภาพไม่ทัน ตัวเซไปชนคนข้างๆ เค้าจับตัวเอวผมไว้ ก่อนที่ผมจะสวมแว่นกันแดดราคาถูกที่หาซื้อได้ตามร้านริมทะเล หลังจากนั้น เราก็เดินเลาะชายหาดด้วยท่าโอบเอวกันตลอดทาง ผมพยายามแหว บ่น กร่นด่าเค้าก็ไม่เปลี่ยนท่า สายตาของนักท่องเที่ยวต่างพากันจับจ้องมาทางเรา ผมได้แต่หน้าแดงด้วยความอาย ผิดกับเค้าที่ยิ้มร่าเริงไม่แคร์สายตาใครหน้าไหน...หน้าด้าน!! ผมด่าในใจ ...เค้าพามาที่หาดหน้ารีสอร์ต เรามีบัตรนั่งเก้าอี้ฟรีสองตัวอยู่แล้วจากการเป็นแขกของที่นี่ พอจับจองที่นั่งกันเสร็จ เค้าก็ถอดเสื้อออก เผยมัดกล้ามเป็นมัด ก่อนนอนราบลงไปไม่สนใจสายตาที่จับจ้องจะงาบเค้าไปกิน
“ผมชินแล้ว ไปที่ไหนก็มีแต่คนมองแบบนี้แหละ” เสียงเค้าดูไม่แยแส สงสัยจะชินจริงๆ แต่ผมนี่สิไม่ชิน โชคดีที่มีแว่นกันแดดใส่หลบสายตาคนอื่นแล้วนอนฟังเสียงคลื่น..
“ผมทาครีมกันแดดให้นะ” เค้าล้วงในเป้คู่ชีพ นี่มึงมีครบเป็นกระเป๋าโดราเอม่อนเลยรึ!!
“ไม่เอา” ผมบ่ายเบี่ยง คนยังมองมาที่หุ่นล่ำๆและใบหน้าหล่อๆของเค้าไม่ขาดสาย
“อย่าขัด” แล้วเค้าก็ปล้ำผมให้ลุก ถอดเสื้อให้แล้วบังคับให้ผมนั่งเฉยๆ สองมือใหญ่หนาชะโลมครีมสีขาวข้นเหนอะหนะตามคอ แขน ลำตัวผม เกลี่ยให้มันซึมซาบไปทั่ว ก่อนผลักผมให้นอน ถกกางเกงผมขึ้นเห็นขาอ่อนสีดำ (ตามประสาคนตัวดำ... คิดแล้วเศร้า) เค้าไล่ทาตั้งแต่ต้นขาลงมาถึงปลายเท้า ก่อนจะจี้ปลายเท้าผม “เห้ย จั๊กกระจี๋ ไม่เอา” ผมหดขา ดิ้นหนี
“คราวนี้ ตาพี่ทาให้ผมบ้างนะ” เค้ายื่นขวดครีมมาให้
“เรื่องอะไร” ผมทำไม่รู้ไม่ชี้ เค้าทำหน้างอนๆก่อนหันมากระซิบ
“ถ้าพี่ไม่ทา ผมจะปล้ำจูบพี่ตรงนี้แหละ” ผมมองไปรอบๆ การทาครีมของเค้าเมื่อกี้ก็ดึงดูดสายตาแทบทุกคู่ไว้แล้ว ถ้าหากว่าเค้าจะจูบผมตรงนี้อีก... แม่ง!!
และแล้วผมก็ต้องทาครีมกันแดดให้ ไล้ไปตามเนื้อตัวที่อัดแน่นไปด้วยมัดกล้าม เค้ากอดกางเกงออกเหลือแต่กางเกงว่ายน้ำสีเข้ม เผยให้เห็นบางส่วนที่นอนหลับไหล ผมจ้องมันด้วยความเขิน พยายามหลุบตาไม่สบสายตากับมันอย่างเด็ดขาด ระหว่างที่ทาครีมให้ผม มีฝรั่งคู่หนึ่งมาแย่งเก้าอี้ผมไปหน้าตาเฉย ผมทวงคืน แต่ทั้งคู่ทำไม่ใส่ใจพลางชี้ไปที่ตัวอื่นที่ถูกจับจองไปหมดแล้วเช่นกัน ผมเลยต้องยกให้เพราะไม่อย่างนั้นทั้งคู่ก็ไม่มีที่นั่งเหมือนกัน
“งั้นพี่มานอนกับผมนี่ มาๆ” เค้าดึงตัวผมให้นอนแหมะบนตัว ไอร้อนจากทะเลและจากตัวเราทั้งคู่ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ความเหนอะหนะของครีมเมื่อครู่ทำให้ผมยิ่งอึดอัด “อย่าดิ้นสิครับ” ผมนอนกึ่งตะแคงบนตัวเค้าที่นอนหงาย ร่างยักษ์ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแผ่หราอย่างไม่เกรงใจใคร เค้าไม่ยอมให้ผมลุกหนีไปไหน ผมพยายามไม่ให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายไปสัมผัสเจ้านั่นของเค้า แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก เพราะเก้าอี้มันแคบเกินกว่าจะแผ่ทีเดียวสองคน แค่มันรับน้ำหนักได้โดยไม่ทรุดกับพื้นทรายก็นับว่าเป็นบุญโขแล้ว ผมเลยเกยขากับ...เจ้านั่น...เค้าโดยไม่มีทางเลือก เค้ายกขาข้างหนึ่งมาทับไม่ให้ผมดึงขาออก การเสียดสีทำให้มันพองตัว ผมถึงขั้นตกใจ
“เห้ย...@#$%^&*()(*&^$%^&*(*&^%@#$%^&”
“อย่าดิ้นสิพี่..มันตื่นแล้วเห็นปะ” ผมเลยต้องอยู่นิ่งๆหายใจแรงด้วยความเขิน หน้าขาของผมทับเนื้อแข็งของเค้าไว้ มันเต้นตุบๆชนกับต้นขาผม “ไอ้ลามก กล้าดียังไงเนี่ยมาตื่นท่ามกลางคนหมู่มากแบบนี้”
“โหย มันห้ามใจลำบากนะ พี่นอนทับมันแถมไม่ใส่เสื้ออีก ใครจะอดใจไหว” เค้าล้อเลียน
ผมได้แต่นอนนิ่งๆ ซบหน้ากับหน้าอกแกร่งของเค้า เริ่มชินกับสายตาของคนที่เดินผ่านไปมาแล้วล่ะ ไม่นานนักลมหายใจของเค้าก็ราบเรียบ อะไรที่นูนแข็งก็เริ่มสงบ ผมดึงขาและยกตัวออกมา ไม่ลืมเอากางเกงเค้ามาปิดท่อนล่างเค้าไว้ สายตาจับจ้องไปที่ทะเลสีฟ้า นักท่องเที่ยวหนาตามากขึ้นในช่วงใกล้ค่ำแบบนี้
“คุณเป็นแฟนกับผู้ชายคนนั้นเหรอครับ” เสียงหนึ่งถามมา
“เอ่อ..เปล่าครับ” ผมปฏิเสธในทันที
“อย่าปฏิเสธเลยครับ..ผมแค่อยากบอกว่า คุณโชคดีมากๆเลยที่เป็นแฟนกับคนที่หล่อและหุ่นดีขนาดนั้น”
กระทาชายคนนั้นยิ้มให้ ก่อนเดินอ้อนแอ้นเดินจากไป สายตาของเขาจับจ้องไปที่คนนอนหลับอย่างไม่ปกปิดความอยากได้แม้แต่น้อย ผมมองนายไบรต์ที่นอนหลับอยู่ ... คนมันหล่อ ยังไงก็หล่อเนอะ ปฏิเสธยากจริงๆ
แล้วผมก็ดับความรู้สึกปั่นป่วนด้วยการลงไปเล่นน้ำทะเล...หวังให้ความเย็นระงับความคิดนี้ให้ดับมอดลงไปได้บ้าง...
--------------------------------------------------------------
ผู้เป็นแม่กอดลูกสาวคนโตที่ร่ำไห้ปริ่มใจจะขาด ได้แต่สงสารลูกที่ต้องมาเจอกับชะตากรรมแบบนี้
“ใจเย็นๆนะเฟียซ” เสียงกล่อมนั้นดูห่างเหินราวกับว่าเจ้าตัวเองก็ทำใจไม่ได้ที่จะยอมรับความจริงนี้เหมือนกัน
น้องชายของหมอนรินทร์คือคนที่ขับรถชนสามีเธอเมื่อ 10 ปีก่อน ยิ่งคิดยิ่งปวดร้าว ถึงแม้ครั้งนั้นทางตำรวจจะระบุว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่เพ็ญแขก็อยากให้ใครสักคนเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องที่เกิดขึ้น มันมาเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ก่อนออกจากบ้าน สามียังกอดเธอ ยังหอมแก้มราวกับเป็นสาวแรกรุ่น แต่ไม่นานนัก ตำรวจก็กรูกันมาที่บ้านแล้วบอกว่าผู้เป็นสามีประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เพ็ญแขกรีดร้องด้วยความเสียใจ ความเจ็บปวดจากการสูญเสียไม่เคยเจือจางไปไหนได้ ถึงแม้ใครต่อใครจะพร่ำบอกว่าเวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง แต่สำหรับตัวเธอ ยิ่งนานก็ยิ่งทิ้งบาดแผลร้าวลึกจนแทบก้าวต่อไปไม่ไหว...
แต่เวลานี้...เมื่อเห็นน้ำตาของลูกสาว ในฐานะแม่กลับรู้สึกตัวว่า ตัวเองเอาชีวิตไปทิ้งกับอดีตจนลืมนึกถึงคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตของผู้เป็นลูกแขวนอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย ความรักเป็นเหมือนน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงให้เฟียซยังตื่นขึ้นมาด้วยลมหายใจที่แจ่มใส คุณหมอคือผู้ชายที่ทำให้ลูกสาวเธอมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่อีกครั้ง...หากยังยึดมั่นถือมั่นอยู่กับกับดักในอดีต คนที่จะเสียใจที่สุด ไม่ใช่ตัวเธอเลย...
“เรื่องมันผ่านมาตั้ง 10 ปีแล้วนะลูก...” เพ็ญแขกลั้นลมหายใจก่อนจะพูดสิ่งที่ตัวเองไม่คิดอยากจะพูดมาเลยตลอดชีวิต
“ให้อภัยเขาเถอะ...อย่างน้อย เขาก็ไม่ใช่คนที่ก่อเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมา”
ลูกสาวมองหน้าเธอด้วยความประหลาดใจ “แต่...น้องชายเขา...”
“แม่รู้...” ผู้เป็นแม่น้ำตานองหน้า “และแม่ก็รู้ว่าลูกรักคุณหมอ...อย่าให้เรื่องร้ายๆในอดีตมาทำร้ายปัจจุบันของเราเลยนะลูก”
เพ็ญแขกอดลูกสาวไว้แน่น ปล่อยให้น้ำตาไหลรินไปกับความรู้สึกที่ก่อตัวมานานกับทศวรรษ
“แม่ไม่โกรธเค้าแล้วเหรอ” เธอรู้ว่าลูกสาวหมายถึงน้องชายคุณหมอ
“แม่ยังโกรธอยู่...แต่เราก็เรียกร้องมันกลับมาไม่ได้..” เธอสูดน้ำมูก “ไม่มีใครไม่สูญเสีย...”
มันเป็นอย่างที่พูด ไม่มีใครไม่สูญเสียกับเหตุการณ์วันนั้น เพียงแต่ว่าเพ็ญแขยังเกาะมันไว้ราวกับว่าผู้เป็นสามีจะกลับมาหาในสักวัน “เราต้องก้าวต่อนะลูก...” ความคิดของเธอกำลังขัดแย้งกันเอง แต่สุดท้ายเพื่อความรัก เพื่อชีวิตของลูกสาว จึงต้องตัดสินใจที่จะปล่อยวางทุกอย่าง... “ให้อภัยเขา...ไปคุยกับเขานะลูก”
เพ็ญแขกอดประโลมลูกสาวสักพัก ก่อนที่จะปล่อยให้คุณหมอเดินเข้ามาในห้อง...
“ปรับความเข้าใจกันซะนะ...” เธอขอตัวเดินออกไป หมอหนุ่มยิ้มเศร้าๆพร้อมกล่าวขอบคุณ
เพ็ญแขเดินเข้าในห้องนอน ห้องที่ครั้งหนึ่งมีสามีอันเป็นที่รักอยู่ข้างๆ จับจ้องที่รูปถ่าย รอยยิ้มของเขายังส่งให้ทุกเมื่อเชื่อวัน ราวกับว่ามันยังไม่แตกดับไปไหน “หวังว่าชั้นคงจะตัดสินใจถูกต้องนะคะคุณ...” เพ็ญแขร้องไห้ แม้ยามนี้ก็ยังรู้สึกเศร้าสุดหัวใจ...
-----------------------------------------------------------------โปรดติดตามตอนต่อไป...