|อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561  (อ่าน 41780 ครั้ง)

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ติดตามอ่านนะค๊ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Plavann

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เพิ่งเห็น ชอบบรรยากาศของเรื่องครับ ผมว่าแต่งออกมาดีมากเลย เรื่อยๆเหงาๆ

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ฝันครั้งที่ 8

            Veerayu : ไปซาฟารีนะ

            คนที่บอกว่าจะเลี้ยงบางอย่างเป็นการขอบคุณถึงกับเงียบไปครึ่งวันเมื่อหลงบอกว่าอยากไปไหน เหตุเพราะโดนน้องสาวรบเร้าตั้งแต่ครั้งก่อน โอกาสเหมาะเวลาได้เลยตั้งใจจะพาไปด้วย ไม่ได้ให้เพื่อนออกค่าใช้จ่ายให้ ทั้งของเขาและของหยก คิดว่าคงได้รับคำอนุญาต

            Yanakorn : วันอาทิตย์นะ

            Veerayu : ได้

            Veerayu : หยกไปด้วยนะ

            Yanakorn : โอเค

            Yanakorn : ทำไมอยากไปซาฟารี

            Veerayu : หยกอยากไป

            Yanakorn : เหรอ

            Yanakorn : อืม

            หลงมองหน้าจอมือถือแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ไหนว่าไม่ชอบให้ใคร 'อืม' ใส่ แล้วทำไมตัวเองถึงได้ทำ ไม่ใช่ว่ากำลังไม่พอใจอะไรอยู่หรอกเหรอ

            Veeyaru : โกรธ

            Yanakorn : เปล่า

            แต่จากคำที่พิมพ์มาดูไม่เหมือนคนอารมณ์ปกติเลยสักนิด

            หลงเลือกที่จะไม่พิมพ์แต่กดโทรออกแทน ปลายสายรับแทบจะทันที แต่กลับไม่มีเสียงใดดังขึ้นมาให้ได้ยิน ไม่ต้องสงสัยว่าโดนเงียบใส่

            "แก่แล้วต้องขี้งอนเหรอ ถ้าไม่อยากให้พาหยกไปด้วยก็บอก"

            [ไม่ใช่แบบนั้น]

            "แล้วแบบไหน"

            [คือ...] ลากเสียงยาวแล้วก็เงียบไป

            หลงนิ่งคิดไม่ได้คาดคั้น ถ้าเพื่อนไม่ติดเรื่องหยกอยากไปด้วยแล้วห่วงเรื่องอะไร เรื่องวันก็ไม่น่าใช่ หากตัดทุกอย่างออกไปหมดก็คงเหลือแค่สถานที่

            ซาฟารีงั้นเหรอ

            หรือไม่อยากไปที่นั่น

            "ไม่อยากไปซาฟารี?"

            [ก็ไม่เชิง]

            "ทำไมล่ะ"

            [ก็...ที่นั่นมันมี...] ลากเสียงยาวแล้วก็เงียบไปอีกครั้ง

            ซาฟารีมีอะไรงั้นเหรอ ซาฟารีก็ต้องมีสัตว์น่ะสิ มีสัตว์...เขาลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง

            เพื่อนที่ชื่อเพื่อนคนนี้...กลัวสัตว์

            นึกออกแล้วหลงก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ตอนเรียนรู้สึกจะมีเรื่องราวน่าขันเกี่ยวกับเพื่อนและสัตว์นานาชนิดอยู่ไม่น้อย ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าที่โรงเรียนเคยมีงูเขียวหล่นลงมาจากต้นไม้ ทำเอาคนขี้กลัวร้องโวยวายเสียงดัง แต่งูคือสัตว์ที่หลายคนกลัวย่อมไม่น่าแปลก มันแปลกที่แม้กระทั่งสัตว์เล็กๆ อย่างหมา แมว หรือกระต่ายเพื่อนก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ที่เป็นมิตรด้วยที่สุดน่าจะเป็นปลากับเต่าในบ่อที่สวนของหมู่บ้านนั่นแหละ

            [หัวเราะอะไร]

            "เปล่า"

            [ไปก็ได้นะ]

            "ซาฟารีน่ะนะ แล้วไม่กลัวเหรอ"

            [กลัวอะไร ไม่ได้กลัว]

            เห็นคนทำตัวอวดเก่งหลงก็ได้ยิ้มเยาะอยู่คนเดียว เมื่อกี้ยังลังเลอยู่เลย แล้วตอนนี้มาบอกว่าไม่ได้กลัว

            "งั้นวันอาทิตย์นี้ไปเที่ยวซาฟารี โอเคนะ"

            [อืม]

            "ห้ามอืม"

            [โอเค ได้ รู้แล้ว]

            "เดี๋ยวสิบเอ็ดโมงไปรับที่บ้าน"

            [โอเคๆ]

            "สวัสดีครับ"

            [ครับๆ]

            หลงกดวางสายแล้วกลับมาตั้งใจทำงานต่อ คิดไปแล้วก็เหมือนกับกำลังแกล้งเพื่อน แต่เขาไม่ได้แกล้ง เพื่อนเป็นคนยอมตกลงไปเองไม่ได้บังคับแต่อย่างใด บางทีอาการกลัวสัตว์คงจะหายไปแล้วล่ะมั้ง

 

            หายไป...ซะที่ไหนกัน

 

            เพื่อนกลายเป็นคนหวาดระแวง ทุกย่างก้าวที่เดินดูไม่มีความปลอดภัย แม้สัตว์ทั้งหลายจะถูกกักขังไว้ในกรงก็ตาม

            หลงยกมือขึ้นวางบนไหล่เพื่อนโดยไม่บอกกล่าวจนเจ้าตัวสะดุ้ง หลังจากเข้ามาด้านในเขาคอยสังเกตอาการเพื่อนตลอด ภายนอกอาจจะดูเหมือนคนนิ่งๆ ไม่ได้ยินดียินร้ายกับเหล่าสิงสาราสัตว์สักเท่าไร แต่ใครจะรู้ว่าภายในใจกำลังตื่นกลัวแค่ไหน

            "ไม่มีอะไรหรอกน่า มันอยู่ในกรง"

            "ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย" คนขี้กลัวยังคงปฏิเสธ

            หลงหยุดแซวได้แต่ยิ้ม มือยังวางอยู่บนไหล่ให้เพื่อนรู้ว่าเขายังอยู่ข้างๆ ไม่ได้ห่างไปไหน ส่วนคนร่าเริงที่สุดเห็นทีจะเป็นน้องสาวตัวแสบ วิ่งไปดูทางนู้นทีทางนี้ทีจนกลัวว่าจะหลงกัน วันอาทิตย์คนยิ่งมาเที่ยวเยอะอยู่ด้วย

            ที่ซาฟารีเวิลด์มีอยู่สามโซน คือจังเกิลวอลค์ที่พวกเขาอยู่ เป็นส่วนจัดแสดงสัตว์ซึ่งสามารถเดินเชื่อมกันกับมารีปาร์ค โซนที่มีการจัดแสดงโชว์ต่างๆ ได้ และสุดท้ายซาฟารีปาร์ค โซนสวนสัตว์เปิด นั่งรถชมชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์ตามธรรมชาติอย่างพวกเสือ สิงโต ยีราฟ เป็นโซนที่เพื่อนส่ายหน้าใส่แบบไม่ยั้งโดยให้เหตุผลว่ามันไม่คุ้ม แค่นั่งรถดูสัตว์ไม่เห็นจะสนุกตรงไหน พวกเขาเลยตัดสินใจเที่ยวแค่สองโซน

            กว่าจะมาถึงกว่าจะซื้อตั๋วเข้ามาเดินเล่นไม่นานนักก็ใกล้ได้เวลาโชว์โลมาพอดี ทั้งสามคนเข้าไปจับจองที่นั่งบนอัศจรรย์ท่ามกลางนักท่องเที่ยวต่างชาติ หยกยกกล้องขึ้นมาเตรียมเก็บภาพ ส่วนหลงนั้นยังคงห่วงคนข้างตัวไม่หาย

            "กลัวโลมามั้ย" เห็นเพื่อนเอาแต่จ้องที่สระน้ำด้านหน้าหลงเลยอดที่จะถามไม่ได้

            "ไม่นะ"

            "จริง?"

            "มันน่ารักดีออก"

            "แล้วถ้าให้จับ"

            "อย่าดีกว่า" เพื่อนปฏิเสธในทันที ที่ว่ากลัวสัตว์เขาไม่ได้กลัวแบบอาการหนัก ให้ดูให้อยู่ใกล้ยังพอได้ แต่ถ้าให้ไปจับขอปฏิเสธดีกว่า ก็พวกสัตว์น่ะไว้ใจได้ที่ไหน ถึงจะถูกฝึกมาแล้วก็เถอะ

            ปล่อยให้นั่งรอไม่นานการแสดงโลมาแสนรู้ก็เริ่มขึ้น เสียงฮือฮาและเสียงปรบมือจากผู้ชมดังขึ้นเป็นระยะ เจ้าโลมาแสนรู้กระโดดลอดห่วง ว่ายน้ำไปมาตามคำสั่ง กระทั่งให้คนฝึกขี่หลัง โดยได้ปลาเล็กเป็นของรางวัล ความน่ารักของมันสร้างรอยยิ้มให้ใครหลายคน ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติ หยกที่ดูจะชื่นชอบเป็นพิเศษ และเพื่อน คนที่ไม่ถูกชะตากับสัตว์เท่าไรนัก

            "น่ารัก" ชอบมากถึงขั้นเอ่ยปากชม

            หลงหันมองเพื่อนที่ยกมือถือขึ้นมาเก็บภาพเจ้าโลมาแสนรู้ รอยยิ้มสดใส เปล่งประกายจนใครที่เผลอมองต้องหยุดสายตาเอาไว้

            ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีเพื่อนก็คือพี่เพื่อน คนที่ทำให้ใครหลายคนหลงใหลเมื่อแรกเห็น

            "มีคนมองแหนะ" หลงแกล้งกระทุ้งศอกใส่ให้คนที่มัวสนใจแต่โลมาให้หันไปมองกลุ่มสาวๆ ซึ่งกำลังมองมาอยู่

            เพื่อนยิ้มโชว์แก้มบุ๋ม มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีให้แม้กระทั่งคนไม่รู้จัก แบบนี้มันก็เท่ากับว่าเปิดทางให้เจ้าหล่อนเข้าหาเลยไม่ใช่หรือไง

            "ไปยิ้มให้ทำไม"

            "ก็เค้ายิ้มให้ก่อน"

            "เดี๋ยวก็โดนจีบ"

            "ไหนคะ ใครยิ้มให้พี่เพื่อน ถ้าสวยสู้หยกไม่ได้ห้ามจีบ" สาวน้อยที่แปลงร่างเป็นผู้พิทักษ์พี่เพื่อนโพล่งขึ้นมาพลางสอดส่ายสายตาหาต้นตอที่พี่ๆ พูดถึง

            "ใครจะกล้ามาจีบ" แต่คนฟังกลับเห็นเป็นเรื่องตลก ยิ้มขำแล้วส่ายหน้าอย่างคนไม่คิดอะไร

            "ผู้หญิงสมัยนี้ร้ายนะพี่ ยิ่งหน้าโอปป้าอย่างพี่เพื่อนเนี่ยไม่น่ารอด"

            "ถึงมาจีบพี่ก็ไม่เอาหรอก" เพื่อนตอบไปอย่างที่คิด ชำเลืองมองคนที่นั่งคั่นกลางระหว่างเขากับหยกไว้แวบหนึ่งก่อนยิ้มให้เด็กสาวที่ดูจะถูกใจคำตอบนี้อยู่ไม่น้อย

            "ดีมากค่ะ พี่เพื่อนน่ะเหมาะกับคนสวยๆ อย่างเช่นหยก"

            "ปล่อยไอ้เพื่อนไปเจอคนดีๆ เถอะ"

            "พี่หลงอ่ะ"

            เพื่อนได้แต่นั่งอมยิ้มมองสองพี่น้องเถียงกัน

            'คนดี' นิยามของคำนี้ถูกตีกรอบไว้ยังไงเขาไม่แน่ใจนัก อีกอย่างคนดีในความหมายของแต่ละคนนั้นย่อมต่างกัน และถ้าหากจะพูดถึงคนดีที่เหมาะกับตัวเขา ก็คงเป็นคนคนนี้

            ผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่กำลังเถียงกับน้องสาวตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย

            คนดี...ที่เขานิยามไว้เป็นของตัวเอง

 

            สาวน้อยหนึ่งเดียวในกลุ่มร้องหิวข้าวหลังจบจากโชว์โลมา พวงเขาเลยต้องแวะหาอะไรกินกันก่อนเดินเที่ยวต่อ หลงเป็นคนถือแผนที่ เดินกลับไปยังโซนจังเกิลวอล์คระหว่างรอเวลาการแสดงรายการถัดไป เจอกรงนกแก้วซันคอนัวร์เป็นอันดับแรก เมื่อชวนเข้าไปดูเพื่อนถึงกับส่ายหน้าใส่ลูกเดียว

            "งั้นรอข้างนอกแล้วกัน" หลงผู้รู้สาเหตุบอกอย่างเข้าใจ แต่ไม่ใช่กับหยก คนที่เข้ามาคว้าแขนเพื่อนเอาไว้

            "พี่เพื่อนเข้าไปด้วยกันนะ"

            "เดี๋ยวพี่รอข้างนอกดีกว่า"

            "ทำไมอ่ะ เข้าไปถ่ายรูปกัน ให้อาหารนกได้ด้วยนะ ให้มันมาเกาะกินบนมือได้เลย"

            หลงรู้ว่าเพื่อนฝืนยิ้ม แค่ได้ยินคงรู้สึกสยองจนอยากจะวิ่งหนีกลับบ้าน หยกไม่ได้ผิดที่ชวน แต่คนกลัวจะยอมรับหรือเปล่าแค่นั้น

            "หยก พี่เพื่อนเขา..."

            "เข้าก็เข้า"

            หลงจำต้องกลืนคำที่จะพูดลงคอเพราะถูกขัดขึ้นมา ไม่อยากให้บอกงั้นสินะ ไม่อยากให้พูดว่าพี่เพื่อนของน้องๆ กลัวสัตว์แม้พวกมันจะน่ารักแค่ไหนก็ตาม

            หยกยิ้มกว้างเดินนำทุกคนเข้าไปด้านใน ส่วนคนที่เผลอตอบรับอย่างลืมตัวได้แต่ถอนหายใจออกมา แม้กลัวก็ยังไว้ฟอร์ม เขายังอยากเป็นพี่เพื่อนคนเท่ของน้องๆ อยู่นี่นา

            "ไม่กลัวแล้วเหรอ" หลงเดินประกอบข้างเพื่อนไม่ห่าง แอบกระซิบถามในระยะที่น้องสาวไม่ได้ยิน

            "กลัว"

            "แล้วไปยอมหยกมันทำไม"

            "อยากถ่ายรูป"

            "ฮะ"

            "ถ่ายรูปกัน" บอกแล้วก็ยิ้มกว้างโชว์แก้มบุ๋ม

            อยู่ๆ หลงก็รู้สึกมันเขี้ยวขึ้นมา มีอย่างที่ไหนกลัวแต่อยากถ่ายรูปเลยยอม ยอมให้นกบินมาเกาะแล้วจิกกินอาหารบนมือด้วยท่าทางที่กลั้นความกลัวเอาไว้สุดขีด เกร็งทั้งตัวทั้งหน้าจนน่าขัน มันเขี้ยวมากจนต้องคอยประกอบไว้ไม่ให้ห่าง ยืนซ้อนด้านหลังวางมือไว้บนไหล่บางแล้วยิ้มให้กล้องที่น้องสาวถืออยู่

            "หนึ่ง สอง ซั่ม"

            แชะ!

            สิ้นเสียงชัตเตอร์หลงก็โบกมือไล่นกตัวเล็กตัวน้อยทั้งหลายให้บินหนี จับมือที่ยังสั่นนั่นไว้แล้วพาเดินออกมานอกกรง โดยมีน้องสาวตัวแสบเดินตามหลัง

            ทำเก่งไม่รู้จักเวล่ำเวลาเลยจริงๆ

            เดินดูสัตว์ต่างๆ จนใกล้ถึงเวลาโชว์ทั้งสามคนก็พากันไปจับจองที่นั่ง โชว์นี้มีชื่อว่าสงครามจารกรรม บู๊แอคชั่น ทั้งนักแสดงและเอฟเฟคแสงเสียงจัดเต็ม เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้ตลอดทั้งแต่ต้นจนจบ

            ถัดจากสงครามจารกรรมหลงเดินนำขบวนไปต่อที่โชว์อุรังอุตัง ลิงแสนรู้ที่มาแสดงความน่ารักอย่างการต่อยมวยและความสามารถในด้านต่างๆ หยกดูท่าจะชอบใจอยู่มาก เพื่อนเองก็ยิ้มและออกปากชมตลอด ดูมีความสุขจนหลงอดถามไม่ได้

            "ชอบลิงเหรอ"

            "เปล่า"

            "กลัว?"

            "อยู่ไกลขนาดนั้นไม่กลัวหรอก"

            "มันก็น่ารักดี ไม่เห็นต้องกลัว"

            คนไม่กลัวย่อมไม่เข้าใจ เพื่อนได้แต่ยิ้ม ทำไมต้องกลัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะความไม่ไว้ใจล่ะมั้ง ตอนเด็กๆ เขาเคยโดนสัตว์เลี้ยงทำร้ายจนร้องไห้อยู่บ่อยไป มันเป็นความทรงจำที่ไม่ดีนัก เลยพาลไม่ชอบทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่าสัตว์ไปเสียหมด

            "แล้วชอบสัตว์อะไรบ้าง"

            "ไม่รู้ดิ"

            "มด ยุ่ง แมลงสาบ"

            "ใครจะไปชอบ"

            หลงหัวเราะเบาๆ นึกชอบใจที่ได้แกล้งคน โดยหารู้ไม่ว่าคำถามพวกนี้จะย้อนกลับมาหาตัวเอง

            "ชอบคนมากกว่า"

            ริมฝีปากที่กำลังยิ้มกลับมาเหยียดตรง หลงไม่ได้หลบตา ยังคงจ้องเข้าไปในดวงตาสดใสคู่นั้น จนเมื่อคำต่อมาถูกเอ่ยขึ้น เขาถึงได้รู้ตัวว่าคิดผิด

            "คนนี้ที่ชื่อหลง"

            คิดผิดที่ดันไม่ยอมหลบสายตาที่น่าหลงใหลคู่นี้ตั้งแต่แรก

 

            การแสดงจบ เหลือเวลาให้เดินเล่นอีกไม่นานนักก็ใกล้เวลาปิดทำการ หลงเลยโดนหยกยกหน้าที่ตากล้องให้เพราะก่อนหน้านี้น้องสาวเป็นคนถือกล้องเสียส่วนใหญ่ เก็บทั้งภาพบรรยากาศ สัตว์นานาชนิด การแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจ รวมถึงรูปพี่ชายทั้งสอง แต่ยังไม่มีใครถ่ายรูปให้เธอเลย

            หยกเดินไปโพสต์ท่าตามมุมนั้นมุมนี้โดยมีเพื่อนคอยกำกับอีกที ถ่ายภาพเดี่ยวจนพอใจก็วานให้พนักงานที่อยู่ใกล้ๆ ช่วยถ่ายรูปหมู่ให้ กำลังจะชวนกันกลับก็มีพนักงานสองคนเข็นรถผ่านมา

            "ลูกเสือ!" หยกร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้น ผิดกับเพื่อนที่แทบกระโดดหนีเมื่อได้ยินคำว่าเสือ

            สาวน้อยยิ้มกว้างเดินเข้าไปหาพนักงานซึ่งหยุดรถให้อย่างใจดี ลูกเสือสองตัวนอนอยู่ในกรง กำลังแทะของเล่นท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู

            "กำลังพาน้องกลับเหรอคะ"

            "ครับผม ลองจับได้นะครับ น้องสะอาด อาบน้ำทุกวัน"

            "จับได้เหรอคะ"

            "ครับ"

            ได้รับคำอนุญาตดังนั้นหยกก็ยื่นมือเข้าไปลูบเสือน้อยที่ไม่ได้สนใจอย่างอื่นนักนอกจากของเล่นที่กำลังแทะ หยกจึงหันมากวักมือเรียกพี่ๆ เพื่อนรีบส่ายหน้าแต่โดนหลงดึงให้เดินมาด้วยกัน โอกาสได้จับลูกเสือแบบฟรีๆ มีบ่อยที่ไหน ยังไงก็อยากให้ลอง

            "ลองดู มันยังเด็กอยู่ ไม่เป็นไรหรอก" ถึงหลงจะพูดแบบนี้เพื่อนก็ยังทำหน้าไม่ไว้ใจอยู่ดี จนคนชวนนั่งลงแล้วดึงมือให้เพื่อนลงมานั่งตาม ยื่นมือผ่านช่องกรงเข้าไปสัมผัสตัวลูกเสือให้ดูเป็นตัวอย่าง เพื่อนที่ทำหน้าลังเลเลยยอมทำตามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

            เพื่อนค่อยๆ ยื่นมือออกไป ลอดผ่านช่องกรง แตะปลายนิ้วลงเบาๆ บนตัวลูกเสือที่เอาแต่แทะของเล่น เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงลูบไล้ไปมาช้าๆ

            ขนเสือ...ไม่นุ่มอย่างที่คิดเอาไว้

            อยู่เล่นกับลูกเสื้อได้ครู่เดียวพนักงานก็เอ่ยขอตัว ภายในสวนเงียบเชียบไร้ซึ่งผู้คนต่างกับช่วงบ่าย สองพี่น้องกับเพื่อนอีกคนเดินทอดน่องออกมาตามเส้นทางอย่างไม่เร่งรีบ พ้นเขตสวนเข้าสู่ลานจอดรถ หมดวันหยุดไปอีกวัน

            "เป็นไง"

            เพื่อนเลิกคิ้วหันมองต้นเสียงเมื่อไม่แน่ใจว่าคนที่กำลังสตาร์ทรถคุยกับเขาหรือเปล่า

            "ชอบมั้ย"

            ทว่าเมื่อเห็นสายตาที่มองกลับมาก็ทำให้เข้าใจได้ว่าคำถามเมื่อครู่เป็นของเขา แต่คนที่ตอบกลายเป็นน้องหยกที่โผล่หน้ามาจากเบาะหลัง

            "ชอบค่ะ"

            "พี่ถามเพื่อน"

            "อ้าว ก็ไม่บอก แล้วพี่เพื่อนชอบมั้ยคะ"

            เพื่อนหันมองคนขับ อมยิ้มจนเห็นแก้มบุ๋มก่อนตอบคำถาม คำตอบที่ทำให้คนฟังรู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะปกติเป็นรอบที่สองของวัน

            "ชอบครับ...ชอบมากเลย"

            คงยากที่จะต้านทานได้แล้วล่ะมั้ง สิ่งที่ไม่เคยยอมรับ ความรู้สึกที่ปิดกั้นมาตลอดหลายปี

            บางที...เขาคงจะหนีจากเพื่อนที่ชื่อเพื่อนคนนี้ไม่ได้จริงๆ

 
TBC

 
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เรื่อยๆมาเรียงๆ

ออฟไลน์ StarPasO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านเรื่องนี้แล้วอึดอัด อยากรู้อดีตสองคนนี้ไวๆ  :katai1:

ออฟไลน์ Plavann

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เพือนน่ารัก หลงก็เริ่มเปิดใจตัวเองแล้ว รอดูปมว่าทำไมตอนนั้นปฏิเสธ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ฝันครั้งที่ 9

            เป็นอีกวันในหนึ่งสัปดาห์ที่หลงได้พบกับเพื่อนหลังเลิกงาน ทว่าเป็นการพบกันที่แปลกไปกว่าทุกครั้ง วันนี้เพื่อนไม่ได้นัด เพราะเกิดอาการเมารถจึงอยากรีบกลับไปนอน กลายเป็นหลงเสียเองที่นึกเป็นห่วง คิดไปคิดมารู้ตัวอีกทีก็มาจอดรถหน้าบ้านสองชั้นที่มีอ่างบัวตั้งอยู่ด้านหน้าเสียแล้ว

            หลงยังคงนั่งอยู่บนรถไม่ยอมดับเครื่องยนต์ ไม่รู้ว่าแสงไฟกับเสียงรถจะทำให้คนในบ้านรู้ตัวหรือเปล่าเพราะประตูกระจกบานเลื่อนถูกม่านปิดไว้ อย่างน้อยแสงไฟในบ้านที่เปิดไว้เฉพาะชั้นล่างก็ทำให้รู้ว่าเพื่อนคงอยู่ที่ห้องนั่งเล่น แต่จะคิดอีกอย่างว่าคนเมารถขึ้นไปนอนบนห้องแล้วลืมปิดไฟก็ได้เช่นกัน

            รออยู่เกือบนาทีเห็นว่าคนในบ้านยังไม่มีความเคลื่อนไหวหลงจึงหยิบมือถือออกมา ตั้งใจจะลองโทรหาแต่เจ้าของบ้านแง้มผ้าม่านโผล่หน้าออกมาดูเสียก่อน

            ทันทีที่เห็นรถคันคุ้นเคยที่ใช้บริการบ่อยๆ จอดอยู่หน้าบ้านเพื่อนก็เบิกตากว้างรีบเปิดประตูออกมาทั้งที่ยังมีผ้าห่มผืนบางคลุมตัว หลงดับเครื่องยนต์ลงจากรถ แล้วก็โดนว่าไปตามระเบียบ

            "จะมาทำไมไม่บอก"

            "ขับรถอยู่"

            "อย่ามาอ้าง บอกก่อนจะออกมาก็ได้" ปากว่ามือก็เปิดประตูรั้วเชื้อเชิญให้หลงเข้ามาในบ้าน

            "มันทางผ่านไงเลยแวะมาหา ซื้อน้ำเต้าหู้มาฝาก" หลงชูของที่อยู่ในมือให้ดู น้ำเต้าหู้เจ้าอร่อยจากตลาด

            เพื่อนไม่ได้ว่าอะไรเพียงส่ายหน้าแล้วอมยิ้ม ลงกลอนประตูรั้วแล้วเดินนำแขกที่มาแบบไม่ทันให้ตั้งตัวเข้าบ้าน เชิญให้นั่งโซฟาที่เขาใช้เป็นที่นอนชั่วคราวเมื่อครู่นี้

            "ดีขึ้นหรือยัง" หลงถามหลังจากมนุษย์ผ้าห่มทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ มองตาแดงๆ ที่เหมือนคนเพิ่งตื่น เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่าเขาคิดผิดยังไงไม่รู้ที่มากวนโดยไม่บอกล่วงหน้า

            "ได้นอนก็โอเคขึ้นแล้ว"

            "นอนเยอะไปหรือเปล่าเลยปวดหัว"

            "ไม่ใช่ รถมันแอร์ไม่เย็น โดนอบอยู่ในนั้นเหมือนจะเป็นลม" เพื่อนเป็นพวกขี้ร้อน เวลาเจอแดดแรงๆ มักจะปวดหัวหมดแรงเหมือนโดนสูบพลัง ยิ่งเป็นเดือนพฤษภาคมที่ร้อนตับแตกเจอรถแอร์ไม่เย็นเข้าไปยิ่งอาการหนัก

            "ก็บอกแล้วว่าให้ซื้อรถขับ"

            "ไม่เอาอ่ะ"

            "ขี้เกียจ"

            "ยอมรับ"

            "เชื่อเขาเลย งั้นก็ยอมโดนอบเป็นไก่ต่อไป"

            "เพิ่มเวลานอนไง"

            "นอนจนสันหลังยาวหมดแล้ว"

            "เขาเรียกตัวสูง" เพื่อนเถียงอย่างไม่ยอม ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านอกจากได้เชื้อดีจากพ่อแม่แล้วสิ่งที่ทำให้เขาสูงถึงร้อยเจ็ดสิบแปดเป็นเพราะการนอน แม่บอกว่าเด็กๆ นอนแต่หัววันจะสูงไว ถึงอย่างนั้นเขากลับเตี้ยกว่าหลงห้าเซน แถมยังดูตัวเล็กกว่ามากเมื่อยืนข้างกัน หลงเป็นคนตัวสูงใหญ่ ยิ่งสมัยมัธยมตอนตัวอ้วนๆ ไม่มีใครกล้ามายุ่งด้วยสักคน แต่ใครจะรู้ว่ายักษ์ใหญ่คนนี้รักสงบและใจดีแค่ไหน

            "ไม่เห็นจะสูงเลย"

            "นี่แหละสูงแล้ว"

            "เตี้ยกว่าอยู่ดี"

            เพื่อนย่นจมูกใส่ ไม่รู้จะเถียงยังไงให้ชนะคนพูดมาก ถ้าจะมีคงเหลืออยู่ทางเดียวซึ่งเป็นทางที่เขาไม่อยากเลือกเท่าไร บางทีพูดไปอาจจะชวนให้กระอักกระอ่วนใจกันทั้งคู่ก็ได้ เพราะเขาเองยังไม่รู้เลยว่าจะเรียกความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ว่ายังไงดี

            คงเป็นเขาที่กำลังพยายามจีบอยู่ล่ะมั้ง ส่วนอีกฝ่ายคิดเป็นจริงเป็นจัง หรือแค่เห็นว่าเขาเป็นเพื่อนสมัยเรียนเลยยอมคบด้วยก็ไม่อาจรู้ได้

            "แล้วแม่รู้ยังว่าป่วย" ปล่อยให้บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบได้ไม่นานหลงก็เริ่มชวนคุยต่อ มองหน้าเจ้าของบ้านสลับกับบริเวณโดยรอบ แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ภาพโคอาล่าที่เขาเคยเห็นตอนมาส่งเพื่อนหลังงานคืนสู่เหย้า คืนที่ความทรงจำในอดีตถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง

            "ไม่ได้ป่วย" ปากตอบคำถามแต่ตาเหลือบมองตาม เพื่อนรู้ว่าหลงกำลังสนใจอะไร จนเมื่ออดีตหนุ่มอ้วนหันกลับมาเผชิญหน้าเขาจึงมอบรอยยิ้มให้

            "ยังเก็บไว้อีกเหรอ"

            "ต้องเก็บดิ" ของสำคัญแบบนี้เขาต้องเก็บเอาไว้อยู่แล้ว

            ของที่หลงอุตส่าห์ทำให้ด้วยความตั้งใจ

 

            ม.5 เทอม 2

            หากพูดถึงศิลปะทุกคนที่ชาว ม.5/1 นึกถึงคงหนีไม่พ้นใบหม่อน สาวผมยาว หุ่นดีตัวผอม มีดวงตาสีดำกลมโตเป็นเอกลักษณ์ ผู้ที่สามารถรังสรรค์ผลงานศิลป์ให้เพื่อนๆ ได้ทึ่งกันอยู่หลายครั้ง ไหนจะรางวัลการันตีชนะการประวาดต่างๆ นานา สร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนมาหลายต่อหลายครั้งเช่นกัน

            และถ้าหากจะพูดถึงคนที่มีหัวทางศิลปะที่สุดในกลุ่มเด็กหลังห้องติดหน้าต่าง คงต้องยกให้หนุ่มอ้วนช่างจ้อ  แม้ไม่ได้ฝีมือดีจนส่งเข้าประกวดได้ แต่ก็ดีกว่าคนที่วาดรูปได้ห่วยแตกที่สุดในห้องอย่างเพื่อนได้มากโข คนที่มีปัญหาแทบทุกครั้งเมื่อครูศิลปะสั่งงาน

            "ไอ้เล็กช่วยกูหน่อย" ขวัญใจสาวน้อยสาวใหญ่ของโรงเรียนเริ่มออดอ้อน เพื่อนทำตัวอ่อนเลื้อยไปซบเล็ก คนที่ยังเอาตัวเองไม่รอดเลยปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด

            "ของกูยังไม่ได้อะไรเลยเนี่ย"

            "อย่างน้อยมึงก็วาดเสร็จแล้วไง ของกูนี่กระดาษเปล่า" มองกระดาษวาดเขียนขนาดเท่าโปสการ์ดอันว่างเปล่าบนโต๊ะเรียนแล้วเพื่อนยิ่งอนาถใจ เขาวาดคนเป็นก้างปลาได้ก็บุญเท่าไรแล้ว

            "แล้วมึงคิดออกหรือยังจะวาดอะไร"

            "ยัง"

            "ไปคิดให้ออกก่อน ยังไม่รู้จะวาดอะไรแล้วจะช่วยได้ไงวะ"

            "มึงก็ช่วยกูคิดหน่อยดิ"

            "ตัวมึงมึงต้องคิดเอง"

            เพื่อนกลับมานั่งตัวตรงหลังจากอ้อนขอความช่วยเหลือไม่สำเร็จ มองกระดาษเปล่าตรงหน้าแล้วก็คิดอะไรไม่ออก จนเต้ยที่นั่งอยู่ข้างหน้าหันมาหา

            "มึงชอบนอนอ่ะ วาดตัวอะไรที่ชอบนอนดิ"

            "แล้วมันตัวอะไรวะ"

            "แมว" เก้หันมาช่วยออกความเห็นอีกคน

            "แมวกูก็ว่าโอเคนะ" เล็กเองก็เห็นด้วย

            "ตั้งใจทำนะมึง ต้องส่งพรุ่งนี้แล้ว เดี๋ยวกูกับนารอนกลับก่อน" ขวัญให้กำลังใจขณะที่สะพายกระเป๋าเตรียมกลับบ้าน เพื่อนที่กำลังจะโดนเพื่อนๆ ทิ้งเลยได้แต่ทำตาละห้อย

            "อะไร จะกลับแล้วเหรอวะ"

            "เออ ต้องไปเรียนพิเศษต่อ"

            "กูก็ต้องไปรับน้องว่ะ วันนี้แม่ไม่ว่างไปรับเอง" เล็กก็กำลังจะทิ้งเพื่อนไปอีกคน

            "อย่าเพิ่งทิ้งกูดิ"

            "กูก็จะกลับแล้วเหมือนกัน"

            "เอากลับไปทำที่บ้านดิ"

            เต้ยกับเก้เองก็เตรียมตัวกลับบ้านแล้วเช่นกัน คนถูกทิ้งทำหน้าเครียดหนัก หันมองโต๊ะข้างๆ เหลือหลงนั่งอยู่คนเดียวเพราะโหน่งหายตัวไปตั้งแต่อาจารย์คาบสุดท้ายเดินออกจากห้อง คงไปหาแฟนรุ่นน้องอีกตามเคย

            เพื่อนจะไม่กลุ้มใจเลยถ้างานที่อาจารย์สั่งให้วาดคาแรคเตอร์ที่เหมือนตัวเองต้องส่งพรุ่งนี้ ซึ่งความผิดทั้งหมดล้วนอยู่ที่เขาไม่ใช่ใครอื่น ไม่ชอบ ไม่อยากทำเลยดองงานไว้แล้วมาเครียดเอาวันสุดท้าย แม้จะไม่กี่คะแนนแต่ก็มีค่าเกินกว่าจะทิ้งไปเฉยๆ

            "หลงช่วยมันหน่อยดิ" อย่างน้อยเล็กก็ยังพอมีน้ำใจ อยู่ช่วยเพื่อนไม่ได้เลยโยนให้คนที่มีความสามารถด้านนี้ที่สุดในกลุ่มแทน เพราะหลงไม่ได้รีบกลับเหมือนพวกเขา

            เจ้าของชื่อพยักหน้ารับช้าๆ เหมือนไม่ได้ใช้ความคิดไตร่ตรองก่อนตอบตกลง หลงได้ยินสิ่งที่เพื่อนๆ คุยกันหมดแล้ว และถ้าเขาไม่ช่วยใครจะช่วย

            "งั้นฝากมันด้วยนะ กูไปละ"

            แล้วทุกคนก็ทยอยกันออกจากห้องเหลือเพียงหลงกับเพื่อน และสมาชิกร่วมห้องอีกประปราย

            เพื่อนยิ้มแฉ่งจนเห็นลักยิ้ม หยิบกระดาษเปล่าที่วางบนโต๊ะลุกเดินไปนั่งที่ของโหน่ง ยินดีน้อมรับความช่วยเหลือจากหลงไว้ด้วยความเต็มใจ

            "จะวาดแมวเหรอ" หลงถามเพราะก่อนหน้านี้ได้ยินคุยกันว่าอย่างนั้น

            "คงงั้นมั้ง น่าจะวาดง่ายดี หลงวาดเป็นมั้ย"

            "เป็น วาดแมวง่ายๆ แต่เพื่อนน่าจะเหมาะกับอีกตัวมากกว่า" หลงควงดินสอในมือเล่น แมวดูเหมาะกับเพื่อนดี แต่เขาว่ายังสัตว์ชนิดอื่นที่เหมาะกับเพื่อนมากกว่า

            "ตัวอะไร"

            "โคอาล่า"

            "เห็นเรานอนเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ" เพื่อนหัวเราะร่า ถูกใจความคิดของหลงอยู่ไม่น้อย

            "เห็นพักทีไรก็หลับ ว่างก็หลับ เวลาเผลอชอบทำหน้าง่วงๆ"

            "ขนาดนั้นเลย"

            "แล้วก็ชอบยืมแขนไปหนุน"

            "ก็มันนุ่ม" เพื่อนตอบสวนขึ้นมาแบบไม่ต้องคิด เขาชอบหนุนแขนหลง เวลาง่วงๆ จะไปอ้อนขอหนุนตลอด

            "เพราะงี้ไงถึงเป็นโคอาล่า นอนยี่สิบสองชั่วโมง อีกสองชั่วโมงหากิน"

            "นอนเยอะขนาดนั้นล่มจมพอดี"

            พอรู้ว่าโออาล่าที่หลงเสนอมานอนเยอะขยาดนี้เพื่อนก็ชักไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร ถึงเขาจะดูเอื่อยเฉื่อยไปบ้าง แต่จะให้เป็นโคอาล่ามันก็เกินไป ถึงอย่างนั้นมันก็ดูน่ารักดี

            "สรุปจะเอาตัวอะไร" หลงถามย้ำทำเอาเพื่อนคิดหนัก

            แมวก็ดี โคอาล่าก็น่าสน ถ้าวัดคะแนนในใจตอนนี้ตัวที่นำอยู่ก็...

            "เอาโคอาล่าก็ได้"

            หลงยกยิ้ม รู้สึกดีขึ้นมาเมื่อสิ่งที่เสนอออกไปถูกเลือก

            เพื่อนกับโคอาล่าน่ะ ดูเหมาะที่สุดแล้ว

            หลงหยิบกระดาษเอสี่เหลือใช้ที่ยัดอยู่ใต้โต๊ะขึ้นมาร่างภาพโคอาล่าเกาะต้นไม้นอนหลับให้เพื่อนดูเป็นตัวอย่าง คนไม่เก่งงานศิลป์ทำหน้ายุ่งทันที พยายามอย่างเต็มที่ที่จะวาดตามให้เหมือน ลบแล้วลบอีกจนกลัวว่ากระดาษจะขาด แต่ทำยังไงเจ้าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีกระเป๋าหน้าท้องตัวนี้ก็หน้าตาไม่เหมือนโคอาล่าสักที

            "วาดไม่ได้" เพื่อนวางดินสอลงกับโต๊ะ มองลายเส้นที่ไม่ต่างจากเด็กอนุบาล แล้วแบบนี้จะเอาไปส่งครูได้เหรอ ไหนจะต้องลงสีอีก

            "พอใช้ได้อยู่นะ เติมตรงนี้อีกนิด ตาตอนหลับแค่ขีดเส้นก็ได้แล้ว ตรงนี้เป็นต้นไม้ มันคล้ายๆ สติทซ์นะไอ้ตัวนี้" รูปวาดของเด็กอนุบาลถูกหลงเติมตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย แป๊บเดียวโคอาล่าก็ดูเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

            "ทำไมสวยแล้วอ่ะ"

            "ที่จริงมันก็ไม่ได้แย่เท่าไรหรอก ต้องฝึกบ่อยๆ ให้ชินมือ"

            "ให้ฝึกวาดรูปสู้เอาเวลาไปเล่นกีตาร์ดีกว่า"

            "แต่คะแนนวิชานี้เล่นกีตาร์เป็นก็ไม่ช่วยอะไรนะ"

            "ทำไมต้องขู่"

            "เอาไปตัดเส้น" หลงยื่นปากกาหมึกซึมสีดำให้เพื่อนทำต่อ ส่วนตัวเองนั่งเท้าคางมองขวัญใจรุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียนทำงานด้วยความมุ่งมั่นอีกที

            เพราะเป็นศิลปะเวลาที่ใช้จึงยาวนานกว่าวิชาอื่น แค่วาดเสร็จก็กินเวลานานจนเพื่อนๆ ในห้องทยอยกันกลับจนหมด ทิ้งหลงให้อยู่กับเพื่อนแค่สองคนในยามที่พระอาทิตย์สาดแสงสีส้มไปทั่วท้องฟ้า

            "สงสัยจะเสร็จไม่ทัน" หลงบอกหลังจากก้มมองนาฬิกา ถ้าจะทำให้เสร็จคงต้องอยู่ถึงสองทุ่มเสียล่ะมั้ง แต่คงโดนพี่ รปภ. เข้ามาไล่ก่อน

            "เอาไงดี" เจ้าของงานที่ยังไม่เสร็จเริ่มเครียด ถ้าให้เขาเอากลับไปทำที่บ้านคงเละเป็นโจ๊ก รูปที่สู้อุตส่าห์วาดมาร่วมชั่วโมงต้องเสียเปล่าอย่างแน่นอน

            ทั้งสองมองหน้ากันอย่างใช้ความคิด ยังไงต้องทำให้เสร็จภายในคืนนี้ ทางเลือกมีไม่มากถ้าไม่เอากลับไปทำเองก็ต้องพึ่งหลงให้ถึงที่สุด

            "หรือไปทำต่อที่บ้านหลง"

            พอได้ยินแบบนี้หลงก็ชะงัก ตอนนี้จะหกโมงแล้ว กว่าจะถึงบ้านเขากว่าจะทำงานเสร็จ ไม่ได้อยากดูถูกแต่ฝีมืออย่างเพื่อนคงใช้เวลาไม่ใช่น้อยๆ ต้องกลับบ้านดึกดื่นเดี๋ยวที่บ้านจะเป็นห่วงเอา

            "ไม่ต้องหรอก ถ้าไม่ว่าอะไรเดี๋ยวเอากลับไปลงสีให้ก็ได้นะ" สุดท้ายเลยเสนอตัวออกไป

            "จะดีเหรอ"

            "ตามนี้แล้วกัน"

            "เฮ้ย ขอบใจมาก"

            ไม่รู้ชาตินี้จะหาผู้มีน้ำใจเมตตาอย่างหลงจากไหนได้อีก เพื่อนยิ้มจนตาหยี เผลอยกมือตบไหล่เพื่อนตัวอ้วนไปหนึ่งที คนโดนทำร้ายร่างกายไม่ได้ใส่นัก เพียงพยักหน้ารับแล้วเก็บของใส่กระเป๋า ก่อนจะโบกมือไล่เพื่อนให้ไปเตรียมตัวบ้าง จะได้กลับบ้านกันสักที

            หลงเก็บงานของเพื่อนไว้ในสมุดจดงานก่อนเอาใส่กระเป๋า รูดซิบปิดแล้วก็เหวี่ยงเป้ที่เหมือนแบกบ้านมาทั้งหลังขึ้นสะพาย รอเพื่อนที่เดินข้ามโต๊ะเอื้อมไปคว้ากระเป๋าที่เหมือนไม่มีอะไรใส่อยู่ในนั้นแล้วออกมาจากห้องพร้อมกัน

            บรรยากาศโดยรอบโรงเรียนมีเพียงความเงียบสงบ หลงชวนเพื่อนคุยไม่หยุดปาก คนอารมณ์ดีที่หลุดพ้นเรื่องงานที่ไม่ถนัดแล้วก็พูดมากไม่แพ้กันจนกลายเป็นแย่งกันพูด เดินมาถึงป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนเรื่องราวที่อยากจะเล่าให้กันและกันฟังก็ยังไม่หมด กระทั่งรถสองแถวจอดหน้าป้าย เดินขึ้นไปแล้วจับจองหาที่ยืน เพื่อนก็เพิ่งจะคิดได้ว่าวันนี้เป็นวันดีๆ อีกวัน

            วันที่ได้กลับบ้านด้วยกันแค่สองคนอีกแล้ว

 

            ภาพโคอาล่าหลับบนต้นไม้ฉบับเสร็จสมบูรณ์สวยกว่าที่เพื่อนจินตนาการไว้หลายเท่า พอได้มันมาถือไว้เหมือนเป็นผลงานตัวเองเลยเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะถ้าเขาเอากลับไปทำเองล่ะก็ไม่มีทางได้แบบนี้แน่ แถมรูปนี้ยังได้คะแนนแปดเต็มสิบจากคุณครูอีก แต่เขาเอาแค่สองคะแนนพอ อีกหกคะแนนที่เหลือต้องยกให้หลง บวกกับเก้าคะแนนที่หลงได้รวมเป็นสิบห้าคะแนน เป็นคนเดียวที่ได้คะแนนเยอะที่สุดในห้อง แถมยังชนะใบหม่อนอีกต่างหาก แม้จะเป็นการชนะที่เพื่อนรับรู้เพียงคนเดียวก็ตาม

            ในคาบวิชาศิลปะทุกคนต้องออกไปพรีเซนต์รูปภาพคาแรคเตอร์ของตนเอง เพื่อนบอกออกไปอย่างภูมิใจว่าเพราะตัวเองชอบนอนจึงเลือกโคอาล่า เลยโดนอาจารย์แซวกลับมาว่าหักสองคะแนนเพราะความขี้เกียจที่มีมากเกินไป

            ส่วนโปสการ์ดนั้นอาจารย์คืนให้ทุกคนเก็บไว้ เพื่อนตั้งใจจะให้หลงแต่อีกฝ่ายปฏิเสธ แถมยังบอกอีกว่าให้เขาเก็บรักษาดีๆ เพราะเป็นงานแรกที่ตั้งใจจนวาดรูปได้สวยแบบนี้ และเป็นงานที่หลงตั้งใจลงสีให้เช่นกัน

            ด้วยเหตุนี้เพื่อนจึงเก็บใส่กรอบเอาไว้อย่างดี เผื่อสักวันเจ้าของมันจะได้กลับมาเห็นอีกครั้ง

 

-----------------------------

 

            "กินน้ำเต้าหู้เลยมั้ย" หลงพยักพเยิดไปยังถุงน้ำเต้าหู้ที่วางอยู่บนโต๊ะหลังจากคุยสัพเพเหระกันอยู่นาน ปล่อยให้มันเย็นชืดแล้วจะไม่อร่อย

            "กินดิ"

            ได้รับคำตอบหลงก็ลุกขึ้นคว้าถุงน้ำเต้าหูเดินเข้าครัว เจ้าของบ้านรีบลุกขึ้นเดินตามไปทั้งที่ผ้าห่มยังคลุมตัวอยู่ มองหลงเปิดตู้หยิบแก้วออกมาก่อนแก้มัดถุงแล้วเทน้ำเต้าหู้ลงไป จัดการเสร็จก็ยื่นให้มนุษย์ผ้าห่มที่ยืนอยู่ข้างกัน

            "หลงไม่กินเหรอ"

            "ถุงนี้ฝากแม่"

            "ขอบใจนะ" เพื่อนอมยิ้มมองน้ำเต้าหู้อีกถุงที่วางอยู่ มือทั้งสองข้างที่ได้รับความร้อนจากแก้วทำให้รู้สึกอบอุ่นไม่น้อย รสชาตินมถั่วเหลืองก็กำลังดี ไม่หวานเกินไป

            "แล้วนี่หนาวเหรอถึงห่มผ้าตลอด"

            "นิดหน่อย"

            "เล่นเปิดแอร์ซะฉ่ำ"

            "มันก็ไม่ได้หนาวขนาดนั้น แต่เวลานอนต้องมีผ้าห่ม ไม่งั้นนอนไม่หลับ" มนุษย์ขี้ร้อนอย่างเขาอุณหภูมิแค่นี้ไม่สะเทือนผิวเท่าไรหรอก แต่ตอนนี้ป่วย แถมการนอนโดยไม่มีผ้าห่มนั้นไม่ปลอดภัย

            "เหม็น" หลงขยับข้าไปใกล้ จับปลายผ้าห่มของเพื่อนขึ้นมาดมแล้วแกล้งยู่หน้า คนโดนกล่าวหาเลยถลึงตาใส่หยิบปลายอีกข้างขึ้นมาดมบ้าง

            "ไม่เห็นจะเหม็นเลย"

            "กลิ่นตัวตัวเองไงเลยไม่รู้สึก"

            "ไม่มีเหอะ" เพื่อนเถียงสุดกำลัง ถึงจะรู้ว่าโดนหลอกแต่โดนว่าเรื่องแบบนี้มันยอมกันได้ที่ไหน

            "แค่นี้ต้องทำหน้าเครียดด้วย"

            "เรื่องใหญ่นะกลิ่นตัวเนี่ย"

            "ไม่มีหรอก ล้อเล่น"

            "เคยดมเหรอ" บางทีปากก็มักจะไวกว่าความคิด เพื่อนยิ้มแห้งเมื่อเผลอหลุดคำพูดแปลกๆ ออกมา หากพูดคำนี้กับคนอื่นเขาคงไม่คิดอะไร แต่เพราะเป็นหลง คำพูดนั้นอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาก็ได้

            หลงมองกลับมานิ่งๆ ทำเอาเดาอารมณ์ไม่ออก เขาไม่ได้คิดมากกับคำพูดเมื่อกี้เพราะมันไม่ได้ต่างอะไรกับคำหยอกล้อทั่วไป ให้ตบมุกกลับไปก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย และบางทีสิ่งที่ตอบกลับไปก็มีความจริงปะปนอยู่บ้าง

            "อืม เคยดม"

            "มาดมอะไร ตอนไหน"

            "เวลาอยู่ใกล้กันมันก็ต้องได้กลิ่นมั้ยเล่า ถามแปลกๆ รีบกินเลย เดี๋ยวจะกลับแล้ว" หลงส่ายหน้านึกขำกับท่าทางหูตาตั้งของเพื่อน พูดไปก็เดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น หยิบมือถือ กระเป๋าสตางค์ และกุญแจรถ

            "จะกลับแล้วเหรอ"

            "อืม เดี๋ยวแม่ก็กลับมาแล้วนี่ อยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย"

            "อยู่ได้เว้ย กลับไปเลยไป" เพื่อนยกมือผลักหลังคนพูดมากอย่างนึกหมั่นไส้

            ผ้าห่มที่ถูว่าเหม็นยังคลุมอยู่บนตัวเจ้าของบ้านตอนเดินออกมาส่งหลงขึ้นรถ ยืนมองแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินอ้อมไปฝั่งคนขับ ความรู้สึกมากมายกับสิ่งที่อีกฝ่ายกระทำต่อกันพาลให้เกิดความสงสัย ทั้งที่เคยบอกกับตัวเองว่าจะไม่เร่งเร้าและทำให้หลงเกิดความกดดัน แต่ความรู้สึกที่ไม่มีความมั่นคงมันไม่ช่วยให้เกิดความสบายขึ้นมาได้เลย

            "หลง"

            เจ้าของชื่อหันกลับมา ใบหน้ามีเสน่ห์ที่ใครต่อใครมักมองข้ามเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

            เพื่อนจ้องหลงนิ่ง พยายามทำใจให้สงบเพื่อเรียบเรียงในสิ่งที่อยากรู้ ทั้งยังแสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมาอย่างปิดไม่มิด

            "ไม่ลำบากใจใช่มั้ย"

            หลงขยับสาวเท้ามาหาเมื่อได้ฟัง กลับมายืนตรงหน้าเพื่อน มองคนที่กำลังทำหน้าเหมือนโลกทั้งใบกำลังจะถล่มลงมา คอยฟังอย่างตั้งใจกับประโยคที่เพื่อนกำลังเอื้อนเอ่ย

            "หมายถึงที่ทำอยู่ตอนนี้ไม่ได้ฝืนใจใช่มั้ย"

            "..."

            "รู้ใช่มั้ยว่าที่กลับมานี้เพราะอะไร"

            "..."

            "รู้ใช่มั้ยว่าทำแบบนี้มันคือการให้ความหวัง ถ้าไม่มีทางเป็นไปได้ช่วยบอกทีเถอะ"

            ฝ่ามือใหญ่วางลงบนผมชี้โด่เด่ไม่เป็นทรงเมื่อจบประโยค หลงยิ้มบางๆ ในขณะที่เพื่อนยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่เลิก เขาเข้าใจความรู้สึกของคนรอว่าเป็นยังไง แปดปีที่ผ่านมาใช่ว่าจะไม่รู้สึก แต่เขารู้สึกดีกับช่วงเวลาก่อนที่จะเกิดช่องว่างอันยาวนานนั้นมากกว่า

            เด็กหนุ่มตัวอ้วนที่ชื่อหลง ก็แค่คนขี้ขลาดคนหนึ่งที่กลัวการเดินแยกออกจากทางที่ถูกสังคมมองว่ามันผิด กับผู้ชายที่ชื่อหลง คนที่พยายามรวบรวมความกล้าเพื่อลองเดินตามเส้นทางที่ถูกมองว่าผิดดูสักครั้ง หากทางเส้นนั้นมันจะทำให้เขามีความสุขมากกว่าการเดินเส้นทางถูกต้องที่เขาเดินตามมันมาตลอดชีวิต

            "หลง"

            มือที่เคยวางอยู่เฉยๆ เปลี่ยนเป็นช่วยจัดทรงผมของเพื่อนให้เข้าที่เข้าทางแทน หลงเป็นคนชอบพูดก็จริง แต่น่าแปลกที่ครั้งนี้เขาไม่รู้จะพูดยังไงให้ดูไม่เหมือนตัดความหวังและการสารภาพ เลยได้แต่ยิ้มมีความสุขอยู่คนเดียวจนเพื่อนเอ่ยทวงขึ้นมาอีกรอบ

            "พูดอะไรหน่อย"

            "มันจะไม่เหมือนเดิม" หลงละมือออกจากผมของอีกฝ่าย มองตอบด้วยแววตาอ่อนโยน มองด้วยความชื่นชม มองเพื่อนอย่างที่เขาเคยมองมาตลอด

            "ยังไง" เพื่อนยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่เลิกแม้จะได้ฟังคำที่ทำให้ใจรู้สึกดีขึ้นมา

            เรื่องราวระหว่างหลงกับเพื่อนตอนนี้ก็เหมือนกับการเริ่มต้นใหม่ ตอนจบของหนังเรื่องเดิมถูกตัดทิ้ง ดำเนินเรื่องด้วยความรู้สึกแบบเก่าที่ถูกจับมาเล่าใหม่ หยุดนิ่งในช่วงเวลาแปดปีเพื่อเรียนรู้และแก้ไขให้เป็นไปตามในสิ่งที่ใจอยากให้เป็น แก้ไขในสิ่งที่เคยกลัว

            "ตอนจบมันจะไม่เหมือนเดิม"

            ปมที่หัวคิ้วถูกคลายออกแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เห็นแก้มบุ๋มข้างขวา หลงยกมือขึ้นขยี้ผมคนที่เขาเพิ่งจัดทรงให้จนยุ่งเมื่อนึกเขินกับสิ่งที่พูด เลือกที่จะหันหลังกลับโดยไม่บอกลา เดินก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มขึ้นรถแล้วขับออกไป

            ทำตัวอย่างกับคนเพิ่งเคยมีความรัก...

            แต่ใครจะรู้ว่าเด็กหนุ่มตัวอ้วนอย่างหลงเคยแอบชอบใครสักกี่คน เพื่อนสมัยอนุบาล รุ่นพี่ตอนเรียนประถม รูปร่างที่กลายเป็นปมด้อยกับความรักที่ไม่เคยสมหวัง กลายเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัวไม่กล้าคิดรักใครจนเพื่อนเข้ามาในชีวิต

            คนที่เข้ามาสารภาพรักกับหลงเป็นคนแรก


TBC

 
อิมเมจเพื่อน = โคอาล่า
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ขยับขึ้นอีกนิด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
อ่านแล้วชอบมาก แม้มันจะหน่วงๆ ชอบงานเขียนแบบนี้

ออฟไลน์ papapajimin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ขยับเข้ามาเรื่อยๆแล้ว หลงกับเพื่อน
น่าร้ากกกกกกกก เขินเลยอ่ะ

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ฝันครั้งที่ 10

            บางทีการคมนาคมในกรุงเทพฯ มันก็น่าเบื่อโดยเฉพาะช่วงเย็นวันศุกร์ วันนี้หลงนัดกับเพื่อนมาดูหนังรอบดึกด้วยกัน เป็นอนิเมชั่นที่ตกลงกันไว้เมื่อคราวก่อน ทั้งที่อีกไม่กี่นาทีจะถึงเวลานัดแล้ว แต่หลงกลับได้ข่าวร้ายจากเพื่อน

            Yanakorn : รถเสีย

            รถติดอยู่แล้วยังมาเจอรถเสียอีก แล้วแบบนี้พวกเขาจะได้ดูหนังกันไหม

            Veerayu : อีกสิบนาทีจะฉายแล้ว

            Yanakorn : ตัวอย่างอีกครึ่งชั่วโมงไม่เป็นไรหรอก

            อ่านข้อความประโยคล่าสุดที่เด้งขึ้นมาแล้วหลงได้ถอนใจส่ายหน้า ใครกันที่ชอบดูตัวอย่างหนังก่อนฉาย ใครกันที่อยากดูหนังรอบดึก แล้วใครกันที่นัดวันศุกร์ทั้งที่รู้ว่าต้องทำเวรตอนเย็นจนเลิกดึกดื่นแถมรถยังติดบรรลัย

            เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเพื่อนที่ชื่อเพื่อนคนนี้

            หลงตักข้าวใส่ปากอย่างคนไม่มีอะไรทำ เขามาถึงที่นี่เมื่อชั่วโมงที่แล้ว ซื้อตั๋วหนังตามรอบที่เพื่อนบอก ระหว่างรออีกคนมาถึงเลยแวะหาอะไรกินที่ศูนย์อาหาร เพราะกว่าเพื่อนจะมาถึงคงได้เวลาหนังฉายพอดี แต่ดันมาเจอรถเสียซะได้

            Yanakorn : เดี๋ยวนั่งวินไป

            Veerayu : แถวนั้นมีวินให้โบกด้วยเหรอ

            Yanakorn : เหมือนจะไม่มี ต้องเดินย้อนกลับไปไกลอยู่

            รถตู้เสียหลังจากลงทางด่วนมาได้สองป้ายรถเมล์ ป้ายนี้ค่อนข้างร้างผู้คน รถตู้ที่ผ่านส่วนใหญ่มักจะเต็ม รถเมล์วิ่งแค่ไม่กี่สาย ถ้าจะขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างต้องเดินย้อนไปจุดที่รถเพิ่งลงทางด่วน เป็นป้ายที่หารถต่อได้ยากสุดๆ แถมรถติดมาก ไหนจะผู้โดยสารที่ร่วมชะตากรรมเดียวกันอีก หลงคงช่วยอะไรไม่ได้นอกจากรออย่างเดียว ครั้นจะขับรถไปรับอาจจะช้ากว่าการหารถมาเอง

            Veerayu : ถ้างั้นขึ้นรถแล้วบอกนะ

            Yanakorn : แล้วถ้ายังไม่ได้ขึ้นล่ะ

            มาสายแล้วยังจะกวนประสาทอีก

            Veerayu : รอต่อไป

            Yanakorn : ไม่

            Yanakorn : หมายถึงถ้ายังไม่ได้ขึ้นรถแล้วบอกไม่ได้เหรอ

            Yanakorn : ไม่อยากคุย?

            Yanakorn : โกรธ?

            มันต้องมีอะไรสักอย่างที่เพื่อนเข้าใจผิด หลงคิดอย่างนั้น แต่พออ่านข้อความที่ส่งมากลับแปลกที่เขาอารมณ์ดี แถมยังนั่งยิ้มอยู่คนเดียว

            Veerayu : เปล่า

            ข้อความที่ส่งไปถูกอ่านแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าเพื่อนจะตอบกลับมา หลงวางมือถือไว้ข้างจานข้าว กินไปสลับกับมองหน้าจอไปเพื่อรอ

            แต่ทำไมหายไปนานล่ะคราวนี้

            Veerayu : ไม่คุยแล้วเหรอ

            สุดท้ายก็เป็นฝ่ายทักไป

            หลงมองหน้าจออยู่สักพักสัญลักษณ์ที่บอกว่าเพื่อนกำลังพิมพ์ข้อความก็แสดงให้เห็น เขายกยิ้มอย่างโล่งใจ และโล่งยิ่งกว่าเมื่อได้อ่านสิ่งที่เพื่อนส่งมา

            Yanakorn : ขึ้นรถแล้วนะ

            อีกสามนาทีได้เวลาหนังฉาย

 

            ม. 5 เทอม 2

            แม้จะย่างเข้าฤดูหนาวในช่วงปลายปีแต่แดดประเทศไทยยังร้อนแรงไม่ต่างจากฤดูร้อนนัก และด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้โรงเรียนจึงทำให้เด็กหนุ่มตัวอ้วนไม่รู้สึกรีบร้อนที่จะต้องกลับบ้าน เขายังคงนั่งทำการบ้านอยู่ในห้องเรียนเพียงลำพัง จนกระทั่งแดดใกล้หมดถึงกระตือรือร้นเก็บของใส่กระเป๋า

            หลงออกจากห้องเรียนเดินลงอาคารที่ไร้ผู้คนอย่างไม่เร่งรีบ เขาชอบโรงเรียนในบรรยากาศยามเย็นแบบนี้ มันเงียบสงบและวังเวงหน่อยๆ แต่เป็นเพราะไม่ค่อยถูกโรคกับเรื่องลี้ลับนักจึงต้องรีบกลับก่อนตะวันจะตกดิน

            ออกมาจากโรงเรียนก็ข้ามถนนมารอรถที่ป้ายฝั่งตรงข้าม มีรถสองแถวกับรถตู้ให้เลือกใช้บริการ แต่ช่วงเวลาเร่งด่วนแบบนี้รถมักเต็มมาตั้งแต่อู่ในตลาด ซึ่งคนบ้านใกล้อย่างหลงไม่มีปัญหากับรถเต็มหรือไม่เต็มเท่าไรนัก ขอแค่มีที่ให้คนตัวใหญ่อย่างเขายืนเบียดสักสิบนาทีเป็นพอ

            หลงเดินขึ้นรถสองแถวคันแรกที่เข้ามาจอดป้าย โชคยังเข้าข้างที่รถไม่แน่นจนเกินไปจึงมีที่ให้ยืนโหนราวได้สบาย

            รถสองแถวหวานเย็นแล่นไปตามทางที่คับคั่งไปด้วยรถราก่อนเลี้ยวเข้าถนนอีกเส้นที่กำลังถมดินลงคูน้ำเลียบถนนเพื่อก่อสร้างขยายเส้นทาง ถนนเส้นนี้ไม่ใช่เส้นหลักจึงไม่กระทบกับการจราจรเท่าไรนัก แต่สิ่งที่ทำให้รถติดขัดเห็นทีจะเป็นรถสองแถวอีกคันที่จอดนิ่งอยู่ข้างทางมากกว่า

            หลงชะเง้อมองเมื่อรถคันที่โดยสารมาจอดต่อท้ายรถสองแถวคันดังกล่าว เพราะโหนอยู่ท้ายรถเลยเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างชัดเจน ตั้งแต่ตอนที่คนขับรถทั้งสองคันลงไปคุยกัน และคนคุ้นหน้าคุ้นตาที่กำลังหันมายิ้มให้

            รอยยิ้มสดใสที่ไม่เข้ากับบรรยากาศตึงเครียดยามรถเสียเอาเสียเลย

            หลงมองเพื่อนกับผู้โดยสารคนอื่นที่รอเพื่อเปลี่ยนรถเดินตรงมาที่รถเขา เมื่อคนทยอยขึ้นรถพื้นที่ของเขาก็ถูกเบียดเบียนจนต้องทำตัวลีบยืนเกาะเสาแน่นเพื่อไม่ให้หล่นลงไป แล้วไหนจะเพื่อนที่เข้ามาเกาะติดเขาอีกคน ก่อนรถสองแถวหวานเย็นที่อัดแน่นจนคนล้นจะออกวิ่งอีกครั้ง

            "รถเสีย" ได้ที่ยืนแล้วคนโชคร้ายก็ฟ้องทันที เพื่อนยังคงยิ้มไม่เข้ากับบรรยากาศ รถเสียแต่อารมณ์ไม่ได้เสียตามรถ

            "เห็นแล้ว"

            "เพิ่งกลับเหรอ"

            "อืม"

            "อยู่ทำการบ้านอีกอ่ะดิ"

            "ใช่ งานเยอะต้องทยอยเคลียร์"

            "ขยันจริงๆ"

            กริ่ง!

            วิ่งเลยจากจุดเกิดเหตุมาได้ไม่ทันไรก็มีคนกดกริ่ง ด้วยจำนวนคนที่เกือบจะล้นออกมานอกรถทำให้เพื่อนต้องลงมายืนด้านล่างเพื่อให้คนข้างในลงได้สะดวก กำลังจะกลับไปประจำที่อีกครั้งคนบ้านใกล้ที่อีกไม่นานจะถึงก็ทักขึ้นมา

            "แลกที่กันมั้ย" หลงเสนอพลางเบี่ยงตัวหลบให้

            เพื่อนพยักหน้ารับ ขยับเข้าด้านในยืนพิงที่กั้นไว้โดยมีคนตัวโตยืนกั้นเป็นกำแพงกันตกไว้อีกชั้น เขาทั้งสองคนหันหน้าเข้าหากัน แต่ด้วยความเบียดเสียดทำให้ระยะห่างที่มีมันช่างน้อยนิด น้อยจนต้องเบี่ยงหน้าหลบไปอีกทางเวลาคุยกัน

            "ไม่ได้กลับพร้อมเล็กเหรอ เห็นออกมาพร้อมกัน" หลงเริ่มเปิดประเด็นตามประสาคนช่างจ้อ เขามองตรงผ่านด้านข้างของเพื่อนไปยังวิวข้างทาง พูดเสียงเบาจนคล้ายกระซิบ เพราะหูของเพื่อนอยู่ใกล้ปากเขาแค่นี้ ครั้นจะเสียงดังไปก็ยังไงอยู่

            "เล็กมันกลับก่อน"

            "โดนทิ้งเหรอ"

            "ทิ้งมันต่างหาก แวะร้านเกมมา มันเลยกลับก่อน"

            "ติดเกม เอาตังค์ไปกินข้าวดีกว่ามั้ยผอมแห้งขนาดนี้"

            หลงได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาตามสายลม ทั้งเขาทั้งคนโดนว่าไม่ได้คิดจริงจัง หลงเองก็ติดเกม ถึงจะไม่หนักเท่าเพื่อนเลยพอเข้าใจ แต่ใจจริงก็อยากให้เพื่อนเอาเงินไปขุนให้ตัวอ้วนกว่านี้อีกสักหน่อย

            "กินข้าวไม่สนุกเท่าเล่นเกมนะ หลงไม่เล่นเหรอ"

            "เล่น แต่เล่นที่บ้าน"

            "อิจฉาคนบ้านมีเน็ต" น้ำเสียงสื่อตามคำพูด เพราะที่นี่อยู่ชานเมือง แถมหมู่บ้านเพื่อนเพิ่งสร้างได้ไม่นานความเจริญเลยยังไม่เข้าถึง ต่างกับบ้านหลงที่อยู่มานานและใกล้ตัวเมืองกว่า แต่อีกไม่นานบ้านเขาก็จะมีอินเทอร์เน็ตไว้ใช้แล้วเหมือนกัน

            "เน็ตก็แรงมากเลยเถอะ โหลดแต่ละทีหลับได้หนึ่งตื่น"

            "ก็ยังดีกว่าไม่มีเล่นแล้วกัน" เพื่อนเบี่ยงหน้าไปหาหลงเล็กน้อยเพื่อให้เห็นหน้าคู่สนทนา แต่ด้วยระยะห่างที่น้อยนิดทำให้ต้องหันหน้ากลับมาอีกครั้ง

            คนที่ยืนโหนอยู่ท้ายรถมันเยอะเกินไปหรือเปล่า...เพื่อนเพิ่งจะมาคิดได้ก็ตอนนี้

            "จะถึงบ้านแล้ว" เพื่อนเป็นฝ่ายทักหลังจากรถข้ามสะพานแรกของถนนเส้นนี้มา อีกไม่กี่เมตรข้างหน้าก็จะถึงบ้านหลง

            ก่อนจะถึงซอยหลงขยับมือไปกดกริ่งที่อยู่ใกล้กับหัวเพื่อนพอดี เจ้าของใบหน้าที่ใครๆ ต่างหลงรักยกยิ้ม ว่าจะเอ่ยลาแต่เมื่อรถหยุดสนิทหลงกลับเดินลงรถไปโดยไม่มีคำพูดใด มันก็เป็นแบบนี้ทุกที จากกันทีไรไม่เคยจะได้บอกลากันสักครั้ง

            รถหวานเย็นออกวิ่งอีกครั้งหลังได้รับเงินจากผู้โดยสาร สายตาของเพื่อนจับจ้องไปที่หลง ทว่าคนตัวอ้วนกำลังมุ่งมั่นเดินเข้าซอยด้วยความเร็วหอยทาก ไม่แม้แต่จะหันมามองกันเลย

            เพื่อนไม่ค่อยเข้าใจ แต่ไม่เคยนึกเคืองหลงกับเรื่องแบบนี้ บางทีใจดี บางทีเย็นชา แต่ก็ยังอยากอยู่ใกล้อยากทำความรู้จักให้มากขึ้น เขาอยากสนิทกับหลงให้มากกว่านี้ อยากให้อีกฝ่ายสนใจเขามากกว่านี้

            จนบางทีก็เริ่มแปลกใจในความรู้สึกของตัวเองเหมือนกัน

 

-----------------------------

 

            เลยเวลาหนังฉายมาสิบนาทีแล้วแต่ยังไร้วี่แววของเพื่อน อาหารบนโต๊ะถูกจัดการจนเหลือแต่ความว่างเปล่า มือถือที่เปิดหน้าแชตค้างไว้วางอยู่ตรงหน้า โดยที่หลงได้แต่นั่งมองมันอย่างรอคอย

            เวลาเดินเข้าสู่นาทีที่สิบสองข้อความจากเพื่อนก็เด้งขึ้นมา หลงรีบโน้มตัวไปอ่าน แต่แล้วกลับต้องผิดหวัง

            Yanakorn : รถติดก่อนขึ้นสะพาน หลงจะเข้าไปก่อนก็ได้

            Veerayu : เข้าก่อนได้ไง ตั๋วอยู่นี่

            Yanakorn : ฝากกับคนตรวจตั๋วหน้าทางเข้าอ่ะ

            Yanakorn : ให้เขาเขียนชื่อไว้ ถึงแล้วเดี๋ยวไปเอา

            Yanakorn : ขอโทษนะ

            แม้จะเป็นความคิดที่ดีแต่หลงไม่เห็นด้วยนัก 

            Veerayu : ไม่เป็นไร

            ในเมื่อนัดมาดูด้วยกันแล้วทำไมเขาต้องเข้าก่อน ถ้าจะช้าก็ให้มันช้าพร้อมกันไปเลย เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวหนังขนาดนั้น

            Veerayu : รอเข้าพร้อมกันนั่นแหละ

            Yanakorn : ถ้าหนังฉายก่อนอ่ะ

            Veerayu : ก็ช่างมัน

            ข้อความถูกอ่านแล้วแต่ไม่มีการตอบกลับมา หลงยังคงจ้องมันอยู่อย่างนั้น มองตัวเลขบอกเวลาบนหน้าจอที่ขยับเพิ่มขึ้น และแล้วการรอคอยก็สิ้นสุดลง

            Yanakorn : ถึงแล้ว

            Yanakorn : กำลังขึ้นไปหา

            Veerayu : ไปรอหน้าโรงนะ

            Yanakorn : โอเค

            หลงคว้ากระเป๋าที่วางอยู่บนเก้าอี้อีกตัวเดินดุ่มๆ ไปยังหน้าโรงหนังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล รอไม่ถึงนาทีคนมาสายก็วิ่งกระหืดกระหอบตรงมาหา ตั้งท่าจะคว้าแขนเขาลากเข้าไปข้างในจนต้องห้ามเอาไว้ก่อน

            "ใจเย็น พักก่อนก็ได้" หลงบอกกลั้วหัวเราะ ยื่นน้ำที่ถือติดมือมาให้เพื่อน

            เพื่อนรับน้ำไปจิบ ระยะทางจากป้ายรถเมล์มาถึงโรงหนังที่คิดว่าใกล้ๆ พอได้วิ่งด้วยความรีบร้อนก็เล่นหอบเอาเรื่อง เขายืนนิ่งอยู่สักพักให้จังหวะการเต้นของหัวใจลดลง ก่อนเอ่ยคำที่ควรพูดเมื่อมาไม่ทันตามนัด

            "ขอโทษ"

            หลงส่ายหน้าบอกคนที่กำลังทำหน้ารู้สึกผิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพื่อนไม่ได้อยากให้รถเสีย ไม่มีใครชอบให้รถติด และไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

            "ไปกัน" เมื่อเห็นว่าเพื่อนอาการดีขึ้นหลงจึงเอ่ยชวน เขาคว้าข้อมือคนมาสายให้เดินตาม เพราะถ้าหากอ้อยอิ่งกว่านี้กลัวว่าจะไปไม่ทันตอนหนังเริ่มฉาย

            แล้วก็ไม่ทันจริงๆ

            หนังเริ่มฉายไปแล้วแต่ไม่นานนัก หลงปล่อยมือที่จับเพื่อนออก เดินนำไปยังที่นั่งซึ่งอยู่แถวบนสุดของที่นั่งแบบธรรมดา เขาจองแถวริมไว้เพราะเหลือที่ให้เลือกไม่มากนัก ซึ่งดีแล้วที่ไม่ต้องเดินแทรกใครเข้าไป

            แม้จะเป็นรอบดึกแต่ภายในโรงหนังยังเต็มไปด้วยผู้คน ส่วนใหญ่เป็นวันรุ่นถึงวัยทำงาน ชวนกันมาดูอนิเมชั่นที่หลายคนพูดปากต่อปากกันว่าดี หลงเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน

            "ภาพสวยเนอะ" นั่งเงียบตั้งใจดูอยู่นานพอเจอฉากที่ชวนตื่นตาตื่นใจถึงได้หันไปหาคนข้างๆ แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ

            หลงชะโงกไปดู แม้ความมืดจะเป็นอุปสรรคแต่เห็นได้ชัดว่าเพื่อนหลับตาอยู่ แถมคอยังพับเอียงมาหาเขา สุดท้ายเลยได้แต่ยิ้มขำกับตัวเอง ชวนมาดูหนังรอบดึกแล้วดันมาหลับแบบนี้เนี่ยนะ เชื่อเขาเลย

            คนหลับเอนหัวลงมาเรื่อยๆ จนซบเข้ากับไหล่กว้าง หลงเองก็ยินดีที่จะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ ปล่อยให้คนที่ดูเพลียตั้งแต่วิ่งกระหืดกระหอบมาหาได้พักสมใจ

            คิดไปแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ แทนที่จะกลับไปนอนบ้านสบายๆ กลับต้องมานั่งหลับในโรงหนังแบบนี้ ยอมลำบากเพียงเพื่อแลกกับความสุขเล็กๆ น้อยๆ

            ยอมฝืนตัวเอง เพียงเพราะว่าอยากใช้เวลาช่วงสั้นๆ กับใครสักคน

            เพื่อนตื่นขึ้นมาอีกทีหลังจากหนังฉายไปเกินครึ่งเรื่อง เขากลับมานั่งตัวตรงทำไม่รู้ไม่ชี้เพราะคิดว่าหลงคงไม่รู้ว่าเขาหลับ พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวที่กำลังฉายอยู่ตรงหน้า แต่เพราะศึกษามาอยู่บ้างแม้จะแอบหลับแต่ก็สามารถเข้าใจเนื้อเรื่องทั้งหมดได้เกือบสมบูรณ์

            กว่าหนังจะจบปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน หลงขับรถไปส่งเพื่อนที่บ้าน ส่งคนที่ทำหน้าง่วงตั้งแต่ออกจากโรงหนังเข้านอน ก่อนกลับวนรถกลับมาตามเส้นทางเดิม

            จบไปอีกหนึ่งวัน วันที่แสนธรรมดาหากแต่พิเศษในความรู้สึก


TBC


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ฝันครั้งที่ 11

            สิ่งที่น่าเบื่อที่สุดสำหรับชีวิตคนทำงานคือฝน เพื่อนไม่ชอบฝน โดยเฉพาะเวลาใกล้เลิกงาน ทำไมฝนถึงชอบตกตอนเลิกงานเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ถ้ามันตกตอนกำลังนอนอยู่บ้านน่าจะดีกว่านี้

            เพื่อนยืนมองรถที่หยุดนิ่งบนถนนจากชั้นสามของอาคาร ฝนยังลงเม็ดปรอยๆ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะร่มของเขาสามารถทำให้ปลอดภัยจากหยดน้ำเหล่านั้นได้ สิ่งที่น่ากังวลคือการจราจรที่เหมือนเป็นอัมพาตตอนนี้ต่างหาก

            "กลับบ้านๆ" เสียงของเพื่อนร่วมงานบอกดังลั่นเมื่อถึงเวลา ทุกคนทยอยกันเดินออกจากแผนก ลงบันไดเลื่อนไปยังชั้นหนึ่งเพื่อสแกนนิ้วออกจากงาน ก่อนออกมาเผชิญสภาพอากาศแสนน่ารำคาญของวันนี้

            เพื่อนหยิบร่มสีกรมท่าออกจากกระเป๋าเดินรวมไปกับกลุ่มเพื่อน ทุกคนยังดูสรวนเสเฮฮาแม้สภาพอากาศจะไม่เป็นใจ ฝนยังลงเม็ดสม่ำเสมอและเหมือนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเพื่อนเริ่มกังวลว่าคืนนี้เขาจะกลับถึงบ้านกี่โมง

            หลังจากเดินฝ่าฝนกับฝูงชนจนมาถึงวินรถตู้ เพื่อนก็ต้องถอนใจออกมาเฮือกใหญ่กับจำนวนคนมหาศาลที่ยืนรอคิว คำนวณจากสายตาแล้วเขาต้องรอไม่ต่ำกว่าแปดคัน ท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้ายเพราะฝนกำลังตกหนักขึ้นเรื่อยๆ

            เพื่อนยืนกางร่มด้วยความสงบนิ่งอย่างรอคอย บริเวณนี้อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่และโอบล้อมไปด้วยร้านค้า มีทั้งจุดที่เปียกฝนและมีร่มกำบัง ถึงอย่างนั้นความเย็นของสายฝนกลับไม่ช่วยให้บรรยากาศอึดอัดบริเวณนี้ลดลงเลย เหมือนกับว่าทุกคนกำลังแย่งอากาศกันหายใจ

            มือซ้ายถือร่ม ส่วนมือข้างขวาหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงเมื่อรับรู้ถึงแรงสั่น แจ้งเตือนจากแอพฯ สีเขียวกับแอพฯ สีขาวขึ้นมาพร้อมกัน สีเขียวเป็นแชตจากเพื่อนร่วมงานที่บ่นเรื่องดินฟ้าอากาศ ส่วนสีขาวเป็นคำถามจากใครบางคน

            Veerayu : เลิกงานยัง

            เพื่อนเลือกกดเข้าไปที่คำถาม ใบหน้าที่เรียบนิ่งมานานเริ่มกลับมามีรอยยิ้ม

            Yanakorn : เลิกแล้ว กำลังรอรถอยู่

            Veerayu : ฝนตกมั้ย

            Yanakorn : ตกดิ

            Veerayu : ที่นี่ก็ตก

            จากพยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกทั่วกรุงเทพฯ เพราะเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูฝน แต่บางวันก็ร้อนอบอ้าว บางคืนก็อากาศเย็น ส่วนวันนี้ฝนตก เป็นประเทศที่อากาศแปรจนชักสงสัยว่าที่แห่งนี้มีฤดูกาลจริงหรือ

            Yanakorn : ถึงบ้านแล้วเหรอ

            Veerayu : ถึงนานแล้ว

            Yanakorn : ดีจริงๆ

            Yanakorn : เรายังรอรถอยู่เลย

            ไม่บอกเปล่าเพื่อนยังยกมือถือถ่ายรูปเพื่อนร่วมทางนับร้อยส่งให้หลงดู

            Yanakorn : ไม่รู้จะได้กลับเมื่อไร

            Veerayu : ทำไมเยอะขนาดนี้

            Yanakorn : ฝนตกรถติด อิจฉาคนทำงานใกล้บ้าน

            Veerayu : แล้วหลบฝนยังไง เปียกฝนมั้ย

            Yanakorn : ไม่เปียกนะ ถ้ามันไม่สาดแรงๆ

            บอกหลงไปยังไม่ทันขาดคำฝนก็สาดลงมา โชคร้ายที่เพื่อนไม่อยู่ในจุดที่ใกล้ร่มไม้หรือกันสาดจากร้านค้า ถึงจะมีร่ม ละอองน้ำก็ยังสาดมาโดนเต็มๆ อยู่ดี

            โทรศัพท์มือถือถูกเก็บใส่กระเป๋าเพราะกลัวว่าจะเปียกฝน เพื่อนเริ่มรู้สึกหนาว ยกมือลูบแขนตัวเองไปมา ขณะคิวที่รออยู่ขยับได้ทีละนิดทีละน้อย และถ้าหากฝนยังกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่องแบบนี้ มีหวังได้จับไข้แน่ๆ

 

            ม. 5 เทอม 2

            ฝนตก

            หลงนั่งเท้าคางมองไปยังต่างห้องเรียนที่แม้จะเป็นช่วงพักกลางวันนักเรียนกลับอยู่กันเต็มห้อง เหตุเพราะฝนตก จะมีก็แต่คนแปลกบางคนที่หายตัวไป หนึ่งในคนที่อยู่กลุ่มเดียวกับเขา เจ้าของที่นั่งข้างหน้าต่างที่เขากำลังมองอยู่

            จากที่นั่งเท้าคางหลงเริ่มฟุบตัวไหลไปกับโต๊ะ มองเม็ดฝนที่เรียงต่อกันเป็นสาย ได้แต่คิดว่าเจ้าของโต๊ะข้างหน้าต่างนั้นหายไปไหนกัน หายไปกันทั้งสองคน ทั้งที่ระหว่างเดินออกจากโรงอาหารยังอยู่ด้วยกันแท้ๆ

            "ไอ้เพื่อนกับไอ้เล็กหายไปไหนวะ" เต้ยที่นั่งโต๊ะด้านหน้าเอี้ยวตัวกลับมา โยนคำถามที่ทุกคนต่างสงสัยมาให้ แน่นอนว่าไม่มีใครรู้คำตอบ

            "ไม่รู้ว่ะ" ขวัญส่ายหน้า หันมองนอกหน้าต่างก่อนกลับมาอ่านหนังสือการ์ตูนที่คั่นหน้าค้างไว้ กลายเป็นมาลิกที่ช่วยออกความเห็นแทน

            "ไปเข้าห้องน้ำหรือเปล่า"

            "โคตรนาน ว่าจะขอดูการบ้านอังกฤษ" เต้ยว่าต่อแล้วหันกลับไป ก่อนขวัญจะบอกสวนขึ้นมา

            "ไอ้เก้ก็เก่งอังกฤษ ไม่ขอดูของมันวะ"

            "ก็มันไม่ให้กูดูอ่ะ"

            "มึงควรหัดทำเองก่อน" แล้วคนถูกพาดพิงอย่างเก้ก็พูดขึ้นบ้าง

            "อย่างกดิวะ"

            "มึงก็อย่าขี้เกียจ"

            "ทำอยู่เนี่ย ขี้เกียจตรงไหน"

            "ขี้เกียจใช้สมองไง"

            "เอ้า! บักห่านี่" พอโดนด่าเต้ยเลยเผลอขึ้นภาษาอีสานใส่

            หลงมองเพื่อนสองคนเถียงกันแล้วอมยิ้ม ฟุบหน้าลงกับท่อนแขนที่เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกว่านุ่มหนุนแล้วหลับสบาย พอได้ลองหนุนเองแล้วก็ชักจะเห็นด้วยกับคำบอกนั้น

            เหลือเวลาอีกสิบนาทีจะหมดเวลาพัก หลงหลับตาตั้งใจจะหลับสักงีบ แต่เสียงโหวกเหวกที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นทำให้ต้องตัดใจจากการหลับกลางวันแล้วเงยหน้าขึ้นมา

            "พวกมึงไปเล่นอะไรกันมาเนี่ย!"

            หลงหันไปมองประตูห้องเรียน หลายคนในห้องดูแตกตื่น แต่คนสร้างเรื่องกลับเอาแต่ยิ้มโชว์แก้มบุ๋มกับเพื่อนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างกัน

            สภาพที่เห็นทำเอาหลงต้องยืดตัวนั่งตรงเพื่อมองไปยังทั้งคู่ เพื่อนกับเล็กตัวเปียกซ่ก ไม่ต้องเดาให้ยากว่าทั้งสองคนไปทำอะไรกันมาในเวลาที่ฝนกำลังตกกระหน่ำแบบนี้

            "ไม่ต้องเข้ามาในห้องนะเว้ย! เดี๋ยวเปียก" ใครสักคนตะโกนขึ้นมา แต่มีหรือคนที่กล้าออกไปเล่นน้ำฝนก่อนเข้าเรียนแบบนี้จะฟัง

            "กูบิดจนหมาดแล้ว ไม่เป็นไรหรอกมึง" เล็กเถียง พร้อมก้าวอาดๆ เข้ามาในห้อง

            คนด่าก็ด่าไปยังไงคนไม่ฟังก็ยังทำตัวดื้อรั้นอยู่ดี เพื่อนกับเล็กเข้ามานั่งประจำที่ เสื้อพละสีเขียวเข้มเปียกแนบไปกับตัว โชว์สัดส่วนที่ทำเอาสาวๆ พากับเหลือบมอง ยังดีที่มันไม่ใช่เสื้อนักเรียนสีขาว ไม่อย่างนั้นคงเห็นทะลุผิวผ้าไปถึงไหนต่อไหน ดีไม่ดีอาจมีคนหัวใสถ่ายรูปพี่เพื่อนของน้องๆ ในชุดนักเรียนเปียกฝนสุดเซ็กซี่ไปขายต่อก็เป็นได้

            "ไปเล่นน้ำฝนกันมาเหรอวะ"  เต้ยยิงคำถามใส่ทันทีที่เพื่อนกับเล็กนั่งที่โต๊ะตัวเอง คนตัวเปียกยิ้มรับ ก่อนเล็กจะโยนไปให้คนต้นคิดเรื่องนี้

            "ไอ้เพื่อนมันชวน"

            "เป็นบ้ากันเหรอพวกมึง หรืออกหัก อยู่ๆ ชวนกันเล่นน้ำฝน เดี๋ยวก็ไม่สบาย" เป็นเก้ที่หันมาว่า แต่เพื่อนก็ยังเอาแต่ยิ้มอยู่ดี

            "แค่อยากเล่นน้ำเฉยๆ"

            "กลับไปเล่นฝักบัวที่บ้านมึงมั้ย พื้นนองขนาดนี้"

            เมื่อลองมองกลับไปตามทางที่เพื่อนกับเล็กเดินมาก็เห็นหยดน้ำเป็นทางอย่างที่เต้ยว่า เล็กเลยลุกขึ้นไปหยิบไม้ถูพื้นที่หลังห้องมาถู แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรในเมื่อเสื้อผ้าที่ใส่ยังเปียกอยู่ อีกอย่าง สิ่งที่เล็กทำมันดูไร้ประโยชน์จนเต้ยต้องเรียกให้กลับมานั่งที่ ทว่าคนที่ดูติดใจประเด็นอื่นมากกว่าจะเป็นเก้

            "กับน้องกิ๊บมึงโอเคอยู่ใช่มั้ยวะ" เหตุผลที่อยู่ๆ ใครคนหนึ่งนึกอยากจะวิ่งออกไปเล่นน้ำฝนขึ้นมาต้องมีอะไรอยู่เบื้องลึกเบื้องหลัง มีอะไรอัดอั้นอยู่ภายในใจจนอยากระบายด้วยการทำอะไรบ้าๆ แต่พอคิดว่าคนที่ทำเรื่องแบบนี้คือเพื่อน บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้

            "โอเคดิ"

            "โอเคก็ดี กูคิดว่ามึงมีปัญหาแล้วไม่ยอมบอก"

            "ไม่มีอะไรหรอกมึง มันบอกว่าไม่เคยเล่นน้ำฝน กูเลยบอกว่าก็ไปเล่นดิ" เป็นเล็กที่พูดขึ้นมาบ้าง

            "งั้นก็เป็นมึงดิที่ชวน"

            "ไม่เว้ย กูแค่เสนอ ไอ้เพื่อนมันชวนเอง"

            "แล้วก็ไม่ห้ามกันเลย" เก้บ่นอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนหันหน้ากลับไปเพราะขี้เกียจจะเถียงด้วย

            เพื่อนยังคงนั่งยิ้มมองสายฝนผ่านบานหน้าต่าง ขณะที่เล็กหันไปคุยกับมาลิกและขวัญ กระทั่งอาจารย์ประจำวิชาเดินเข้ามา เสียงโหวกเหวกเหมือนนกกระจอกแตกรังถึงได้เงียบลง

            ระหว่างคาบเรียนวิชาสังคมหลายครั้งหลายหนที่หลงละความสนใจจากครูที่สอนอยู่หน้าชั้น เขามองไปยังที่นั่งข้างหน้าต่าง ตรงที่เพื่อนนั่งอยู่ มองคนที่กำลังกอดตัวเอง ปากสั่นตัวสั่น แม้จะมีเล็กคอยถามไถ่อาการอยู่เป็นระยะ แต่เห็นแล้วก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี

            ทันทีที่หมดคาบเรียนหลงก็ออกไปจากห้องเรียน เขากึ่งวิ่งกึ่งเดินลงบันไดตรงไปยังห้องพยาบาล ยืนลังเลอยู่ชั่วครู่เพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาอยากได้ครูประจำห้องพยาบาลจะอนุญาตให้เอาออกไปหรือเปล่า แต่เมื่อนึกถึงอาการหนาวสั่นของเพื่อนที่นั่งริมหน้าต่างแล้วเขาจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป

 

            "หายไปไหนมาวะ" โหน่งเอ่ยถามอย่างงุนงงเมื่อหลงที่ลุกพรวดออกจากห้องไปตอนหมดคาบเดินกลับเข้ามา แถมมาพร้อมกับของบางอย่างที่ทำให้สงสัยยิ่งกว่าเดิม

            "ห้องพยาบาล" หลงตอบคำถามเพื่อนแต่ไม่ได้หยุดอยู่ที่ที่นั่งตัวเอง เขาเดินไปอีกโต๊ะ ก่อนยื่นผ้าห่มให้เพื่อนที่มองมาด้วยแววตาสงสัยเหมือนกับทุกคนในห้อง

            ทั้งสองคนสบตากันนิ่ง เพื่อนไม่ได้ยื่นมือมารับ หลงก็ถือค้างอยู่อย่างนั้น จนเล็กเป็นคนคว้าผ้าห่มไปคลุมตัวเพื่อนไว้เพราะมันเกะกะขวางทางโต๊ะเขา

            "ขอบใจ" เสียงแผ่วเบามาพร้อมกับรอยยิ้มละมุน

            หลงหันหน้าหนีตั้งใจจะกลับไปโต๊ะตัวเอง เพราะรอยยิ้มที่ได้รับนั้นมันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ แต่ยังไม่ทันได้เดินไปไหนเล็กก็ขัดขึ้นมา

            "มึงเอามาให้ไอ้เพื่อนคนเดียวเหรอวะ"

            "อืม"

            "ไม่เผื่อกูเลย"

            "มึงหนาวเหรอ"

            "น้ำใจไงคับเพื่อน คือกูก็เปียกอ่ะ มึงมันลำเอียง"

            ไม่รู้ทำไมหลงถึงเถียงไม่ออก เขายืนนิ่ง พยายามคิดคำมาเถียงแต่กลับคิดไม่ทัน ในเมื่อสิ่งที่เล็กพูดมันคือความจริง

            เขา...ลำเอียง

            "ก็ห่มด้วยกันไปดิ" บอกแค่นั้นหลงก็เดินกลับมาที่โต๊ะเป็นการจัดจบประเด็น

            ถ้าเขาไม่เถียงกับเล็ก

            ถ้าเขาบอกว่าผ้าห่มนี้ให้ทั้งสองคนใช้ด้วยกัน

            ถ้าเขาไม่ยอมรับว่าไปขอผ้าห่มมาให้เพื่อนคนเดียว

            เขาก็คงไม่มีความรู้สึกประหลาดแบบนี้

            ความรู้สึกประหลาดที่เกิดจากรอยยิ้มขอบคุณนั้น

 

-----------------------------

 

            Veerayu : ได้ขึ้นรถยัง

            พิมพ์ถามไปแล้วหลงเพิ่งจะได้สังเกตเวลาตอนนี้ สองทุ่มห้าสิบ นับรวมเวลาตั้งแต่เริ่มคุยกันก็สี่สิบนาทีเห็นจะได้ มันนานมากพอที่เพื่อนควรจะได้ขึ้นรถแล้ว

            Yanakorn : คันต่อไป

            ได้รับคำตอบแล้วหลงเหนื่อยแทน ฝนก็ตก รอรถก็นาน ให้ขับรถไปทำงานเองก็ไม่เอา ถ้าเขาเลิกงานเร็วกว่านี้หรือที่ทำงานอยู่ใกล้คงจะขับรถไปรับกลับด้วยกัน

            Yanakorn : ขึ้นรถแล้วคงหลับยาว

            Veerayu : ระวังเลยป้าย

            Yanakorn : ถ้าเลยก็ไปนอนบ้านคนขับเลย 555

            Veerayu : ทำเป็นเล่นไป

            Yanakorn : รถมาแล้ว

            ความจริงหลงอยากจะพิมพ์ว่าไปยาวกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่เมื่อรู้ว่าเพื่อนได้ขึ้นรถสักทีเลยลบประโยคที่กำลังพิมพ์ออก แล้วแสดงความยินดีออกไปแทน

            Veerayu : ดีใจด้วย

            Yanakorn : แบบนี้ต้องฉลอง

            Yanakorn : พรุ่งนี้เลิกงานไปหาอะไรกินกัน

            Veerayu : แค่ได้ขึ้นรถถึงกับต้องฉลอง

            Yanakorn : ฉลองดิ เป็นเรื่องน่ายินดี

            Yanakorn : ไปกันนะ

            อ่านคำชวนแกมบังคับแล้วหลงก็ได้แต่ยิ้มให้หน้าจอ ปกติเขาเคยปฏิเสธด้วยเหรอ จะชวนกี่ครั้ง จะด้วยเหตุผลอะไร แค่เป็นคนที่ชื่อเพื่อนชวนเขาก็มักจะยอมให้ทุกที

            Veerayu : ก็ไปดิ

            Yanakorn : งั้นเจอกันพรุ่งนี้

            Yanakorn : เดี๋ยวนอนละ คนขับเขาปิดไฟไล่แล้ว

            Veerayu : อย่าหลับเพลินนะ ระวังคนข้างๆ ด้วย

            Yanakorn : รู้แล้ว

            Veerayu : ไม่กวนแล้ว

            Yanakorn : ถึงบ้านแล้วจะบอก

            Veerayu : โอเค

            หลงมองหน้าจอแชตอยู่สักพักเมื่อเพื่อนไม่ได้พิมพ์อะไรตอบกลับมาอีกถึงได้ออกจากแอพฯ กดล็อกหน้าจอแล้ววางมันไว้ข้างตัว

            อีกไม่กี่นาทีจะสามทุ่ม ทุกคนในบ้านกำลังจดจ่ออยู่กับรายการทีวีช่องดัง หลงไม่ได้สนใจรายการเหล่านี้เป็นพิเศษ เลยนั่งแยกอยู่อีกฝั่งของบ้านเพื่อใช้เวลาก่อนนอนอยู่กับเพื่อนที่ชื่อเพื่อน คนที่เลิกงานเกือบชั่วโมงแล้วแต่กลับติดฝนทำให้ยังไม่ถึงบ้านเสียที

            หลงเงยหน้ามองท้องฟ้าหน้าบ้านที่เห็นเพียงสีดำมืดกับแสงรำไรของดวงดาว ที่นี่ฝนไม่ตก มีลงเม็ดช่วงเย็นนิดหน่อยพอทำให้พื้นถนนเปียกแล้วก็หยุด คิดไปแล้วก็ชักห่วงคนที่กำลังเดินทางขึ้นมา ตัวเปียกไหม บนรถตู้แอร์จะเย็นเกินไปจนหนาวหรือเปล่า ถึงแม้เพื่อนจะเป็นคนขี้ร้อนแต่ถ้าตัวเปียกแล้วเจอแอร์ต่อให้ขี้ร้อนแค่ไหนย่อมมีหนาวสั่นกันบ้าง

            คิดขึ้นได้มือถือที่วางไว้ข้างตัวก็ถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้ง หลงปลดล็อกหน้าจอกดเข้าแอพฯ บรรจงพิมพ์ข้อความลงไปแล้วกดส่ง

            Veerayu : ถึงบ้านก็รีบอาบน้ำ กินยา แล้วเข้านอนนะ

            Veerayu : ฝันดี

            Veerayu : แต่อย่างฝันจนนั่งเลยป้ายล่ะ

            ไม่รู้ว่าป่านนี้คนบนรถจะหลับหรือยัง แต่เมื่อเห็นข้อความนี้แล้ว ขอแค่ยอมทำตามที่บอกก็พอ

 
TBC

 
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่k

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :pig4:  หาเรื่องเดทตลอด

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ฝันครั้งที่ 12


            เพื่อนไม่ใช่คนขี้โรค ไม่บ่อยนักที่จะป่วยนอนซมเป็นผัก มีบ้างที่เจ็บออดๆ แอดๆ เป็นหวัดคัดจมูกแค่กินยาแป๊บเดียวก็หาย เพื่อนไม่เคยนอนโรงพยาบาล ไม่เคยได้รับอุบัติเหตุรุนแรงและไม่ค่อยอยากไปหาหมอสักเท่าไร แต่ครั้งนี้ถ้าเขายังไม่ยอมพักคงจะได้แอดมิดจริงๆ เสียล่ะมั้ง

            "แค่กๆๆ"

            ก็เล่นไอจนตัวโยนขนาดนี้

            "ไหวมั้ยเพื่อน" ทันตแพทย์สาวใหญ่ อาจารย์เวรประจำวันเสาร์ทักขึ้นอย่างนึกเป็นห่วง

            "ไหวครับอาจารย์"

            "แต่เสียงไปหมดแล้วนะ"

            คนป่วยยิ้มรับจนตาที่โผล่พ้นหน้ากากอนามัยออกมาโค้งเป็นสระอิ เพื่อนเริ่มมีไข้เมื่อสามวันที่ผ่านมาหลังจากตากฝนวันนั้น แม้จะทำตามที่หลงบอกแล้วก็ไม่เห็นว่ามันจะช่วยอะไร เขารีบอาบน้ำนอนทันทีที่กลับถึงบ้าน แค่ไม่ได้กินยาดักไว้เท่านั้นเอง แต่ทำสองในสามอย่างก็ถือว่าทำตามแล้ว

            "เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้พักแล้วครับอาจารย์"

            "ไปหาหมอด้วยล่ะ"

            เพื่อนยิ้มตาหยีให้อาจารย์อีกครั้ง ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เขาไม่อยากไปหาหมอ เบื่อการรอคิวนานๆ แล้วได้ยาที่ไม่ต่างจากการไปซื้อเองที่ร้านขายยานัก สู้เอาเวลาไปนอนพักดีกว่า

            เสร็จจากเคส CT Scan คนสุดท้ายของช่วงบ่ายเพื่อนก็ปลีกตัวออกมาเพื่อให้อาจารย์ได้มีสมาธิกับการแปลผลฟิล์ม เขากลับมานั่งกับเพื่อนเจ้าหน้าที่ ช่วงที่ไม่มีคนไข้ทุกคนมักจะจดจ่ออยู่กับมือถือหรือไม่ก็นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อย

            นั่งลงที่ตัวเองได้เพื่อนก็คว้ามือถือที่เผลอลืมวางไว้บนโต๊ะตอนลุกไปทำเคส CT Scan เมื่อครู่นี้ขึ้นมาเปิดดู ปกติเขาไม่มีใครให้ต้องติดต่อนัก คนเดียวที่แจ้งเตือนบ่อยที่สุดช่วงนี้คือหลง คนที่เขาขยันทักไปกวนทุกวี่ทุกวัน

            Veerayu : เลิกงานแล้วนะ

            เวลาเลิกงานวันเสาร์ของหลงขึ้นอยู่กับจำนวนงาน เสร็จเร็วหน่อยก็เลิกบ่ายสอง ช้าหน่อยก็สี่โมงเย็น หรือถ้างานมันล้นจริงๆ ลากไปหกโมงเย็นก็มี

            Yanakorn : อยากเลิกแล้วววววว

            Veerayu : ก็บอกให้ลา

            Yanakorn : วันนี้ลาไม่ได้ ไม่มีคน

            Veerayu : งั้นก็อย่ามางอแง

            อ่านสิ่งที่หลงตอบกลับมาแล้วเพื่อนถึงกับเบ้ปากใส่หน้าจอ แล้วจู่ๆ วิดีโอคอลจากหลงก็ดังขึ้นมาอย่างกับรู้ตัวว่าโดนเขาทำตัวดื้อด้านใส่

            เพื่อนรีบค้นหูฟังที่ซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อกาวน์ขึ้นมาเสียบ กดรับแล้วทำเงียบมองปลายสายที่ไม่ยอมพูดอะไรกลับมาเช่นกัน แต่สุดท้ายก็เป็นฝ่ายทักออกไปก่อน

            "กำลังกลับบ้านเหรอ" เห็นทั้งพวงมาลัยทั้งห้องผู้โดยสารแบบนี้คงไม่ต้องเดาให้ยาก

            [อืม แต่ยังไม่อยากกลับ แดดร้อน แล้วเป็นไงบ้าง ดีขึ้นยัง เอาแมสลงขอดูหน้าหน่อยดิ๊]

            "ไม่เอาอ่ะ"

            [ตาแดง เป็นไร ร้องไห้]

            "เมื่อกี้ไอ น้ำตาไหล ปวดหัว"

            [ก็บอกให้หยุดไม่ยอมหยุด]

            "มันไม่มีคนทำงาน" พอโดนบ่นแบบนี้ซ้ำๆ เพื่อนเลยทำเสียงงอแงใส่

            [อย่างอแง] แล้วก็โดนว่าคำเดิม

            "อีกสองชั่วโมงเดี๋ยวก็เลิกแล้ว"

            [จะไม่น็อคก่อนใช่มั้ย]

            "ไม่เป็นไรหรอก แถวนี้โรง'บาลเยอะ ประกันสังคมก็อยู่โรง'บาลข้างๆ เนี่ย ตั้งแต่ทำงานมายังไม่เคยใช้เลย"

            [ตลกเหรอ] หลงว่าเสียงเข้มกลับมาจนคนป่วยทำท่าจะงอแงใส่อีกรอบ

            ไม่บ่อยที่หลงจะดุ แม้หน้าตอนปกติจะดูใจดีแต่พอทำขรึมขึ้นมาก็โหดใช่เล่น แถมยังเป็นครั้งแรกที่เพื่อนโดนอีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่อารมณ์

            "ไม่เคยเห็นหลงดุ"

            [คนมันทำตัวน่าดุ ห่วงแต่เงิน]

            "ไม่ได้ห่วงเงิน ก็มันไม่มีคนทำงาน"

            หลงมองกลับมานิ่งๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา สีหน้าคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง และถ้าหลงไม่คิดจะพูดอะไรออกมาเพื่อนคงต้องวางสาย เพราะคนไข้ที่หายไปช่วงหนึ่งกำลังทยอยกันมาอีกละรอก

            "วางแล้วนะ คนไข้มา"

            [ส่งโลเคชั่นมาหน่อย]

            ขอคำที่เอ่ยขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึงทำเอาคนฟังเลิกคิ้วสูง ขยับหน้าเข้าใกล้จออย่างกับว่าจะได้ยินเสียงชัดขึ้น ทั้งที่เสียงมันออกมาทางหูฟัง

            [จะไปรับที่ทำงาน]

            "มาจริงอ่ะ"

            [อืม]

            เป็นอีกครั้งที่เพื่อนยิ้มกว้าง นึกอยากจะแซวหลงเล่นแต่กลัวอีกฝ่ายเปลี่ยนใจเลยสงบปากสงบคำเอาไว้

            ไม่ได้อยากจะรบกวนขนาดนี้เพราะทางมันไกล แต่อีกใจก็ไม่อยากปฏิเสธเหมือนกัน

            [อย่ามัวแต่ยิ้มจนลืมส่ง]

            "อนุสาวรีย์ชัยฯ อ่ะ"

            [แล้วจะรู้มั้ยว่าตรงไหนของอนุสาวรีย์]

            "โอเคครับ จะรีบส่งไปให้เลย แค่นี้ก่อนนะ"

            หลงพยักหน้ารับแล้วตัดสายไป

            เพื่อนส่งโลเคชั่นที่ทำงานไปให้หลงก่อนเก็บมือถือใส่กระเป๋าเสื้อกาวน์ ริมฝีปากยังแต้มด้วยรอยยิ้มภายใต้หน้ากากอนามัย เขาเดินอารมณ์ดีออกจากที่นั่งไปรับคนไข้ที่ทยอยกันเข้ามา สีหน้าสดใสอย่างกับไม่ใช่คนป่วย

            อีกแค่สองชั่วโมงเท่านั้น ทนทำงานอีกสองชั่วโมงเขาก็จะได้พัก และได้เจอคนที่อยากเจอ

            คิดเพียงเท่านี้ก็รู้สึกเหมือนจะหายป่วยขึ้นมาทันที

 

            หลงขับรถมาถึงที่ทำงานเพื่อนในช่วงเวลาใกล้เลิกงานพอดี เขาจอดรถรออยู่หน้าตึกไม่นานคนป่วยกับเพื่อนร่วมงานหลายคนก็ทยอยเดินออกมา บอกลากันพอเป็นพิธีเพื่อนก็เดินตรงมาที่รถกระบะสี่ประตู แม้ริมฝีปากจะถูกซ่อนภายใต้หน้ากากอนามัย แต่ดวงตาคู่นั้นบอกให้หลงรู้ว่าเพื่อนกำลังยิ้ม

            คนป่วยขึ้นมาประจำที่นั่ง วางกระเป๋าไว้บนตักแล้วดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด ก่อนถอดแมสออก

            "จะปล่อยเชื้อเหรอ" พลขับออกรถพร้อมเอ่ยแซว หลงอมยิ้มไม่ได้จริงจังอะไรนัก

            "ไหนบอกอยากเห็นหน้าไง"

            "ตอนนี้ไม่อยากเห็นแล้ว"

            "เดี๋ยวจะปล่อยเชื้อใส่" เพื่อนขู่หลังได้ฟังคำตอบ หันไปแยกเขี้ยวใส่หลงที่ยังเอาแต่อมยิ้ม

            ท้องถนนในเย็นวันเสาร์รถไม่ติดนัก หลงขับรถออกจากซอย ผ่านวงเวียน ก่อนเข้าสู่ถนนใหญ่ คนป่วยมองตามร้านอาหารที่รถวิ่งผ่าน เวลาเลิกงานคือเวลาที่ควรหาของกินใส่กระเพาะ แม้ไม่หิวมากก็อยากจะกิน

            "แวะกินอะไรก่อนมั้ย"

            "หิวแล้วเหรอ"

            "ไม่เท่าไร"

            "งั้นกลับบ้านไปนอนเถอะ"

            คนโดนขัดใจทำปากยื่นปากยาว เพื่อนไม่ได้หิวแต่หลงคงไม่เข้าใจว่าเขาอยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้นานกว่านี้ ยังไม่อยากรีบกลับบ้าน ยังไม่อยากแยกจากกัน อย่างน้อยขอยืดเวลาออกไปสักหนึ่งชั่วโมงก็ยังดี แน่นอนว่าเขาไม่มีทางยอมให้หลงพากลับไปปล่อยทิ้งไว้ที่บ้านง่ายๆ

            "ก็ต้องกินข้าวกินยาก่อนไงแล้วค่อยนอน หลงไม่หิวเหรอ"

            "เพิ่งกินมา"

            ได้รับคำตอบแล้วเพื่อนหมดคำจะชวน ที่มาคงตั้งใจมารับจริงๆ ส่งถึงบ้านแล้วก็แยกย้าย ไม่ต้องมีหรอกกินคงกินข้าว แค่บึ่งรถมารับจากอีกฟากของกรุงเทพฯ ก็ดีแค่ไหนแล้ว เขาต้องขอบคุณสิถึงจะถูก แต่การตื้อเท่านั้นที่ครองโลก

            "ไม่กินจริงอ่ะ"

            "ไม่กิน"

            "งั้นแวะซื้ออะไรกลับไปกินก็ได้" สุดท้ายเพื่อนก็ยอมแพ้

            หลงเหล่มองแล้วหลุดยิ้ม ที่ปฏิเสธไม่ใช่ว่าไม่อยากไป เขาไม่หิวมันก็อีกเรื่อง แต่เพราะอยากให้คนป่วยรีบกลับไปพักผ่อนมากกว่า

            "ไม่ต้องแวะหรอก เดี๋ยวกลับไปต้มโจ๊กให้กิน"

            "ต้มโจ๊ก?"

            "ใช่ คนป่วยต้องกินโจ๊ก เสร็จแล้วก็รีบนอน"

            "ทำโจ๊กเป็นด้วยเหรอ"

            "เป็นดิ"

            "ไม่เคยรู้ว่าทำกับข้าวเป็น"

            "โจ๊กซองนะ"

            เหมือนถูกดับฝันเมื่อหลงบุ้ยหน้าไปเบาะหลังที่มีถุงพลาสติกจากห้างสรรพสินค้าวางอยู่

            "ทำไม ไม่อยากกินโจ๊กซอง?" เห็นหน้ามุ่ยๆ ของคนผิดหวังแล้วหลงนึกขำ

            "อะไรก็กินทั้งนั้นอ่ะตอนนี้"

            แม้จะหวังไว้สูงแต่เพื่อนไม่ใช่คนเลือกมากขนาดนั้น โดยเฉพาะกับหลง อีกฝ่ายให้ได้แค่ไหน เขาก็พอใจกับสิ่งนั้นที่ได้รับแล้ว

            "ขอบคุณนะ"

 

            เสาร์อาทิตย์นี้เพื่อนต้องอยู่บ้านคนเดียวเพราะแม่ไปสัมมนาที่ต่างจังหวัด หลงรู้เรื่องนี้ดีเลยคิดวางแผนไว้แต่แรกเมื่อรู้ว่าเพื่อนไม่สบาย อีกเหตุผลหนึ่งคือเพราะเขายุให้เพื่อนหยุดงานไม่สำเร็จ จากที่คิดว่าจะมาหาที่บ้านเฉยๆ เลยตัดสินใจไปรับที่ทำงานแทน

            กลิ่นโจ๊กหมูแบบสำเร็จรูปลอยคลุ้งไปทั่วห้องครัวโดยฝีมือพ่อครัวจำเป็น หลงไม่ใช่คนทำอาหารเก่ง แต่ให้อยู่คนเดียวก็ไม่อดตาย เห็นโจ๊กในหม้อเดือดปุดๆ แล้วก็ยกยิ้มอย่างนึกภูมิใจ ปิดไฟเทใส่ถ้วยตอกไข่ใส่หนึ่งฟองก็เสร็จเรียบร้อย

            หลงยกถ้วยโจ๊กเข้ามาหาคนป่วยในห้องนั่งเล่น วางมันลงบนโต๊ะก่อนปลุกคนที่ให้รอนิดรอหน่อยก็หลับคอพับคาโซฟา แล้วแบบนี้น่ะเหรอที่จะชวนไปกินข้าวข้างนอก คิดไม่ผิดที่ไม่ใจอ่อนแล้วพากลับมาบ้าน

            แรงเขย่าที่ไหล่ทำให้คนป่วยปรือตาขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าหลงทำโจ๊กให้เสร็จแล้วเพื่อนเลยรีบยันตัวนั่งดีๆ กำลังจะเอ่ยขอบคุณแต่ต้องชะงักเมื่อฝ่ามือใหญ่ยื่นมาวางบนหน้าผาก

            "ตัวไม่ร้อนมาก อาบน้ำได้ใช่มั้ย"

            เพื่อนพยักหน้ารับช้าๆ หลงถึงได้เอามือออก เป็นเพราะความใจดีแบบนี้นี่แหละที่ทำให้เขาเผลอใจให้หลายต่อหลายครั้ง

            "งั้นก็รีบกินข้าวกินยา จะได้อาบน้ำนอน"

            คนป่วยทำตัวว่าง่ายยามที่ใกล้จะหมดแรง เพื่อนลงไปนั่งกับพื้นเพื่อจะได้นั่งกินได้สะดวก จับช้อนตักโจ๊กขึ้นมาเป่าอยู่นานสองนานกว่าจะใส่เข้าปาก หลงที่ย้ายลงมานั่งพื้นตามก็ได้แต่ท้าวคางมอง

            "จะหมดมั้ยคืนนี้" กินช้าจนอดไม่ได้ต้องแขวะ

            "ก็มันร้อน มือไม่ค่อยมีแรงด้วย"

            "ช่วยป้อนมั้ย"

            "ไม่ต้อง" เพื่อนพูดสวนขึ้นมาทันที ถึงจะป่วยแต่เขาไม่ใช่เด็ก ถึงจะชอบแต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ดูแลตัวเองไม่ได้ อีกอย่างจะให้หลงมาป้อนข้าวมันแปลก แปลกที่ใกล้เคียงกับคำว่าเขิน

            "เล่นตัว"

            "หลงก็อย่าอ่อยเยอะดิ"

            "ไปอ่อยตอนไหน"

            "ก็อย่างตอนนี้นี่ไง"

            "อ่อยที่ไหน เขาเรียกเป็นห่วง เพื่อนไม่สบายก็มาดูแล แบบนี้คือเป็นห่วง" พูดครั้งเดียวไม่พอหลงถึงกับเน้นประโยคสุดท้ายให้ฟังอีกรอบ แล้วก็โดนเพื่อนพูดสวนกลับมา

            "ห่วงแบบเพื่อน?"

            หลงเงียบยังไม่ยอมตอบ คนตัวโตอมยิ้ม มองเจ้าของแววตาสุกใสที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างรอคอย เขาเคยพูดไปแล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้

            "ตอนนี้ก็เอาแบบเพื่อนไปก่อน" ฝ่ามือใหญ่วางแหมะลงบนผมยุ่งๆ ที่ชี้โด่เด่ไม่เป็นทรง

            เพื่อนทำหน้ามุ่ยกว่าเดิม โยกหัวหนีจนมือหลงหล่นลงมาบนไหล่ ซ้ำยังปัดมือที่วางบนไหล่ทิ้งอีก

            "บอกแล้วไงว่าอย่ามาให้ความหวัง แบบนี้ไงเขาเรียกกว่าอ่อย"

            "ไม่งอแงดิ เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ"

            เพื่อนก้มหน้าใช้ช้อนคนโจ๊กในชามเล่น อาจจะเป็นเพราะพิษไข้หรืออย่างไรไม่ทราบในใจเขาถึงได้สับสนขนาดนี้ มันคงอ่อนแอและอยากได้ความมั่นคง อยากได้รับคำยืนยันที่ไม่รู้ว่าต้องรอต่อไปถึงเมื่อไร ความรู้สึกของหลงเป็นยังไง ในใจคิดอะไรเขาอยากรู้ แล้วตอนจบที่ว่าไม่เหมือนเดิมนั่นจะเป็นแบบไหน ถ้าหากเปลี่ยนโจ๊กถ้วยนี้เป็นเหล้าได้ก็คงดี เขาจะดื่มให้เมาแล้วเค้นเอาความลับที่อยู่ในใจคนตรงหน้าออกมา

            "อย่าเล่นของกิน"

            "อิ่มแล้ว"

            "โตแล้วนะไม่ใช่เด็กๆ อย่างอแง"

            "ตอนนี้อายุฉามขวบ"

            "เฮ้อ~" หลงถึงกับถอนหายใจออกมากับความงอแงของคนป่วย ใจนึกอยากจะเขกกะโหลกแรงๆ ให้หายเพ้อ แต่ติดที่เขาเป็นพวกรักสงบไม่เคยคิดลงไม้ลงมือกับใคร โดยเฉพาะกับคนคนนี้

            "รีบกิน เดี๋ยวมันก็เย็นหมดหรอก อาบน้ำเสร็จเดี๋ยวเล่านิทานให้ฟัง"

            "ไม่ใช่เด็ก"

            "ไหนเมื่อกี้บอกฉามขวบ" หลงชูสามนิ้วทำหน้ากวนประสาทใส่ จนเพื่อนอยากใช้ช้อนตีหน้าผากสักที

            "ล้อเลียน"

            "ก็รีบๆ กิน จะได้กินยา"

            เพื่อนไม่เถียงต่อ ตักโจ๊กที่เริ่มหายร้อนกินไปเรื่อยๆ โดยมีคนตัวโตนั่งคุมอยู่ข้างๆ เงียบอยู่นานจนโจ๊กพร่องไปกว่าครึ่งคนที่มีนิสัยช่างพูดก็ชวนเปิดประเด็นอีกครั้ง

            "เดี๋ยวคืนนี้ค้างด้วย"

            มือที่กำลังจะตักโจ๊กชะงักค้าง เพื่อนเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูด ก่อนหรี่ตามองแล้วพูดหยอกล้อเพื่อไม่ให้ใจคิดเข้าข้างตัวเอง

            "อ่อยอีกละ"

            "หรือไม่อยากให้ค้าง"

            "ไม่กลัวติดหวัดเหรอ"

            "ไม่ได้อ่อนแอเหมือนใครบางคนแถวนี้หรอก"

            "เออ พ่อคนแข็งแรง ติดมาไม่รับผิดชอบนะ"

            "ถ้าติดเมื่อไรค่อยว่ากัน" คำบอกแฝงด้วยความท้าทาย หลงมั่นใจ มีหรือคนอย่างเพื่อนจะไม่ห่วงหากเขาติดหวัดจริงๆ

            "จะค้างก็แล้วแต่" แล้วมีหรือที่เพื่อนจะปฏิเสธคำขอนี้

            บังคับให้กินข้าวกินยาเสร็จหลงก็ไล่เพื่อนไปอาบน้ำตั้งแต่ยังไม่หนึ่งทุ่ม เขาออกไปเอาเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ในรถระหว่างรอ กลับเข้ามาในบ้านอีกทีก็เห็นเพื่อนนั่งรออยู่ที่โซฟาแล้วเรียบร้อย แถมยังแปลงร่างเป็นมนุษย์ผ้าห่มอีกด้วย

            "อาบน้ำหรือวิ่งผ่าน"

            "มันหนาวอ่ะ"

            หลงเดินเข้ามาประชิดตัวก่อนก้มลงใช้หลังมือแตะหน้าผากเพื่อนเพื่อวัดอุณหภูมิของร่างกายอีกครั้ง ยังดีที่ตัวไม่ร้อนมากนัก กินข้าวกินยาไปแล้ว ได้นอนหลับพักผ่อนเยอะๆ คงดีขึ้น

            "ไปนอนได้แล้ว"

            "รีบนอนไปไหน เพิ่งจะหนึ่งทุ่มเอง"

            "ไปนอน" หลงยื่นคำขาด เมื่อกี้ยังเห็นนั่งตาปรือ เขารู้ว่าเพื่อนง่วง คนคนนี้รักการนอนยิ่งกว่าใครเหมือนเจ้าโคอาล่าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทีวี แต่ที่ยังไม่ยอมนอนอาจเป็นเพราะกำลังรอเขาก็ได้

            "แล้วหลงอ่ะ" ถามตาละห้อยเหมือนเด็กกำลังจะโดนทิ้ง ทำเอาหลงอดยิ้มไม่ได้เพราะเป็นอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ

            "เดี๋ยวไปนอนด้วย"

            "เตียงเดียวกัน?"

            "แล้วจะให้นอนตรงไหน"

            "ห้องแม่"

            หลงเลิกคิ้วมอง เขารู้ว่าเพื่อนยังห่วงกลัวว่าจะติดหวัดเลยไม่อยากให้นอนเตียงเดียวกัน แต่จะให้ไปนอนห้องแม่ก็คงไม่เหมาะ และถ้าหากเจ้าของห้องไม่ยอมให้นอนเขาคงระเห็จตัวเองมานอนที่โซฟาข้างล่าง

            "นอนโซฟาก็ได้"

            "ไม่ได้"

            หลงกอดอกมองคนป่วยที่ชักจะเอาแต่ใจขึ้นทุกที

            เจ้าของบ้านเงียบสักพัก ใช้เวลาเพื่อชั่งน้ำหนักสิ่งที่ควรให้ทำและสิ่งที่อยากให้ทำ สุดท้ายเขาก็สลัดความกังวลทุกอย่าง แม้จะห่วงแต่โอกาสมากองตรงหน้าแล้วคงต้องรีบคว้าไว้ ก็ได้แต่หวังว่าหลงจะไม่ติดหวัด

            "งั้นนอนด้วยกันนี่แหละ"

 

            เตียงขนาดห้าฟุตดูเล็กลงไปถนัดตาเมื่อผู้ชายตัวสูงใหญ่นอนอยู่ข้างกัน เพื่อนเอาหมอนข้างมาวางตรงกลางเพื่อเว้นระยะห่าง เขานอนตะแคงมองหลงที่หันมาหา คนตัวโตกว่าปากขยับพูดไม่หยุดตั้งแต่ล้มตัวลงนอน วิญญาณหลงหลับเข้าสิงร่าง เล่าเรื่องศรีธนญชัยที่เพื่อนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมหลงถึงหยิบเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังก่อนนอน

            "เล่าอะไรเนี่ย จะหลับแล้ว"

            "อยากให้หลับไง ยังไม่จบ อย่าเพิ่งขัด"

            "ไม่เอาแล้ว เปลี่ยนเรื่องๆ"

            อยากให้เปลี่ยนเรื่องหลงก็เปลี่ยนให้ตามคำขอ เขาหยุดเรื่องศรีธนญชัยไว้เพียงเท่านี้แล้วเล่าเรื่องแปลกของต่างประเทศแทน อย่างเช่นภัยพิบัติต่างๆ การเดินทางข้ามเวลา และสัตว์ประหลาด

            สมัยเรียนหลงเคยเล่าเรื่องราวทำนองนี้ให้เพื่อนๆ ฟังไม่บ่อยนัก เพราะเล่าเมื่อไรมักโดนบอกให้หยุด คนที่เคยฟังเขาเล่าเรื่องศรีธนญชัยจนหลับบนรถสองแถวก็เห็นจะมีแค่เพื่อนเดียว ครั้งนี้เขาเลยอยากใช้เรื่องนี้กล่อมเพื่อนนอนอีก

            คนป่วยนอนฟังไม่นานนักก็หลับ หลงหยุดพูด ยังนอนมองอยู่อย่างนั้นจนแน่ใจว่าเพื่อนหลับสนิทจึงขยับเข้าไปใกล้ ยกหมอนข้างที่กั้นระหว่างกลางออกไปวางข้างหลัง มองใบหน้ายามหลับใหลที่แม้จะซีดเซียวเพราะพิษไข้แต่ยังดูมีเสน่ห์ไม่เปลี่ยนแปลง

            หลงพยายามขยับตัวให้เบาที่สุดเพื่อย่นระยะห่าง สอดแขนเข้าใต้หัวเพื่อนให้หนุนแขนเขาต่างหมอน โชคดีที่คนป่วยไม่สะดุ้งตื่นเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้จะแก้ตัวกับการกระทำในครั้งนี้ยังไง

            ขอให้คืนนี้ทั้งเขาและเพื่อนหลับฝันดี
 

TBC

 
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
เค้าก็รักกันเนอะ แบบค่อนเป็นค่อนไป

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Plavann

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
หลงรีบๆแน่ใจนะ เราเริ่มสงสารเพื่อนแล้ว  :hao5:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
รู้สึกโรแมนติกจังเลยค่ะ มันดีมากๆ ชอบบรรยากาศฝนตกในเรื่องสุดๆ  :hao5:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ละมุนมากกกกกก
ชอบบบความหลงและความเพื่อน

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ฝันครั้งที่ 13

            วันอาทิตย์เป็นเพียงวันเดียวในสัปดาห์ที่สามารถตื่นนอนเมื่อไรก็ได้โดยไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุก รอจนตะวันสาดแสงผ่านผ้าม่านให้ห้องที่เคยมืดมีแสงสว่างรอดมารำไร หรือไม่ก็รอจนกว่าร่างกายจะรู้สึกว่าได้รับการพักอย่างเพียงพอ แต่สำหรับคนป่วยที่โหมทำงานหนักมาหลายวัน แม้จะนอนไปมากแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่พอ

            เพื่อนขยับพลิกตัวแล้วบิดขี้เกียจ ปรือตาขึ้นปัดป่ายมือควานหาโทรศัพท์เพื่อดูเวลา

            9.13 น.

            หลับนานอะไรขนาดนั้นตั้งสิบสามชั่วโมง

            เพื่อนวางมือถือไว้ที่เดิม พลิกตัวคว้าหมอนข้างมากอด มองพื้นที่ว่างบนเตียงที่เคยมีคนตัวโตนอนอยู่แล้วอมยิ้มกับตัวเอง ถ้าจำไม่ผิดหลงน่าจะตื่นตั้งแต่ฟ้าสาง บอกกับเขาที่ยังสะลึมสะลือว่าจะไปตลาด แต่สายป่านนี้แล้วยังไม่ขึ้นมาปลุกกันสักที ไม่ใช่ว่าหนีกลับไปแล้วหรอกนะ

            นอนเอื่อยเฉื่อยอยู่อีกพักใหญ่กว่าที่เพื่อนคิดจะลุกจากเตียงอย่างจริงจัง ยังปวดหัวนิดหน่อยตอนลุกนั่ง แต่โดยรวมแล้วรู้สึกดีกว่าเมื่อวาน

            กำลังจะก้าวขาลงจากเตียงประตูห้องนอนก็เปิดออกเสียก่อน เพื่อนเลยนั่งห้อยขารอให้หลงเดินเข้ามาหา

            "ว่าจะขึ้นมาปลุกพอดี เป็นไงบ้าง ดีขึ้นมั้ย" หลงยกมือแตะหน้าผากก่อนเปลี่ยนมาแตะข้างแก้ม เขาพยักหน้าพอใจกับตัวเองเมื่อตัวเพื่อนไม่ร้อนเท่าเมื่อวาน

            "ยังปวดหัวนิดหน่อย"

            "ไปแปรงฟันไป จะได้ลงไปกินข้าวกินยา"

            เพื่อนว่าง่ายตามคำบอก ลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวผืนเล็กเตรียมเข้าห้องน้ำ แต่กลับเปลี่ยนใจเดินมาหยุดตรงหน้าหลงแทน

คนตัวโตกว่าเลิกคิ้วถาม ด้วยส่วนสูงที่ห่างกันไม่มากทำให้ทั้งคู่ยืนสบตากันได้พอดี เพื่อนแย้มยิ้ม มีสิ่งหนึ่งที่เขาอยากบอกให้หลงรู้ อยากถอนคำพูดที่เคยบอกไว้เมื่อครั้งแรกที่ได้กลับมาเจอกัน

            "แขนน่ะ"

            "..."

            "ยังหนุนแล้วหลับสบายเหมือนเดิมนะ"

            แขนของใครเล่าจะน่าหลงใหลเท่าแขนของหลง จากแขนของเด็กอ้วนเติบโตเป็นแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของชายหนุ่ม แม้ไม่นุ่มนิ่มเหมือนเก่า แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน การได้นอนหนุนแขนหลงก็ยังเป็นสิ่งที่เพื่อนชอบอยู่ดี

            "พูดมาก" คนตัวโตหันกลับเดินไปที่ประตู ปิดบังรอยยิ้มที่บังคับไม่ได้ ซ่อนมันไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเห็น

            หลงออกจากห้องไปแล้ว แต่เพื่อนยังยืนอยู่ที่เดิม มองเตียงขนาดห้าฟุตที่เคยนอนคนเดียวมาตลอด หลงจะรู้ไหมว่าเป็นคนแรกที่เขายอมให้ขึ้นมาร่วมเตียง แม้จะเป็นการนอนหลับพักผ่อนธรรมดาไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แต่เป็นคืนที่ฝันดีกว่าคืนไหนๆ

            คืนที่ได้นอนหนุนแขนของหลงอีกครั้ง

 

            เพื่อนไม่มั่นใจว่าหลงไปซื้อข้าวเช้าหรือไปเหมาตลาดมากันแน่ เมื่อบนโต๊ะกินข้าวในครัวมีถุงพลาสติกที่ใส่ของกินวางอยู่เต็มไปหมด แต่เมนูที่ถูกเทใส่ถ้วยเตรียมไว้มีเพียงโจ๊กกับปาท่องโก๋

            "โจ๊กอีกแล้ว" เมื่อวานก็โจ๊ก เช้านี้ก็โจ๊กอีก เพื่อนอยากจะบอกหลงเหลือเกินว่าคนป่วยไม่จำเป็นต้องกินโจ๊กอย่างเดียวก็ได้

            "มีก๋วยจั๊บ แต่ไม่ชอบกินหนิ" ใครจะรู้เรื่องของกินดีเท่าหลง เพื่อนไม่กินอะไรก็เป็นเขานี่แหละที่กินให้หมด

            เมื่อมองหาอย่างอื่นที่น่ากินกว่านี้ไม่เจอเพื่อนเลยต้องยอมนั่งประจำที่หน้าถ้วยโจ๊ก ตักมันกินไปเรื่อยๆ โดยไม่พูดอะไร ผู้ดูแลอย่างหลงก็เตรียมขนมกับยามาวางไว้ ทั้งที่รู้ว่าขนมไทยนานาชนิดที่ซื้อมานั้นมาล่อตาล่อใจมากกว่าโจ๊กที่หายร้อนหมดแล้วก็ตาม

            เพื่อนหยิบปาท่องโก๋มากิน หมดแล้วก็หยิบขนมครกใส่ปาก สลับมากินโจ๊กบ้าง แล้วก็หยิบขนมชั้นมากินอีก สลับกินไปมาผสมทั้งของคาวของหวานมั่วไปหมด

            หลังจากจัดการของกินให้เพื่อนเสร็จหลงก็มานั่งฝั่งตรงข้าม มองคนป่วยที่กำลังเพลิดเพลินกับการกิน หน้าตาสดใสดูมีความสุขไม่ซีดเซียวเหมือนเมื่อวาน กลับมาเป็นพี่เพื่อนที่สดใสของน้องๆ อีกครั้ง

            จะว่าไปแล้วมันเมื่อไรกันนะ...เมื่อไรที่ความรู้สึกพิเศษเหล่านี้เข้ามาปะปนกับคำว่ามิตรภาพ

            "เอาแต่จ้อง ไม่กินเหรอ"

            ความคิดถูกขัดเมื่อเพื่อนทักขึ้นมา หลงส่ายหน้า เขากินแล้วตั้งแต่ชั่วโมงก่อน ถึงอย่างนั้นคนป่วยกลับไม่ยอมหยุดสงสัย

            "คิดอะไรอยู่"

            "คิดถึงเรื่องเก่าๆ"

            คราวนี้เป็นเพื่อนที่เงียบรอฟัง ริมฝีปากแย้มยิ้มจนเห็นแก้มบุ๋ม เรื่องเก่าๆ อย่างนั้นเหรอ เขาเองก็อยากฟังเหมือนกัน

            "กำลังคิดอยู่ว่า..."

            "ว่า..."

            "ถูกชอบตั้งแต่เมื่อไร"

 

            ม. 6 เทอม 1

            ชีวิต ม.6 คือช่วงที่ได้พักจากกิจกรรมต่างๆ เป็นช่วงที่ต้องหันหน้าเข้าหาตำรา ติวเข้มเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ค้นหาตัวเอง กำหนดอนาคต หลายคนตั้งใจมุ่งมั่น แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่เคยเดือดเนื้อร้อนใจกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า

            อย่างเช่นเพื่อนที่ชื่อเพื่อนคนนี้

            "มึงเรียนภาคบ่ายเหรอวะ" เล็กร้องถามเมื่อเห็นคนที่เพิ่งถูกปล่อยตัวจากแถวคนมาสายเดินเข้ามาในห้อง

            เพื่อนยิ้มจนเห็นแก้มบุ๋มเดินมานั่งที่โต๊ะ วางกระเป๋าแล้วหยิบบัตรใบหนึ่งขึ้นมาโชว์ให้เพื่อนๆ ดูอย่างภาคภูมิใจ

            "กูต้องช่วยป๊าม้าขายปาท่องโก๋"

            "ปลาท่องโก๋อะไรของมึง ไหนมาดูดิ๊" เล็กคว้าบัตรจากมือเพื่อนไปดู เต้ยกับเก้ก็หันมามุงเช่นกัน

            "บัตรอนุญาตเข้าสาย" เก้เอียงหน้าอ่านข้อความบนบัตรแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ในโรงเรียนมันมีบัตรแบบนี้ด้วยงั้นเหรอ

            เพื่อนๆ ในกลุ่มต่างมองหน้าเพื่อนอย่างต้องการคำตอบ คนที่ช่วงนี้มาสายเป็นประตำแต่ดันได้บัตรอนุญาตให้เข้าสายได้ ไหนจะปลาท่องโก๋อะไรนั่นอีก เรื่องนี้มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล

            "คืองี้ ช่วงนี้มาสายบ่อยรองสุกิจเลยเรียกไปคุย กูเลยบอกว่าต้องตื่นเช้ามาช่วยป๊าม้าขายปลาท่องโก๋เพราะคนงานที่บ้านขาด คุยไปคุยมาเขาก็ให้บัตรนี้กูมา"

            "คิดได้ไงวะ"

            "เหี้ยมาก"

            "มึงนี่นะ"

            "เลววววว"

            เพื่อนๆ ที่ได้ยินพากันด่าแบบไม่ต้องคิด ก็บ้านไอ้เพื่อนคนนี้ขายปลาท่องโก๋เสียที่ไหน มันตื่นสายเพราะมัวแต่เล่นเกมจนดึกดื่นมากกว่า

            "ก็แถไปงั้นอ่ะ ไม่คิดว่าจะเชื่อ"

            และแล้วเพื่อนก็โดนเพื่อนๆ รัวคำพูดใส่เป็น บ้างก็อยากทำตาม บ้างก็เป็นห่วงกลัวทางโรงเรียนตามไปดูที่บ้าน สุดท้ายคือโดนด่า เพราะการทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องและไม่ควรเลียนแบบ แม้ทุกคนจะนึกอิจฉาอยู่บ้างก็ตาม

            หลงที่นั่งอยู่อีกแถวได้แต่รับฟังสิ่งที่เพื่อนๆ คุยกันอยู่ห่างๆ เขาคิดว่าเพื่อนเป็นคนกล้า แต่เป็นความกล้าในทางที่ผิด ถ้าเป็นเขาคงไม่กล้าบอกอาจารย์ไปแบบนั้น คงยอมรับผิด และบอกตัวเองว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก

 

            การเรียนการสอนของคาบเช้าเป็นไปอย่างเชื่องช้าจนในที่สุดก็ถึงเวลาพัก กลุ่มหลังห้องฝั่งหน้าต่างชวนกันไปกินข้าวเสร็จแล้วก็ขึ้นมาทำตัวขี้เกียจอยู่บนห้องเรียนเพื่อรอเรียนคาบบ่าย มนุษย์โคอาล่าที่เอาแต่เล่นเกมตอนกลางคืนตั้งท่าเตรียมฟุบโต๊ะนอน เขาจึงเดินตรงไปหาหมอนประจำตัว ยึดเก้าอี้ของโหน่งที่หายไปอยู่กับแฟนรุ่นน้องมาเป็นของตัวเอง

            "หลง"

            หนุ่มอ้วนที่ง่วนกับการเล่นเกมในมือถือเงยหน้าขึ้นมอง รอยยิ้มสดใสที่มอบให้บอกให้เขารู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร

            "ขอเล่นตานี้จบก่อน" หลงขอเวลา เขากำลังจะทำลายสถิติเกมนี้ของตัวเองได้ เลยอยากเล่นให้จบตาก่อน

            "สนุกเหรอ"

            "ก็สนุกดี"

            "ไม่ลองเล่นออนไลน์อ่ะ สนุกกว่าเยอะ"

            "ยังไม่อยากติดเกมเหมือนคนแถวนี้"

            เพื่อนหัวเราะเสียงใสเมื่อได้ฟังคำตอบ ช่วงนี้เขาติดเกมหนักมากจริงๆ แต่ยังแบ่งเวลาให้การเรียนอยู่บ้าง อย่างน้อยก็อยากเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ให้ได้ เครียดจากการอ่านหนังสือเมื่อไรเลยมุ่งไปที่โต๊ะคอมฯ ทันที

            "ง่วงแล้วอ่ะ" จะให้รอก็ไม่รู้ว่าเกมจะจบเมื่อไรเลยลองงอแงใส่ เพื่อนรู้ว่าการทำแบบนี้มันออกจะน่ารำคาญ แต่คนใจดีอย่างหลงไม่ลุกขึ้นมาด่าเขาเหมือนเพื่อนคนอื่นแน่นอน

            "ก็นอนไปก่อน"

            "นอนไงอ่ะ นอนตักเหรอ"

            "หนุนแขนตัวเองไปก่อนดิ ฟุบไปเลย อย่าเพิ่งกวน"

            "ไม่อยากหนุนแขนตัวเอง มันไม่นุ่มอ่ะ" การวอแวด้วยประโยคนี้ได้ผลเมื่อหลงเหลือบมามอง แม้จะแค่แวบเดียวก็ตาม

            "กินให้มันเยอะๆ จะได้อ้วน"

            "กินเยอะแล้ว"

            ไม่รู้ว่าหลงรำคาญหรือเบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียงหรืออย่างไร เลยตัดสินใจหยุดเกมไว้แล้วเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง

            เกมน่ะ เอาไว้สร้างสถิติใหม่ทีหลังก็ได้ แต่เพื่อนคนนี้จะเข้ามายุ่มย่ามกับเขาแค่เวลาพักเท่านั้น เวลาที่แขนอ้วนๆ นิ่มๆ ได้ทำอะไรมีประโยชน์กับเขาบ้าง

            "ไม่เล่นแล้วเหรอ"

            "ไว้เล่นทีหลัง"

            "เฮ้ย เล่นต่อได้นะ รู้สึกผิดเลยที่มากวน"

            เพื่อนคนนี้กวนประสาท หลงคิดแบบนั้น ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงด่ากลับไปแล้วแต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่นึกอยากด่าเพื่อนกับเขาบ้าง อาจจะเป็นเพราะรอยยิ้มกับหน้าง่วงๆ นี่ก็ได้

            "จะนอนไม่นอน"

            "นอนดิ นอนๆ" เพื่อนรีบตอบรับอย่างรวดเร็ว

            ทั้งคู่หันหน้าเข้าหากัน หลงวางแขนไว้บนโต๊ะ เพื่อนขยับเก้าอี้ให้เข้าใกล้กว่าเดิมก่อนฟุบลงนอน หนุนหมอนนุ่มๆ ประจำตัวที่เขาชอบ และมีเขาเพียงคนเดียวที่ได้ครอบครองมัน

            "ขอบใจนะ" บอกเสียงแผ่วยามที่เปลือกตาปิดสนิท

            หลงยังนั่งอยู่ท่าเดิม จ้องมองใบหน้าที่ใครๆ ต่างชื่นชอบ ใบหน้าที่ยังดูมีเสน่ห์แม้ยามหลับใหล มองริมฝีปากที่เจือรอยยิ้มบางๆ คล้ายกำลังฝันดี

            เพื่อนหลับจริง แกล้งหลับ หรือหลับสบายหรือเปล่าหลงไม่สามารถรู้ได้ เขารู้เพียงว่าทุกครั้งที่ได้มองคนตรงหน้าโมเมเอาแขนเขาไปหนุนแทนหมอนมันทำให้เขามีความสุข ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าหมอนใบนี้มีมนต์ซ่อนอยู่ หากผู้ใดได้หนุนนอนแล้วจะหลับฝันดี

            เช่นเพื่อนที่ชื่อคนนี้ คนที่เขาอยากให้หลับฝันดียามได้หนุน

 

            'แขนของหลงเป็นของเพื่อน' เป็นคำตอบทุกคนได้รับเมื่อถามไถ่ถึงสาเหตุที่พักนี้คนดังประจำโรงเรียนชอบไปขอนอนหนุนแขนเพื่อนตัวอ้วนเวลาพัก เป็นคำตอบที่ไม่ได้ช่วยไขข้อข้องใจสักเท่าไร แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครอยากซักไซ้อะไรให้มากความ เพราะเพื่อนก็คือเพื่อน บุคคลที่ทำตัวเข้าใจยากที่สุดในห้อง

            รอยยิ้มกว้างกับร่างสูงผอมที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะเรียนบอกให้หลงรู้ว่าแขนของเขากำลังจะโดนยึด แต่เพราะวันนี้โหน่งนั่งอยู่เพื่อนเลยไม่สามารถเอาตัวเข้ามาแทรกได้ สิ่งที่หลงได้รับจึงเป็นสายตาอ้อนขอที่พักหลังมันถูกใช้กับเขาบ่อยเสียเหลือเกิน

            "จะนอนเหรอ"

            "เดี๋ยววันเกิดพวกกูซื้อหมอนให้เอามั้ย" คนที่มีแววจะโดนแย่งที่อย่างโหน่งพูดขึ้นมา ก่อนเล็กจะช่วยพูดสมบทอีกแรง

            "มึงควรเลิกนอนดึก"

            "นอนเร็วมันก็ยังชอบฟุบตอนพักอยู่ดีป้ะวะ เห็นมันชอบไปขอแขนไอ้หลงนอนตั้งแต่ ม.ห้า ละ แต่ช่วงนี้ถี่เกิน มึงตัดแขนไอ้หลงไปเป็นของตัวเองเลยเถอะ" เต้ยผู้ช่างสังเกตร่ายยาว ทว่าคนที่จะถูกขัดแขนไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้

            "อย่าตัดแขนกู"

            "เออ ห้ามตัดแขนหลง" เพื่อนเองก็เห็นด้วย

            "ตัดไปไอ้เพื่อนคงขาดใจตาย" เสริมด้วยเก้อีกคน

            "แขนของหลงคือแขนของเพื่อน จำไว้!" ปิดท้ายด้วยขวัญ

            "โว้ย! ใครจะไปตัดแขนมัน กูล้อเล่นมั้ยล่ะ ไม่ต้องมาขมวดคิ้วใส่" เต้ยแวดออกมาเมื่อโดนเพื่อนๆ แกล้งกลับ

            เพื่อนหัวเราะชอบใจกับการต่อมุกของคนในกลุ่ม เขายังยืนค้ำอยู่หน้าโต๊ะหลงไม่ไปไหน ไม่ได้ตั้งใจจะไล่ใครแม้สุดท้ายโหน่งจะยอมเป็นผู้ที่จากมาเองก็ตาม

            "อ่ะๆ มึงนั่งไปเลย เดี๋ยวกูไปนั่งกับไอ้เล็ก" โหน่งขนของลุกไปนั่งที่เพื่อน เปิดโอกาสให้คนขี้เซาได้ใช้หมอนประจำตัวได้ตามใจ

            เพื่อนยิ้มร่าเมื่อทางสะดวก เดินอ้อมไปนั่งที่โหน่งทันที เจ้าของแขนอ้วนนุ่มนิ่มก็วางแขนลงบนโต๊ะอย่างรู้งาน แม้จะเหลือเวลาพักแค่สิบนาทีก็ตามที

            กลายเป็นวัฏจักรซ้ำๆ ที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน เพื่อนฟุบหนุนแขน เจ้าของแขนก็นั่งมองคนหลับ ไม่มีใครเอ่ยปฏิเสธหรือผลักไสจนกลายเป็นเรื่องเคยชิน จะครึ่งชั่วโมง สิบนาที หรือห้านาที ขอแค่ได้อิงหัวแนบชิด ได้หลับตาหนีจากเรื่องวุ่นวาย ได้แค่นี้ก็พอ

 
-----------------------------


            คำถามไม่คาดคิดจากหลงทำเอาคนที่กำลังเพลิดเพลินกับการกินชะงักชั่วครู่ เพื่อนไม่ได้กลัวที่จะตอบ เขาพร้อมเล่าทุกอย่างหากอีกฝ่ายอยากฟัง เป็นเรื่องน่ายินดี ดีกว่าเมื่อแปดปีก่อนลิบลับ ดีกว่าหลงคนนั้นที่ไม่ยอมรับฟังอะไรจากเขาเลย

            "ไม่รู้ตัวเลยเหรอ"

            "ถ้ารู้แล้วจะถามทำไม"

            เพื่อนยิ้มขำตัวเอง เขาก็ถามอะไรแปลกๆ แต่ถ้าให้ตอบตามความจริงเขาเองก็ไม่รู้ว่าไปหลงรักคนคนนี้เข้าตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็เผลอยกใจให้ไปแล้ว

            "ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนไหน"

            "ชอบเขาแต่ดันไม่รู้เนี่ยนะ" หลงไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้ไม่หลุดยิ้มกว้างตอนถามคำถาม เพื่อนในตอนนี้ไม่เคยต่างจากเมื่อแปดปีก่อน มันเหมือนกับว่าเขากำลังมองเพื่อนในวัยสิบแปดปีทำหน้าครุ่นคิด ใบหน้ามีเสน่ห์ที่ไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำ

            "ตอบยาก"

            "มาหลงรักคนอ้วนๆ ไม่มีอะไรดีไม่ยากกว่าเหรอ"

            "ยากเพราะเลือกไม่ถูกว่าจะตกหลุมรักตอนไหนดีมากกว่า"

            ถ้าเป็นคนไม่รู้จักมาพูดว่าหลงเป็นเด็กอ้วนไม่มีอะไรดีเพื่อนจะโกรธ เขาคือคนที่ได้รับสิ่งดีๆ จากหลงมานับไม่ถ้วน บ่อยครั้งจนเลือกไม่ได้ว่าจะตกหลุมรัก

            "หลงจำไม่ได้เหรอว่าทำอะไรเอาไว้บ้าง"

            "พูดอย่างกับทำความผิด"

            หน้าตึงๆ กับคิ้วขมวดของหลงทำให้เพื่อนหัวเราะ ถ้านับเรื่องเหล่านั้นเป็นความผิด ก็คงผิดที่ทำให้เขาคิดเกินเลยจากคำว่าเพื่อนล่ะมั้ง

            "ช่วยหากุญแจบ้าน ช่วยวาดรูป เอาผ้าห่มมาให้ แล้วยังให้หนุนแขนอีก มีอะไรอีกตั้งเยอะแยะที่หลงเคยทำให้"

            "มันก็เรื่องธรรมดาที่เพื่อนเขาทำให้กันไม่ใช่เหรอ" หลงไม่เข้าใจว่าเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้นทำให้คนอย่างเพื่อนเดินหลงทางได้ยังไง สิ่งที่เขาก็ปฏิบัติกับเพื่อนคนอื่นอย่างเท่าเทียม

            "เรื่องธรรมดาๆ ที่มีแค่หลงทำ หลงใจดีนะ แถมยังอ่อนโยน คนอื่นมันไม่เป็นแบบนั้น"

            มันคือความแตกต่าง เป็นจุดเล็กๆ ที่เพื่อนรู้สึก ความแตกต่างที่ทำให้เขารักหลงในแบบที่ต่างออกไป ความรักที่ไม่เหมือนเพื่อนคนอื่น

            "แล้วหลงใจดีแบบนี้กับทุกคนหรือเปล่า ถ้าให้ตอบก็ขอตอบแบบเข้าข้างตัวเองเลยว่าไม่ หลงไม่ได้ใจดีกับทุกคน เพราะงั้นเลยทำให้รู้สึกเหมือนเป็นคนพิเศษล่ะมั้ง"

            หลงไม่เถียงเพราะรู้ดีแก่ใจ เขาใจดีกับทุกคนที่รู้จัก แต่โดยพื้นฐานของมนุษย์แล้วมักมีความลำเอียงให้ใครสักคนเสมอ สำหรับเขาคนคนนั้นคือเพื่อน เพื่อนที่ใครๆ ต่างชื่อชอบ เพื่อนที่ทำอะไรทุกคนก็ว่าดีไปเสียหมด เพื่อนที่สดใสร่าเริง เพื่อน...ที่ไม่ควรมาชอบคนอย่างเขา

            เวลาแปดปีที่ห่างเหินช่วยให้หลงคิดอะไรได้หลายอย่าง เขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ลองมองโลกในมุมใหม่ พยายามเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวและเปิดใจให้กับมัน กระทั่งวันที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง เขาไม่เคยคิดว่าความรู้สึกเก่าๆ ของคนที่หายหน้าไปจะยังเหมือนเดิม ความรู้สึกที่เขาเผลอทำร้ายไปเพราะความขลาดกลัว

            "แล้ว...ไม่โกรธเลยเหรอ"

            "โกรธเรื่อง?"

            "ที่โดนปฏิเสธ"

            "เรียกว่าเสียใจจนเสียหลักดีกว่า" เพื่อนแย้มรอยยิ้มบางๆ

            กาลเวลาทำให้เรื่องเลวร้ายในอดีตเป็นเรื่องน่าขัน เมื่อตัวเราผ่านจุดนั้นมาแล้วมักเอามาพูดล้อเล่นได้โดยไม่คิดอะไร หรือไม่ก็คิดน้อยกว่าเก่า กลายเป็นประสบการณ์ชั้นเยี่ยมที่ทำให้เติบโตขึ้น เป็นสิ่งที่เตือนใจเพื่อไม่ให้ทำผิดพลาดอีก

            คนที่เป็นศูนย์กลาง คนที่ไม่เคยขวนขวายเพื่อเข้าหา คนที่มีความมั่นใจในตัวเองอย่างเหลือล้น เมื่อผลที่ออกมาไม่เป็นอย่างที่หวัง ทุกอย่างเลยพังทลายไม่เหลือชิ้นดี

            แววตาหมองเศร้าที่ฉายชัดในดวงตาที่เคยสดใสทำให้หลงลุกจากเก้าอี้เพื่อเดินมาหา เขาหยุดยืนตรงหน้าเพื่อน วางมือบนหัวทุยที่เส้นผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ทั้งคู่สบตากันโดยไม่มีคำพูดใด ฝ่ามือใหญ่ละจากกลุ่มผมเลื่อนลงมาหยุดที่ปลายคาง จับมันให้เชิดขึ้นก่อนโน้มตัวลงไปหา แล้วแตะริมฝีปากกับคนตรงหน้าด้วยความโยนอ่อน

            เขาเคยสัญญากับตัวเองไว้แล้ว สัญญา...ว่าจะไม่ทำให้เพื่อนคนนี้เสียใจอีก

            ทุกๆ การกระทำในอดีต ทุกๆ ความรู้สึกที่เคยปิดกั้น บางทีเขาอาจจะโดนเพื่อนคนนี้หลอกให้หลงมานานแล้วก็ได้

            หลงเพื่อน...ที่ชื่อเพื่อน


TBC

 
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เป็นแฟนกันเลยไหมคะะะะ  :hao5:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ชัดเจนในความรู้สึกขนาดนี้ ขอกันเป็นแฟนเถอะ

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
มาขนาดนี้ก็ได้ด้กันไปเลยค่าาาา :heaven :heaven

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด