Lies 9: Warm sun and wind in my ears
ผมมองค้อนฌาณอย่างหงุดหงิด โกรธที่เขาพามาที่ไกลๆ ยังไม่พอ ต้องเดินเยอะ แถมฝนยังตกจนต้องมาหลบฝนในห้องน้ำสาธารณะที่หนาวๆ นี่อีก แต่ฌาณก็ได้แต่ยิ้มขำใส่ผมอยู่นั่นแหละ เสื้อผมเปียกไปจนถึงกางเกงในแล้ว และมันก็หนาวมากๆ ด้วย ผมโกรธฌาณแล้ว โกรธมากๆ มากๆ
“ไหนมากอดกัน”
“ไม่ต้องมายุ่ง!”
“ไม่หนาวหรือ”
“ไม่!”
“เด็กดีไม่โกหกนะ”
ผมหน้ามุ่ย ขยับตัวหนีอ้อมแขนของเขา เพราะฌาณนั่นแหละทำให้ผมต้องมาเปียกฝนแถมหนาวแบบนี้ โกรธมาก ไม่ต้องมายุ่งเลย
จากเรื่องที่ผมเล่าให้ฌาณฟังพอคิดดูก็ตลกดี ผมอยากจะหนีจากไนล์ แต่พอจะหนีไปไกลๆ ที่แรกที่ผมนึกถึงกลับเป็นประเทศที่เราเคยสัญญาว่าจะมาด้วยกันให้ได้สักครั้ง
ตลกซ้ำสองเมื่อผมถูกซีนหักหลังอีกครา ครั้งนี้ผมไม่โทษใครเลยนอกจากตัวเอง ผมไว้ใจคนง่ายไปจริงๆ คิดง่ายเกินไปเพียงเพราะไม่ต้องการจะอยู่ในสถานที่ที่มีแต่ความทรงจำของผมกับไนล์เต็มไปหมด จนเกือบพลาดท่า
ตลกที่สามคือพอผมได้มาเจอฌาณแต่กลับกังวลว่าเขาจะเป็นคนไม่ดีเหมือนซีนรึเปล่า แต่ผมโง่ในการใช้ชีวิตเหลือเกิน ไม่รู้จะปกป้องตัวเองยังไง คิดว่าการไม่บอกข้อมูลตัวเองออกไปน่าจะเป็นเรื่องที่ดี และเป็นตลกที่สี่...ที่ผมเลือกใช้ชื่อไนล์แทนชื่อตัวเอง...
น่าขำที่ชื่อแรกที่โผล่เข้ามาในหัวกลับเป็นชื่อของคนที่ผมหนีมา ยิ่งตอกย้ำว่าผมไม่มีทางลบเขาออกไปได้เลย
บอกแล้ว ผมรับมือกับปัญหาไม่เก่งหรอก มันมั่วซั่วเละเทะไปหมด แต่สุดท้ายคนที่ประกอบเศษซากร่างกายที่แหลกละเอียดของผมให้กลับมาก็คือฌาณ...
จบเรื่องราว ฌาณไม่ได้เอ่ยความเห็นอะไร เพียงแค่ลูบหลังเช็ดน้ำตาให้ผมไปเรื่อยๆ สัมผัสอุ่นกล่อมผมจนเคลิ้มหลับไป...
เช้าวันต่อมาผมปวดหัวเพราะเมื่อคืนร้องไห้อย่างหนัก เรื่องราวที่กดไว้ในส่วนลึกของหัวใจถูกตะกรุยขึ้นมาอย่างเละเทะ ทุกอย่างที่ผมหนีมากลับย้อนเข้ามาโจมตีผมอีกครั้ง เพียงเพราะผมไม่หนักแน่นเอง
เพราะสุดท้ายคนที่แหวกพื้นที่ต้องห้ามให้มาโจมตีใส่ผมก็คือตัวผมเอง
ฌาณยื่นแก้วโกโก้อุ่นๆ มาให้เมื่อผมลืมตาตื่น ชันตัวพิงหัวเตียงได้พักนึง ผมเอ่ยขอบคุณเขา รับน้ำโกโก้แสนอร่อยมาจิบ เรื่องราวหนักหัวคล้ายจะหายไปเหมือนโกโก้ของฌาณช่วยเยียวยา
“นอนพักซะ เหมือนจะมีไข้หน่อยๆ ด้วยนี่” ฌาณบอกผม ซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้าเมื่อรู้สึกตาร้อนและปวดหัว เมื่อโกโก้หมดแก้วแล้วก็ส่งกลับไปให้ฌาณ ก่อนนอนคลุมโปงปวกเปียกอยู่บนเตียงอีกครั้ง
ผมซึมกะทือไปทั้งวัน แม้ว่าวันต่อมาฌาณจะพาผมไปเที่ยวที่ Devonport แล้วก็ตาม Devonport อยู่ในเมืองโอ๊คแลนด์ เป็นพื้นที่ที่ยื่นเข้าไปในทะเลเกือบจะเป็นเกาะอยู่แล้ว เราเดินทางโดยเรือเพราะใกล้กว่านั่งรถไป นั่งเรือไปประมาณสิบห้านาทีก็ถึง แต่เพราะมันเป็นเกาะเล็กๆ เลยไม่มีอะไรนอกจากเนินเขาสูงๆ ให้เดิน...อีกแล้ว
ครานี้เนินเขาวิคตอเรียไม่ได้ทำให้ผมประทับใจเหมือนเขาอีเดน หรือวันทรีฮิลล์แล้ว เพราะมันเหมือนกันหมด ข้างบนเป็นฟ้าข้างล่างเป็นหญ้า สีฟ้าตัดกับสีเขียว เหมือนกับทุกที่นั่นแหละ จะมีก็แต่เขาวิคตอเรียมีท่อเห็ดสีแดงสดที่วางเรียงรายอยู่บนยอดเขาให้ถ่ายรูปเหมือนอยู่ในเกมมาริโอ้ แต่ก็แค่นั้น
ฌาณพาผมไปกินฟิชแอนด์ชิพแถวนั้น มันก็อร่อยดีแต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมร่าเริงขึ้นเริง จะมีก็แต่ร้านช็อกโกแล็ตบูติคของที่นี่ที่พอทำให้ผมรู้สึกสนใจขึ้นมาบ้าง ผมซื้อช็อกโกแลตมาหลายกล่องเพราะคิดว่งคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีก ฌาณก็ไม่ว่าอะไร เราจบวันกันอย่างงงๆ
ผมถอนหายใจเหม่อลอยอยู่บนโซฟาเบด ส่วนฌาณนั่งพิมพ์วิจัย ผมไม่น่าโหลดไลน์กลับมาเล่นเลย ตอนนั้นคิดอะไรอยู่อ่ะ...
หรือหวังอะไรอยู่...
ป๊อก
“เลิกคิดมากได้แล้ว”
ผมตกใจที่จู่ๆ ฌาณก็เอาปากกามาเคาะหัวผม ผมคงถอนหายใจน่ารำคาญมากไปหน่อย และเพราะผมนั่งอยู่ข้างเขาที่โซฟาเบดทำให้ฌาณทำร้ายผมได้อย่างง่ายดาย
“...คนเรามันเลิกคิดได้ด้วยหรือไง” ผมเถียง เบ้ปากบู้
“ทีก่อนหน้านี้ยังไม่คิดมากขนาดนี้เลย”
“ก่อนหน้านี้ผมหนีความจริงหรอก”
“อยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ”
“...”
“ยังไงเราก็กลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้อยู่แล้ว กลุ้มใจไปก็เหนื่อยเปล่า คิดหาความสุขให้ตัวเองดีกว่าน่า...”
“...หูย เพิ่งรู้ว่าพูดอะไรอย่างนี้ได้ด้วย”
“เดี๋ยวเถอะ” ผมอมยิ้มให้ฌาณ จริงอย่างที่เขาว่า ยังไงผมก็ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อยู่แล้ว สู้สรรหาความสุขให้ตัวเองมากๆ ว่าแล้วก็กินช็อกโกแล็ตดีกว่า
ฌาณหลุดหัวเราะพรืดเมื่อเห็นผมลุกไปหยิบช็อกโกแล็ตที่ซื้อจาก Devonport มานั่งกินข้างเขา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยแซวอะไรผมต่อนอกจากลูบหัวผมเงียบๆ
มาถึงวันนี้ ฌาณพาผมมา Shakespear Park เพราะเขาบอกว่าเป็นที่ไกลๆ และไม่ค่อยมีคนอย่างที่ผมต้องการ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นยังไงแต่ก็ยอมตกลงตามฌาณมา แล้วก็หงุดหงิดทันทีเมื่อเราใช้เวลากว่าสองชั่วโมงในการเดินทางมาถึงที่นี่ แถมแถวนี้ไม่มีร้านอาหารอะไรอีกต่างหาก ดีนะที่ฌาณซื้อแม็คโดนัลเก็บไว้ ทำให้ตอนเที่ยงเราได้มีข้าวกินระหว่างทาง
สวนเชคสเปียร์กว้างมาก พื้นที่ใหญ่โตจนแทบจะเป็นหนึ่งอำเภอได้เลย แน่นอนว่าผมไม่รู้พื้นที่ที่แน่ชัดของมันหรอก แต่กะเอาจากการเดินอย่างเหนื่อยล้าแล้วนี่ผมว่ามันต้องถึงหนึ่งอำเภอแน่ๆ เผลอๆ อาจจะเป็นหนึ่งจังหวัดด้วยซ้ำ มันใหญ่อ่ะ ใหญ่เกินไป
เรามาถึงทางเข้าสวนหลังจากเดินไปกินแฮมเบอร์เกอร์ไป เป็นครั้งแรกที่ผมไม่อิ่ม เพราะใช้พลังงานในการเดินเยอะมากๆ พอมาถึงมันก็ไม่มีอะไรนอกจากทุ่งหญ้ากับท้องฟ้าอีกแล้ว แต่ระหว่างทางผมได้เห็นบรรยากาศชานเมืองของโอ๊คแลนด์ ทำให้อารมณ์ดี
จนกระทั่งเราเดินมาถึงทะเลอะไรสักอย่าง ที่หาดทรายเป็นสีดำ ผมตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะไม่เคยเห็น ก้มเล่นทรายสีประหลาด เดินตามชายหาดไปเรื่อยๆ จู่ๆ ฝนก็ตก ทีแรกฌาณพาไปหลบใต้ต้นไม้ใหญ่เพราะคิดว่าคงตกไม่หนัก
แต่ฌาณคิดผิด เพราะหลังจากที่เรามาหลบใต้ร่มไม้แล้ว ทั้งลมทั้งฝนก็โหมกระหน่ำเทลงมาราวกับเจอพายุลูกใหญ่ ผมตกใจมาก แถวนี้ไม่มีที่หลบฝนเลย และเราก็เดินมาไกลนิดหน่อยด้วย แต่สุดท้ายเมื่อต้นไม้ใหญ่ปกป้องเราไม่ได้อีกต่อไป ซ้ำพายุยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คลื่นน้ำในทะเลคลั่ง ท้องฟ้ามืดและมีฟ้าแลบด้วย ฌาณจึงพาผมฝ่าลมและฝนวิ่งกลับทางเดิม
ก่อนมาแอบหลบฝนกันในห้องน้ำสาธารณะที่ใกล้ที่สุด...
แต่กว่าจะมาถึงที่นี่ผมก็เปียกโชกไปทั้งตัว เปียกไปถึงกางเกงในก็ให้รู้แล้วกันว่าเปียกมากแค่ไหน แทบเอาสบู่มาอาบน้ำได้แล้ว ฮึ่ย ฌาณแย่
“ไหนเจ้าแกะขี้หนาว ขนเปียกจนลู่หมดแล้ว”
“ขนผมไม่ได้ลู่ เอ๊ย...”
ฌาณหัวเราะชอบใจที่ผมเผลอพูดตามเขา นี่คนนะ ไม่มีขนแกะอะไรนั่นหรอก ผมกอดตัวเอง หันหลังให้ฌาณ หนาวจนสั่น อากาศปกติผมก็หนาวจะแย่อยู่แล้ว นี่เล่นเปียกโชกทั้งตัวไปอีก ไม่ชอบเลย มันแฉะๆ ไม่สบายตัว แล้วเดี๋ยวก็จะไม่สบายอีก
จนผมสัมผัสได้ถึงอ้อมแขนจากคนข้างๆ ฌาณยืนซ้อนหลังผมก่อนกอดผมเบาๆ เอาคางมาวางบนหัวผมด้วย มันน่าตีนัก
ในห้องน้ำไม่ได้มีกลิ่นเหม็นอะไร เพราะดูไม่ค่อยมีคนเข้ามาใช้ รวมถึงในตอนนี้ในห้องน้ำสี่เหลี่ยมกว้างๆ นี้ก็มีแค่ผมกับเขาที่ยึดพื้นที่นี้ ผมไม่ได้อายที่ฌาณกอด แต่เพราะยังโกรธอยู่จึงพยายามขยับตัวหนี
ถึงอ้อมกอดฌาณจะอุ่นมากจนอยากอยู่นานๆ ก็เถอะ
ผมขยับตัวออก ฌาณก็ดึงผมให้หลังชิดกับอกเขา ตอนแรกมันหนาวเพราะทั้งเสื้อผมและเขาเปียกทั้งคู่ แต่สักพักมันก็อุ่น... ผมยอมไม่ขยับก็ได้ กลัวเป็นหวัดหรอก
ฌาณยังคงเอาคางทิ่มหัวผมอยู่อย่างนั้น ทำยังกับหัวผมเป็นที่รองคางให้เขา ยิ่งรู้สึกตอกย้ำในความสูงของตัวเอง อือ ฌาณสูงกว่าผมไปเกือบหนึ่งช่วงหัวเลยนั่นแหละ ผมสูงประมาณปลายจมูกเขาเอง... พอผมยอมนิ่งฌาณก็เหมือนได้ใจ จับตัวผมโยกไปมาอย่างไร้ความหมาย
“หนาวไหม”
“...หนาว”
“ขอโทษนะ ลืมเช็คพยากรณ์ฯ”
ได้เหรอวะ “เพราะฌาณอ่ะ ถ้าผมป่วยผมจะฟ้องไจ”
“ผิดไปแล้วครับ”
เขาหัวเราะในลำคอ แต่คำว่าครับของฌาณทำให้ผมรู้สึกไม่คุ้นเอาเสียเลย ปกติเขาไม่พูดลงท้ายด้วยหางเสียงอย่างนี้ ผมขยับตัวหันหน้ามาเผชิญหน้ากับเขาทั้งที่ยังถูกกักขังอยู่ในอ้อมกอด
ระยะห่างระหว่างเราใกล้กันนิดเดียว
ใกล้จนผมมองเห็นเงาตัวเองสะท้อนอยู่ในแววตาเขา
“หายนอยด์ยัง”
“...ไม่ได้นอยด์สักหน่อย”
“ก็เห็นอยู่...”
“...”
ผมโกหกเขาไม่ได้หรอก การกระทำผมมันฟ้องขนาดนั้นว่าสองสามวันที่ผ่านมาผมทำตัวนอยด์แดกจริงๆ
“ผม...” ไม่รู้จะอธิบายยังไง ผมไม่ได้อยากทำตัวซึมกะทือแบบนี้ แต่มันหยุดคิดไม่ได้
ฌาณกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นจนผมเงยหน้าไปมองหน้าเขาอีกครั้ง เหมือนจะใกล้กว่าเดิม
“ผมไม่ได้อยากรู้สึกอย่างนี้เลย มันอึดอัด น่ารำคาญ จะหนีก็ไม่ได้ มันติดอยู่ในหัวอยู่อย่างนั้น...”
“อยู่กับปัจจุบันก็พอ” คนพี่สั่งสอน ก่อนก้มมาจูบหน้าผากผมแผ่วเบา
ประโยคของเขาเหมือนเปิดทางให้ผมอีกครั้ง อยู่กับปัจจุบัน ไม่เห็นต้องไปคิดถึงเรื่องในอดีตเลย ในเมื่อมันผ่านมาแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว คิดไปก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ต้องคิดเผื่ออนาคต เพราะไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น คิดไปก็ปวดหัวเปล่า
ผมจับจ้องไปยังแววตาสีรัตติกาลที่เป็นกระจกสะท้อนตัวผม มันค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็มองไม่เห็นมัน ภาพตรงหน้าดำมืดเพราะผมหลับตา
พร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปาก...
รสจูบของฌาณมันแปลก ริมฝีปากเขาเย็นเพราะอุณหภูมิ แต่รู้สึกดี แตกต่างจากตอนที่ผมจูบกับไนล์ ฌาณประกบปากผมแนบสนิท ดูดคลึงริมฝีปากล่างก่อนค่อยๆ ผละออกไป ผมเห็นดวงตาของเขาอีกครั้ง และหลับตาลงอีกครั้งเพื่อฉกชิมริมฝีปากหวานที่เพิ่งผละจากไป
ผมเผยอปาก ปล่อยให้ลิ้นของอีกฝ่ายสอดเข้ามาสำรวจในโพรงปาก ไม่รอช้า ผมใช้ลิ้นตัวเองทักทายกับลิ้นอุ่นของเขา หยอกเอิน แหย่เย้าไปกับจังหวะสอดลิ้นของฌาณ แขนของผมโอบรอบคอเขาไว้แน่น สองเท้าผมเขย่งขึ้นเพื่อจะได้รับรสจูบแสนหวานได้ง่ายขึ้น
ฝนยังคงตกเปาะแปะ เสื้อผ้าของเรายังคงเปียกโชก แต่ร่างกายผมกลับร้อนรุ่ม เรารุกไล่จูบใส่กันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ ผมโน้มให้ฌาณเข้าใกล้ตัวเองมากขึ้น รวมถึงฌาณเองก็โอบเอวผมจนตัวเราแนบติดกัน ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็เป็นผมเองที่ตามจังหวะเขาไม่ไหว หายใจไม่ทันแล้ว...
ฌาณผละจูบออก
จ้องหน้าผมที่เห่อร้อน และคงแดงมากอย่างไม่ต้องสืบ
ก่อนที่ผมจะเอ่ยอะไรออกมา เป็นฌาณที่ชิงพูดก่อน
“ปวดคอ...”
นิสัยเสีย!
“Ur…” ไม่ทันได้เถียงฌาณ ก็มีเสียงจากคนแปลกหน้าดังขึ้นจากทางเข้าห้องน้ำ เราหันขวับไปมองต้นเสียงก็เห็นผู้ชายฝรั่งคนนึงที่น่าจะเป็นคนที่นี่ กำลังทำท่าทีอึกอัก จนฌาณต้องเอ่ย
“เชิญครับ...”
“เอ่อ...” ฝรั่งคนนั้นพยักหน้ารับ เดินเข้ามาในห้องน้ำสาธารณะ ทว่าไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น ตัวเขาเปียกโชก คงมาหลบฝนเหมือนกับพวกผม
“น้องชายคุณเหรอ?”
“ครับ”
“อ้อ...มาเที่ยวสินะ แย่เลยนะ ฝนตกแบบนี้”
“นิดหน่อยครับ”
ฌาณส่งยิ้มให้เขาเป็นทันจบบทสนทนา ส่วนผมก็ฝังร่างตัวเองเข้ากับอกฌาณ อายจะบ้าอยู่แล้ว ฌาณนั่นแหละผิด มาทำอะไรในที่สาธารณะเล่า...
หัวใจผมเต้นกระหน่ำอย่างผิดปกติ ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้นในรสจูบเมื่อครู่ ตกใจที่จู่ๆ ก็มีคนแปลกหน้าเข้ามาหรือด้วยเหตุผลอื่นกันแน่...
“เป็นอะไร? หนาวหรือไง”
ผมส่ายหน้า
“เขินเหรอ? ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ใช่ที่ไทยสักหน่อย”
“ไม่เกี่ยวนี่!” ผมไม่รู้ว่าฝรั่งคนนั้นเห็นไหมว่าผมกับฌาณจูบกัน แต่เขาก็เข้ามาตอนที่เรากอดกันแนบชิดเสียจนผมอาย และเพราะอายนั่นแหละผมถึงมุดอยู่กับอกฌาณไม่ยอมผละออกมา ถึงฌาณจะอ้างไปว่าเป็นน้องชายก็เถอะ แต่ผมก็ไม่กล้าสู้หน้าคนแปลกหน้านั้นอยู่ดี
เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ เรานั่งลงตรงเก้าอี้ที่มีไว้สำหรับรอคนเข้าห้องน้ำ ผมกอดฌาณนิ่งอยู่อย่างนั้น จนฌาณบอกว่าฟ้าโปร่งแล้ว...
เราออกมาจากห้องน้ำสาธาณะพร้อมฝรั่งคนนั้น ฟ้าโปร่งแล้วจริงด้วย แสงอาทิตย์จ้าเสียจนแทบไม่อยากเชื่อว่าเมื่อครู่เพิ่งผ่านพายุไป
“เดินต่อไหม”
เขาเดินมาถาม เมื่อผมวิ่งจ้าไปรับแสงแดดอุ่น รับรู้ความรู้สึกของผ้าตอนโดนตากก็ตอนนี้ อุ่นดีจัง
“ไปสิ” ผมบอกฌาณ ไหนๆ ก็อุตสาห์นั่งรถมาตั้งนาน แถมยังไม่ทันได้เข้าสู่สวนจริงๆ เลย ไม่อยากมาให้เสียเที่ยว อีกอย่าง...ฟ้าหลงฝนมันสวยจนผมยังไม่อยากจากมันไป
ฌาณพาผมเดินไปตามทาง แวะถ่ายรูปตามป้ายบ้าง คราวนี้ฌาณแอบยกกล้องมาลั่นชัตเตอร์ ถ่ายผมเป็นพักๆ ไม่ได้แอบถ่ายแต่ก็ไม่บอกผมก่อนถ่ายอยู่ดี ยังไงซะผมก็มั่นใจว่ารูปของผมเมื่อผ่านฝีมือฌาณแล้วมันต้องออกมาสวยแน่ๆ ถึงจะสภาพเปียกปอนเหมือนลูกหมาตกน้ำก็ตาม และเราก็ไม่ได้พูดถึงจูบในห้องน้ำนั้นอีก...
พลานุภาพของแสงอาทิตย์นี่แข็งแกร่งจริงๆ เมื่อเราเดินตากแดดกันสักพักเสื้อก็แห้ง ผมรู้สึกดีกว่าเดิมเป็นพันเท่า ระหว่างทางเราเจอแกะด้วย แต่มีรั้วกั้นไว้ทำให้ผมเข้าไปดูมันใกล้ๆ ไม่ได้ เดาเอาเองว่าคงเป็นพื้นที่ส่วนตัวของใครสักคนที่เลี้ยงแกะไว้
เราเดินมาเรื่อยๆ จนผมชักเหนื่อย แต่วิวมันก็สวย ไม่ใช่ภูเขาเล็กๆ ทางชันๆ เหมือนที่ผ่านมาแล้วเมื่อสองข้างทางเต็มไปด้วยเนินหญ้า ต้นไม้ใหญ่ และท้องฟ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ฟังดูอาจจะไม่ต่าง แต่มันต่างนะ อย่างน้อยก็ต้นไม้เยอะกว่า
ผมเดินนำ ส่วนฌาณก็ถ่ายรูปแล้วก็เดินตามผม ที่นี่มีแค่นี้จริงๆ นั่นแหละ นอกจากเนินหญ้า ต้นไม้ ท้องฟ้า ก้อนเมฆก็ไม่มีอะไรแล้ว คนก็แทบไม่เห็นเลย มีรถแล่นผ่านไปบ้างประปราย แต่ก็น้อยมากอยู่ดี
ผมชื่นชมธรรมชาติตรงหน้าได้ราวกับเป็นเจ้าของมัน
จนกระทั่งเราเดินมาถึงจุดชมวิวของที่นี่ มีกรอบรูปใหญ่ๆ ตั้งไว้ให้เข้าไปถ่ายรูป ไหนๆ ก็มาถึงตรงนี้แล้วผมเลยขอให้ฌาณแชะให้สักรูป คนพี่ก็ไม่มีท่าทีอิดออด ซ้ำยังแนะนำให้ผมขยับไปทางโน้นทีทางนั้นที รูปที่ออกมาก็สวยงามสมฝีมือ เป็นที่น่าพอใจของผม
ผมนั่งเหม่อมองวิวตรงหน้า ตรงนี้เป็นเนินสูงทำให้เห็นเส้นทางไปสู่เบื้องล่าง แต่แค่เห็นก็เหนื่อยแล้ว เดินไปไม่เท่าไหร่ เดินกลับนี่ดิ ผมว่าเราเดินมาไกลมากอยู่นะ และเหมือนฌาณจะอ่านความคิดผมได้เมื่อเขาเอ่ยถาม
“จะเดินต่อไหม? หรือกลับเลย”
“กลับเลย” ผมตอบแทบทันที ตอนนี้ก็บ่ายสามแล้ว เราใช้เวลาเดินตั้งสองชั่วโมงกว่าจะมาถึงตรงนี้ แถมตอนนี้ผมก็หิวมากๆ แล้วด้วย กลัวจะหิวตายก่อนกลับไปถึงที่พัก
ฌาณยิ้ม จับมือช่วยผมให้ลุกขึ้นยืน แล้วเราก็เดินตรงกลับทางเดิม
เพราะขามาผมเดินแวะนู่นแวะนี่จนทั่วหมดแล้ว ขากลับเลยเดินตรงสถานเดียวไม่เตร็ดเตร่เหมือนขามาอีก
“หิวอ่ะ...”
เดินไปยังไม่ถึงครึ่งทางท้องผมก็ร้องประท้วง เพราะตอนกลางวันเรากินแค่แฮมเบอร์เกอร์ชิ้นเดียวเอง ไม่อิ่มท้อง แถมฝนยังมาตก รีดเอาพลังงานผมไปจนหมด ตอนนี้ท้องว่างจนหิวไส้กิ่วแล้ว
“กินนี่ไปก่อน”
ฌาณยื่นแท่งช็อกโกแล็ตมาให้ผม ผมทำตาโต ในกระเป๋าสะพายเล็กๆ นั่นพกอะไรมาด้วยเนี่ย คิดว่าแค่ใส่กล้องมาอย่างเดียวก็เต็มแล้ว
ผมแทะช็อกโกแล็ตแท่งจากฌาณไปเงียบๆ เดินไปกินไปจนมันหมดแท่งแต่ผมก็ยังไม่อิ่ม แล้วฌาณก็ยื่นอมยิ้มมาให้ผมเมื่อเห็นผมหันซ้ายหันขวา ผมรับอมยิ้มจากเขาไปแกะกิน น้ำตาลช่วยทำให้มีพลังขึ้นมานิดหน่อย แต่ผมก็หิวของคาวอยู่ดี
“หิววว” ผมร้องโวยวาย ฌาณบอกให้ทนก่อน เดี๋ยวกลับถึงเมืองเขาจะพาไปกินร้านหมูย่างเกาหลี ทำให้มีแรงเดินต่ออีกหน่อยเมื่อคิดถึงเนื้อหมูที่จะได้กิน
เราเดินมาจนถึงจุดที่มีแกะ ที่ตอนนี้ผมไม่เห็นสักตัว พร้อมกับท้องฟ้าที่เริ่มครึ้มอีกครั้ง...
“ฌาณ...”
“อืม รีบเดินกันเถอะ”
ผมเรียกชื่อเขาหวังจะบอกสิ่งที่คิดว่าฝนทำท่าจะตก แต่ฌาณเองก็ดูเหมือนจะคิดแบบนั้นอยู่ เราจึงได้แต่เร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น
แต่เร็วไม่เท่าเมฆฝน
เมื่อสุดท้าย ระหว่างทางที่เรากำลังเดินนั้น ฝนก็เทลงมา ผมร้องเรียกเขาลั่น
“ฌาณณณณ ฝนตก!”
“รู้แล้ว”
“ทำไงอ่ะ” ผมโวยวาย ที่นี่แย่กว่าขามาอีก เนินเขาโล่งร้างไร้ซึ่งสถาปัตยกรรมใดๆ แม้กระทั่งต้นไม้ใหญ่ๆ สักต้นยังไม่มีตรงนี้เลย
“งั้นมา Hitchhike กัน”
“หา”
“โบกรถไง” เขาว่า อมยิ้มมายังผมก่อนชูนิ้วโป้งโบกข้างทางเมื่อเห็นรถแล่นมา คันแรกผ่านไป...
“จะได้เหรอ...”
“ไม่รู้สิ ไม่เคยลองเหมือนกัน แต่ถ้าเดินต่อต้องเปียกหนักแน่ๆ”
“...”
ผมไร้คำพูดดกับฌาณ ผมไม่เคยต้องพึ่งพาคนแปลกหน้าแบบนี้มาก่อน หมายถึงการโบกรถน่ะ เหตุการณ์ไม่มีรถใช้เคยเกิดขึ้นกับผมที่ไหน แค่โทรกริ๊งเดียวไจก็ส่งคนมารับผมแทบจะทันทีตลอด
ฌาณยังคงไม่ยอมแพ้เมื่อรถคันที่สองแล่นจากไป ผมใจเสียนิดหน่อย...อยากให้มีใครสักคนรับเราขึ้นรถไปด้วย จะได้ไม่ต้องเดินตากฝน แถมฝนเริ่มลงเม็ดหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วเนี่ย
คันที่สามผ่านไป ผมคิดในใจว่าไม่เป็นไรหรอก คันนี้ผู้หญิงขับมาคนเดียว คงกลัวที่จะให้ผู้ชายแปลกหน้าสองคนขึ้นรถด้วย
คันที่สี่ผ่านไป คันนี้มีเด็กนั่งจนเต็มคันรถไปหมด คงไม่เหลือที่นั่งให้เราหรอก
“ฌาณ...” ผมเรียกเขา ส่วนฌาณแค่ลูบหัวผมเฉยๆ เราเดินไปด้วย โบกรถไปด้วย คันที่ห้าผ่านไปโดยที่เราไม่ทันได้โบกรถเพราะเดินหันหลังให้เส้นทาง
ฌาณหันไปมองข้างหลังบ่อยๆ เผื่อว่ามีรถผ่านมา แต่เราก็ต้องเดินไปด้วยเช่นกันเผื่อว่าไม่เหลือรถให้เราโบกแล้ว เพราะคนที่ผมเจอที่นี่น้อยมากจนแทบเป็นสวนร้าง
จนกระทั่งคันที่หก ฌาณรีบชูมือสัญญาณ รถขับผ่านเราไปจนผมใจเสีย ก่อนค่อยๆ ชะลอความเร็ว จอดรออยู่ข้างหน้าเรา
“ฌาณ!” ผมร้องอย่างตื่นเต้น
“ไปกัน” เขาว่า แล้วเราก็รีบวิ่งหนีฝน เปิดประตูฝั่งเบาะหลังเข้าไป
“ขอบคุณครับ” ฌาณเอ่ยทันทีเมื่อเราเข้ามาในรถ
“นักท่องเที่ยวเหรอ แย่เลยนะฝนตกแบบนี้”
“ครับ ผมดันลืมดูพยากรณ์อากาศเสียได้”
“มาจากที่ไหนกันหรือ”
“ไทยครับ”
“อ้อ เพื่อนฉันเคยไปที่นั่นครั้งหนึ่ง เป็นประเทศที่สุดยอดมากนะ”
“ขอบคุณครับ”
ฌาณพูดคุยกับคนใจดีอย่างเป็นกันเอง คนใจดีที่รับเราคือคนกีวี่ที่น่าจะเป็นแฟนกัน ผู้ชายขับรถ ส่วนผู้หญิงนั่งข้างๆ ฌาณกับผู้ชายคนนั้นยังคงพูดคุยกัน มีเสียงผู้หญิงแทรกถามมาเป็นระยะ ส่วนผมนั่งเงียบๆ
“จะให้ส่งตรงไหนดีล่ะ”
“ตรงป้ายรถเมล์ก็ได้ครับ”
“โอเค”หลังจากนั้นภายในรถก็เงียบกริบ ผมนั่งตัวเกร็งจนฌาณต้องแอบเอามือผมไปกุม ช่วยไม่ได้นี่ ผมไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้อ่ะ ไม่รู้ต้องทำตัวยังไง ตัวผมก็เปียกอยู่ กลัวขยับตัวเยอะแล้วรถเขาจะเปื้อน ผมซาบซึ้งกับน้ำใจของคนที่นี่มากจริงๆ นะ ถ้าเป็นที่ไทยผมคงให้ไจส่งของขวัญชิ้นใหญ่ตามไปทีหลังเพื่อขอบคุณไปแล้ว แต่คิดดู...ถ้าเป็นที่ไทย คงหาคนจอดรับนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้จักกันแบบนี้ยาก
แต่เอาเข้าจริง แค่โทรหาไจกริ๊งเดียวผมก็ไม่มีปัญหาแล้ว
พอมาอยู่ที่นี่ ผมก็เป็นแค่คนโง่ธรรมดาที่ทำอะไรไม่เป็นเลย
รถจอดอยู่หน้าป้ายรถเมล์ ส่วนฝนก็หยุดตกตั้งแต่เราอยู่ในรถแล้ว พวกเราเอ่ยขอบคุณทั้งสอง แล้วรถคันนั้นก็จากไป ครานี้เหลือแค่เราสองคนเคว้งคว้างอยู่ริมถนน เป็นเวลาเกือบห้าโมง ผมกลัวว่าฟ้ามืดแล้วจะน่ากลัว เลยบอกให้ฌาณรีบกลับ
“รอบรถบอกว่าอีกครึ่งชั่วโมงแหน่ะ” เขาเอ่ยเมื่อเช็ครอบรถในมือถือ คงเพราะที่นี่อยู่ไกลตัวเมืองด้วย รถบัสเลยไม่ค่อยมี
“โหยย นานเป็นบ้า ผมหิวแล้ว ง่วงด้วย เหนื่อยด้วย”
“ทนหน่อยน่า”
“บรืออออออ” ผมกระพือปากอย่างไม่พอใจอีกครั้ง แต่ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ เป็นอาการธรรมดาของผมเวลาโดนขัดใจ ไจชอบดุผมอยู่บ่อยๆ เรื่องที่ผมทำแบบนี้ ไจบอกว่ามันกวนตีนและก็ไม่สุภาพ
และเหมือนว่าฌาณก็ไม่ชอบใจเหมือนกัน ผมถึงโดนดีดปากเบาๆ ไปทีนึง
เราไม่มีอะไรทำนอกจากยืนรอรถ ผมภาวนาให้ฝนไม่ตกอีก เมื่อกี้ยังดีหน่อยที่ไม่ได้เปียกหนักเหมือนขามา ตากลมแป๊บเดียวก็แห้ง แต่พอตกเย็น ไม่มีแสงอาทิตย์แล้วทำให้ผมเริ่มหนาว
ผมขยับเข้าไปซุกฌาณอีกครั้ง และเขาก็ตอบรับผมอย่างดีเมื่ออ้อมแขนสองข้างวาดโอบรอบตัวผมไว้ ไออุ่นจากคนตัวสูงช่วยทำให้ผมคลายหนาว
“ฌาณพาผมมาลำบากนะ ทั้งเดินไกล นั่งรถไกล ฝนก็ตก เหนื่อยด้วย หิวด้วย ง่วงด้วย”
“ขี้บ่น”
“ก็มันจริงนี่ พาผมมาตากฝนเฉยเลย”
“โทษที อันนี้พี่ผิดเอง”
“แต่ก็ขอบคุณนะ”
“...หืม”
ผมกระซิบขอบคุณเขา ฌาณจะไม่ได้ยินก็ช่าง เอาเป็นว่าผมขอบคุณเขาไปแล้วก็ละกัน จากพฤติกรรมหลายๆ อย่างของเขาทำให้ผมรู้ว่าฌาณพยายามทำให้ผมร่าเริงขึ้น และมันก็อาจจะสำเร็จก็ได้
เขาเอาปลายจมูกเขี่ยเส้นผมบนหัวผมไปมาจนจั๊กจี้ ผมเงยหน้าช้อนตามองฌาณ เขาจะได้เลยหยุดถูจมูกกับหัวผมสักที ทว่าพอเห็นดวงตาคมของเขาแล้ว ความรู้สึกหนึ่งก็บังเกิดขึ้น...
อยากจูบ...อีก
แต่คงไม่ได้ เราอยู่ข้างนอก ริมถนนเลยนะ ถึงเมืองนอกจะไม่สนใจอะไรแบบนี้ก็เถอะ แต่ถ้าใครผ่านมาเจอผมคงอายแย่ แต่เหมือนฌาณไม่คิดอย่างนั้น เมื่อเขาช้อนศรีษะผมให้เงยหน้าขึ้น รับรสจูบที่เขามอบให้อีกครา
ผมหลับตารับสัมผัสอ่อนหวาน สองมือขยุ้มเสื้อสีดำของเขาแน่น ฌาณกระชับเอวผมให้ขยับเข้าแนบตัวเขามากกว่าเดิม กดย้ำที่ริมฝีปาก แลบลิ้นลอบเลียแผ่วเบาก่อนผละออก
ผมเงยหน้ามองเขาค้างอยู่อย่างนั้น ใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาคมนั้นก็จ้องผมไม่ขยับเหมือนกัน...
ผมไม่กล้าถามว่าเพราะอะไรถึงจูบ
เพราะผมก็ตอบตัวเองที่ชอบรสจูบของเขาไม่ได้เช่นกัน...
❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄
เอาหวานมาตัดขมบ้าง
ตอนนี้เป็นตอนที่ชอบตอนนึงเลย
ใครมีประสบการณ์ Hitchhike มาแชร์กันได้นะคะ
ปล.จริงๆ ตอนนี้ผ่านไปครึ่งเรื่องแล้วน้า กะให้อยู่ที่ประมาณ 15+5 ตอน
ขอบคุณที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ