Lies 8 : Dying like a shooting star
ในที่สุด ฌาณก็พาผมมาดูแกะที่ One tree hill ที่นี่มีแต่ทุ่งหญ้า เนินเขาและต้นไม้อีกแล้ว แต่นิวซีแลนด์เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติ เพราะงั้นผมจะไม่บ่นว่าทำไมมีอยู่แค่นี้ อย่างน้อยก็ยังได้เห็นเจ้าแกะเดินไปเดินมา มันไม่ยอมให้คนเข้าใกล้หรือจับตัว แต่ดันมากินหญ้าใกล้ๆ คนอ่ะ แกะย้อนแย้ง
จุดเด่นของที่นี่คือยอดเขาที่มีอนุสรณ์สถานของใครสักคนอยู่ แต่กว่าจะเดินถึงก็เล่นเอาผมแทบตาย ทางขึ้นเขาทั้งชันทั้งไกล ผมหอบจนเหนื่อย แม้ว่าอากาศจะดีมากๆ ก็ตามเถอะ ระหว่างทางเห็นมีคนขับรถขึ้นก็ได้แต่โกรธฌาณว่าทำไมไม่มีรถใช้ จะได้ไม่ต้องเดินไกลขนาดนี้ ทั้งเหนื่อยทั้งเมื่อย จะตายอยู่แล้ว
แน่นอนว่าฌาณแค่หัวเราะขำเหมือนทุกที ไม่ได้สนใจคำพูดผมนักหรอก แม้ว่าผมจะจริงจังกับเรื่องนี้ก็ตาม
เราเดินกันเป็นชั่วโมงกว่าจะถึงยอดเขา เพราะผมเอาแต่พักเหนื่อย วิ่งไล่แกะ แวะดูนู่นดูนี่ ในระหว่างที่ผมออกนอกลู่นอกทางฌาณก็ถ่ายรูปรอไป ที่นี่มีแกะกระจายตัวอยู่เต็มไปหมด พวกมันอยู่ด้วยกันเป็นฝูง จะย้ายที่ทีนึงก็เคลื่อนกันเป็นขบวนก้อนขนวิ่งตุบตับๆ ผ่านไป
บางตัวขนฟูแต่บางตัวก็ไม่มีขน ฌาณบอกว่าสงสัยโดนตัดขนไปแล้ว มันดูตลกแต่ก็น่ารักไปอีกแบบ
ผมเล่นจนเหนื่อย พอถึงยอดเขาก็ไม่มีอะไรนอกจากลมเย็นๆ วิวสวยๆ และความภาคภูมิใจของตัวเองที่เดินมาจนถึงปลายทางได้สำเร็จ ที่นี่มีคนเอาสุนัขมาวิ่งเล่นด้วยอีกแล้ว ผมได้ทักทายไปบางตัว มีหลายพันธุ์ที่ผมไม่เคยเห็น มันตลกและน่ารักดี
เราเอ้อระเหยอยู่บนยอดเขาสักพัก เพราะกว่าจะขึ้นมาถึงนี่ได้ไม่ใช่ง่ายๆ ผมอยากชื่นชมความพยายามของตัวเองก่อน อีกอย่างคือขี้เกียจเดินลง...
เราเดินขึ้นเนินนู้นไปเนินนี้ เสร็จแล้วก็ไปเนินนั้น เพราะว่ามันมีแค่นี้ เนินเขาทุ่งหญ้าสีเขียวท้องฟ้าสีฟ้าและแกะประปราย ฌาณไม่ได้มีแพลนไปไหนต่อ ผมเองก็เช่นกันเพราะอย่างนั้นเราเลยเอ้อระเหยกันนานหน่อย
ผมเดินหลบขี้แกะที่เป็นเหมือนกับดักระเบิดตามพื้นหญ้า หวังจะไปดูวิวตรงหน้า เมื่อเห็นเมืองโอ๊คแลนด์ในมุมสูงและเนินสีเขียวเรียงรายสวยงามจนผมฉีกยิ้มหว้าง ผมหันไปฌาณ รีบบอกให้เขามาดูด้วยกัน
ทว่ากลับได้ยินเสียงลั่นชัตเตอร์ พร้อมกับเลนส์กล้องที่ส่องมาทางผม
ฌาณลดกล้องลง เผยรอยยิ้มที่ไม่อาจคาดเดาก่อนเงยหน้าขึ้นมา
“หน้าตาตลกดี”
“เดี๋ยวเถอะ ไหนเอามาดู”
ผมร้องโวยวาย ฌาณเล่นถ่ายทีเผลอเลยไม่ได้เก๊กหล่อเลย เขาเปิดรูปในกล้องตัวเก่งให้ผมดู ก่อนที่จะเห็นรูปตัวเองยิ้มแฉ่งกำลังหันมาทางกล้อง ลมพัดเส้นผมปลิวลู่ลมถูกแช่ค้างไว้ในรูปภาพ มีแสงอาทิตย์ที่ฉาบใบหน้าผมไปเกือบครึ่ง พร้อมกับท้องฟ้าสีสดใส
มันดู...ตลกเพราะผมหน้าบาน แต่กลับเป็นรูปที่ให้ความรู้สึกแตกต่างออกไป...ฌาณถ่ายรูปสวย จนไม่คิดว่าคนในรูปจะเป็นผมจริงๆ มันดู...สดใสและเจิดจ้าเกินไป
“...ออกจะดูดี”
เมื่อฌาณเห็นผมเงียบไปจนผิดสังเกต เขาจึงขยับตัวเหมือนต้องการเรียกสติผม ทำให้ผมต้องตอบกลับไป เชิดหน้าหนีแต่ไม่ลืมดึงแขนเสื้อฌาณให้มาดูวิวตรงหน้าด้วยกันตามความตั้งใจแรก
“ตรงนี้วิวสวย ถ่ายมาเยอะๆ นะ” ผมบอกเขา ฌาณเลิกคิ้วแต่ก็มุดลงไปในกล้อง กดเล็งภาพก่อนจะได้ยินเสียงลั่นชัตเตอร์ตามมาแชะๆ
ฌานไม่ค่อยถ่ายรูปคน และผมก็ไม่ค่อยขอให้เขาถ่ายตัวเองสักเท่าไหร่ มันเขินๆ แถมรู้สึกไม่ชิน มีแค่ไม่กี่ที่หรอกที่ผมจะขอให้เขาถ่ายให้เพราะเซลฟี่แล้วมันบังวิวมิด เพราะงั้นรูปผมเมื่อครู่นี้จึงทำให้ผมคิดว่าฌาณถ่ายรูปคนเก่งเป็นบ้า
“หนาวมั้ย”
“ไม่ค่อย”
หลังจากที่ผมแอบมองฌาณถ่ายรูปรอบๆ แล้วเขาก็เดินกลับมาถามผม วันนี้แดดแรงเป็นพิเศษทำให้อากาศอุ่นๆ มีลมเย็นๆ พัดโกรกมาบ้างแต่ก็ไม่ถึงขนาดหนาวจนเข้ากระดูก ไม่เจ็บจมูกเวลาหายใจ ไม่เจ็บหูด้วย
“หิวรึยัง”
“...นิดหน่อย”
“งั้นลงไปหาอะไรกินกัน”
“แต่ผมไม่อยากเดินลง”
“...”
“มันเหนื่อย...ฌาณแบกผมหน่อยดิ”
“...งั้นก็อยู่ตรงนี้ไป”
ผมร้องโอดครวญ ฌาณไม่ใจดีเลย มันเมื่อยขาอ่ะ แต่ไม่ลงก็ไม่ได้ ผมไม่อยากติดแหง็กอยู่บนนี้แย่งเจ้าพวกแกะกินหญ้า เลยได้แต่เดินตามฌาณไปบ่นไป ถ้าได้มาอีกคราวหน้าขอมีรถนะ…
วันต่อมาผมพักตัวอยู่ในห้อง ขาล้าไปหมดจนคร้านที่จะเดิน ส่วนฌาณก็ออกไปทำงานที่ห้องสมุดเพราะนัดกุสตัฟไว้ ผมทำตัวเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซน ไม่ออกไปไหนคนเดียวตามคำสั่งเขา เสียแต่น่าเบื่อเป็นบ้า ซีรีส์ก็ดูจบหมดแล้ว หนังสือก็อ่านแล้ว ทีวีก็ไม่มีรายการอะไรน่าสนใจ เบื่อ เบื่อ
วันถัดมาฌาณมีสอนพิเศษตั้งแต่เช้าจนค่ำ บอกให้ผมหากินเอง แต่ห้ามออกไปไหน แล้วผมทำไงได้อ่ะนอกจากต้มน้ำร้อนเทใส่มาม่ากินเปล่าๆ เพราะต้มไข่หรือไส้กรอกไม่เป็น อันที่จริงผมเปิดเตาไม่เป็นด้วยซ้ำ
ก็ฌาณไม่สอนอ่ะ
ผมทำได้แค่ล้างจานกับซักผ้า อุปกรณ์นอกเหนือจากนี้ผมไม่กล้าแตะแล้ว กลัวทำมันระเบิด
ฌาณเคยบอกว่าถ้าทำอาหารให้เปิดเครื่องดูดอากาศด้วย เพราะถ้าควันมันไปทำให้สัญญาณดับเพลิงทำงาน รถดับเพลิงจะมาถึงที่ คนในที่พักต้องออกมาข้างนอก และถ้ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเราจะเสียค่าปรับสองหมื่นดอลฯ ผมไม่กลัวเสียตังหรอก ผมกลัวจะรบกวนคนอื่นมากกว่า กลัวห้องระเบิดด้วย เพราะงั้นผมขอไม่เสี่ยงดีกว่า
แต่จะให้กินมาม่าทั้งวันผมก็ไม่เอาอ่ะ เพราะงั้นตอนเย็นเลยแอบฝ่าคำสั่งเขาออกไปกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารแถวที่พัก ผมรีบไปรีบกลับ และทุกอย่างก็ปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
บางทีทั้งผมทั้งฌาณอาจจะระแวงเพื่อนเลวคนนั้นเกินไป แต่ป้องกันไว้ก็ดีกว่าแก้
ผมกลับขึ้นห้องอีกครั้ง ฟ้ามืดแล้วแต่ผมไม่ง่วงเลยสักนิด ผมนอนทั้งวัน ไม่ได้ใช้พลังงานอะไรเลย ตัวแทบจะเปื่อยยุ่ยติดกับเตียง ตอนนี้ก็ได้แต่กลิ้งไปกลิ้งมา ใช้เวลาอย่างไร้ค่าจริงๆ
ผมว่างจนจะบ้าตายอยู่แล้ว ไม่มีฌาณให้พูดด้วยแล้วแทบบ้ากว่าเดิม เบื่ออ่ะ ตอนแรกก็คิดว่าจะอยู่ได้สบายๆ นะ แต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้เบื่อแบบนี้ ทั้งว่างทั้งเหงาจนคิดฟุ้งซ่านไปหมดแล้ว อาบน้ำก็แล้วเล่นเกมในมือถือก็แล้ว แต่ก็ยังหยุดความคิดฟุ้งซ่านไม่ได้
และคงจะฟุ้งซ่านมากไปหน่อยเมื่อผมโหลดแอพพลิเคชั่นที่ไม่คิดจะใช้ตลอดสามเดือนกลับมาเล่นอีกครั้ง...
แอพพลิเคชั่นสีเขียวเริ่มใช้งานทันทีที่ผมล็อกอินเข้าไป ตัวเลขสีแดงแจ้งเตือนทะลุเป็นหลักพัน ผมกดเข้าไปอ่านข้อความของไจก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนมากก็มีแต่เรื่องที่ไจโวยวายที่ติดต่อผมไม่ได้ ผมกดออก ไล่ดูกลุ่มแชทอื่นๆ กดเข้าไปในกลุ่มแต่ไม่ได้อ่านทั้งหมด เพราะแค่อยากให้แจ้งเตือนหายไป
จนกระทั่งถึงแชทล่าสุดที่ผมละเลยไว้สักพัก...
ผมกดเข้าไปก่อนรีบกดออก ไม่อยากอ่านข้อความในนั้นเลยสักนิด สุดท้ายแล้วผมก็ไม่รู้จะโหลดไลน์กลับมาเล่นทำไมทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากติดต่อใครหรืออ่านข้อความของใคร...
จนกระทั่งโทรศัพท์แจ้งเตือนว่ามีคนแชทมา ผมก้มส่องหน้าจอก็ขึ้นชื่อเป็นบุคคลที่ผมหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด...
ผมไม่ได้กดเข้าไปอ่าน ปล่อยให้มันเด้งแจ้งเตือนขึ้นข้อความตรงหน้าอยู่อย่างนั้น จับจ้องตัวอักษรที่อีกฝ่ายส่งมาข้อความแล้วข้อความเล้าอย่างเหม่อลอย
ทันใดนั้น มือถือของผมก็สั่นเป็นจังหวะยาว ผมสะดุ้งและถึงได้รู้ว่าคนๆ นั้นคอลมา...
ไม่รับ ไม่ต้องรับ อย่ากดรับ กดวาง ตัดสาย ปิดเครื่อง ทำอะไรก็ได้ที่จะไม่ได้คุยกับเขาอีก อย่าสนใจ กดปิดไปสิ
“เจน...?”
“...”
ทั้งที่สมองสั่งการให้ปฏิเสธมากมายขนาดนั้นแท้ๆ สุดท้ายผมก็แตะลงตรงปุ่มสีเขียวอยู่ดี...
เพียงแต่ผมกดเปิดลำโพงแล้วรีบวางทันทีที่กดรับสาย ราวกับว่าวางมันไว้ไกลๆ แล้วจะช่วยอะไรได้
“เจน? ฮัลโหล”
“...”
“เห็นว่าอ่านไลน์ เราเลยแชทหา แต่เจนไม่ตอบเลยโทรมา...”
“...”
“เราอยากคุยด้วย เจน... ถ้าได้ยินก็ตอบเราหน่อย”
ไม่อยากคุย
“อืม”
“...เจน...เรื่องตอนนั้นเราขอโทษ...”
“อือ”
“...ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นอย่างนี้ เราผิดเอง...”
ไม่ใช่หรอก...
“คือ...ไม่รู้จะพูดยังไงอ่ะ เราไม่อยากให้เจนเสียใจ...แต่มันก็...”
“...ช่างมันเถอะ”
“เจน...”
“ไนล์ไม่ต้องใส่ใจหรอก...”
“ไม่ได้ดิ ยังไงเจนเป็นเพื่อนคนสำคัญของเรานะ”
สำคัญยังไง ถ้าสำคัญจริงจะปล่อยให้เป็นแบบนี้เหรอ ที่จริงแล้วไม่ได้สำคัญอะไรเลยไม่ใช่หรือไง
แย่แล้ว...ก่อนสะอื้นมันมาจุกที่คอจนผมพูดอะไรกลับไปไม่ได้...
“เจน...ยังฟังอยู่รึเปล่า”
“...”
“ถ้ายังไงก็กลับมางานแต่งของเราเถอะนะ ยังไงเจนก็-”
ผมคว้าโทรศัพท์มือถือมากดตัดสายก่อนโยนมันทิ้งไป น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ไหลออกมานองหน้า
“...เมื่อกี้คุยกับใคร-”
“...”
ฌาณกลับมาแล้ว ผมได้ยินเสียงเปิดประตูในระหว่างที่คนในสายกำลังจะพล่ามประโยคที่ผมไม่ต้องการรับรู้ แต่ที่ผมตัดสายเขาทิ้งไม่ใช่เพราะฌาณ เป็นเพราะผมเองที่ไม่สามารถทนฟังเสียงจากเขาได้อีกแล้ว
“ร้องไห้ทำไม”
ผมนั่งนิ่งอยู่บนเตียงหลังจากโยนโทรศัพท์ทิ้งไปแล้ว มันไปตกอยู่บนพื้นพรมปลายเตียง ฌาณเก็บมันขึ้นมาก่อนเลิกคิ้วสงสัย เพราะโทรศัพท์เจ้ากรรมยังคงสั่นครืดร้องโวยวายเป็นสัญญาณบอกว่ามีคนใช้ไลน์โทรมา
เป็นใครไมได้หรอกนอกจากคนที่ผมตัดสายไปก่อนหน้านี้
ผมไม่ตอบเขา ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มเงียบๆ จ้องเจ้าของห้องว่าจะทำยังไงกับมือถือของผมต่ออย่างไม่คิดจะเอ่ยแนะนำอะไร แค่จ้อง…เพราะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะกระทำสิ่งอื่น
จนกระทั่งเสียงแจ้งเตือนเงียบลง และไม่มีเสียงใดแทรกเข้ามา ฌาณโยนโทรศัพท์ของผมที่จอดำมืดมาไว้บนเตียง ตอนนั้นถึงได้รู้ว่าฌาณกดปิดเครื่องให้ไปแล้ว
คนตัวโตเคลื่อนตัวมาบนเตียงนุ่ม ขยับตัวเข้าหาผมก่อนสองมือเย็นๆ นั่นจะสัมผัสเข้ากับแก้มที่เปรอะไปด้วยน้ำตา
“ไม่ร้อง...”
สิ้นสุดความเข้มแข็ง ผมทิ้งตัวปล่อยให้ความอ่อนแอโจมตีตัวเอง สะอื้นไห้ในอ้อมกอดฌาณอย่างหนัก
...ผมอยากจะร้องจนหลับไป แต่ในความเป็นจริงผมไม่หลับ แถมน้ำตาก็หมดก๊อกแล้ว ผมฝังตัวอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆ จากฌาณอยู่อย่างนั้นและเขาก็ลูบหลังผมอยู่ไม่หยุด ฌาณยังไม่ทันได้ถอดโค้ทสีดำของเขาด้วยซ้ำแต่ต้องมาปลอบผม ที่จู่ๆ ก็ร้องไห้เป็นเผาเต่าใส่ พอมาคิดดูแล้วก็น่าอายนิดหน่อย
ผมขยับตัวซุกเข้ากับอกฌาณ อยากให้เขาคอยลูบหลังปลอบใจอย่างนี้ต่อไป แต่พอเขาเห็นว่าผมหยุดร้องไห้แล้วจึงค่อยๆ ผละออก
“ตาบวมหมดแล้ว”
“...”
“นอนเถอะ เดี๋ยวไปเอาผ้ามาเช็ดหน้าให้”
ผมกดหน้าลงต่ำ ส่วนฌาณก็ลุกออกจากเตียงไป ทั้งที่เขายังคงอยู่ในห้องแต่ผมกลับรู้สึกเคว้างคว้างอย่างบอกไม่ถูก ผมอยากให้ฌาณอยู่ใกล้ๆ กับผมก่อน กอดผมไว้ก่อนอย่าเพิ่งลุกไปไหน
เขากลับมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กที่ชุบน้ำหมาดๆ ฌาณค่อยๆ บรรจงเช็ดหน้าผมช้าๆ
ผมเงยหน้าขึ้น สบตากับเขา
ถ้าเป็นฌาณ...จะเป็นไปได้มั้ยนะ
“แล้วเป็นอะไร จู่ๆ ก็ร้องไห้ซะหนัก”
“...”
“คนที่โทรมา...”
“อืม...ไนล์”
“...เป็นอะไรกับเขา”
“เพื่อน...”
“โกหก...”
“นอนเถอะ”
“เจน...”
ฌาณกดเสียงต่ำเหมือนจะดุเมื่อผมหนีคำตอบ ทิ้งตัวลงกับเตียงก่อนคลุมโปง ทว่าผมสัมผัสได้ว่าฌาณยังไม่ลุกไปไหน และผมก็ไม่อยากนอนคนเดียวด้วย เลยค่อยๆ แง้มผ้าห่มมาจ้องหน้าเขา...ที่จ้องผมก่อนอยู่แล้ว
“เจน” เขากดเสียงต่ำอีกครั้ง
“ฌาณมานอนด้วยกัน” ส่วนผมร้องเสียงอ่อน หวังออดอ้อน ตบพื้นที่ข้างตัวปุๆ
“ไม่กินข้าวหรือไง”
“ไม่หิวแล้ว...”
“ต้องไปอาบน้ำก่อน”
“ไม่เอานะ...”
“...”
“ฌาณอยู่กับผมก่อน”
“อาบน้ำก่อน เรานั่นแหละ เล่ามาเลยเป็นอะไร”
“ฌาณจะอยากรู้ไปทำไมอ่ะ”
“...เอาไว้ประกอบการตัดสินใจในการดูแล”
“มานอนก่อน ถ้านอนผมจะเล่านะ”
ผมไม่อยากนอนคนเดียวตอนนี้เลยบอกเขาเช่นนั้น สุดท้ายฌาณก็ถอนหายใจ ยอมทำตามความเอาแต่ใจของผม เขาขยับตัวถอดเสื้อโค้ทสีดำโยนไปไว้ตรงโซฟาเบด ถอดเสื้อกันหนาวอีกชั้นจนเหลือเพียงเสื้อคำเต่าแขนยาวสีดำกับกางเกงเดฟสีดำ ขยับตัวมายังที่ว่างข้างๆ ตัวผม ถึงจะขัดกับสถานการณ์แต่ผมอยากชมว่าพอฌาณใส่ชุดรัดรูปแบบนี้แล้วเท่เป็นบ้าเลย
ฌาณล้มตัวนอน หันหน้ามาจ้องผม เลิกคิ้วเป็นเชิงว่าเขาทำตามที่ผมบอกแล้ว
พอจ้องใบหน้าของเขาแล้วผมเกิดความลังเลขึ้นมา ไม่กล้าเล่าความจริงขึ้นมาเสียอย่างนั้น ผมกลัวว่าพอรู้ความจริงแล้วฌาณจะไม่กอดผมอย่างนี้อีก แต่เพราะแววตาจริงจังของเขาทำให้ผมเลี่ยงไม่ได้ จนสุดท้ายก็ตัดสินใจนึกถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น เรียบเรียงใหม่ในหัวเพื่อเตรียมกล่าวออกไป
ก่อนจะเอ่ย ผมขยับตัวเข้าหาฌาณ ซุกลงไปในอ้อมกอดอบอุ่น ปล่อยให้เขากอดตัวเองไว้อย่างนั้น หลับตานิ่งนึกถึงเรื่องราววุ่นวายก่อนหน้านี้ เรื่องราวที่ทำให้ผมลี้ตัวเองมาอยู่ที่นิวซีแลนด์ เรื่องราวทั้งหมด เกิดขึ้นเพราะคนๆ เดียว...
คนเรารับมือกับความผิดหวังได้ต่างกัน...
คนที่เคยได้รับทุกสิ่งมาอย่างง่ายดายอย่างผม เปราะบางกว่าที่คิด เหตุเพราะทั้งชีวิตนี้ผมแทบไม่เคยผิดหวังเลย... ดังนั้น ผมจึงรับมือกับความผิดหวังไม่เป็นเท่าไหร่
ผมถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงม ด้วยเพราะเป็นลูกคนเล็กของบ้าน อันที่จริงจะว่าคล้ายจะเป็นลูกหลงก็ได้... ในทีแรก พ่อกับแม่ตั้งใจจะมีลูกแค่สองคนคือเจดกับไจ และตั้งใจจะให้พี่ชายสองคนนี้สืบทอดกิจการที่บ้านต่อ แต่ผมดันโผล่มาแบบงงๆ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีผมออกมาเป็นลูกคนที่สาม
ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ต้องมีภาระหน้าที่รับผิดชอบอะไร ทำตามใจชอบได้อย่างอิสระ ไม่เคยถูกบีบบังคับ ไม่ต้องแบกรับอะไร ทำอะไรก็ไม่มีใครว่า ผมถูกสปอยมาตั้งแต่เด็ก ชีวิตสุขสบายจนน่าอิจฉา
และทั้งนี้ก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับตระกูล...
เคยคิดเช่นนี้ตอนกระทั่งพบว่าตัวเองช่างไร้ความสามารถ เหมือนเกิดมาใช้ชีวิตให้จบๆ ไป แต่เพราะไนล์เข้ามาทำให้ผมรู้สึกมองเห็นค่าอะไรบางอย่างในตัวเอง
ความรู้สึกที่อยากจะก้าวข้ามผ่านความไม่ต้องดิ้นรนอะไร เพื่อใครสักคน
และคนๆ นั้นคือไนล์
ผมหลงรักเขามาตั้งแต่มัธยม และรักมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้
ทว่าการหลงรักก็เป็นได้แค่การรักข้างเดียว เมื่อไนล์ไม่ได้มีท่าทีเช่นเดียวกับผม แต่นั่นก็ไม่เป็นไร เพราะในช่วงนั้นไนล์เองก็ไม่ได้เป็นของใคร ไนล์ไม่ได้คบใคร ไม่มีแฟน ไม่มีคนรัก ไม่มีคนที่ชอบ ไนล์ที่เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม ราวกับว่าผมได้ครอบครองเขาแต่เพียงผู้เดียว และผมก็คิดเช่นนั้นมาตลอดว่าเขาเป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว
เราสนิทกันมาก ขนาดที่มีเรื่องอะไรก็เล่าให้ฟังตลอด ไปเที่ยวเล่นกันที่บ้านจนพ่อแม่ของเรารู้จักกัน ตัวติดกันจนเพื่อนทุกคนรู้ว่าถ้ามีผมก็ต้องมีไนล์ และถ้ามีไนล์ต้องมีผม
และสุดท้ายในวันจบม.หก เราจูบกัน
ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศพาไปหรือเพราะความอยากรู้อยากเห็นของวัยรุ่นชายสองคน แต่เราก็จูบกัน
แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนกันไม่กระทำเช่นนี้ก็ตาม...
หลังจากวันนั้น ไนล์มีท่าทีเปลี่ยนไปจนผมแอบเข้าข้างตัวเองว่าไนล์ก็มีใจ ทว่าพอเริ่มเข้ามหาลัยได้ไม่กี่เดือน ไนล์กลับพาผู้หญิงคนหนึ่งมาหาผมเพื่อบอกว่าหล่อนคือแฟนคนแรกของเขา
เธอผู้โชคดีคนนั้นชื่อลินดา สวยสมชื่อสมความหมาย ดีกรีดาวคณะ แน่นอนใจผมแตกสลาย อกหักทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่ม ในทีแรกผมไม่อยากคาดหวังกับความสัมพันธ์ของเราอยู่แล้ว ไม่คิดว่ามันจะไปได้ไกลมากกว่าคำว่าเพื่อน แต่เพราะการกระทำที่เลยเถิดคิดว่ามันจะเป็นไปได้ ทำให้ผมเสียใจเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียว
และดูเหมือนมีแค่ผมเพียงคนเดียวที่เสียใจ
หลังจากนั้นไนล์กับเธอก็คบกันมาเรื่อยๆ ผมภาวนาให้ทั้งคู่เลิกกันเข้าสักวันด้วยความอิจฉา แต่อนิจจา สุดท้ายฟ้าก็ตอบแทนผมโดยวันที่จบภาคเรียนปีที่สาม ไนล์บอกว่าจะหมั้นกับลิน
โลกของผมดับมืดอีกครั้ง ไนล์ไม่เคยคบใคร ผมคิดว่าไนล์เป็นของผมแค่คนเดียว ทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อเขาคิดจริงจังกับผู้หญิงคนนี้ ไนล์หลงรักเธอจนหมดใจ และถ้ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ทำไมเราต้องเคยจูบกันด้วย
ทำไมต้องทำอะไรที่มันเกินเลยเกินกว่าคำว่าเพื่อน
ทำไมต้องทำให้ผมมีความหวัง
ทำไมต้องทำให้มันเกิด
แล้วทำไมถึงยอมนอนกับผม
ผมเคยนอนกับไนล์ในช่วงแรกๆ ที่เขาคบกับลิน คงเพราะความอยากรู้อยากลอง ไม่ก็ความไร้สติของเขาหรือเพราะไม่อยากเสียหน้าโดนตราหน้าว่าเป็นหนุ่มซิงไร้ประสบการณ์ตอนนอนกับหล่อนล่ะมั้ง ถึงได้มาทำเช่นนี้กับผม
และผมที่หลงรักเขามีหรือจะกล้าปฏิเสธ คิดเป็นเด็กว่าถ้าเขานอนกับผม มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันแล้วไนล์อาจจะหันมาชอบผมบ้างก็ได้
ทั้งที่สุดท้ายก็เป็นแค่ความคิดโง่เง่า...
ความเสียใจผมล้นท้นจนกลั่นออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
ถ้อยคำต่อว่าด่าทอคนบนฟ้าไม่ทำให้พวกเขาเห็นใจ ผมทรมานกับการที่ไนล์เป็นของคนอื่นถึงสามปีเต็ม จวบจนปีสุดท้ายของการศึกษา ไนล์บอกว่าจะแต่งงานกับลินทันทีหลังเรียนจบ
คำพูดของไนล์ราวกับฟ้าผ่าฟาดลงมาจนแทบหมดสติ ผมถูกเขาทำลายความหวังอย่างย่อยยับ ไม่เหลือพื้นที่ให้เผื่อความสัมพันธ์ ความคิดขัดแย้งมากมายถาโถมเข้ามาในหัวอย่างห้ามไม่อยู่
ถ้าจะเป็นแบบนี้ ทำไมต้องจูบ
ทำไมต้องยอมนอนกับผม
ทำไมไม่ทำให้มันจบแค่คำว่าเพื่อน
ทำไมต้องทำให้ผมมีความหวัง
และในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ไนล์กล่าวประกาศว่าจะแต่งงานกับลินดา ผมก็เผยความในใจออกไปอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป
ไนล์ไม่ได้มีท่าทีตกใจ ราวกับรับรู้ถึงความรู้สึกของผมอยู่แล้ว ยิ่งตอกย้ำให้ผมใจสลายมากกว่าเดิมเมื่อเขาไม่คิดจะรัก แต่ก็ยังทำท่าทีเหมือนมีใจ ทั้งๆ ที่รู้ดีแท้ๆ ว่าผมรู้สึกอย่างไร
น้ำตากี่พันล้านหยดก็ไม่อาจทดแทนความรู้สึกของผมได้
จนสุดท้าย เมื่อกำหนดวันแต่งงานของไนล์ออกมา ผมก็เลือกที่จะบินหนีมาไกลๆ อย่างนิวซีแลนด์ สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเราเคยให้สัญญาว่าจะมาด้วยกันสักครั้ง
หากแต่สุดท้ายแล้วคำสัญญาก็เป็นแค่ลมปาก
ถ้าการดิ้นรนแล้วทำให้ผมแตกสลายอย่างนี้ เช่นนั้นผมก็ขออยู่เฉยๆ เสียดีกว่า
❄ ❄ ❄ ❄ ❄ ❄
Trust me...