-17-
“พี่โกรธผมเหรอ” ใช้นิ้วจิ้มๆ แขนเสื้อพี่ไฮท์ที่นั่งปรับสายกีต้าร์ไม่สนใจผม “พี่ไฮท์” แน่ะ สะบัดหนีอีก ผมว่าไม่ได้โกรธแล้วล่ะแบบนี้ “เดี๋ยวหัวล้านนะ”
“กูไม่ได้น้อยใจ”
“ไม่ได้น้อยใจแต่งอน?” เงียบครับ ไม่มีสัญญาณตอบกลับ “งอนอะไรผมวะ”
“เมื่อวานมึงนัดกูกินข้าวเที่ยง”
ได้ยินปุ๊บ ประโยคคำชวนที่ผ่านสัญญาณโทรศัพท์ไร้สายเมื่อวันก่อนก็แทรกเข้ามาในความทรงจำ ผมรีบยิ้มแห้งทันทีตอนโดนสายตาดุจ้อง
“ผมไม่ได้ตั้งใจลืมนะ มันลืมเอง” พี่ไฮท์ขยับตัวหนีแต่ผมยังขยับตาม “ขอโทษ”
“เมื่อวานมันไม่ได้กินข้าวเที่ยงเพราะรอมึงนั่นแหละ” พี่บิ๊กคงเห็นผมง้อไม่สำเร็จเลยรีบขยายความในความผิดของผมว่ามันร้ายแรงแค่ไหนถึงทำให้ถูกงอนได้ขนาดนี้
“จริงเหรอ เมื่อวานพี่ไม่ได้กินข้าวเที่ยงเพราะรอผมเหรอ” ถามแต่ไม่ตอบอีก “งั้นเดี๋ยวเที่ยงนี้ผมเลี้ยงข้าวพี่...”
“กูมีเงิน”
“รู้ว่าพี่รวย ผมมันจน...”
“ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
“หายงอนแล้วใช่ป่ะ” พอเห็นผมเสียงกระด้างพี่ไฮท์ก็อ่อนลงทันตา ผมเลยรีบไล่ต้อนถาม สรุปพี่แกก็ยิ้มออกมาพร้อมพยักหน้า “ก็แค่นี้ขี้งอนไปได้ ว่าแต่ เมื่อวานพี่ขิงสร้างวีรกรรมอะไรให้ผมถูกกระทืบบ้างไหม” รีบหันซ้าย หันขวาถาม เจมส์ที่ขำๆ อยู่ก็รีบเม้มริมฝีปาก พี่บิ๊กก็เสหน้ามองทางอื่น ส่วนพี่ไฮท์นั่งนิ่งไม่ยอมตอบ นี่ พี่ขิงสร้างเรื่องให้ผมอีกแล้วใช่ไหมวะ ผมต้องหลบมือหลบตีนอีกแล้วหรือนี่
“มันไม่ได้กวนตีนใครเพิ่มหรอก จะมีแค่ไอ้เจมส์แล้วก็ไอ้ไฮท์แค่นั้นแหละ” พี่บิ๊กทำให้ผมคลายความกังวลได้มากโข แต่ก็ยังไม่ชอบใจอยู่ดี ที่พี่ชายผมเอาแต่สร้างเรื่อง “แล้วไอ้ขิงมันมาทำไม หรือจะมาเปลี่ยนตัวกับมึงแล้ว” พอพี่บิ๊กพูดจบ ทุกคนก็รีบหันมาจ้องหน้าผมเขม็ง โดยมีสายตาคู่หนึ่งกดดันเลเวลสูงสุด นี่ถ้าสิงผมได้คงทำไปแล้ว เพราะหน้าพี่ไฮท์แทบจะชิดกับหน้าผม
“คือแบบว่า...” ไม่รู้จะต้องเริ่มพูดจากตรงไหน บางเรื่องมันก็ดูไม่สมควรที่จะบอกกับคนอื่น “มันแบบ...”
“คือแบบมาอีกทีกูถีบจริงๆ” คนอยากรู้รีบพูดออกมา และไม่ได้พูดเปล่าเมื่อพี่ไฮท์ยกเท้าขึ้นถีบจริงแต่ไม่แรงมากแต่คือผมยังไม่ได้พูดเลย เล่นถีบมาก่อนแบบนี้ได้ยังไงวะ “ไอ้ขิงมาพูดอะไรกับมึง รีบๆ พูด”
“พี่ขิงเขา...” ผมต้องพูดจริงๆ เหรอวะ “เขามาบอกว่าใช้หนี้บอลหมดแล้ว”
“แค่นี้?” รีบพยักหน้าเมื่อถูกพี่ไฮท์ถาม
“ไอ้ขิงเล่นบอลจริงๆ เหรอวะ งั้นที่ไอ้แน่บอกก็เรื่องจริงน่ะสิ” ผมหันขวับมองพี่บิ๊กทันที แต่พี่แกหันไปจ้องตากับเพื่อนสนิทแทน
“บอกเรื่องอะไรเหรอ” ผมกำลังจะอ้าปากถาม แต่คนอยากรู้มากกว่าผมก็ได้ถามแทนแล้ว เจมส์ยื่นหน้าไปด้วยความสอดรู้เลยโดนฝ่ามือเข้าหัวไปเน้นๆ หนึ่งที จนหน้าง้ำงอไปเลย
“พี่แน่บอกอะไรพวกพี่เหรอครับ” พยายามกลั้นขำเพื่อนพร้อมเอ่ยถามพี่บิ๊ก
“ไอ้แน่มันเล่าให้พวกกูฟังตั้งแต่ต้นปีแล้วล่ะ มันบอกว่า คนที่มันรู้จักที่เดินโพยโต๊ะบอล มาโม้ให้ฟัง ว่ามีนายแบบหน้าสวยเป็นหนี้โต๊ะบอลหลายแสน ตอนนั้นพวกกูก็ไม่ได้สนใจเพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับพวกกู” ผมขมวดคิ้วอัตโนมัติช่วงที่พี่บิ๊กเล่าเรื่องราว “ช่วงหาเงินมาใช้ไม่ได้ นายแบบนั่นก็จะใช้ตัวเองจ่ายแทนดอกเบี้ย ไอ้เสี่ยเจ้าของโต๊ะก็ดูหลงหนักมาก”
“ใช้ตัวเองจ่ายแทน? เดี๋ยวนะ พี่จะบอกว่า พี่ขิงนอนกับเจ้าของโต๊ะบอลเพื่อใช้ดอกเบี้ยเหรอ” ช็อคพอๆ กับเรื่องที่พี่ขิงบอกว่าโดนลุงเจ้าของบ้านข่มขืนเลย แต่นี่โหดร้ายมากกว่า “พี่พูดจริงๆ ใช่ไหมเรื่องนี้”
“ไอ้แน่มันเล่าให้กูกับไอ้ไฮท์ฟังแบบนี้ จริงไม่จริงกูก็ไม่รู้ว่ะ” ผมหันหน้าไปมองพี่ไฮท์ทันทีเพื่อขอคำยืนยัน พอพี่ไฮท์พยักหน้ารับผมก็แทบเซตกเก้าอี้ “แต่ก็ดีแล้วนะ ที่ไอ้ขิงใช้หนี้หมด มึงจะได้ไม่ต้องมารับความซวยแทนไง”
“นั่นสิ” เจมส์เสริม แต่สีหน้ามันดูเหมือนไม่ดีใจเท่าไหร่
“ถึงจะใช้หนี้บอลหมด แต่พี่ขิงบอกผมว่ายังไม่กลับมานะ ไม่รู้มีเหตุผลอะไร” ผมพูดจบ เจมส์ก็มีสีหน้าดีขึ้น รวมทั้งคนที่นั่งเงียบก็เริ่มยกยิ้มมุมปากนิดๆ “เรื่องที่พี่ขิงติดหนี้บอล มีคนอื่นรู้อีกไหมครับ”
ไม่มีคำตอบจากทุกคนผมเลยได้แต่ขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่า เรื่องที่พี่ขิงเล่นบอลจะมีใครรู้บ้าง ผมกลัวว่าถ้าเรื่องมันแพร่กระจายไปมาก ชีวิตของพี่ขิงก็อาจจะลำบาก ทั้งเรื่องเรียน อีกทั้งยังงานที่ทำอีก ล่มหมดแน่อนาคต
“แล้วมึงถามพ่อเลี้ยงมึงหรือยัง ว่าข่มขืนไอ้ขิงจริงหรือเปล่า” ความอยากรู้ของเจมส์ทำให้คนอื่นตาโต รวมทั้งผมด้วย “ว่าไง”
“ถามทำไมตอนนี้วะ” ผมรีบดึงแขนเจมส์ให้หยุดอยากรู้ แต่ดูเหมือนจะไม่ทัน เพราะทั้งพี่บิ๊กกับพี่ไฮท์ได้ยินเต็มๆ แถมยังยื่นหน้ารอคำตอบจากผมเรียบร้อย “คือแบบว่า”
“ไม่ไว้ใจกูเหรอ” ประโยคของพี่ไฮท์ทำเอาผมเม้มริมฝีปากแน่น “หรือเห็นกูเป็นคนนอก”
“ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ ผมแค่ไม่รู้ว่าจะพูดดีไหม เพราะเรื่องจริงผมก็ยังไม่รู้”
“ก็แล้วทำไมมึงไม่ถามล่ะ” เจมส์ถามแทรกเข้ามาก็คงตรงใจกับอีกสองคนที่พยักหน้าพร้อมกัน
“ถ้ามันถามง่ายๆ กูก็ถามแล้วสิวะ”
“ก็จริงของมึง”
เมื่อไม่ได้ความอะไรต่อแล้ว ผมก็ชวนพี่ไฮท์ไปกินข้าวเที่ยงชดเชยที่เบี้ยวนัดไป แม้คนโดนชวนจะอิดออดทำบิดขี้เกียจยังไงแต่ก็ยอมเดินตาม พอเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วผมก็หลุดขำออกมา พี่ไฮท์ดูต่างจากตอนแรกที่เจอกันลิบลับ คงจะจริงอย่างที่ใครๆ ว่า
พี่ไฮท์ใจดีและน่ารักมาก
ผมเดินนำในตอนแรกก่อนพี่ไฮท์จะรีบสาวเท้าเข้ามาเดินข้างๆ ไม่รู้หรอก ว่าพี่ไฮท์ทำหน้ายังไงเพราะไม่กล้าหันไปมอง รู้สึกเขินแปลกๆ หลายช่วงที่เดินผ่านจะมีสาวสวยหลายกลุ่มทักทาย บ้างก็โปรยยิ้มส่งมาให้ทั้งผมกับพี่ไฮท์ แต่ส่วนมากคงจะให้คนข้างผมนี่แหละ พี่แกดูสนิทกับทุกคนไปหมด กว่าจะถึงโรงอาหารเหงือกแห้งหมด
“อยากกินอะไร” คำถามของพี่ไฮท์ไม่ค่อยเข้าหู เพราะผมกำลังสนใจกลุ่มของไอ้พี่นาวที่กำลังชี้มาทางผม “ขมิ้น อยากกินอะไร”
“ครับ?” ยังดีที่พี่ไฮท์เรียกชื่อจริงๆ ของผมไม่ดังมาก “ข้าวมันไก่ก็ได้”
“ไปหาที่นั่งเลย เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้”
“ครับ”
รับคำแบบงงๆ หลังจากได้ยินคำว่าพี่ไปซื้อให้ แต่พอหาที่นั่งได้ฝั่งตรงข้ามผมก็มีคนมานั่งเฉย คนเข้ามานั่งตีหน้ายียวนดูแล้วชวนหาเรื่องมากกว่าอยากพูดคุย ไอ้พี่นาวมองหน้าผม สลับกับหันไปมองพี่ไฮท์ที่ยืนต่อแถวร้านข้าวมันไก่
“เพิ่งรู้ว่าขิงญาติดีกับไอ้ไฮท์แล้ว ถึงขนาดควงกันมากินข้าวที่โรงอาหาร”
“ผมจะมากินข้าวกับใครมันก็เรื่องผม พี่ยุ่งอะไรด้วย”
“ที่ปฏิเสธพี่ เพราะไอ้ไฮท์ใช่ไหม ทำไม ลีลามันเด็ดกว่าพี่เหรอ”
“ไอ้!!”
ผมตบโต๊ะเสียงดังจนคนแถวนั้นสะดุ้งกันเป็นแถว แต่คนตรงหน้าดูไม่สะทกสะท้านเพราะยังยิ้มกวนโมโหอยู่
“ไม่ต้องเขินหรอก เราก็รู้ๆ กันอยู่”
“รู้อะไร”
“ก็ลีลาของขิงไง เชี่ย!”
ไอ้พี่นาวทำตาโตตกใจร้องจนสียงหลงเมื่อผมโผเข้ากระชากคอเสื้อนักศึกษา แม้จะมีโต๊ะคั้นกลางแต่ก็ไม่อาจขวางผมได้
“หุบปากเน่าๆ ของพี่ซะ” ผมกัดฟันพยายามข่มความโมโหของตัวเองไม่ให้ระเบิดมากไปกว่านี้
“ทำไม จะทำอะไรกู เมียจะทำอะไรผัวเหรอครับ” ไอ้พี่นาวทำลอยหน้าลอยตาจนผมกำหมัดแน่น “ความร่านของมึง เน่ากว่าปากกูซะอีก ไม่งั้นไอ้ไฮท์ที่เกลียดมึงเข้าไส้จะหลงมึงเหรอ”
“มึง!”
เสียงจานข้าวกระทบพื้นดังลั่นโรงอาหาร ยังไม่น่าตกใจเท่าร่างของไอ้พี่นาวปลิวลงพื้นเมื่อถูกต่อยเข้าเต็มหน้า คนต่อยเกือบจะเป็นผม หากพี่ไฮท์ไม่เข้ามากระชากร่างนั่นแล้วปล่อยหมัดใหญ่เข้าเต็มๆ โหนกแก้มจนทุกคนในโรงอาหารรีบลุกหนีเพราะกลัวถูกลูกหลง
“ไอ้สัดไฮท์!!” เสียงกร้าวกระชากด่า เจ้าของชื่อกลับยังตีหน้านิ่ง แต่รังสีความน่ากลัวมันแผ่ออกมากดดัน ขนาดเพื่อนไอ้พี่นาวยังไม่กล้าเข้ามารุมเมื่อถูกพี่ไฮท์ตวัดตาขึ้นมอง “ต่อยกูทำเหี้ยอะไร”
“กูเตือนมึงเมื่อวาน ว่าอย่ายุ่งกับคนของกู!” ผมทำตาโตมองพี่ไฮท์ชี้หน้าคนที่ยังนั่งกองที่พื้น
“คนของมึงผ่านคนมาเป็นร้อย จะหวงอะไรนักหนาวะ”
“ไอ้เหี้ยนาว!” ผมรีบคว้าเอวพี่ไฮท์ก่อนที่ฝ่าเท้าใหญ่ๆ จะพุ่งกระทบหน้าฝั่งตรงข้าม ตอนนี้คนที่ผมรวบเอวโกรธจนตัวสั่นไปหมด “ถ้ามึงยังไม่เลิกยุ่งอีกละก็ กูเหยียบมึงจมดินแน่”
“กูขอเถอะไฮท์ ไอ้นาวมันก็ปากหมาหาเรื่องอยู่แล้ว มึงอย่าถือมันเลยนะ กูขอล่ะนะ” คนตัวเล็กที่ยืนข้างไอ้พี่นาวรีบพูดขอ ตอนแรกพี่ไฮท์ทำท่าจะไม่ยอมจนผมต้องกระซิบเบาๆ ว่าให้พอพี่ไฮท์ถึงยอมหยุด
“งั้นมึงช่วยดูแลเพื่อนมึงดีๆ ด้วยนะ อย่าให้มันเห่าไปเรื่อยถ้าไม่อยากถูกกูกระทืบ”
“เออๆ กูจะดูแลมันเอง กูไปนะ”
แล้วพี่นาวก็ถูกหิ้วออกจากโรงอาหารไป แม้เจ้าตัวจะดูหงุดหงิดแต่ก็ยอมเดินตามกลุ่มเพื่อนตัวเอง ผมค่อยๆ ผละออกห่างจากพี่ไฮท์ และทันทีก็ถูกดวงตาดุตวัดมองจนสะดุ้ง นี่ผมจะถูกลูกหลงหรือเปล่าวะ แต่สิ่งที่กลัวไม่ได้เกิดขึ้น เมื่อพี่ไฮท์ถอนหายใจออกมา ก่อนย่อตัวนั่งเก็บเศษข้าวมันไก่ที่พื้นแทน ผมย่อตัวนั่งลงข้างๆ มือก็ช่วยเก็บเศษข้าวด้วย
“พี่ ผมขอโทษ”
“มึงไม่ใช่คนผิด จะขอโทษทำไม”
แม้จะพูดตอบ แต่น้ำเสียงโคตรแข็งกระด้าง ผมเม้มริมฝีปากก่อนจะยื่นมือแตะหลังมือพี่ไฮท์เบาๆ แค่นั้นคนตาดุก็เริ่มอ่อนลงพร้อมช้อนตาขึ้นมอง
“พี่”
“ไปกินข้าวที่อื่นเถอะ”
ตอนแรกก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่พอเราสองคนยืนขึ้นถึงได้รู้ความหมาย ทุกสายตาในโรงอาหารจ้องมาที่ผมกับคนข้างๆ เป็นตาเดียว หากไม่ได้สายตาโหดๆ ของพี่ไฮท์มองกราดไปยังทุกคน ป่านนี้คงมีเสียงกระซิบเล็ดลอดมาให้ได้ยิน ต้องขอบคุณดวงตาดั่งท่านลอร์ดของพี่เขา พี่ไฮท์เดินนำผมออกมาด้านนอก พวกเราตกลงกันว่าจะออกไปกินข้าวร้านอาหารอีสานที่เคยบังเอิญเจอกันคราวนั้นเลยต้องย้อนกลับมาเอารถของผม ขืนเอารถพี่ไฮท์ไปคงไม่ได้เรียนคาบบ่ายแน่ คงติดแหง็กอยู่บนถนนสักเส้น
มอเตอร์ไซค์ KSR สีดำทะยานออกนอกรั้วมหาลัย พี่ไฮท์บิดเร่งความเร็วไม่พอ ยังปาดซ้ายปาดขวาจนผมต้องจับชายเสื้อไว้แน่น ไม่รู้จะรีบไปไหน หรือว่าหิวมากจนต้องเหาะขนาดนี้
“พี่จะรีบไปไหนเนี่ย ควายหายหรือไง” ตะโกนโต้ลมถาม แต่ไม่ได้คำตอบใดๆ กลับมา
อย่าบอกว่านี่คือการระบายอารมณ์โกรธเมื่อกี้ ไอ้ขมิ้นยังไม่อยากตายนะพี่ครับ
กว่าจะถึงร้านหน้าผมก็แทบไร้ความรู้สึกคล้ายกับถูกฉีดยาชาไปทั้งหน้า คนขี่ยังทำหน้าเฉยจนอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้ พี่ไฮท์เดินนำเข้าร้านไปแล้วผมเลยต้องวิ่งตาม ร้านที่เคยมานั่งยังคึกคักเหมือนเดิม ลูกค้าแน่นจนเกือบไม่มีโต๊ะ
“พี่สั่งเลยนะ ผมกินอะไรก็ได้”
บอกขณะหย่อนก้นนั่ง พี่ไฮท์เปิดดูเมนูครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาทำเอาพนักงานขำ
“อะไรก็ได้ของมึงไม่มีในเมนู” ดูความกวนนี้ “สั่งใหม่” ว่าแล้วเมนูก็ถูกโยนมาตรงหน้า
อารมณ์ที่ค้างมายังถูกระบายออกไม่หมดใช่ไหม
ผมสั่งกับข้าวไปสองสามอย่าง ระหว่างรอก็อดที่จะมองหน้าคนตรงข้ามไม่ได้ มองจนถูกส้อมตีเข้าหน้าผากถึงเลิกมอง
“พี่นี่ชอบใช้กำลังเนอะ”
“ใช้เฉพาะตอนถูกกวนตีน”
“แต่ที่โรงอาหารเมื่อกี้ พี่น่ากลัวจริงๆ ว่ะ” พูดตามความจริง สายตาดุดันนั่นยังติดตาผมอยู่เลย มันกร้าวมากกว่าตอนที่จะต่อยผมซะอีก “พี่ไม่ชอบไอ้พี่นาวเหรอ”
“ไม่เชิง”
“อ่าว” ไม่ได้ไม่ชอบแล้วไปต่อยเขาทำไมวะ “พี่ ไปเตือนอะไรเขาเหรอ”
“เตือนอะไร”
“ก็ผมได้ยินพี่บอกว่า พี่ไปเตือนของกูๆ อะไรสักอย่าง” ถ้าตอนนั้นผมไม่ตกใจคงจะรู้เรื่องมากกว่านี้ “เตือนเรื่องอะไรเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องของมึง”
“หาว่าผมเสือกอยู่ล่ะสิ ทำไมพี่ชอบพูดเรื่องจริงอยู่เรื่อย”
“คิดว่าตัวเองเป็นคนตลกหรือไง”
พูดจบก็ขำเอง แถมยังพาลให้ผมขำด้วย สรุปคือขำทั้งคู่โดยไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ไม่นานกับข้าวที่สั่งก็มา ความหิวทำให้เราหยุดพูดคุยกันไปพักหนึ่ง ก่อนหน้าผากผมจะถูกช้อนเคาะจนสะดุ้ง
“ทำอะไรของพี่เนี่ย” ช้อนเปื้อนลาบอีสานด้วยนะนั่น
“จะเขี่ยหมูย่างหาเลขเด็ดในจานหรือไง” ถูกทักปุ๊บ ผมก็รีบชักมือกลับ เพิ่งรู้ตัวว่าเขี่ยจนหมูกระเด็นออกจากถ้วยหลายชิ้น “มึงนี่มัน...”
“มันกินได้ น้ำลายฆ่าเชื้อโรค” พี่ไฮท์ถลึงตาใส่ช่วงที่ผมหยิบหมูที่อยู่บนโต๊ะเข้าปาก “ผมแค่กำลังคิดเรื่องพี่ขิงอยู่”
“อยู่กับกูจะคิดถึงเรื่องคนอื่นทำไม” ประโยคนี้ผมต้องเขินใช่ไหม...ใช่สิ แต่พี่ไฮท์ดูไม่ได้ใส่ใจประโยคที่ตัวเองพูดสักเท่าไหร่ เพราะมือยังหยิบไส้ย่างเข้าปาก “เรื่องบางเรื่อง คิดไปก็ปวดหัว”
“มีผัวดีกว่างี้”
“มึงว่าอะไรนะ”
“เปล่าๆ” เกือบไปแล้ว อุตส่าห์พึมพำต่อประโยคแบบโคตรจะเบายังได้ยินอีก “พี่ว่า ถ้าผมถามลุงเจ้าของบ้านเรื่องพี่ขิง เขาจะบอกไหม ผมกลัวเขาไม่บอก”
“ลุงเจ้าของบ้าน? พ่อเลี้ยงมึงน่ะเหรอ” รีบพยักหน้าเมื่อถูกถาม “แล้วได้ถามไปหรือยังถึงกลัวว่าเขาจะไม่ตอบ ถ้ายังก็อย่าเพิ่งคิดแทน”
“เขาจะฆ่าผมหรือเปล่าวะ” นึกถึงตอนโดนปืนจี้คราวที่แล้วยังขนลุกไม่หาย
“กฎหมายมีจะกลัวทำไม” ก็จริงอย่างที่พี่ไฮท์ว่า “แต่ถ้ากลัว เดี๋ยวกูไปนอนด้วย มึงจะได้มีคนเก็บศพ”
นี่ผมต้องขอบคุณคนรอเก็บศพผมใช่ไหม
“พี่จะไปนอนบ้านผมเหรอ”
“ทำไม ทีมึงยังมานอนบ้านกูได้เลย หรือไม่อยากให้กูไป”
“ไม่ใช่ ผมแค่กลัวพี่อึดอัด ถ้าเป็นบ้านของผมละก็ พี่จะไปนอนเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นี่บ้านคนอื่น...” พี่ไฮท์ไม่ตอบอะไรทำแค่ยักไหล่ คงจะเข้าใจความหมายที่ผมบอก “ผมถามได้ใช่ไหม พี่ว่าไง”
“อยากรู้ก็ถาม ไม่อยากรู้ ก็ไม่ต้องถาม”
“ก็จริง”
“แล้วก็รีบๆ กิน เดี๋ยวกูเข้าเรียนไม่ทัน”
“ก็จริง”
“ไอ้ขมิ้น”
“ก็จริง”
เผลอกวนตีนไปหน่อยเดียวถึงกับโดนข้าวเหนียวปาใส่หน้า แต่พอดีผมเก่งเลยอ้าปากรอรับได้ทัน เคี้ยวไปยักคิ้วไปยั่วโมโหคนปา มันเกือบจะดีอยู่แล้วหากข้าวไม่ติดคอจนหาน้ำกินแทบไม่ทัน คนตรงข้ามก็หัวเราะจนงอหงายไม่ยอมช่วยอะไร
เกือบตายเพราะข้าวเหนียวแล้วไอ้ขมิ้น
***
“ได้เรื่องยังไงแล้วโทรบอกกูด้วยนะ” เจมส์สั่งก่อนจะแยกไปที่รถของตัวเอง “อย่าลืมนะเว้ย”
พยักหน้าส่งให้เพื่อนก่อนจะควบมอเตอร์ไซค์คันโปรดกลับบ้าน ระหว่างทางนั้น ผมลองทวนคำถามที่เจมส์แนะนำมา หวังว่าพอถึงเวลาผมจะกล้าถาม เพราะหากใช้คำถามจากพี่ไฮท์ละก็ ผมคงได้ลูกตะกั่วแทนคำตอบ
บ้านหลังใหญ่ช่วงบ่ายแก่ๆ ปกติแล้วจะไม่มีใครอยู่ แต่วันนี้กลับแปลกที่มีรถตู้คันสีดำจอดในโรง เหมือนโชคชะตาเป็นใจให้ได้ถามเรื่องราวที่อยากรู้ ผมจอดรถในโรงจอดก่อนจะเดินเข้าบ้าน ชั้นล่างเงียบเชียบเหมือนไม่มีคนอยู่ หรือจะอยู่ชั้นบนวะ พอผมก้าวขาจะขึ้นบันได คนที่ตามหาก็กำลังเดินลงมา
“สวัสดีครับ” ยกมือไหว้ตามมารยาทแฝงความสะดุ้งน้อยๆ ลุงเจ้าของบ้านพยักหน้าให้นิดๆ แล้วเดินลงมา ร่างสูงใหญ่กำลังจะผ่านหน้าไปแล้ว ผมก็รีบรวบรวมความกล้าแล้วกลั้นใจเรียกให้หยุด “ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
“คุยกับฉัน?” ลุงเจ้าของบ้านหยุดเดิน ดวงตาดุที่เคยมองผมตลอดวันนี้ดูอ่อนลง “ถ้าถามไม่มากก็พอได้”
“ขอบคุณครับ”
ผมเดินตามหลังลุงเจ้าของบ้านไปนั่งที่โซฟารับแขก ความเกร็งก็เกิดขึ้นทันทีที่เผชิญหน้า
“มีอะไร”
“คือผม...” อยู่ดีๆ คำถามทั้งหมดก็หายไปจากความทรงจำ “คือผมอยากจะถาม...”
“อยากถาม? ถามเรื่องอะไร รีบๆ นะ ฉันมีงานต่อ”
“ถ้าผมถาม ลุงจะไม่ยิงผมใช่ไหม” พยายามพูดให้ติดตลก แต่อีกฝ่ายกลับไม่ขำ ลุงเจ้าของบ้านขยับตัวนั่งตรงแล้วจ้องหน้าผมนิ่ง ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมเม้มริมฝีปากพร้อมตัดสินใจโพล่งเรื่องที่อยากรู้ออกไป “เรื่องพี่ขิง”
“จะถามเรื่องอะไรของมัน” อยู่ๆ ลุงแกก็เหวี่ยงขึ้นมาเฉย ใบหน้าบูดบึ้งราวกับโมโห
“พี่ขิงมาคุยกับผมเมื่อวาน” ก็อย่างที่พี่ไฮท์บอก อยากรู้ก็ต้องถาม ไม่อยากรู้ก็ไม่ต้องถาม แต่เพราะผมอยากรู้ไง เลยต้องถาม “พี่ขิงบอกถูกลุงข่มขืน จริงหรือเปล่า”
“ว่าอะไรนะ!”
ผมสะดุ้งจนตัวลอยเมื่อลุงเจ้าของบ้านฟาดมือลงบนที่พักแขนโซฟาเสียงดังลั่นบ้าน ใบหน้าของเขาตอนนี้ดูเกรี้ยวกราดจนผมอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้ เขาจะฆ่าผมหรือเปล่าเนี่ย
“มันบอกแกแบบนั้นเหรอ! มันกล้ากล่าวหาฉันขนาดนั้นเชียวเหรอ!”
“ครับๆ”
เสียงตะคอกทำให้ผมรับคำไปรัวๆ ยิ่งลูกน้องของลุงเจ้าของบ้านวิ่งเข้ามาด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งหวาด ยังจำปลายกระบอกปืนของพวกเขาได้
“ฉันอุตส่าห์เลี้ยงมัน รักมันเหมือนลูก แต่มันกลับหาว่าฉันข่มขืน เลว!”
“ลุงไม่ได้ข่มขืน เชี่ย!”
สะดุ้งอีกรอบเมื่อลุงเจ้าของบ้านตบโซฟา ขวัญเอ๊ยขวัญมาไอ้ขมิ้น
“ถึงฉันไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่เลวขนาดข่มขืนคนที่รักเหมือนลูกได้หรอก ขี้ เยี่ยวมันฉันก็เช็ดล้างให้อย่างดีตั้งแต่เด็ก โตมาก็ให้ใช้เงินไม่ขาดมือ อยากได้อะไรก็ให้ อยากเข้าวงการฉันก็เอาเงินยัดให้ แล้วนี่คือสิ่งที่มันตอบแทนบุญคุณฉันหรือ” อึ้งจนหาเสียงตัวเองไม่เจอ ก็พอรู้อยู่หรอก ว่าลุงเจ้าของบ้านรักพี่ขิงมาก แต่ไม่คิดว่าจะรักขนาดนี้ “ขโมยเงินฉันไปยังไม่พอ ยังกล้าโกหกว่าถูกฉันข่มขืนอีก มันน่ายิงทิ้งนัก”
“ขโมยเงิน” ตาเหลือกตอนได้ยินว่าน่ายิงทิ้ง แต่ที่สะดุดหูอีกอย่างคือขโมยเงิน “ลุงว่าพี่ขิงขโมยเงินเหรอครับ”
“เออสิ มันมาหาแม่มันแล้วแอบขึ้นไปขโมยเงินในเซฟฉัน”
“เมื่อไหร่ครับ” พี่ขิงมาหาแม่ด้วย วันไหนวะ ทำไมแม่ไม่เห็นบอก
“สองสามวันที่แล้ว คงโดนโต๊ะบอลทวงหนักเลยมาขโมย ไม่รู้ได้เชื้อเลวมาจากใคร”
คำด่าฟาดงวงฟาดงาของลุงเจ้าของบ้านทำให้ผมเจ็บจี๊ดเหมือนกันนะครับ เพราะพี่ขิงก็สายเลือดเดียวกับผม เหมือนผมถูกด่าไปด้วย
“ลุงรู้ได้ยังไงว่าพี่ขิงขโมย...” พูดไม่จบดี ลุงแกก็ยื่นโทรศัพท์เครื่องแพงมาให้ผม พอรับมาดูก็เห็นวีดีโอเคลื่อนไหว น่าจะเป็นกล้องวงจรปิดที่ติดในห้อง คนที่มีหน้าเหมือนผมราวกับส่องกระจกกำลังหันซ้าย หันขวาอยู่หน้าตู้เซฟ พอเปิดได้ก็รีบกวาดเงินกับกล่องกำมะหยี่ใส่กระเป๋าเป้ตัวเองก่อนปิดแล้วเดินออกจากห้องราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พี่ขิงกล้าทำแบบนี้ได้ยังไงวะ
“เป็นไง”
“ลุง จะแจ้งตำรวจจับพี่ขิงไหม”
หาเสียงตัวเองแทบไม่เจอ ทำไมผมต้องเจอแต่เรื่องแบบนี้ตลอดตั้งแต่ตบปากรับคำเข้ามาเป็นพี่ขิง คนที่ผมเคยคิดอิจฉามาตลอดหลายปี
“ถ้าพี่แกโดนจับ คงติดคุกตลอดชีวิตเชียวล่ะ” ผมเงยหน้ามองลุงเจ้าของบ้านที่ขยับลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สองมือกระชับเสื้อสูทให้เข้าที่ ก่อนตาดุจะปรายมามองผม “รีบๆ กลับบ้านแกไปซะ ถ้าไม่อยากเดือดร้อนมากกว่านี้ พี่แกไม่ใช่คนที่จะอยู่ใกล้ได้”
คำเตือนที่ดูน่ากลัวแต่ก็แสนงงงวย พี่ขิงน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอวะ
ผมไม่ได้สนใจว่าลุงเจ้าของบ้านจะออกไปไหน เพราะตอนนี้ในหัวคิดแต่เรื่องพี่ขิงเต็มไปหมด ไม่ได้โดนข่มขืนแต่ทำไมต้องกุเรื่องขึ้นมา ทำให้มันดูน่าสงสารเหรอ หรือยังไง แถมยังกล้าขโมยเงินอีก ที่จริงลุงเจ้าของบ้านก็รักขนาดนั้น ขอยืมเงินไม่กี่แสนก็น่าจะได้ ดูสิ ลุงแกยังรู้เลยว่าพี่ขิงติดหนี้บอล ขอเงินก็ไม่น่าจะยากเท่าไหร่
สรุปแล้ว พี่ขิงเป็นคนยังไงกันแน่ ดีหรือเลววะ
จังหวะที่ผมคิดจนสมองรวน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ชื่อที่โชว์คือคนที่บอกจะมารอเก็บศพผม พี่ไฮท์โทรย้ำมาอีกหลายรอบหลังจากผมปล่อยให้สายมันดับไป ไม่ใช่ไม่อยากรับ แต่ไม่รู้จะพูดอะไรเป็นอย่างแรก เสียงริงโทนธรรมดาวนซ้ำอยู่อย่างนั้นจนสุดท้ายผมก็กดรับพร้อมกรอกเสียงลงไป
“พี่ คืนนี้ผมไปนอนด้วยได้ไหม ผมเครียด”
...TBC
ขอบคุณทุกคนที่ชอบเรื่องนี้นะคะ หวังว่าเรื่องอึนๆ เอื่อยๆ จะไม่ทำให้ทุกคนรำคาญมาก ต้องขอประทานอภัยทั้งความล่าช้าและการบรรยาย จะรีบพัฒนาตัวเองให้มันดีกว่านี้ค่า พยายามทบทวนก่อนลงอยู่หลายรอบมากเพื่อให้มันออกมาดีที่สุด (ก้มกราบ)