-10-
ผมนั่งรอแม่อยู่ที่โซฟาจนผล็อยหลับ รู้สึกตัวก็ตอนป้าแม่บ้านมาเรียกไปกินข้าว ตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ จะมีแค่ข้าวเช้าเท่านั้นที่นั่งกินบนโต๊ะอาหารราคาแพง มื้อเที่ยงก็ไปกินที่มหาลัย ส่วนมื้อเย็นผมชอบไปกินกับพวกพี่ๆ ในครัวมากกว่า บ้างก็ปูเสื่อนั่งกินส้มตำ ไก่ย่าง ดูมีความสุขกว่าเยอะ
“ปกติพี่ขิงก็กินข้าวกับพวกพี่เหรอครับ” ถามไป มือก็จกข้าวเหนียวไป
“ไม่เลยค่ะ” ป้าแม่บ้านว่า
“แค่คุยกับพวกเรายังแทบนัดคำได้ นอกจากจะสั่งนั่นนี่น่ะค่ะ” คนพูดคือพี่แต้วที่ดูแลปุยเมฆแทนพี่ขิง ตอนพี่เขารู้ว่าปุยเมฆตาย พี่แต้วแกร้องไห้จนไข้ขึ้น ขนาดไม่ใช่เจ้าของยังรักมากขนาดนี้ “ตอนแรกพวกเราก็กลัวคุณเป็นเหมือนคุณขิง”
“แค่หน้าเหมือนก็พอมั้งครับ” พูดให้คนอื่นขำ แต่ผมกลับขำไม่ออก เพราะมันคือความในใจจริงๆ “แล้วนี่ แม่ผมจะกลับมากี่โมงละเนี่ย”
“เห็นลุงแกบอกไม่เกินสี่ทุ่มนะคะ”
หลังจากอิ่มหนำกับมื้ออร่อย ผมก็ขอตัวมารอแม่ในบ้านตามเดิม เงียบเหลือเกิน เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น น่าเบื่อด้วย ถ้าผมเป็นโรคติดโทรศัพท์ ติดเกมส์แบบเจมส์คงดี จะได้มีเรื่องแก้เบื่อ และพอคิดปุ๊บ โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น คนโทรมาคือคนที่เพิ่งนึกถึงไปเมื่อกี้นั่นแหละครับ ตายยากจริงๆ
“ว่าไง”
(เป็นไงบ้างวะ)
“เป็นอะไร”
(ก็กูกลัวมึงโดนพี่ไฮท์ฆ่าหมกส้วมอะดิ่) แล้วปลายสายก็หัวเราะ ถ้าอยู่ใกล้ ผมถีบมันจริงๆ ด้วย (ล้อเล่นๆ กูเป็นห่วงไง)
“ขอบใจ” กัดฟันตอบก่อนจะหัวเราะตามบ้าง “เออใช่ กูเจอพี่ขิงที่ห้างด้วย”
(จริงดิ่ แล้วเป็นไง มันว่าไงบ้าง ทำไมถึงหนี...)
“แค่เห็นหน้ากูก็วิ่งหางจุกตูดไอ้ห่า ไม่รู้เพราะอะไรถึงต้องทำแบบนั้น แต่รถที่กูเห็น ไม่ใช่รถพอร์ชสีส้มแบบที่มึงว่านะ พี่ขิงขับรถธรรมดาๆ นี่แหละ”
(หายหัวไม่ติดต่อกับใคร แถมเป็นหนี้อีก มันอาจจะเอาไปขายก็ได้)
ข้อสันนิษฐานของเจมส์มันก็น่าสน คนติดหรู ใช้เงินเป็นกระดาษน่าจะไม่ยอมใช้ชีวิตจนๆ หรอก
“ตอนกูเจอ ของแบรนด์เนมเต็มมือเลยว่ะ” ผมว่า
(นั่นไง กูว่ามันต้องขายรถใช้หนี้แล้วพอเหลือก็ฟุ่มเฟือยตามนิสัย)
“แต่ที่กูไม่เข้าใจคือ จะวิ่งหนีกูทำไม กลับมาไม่ได้ก็น่าจะมาคุยกันถึงเหตุผล ถ้าช่วยได้กูก็ช่วยอยู่แล้ว” เพราะทุกวันนี้ก็รับความซวยให้อยู่ทุกวัน
(เอาจริงๆ กูเริ่มไม่แน่ใจแล้ว ว่ากูรู้จักไอ้ขิงจริงๆ หรือมันสร้างเปลือกขึ้นมาให้กูเข้าใจมัน)
“มึงลองเล่านิสัยของพี่ขิงตั้งแต่รู้จักให้กูฟังหน่อยสิ”
(เรื่องแบบนี้ต้องเจอหน้าเว้ย คุยไม่เห็นหน้ามันไม่สนุก มึงจะรับรู้แค่เสียง แต่ไม่เห็นท่าทางของกู)
แค่นึกภาพตอนเจมส์มันคุยตอนนี้ ผมก็ขำจนปวดกรามแล้ว เราคุยกันเรื่องนู้นเรื่องนี้จนลืมเวลา ลืมความเบื่อ มารู้ตัวก็ตอนมีเสียงรถวิ่งเข้ามาจอดในรั้วบ้าน ผมรีบวางสายเจมส์ก่อนออกไปรอรับแม่ และดูเหมือนความหวังที่จะถามเรื่องพี่ขิงต้องล้มเหลว เมื่อลุงเจ้าของบ้านประคองแม่ที่เดินเป๋ไปเป๋มา
“แม่” ลองเรียกดู แม่หัวเราะแล้วยื่นมือมาตบแก้มผมเบาๆ “ผมมีเรื่องจะถาม”
“ทำไมหน้าของขิงไม่นุ่มแล้วล่ะลูก หยาบมากเลย” แม่พูดเสียงอ้อแอ้ก่อนจะหัวเราะออกมาอีก “จะว่าไป แม่เพิ่งรับงานให้ขิง จุ๊ๆ อย่าไปบอกใครเชียว ว่าแม่ใส่ซองให้เขาน่ะ”
“หยุดพูดได้แล้วคุณ ส่วนเธอมีอะไรไว้คุยพรุ่งนี้ ไม่เห็นเหรอว่าแม่เธอเมา”
ลุงเจ้าของบ้านตัดบทแล้วประคองแม่ผมขึ้นชั้นสองไป นี่พวกเขาตั้งใจหาพี่ขิงกันจริงๆ หรือเปล่า ทำไมยังใช้ชีวิตเหมือนปกติได้แบบนี้ เมื่อได้ยินเสียงประตูปิด ผมก็เดินกลับห้องตัวเองบ้าง ห้องที่ถึงแม้จะกว้างขวาง มีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน แต่ผมกลับไม่ชอบ ผมชอบห้องนอนเล็กๆ ของตัวเองมากกว่า พอนึกถึงวันก่อนๆ ผมก็หยิบโทรศัพท์เลื่อนหาชื่อพ่อตัวเอง กลั้นใจอยู่นานกว่าจะกล้ากดโทรออก รอสายไม่นานก็มีเสียงกดรับ แต่ปลายสายยังเงียบ
“พ่อ” ลองเรียกไปเบาๆ
(ไงมึง อยากกลับบ้านหรือยัง)
ผมยิ้มออกมาเพราะรู้สึกผิดคาด ตอนแรกคิดว่าพ่อจะด่าออกมาซะอีก อุตส่าห์เตรียมอุดหูรอไว้
“มากที่สุด” พูดไปหัวเราะไป “พ่อกินข้าวหรือยัง”
(กินแล้วสิ ดึกขนาดนี้ กูไม่มีใครให้หิ้วท้องรอเหมือนเมื่อก่อน) ดูเป็นคำเหน็บแนมที่เจ็บแสบ แต่ผมก็ยังยิ้มได้ (มึงล่ะ กินข้าวหรือยัง อยู่บ้านนั้นกินดีอยู่ดีจนลืมน้ำพริกแล้วมั้ง)
“โห ใครจะลืมน้ำพริกฝีมือพ่อได้” พ่อผมตำน้ำพริกอร่อยมาก มันอร่อยจนป้าข้างบ้านต้องมาจ้างให้ทำเพื่อเป็นของฝากให้ลูกชายตัวเอง “พ่อกวาดบ้าน ถูบ้าน บ้างหรือเปล่า” เหมือนไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไร ปกติแล้วผมกับพ่อไม่ค่อยคุยแบบนี้กันหรอกครับ ส่วนมากจะกวนใส่กันมากกว่า แต่วันนี้ไม่รู้ทำไมถึงอยากคุยดี
(กวาดสิวะ แต่ถูบ้านรอมึงมาทำ) พูดจบ พ่อก็เงียบไป (พี่มึงยังไม่กลับมาอีกเหรอ)
“พี่ผมก็ลูกพ่อนะ”
(เหรอ กูเพิ่งรู้) แล้วเราสองคนก็เงียบใส่กัน เนิ่นนานกว่าพ่อจะถามออกมา เป็นคำถามที่ทำให้ผมน้ำตารื้น (ให้กูไปรับวันไหนก็โทรบอก)
“ผมขี่รถมาเองเถอะ”
(ไอ้ห่า แล้วของมึงล่ะ ไม่ต้องแบกกลับมาเหรอ)
“มีกระเป๋าเสื้อผ้าสองใบเอง พ่อคิดถึงผมล่ะสิ”
(พอๆ กูไม่อยากคุยกับมึงละไอ้ขมิ้น จบ เลิก)
“ดูนะ คนเรา คิดถึงลูกแต่ปากแข็งก็เป็นแบบนี้...ฮัลโหล พ่อ”
วางไปแล้วครับ ทำไมพ่อผมโคตรน่ารัก อยู่ด้วยทุกวันเพิ่งรู้ก็วันนี้แหละ...
เช้าวันใหม่ ผมแต่งตัวเตรียมไปเรียนอย่างทุกวัน เหนื่อยมากครับกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ทุกวันนี้เข้าห้องเรียนก็เหมือนเข้าห้องเย็น คือเข้าไปแล้วขนหัวลุกแทบตลอดเวลา ยิ่งบนบอร์ดหน้าห้องมีตัวหนังสือยึกยือเต็มแผ่นยิ่งขนลุก
“ไฮ ขมิ้น” เสียงแม่ทักทายยามเช้าดูสดชื่น แต่ทำไมผมต้องขมวดคิ้วกับคำทักนั่น “มานั่งสิจ๊ะ”
“แม่หายเมาแล้วเหรอ” หย่อนก้นนั่งปุ๊บ ชามข้าวต้มก็วางลงตรงหน้า
“แม่ดื่มนิดหน่อยเอง ลูกรู้ไหม มีแต่คนชมเครื่องเพชรชุดใหม่ของแม่นะ ตอนแรกว่าจะใส่ไปอีกงาน แต่หมูหวานบอกคู่แข่งแม่มาด้วย เลยต้องจัดเต็มสักหน่อย” ว่าแล้วแม่ก็หัวเราะสะใจ “เออใช่ วันนี้ลูกไม่ต้องไปเรียนนะ แม่โทรบอกให้เจมส์ลาให้แล้ว”
“ลา...ทำไมเหรอครับ”
“ก็เมื่อวานแม่ไปเจอคุณกิตติ เขาเป็นเจ้าของนิตยสารเพชร เขาสนใจลูกไปเป็นนายแบบเครื่องเพชรของเขา” ผมมองแม่ขณะกำลังหั่นไส้กรอก แล้วคำพูดเมื่อวานก็ผุดขึ้นมา ที่ว่าแม่เอาเงินให้ เขาถึงจ้าง “อ่อ แล้วก็ยังมีงานพรีเซ็นเตอร์น้ำหอมด้วยนะ ตัวนี้พี่เขาถ่ายโปสเตอร์ไปแล้ว เหลือแค่งานเปิดตัว ขมิ้นก็เตรียมตัวด้วยนะลูก เดี๋ยวพี่หมูหวานจะพาไปขัดผิว”
“ผมเจอพี่ขิง” พูดโพล่งออกมา แม่ถึงกับชะงักมือที่กำลังจะจิ้มไส้กรอก
“ขมิ้นเจอพี่เขาเหรอ ที่ไหน”
“ผมเจอพี่ขิงเมื่อวาน สองรอบ ที่มหาลัยแล้วก็ห้าง”
“เหรอ”
“เหรอ? แม่ดูไม่ตื่นเต้นเลยที่ผมเจอพี่ขิง หรือแม่รู้ว่าพี่ขิงอยู่ที่ไหน” ผมมองหน้าแม่ตัวเองอย่างคาดคั้น ดูแล้วท่าทางมีพิรุธจนเดาได้ไม่ยาก “ไหนแม่บอก ถ้าเจอจะให้พี่เขากลับมาเลยไง นี่แม่ก็ติดต่อพี่เขาได้แล้ว ทำไมไม่ให้กลับมา”
“โธ่ ขมิ้น ตอนนี้พี่เขายังกลับมาไม่ได้” สุดท้ายแม่ก็ยอมรับออกมา “พี่เขามีปัญหานิดหน่อย”
“ปัญหานิดหน่อยคืออะไร แล้วผมล่ะ ผมไม่มีปัญหาเหรอ” เริ่มโมโหแล้วนะ “ผมต้องทนรับปัญหาของพี่ขิง ไม่ว่าจะที่มหาลัยหรือที่ทำงาน ผมก็มีปัญหา มันเป็นปัญหาที่ไม่ใช่ของผม แต่ผมต้องมาเจอ มันไม่ใช่อะ”
“ขมิ้น”
ไม่สนที่แม่เรียก ผมตั้งใจจะเดินออกจากบ้าน แต่ต้องเจอกับผู้ชายตัวใหญ่กว่า สวมสูทสีดำสองคนเดินมาขวาง พอหลบให้ มันก็ไม่ยอมเดิน และพอผมจะเดิน มันก็หิ้วแขน ยกผมจนตัวลอย
“เฮ้ย ทำอะไรวะ ปล่อย” ดิ้นยังไงก็ไม่ยอมหลุด “แม่ ช่วยด้วย”
แม่ไม่ตอบรับ เพียงแค่ชายตามองนิดเดียวเท่านั้น แต่ผมกำลังถูกหิ้วกลับเข้าบ้าน และตอนนี้ถูกพาขึ้นมาบนห้อง ไอ้ยักษ์สองคนนี้โยนผมลงเตียงจนตัวเด้ง
“กรุณาเปลี่ยนชุดด้วยครับ”
“ไม่ใช่พ่อ อย่ามาสั่ง”
“จะเปลี่ยนดีๆ หรือว่า...”
ผมลอยหน้าลอยตาไปมา แต่พอได้ยินคำว่าหรือว่า แสงเงาวับจากวัตถุที่อยู่ด้านในของเสื้อสูทก็สะท้อนเข้าตาทันที ของนั่นทำให้ผมตาเหลือกรีบวิ่งลงจากเตียงทันที
นี่มันบ้านคนหรือดงมาเฟียวะ ถึงพกปืนเดินไปเดินมาในบ้านได้
พอสองคนนั่นออกไปแล้ว ผมก็รีบถอนหายใจ ลูบหน้าลูบอกตัวเอง กลัวตายเหมือนกันนะครับ ปากเก่งไปแบบนั้นเองแหละ เมื่อทำอะไรไม่ได้เลยต้องยอมเปลี่ยนชุด เสื้อผ้าของผมก็มีแต่แบบธรรมดาๆ เสื้อยืดกางเกงยีนส์ เลยไม่ต้องพิถีพิถันมากนัก
“แต่งตัวไร้รสนิยมมาก” แม่ทักเสียงนิ่ง ผมยักไหล่ไม่สนใจ “ต่อไปถ้าขมิ้นจะออกไปไหนต้องแต่งตัวให้ดีกว่านี้นะ อย่าลืมว่าลูกกำลังเป็นพี่ขิง”
“แม่ก็รีบเอาพี่ขิงตัวจริงกลับมาสิ”
“เอะ ขมิ้นนี่ พูดไม่รู้ความ”
“แล้วมาเฟียเมื่อกี้ไปไหนแล้วล่ะ” ตอนนี้ผมเข้ามาอยู่ในรถตู้กับแม่แล้ว พอถามไปก็ถูกตวัดมอง
“สองคนนั้นเป็นบอดี้การ์ดของคุณลุงเขา ไม่ใช่มาเฟีย”
“แล้วทำไมต้องพกปืนด้วย”
“ขมิ้นนี่เข้าใจอะไรอยากจริง ก็ลุงเขาทำธุรกิจใหญ่โต มีคู่แข่งที่จ้องจะทำร้าย ลุงเขาก็เลยต้องป้องกันตัวไว้ก่อน”
“ทำอย่างกับในละคร” ผมเบ้ปากก่อนเมินหน้าออกนอกกระจกรถ ธุรกิจอะไรที่จะมีคนคิดจะฆ่าตาย ถ้าไม่ใช่พวกธุรกิจมืด “ลุงเจ้าของบ้านไม่ได้เปิดบ่อน ค้ายาใช่ไหมแม่”
“ขมิ้น!” เสียงหวีดเรียกของแม่มาพร้อมแรงบิดริ้วที่แขน “อย่าพูดแบบนี้ให้ได้ยินอีกนะ แม่ไม่ชอบ”
“ก็แค่สงสัยเฉยๆ”
จากนั้น ผมกับแม่ก็ต่างคนต่างอยู่ในโลกของตัวเอง โลกของผมที่มองนกมองต้นไม้ ส่วนโลกของแม่คือการท่องโลกโซเชียลอย่างสนุกสนานกับสังคมตัวเอง พอถึงร้าน ผมเดินตามแม่เข้ามาในตัวร้าน ก่อนพนักงานจะเดินนำขึ้นบันไดไปชั้นสอง ด้านบนมีห้องกว้างที่ถูกเซ็ทให้เป็นฉากสำหรับการถ่ายแบบ และผมก็ถูกพี่หมูหวานดึงเข้าไปแต่งตัวอีกห้องหนึ่ง
“พี่หมูหวานรู้เรื่องพี่ขิงไหมครับ” ถามระหว่างถูกโปะเครื่องสำอาง
“น้องขิงเหรอคะ ก็พอรู้มาบ้าง”
“อย่างเช่น...”
“พี่พูดไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวคุณหญิงแม่ว่า”
“ผมไม่บอกหรอกว่าพี่พูด”
“น้องขมิ้นรู้แล้วต้องเหยียบให้จมดินเลยนะคะ คือพี่แอบได้ยินคุณหญิงแม่กับน้องขิงคุยกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้วค่ะ”
“อาทิตย์ที่แล้ว?” หมายความว่า แม่ติดต่อกับพี่ขิงได้นานแล้วแต่ก็ทำเฉย ปล่อยให้ผมรับกรรมจากลูกรักตัวเองงั้นเหรอ โคตรยุติธรรมอะ “แล้วพี่ขิงจะกลับมาเมื่อไหร่ พี่หมูหวานพอรู้ไหมครับ” เริ่มเครียดแล้วตอนนี้
“ไม่แน่ใจนะคะ เพราะคุณหญิงแม่พูดเบามาก แต่ดูเหมือนน้องขิงกำลังทำอะไรสักอย่างที่เล่าให้คนอื่นฟังไม่ได้ พี่ก็ไม่รู้ว่าอะไร ปกติพี่ทำงานด้วยก็ไม่ค่อยเล่าอะไรให้ฟังอยู่แล้ว”
“แล้วแบบนี้เมื่อไหร่ผมจะได้กลับไปเป็นตัวเองสักที” ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง พี่หมูหวานตบบ่าปลอบผมเบาๆ พี่เขาคงเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด
“สู้ๆ นะคะ อีกไม่นานน่าจะดีขึ้นเอง”
“หวังให้เป็นเช่นนั้นครับ” เพราะผมเบื่อมากที่สุด
การถ่ายแบบเครื่องเพชรก็ไม่มีอะไรมาก แค่สวมสูทแล้วยืนนิ่งๆ เพราะเพชรที่ถ่ายอยู่บนเข็มกลัดติดชุดและเนคไท มันดูสวยและหรูหรามากยามเพชรกระทบกับแสงไฟ ราคาก็คงสูงน่าดู เจ้าของเครื่องเพชรยืนคุมตลอดการถ่ายโดยที่แม่ไม่สนใจอะไรนอกจากโทรศัพท์ กว่าจะถ่ายเสร็จก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง ผมยกมือไหว้ขอโทษที่ทำให้งานช้าในบางที แต่มือใหม่อย่างผม ได้แค่นี้ก็ดีถมเถไปแล้ว เกร็งมากเวลายืนหน้ากล้อง มันเหมือนไม่ใช่ตัวเอง ก็แน่ล่ะ ผมถ่ายในนามพี่ขิงนี่นา
ถ่ายแบบเสร็จผมก็ขอแยกตัวออกมา แม่ก็แค่พยักหน้าแค่นั้น ดีที่พี่หมูหวานยังสนใจถามไถ่ก่อนจะแยกกัน นี่แม่รักผมบ้างหรือเปล่าวะ พอคิดแล้วก็รู้สึกเจ็บจี๊ดจนต้องรีบโบกแท็กซี่เพื่อกลับบ้านตัวเอง แต่ดันไม่มีคันไหนจอดรับซะนี่ แล้วแบบนี้จะขึ้นป้ายว่าว่างทำไม
“ไงเรา”
ระหว่างที่เตะฝุ่นอยู่บนฟุตบาท มีรถเก๋งสีขาววิ่งมาจอดเทียบตรงหน้า กระจกด้านข้างคนขับเลื่อนลงพร้อมกับคำทักทายที่ส่งมา พอก้มหน้าดู เจ้าของรถยิ้มแย้มโบกมือทักทาย
“สวัสดีครับคุณหมอ” ยกมือไหว้แทบไม่ทัน
“ไม่มีเรียนเหรอเราถึงมาเดินเที่ยวแถวนี้น่ะ”
“มีครับ แต่ลาไปแล้ว” ตอบตามความจริง คุณหมอก็ทำหน้างงๆ “คุณหมอจะไปคลินิกเหรอครับ”
“ใช่ วันนี้อาไปทำธุระมา เลยเข้าคลินิกสาย เราจะไปคลินิกกับอาไหม” เป็นคำชวนที่ทำให้ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพยักหน้ารับ “ไปก็ขึ้นมา คันนี้ไม่มีมิตเตอร์นะไม่ต้องห่วง”
“คุณหมอนี่เป็นคนตลกนะครับ” ไม่เหมือนลูก
“จะให้หน้าบึ้งไปรักษาสัตว์ก็ไม่ได้ เดี๋ยวพวกเขาจะกลัว”
“คนพามาเหรอครับ”
“สัตว์สิ...อาพูดเล่น ก็หมายถึงคนพามานั่นแหละ”
“อ่าครับ”
แทบไปไม่ถูกเมื่อเจอมุกคนแก่ ตลอดทางมาคลินิก คุณหมอเล่าเรื่องสัตว์ที่รักษาให้ฟัง บางตัวก็ตลก บางตัวก็น่าสงสาร แต่บางตัวคนรักษาน่าสงสารกว่า
“แล้วคุณหมอทำยังไงกับมันเหรอครับ” หลังจากหัวเราะจนปวดท้อง ก็อดที่จะถามไม่ได้ เมื่อคุณหมอเล่าให้ฟังว่า มีคนพาตัวเงินตัวทองมารักษา แล้วมันงับแขนเสื้อไม่ยอมปล่อย
“ก็ต้องฉีดยาทั้งที่เสื้อถูกกัดนั่นแหละ ผู้ช่วยก็กลัว จะให้คนพามาฉีดก็ไม่ได้ ลำบากหน่อยแต่ก็ผ่านไปได้” ทำไมผมรู้สึกชอบฟังเรื่องแบบนี้จัง ชอบจนอยากทำแบบนี้บ้าง “ทำไมมองอาตาเยิ้มเชียว”
“คุณหมอเป็นไอดอลของผมเลยครับ” บอกอย่างคนซื่อจนถูกขำ “ผมอยากเป็นหมอรักษาสัตว์”
“แต่เราเรียนวิศวะไม่ใช่เหรอ หรือจะซิ่วล่ะ”
พอถูกจี้จุดก็ทำให้อ้ำอึ้ง นั่นสิ ตอนนี้ผมเป็นพี่ขิงนี่หว่า พี่ขิงเรียนวิศวะ จะเป็นหมอรักษาสัตว์ได้ยังไง
“ก็ความฝันไงครับ” แถออกมา
“ก็ดีนะ คนเราก็ต้องมีความฝัน อาก็เคยฝันอยากเป็นนักบิน”
“แล้วทำไมถึงมาเป็นหมอแทนล่ะครับ”
“ก็อากลัวความสูง”
แล้วเสียงหัวเราะที่ตามหลังประโยคนั่น ก็ทำให้รู้ว่า ผมกำลังถูกอำอีกรอบ ผมว่าถ้าพ่อพี่ไฮท์เบื่อการเป็นหมอแล้ว ไปเล่นตลกน่าจะรุ่ง ให้ลูกชายไปด้วย แสดงเป็นพวกหน้านิ่งโดนถาดตบหัว คงเรียกเสียงหัวเราะได้มากทีเดียว
“วันนี้ผมอยู่ช่วยที่คลินิกได้ไหมครับ”
“ได้สิ พอเลิกเดี๋ยวอาเลี้ยงหมูกระทะ น้ำจิ้มฝีมือไฮท์ อร่อยมากนะ”
“พี่ไฮท์ทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอครับ”
“เปล่า ฝีมือมันเลือกซื้อน้ำจิ้ม ยี่ห้อนี้อร่อยมาก”
ต่อไปผมจะไม่ตั้งใจฟังคุณหมอพูดอีกแล้ว พูดอะไรมาก็กลายเป็นผมที่โดนแกล้งทุกที แต่ผมรู้สึกอบอุ่นเหมือนเวลาอยู่กับพ่อ พี่ไฮท์โชคดีที่มีพ่อน่ารักแบบนี้ เหมือนผมที่มีพ่อที่น่ารัก แม้จะปากแข็งไปบ้างก็เถอะ
“เราชื่ออะไรนะ ขิง ข่า ขมิ้น”
พอได้ยินชื่อสุดท้ายถึงกับสะดุ้ง
“ขะ ขิงครับ”
“โอเค อาจะจำไว้ แก่แล้วก็ขี้ลืมแบบนี้แหละ”
ผมปรายตามองคุณหมอจากด้านข้าง มุมนี้คุณหมอเหมือนพี่ไฮท์มาก จมูก ปาก ตา สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน หน้าตาดีเหมือนกัน โดยเฉพาะการยิ้มมุมปากอย่างตอนนี้ที่โคตรเหมือน
“พี่ไฮท์นี่น่าอิจฉานะครับ”
“ทำไม”
“ก็หน้าตาหล่อเหมือนคุณหมอ”
“พูดซะอาเขินเลย เดี๋ยวบอกไฮท์ให้ ว่าเราชม ว่ามันหล่อ”
“ไม่ใช่ครับ ผมชมคุณหมอต่างหาก ไม่ใช่พี่ไฮท์”
“ไม่เป็นไร อาเข้าใจ ไม่ต้องอายเวลาชมผู้ชายด้วยกันว่าหล่อหรอก”
“ผมไม่ได้อาย แล้วก็ไม่ได้ชมพี่ไฮท์จริงๆ นะครับ”
“อาเข้าใจๆ”
“คุณหมอ”
ต่อไปผมต้องระวังคำพูดของตัวเองมากกว่านี้ ไม่งั้นมันจะเข้าตัวได้
แต่ผมไม่ได้ชมพี่ไฮท์จริงๆ นะครับ
...TBC
หรือจะให้ขมิ้นคู่พ่อของพี่ไฮท์ดี (ปิดปากหัวเราะ)
ขอบคุณมากๆ ค่า