Twenty-Third Songควันสีเทาที่ลอยคละคลุ้งในอากาศคือสิ่งที่เขาใช้ย้ำเตือนตัวเองไม่ให้ยอมแพ้
การฝืนตัวเองให้อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมตลอดเวลามาตลอดเจ็ดชั่วโมงติดต่อกันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนวัยหกสิบย่างหกสิบเอ็ดปีอย่างเขาเลย อาการเหนื่อยล้าเริ่มปรากฏขึ้นในแววตาจนเลขาของเขาต้องอ้างเรื่องการเซ็นเอกสารสำคัญเพื่อให้เขาได้ปลีกตัวออกมาพักบ้าง
ชายสูงวัยเอื้อมมือไปขยี้ก้านบุหรี่ในมือลงกับที่เขี่ยบุหรี่ข้างตัวแล้วจึงเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้เป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดเกือบแปดชั่วโมงที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลาการเดินทาง เขานั่งหลังตรง เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้สามารถมองเห็นรอบตัวได้อย่างชัดเจนที่สุด กว่าจะรู้ตัวว่าแผ่นหลังของเขารวดร้าวเกินทนไหวก็ตอนที่ต้องลุกขึ้นจากเบาะรถนั่นล่ะ
แต่ทนไม่ไหวแล้วยังไง อย่างไรเสียก็ต้องทน
เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้าเล็ดลอดออกมาจากร่างกำยำที่ทอดตัวนั่งเอนหลังอยู่ในห้องมืดสลัว
เขาเป็นเจ้านาย จะมาอ่อนแอให้ลูกน้องเห็นคงไม่ได้ ที่สำคัญ...
นัยน์ตาคู่คมวาบวับขึ้น
เขายังจับตัวคนทรยศไม่ได้ ยังไงเสียก็คงต้องระวังตัวไว้ก่อน
ใช่ ระวังไว้ก่อน...
ฝ่ามือใหญ่เอื้อมไปหยิบเอกสารบนโต๊ะมาดูด้วยท่าทางไม่รีบร้อน ผลสรุปบัญชีธุรกิจมืดของเขาดูเรียบร้อยเหมือนอย่างทุกที แต่เมื่อพลิกไปหน้ารายงานการเคลื่อนไหวของบัญชีลูกน้องใต้อาณัติที่เลขาของเขาเพิ่งหาให้มาหมาดๆ ใบหน้าคมก็พลันฉายแววเย็นชาขึ้นถนัดตา
ก็ใช่ว่าจะไม่รู้เสียทีเดียวหรอกนะ...
-ก๊อก ก๊อก ก๊อก-
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้เขาต้องหย่อนเอกสารในมือทั้งหมดลงในลิ้นชักแล้วปิดล็อกกุญแจอีกชั้นก่อนจะขยับเปลี่ยนท่านั่งกลับมาเป็นท่าทางจริงจังดังเดิม
“เข้ามา”
สิ้นคำอนุญาต ประตูไม้บานหนาจึงถูกเปิดออก เผยให้เห็นคนที่เขาเพิ่งวิเคราะห์ประวัติบัญชีของอีกคนไปหมาดๆ
คนที่เขาเริ่มจะไม่ไว้ใจ
“มีอะไรเหรอภพธร”
อีกฝ่ายโค้งให้เขาเล็กน้อยก่อนที่จะส่งเอกสารในมือมาให้
“บัญชีสรุปรายได้ทั้งหมดตั้งแต่ต้นเดือนจนถึงเมื่อวานนี้ครับ”
เขายิ้ม
ยิ้มอย่างเป็นมิตรเหมือนทุกทีที่เจอหน้ากัน
“ขอบใจมากนะ ฉันมากลางคันแบบนี้ คงทำงานกันหัวหมุนเลยสิ”
รอยยิ้มนอบน้อมปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหี้ยมเกรียมของคู่สนทนา
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับนาย ปกติบ่อนชายแดนก็ครึกครื้นอยู่แทบจะทั้งวันทั้งคืนอยู่แล้ว ผมเองก็แค่สรุปงานเพิ่มอีกนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ”
ท่าทางพยักหน้าน้อยๆ ของเขายิ่งกระตุ้นให้คนตรงหน้าฉีกยิ้มกว้างขึ้น
“ช่วงนี้รายได้ของบ่อนเราดีมากเลยครับนาย ได้ลูกค้ารายใหม่มาเยอะกว่าเก่ามากเลยครับ”
“เหรอ”
เขาทอดเสียงเนือยๆ ราวกับไม่ใส่ใจหัวข้อที่อีกคนยกขึ้นมาพูดนัก
“แล้วทำไมจู่ๆ คนถึงได้มาเข้ากันเยอแยะล่ะ”
ได้ผล
นัยน์ตาคมลอบมองใบหน้าที่ถอดสีจนซีดเผือดก่อนจะกลับมาเป็นเช่นเดิมภายในไม่กี่วินาทีอยู่เงียบๆ เขาไม่ได้พูดอะไร
เขายังไม่คิดจะพูดอะไร
“คงเพราะบ่อนเล็กๆ หลายบ่อนปิดตัวไป ประกอบกับการที่เราอนุมัติปล่อยกู้เงินได้ง่ายขึ้นล่ะมั้งครับ อันนี้ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ”
ใบหน้าสูงวัยกว่ากระตุกยิ้ม
“เหรอ ฉันนึกว่าเป็นเพราะยาเสพติดตัวใหม่ที่ระบาดอยู่ในแถบนี้เสียอีก”
น้ำเสียงทุ้มต่ำพูดกลั้วหัวเราะพลางกวาดตามองเอกสารตรงหน้าราวกับคนไม่คิดอะไร
เสียงลอบถอนหายใจที่เบาแสนเบาจากคนตรงหน้ายิ่งขยายรอยยิ้มบนใบหน้าคมให้กว้างขึ้นกว่าเก่า
อย่างน้อยคนตรงหน้าก็คิดไปแล้วว่าเขาไม่ได้ใส่ใจอะไร
ดี สบายใจให้มาก เวลาตกลงมามันจะได้เจ็บ
“ช่วงนี้ยาเสพติดตัวใหม่ระบาดหนักมาก ฉันอยากให้ช่วยกันสอดส่องดูแลหน่อย ถ้ามันมาระบาดในถิ่นเรา คงไม่ดีเท่าไหร่”
“ทำไมเหรอครับนาย”
ใบหน้าของคนถามปรากฏแววสงสัยชัดเจน แต่มันไม่ใช่ความสงสัยแต่เพียงอย่างเดียว
ในนั้น...ในแววตาคู่นั้น มีแววของความมุ่งมั่นบางอย่างผสมอยู่ด้วย
“ก่อนอื่นฉันคงต้องถามว่า นายรู้อะไรเกี่ยวกับยาเสพติดตัวนี้บ้าง”
อีกฝ่ายนิ่งคิดไปอึดใจ
“เป็นยาเสพติดที่มีลักษณะคล้ายยาบ้า แต่ออกฤทธิ์แรงกว่า ติดง่ายกว่า ที่น่าแปลกคือราคาถูกกว่า”
“ใช่ ราคาถูกกว่า ตัดราคาพ่อค้ายาเสพติดอย่างกอบกิจไปเยอะเหมือนกัน เยอะเสียจนฉันชักอยากรู้แล้วว่าใครเป็นต้นสายผลิต”
เขาลอบมองปฏิกิริยาของคู่สนทนาก่อนจะเอ่ยปากพูดต่อ
“อย่างที่นายรู้ ฉันไม่ชอบยาเสพติด วงการนี้ไม่น่าสนใจสำหรับฉัน แค่ปล่อยเงินกู้กับทำบ่อนก็เพียงพอที่จะเลี้ยงบุญสรนพได้ทั้งตระกูลแล้ว”
ฝ่ามือใหญ่หยิบบุหรี่ออกมาจากซองอย่างไม่เร่งร้อน
“เห็นอย่างนี้ฉันก็เป็นคนรู้จักพอนะภพธร”
ริมฝีปากได้รูปค่อยๆ เปิดทางให้ควันสีเทาลอยคั่นระหว่างตัวเขากับคนตรงหน้า
“อะไรที่เสี่ยงเกินไป ฉันไม่ยุ่ง”
ความเงียบลอยเคว้งคว้างอยู่รอบตัวพวกเขาอยู่นานแสนนานก่อนที่มันจะถูกทำลายลงจากชายวัยกลางคนที่อยู่อีกฝากของโต๊ะ
“แต่ผมกลับมองว่า อะไรที่ทำให้เรายิ่งใหญ่ได้ ก็ไม่ควรปล่อยให้หลุดมือนะครับ”
ดวงตาคู่นั้นวาบวับ ฉายแววมุ่งมั่นยิ่งกว่าครั้งไหน
“ถ้าสมมติว่าเราขายยาตัวนี้ เราก็จะมีรายได้มากขึ้นเป็นกอบเป็นกำ จากนั้นก็จะก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่ในวงการมืดนี้ได้ สามารถทำอะไรได้โดยไม่ต้องเกรงใจใครอีกเลยนะครับ”
“ภพธร”
เขาเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงแหบต่ำ
“อย่ามักมาก ที่สำคัญ...”
นัยน์ตาคู่คมสบกลับเข้าไปหาดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของอีกคน
“อะไรที่ฉันไม่ได้สั่ง อย่าทำ”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาต่อจากนั้น
เขาเงียบ อีกฝ่ายก็เงียบ แต่เหมือนมันจะเป็นความเงียบคนละแบบ...
-กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง-
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้เขาต้องละสาตาจากคนที่อยู่อีกฝากของโต๊ะแล้วเอื้อมมือไปรับสาย
เขาไม่คิดจะพูดคำทักทายด้วยรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
จะพูดให้เหนื่อยทำไม ในเมื่อเขารอโทรศัพท์สายนี้มาสักพักใหญ่ๆ แล้ว
[อย่างที่เราคิดเลยครับ]
“ดี จัดการด้วย”
เขากรอกเสียงลงไปแค่นั้นก่อนจะวางสายลงด้วยท่าทีสบายๆ
เป็นธรรมชาติเสียจนตัวเขาเองยังแปลกใจ
“ภพธร”
คนถูกเรียกชื่อเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาเคารพเช่นเคย
ไม่น่าเลย...
“นำทางฉันเดินตรวจงานในบ่อนที”
“ได้เลยครับนาย”
ไม่เอะใจ ไม่แม้แต่จะสงสัย
คนๆ นี้เทิดทูนเขาเอาไว้เหนือหัว ทุกการกระทำที่ทำลงไปล้วนคิดถึงตัวเขาและตระกูลเป็นสำคัญ
แต่บางครั้ง คนขยันที่โง่ก็เป็นตัวอันตราย
“ถ้างั้นเริ่มจากชั้นล่างสุดแล้วกัน ฉันอยากรู้ว่าคุกใต้ดินของเรายังทำงานได้ดีรึเปล่า”
น่าเสียดาย...น่าเสียดายจริงๆ
เสียงก้องที่สะท้อนกันไปมาระหว่างพื้นและผนัง บางครั้งก็ชวนให้หนวกหู
เสียงพื้นรองเท้าหนังที่กระทบกับพื้นคอนกรีตดังก้องไปทั่วบริเวณเสียจนเจ้าของรองเท้าอย่างเขายังอดหนวกหูไม่ได้ น่าแปลกที่คนนำทางของเขายังทำสีหน้าเรียบเฉยได้ราวกับรูปสลักหินที่ไม่รู้จักความรำคาญ
“เสียงก้องพวกนี้น่าปวดหัวนะว่าไหม”
“แต่ผมว่าเสียงพวกนี้ก็ดีกว่าเสียงโหยหวนนะครับ ตอนที่ผมต้องลากลูกหนี้มาเก็บในนี้นี่สุดจะทนเลยครับนาย”
คำพูดติดตลกของอีกฝ่ายทำให้เขาหัวเราะออกมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก พอคนพูดได้เห็นแบบนั้นก็พลอยหัวเราะตามมาด้วย
“พักนี้ได้ใช้ที่นี่บ้างไหม”
คำถามธรรมดาถูกพูดออกมาได้อย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติเสียจนคนฟังจับพิรุธไม่ได้
“ใช้บ้างครับ แต่พักหลังมานี้ก็ไม่ค่อยแล้ว”
“เพราะเปลี่ยนจากใช้ปืนเก็บเป็นปล่อยให้ขาดยาจนตายแทนสินะ”
สิ้นคำพูดของเขา คนตรงหน้าก็หันขวับมาด้วยใบหน้าตื่นตะลึงยิ่งกว่าครั้งไหนที่เคยเห็น
อาจจะเพราะมันตกใจ หรืออาจจะเพราะหันกลับมาแล้วเห็นปืนจ่อหัวอยู่
อีกฝ่ายตกใจเพราะอะไร เขาเองก็บอกไม่ได้เหมือนกัน
“นะ นายครับ นายพูดเรื่องอะไรกัน”
ริมฝีปากนั้นสั่นระริก นัยน์ตาสั่นไหวส่อพิรุธชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังดึงดันที่จะปฏิเสธ
“ยาอะไรกันครับ ผมไม่เข้าใจ”
“ก็ยาเสพติดตัวใหม่ที่กำลังระบาดอยู่ไงครับพี่ภพธร”
เสียงของบุคคลที่สามที่ดังแทรกมาจากทางด้านหลังของคนถูกเรียกทำให้ชายวัยกลางคนเกือบหันไปมอง ติดเสียแต่ว่าตรงหน้ามีปืนจ่ออยู่ ท่าทางของเจ้าตัวเลยดูเก้ๆ กังๆ พิกล
น่าสมเพชจริงๆ
“ก้องภพ แกพูดอะไรของแก ยาอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง”
“ว้าว ไม่รู้เลยนะครับ คุณสายส่งยาหมายเลขเจ็ด เอ หรือต้องเรียกว่า มิสเตอร์พี เหมือนอย่างที่ใช้ในการติดต่อสายส่งดีครับ”
เสียงลมหายใจที่กระชั้นขึ้นของคนถูกกล่าวหายิ่งทำให้คนพูดได้ใจ
“อย่าให้ผมต้องแฉพี่ไปมากกว่านี้เลยครับ น่ากลัวคุณปราณจะระเบิดสมองคุณก่อนจะได้คุยกันเสียเปล่าๆ”
“มึงหุบปากไปเลยนะไอ้ก้อง!”
“ใจเย็นสิภพธร”
น้ำเสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า
“หัวเสียจนสติหลุดแบบนี้ ไม่สมเป็นนายเลยนะ”
“ผมไม่ได้ทำนะครับนาย ผมถูกใส่ร้ายจริงๆ นะครับ ผม...”
“ฉันจะถามแค่คำถามเดียว และถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากให้นายตอบให้ตรงคำถามหน่อย”
นิ้วชี้ใหญ่เลื่อนไปตรงตำแหน่งไกปืน
“ทำแบบนี้ทำไม”
“นายครับ ผมไม่ดะ...”
“เป็นสายส่งยาให้ไอ้วิทยาทำไม!”
เสียงตะคอกทรงอำนาจของชายสูงวัยทำให้คนฟังทั้งสองคนหยุดหายใจไปชั่วขณะ
“นายครับ ผะ ผม...”
“ฉันจะนับแค่หนึ่งถึงสาม”
ปืนที่ถูกขยับให้ตรงกับตำแหน่งศีรษะของคนที่ยืนตัวสั่นเทิ้มทำให้เลขาหนุ่มถอยหลังออกมาเล็กน้อย
“นายครับ ผมไม่ได้ตั้งจะ...”
“หนึ่ง”
“นายครับ ได้โปรด...”
“สอง”
“คุณปราณครับ...”
“สาม”
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะทรยศคะ”
-ปัง!-
เสียงปืนเพียงนัดเดียวหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมดภายในคุกใต้ดินได้ชะงัด
ร่างสูงใหญ่ของผู้ที่เคยมีชีวิตค่อยๆ ล้มลงบนพื้นคอนกรีตอย่างไร้การควบคุม บรรยากาศหนักอึ้งของความตายที่รายล้อมถูกทำลายลงด้วยคำพูดของคนที่ยืนพิงผนังอยู่ไม่ไกล
“กล็อกรุ่นสี่สิบสามใช่ไหมครับ ผมว่ามันใช้ง่ายดีนะ”
“แต่ส่วนตัวฉันชอบรุ่นสิบเก้ามากกว่า”
เขาพูดตอบคำหยอกเย้านั้นเรียบๆ พลางเก็บปืนกลับลงในกระเป๋าเสื้อสูทด้านในตามเดิม
คนถูกตอบกลับหัวเราะเบาๆ
“คุณนี่มันเป็นคุณจริงๆ เลยให้ตายสิ ขอถอนคำพูดที่บอกว่าคุณอ่อนโยนลงได้รึเปล่า”
“หุบปากแล้วรีบไปทำงานต่อได้จะขอบคุณมาก”
“ไม่เอาสิครับ พักบ้างเถอะ เมื่อวานตอนเช้าเราก็ไปส่งคุณดิมกันที่สนามบิน พอคุณดิมไปปุ๊บ เราก็ทำงานต่อกันจนไม่ได้พัก จนตอนนี้หกโมงเช้าของอีกวันเข้าไปแล้วนะครับ น่ากลัวจะพักผ่อนน้อยจนตายเอาทั้งคู่”
“สรุปสถานการณ์ตอนนี้มา”
คนสูงวัยเมินคำพูดกึ่งห่วงใยกึ่งหยอกของเลขาตนอย่างจงใจ
คนหนุ่มกว่าส่ายหน้าใส่เขาเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดีเหมือนปกติ
“สถานการณ์ตอนนี้คือเรารู้ว่าไอ้นี่”
ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวยังอุตส่าห์ชี้นิ้วลงไปหาร่างไร้ชีวิตที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
“ทำงานเป็นสายส่งยาให้วิทยาอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนสาเหตุ...น่ากลัวว่าจะต้องส่งคนไปถามนะครับ”
“ถ้ายังยึกยักอีกนิด น่ากลัวว่าคนที่ต้องไปถามอาจจะเป็นนาย”
สิ้นคำพูด อีกฝ่ายก็กระแอมไอออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติก่อนจะปรับเป็นท่าทางจริงจังเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอดหลายชั่วโมง
“จากหลักฐานทั้งหมดที่เรามี ภพธรเป็นสายส่งยาให้วิทยามาสักพักใหญ่ๆ แล้ว อาจจะเกินครึ่งปี แต่ก่อนหน้านี้กำไรไม่มาก ไม่ได้ไปขัดแข้งขัดขาใครจนตามสืบตัวได้แบบนี้”
ชายหนุ่มเอื้อมมือเข้าไปในชุดสูทก่อนจะดึงแท็บเล็ตออกมาเปิดข้อมูลให้เขาดู
“จากข้อมูลบัญชี ภพธรให้เงินที่ได้จากการค้ายาทั้งหมดโอนเข้าไปในบัญชีของลูกสาวเป็นจำนวนสามบัญชี ของภรรยาสามบัญชี และของตัวเขาเองอีกสามบัญชี กระจายกันไป ดูเผินๆ ไม่มีพิรุธเลย แต่พอมาตรวจสอบดีๆ ถึงพบว่าเงินทั้งหมดมาจากแหล่งเดียวกัน”
“คนโอนคนเดียวกันเหรอ”
คนถูกถามส่ายหน้า
“เปล่าครับ แต่มาจากสาขาเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ ถึงจะต่างสาขาไปก็ยังเป็นจังหวัดเดียวกันอยู่ดี ชื่อคนโอนก็จะวนเวียนอยู่สามสี่คน ตรวจสอบได้ง่ายมาก แสดงให้เห็นถึงความไก่อ่อนของพวกมือใหม่”
เขาหัวเราะร่วนกับคำปรามาสที่อีกฝ่ายหลุดออกมาจากปาก
“ก็เด็กมันอยากลอง ปล่อยมันหน่อยเป็นไร”
“น่ากลัวจะปล่อยไม่ได้ครับเพราะมันขัดแข้งขัดขาเราพอสมควร”
ฝ่ามือคร้ามแดดกดแสดงผลข้อมูลอย่างคล่องแคล่ว
“ยาเสพติดชนิดใหม่ค่อนข้างส่งผลร้ายแรงต่อผู้เสพ ร้ายที่สุดคือบำบัดยากมาก หากใช้วิธีหักดิบก็คงตายเพราะร่างกายจะเกิดอาการอยากยาอย่างรุนแรง ชนิดที่ยาเสพติดชนิดไหนก็ไม่เคยทำให้เกิดมาก่อน ที่แย่กว่านั้นคือมันราคาถูกมาก พันธมิตรเราขาดทุนกันไปเยอะทีเดียว ร้ายกว่านั้นมันทำธุรกิจค้ามนุษย์ด้วย เรียกว่าหยามหน้าคุณพิทักษ์แบบไม่มีชิ้นดี แต่ก็อย่างที่เราคุยกันล่ะครับ ไอ้เด็กนี่มันมือใหม่”
หน้าจอแสดงผลปรากฏกราฟซับซ้อนที่ยากจะเข้าใจ แต่ดูเหมือนนั่นจะไม่ใช่อุปสรรคสำหรับชายสองคนที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส
“วิธีการทำงานดูเหมือนจะรัดกุมแต่จริงๆ แล้วกระจอกมาก การโอนเงินเข้าบัญชีเดิม ในพื้นที่เดิม ใช้คนเดิมๆ ซ้ำๆ มันไม่ฉลาด แย่กว่านั้นคือการคิดจะงัดข้อกับรุ่นใหญ่โดยพยายามแทรกซึมเข้ามาในองค์กรโดยใช้ตรรกะที่ว่าให้เข้าหาคนที่ดูน่าไว้ใจนั้นมันกระจอก เพราะผมไม่คิดว่าข้อเสนอของมันจะดีพอที่ทำให้คนที่สำคัญต่อองค์กรจริงๆ เปลี่ยนใจ”
ชายหนุ่มเบนหน้ามาสบตาเขาแล้วฉีกยิ้มกว้าง
“เงินที่ภพธรได้ทั้งหมดรวมกันทุกบัญชีแล้วยังน้อยกว่าเงินเดือนที่คุณให้ผมอีกนะครับ”
แล้วพวกเขาก็หลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“ผมถึงได้บอกไงว่าวิทยามันทำตัวเหมือนกำลังเล่นขายของ คิดจะเข้าวงการนี้ การทำแบบนี้บอกเลยว่าไม่ฉลาด อ๋อ แล้วก็เรื่องที่คุณสงสัยว่า ‘เพื่อนเก่าแก่’ ของคุณจะเป็นแบ็กให้เด็กนี่ไหม ผมขอตอบเลยว่าไม่ แต่เด็กนี่มีแบ็กแน่ แถมน่ากลัวว่าจะเป็นคนที่คุณไม่ค่อยอยากได้ยินชื่อเสียด้วย”
คิ้วเข้มขมวดยุ่งพลางสบตาคนพูดอย่างคาดหวังคำตอบ
“ดลนธีครับ ดลนธี ไวยสมุทร พ่อบังเกิดเกล้าของคุณดิมไงครับ”
“นายจะบอกว่าดิมทรยศฉัน...”
“เปล่าครับ ผมไม่ได้พูดถึงคุณดิม ผมพูดถึงพ่อของเขากับวิทยา”
เลขาของเขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“คือ...ผมกำลังพูดถึงพ่อเลี้ยงของคุณดิมกับลูกชายแท้ๆ ของเขา”
นัยน์ตาคมเบิกโพล่งอย่างตกตะลึง
“นายหมายความดิมไม่ใช่ลูกของดลนธีเหรอ...”
“ครับ คุณดาใช่ วิทยาใช่ แต่คุณดิมไม่ใช่”
ไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจ
“ตอนแรกที่สืบข้อมูลไปจนรู้ว่าแบ็กของวิทยาคือคุณดลนธี ผมก็เลยเอะใจนิดหน่อยว่าทำไมเขาถึงยอมมาเป็นแบ็กให้ มันเป็นความอยากรู้อยากเห็นของผมเองครับ พอสืบไปสืบมาก็พบว่าดลนธีเคยคบกับแม่ของวิทยาก่อนจะแต่งงานกับแม่คุณดิมเพราะว่าแม่ของคุณดิมท้องคุณดา พอจะเข้าใจไหมครับ ผมพูดเร็วไปรึเปล่า”
ใบหน้าคมเข้มส่ายไปมาช้าๆ
“สิ่งที่ฉันเข้าใจตอนนี้คือดิมกับดามีแม่คนเดียวกัน ส่วนดากับวิทยามีพ่อคนเดียวกัน”
“ถูกต้องทุกประการเลยครับ”
ชายหนุ่มปัดหน้าจอแท็บเล็ตให้ปรากฏภาพแผนผังความสัมพันธ์ขึ้นบนหน้าจอ
“การแต่งงานของดลนธีกับแม่คุณดิมมันเป็นไปเพราะผลประโยชน์ ฝั่งแฟนเก่าของเขา...ผมหมายถึงแม่ของวิทยา ก็เช่นกัน สรุปก็เลยเป็นชู้กันแล้วก็ออกมาเป็นวิทยา ส่วนแม่คุณดิม ผมคาดว่าเขาก็คงไปมีชู้เหมือนกัน ก็เลยออกมาเป็นคุณดิม”
“นายรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้ยังไง”
“คลิปเสียงครับ”
ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังเปิดเข้าหาไฟล์อย่างชำนาญก่อนจะกดให้คนถามฟัง
ทันทีที่ไฟล์เสียงจบลง คนช่างพูดก็เริ่มบทสนทนาต่อ
“ตอนที่สืบหาข้อมูลเรื่องคนที่ให้การสนับสนุนวิทยา แฮ็คไปเรื่อย ผมก็ไปเจอคลิปเสียงที่ดลนธีเรียกเขาว่าลูกเข้า ก็เลยใช้เส้นสายคนของเราในโรงพยาบาลประกอบกับแฮ็คข้อมูลระบบนิดหน่อยทำให้ได้ข้อมูลดีเอ็นเอของทุกคนมาแล้วผมก็นำมาเทียบกัน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอีกนิดก็เลยสรุปความสัมพันธ์ของพวกเขาออกมาได้ครับ”
ฝ่ามือใหญ่คลึงขมับของตัวเองเล็กน้อยพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ดิมรู้เรื่องนี้รึเปล่า”
คนถูกถามส่ายหน้าก่อนจะหันมาสบตาเขาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“คิดว่าไม่ครับ และผมมั่นใจว่าถ้าเขารู้...เขาคงรับไม่ได้หรอก”
“งั้นอย่าให้รู้น่าจะดีกว่า”
“ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ”
ชายสูงวัยพยักหน้าน้อยๆ ในหัวของเขากำลังคิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไรกับข้อมูลที่ได้รับมาดี
ให้รู้ทีหลังคงไม่ดี แต่ถ้าจะให้บอกเลยก็กลัวว่าอีกคนจะแตกสลายเอา
ยาก...ยากจริงๆ
แต่ยังไงก็ต้องจัดการเรื่องตรงหน้าให้เสร็จเสียก่อน
“ไม่มีคนของเราทรยศอีกแล้วใช่ไหม”
“ถ้าจากหลักฐานที่เรามีตอนนี้ ยังไม่มีครับ”
“ดี”
เขาปรายตามองร่างไร้วิญญาณตรงพื้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากสั่งการต่อ
“เก็บกวาดให้เรียบร้อย ไม่ต้องกระโตกกระตาก ใครถามว่าภพธรไปไหนก็บอกไปแค่ว่าย้ายไปที่อื่นแล้ว”
นัยน์ตาคมสบลึกเข้าไปในดวงตาที่ฉายแววฉงน
“ฉันมั่นใจว่ามันมีคนทรยศมากกว่านี้แน่ แค่ต้องรอเวลาให้เผยตัว ปล่อยให้มันตายใจเข้าไว้ จะได้เก็บกวาดทีเดียว”
ใบหน้าคร้ามแดดของชายหนุ่มกระตุกยิ้มพร้อมโค้งรับคำสั่งอย่างรื่นเริง
“รับทราบครับ”
ร่างกำยำซุกหมุนตัวเดินไปทางบันไดเพื่อกลับขึ้นไปด้านบน หากยังไม่วายพูดสั่งการต่อ
“จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นไปพักผ่อนซะ ฉันจะเรียกตัววัฒนามาจากสาขาใหญ่ให้มาประจำที่สาขานี้ บ่ายๆ คงมาถึง ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย คืนนี้เราจะเดินทางกลับกรุงเทพเลย”
“แล้วจะให้ผมซื้อตั๋วเครื่องบินไปภูเก็ตไว้เลยไหมครับ”
คำถามที่แสนรู้ใจทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าสูงวัย แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากตอบ เสียงโทรศัพท์มือถือของอีกคนก็พลันดังขึ้นจนเขาต้องหยุดยืนรอ
เขาเห็นชายหนุ่มรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนอย่างเคยก่อนที่ใบหน้านั้นจะขมวดคิ้วยุ่งแล้วเอ่ยลาปลายสายไป
ทำไม เกิดอะไรขึ้นกัน
ชายหนุ่มมองตรงมายังเขาด้วยใบหน้าวิตกกังวลก่อนจะรีบหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาจัดการบางอย่างด้วยท่าทีเร่งร้อน
“สถานการณ์ฉุกเฉินแล้วครับคุณปราณ สายของเรารายงานว่าพบเอกชาติแล้ว...”
คนพูดหยุดมือเพื่อเงยหน้าขึ้นมองเขาเล็กน้อย
“แต่พบในสภาพศพนะครับ”
ลางสังหรณ์บางอย่างทำให้ความเย็นไล่ขึ้นมาจากปลายเท้าและมือของเขาอย่างรวดเร็ว
“จากรายงานคือศพถูกพบที่ภูเก็ตโดยชาวประมงที่ไปออกเรือหาปลา จากนั้นก็เป็นข่าวใหญ่โต ตำรวจลงมาดูแลคดีแล้ว เราคงไปแตะต้องมากไม่ได้ แต่เท่าที่ออกข่าวคือมีรอยกระสุนบริเวณศีรษะ มาทำนองนี้คงไม่ต้องคาดหวังให้จมน้ำตายแล้ว น่าจะโดนระเบิดสมองตายมากกว่า แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือสายของเรารายงานว่า จากการสอบถามชาวบ้านมีคนเห็นเอกชาติกับชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันเข้าพักที่โรงแรมห่างออกไปประมาณห้ากิโลเมตรจากบริเวณที่พบศพ ชาวบ้านบรรยายว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาออกจีนๆ หน่อย”
คนพูดพักหยุดหายใจเล็กน้อย
“คุณลองเดาสิครับว่าคนๆ นั้นน่าจะเป็นใคร”
เหมือนมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ในอก ความรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกกำลังจะฆ่าเขาทั้งเป็น
ได้โปรด อย่าเป็นอย่างที่คิดเลย...
“วิทยา...”
ไม่มีคำพูดหลุดออกจากปากของอีกฝ่าย มีเพียงการโชว์หน้าจอแท็บเล็ตที่เป็นคลิปจากกล้องวงจรปิดในโรงแรมที่พักแห่งหนึ่งให้เขาดูเท่านั้น
ภาพเคลื่อนไหวของคนคุ้นตาสองคนทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้องอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาเข้าใจแล้วว่าอีกคนอยากจะพูดอะไร
ตอนนี้ศพที่พบคือศพเอกชาติ แต่ถ้าช้ากว่านี้ ศพต่อไปคงเป็น...
“จองตั๋วเครื่องบินไฟท์ที่เร็วที่สุดเท่าที่เราจะไปถึงสนามบินได้ทัน เดี๋ยวนี้!”
ได้โปรดอย่าเป็นอะไร
...อย่าเป็นอะไรนะดิม...
***********************************************************************
[เกร็ดความรู้]
กล็อก (Glock GmbH) เป็นบริษัทผู้ผลิตอาวุธสัญชาติออสเตรีย มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Deutsch-Wagram ทางตอนเหนือของออสเตรีย ก่อตั้งโดยนายแกสตัน กล็อก (Gaston Glock) เมื่อ ค.ศ. 1963 มีชื่อเสียงในฐานะเป็นผู้ผลิต
ปืนกล็อก ซึ่งเป็นปืนพกที่มีโครงสร้างเป็นโพลิเมอร์ มีน้ำหนักเบา บำรุงรักษาง่าย เพราะมีชิ้นส่วนที่เป็นสนิม น้อยกว่าปืนพกยุคก่อนที่ใช้โครงสร้างเหล็ก นอกจากนี้กล็อกยังเป็นผู้ผลิตมีดพก และพลั่วสนาม สำหรับใช้ในกองทัพ
ที่มา:
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%84***********************************************************************
พูดคุยกันได้ที่ #ปราณดิม หรือ #หลงลุง ใน twitter นะคะ