Twelfth Songเขากำลังครุ่นคิด
อากาศร้อนระอุของเมืองไทยในช่วงบ่ายชวนให้ปวดหัวจนต้องเร่งแอร์ในรถให้แรงขึ้นอีกหน่อย รถยนต์ที่จอดนิ่งๆ ไม่มีโอกาสได้ขยับเขยื้อนมาร่วมสิบนาทีกำลังทำให้เขาหงุดหงิด น่าแปลกที่ถนนเส้นยาวขนาดกว้างถึงสี่เลนก็ยังประสบปัญหารถติดอยู่ได้ คงเพราะระบบขนส่งมวลชลมันเฮงซวยนั่นล่ะ คนถึงได้เลือกมาใช้รถยนต์ส่วนตัวกันหมด
เขาบ่นอะไรได้ล่ะ ในเมื่อตัวเขาเองยังเลือกใช้รถยนต์ส่วนตัวเลย
เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงกับเบาะหนังนุ่มก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
กว่าจะไปถึงก็คงจวนเจียนเวลาอีกตามเคย
ถ้าพูดกันตามตรง ปกติแล้วเขาควรจะอารมณ์เสียมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ แต่น่าแปลกที่วันนี้เขาไม่ได้รู้สึกหัวร้อน ฉุนเฉียวสักเท่าไหร่
นัยน์ตากลมเสมองไปนอกหน้าต่าง พยายามปฏิเสธความจริงบางอย่างที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งรถ
...คละคลุ้งไปทั่วทั้งร่าง...
กลิ่นของลุง กลิ่นของคนรักของเขา กลิ่นของ...
นัยน์ตาคู่นั้นวูบไหว มือเรียวสองข้างทาบลงบนหน้าท้องอย่างเผลอไผล
กลิ่นของพ่อ...พ่อของลูกเขา
เขาจำวันไข่ตกของตัวเองได้แม่นเพราะต้องไปหาหมอทุกเดือน แล้วเมื่อวานที่พลาด...มันเป็นวันไข่ตกของเขา โอกาสที่จะไม่ท้องนั้นเหลือน้อยเหลือเกิน สิ่งที่พอจะเป็นไปได้คืออสุจิของลุงจะต้องไม่แข็งแรง ไม่ก็ไข่ของเขาต้องไม่แข็งแรง ซึ่งดูแล้วเป็นไปไม่ได้เลยสักอย่างในเมื่อเขาเช็คสุขภาพทุกเดือน คุณภาพไข่ของเขาแข็งแรงยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนเมล็ดพันธุ์ของตาลุงนั่นน่ะ...
ลมหายใจอ่อนๆ ถูกพ่นออกมาจากจมูก
ดูยังไงก็ไม่น่าเข้าเกณฑ์ไม่แข็งแรงได้เลย
...ยังไงก็คงท้องแน่แล้ว...
พอคิดถึงตรงนี้ ร่างทั้งร่างมันก็สั่นขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ เขาเหมือนคนหลงทาง หลงอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ จะออกไปได้ยังไงก็ไม่รู้ แล้วจู่ๆ ก็มีอีกชีวิตหนึ่งโผล่ขึ้นมาให้รับผิดชอบเสียอย่างนั้น
นอกจากหาพี่ดาให้เจอ เขาก็ไม่เคยคิดถึงชีวิตของตัวเองเลย เขาเอาชีวิตทั้งหมดของตัวเองผูกไว้กับพี่สาว ถ้าไม่มีพี่สาว...
ไฟจราจรที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวทำให้เขาต้องกลับมามีสติอีกครั้ง
ไม่มีพี่ดาแล้วยังไง ไม่มีพี่ดา ดิมก็ต้องอยู่ให้ได้
...ใช่ไหม...
ไม่รู้ เขาไม่รู้เลย
คันเร่งที่อยู่ใต้เท้ามันช่างฝืดเหลือเกิน
เขากำลังจะไปไหนนะ เขากำลังทำอะไรอยู่กันนะ ตัวเขาที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้...เพื่อใครกันนะ
สัญญาณไฟจราจรที่อยู่ไกลๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง รถราที่ติดอยู่ยาวเหยียดส่งไอร้อนขึ้นมารวมกันจนกลายเป็นคลื่นในอากาศ ถ้าให้เดา ทุกคนในรถนั้นคงกำลังอารมณ์เสียกับการรอคอยที่ไม่รู้จุดหมาย
รอ...โดยไม่รู้ว่ามันจะจบลงเมื่อไหร่
‘How close is the ending, well, nobody knows (จุดจบอยู่ใกล้หรือไกลแค่ไหน ไม่มีใครรู้หรอกนะ)’เสียงเพลงที่ดังออกมาจากวิทยุผ่านเข้ามาในโสตประสาทช้าๆ
‘Love is confusing and life is hard (ความรักนั้นน่าสับสนและชีวิตนั้นก็ยากเหลือเกิน)’เขาทอดมองออกไปยังที่ใดสักแห่ง...มองไปยังสถานที่ที่อยู่ไกลแสนไกล
‘You fight to survive 'cause you made it this far (คุณพยายามต่อสู้เพื่อมีชีวิตต่อ เพราะคุณมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว)’หนาดน้ำใสไหลลงมาจากหางตาหนึ่งหยดก่อนจะโดนปาดออก
...หยดแรกและหยดเดียว...
นั่นสินะ เขามาตั้งไกลขนาดนี้แล้ว...ตั้งยี่สิบสามปีที่ต่อสู้กับอะไรต่อมิอะไรมา อุตส่าห์มาไกลตั้งขนาดนี้แล้ว อยู่ดูต่ออีกหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก
...อยู่รอหาความหมายของชีวิตต่ออีกสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร...
พอคิดได้แบบนั้น คันเร่งใต้เท้าก็ดูฝืดน้อยลงหน่อย
พอคิดได้แบบนั้น มือทั้งสองข้างก็มีแรงกลับมาจับพวงมาลัยได้อีกครั้ง
...แล้วไฟสีแดงก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวอีกครั้ง...
ไม่ว่าวันไหนๆ ห้างสรรพสินค้าก็ยังเป็นจุดหมายปลายทางของใครหลายๆ คน ช่องจอดรถที่แน่นขนัด ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่รถยนต์จอดติดกันเป็นพืด ท่ามกลางสงครามการแย่งชิงที่จอดรถในอาคารสูงเจ็ดชั้น ก็ต้องมีผู้แพ้และผู้ชนะกันบ้าง บางคนเคยชนะ แต่วันนี้ก็แพ้ บางคนที่เคยแพ้ มาวันนี้กลับชนะ
น่าเสียดายที่เขาไม่ค่อยชินกับคำว่าแพ้สักเท่าไหร่
ฝ่ามือเรียวหมุนพวงมาลัยรถอย่างชำนาญ เพียงไม่นานรถออดี้คันโปรดของเขาก็เข้าไปอยู่ในช่องจอดรถอย่างเรียบร้อยพอดีที่พอดีทาง
“สวัสดีครับคุณดิม”
เสียงทักทายของยามในโซนจอดรถพิเศษสำหรับบุคคลพิเศษของทางห่างทำให้เขาต้องหันไปยิ้มให้ตามมารยาท
เด็กหนุ่มชอบให้ตัวเองดูเข้าถึงได้ ‘บ้าง’ จากคนทุกกลุ่ม เขาไม่ชอบทำตัวสูงส่งจนน่าหมั่นไส้ ในขณะเดียวกันก็ไม่ชอบการทำตัวติดดินสักเท่าไหร่ เขาก็แค่เป็นตัวของตัวเอง เป็นคนที่ไม่ได้ทำตัวสูงจนน่าเด็ดปีก แต่ก็ไม่ได้ทำตัวเข้าถึงง่ายจนใครก็ได้มาแตะต้อง
เป็นคนที่เข้าถึงได้ แต่ ‘ยาก’ ก็เท่านั้นเอง
สองขาเรียวยาวก้าวไปตามทางเดินอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะชะงักไปเมื่อเดินไปเกือบถึงลิฟต์เข้าห้าง
รถคันนี้...
เด็กหนุ่มหรี่ตามองรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ สีดำคุ้นตา ไอ้ตัวเขาก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับยี่ห้อรถที่เห็นกันเกลื่อนชั้นนี้หรอก แต่ที่ติดใจคือป้ายทะเบียนกับตุ๊กตาแมวที่ตั้งอยู่ตรงคอนโซลหน้ารถต่างหาก
ตุ๊กตาแมวสีเขียวนีออนหน้าตาประหลาดที่เขาซื้อมาแกล้งอีกฝ่ายตอนวันเกิด แต่คนๆ นั้นกลับบ้าจี้เก็บเอาไว้จริงๆ แถมดันเอามาแต่งรถแบบไม่กลัวโดยล้ออีกต่างหาก
...ยังเก็บไว้อีกเหรอ...
จู่ๆ ก็รู้สึกว่าหัวใจมันถูกบีบรัดอย่างน่าประหลาด
แปลกจริงๆ ทั้งที่หายจากกันไปนานมากแล้ว แต่พอได้กลับมาเห็นความทรงจำเก่าๆ ที่มีด้วยกันหัวใจมันก็ดัน...
...บ้าชะมัด...
เด็กหนุ่มหันหน้าหนีแล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง
เอาเถอะ ห้างก็ตั้งใหญ่โต คงไม่บังเอิญมาเจอกันง่ายๆ หรอก หรือต่อให้เจอเขาก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาอะไร
...อดีต ยังไงมันก็เป็นอดีตไปแล้ว...
ถึงจริงๆ แล้วจะอดยอมรับไม่ได้เลยว่าความทรงจำที่พวกเขามีด้วยกันนั้นมีหอมหวานจนยากจะลืม แต่สิ่งที่ผ่านมาแล้ว ก็ผ่านไปแล้ว...ไม่กลับมาอีกแล้ว
...ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว...
ในตอนนั้นเขาเป็นเพียงเด็กชายวัยรุ่นที่เพิ่งจะมีความรัก ถ้าจำไม่ผิดก็คงจะเป็นช่วงม.สี่ พวกเขาบังเอิญเจอกันเพราะทำค่ายอาสาปลูกป่าด้วยกัน เด็กผู้ชายคนนั้นเป็นเพื่อนระดับชั้นเดียวกันแต่อยู่คนละห้อง ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มต้นจากเพื่อนก่อนจะพัฒนาเป็นคนรักกันตอนช่วงม.ห้า
สารภาพตามตรงว่าเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกพิศวาสอะไรผู้ชายเป็นพิเศษ ตอนมัธยมต้นก็เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงมาแล้วเหมือนกัน ประเด็นสำคัญในการเลือกใครสักคนเข้ามาเป็นคนในชีวิตสำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่เรื่องเพศ เพศเป็นแค่เรื่องเล็กๆ เท่านั้น สิ่งสำคัญคือตัวตนของคนๆ นั้นต่างหาก
ถ้าชอบเสียอย่าง จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้น
น่าเสียดายที่ในชีวิตของเขาไม่ค่อยมีผู้หญิงผ่านเข้ามาให้รักมากนัก ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะแค่สองคนเท่านั้น หนึ่งคือแฟนตอนมัธยมต้นที่คบกันอยู่ประมาณหนึ่งปี สองคือแฟนสมัยที่ยังเรียนอยู่ที่ออสเตรเลีย ที่คบกันได้แค่สองเดือนแล้วก็เลิกเพราะไปกันไม่รอด
นัยน์ตากลมจ้องมองหมายเลขชั้นในลิฟต์ที่กำลังเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างว่างเปล่า
เขาคบผู้หญิงไม่ค่อยรอดนักหรอก พวกเธอมักบอกว่าเขาจู้จี้และจุกจิกเกินไป พอได้ลองคบทั้งสองเพศ เขาก็เลยรู้ว่านิสัยตัวเองเข้ากับผู้ชายด้วยกันได้ดีกว่า คนมักจะชอบถามว่าเป็นผู้ชายแต่ต้องเป็นฝ่ายรองรับมันไม่รู้สึกแย่เหรอ เอาเข้าจริง เขาไม่มีปัญหาเรื่องการเป็นฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับด้วยซ้ำ จะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่สุขเหมือนกันก็โอเคแล้ว
แต่เพราะคนๆ นั้นนั่นล่ะที่ทำให้เขาเคยตัวกับการเป็นฝ่ายรับจนตัดสินใจปลูกถ่ายมดลูกกับรังไข่
บ้าชะมัด ถ้าตอนนั้นเขาฉุกคิดสักนิดว่าเด็กมัธยมมันจะจริงจังกับความรักได้แค่ไหนกัน เขาก็คงไม่พลาดทำเรื่องบ้าๆ แบบนั้นล่ะไป แต่ก็นะ ตัวเขาว่าบ้าแล้ว แฟนเก่าเขามันบ้ากว่าเสียอีก
-ติ๊ง-
เสียงบอกจุดหมายปลายทางของลิฟต์ทำให้เขาต้องเดินออกมาทั้งๆ ที่ในใจยังว้าวุ่นอยู่ไม่จบสิ้น
คนๆ นั้น...แฟนเก่าเขา นึกยังไงถึงเลือกที่จะไปแต่งงานตั้งแต่จบม.ปลายกันนะ ตัวเขาที่หลงเชื่อคำพูดของอีกคนว่าบ้าแล้ว ไอ้คนที่หลอกเขาน่ะบ้ากว่ากันเยอะ
แล้วภาพของคนในความทรงจำก็ถูกใครบางคนเข้ามาแทนที่
คนๆ นั้นน่ะ...บ้าชะมัด
เขายกยิ้ม...ยิ้มทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ายิ้มทำไม
ตาลุง ตาแก่ ตาเฒ่าหัวงูที่บังเอิญเจอบนถนนที่เมืองเอดินบะระในวันคริสมาสต์ที่พี่ดาโทรกลับมาหาเขาจนต้องกลับไทย ใครจะคิดว่าไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาจะได้มาเจอกันอีกครั้งที่ร้านอาหารกึ่งบาร์ของตาลุงนั่น
จำได้ว่าวันนั้นเขาเมา แต่คนอายุรุ่นพ่อเขาก็ไม่ได้ทำอะไร ตาลุงนั่นเพียงแค่พาเขาไปพักที่ห้องชั้นบนสุดของร้านแล้วก็ดูแลเขาอย่างดี
อ่อนโยนกับเขาตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอจนกระทั่งถึงตอนนี้
เพราะความอ่อนโยนนั่นล่ะที่ทำให้เขาเผลอไผล รู้ตัวอีกทีก็ให้ใจไปแล้ว
รู้ตัวอีกที เราก็จูบกันและรักกันไปแล้ว
ความรักนี่มัน...บ้าชะมัด นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป บางครั้งก็เจ็บเจียนตาย บางครั้งก็สุขจนแทบกระอัก
...ตกลงแล้วความรักมันคืออะไรกันแน่นะ...
“คุณดิมคะ ผู้หญิงคนนี้เขาบอกว่าคุณดิมให้เขามาทำงานแทนพี่ มันหมายความว่ายังไงเหรอคะ”
คำถามดังขึ้นทันทีที่เขาย่างเท้าเข้าไปในร้าน เด็กหนุ่มหยุดมองคนพูดเล็กน้อย
...มองด้วยแววตาเยียบเย็นก่อนจะยกยิ้มมุมปาก...
“ก็หมายความตามที่เขาบอกนั่นล่ะครับ”
นัยน์ตาของหญิงวัยกลางคนสั่นระริก
“คุณดิม มะ หมายความว่า...”
“ก็บอกว่า หมายความตามที่เขาพูดไงครับ ผมไล่คุณออก”
พอพูดจบเขาก็ปรายตามองคนที่ช็อกจนล้มลงไปกองกับพื้นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ชายในชุดสูทดำสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล เพียงไม่นาน ร่างอวบท้วมของอีกคนก็ถูกพาออกไปพ้นจากบริเวณร้านของเขา เสียงร้องไห้คร่ำครวญหายไปแล้ว คงเหลือแต่เพียงเสียงหวี่ๆ ของเครื่องปรับอากาศและ...
เขาเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่นั่งกระดิกเท้าจนเกิดเสียงน่ารำคาญอยู่บนโซฟาตรงส่วนรับรองของร้าน
เพื่อนตัวดีของเขาหันมาฉีกยิ้มกว้างให้ตามสไตล์ของเจ้าตัว
เขาเห็นอีกคนนั่งกระดิกเท้าอย่างมีความสุขผ่านกระจกใสรอบร้านตั้งแต่ก่อนที่จะเดินเข้าร้านเสียอีก แค่เห็นก็เดาได้แล้วว่าเพื่อนตัวดีของเขาคงแอบมาจัดการทุกอย่างให้เงียบๆ เหมือนเคย ที่ไอ้เอกชาติไม่โผล่หัวมาก็คงเป็นเพราะเพื่อนเขานี่ล่ะ
เฮอะ ไอ้ตอนเช้าที่เขาโทรไป มันก็เอาแต่ห้ามเขาอย่างนั้นห้ามเขาอย่างนี้ แต่สุดท้ายดันมาถึงที่ร้านก่อนเขาเสียอีก
ไอ้คนปากไม่ตรงกับใจ
“ขอบใจที่จัดการให้”
“เปลี่ยนคำขอบใจเป็นเลี้ยงข้าวกูดีกว่า”
ใบหน้าหล่อเหล่ายกยิ้มกว้างจนน่าหมั่นไส้
แต่ก็นะ เพื่อนทำดี ยกยอดให้วันนึงแล้วกัน
“เออ อยากกินอะไรก็บอก”
รอยยิ้มที่กว้างอยู่แล้วยิ่งกว้างขึ้นไปอีก
“น่ารักจริงๆ”
ไปว่าเปล่ามันยังกระโดดผลุงขึ้นมากอดเขาด้วยนี่สิ
“น่าฟัดจริงๆ เลยไอ้แมวอะ...”
จู่ๆ ใบหน้าที่ซุกไซ้ซอกคอของเขาก็ถอยห่างออกไปเล็กน้อยจนต้องหันไปมอง
ทำไม...อย่าบอกนะว่า
“กลิ่นน้ำหอมนี่มัน...”
เดลนิ่งมองหน้าเขาอยู่อึดใจก่อนจะกระชากแขนให้เดินตามเข้าไปในห้องทำงานด้านใน เจ้าตัวลากเขาเข้ามาในห้องทำงานของเขาเองแล้วปิดประตูลงกลอนเสียเสร็จสรรพ ดูเผินๆ เหมือนฉากข่มขืนในหนังเรทอาร์ราคาถูก แต่นี่เป็นชีวิตจริง
มีบางอย่างไม่ปกติ
เขารู้ว่าเพื่อนเขามีบางอย่างที่อยากพูดแต่ให้คนอื่นรับรู้ไม่ได้
“ดิม น้ำหอมนี่ของปราณ บุญสรนพไม่ใช่เหรอ มันมาอยู่บนตัวมึงได้ไง”
ทันทีที่อีกฝ่ายเปิดฉาก ร่างของเขาเกร็งขึ้นเล็กหน่อย ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงของเขาก็ยังราบเรียบเหมือนเดิม
“มั่วเถอะ นี่น้ำหอมใหม่ของกู...”
นัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวที่จ้องมองมาทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกไปเสียอย่างนั้น
น่ากลัว...เขาไม่เคยเห็นเดลเป็นแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต
“ดิม”
แค่คำเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ น่าแปลกที่มันทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
เขากลัว...เดลน่ากลัว
“เออ ใช่ ของเขานั่นล่ะ”
ในที่สุดก็ถึงคราวที่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ เพื่อนตัวสูงของเขาน่ากลัวเกินไป คราวนี้เขาสู้ไม่ไหวจริงๆ
“มึงไปเอามาได้ยังไง เท่าที่กูจำได้ มึงไม่น่าจะรู้จักเขา”
ไม่ได้ เขายอมให้ความจริงเปิดเผยออกมาตอนนี้ไม่ได้
ถึงจะกลัว แต่เขาก็ต้องสู้เพื่อปกป้องตัวเอง
“แล้วมึงล่ะ รู้จักเขาได้ไง จำกลิ่นน้ำหอมเขาได้ยังไง”
นั่นเป็นการเบี่ยงประเด็นอย่างเดียวที่เขานึกออกในตอนนี้ แต่แทนที่อีกฝ่ายจะฉุนเฉียวที่เขาพยายามเปลี่ยนเรื่อง เพื่อนตัวดีของเขากลับถอนหายใจแล้วเบนสายตาหลบอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
แปลก...มีบางอย่างแปลกๆ
“ดิม”
คำเรียกชื่อนั้นฟังดูจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหนที่เคยคุยกัน
“บ้านกูค้าปืน แม้จะถูกกฎหมาย แต่กูก็ขายปืน นำเข้าปืน เข้าใจไหม”
อะไร...หมายความว่ายังไง
เพื่อนตัวสูงของเขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“เอาเถอะ พูดไปมึงก็ไม่เข้าใจหรอก ต้องรอให้มึงขึ้นมานั่งตำแหน่งบริหารงานแทนพ่อมึงนั่นล่ะถึงจะเข้าใจ”
ทำไม...อะไร...เกิดอะไรขึ้น
คำถามนับล้านวิ่งวนอยู่ในหัวจนเขาไม่รู้ว่าควรถามคำถามไหนออกมาก่อนกันดี
“ดิม กูขอถามตามตรงนะ”
กลับกลายเป็นอีกคนเสียอีกที่ชิงถามขึ้นมาเสียก่อน แถมแววตาเคร่งเครียดที่ฉายให้เห็นทำให้เขาหวั่นใจพิกล
“มึงเป็นอะไรกับคุณปราณ”
เขานิ่ง...นิ่งอยู่อย่างนั้น
“มึงอยากได้ยินคำตอบแบบไหนล่ะ”
เพียงเท่านี้ก็มากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายยกมือขึ้นมากุมขมับ
“มึง...มึงล้อกูเล่นใช่ไหม”
เขาไม่ได้ตอบ อีกฝ่ายก็ไม่ได้ถามอะไรออกมาอีก สิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงการสบตากันเงียบๆ อยู่พักใหญ่ก่อนที่ร่างสูงกว่าจะส่ายหน้าไปมาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ
“นั่นเพื่อนพ่อมึงเลยนะ แก่กว่าพ่อกูอีกนะดิม”
ไม่ว่าเปล่ายังเอื้อมมือมาเขย่าตัวเขาไปมาเบาๆ ด้วย
เหมือนอีกฝ่ายอยากจะเตือนสติเขา
...เหมือนเดลอยากจะพูดบางอย่างออกมา แต่กลับลังเลที่จะพูด...
ทำไมกัน
“กูรู้”
เขาอยากถามมากกว่านี้ มีอีกหลายอย่างที่เขาอยากรู้ แต่เขาถามไม่ได้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเค้นความจริง
...คนที่มีชนักติดหลัง มันเป็นแบบนี้นี่เอง...
“มึงรู้แล้วมึงก็ยังจะเอากับเขาเนี่ยนะ”
“เดล”
เขาเรียกชื่อคนที่จับไหล่เขาเอาไว้แน่น นัยน์ตากลมสบลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย
“เวลาเราจะรักใครสักคน เราก็แค่รักเพราะเป็นเขาเปล่าวะ”
ความเงียบโอบล้อมพวกเขาอยู่นานแค่ไหนไม่รู้ แต่ในที่สุดคนตัวสูงกว่าก็ยอมปล่อยมือ
“กู...กูไม่รู้จะพูดยังไงดี”
คิ้วที่ขมวดยุ่งของอีกฝ่ายทำให้เขากังวลใจ ปกติแล้วเดลไม่ใช่คนจริงจังกับอะไรมากนัก นานๆ ทีจะได้เห็นสีหน้าท่าทีแบบนี้
สีหน้าเคร่งเครียด...สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
...สีหน้าของคนที่รู้อะไรบางอย่างได้พูดไม่ได้...
ทำไม
“ดิม กูขอพูดตามตรงเลยนะ”
แววตาที่ส่งมาหาเขาส่อไปทางอ้อนวอนมากกว่าสั่งการ
“ระวังตัวไว้”
ทำไม...ทำไมกันล่ะ
“ถ้ามึงคิดว่าพวกเราที่อยู่ในโลกสีเทามันแย่แล้ว บุญสรนพเป็นอะไรที่แย่กว่านั้นมาก”
ทำไม...ทำไมหัวใจของเขาถึงได้รู้สึกแบบนี้
ความรู้สึกเหมือนกำลังสำลักน้ำนี้มันคืออะไรกัน
“โลกสีดำ...มันไม่สนุกหรอกนะดิม”
อะไร...อะไรกัน ไม่เห็นเข้าใจอะไรเลย
หลุมสีดำที่เกิดขึ้นในอกนี้มันคืออะไรกัน ความรู้สึกวูบโหวงนี้มันคืออะไรกัน ความรู้สึกที่เหมือนจะหายใจได้บ้าง ไม่ได้บ้างนี่มันคืออะไรกัน
ไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจอะไรเลย
***********************************************************************
เนื้อเพลงที่ปรากฏในเนื้อเรื่องคือเพลง It isn't the end ของ Owl City ค่ะ เพลงๆ นี้เล่าเรื่องเด็กผู้หญิงคนนึงที่สูญเสียพ่อไปตั้งแต่เด็ก เป็นเพลงที่เล่าการเติบโตของชีวิตผ่านความเจ็บปวดแสนสาหัสจนกระทั่งมันค่อยๆ เบาบางลงและให้อภัยพ่อที่เลือกหันหลังให้เธอและครอบครัวได้ในที่สุด
MV ที่แปะให้เป็น MV Fanmade นะคะ แต่เรารู้สึกว่ามันดูรู้เรื่องมากกว่าของ Official (ขอโทษ Owl City อยู่ในใจ 555555) ก็เลยเลือกแปะอันนี้เนอะ
https://www.youtube.com/watch?v=ALiqSY-8JQY***********************************************************************
พูดคุยกันได้ที่ #ปราณดิม หรือ #หลงลุง ใน twitter นะคะ