Third Song“สวัสดีค่ะคุณดิม วันนี้มาเร็วเชียวนะคะ”
“พี่มลพูดเหมือนผมชอบมาสายอย่างนั้นล่ะ”
“ไม่สายหรอกค่ะ แค่เฉียดฉิวตลอด ทำเอาใจหายใจคว่ำกันทั้งร้าน”
เด็กหนุ่มหัวเราะรับคำแซ็วกึ่งแซะของอีกฝ่ายแล้วเดินเอาของเข้าไปวางในห้องพักส่วนตัวด้านหลังร้าน
ร้าน ‘DimD’ เป็นร้านที่เรียบง่าย อย่างน้อยก็เรียบง่ายกว่าตอนที่แม่เขาออกแบบไว้ให้เยอะ
ตัวร้านที่ตกแต่งด้วยโทนสีขาวดำอย่างมีรสนิยมตั้งอยู่ในทำเลที่ค่อนข้างดีในห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางเมือง ขนาดร้านไม่เล็กไม่ใหญ่เพราะเป้าหมายหลักของร้านไม่ใช่ปริมาณลูกค้า แต่เป็น...
“สวัสดีค่ะคุณหญิง เชิญพักผ่อนทางนี้ก่อนนะคะ”
เด็กหนุ่มยิ้มให้กับตัวเองในกระจกทันทีที่ได้ยินเสียงของพนักงานในร้าน
DimD ไม่ใช่ร้านทำผมที่ใครจะเข้ามาก็ได้ ตัวเขาเองก็อุตส่าห์ดั้นด้นไปร่ำไปเรียนการทำผมมาจากเมืองนอกเมืองนา แข่งขันประกวด ผ่านความกดดันมากมายมาก็หลายปีกว่าจะมีฝีมืออย่างในทุกวันนี้ ขืนต้องมาเหนื่อยกายเหนื่อยใจกับการทำงานอีกมันคงไม่คุ้มกัน เพราะฉะนั้นลูกค้าของเขาทุกคนต้องมีคุณภาพ ไม่ใช่แค่จ่ายหนักหรือมีชื่อเสียง แต่ต้องเป็นพวกมีมารยาท อดทนรอได้ ใครมีแวววีนมาตั้งแต่โทรจองคิวอย่าหวังว่าจะได้เหยียบย่างเข้ามา
นโยบายหลักของ DimD คือการบริการระดับพรีเมี่ยมแลกกับค่าบริการที่สูงลิ่ว ทันทีที่ลูกค้าโทรมาจองคิว การบริการระดับพระเจ้าจะเริ่มต้นขึ้น พนักงานทุกคนในร้านต้องศึกษาประวัติลูกค้าอย่างคร่าวๆ ตั้งแต่สีที่ชอบไปจนถึงรสชาติอาหารที่โปรดปราน ของว่างระหว่างรอต้องคัดสรรมาโดยเฉพาะให้ถูกปากลูกค้าแต่ละคน ผ้าเช็ดผมจะต้องเป็นสีที่ลูกค้าชอบ หรือแม้กระทั่งดอกไม้และกลิ่นที่ลูกค้าโปรดปรานก็ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนเพราะนั่นส่งผลต่อซิกเนเจอร์ของร้านเขาเป็นอย่างยิ่ง
ซิกเนเจอร์สำคัญที่สุดของร้านเขาคือช่อดอกไม้หลังการใช้บริการ ทุกครั้งที่ลูกค้าใช้บริการเสร็จ จะมีการให้ช่อดอกไม้แทนการขอบคุณจากทางร้าน เพราะฉะนั้นพนักงานทุกคนต้องทำการบ้านอย่างหนักในทุกๆ วัน อะไรที่ลูกค้าแต่ละคนไม่ชอบ อะไรที่ลูกค้าแต่ละคนชอบ การบริการต้องไม่ขาดตกบกพร่องและห้ามผิดพลาดโดยเด็ดขาด ก่อนลูกค้าเข้าร้านจะต้องมีการเซ็ตกลิ่นและแสงไฟในร้านให้เข้ากับความชอบของลูกค้าแต่ละคน
โดยปกติแล้วเขาจะรับลูกค้าแค่วันละคน ลูกค้าจะใช้เวลาในร้านเขานานแค่ไหนก็ได้ อยากทำอะไรก็ได้ขอเพียงแค่เอ่ยปากสั่งออกมา ทางร้านมีบริการอาหารว่างสองครั้งคือก่อนและหลังทำผม แต่ถ้าลูกค้าอยู่นานมากจนหิวข้าวก็มีบริการอาหารจากภัตตาคารหรูให้ เพียงแต่ต้องจ่ายเพิ่มเท่านั้น แต่นั่นเหมือนจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับกลุ่มลูกค้าของเขาสักเท่าไหร่ เพราะทุกคนที่เดินเข้ามาในร้านของเขาสามารถจ่ายเงินเป็นหมื่นๆ ได้โดยไม่สะกิดขนหน้าแข้งอยู่แล้ว
เพราะอย่างนั้นล่ะเขาเลยมีเวลาว่างในชีวิตถมเถพอๆ กับมีเงินในบัญชีมากพอที่จะเอาไปถมบึงเล็กๆ ได้
เขารวยเพราะบ้านรวย นั่นก็แค่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็เพราะตัวเขาเอง
เด็กหนุ่มจัดชุดตัวเองอีกครั้งหน้ากระจกก่อนจะฉีกยิ้มกว้างแล้วเปิดประตูออกไป
“สวัสดีครับคุณป้าสมร ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
วันนี้เขาโชคดีหน่อยที่ได้ลูกค้าเป็นคนคุ้นเคย การสานมิตรไมตรีสร้างบรรยากาศจึงไม่ใช่เรื่องยากนัก
หญิงสูงวัยตรงหน้าเป็นคนที่รู้จักมักจี่กับครอบครัวเขามาตั้งแต่เขาจำความได้ ใบหน้ายิ้มแย้มใจดีกับทรงผมตีกระบังทำให้เขาชอบท่านยิ่งกว่าพ่อแม่ของตัวเองเสียอีก
เขารักผู้หญิงตรงหน้านี้มากกว่าพ่อแม่ของเขาเสียอีก
“โอ๊ยตายแล้วเจ้าดิม ยิ่งโตยิ่งหล่อนะเราน่ะ”
คำทักทายพร้อมกับมือที่ยื่นมาโอบกอดทำให้เขาสบายใจเสมอ
อ้อมกอดนี้ทำให้เขาสบายใจเสมอ
เด็กหนุ่มผละออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายแล้วเอามือคนตรงหน้ามากุมไว้
“คุณป้าก็ยังสวยไม่สร่างเลยนะครับ”
“ปากหวานแต่เด็กจนโตเลยนะเราน่ะ”
เสียงหัวเราะเคล้าคลอกันของคนสองคนช่วยให้บรรยากาศเป็นทางการเมื่อครู่หายไปจนหมด
เด็กหนุ่มกุมมือหญิงตรงหน้าไว้หลวมๆ
“เชิญคุณป้ามานั่งที่โซฟาดีกว่าครับ ทานของว่างไป คุยกันไป คุณป้าอยากทำทรงผมแบบไหน อยากทำอะไรบอกผมได้เลยนะครับ วันนี้น้องดิมขอบริการคุณป้าเต็มที่เลย”
เสียงหัวเราะแหบๆ ของเธอช่วยให้จิตใจของเขาสงบลงได้มากโข
บทสนทนาเรียบง่ายของคนคุ้นเคยทำให้เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างอยู่แทบจะตลอดเวลา ดวงตาคู่สวยเป็นประกายสดใสเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืน ทุกย่างก้าวของหญิงสูงวัยจะมีเด็กหนุ่มคอยประกบเคียงข้างอยู่ไม่ห่าง เสียงหัวเราะของคนสองคนเคล้าคลอไปกับเสียงดนตรีคลาสสิคของฮันเดลช่วยให้บรรยากาศร้านดูเป็นกันเองและอบอุ่นมากขึ้นกว่าเก่า กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลิคละคลุ้งไปทั่วร้านชวนให้รู้สึกสบายใจ
เด็กหนุ่มรักบรรยากาศแบบนี้
เขารักบรรยากาศรอบตัวป้าสมรมาตลอดตั้งแต่จำความได้ ถ้าไม่คุณป้าคนนี้ชีวิตของเขาอาจจะมาไม่ถึงตรงนี้ ถ้าไม่มีคุณป้าคนนี้...
ความสุขของเขาก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน
“อร่อยมาก ชาของทไวนิงส์
(Twinings) นี่รสชาติดีไม่เปลี่ยนเลยนะ สิบปีที่แล้วรสดียังไง เดี๋ยวนี้ก็ยังเหมือนเดิม”
ท่าทางแช่มช้าละเลียดไปกับรสสัมผัสของชานั้นทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มพลอยสงบไปด้วย
เขามักใช้เวลาเงียบๆ ชื่นชมควันขาวๆ ที่ลอยคละคลุ้งอยู่เหนือถ้วยชาเสมอ เพราะมันมาเร็วก็ไปเร็วแต่ก็ทิ้งกลิ่นหอมเอาไว้ที่ปลายจมูก
เขาอยากให้ทุกเหตุการณ์ในชีวิตเป็นเหมือนควันเหนือถ้วยชา
อยากให้ทุกอย่างผ่านเข้ามาเร็วๆ แล้วก็จางหายไป ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกในหัวใจ
เขาไม่ชอบให้เหตุการณ์ไหนคงอยู่กับเขานานเกินไป ต่อให้เป็นความสุขก็ไม่ชอบ ให้เป็นความทุกข์ยิ่งไม่เอา
อยากให้ทุกอย่างผ่านมาแล้วผ่านไปเหมือนควันที่ลอยเหนือถ้วยชา
“แล้วเราได้ข่าวคราวของยายดาบ้างไหม”
คำถามนั้นถูกถามออกมาทุกครั้งที่หญิงชรามาที่นี่ เธอเฝ้าถามเขาว่าได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับพี่สาวของตัวเองบ้างไหม และคำตอบทุกครั้งที่หลุดออกไปก็มักจะเป็น...
“ผมไม่ทราบเลยจริงๆ ครับ”
เขาพูดด้วยความสัตย์จริง พี่สาวเขาอยู่ไหนไม่มีใครรู้ หลังจากเกิดเรื่องราวในวันนั้นครอบครัวของเขาก็พังพินาศ เขากลัวพ่อกลัวแม่ของตัวเองจับใจจนขออนุญาตหนีไปเรียนที่เมืองนอก ตอนแรกก็ตั้งใจจะตั้งรกรากอยู่กับเพื่อนที่ต่างประเทศ ถ้าไม่ติดว่าในคืนคริสมาสต์วันนั้นมีโทรศัพท์ทางไกลโทรเข้ามา
‘ดิม กลับมาไทยทีนะ ฝากดูแลลูกพี่ที’
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เขาได้ยินจากพี่ดา พี่สาวที่เขารักและบูชาสุดหัวใจ
ในคืนนั้น เป็นคืนที่พี่ดายอมรับสารภาพกับพ่อและแม่ว่าเธอท้อง สิ่งที่พ่อทำคือการตบเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนสิ่งที่แม่ทำก็คือการยืนมองเฉยๆ ด้วยแววตาสมเพช ในตอนนั้นเขาเป็นคนเอาตัวเข้าไปขวางแต่ก็ถูกบอดี้การ์ดของพ่อลากตัวออกมา พ่อตบพี่ดาซ้ำๆ ทั้งที่รู้อยู่ว่าเธอท้อง
เขาพยายามแล้ว เขาพยายามจะช่วยเธอแล้ว แต่เขาทำอะไรไม่ได้เลย
พ่อสั่งให้คนเอาพี่ดาไปขังไว้ในห้องรอทำแท้ง แต่โชคดีที่วันนั้นเธอหนีออกไปได้
หนีออกไปและไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย
แค่ครั้งนั้นเท่านั้นที่เธอติดต่อกลับมา ขอให้เขากลับมาดูแลแก้วตาดวงใจของเธอ จากนั้นเธอก็หายเข้ากลีบเมฆไปอีกครั้งเหมือนบทสนทนาในวันนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง
เรื่องนี้มีแค่เขาที่รู้ ไม่ว่าใครก็ให้รู้ไม่ได้เด็ดขาด
“เอาเถอะ”
หญิงชราตรงหน้าถอนหายใจ
“ยังไงเสียเด็กคนนั้นก็เป็นคนเก่ง คงไม่ลำบากนักหรอก”
ฝ่ามือนุ่มลูบหลังมือเขาไปมา
“ว่าแต่เราเถอะ เป็นยังไงบ้าง มีแฟนกับเขาบ้างรึยัง”
ภาพของใครบางคนแวบเข้ามาในหัวจนทำให้เขาเผลอยกยิ้มกว้าง
“ยิ้มแบบนี้แสดงว่ามีคนในใจแล้วใช่ไหม”
สมกับเป็นป้าสมร แม้เขาจะไม่ตอบอะไรออกไปเลยสักคำ แต่เธอก็ยังมีความสามารถในการเดาใจของเขาได้แม่นเสมอ
“ป้ารู้ว่าเราไม่ได้ชอบผู้หญิง และป้าเองก็รู้ว่าเราน่ะมีลูกได้ ป้าไม่ว่าหรอกนะถ้าหนูจะรักหรือชอบพอใคร แต่ถึงเราจะเป็นผู้ชาย ยังไงเสียการมีคู่สร้างครอบครัวก็เป็นเรื่องใหญ่ รักใครชอบใครก็บอกแม่บอกพ่อเขาเสียนะ จะได้ตกแต่งเป็นหน้าเป็นตาของวงศ์ตระกูล”
ถ้อยคำนั้นค่อยๆ บาดลึกลงในใจเขาทีละนิด
“ดิมรู้ใช่ไหมลูกว่าหนูเกิดมาสูงแค่ไหน”
หญิงชราเอื้อมมือไปลูบหัวเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน
“อย่าพาตัวเองลงไปตกต่ำแบบยายดานะ”
เขาฉีกยิ้มรับแล้วพยักหน้าลงเบาๆ เป็นการรับคำ หากภายในใจนั้นกลับตรงข้าม
เขารักป้าสมรที่สุดในบรรดาญาติผู้ใหญ่ทั้งหมดที่อยู่รอบตัว แต่ถึงเธอจะดีที่สุดก็ยังไปไม่ถึงคำว่า ‘ดี’ อยู่ดี
เขาเปิดใจให้ใครไม่ได้เลย
ไม่มีใครเลยสักคน
“เหมียวน้อย ดื่มหนักไปแล้วรึเปล่า”
ร่างโปร่งบางผงกหัวขึ้นมาดูหน้าคนพูดเล็กน้อยก่อนจะเอนตัวกลับลงไปพิงพนักเก้าอี้ตามเดิม
ห้องชั้นบนสุดของร้านวันนี้ไม่ได้ต่างจากทุกวันที่ผ่านมา
โคมไฟสีส้มสลัวให้บรรยากาศโรแมนติกรับกับกลิ่นหอมฟุ้งของลาเวนเดอร์ที่คละคลุ้งไปทั่วห้องเหมือนกับทุกคืนที่ผ่านมา
เจ้าแมวน้อยชอบไฟสีส้มและกลิ่นดอกลาเวนเดอร์ เขารู้เรื่องนี้ดี
ในห้องที่ดูปกติกลับมีบางอย่างที่ขัดใจเขาที่สุด บนโต๊ะอาหารกลางห้องว่างเปล่าเป็นสัญญาณให้รู้ว่าคนที่เข้ามาก่อนหน้ายังไม่ได้ลิ้มรสอาหารอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว แต่รอบๆ ตัวของเด็กหนุ่มกลับระเกะระกะไปด้วยขวดแอลกอฮอล์
นั่นคือเรื่องแรกที่ทำให้เขาไม่ชอบใจ
เรื่องต่อมาคือการที่เด็กหนุ่มเอาตัวเองไปนอนเอนหลังอยู่บนโซฟานอกระเบียงทั้งๆ ที่ใส่แค่เสื้อยืดบางๆ กับกางเกงขาสั้นโง่ๆ
เด็กหนุ่มคนนั้นป่วยง่าย เพราะเป็นภูมิแพ้มาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังไม่ค่อยดูแลตัวเอง แค่โดนฝนนิดๆ หน่อยก็ป่วยเป็นหวัดไปหลายอาทิตย์ แล้วนี่ออกไปนั่งตากลมอยู่ข้างนอกแบบนั้น ไม่รู้ว่าจะป่วยเป็นอะไรขึ้นมาอีก
เขาไม่ชอบที่อีกคนไม่ค่อยรักตัวเอง
เด็กคนนั้นเป็นแบบนี้เสมอ นัยน์ตากลมโตมักสร้างความซุกซนสดใสมาปกปิดอะไรบางอย่างที่เขาเองก็เข้าไม่ถึง ทุกครั้งที่ได้อยู่คนเดียว เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นคนละคนกับดิมที่ทุกคนรู้จัก
แต่เขารู้จักดิมทั้งสองด้านดีกว่าใคร
ดิมที่ทุกคนรู้จักเป็นคนมารยาทดี สดใสและเย้ายวน แต่เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาตรงนี้กลับตรงกันข้ามทั้งหมด ร่างบอบบางเอนตัวไปกับโซฟา นัยน์ตาคู่สวยดูเคร่งขรึมกว่าปกติ มันทอดมองออกไปไกลแสนไกล บางครั้งเขาก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าอีกคนไม่ได้อยู่กับเขาตรงนี้
นัยน์ตาคู่นั้นดูลุ่มลึกและเคร่งขรึม บางครั้งก็ว่างเปล่า
เขาอยากถามว่าเป็นอะไร อยากดึงอีกคนเข้ามากอดแล้วถามว่ามีอะไรไม่สบายใจบ้างไหม
แต่เพราะบรรยากาศอึมครึมรอบตัวของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่กล้าเข้าหา
กลัวว่าอีกฝ่ายจะรำคาญ กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ชอบ
กลัวว่าอีกคนจะไม่รัก
แก่จนป่านนี้เพิ่งจะเคยกลัวเรื่องนี้เป็นครั้งแรก คิดแล้วก็น่าสมเพชตัวเองอยู่เหมือนกัน
“ลุง”
เสียงเรียกแผ่วๆ ของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างไม่รู้สาเหตุ ท่าทางยื่นมือออกมาไขว้คว้าหาไออุ่นจากร่างของเขาทำให้ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นมาทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ตัว
เขาดีใจที่อีกฝ่ายยังต้องการเขาอยู่
ร่างเล็กๆ ซุกเข้าหาไออุ่นจากตัวเขาแต่ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น
อ้อมแขนเล็กโอบกอดเขาไว้ ยึดเขาเอาไว้เป็นหลักให้ตัวเอง ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีคำพูดออดอ้อนอะไรหลุดออกมาจากปาก เด็กหนุ่มทำเพียงแค่กอดเขาเอาไว้แล้วเหม่อมองออกไปยังที่ๆ ไกลแสนไกล
จะมีสักวันไหมที่เด็กคนนี้จะยอมพาเขาไปที่แห่งนั้นด้วยกัน
“ลุง”
“ว่าไง”
เขาพูดพลางก้มลงจูบศีรษะของอีกฝ่ายเบาๆ
อยากให้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆ ตรงนี้ไม่ไปไหน
“ผมจะออกไปแตะดวงดาวได้ไหม”
คนมีอายุเผลอขมวดคิ้วให้กับคำถามแปลกประหลาดที่เขาไม่เข้าใจ
ใช้สมองคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ เพราะแบบนั้นเลยลองยื่นมือออกไปจนสุดแขนเหมือนอย่างที่เด็กหนุ่มในอ้อมแขนกำลังทำ
มันเป็นความรู้สึกที่แสนว่างเปล่า รู้ว่ามีอยู่ แต่ก็อยู่ไกลแสนไกล คว้ายังไงก็คว้าไม่ถึง
“จะมีวันไหนที่ผมได้ดากลับมาไหม”
เขารู้สึกเหมือนจะได้ยินคำว่า ‘ดา’ มากกว่า ‘ดาว’ สำคัญที่สุดคือเขาได้ยินคำว่า ‘กลับมา’ ซึ่งฟังดูแล้วแปลกพิกล แต่เพราะอีกฝ่ายเมา เขาเลยไม่ถือสาอะไร
“ต้องมีแน่ ฉันจะพาเธอไปเอง”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตาเขา นัยน์ตากลมโตฉ่ำปรือเหมือนอย่างคนเมาทั่วไป
“จะไปด้วยกันจริงๆเหรอ จะไม่ทิ้งผมไม่ไหนใช่ไหม”
เขาฉีกยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย
“ไม่ทิ้งแน่ เพราะฉันใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีหัวใจไม่ได้”
พูดไว้แค่นั้นก่อนจะก้มลงประกบจูบดูดดื่มที่ริมฝีปากบาง
ไม่มีแมวตัวไหนเหมาะกับบรรยากาศอึมครึมของวันฝนตก เด็กหนุ่มในอ้อมกอดเขาก็เช่นกัน
**********************************************************************
[เกร็ดความรู้]จอร์จ เฟรดริก ฮันเดล (George Frideric Handel)เป็นคีตกวีชาวอังกฤษเชื้อชาติเยอรมัน เกิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1685 ที่เมืองฮัลเลอ ประเทศเยอรมนี เพลงที่โด่งดังมีด้วยกันหลายเพลง อาทิเช่น The Arrival of the Queen of Sheba, Music for the Royal Fireworks
แต่เพลงที่คนเขียนชอบที่สุดคือ Water Music ท่อน Alla Hornpipe ใครสนใจก็ลองไปหาฟังได้น้า เชียร์ให้ฟังเพราะคนเขียนชอบเพลงของลุง Handel มากจริงๆ จนอาจจะโผล่มาอีกหลายๆ ฉากเลยค่ะ 5555555555
***********************************************************************
พูดคุยกันได้ที่ #ปราณดิม หรือ #หลงลุง ใน twitter นะคะ