Symphony of Ives - เพลงรักสีขาว - บทที่ 14 - Wedding March [20/10/2561]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Symphony of Ives - เพลงรักสีขาว - บทที่ 14 - Wedding March [20/10/2561]  (อ่าน 11763 ครั้ง)

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม





**************************************************************************


มหากาพย์การเคลียร์งานเริ่มขึ้นแล้วค่ะ 5555555


เราเคยบอกแหละเนอะว่าลงไปแต่งไปแล้วมันไม่ค่อยโอเค แต่ถ้าไม่ลงเลย เราก็จะติดนิสัยไม่ยอมเขียนต่อสักที ก็เลยต้องเอามาลงเพื่อกระตุ้นตัวเองค่ะ


ส่วนตัวคิดว่านี่น่าจะเป็นวายเรื่องยาวเรื่องสุดท้ายของเราในช่วงนี้แล้วค่ะ(ไม่นับหลงลุงกับผัดซีอิ๊วที่เขียนไปก่อนแล้วแค่ยังไม่จบ 5555555) หลังจากนี้เราก็มีความฝันที่อยากจะไปทำตามให้ได้อยู่ก็เลยคิดจะเลิกเขียนวายไปสักพักใหญ่ๆ แต่เราจะไม่ดึงเข้าโหมดเศร้าไปมากกว่านี้แล้วค่ะ ไปอ่านนิยายกันดีกว่า 5555555555




**************************************************************************


อนึ่ง นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่ดำเนินเนื้อหาอยู่บนโลกของเพลงคลาสสิค ใครไม่คุ้นชินอย่าเพิ่งปิดหนีกันไปเลยนะคะ เราจะพยายามทำให้เพลงคลาสสิคเหล่านี้ย่อยง่ายลงเพื่อทุกคนเอง แต่เราขอออกตัวก่อนว่าเราไม่ใช้ผู้ที่เชี่ยวชาญหรือเรียนด้านนี้มาโดยตรงนะคะ เราเป็นแค่คนๆ หนึ่งที่หลงรักเพลงคลาสสิคมากๆ เท่านั้นเอง ถ้ามีข้อมูลอะไรที่เรากล่าวผิดไป สามารถแนะนำได้เลยนะคะ


ที่สำคัญ ไม่ดราม่าหนักเหมือน 2 เรื่องที่ผ่านมาแล้ว เกี่ยวก้อยสัญญาเลยยย



**************************************************************************



ติดตามกันได้ที่







เจ้าของเดียวกับ




**************************************************************************




ผมมีความลับ
ความลับที่บอกใครไม่ได้ ความลับที่ไม่เคยเอ่ยปากเล่าให้ใครฟัง
และบทเพลงนั้น...คือความลับของผม







**************************************************************************


ยังไม่มีชื่อแท็กน้า คิดไม่ออก 55555555555
  :laugh: :laugh: :laugh:



นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องราวสมมติที่แต่งขึ้น บุคคลใดๆ ที่ปรากฏในเรื่องเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น เรื่องราวนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงแต่อย่างใด






Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-10-2018 13:54:58 โดย Marymo »

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
[ตอนที่ 1 - Ode to Joy]






คุณได้ยินเสียงนั้นรึเปล่า


“โจเซฟ หักมุมไม้นายลงอีกหน่อยสิ”


เสียงของเส้นสายที่เสียดสีกันไปมาก่อเกิดเป็นท่วงทำนองนับหมื่นนับพัน ทั้งที่เรารู้จักและไม่รู้จัก


“ใช่ อย่างนั้นล่ะ”


เสียงเหล่านั้นแว่วผ่านเข้ามาในหูครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่เมื่อก่อนจนกระทั่งถึงตอนนี้...


“เยี่ยม เยี่ยมมาก สุดยอดมากๆ เลยทุกคน”


ผมเห็นด้วยนะ เห็นด้วยโดยไม่มีข้อโต้แย้งเลย


“เอาล่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวเรามาซ้อมส่วนของวงประสานเสียงกันดีกว่านะ”


วงประสานเสียง....ออเคสตร้า ผมเคยปรามาสเอาไว้ว่ามันช่างไม่เข้ากันเสียเลย


“เอาล่ะ เตรียมพร้อมนะ”


เสียงของวาทยกรสูงอายุที่ผมเคยเห็นหน้าดังแทรกผ่านประตูออกมาจนถึงบริเวณที่ผมแอบนั่งอยู่


แอบนั่งอยู่อย่างแมวจรจัดที่ได้แต่คอยดมกลิ่นอาหารในภัตตาคารหรูอย่างน่าสมเพช


แท้จริงแล้วผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับวงดนตรีที่กำลังซ้อมกันอยู่ด้านในหอประชุมนี้เลยสักนิด ไม่แม้แต่จะมีสิทธิได้มานั่งฟังแบบนี้ด้วยซ้ำ ผมจำได้ว่าพนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องทุกคนได้รับคำสั่งไม่ให้เข้ามายุ่งวุ่นวายกับการซ้อมการแสดงที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ แต่ก็นะ...


...ผมมันเป็นพวกชอบแหกกฎด้วยนี่สิ...


ไม่หรอก เย้าเล่นน่ะ


เหตุผลที่แท้จริงของการพาตัวเองมานั่งอยู่ตรงพื้นหน้าประตูห้องประชุมตอนนี้ก็เพียงเพราะใจผมมันทนเสียงเรียกร้องบางอย่างไม่ไหวเสียมากกว่า แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผมมันก็เป็นแค่ไอ้คนขี้ขลาด สุดท้ายก็เลยทำได้แค่พาตัวเองมาแอบนั่งหน้าประตูโง่ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้าไปดูด้านใน สิ่งที่ทำได้ มีเพียงแค่แอบแง้มบานประตูเอาไว้พอให้เสียงได้ลอดออกมาเท่านั้น


แค่เสียงก็พอแล้ว


แม้ว่าตอนนี้ผมจะไม่ได้ยินอะไรนอกเหนือไปจากความเงียบสงัดจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง แต่ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้ว ผมรู้ดีว่าขณะนี้วาทยกรกำลังจะทำอะไร


...ไม้บาตองด้ามนั้น คงกำลังถูกตวัดขึ้นกลางอากาศอย่างสง่างามเป็นแน่...


ยังไม่ทันที่ผมจะได้เตรียมใจ จังหวะเร่งเร้าที่เกิดจากการสอดประสานกันระหว่างเครื่องเป่าและเครื่องสีก็พลันดังแหวกความเงียบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


ทำนองเพลงนั้นฟังชวนให้รู้สึกฮึกเหิมปนสงบอยู่ในที จังหวะที่ถูกเร่งเร้าขึ้นมาในคราแรกถูกส่งต่อให้เชลโล่ซึ่งโทนทุ้มต่ำกว่ารับช่วงต่อ


ผมหลับตาลงช้าๆ แล้วทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปอยู่ที่การฟัง


เครื่องดนตรีต่างๆ ในวงรับโยนทำนองของเพลงกันได้อย่างไร้ที่ติ ดังค่อยสลับกันไปอย่างลื่นไหลอย่างน่าอัศจรรย์จนผมเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว


สุดยอด สุดยอดเกินไปแล้ว


ท่วงทำนองเหล่านั้นถูกร้อยเรียงส่งผ่านกันจากเครื่องดนตรีหนึ่งสู่อีกเครื่องหนึ่งได้ไม่มีสะดุด สอดประสานเข้าด้วยกันทั้งวงได้พอดิบพอดีราวกับจิ๊กซอว์ที่สร้างไว้เพื่อเติมเต็มกันและกัน ความสมบูรณ์แบบที่เกิดขึ้นทำเอาผมเผลอกลั้นหายใจไปหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ยังครองสติไว้ได้ จนกระทั่งทำนองหลักของท่อนเริ่มขึ้นนั่นล่ะ...


...ผมถึงได้สติหลุดไปจริงๆ ...


จังหวะเร่งเร้านั้นถูกเล่นกระชั้นขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเสียงดนตรีก็เงียบลงเพื่อส่งต่อหน้าที่ให้กับผู้ขับร้องประเภทเสียงเบส – บาริโทน ถ้อยคำที่เล็ดลอดออกมาจากประตูห้องประชุมที่ถูกแง้มไว้ทำให้ผมเผลอขดตัวเข้ามากอดเข่าไว้ด้วยกลัวตัวเองจะทนไม่ไหวจนต้องลุกวิ่งพรวดเข้าไปในห้องแสดงจนโดนจับได้เอา


‘Freude, schöner Götterfunken,(อ้า ความปีติปรีดา, ประกายแสงแห่งเทพเทวาธิดาจากสรวงสวรรค์)’


ไม่ไหว ไม่ไหวแล้ว


‘Alle Menschen werden Brüder (มวลชนทั้งหลายกลายเป็นพี่น้องกันทันใด)’


ท่วงทำนองเหล่านั้นดังกึกก้องขึ้นเรื่อยๆ ราวกับพวกเขากำลังบรรเลงมันอยู่ข้างหูของผมนี่เอง


‘Wo dein sanfter Flügel weilt. (ในทุกที่ ที่ปีกนุ่มนวลของเธอสยายไป)’


สุ้มเสียงทรงพลังนั้นยังคงเปล่งเสียงร้องต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด บรรยากาศที่เคยเฉยชาน่าเบื่อรอบข้างตัวผมเริ่มปรากฏความเปลี่ยนแปลง ในทุกๆ ถ้อยคำที่ผู้ขับร้องเปล่งออกมาคล้ายจะมีพลังงานบางอย่างแฝงอยู่ด้วย


ความเปรมปรีดิ์ จิตใจศรัทธาอันแน่วแน่


งดงาม...งดงามเหลือเกิน


ผมขยับตัวเปลี่ยนองศาหัวเล็กน้อยเป็นจังหวะเดียวกับที่กลุ่มนักร้องประสานเสียงเปล่งเสียงร้องขึ้นรับคำร้องจากนักร้องชายคนแรก


‘Wem der große Wurf gelungen Eines Freundes Freund zu sein; (ผู้ใดโชคดีมีโอกาส เป็นเพื่อนกับมิตรแท้)’


เสียงร้องประสานนั้นก้องกังวานกึกก้องเข้าไปจนถึงส่วนที่ลึกที่สุดในจิตใจ


‘Ja, wer auch nur eine Seele Sein nennt auf dem Erdenrund! (ใช่แล้ว หากผู้ใดกล่าวได้ว่าในโลกนี้ก็มีเพื่อนกับเขาคนหนึ่งเหมือนกัน ผู้นั้นย่อมมีความปีติยินดี)’


ความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นขึ้นมาในใจอย่างไร้สาเหตุ


อา นั่นสินะ


มุมปากของผมยกยิ้มขึ้นอย่างเชื่องช้า


เพียงถูกบทเพลงนี้ขับกล่อม โลกทั้งใบก็คล้ายจะรื่นเริงขึ้นมาทันตา


ท่วงทำนองยังคงดำเนินต่อไปอย่างลื่นไหล พลังแห่งความปีติยินดีแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วทุกบริเวณที่คำร้องและเสียงดนตรีเหล่านั้นเดินทางไปถึง จังหวะบรรเลงจากเครื่องดนตรีสอดประสานเข้ากับเสียงร้องของเหล่านักร้องผู้มากความสามารถเหล่านั้นได้อย่างลงตัวไร้ที่ติ งดงามและสดใสเกินบรรยาย


งดงามยิ่งกว่าครั้งที่ผมเคยบรรเลงไว้เสียอีก


อา ใช่แล้ว


ผมลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะยกฝ่ามือที่ปรากฏรอยแผลเป็นน่าเกลียดน่ากลัวอยู่เต็มไปหมดก่อนจะถอนหายใจออกมา


แผ่วเบาและอ่อนแรง


ถ้าวันนั้นไม่เกิดอุบัติเหตุนั่นขึ้น ผมคงได้ไปเป็นส่วนหนึ่งบนเวทีนั่นแล้ว...คงได้เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงที่ยอดเยี่ยมนั่นไปแล้ว


แย่จริงๆ


นัยน์ตาของผมจับจ้องฝ่ามือของตัวเองอยู่อึดใจก่อนจะถอยหลับไปซ่อนตัวอยู่หลังเปลือกตาอีกครั้ง


มือที่ไม่สามารถกลับไปจับไวโอลินได้อีกแล้วแบบนี้...ช่างไร้ค่าเหลือเกิน


“พี่อีฟส์ แอบหนีมาอู้งานอีกแล้วเหรอพี่”


เสียงร้องทักดังแทรกผ่านบทเพลงขึ้นมาจนทำให้โลกที่แสนสดใสของผมต้องหยุดชะงักนั้นชวนให้อารมณ์เสีย แต่ครั้นจะปล่อยผ่านทำเป็นไม่ได้ยินก็คงไม่ได้ เพราะเสียงนั้นดังอยู่ตรงหน้าผมนี้เอง


ให้ตายสิ


ผมต้องยอมลืมตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้ และนั่นก็ทำให้ผมได้เห็นคนที่น่ารำคาญที่สุดในโลกคนหนึ่ง


“นี่เวลาพักของพี่ แกลืมรึไง”


เด็กหนุ่มตัวสูงชะลูดด้านหน้าผมยักไหล่เล็กน้อย


“ก็เห็นหายไปนานไง ผมก็นึกว่าหนีกลับบ้านไปแล้ว”


“น้อยๆ หน่อยเถอะ” ผมยู่หน้าใส่เขาก่อนจะค่อยๆ ดันตัวเองขึ้นมาจากพื้น “พี่ทำงานที่นี่มาก่อนแกกี่ปี ไม่มาทำตัวเหลวไหลเอาตอนนี้หรอกนะ”


ผมแสร้งทำเสียงดุใส่เขาแต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่กลัวเลยสักนิด


“คร้าบ ไม่ล้อแล้วก็ได้”


เขาหัวเราะคิกคัก


“ว่าแต่ทำไมพี่ชอบมานั่งตรงห้องจัดแสดงนี่จังเลยอะ ชอบดนตรีคลาสสิคเหรอพี่”


ชอบ...งั้นเหรอ...


“ก็คงงั้น”


“โห เจ๋งอะพี่ ผมฟังทีไรก็หลับทุกที”


ผมเหลือบขึ้นมองหน้าเขาเล็กน้อยแล้วไม่ได้พูดอะไร


ผมเคยเห็นใบหน้านี้มาก่อน...ใบหน้าที่เหมือนกับเด็กหนุ่มคนนี้ราวกับแกะ


โครงหน้าชัด ตาโตสวย จมูกโด่งกำลังดี ริมฝีปากสวยได้รูป ละม้ายคล้ายคนในความทรงจำจนไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นคนละคนกัน


แต่ก็นะ หน้าตาเหมือนกันใช่ว่านิสัยจะเหมือนกันด้วย


คนที่ไม่ชอบเพลงคลาสสิคแบบนี้ ไม่มีทางจะเป็นคนๆ นั้นไปได้หรอก


...ไม่มีทางได้เจอกันอีกแล้ว...


อา ป่านนี้แล้ว ยังคาดหวังอะไรอยู่อีกนะ


นัยน์ตาผมเบนออกจากใบหน้าของคู่สนทนา


“พี่จะกลับไปเตรียมตัวทำงานแล้ว แกก็รีบๆ ไปพักไป เดี๋ยวเปลี่ยนกะแล้วบ่นเหนื่อยอีก”


ผมว่าไว้แค่นั้นก่อนจะเริ่มก้าวเดินไปตามทางเดินที่มุ่งตรงไปยังสถานที่ทำงานอันแสนจืดชืด งานของผมเป็นงานที่ดูน่าเบื่อและเงินน้อยก็จริง แต่มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ถ้ามองให้รอบจะเห็นว่ามันเป็นงานที่ทั้งความรับผิดชอบต่ำ เงินเดือนก็พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง งานไม่หนักและสวัสดิการหลายๆ อย่างที่น่าสนใจ ที่สำคัญ...


ขาสองข้างชะงักไปชั่วขณะก่อนจะเริ่มขยับอีกครั้ง


มันคืองานที่ทำให้ผมมีโอกาสได้อยู่ใกล้กับเพลงคลาสสิคทุกวันเหมือนเมื่อก่อน


...แค่สิ่งนี้เท่านั้นที่สำคัญที่สุด...


“อ้าวอีฟส์ มาแล้วเหรอ ดีๆ ฝากเคาน์เตอร์เดี๋ยวนึงนะ พี่จะไปเข้าห้องน้ำ”


“ตามสบายเลยครับพี่ชัย”


เขาพยักหน้ารับคำตอบของผมก่อนจะพรวดพราดวิ่งออกไป


ทันทีที่เพื่อนร่วมงานจากไป ห้องโถงทั้งห้องก็ดูเหมือนว่าจะเหลือผมอยู่แค่คนเดียว


ถ้าไม่นับรวมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ใส่สูทยืนอยู่รอบๆ น่ะนะ


“สวัสดีค่ะ ซื้อบัตรการแสดงหน่อยค่ะ”


ยังไม่ทันที่ผมจะได้ขำกับมุกตลกของตัวเองดี เสียงใสของใครบางคนก็ดังมาจากอีกฟากของเคาน์เตอร์จนผมต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อต้อนรับ


“ครับ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าสนใจการแสดงไหนเหรอครับ”


“พอดีคุณแม่ท่านชอบเพลงคลาสสิคน่ะค่ะ เลยอยากจะเซอร์ไพรส์ซื้อบัตรเข้าชมให้ท่าน แต่ยังไม่รู้เลยค่ะว่าควรเป็นการแสดงอะไรดี”


ผมรู้สึกได้ว่าริมฝีปากของตัวเองฉีกยิ้มกว้างขึ้นกว่าเก่า


“ไม่ทราบว่าคุณแม่ท่านมีศิลปินในดวงใจไหมครับ”


“อืม เท่าที่จำได้ก็น่าจะเป็นโมสาร์ทกับบีโทเฟนนะคะ”


“สำหรับเพลงของโมสาร์ทตอนนี้ทางเรายังไม่มีการแสดงที่รวบรวมเฉพาะเพลงของโมสาร์ทในเดือนนี้นะครับ จะมีอีกทีก็ช่วงปลายปีเลย แต่สำหรับบีโทเฟนตอนนี้กำลังมีการแสดงที่กำลังจะเปิดวันที่ยี่สิบนี้ครับ โดยจะมีการบรรเพลงสองเพลงดังตลอดกาลของบีโทเฟนก็คือซิมโฟนีหมายเลขเก้า หรือรู้จักกันในนาม Ode to Joy ส่วนอีกเพลงคือซิมโฟนีหมายเลขห้า ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าเคยได้ยินทำนอง ป่าม ป๊าม ป่าม ปาม ไหมครับ”


ผมว่าพลางฮัมทำนองไปด้วย


“นั่นล่ะครับ ซิมโฟนีหมายเลขห้าของบีโทเฟ่น สองเพลงนี้ฟังง่าย เข้าใจง่าย แถมแสดงแค่สองเพลง ใช้เวลาแสดงโดยรวมแล้วไม่เกินสองชั่วโมงครับ”


ผู้หญิงคนนั้นฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาของเธอเป็นประกายต่างจากตอนแรกที่เข้ามาอย่างสิ้นเชิง


“งั้นเอาการแสดงนี้เลยค่ะ”


“ได้เลยครับคุณลูกค้า รบกวนเลือกที่นั่งได้เลยครับ”


พวกเราคุยกันอีกนิดหน่อยถึงตำแหน่งที่นั่งที่เหมาะสมรวมถึงข้อระเบียบบังคับด้านเครื่องแต่งกาย ตั้งแต่ทำงานที่นี่มา ก็ต้องยอมรับว่าคนที่ฟังเพลงคลาสสิคนั้นค่อนข้างเฉพาะกลุ่มทีเดียว ปกติคนที่มาซื้อตั๋วก็หน้าเดิมๆ ด้วยกันทั้งนั้น นานๆ ครั้งผมจึงจะเจอกับคนที่ไม่รู้จักเพลงคลาสสิคเลยอย่างเธอคนนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันก็สนุกไปอีกแบบ


“ขอบคุณนะคะ ได้รู้อะไรมากขึ้นเยอะเลย”


“ยินดีให้บริการครับ ขอบคุณมากนะครับ”


เธอก้มหัวรับไหว้ผมด้วยรอยยิ้มกว้าง


“ถ้าคนขายตั๋วที่นี่ทุกคนรักเพลงคลาสสิคแบบพี่บ้างก็ดีนะคะ ครั้งที่แล้วจะมาซื้อ เขาแนะนำอะไรไม่ค่อยได้เลย”


ผมเลิกคิ้ว รู้สึกตงิดใจคล้ายจะรู้ว่าเป็นใครโดยที่ไม่ต้องรอให้เธอบอก


“แต่ก็อย่างว่าล่ะค่ะ น้องเขายังเด็ก ก็คงไม่ค่อยรู้อะไร”


ชัดเลย พนักงานที่อายุต่ำกว่าสามสิบที่นี่ก็มีมันอยู่แค่คนเดียวนั่นล่ะ


“ต้องขออภัยคุณลูกค้าด้วยนะครับ เดี๋ยวทางเราจะอบรมให้เองครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ”


“ไม่เป็นไรค่ะ แค่บอกให้ฟังเท่านั้นเอง”


เธอพูดอย่างนั้นพร้อมกับกลั้วหัวเราะ ก่อนจะก้มหัวให้แล้วเดินจากไป


ผมถอนหายใจออกมาช้าๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงบนเก้าอี้อีกครั้ง


คำพูดของลูกค้าเมื่อครู่ย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง


‘ถ้าคนขายตั๋วที่นี่ทุกคนรักเพลงคลาสสิคแบบพี่บ้างก็ดีนะคะ ครั้งที่แล้วจะมาซื้อ เขาแนะนำอะไรไม่ค่อยได้เลย’


คนขายตั๋วที่รักเพลงคลาสสิคงั้นเหรอ...


ผมแค่นหัวเราะในคอเบาๆ


ก็คงงั้น...ก็แค่พนักงานขายตั๋วธรรมดาๆ ที่ชอบดนตรีคลาสสิคเท่านั้นเอง...







**************************************************************************



คำแปลภาษาไทยของเนื้อเพลงนำมาจากบทที่ศาตราจารย์พิเศษ ดร.อำภา โอตระกูล และ รองศาสตราจารย์ ดร.วิลิตา ศรีอุฬารพงศ์ [สาขาวิชาภาษาเยอรมัน คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย] แปลไว้นะคะ



**************************************************************************





[เกร็ดความรู้]




ซิมโฟนีหมายเลข 9 หรือ Ode to Joy


ซิมโฟนีหมายเลข 9 ในบันไดเสียง ดี ไมเนอร์ (Symphony No. 9 in D minor) ของลุดวิจ ฟาน เบโทเฟิน รู้จักกันในชื่อ คอรัล ซิมโฟนี (Choral Symphony) เป็นผลงานซิมโฟนีชิ้นสุดท้ายที่เบโทเฟินแต่งได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ เริ่มแต่งเมื่อราว ค.ศ. 1818 แล้วเสร็จออกแสดงครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1824 ที่เวียนนา ในแคตตาล็อกผลงานของเบโทเฟินระบุหมายเลขโอปุส 125 (Opus 125) ถูกใช้เป็นเพลงประจำสหภาพยุโรป มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 และสภายุโรป  ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1972

คอรัล ซิมโฟนี เป็นผลงานที่ใช้เสียงร้องเป็นส่วนหนึ่งของดนตรี โดยในมูฟเมนต์ที่ 4 ใช้เสียงนักร้องโซโล 4 คน ประกอบกับการร้องประสานเสียง คำร้องที่ใช้นำมาจากโคลงภาษาเยอรมัน "Ode to Joy" (เยอรมัน: Ode an die Freude) ของฟรีดิช ชิลเลอร์


ที่มา: ซิมโฟนีหมายเลข 9 (เบโทเฟน)






โทนเสียงต่างๆ ของมนุษย์



1. โซปราโน (Soprano) เป็นระดับเสียงสูงสุดของนักร้องหญิง

2. เมซโซโซปราโน (Mezzo - Soprano) เป็นระดับเสียงกลางของนักร้องหญิง

3. คอนทรัลโต หรือ อัลโต (Contralto or Alto) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องหญิง

4. เทเนอร์ (Tenor) เป็นเสียงระดับสูงสุดของนักร้องชาย

5. บาริโทน (Baritone) เป็นเสียงระดับกลางของนักร้องชาย

6. เบส (Bass) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องชาย



ที่มา: สาระของโทนเสียงต่างๆ






บาตอง (Baton)


เป็นคำทับศัพท์จากภาษาฝรั่งเศส แปลว่า "แท่ง" หรือ "ก้าน" หมายถึงอุปกรณ์รูปทรงกระบอก หรือแบน ทำจากวัสดุหลายรูปแบบ (เช่น ไม้หรือเหล็ก) โดยมากมักหมายถึงอุปกรณ์น้ำหนักเบาสำหรับวาทยกรในการควบคุมวงออร์เคสตร้า วงประสานเสียง หรือ การแสดงร่วม


ที่มา: บาตอง





**************************************************************************




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-09-2018 12:36:54 โดย Marymo »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 2 – [Dreaming]





งานทุกงานย่อมมีความน่าเบื่อในแบบฉบับของมันอยู่ บ้างก็น่าเบื่อเพราะงานหนักสุดจะทน บ้างก็น่าเบื่อเพราะงานน้อยเกินไป น่ากลัวว่าในกรณีของเขามันจะเป็นอย่างหลัง...


“เดี๋ยวนี้คนน้อยจังเลยนะพี่”


“เศรษฐกิจไม่ดีล่ะมั้ง โชคดีนะที่เราได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ไม่งั้นก็คงแย่เหมือนกัน”


“ผมว่าเป็นเพราะเพลงคลาสสิคมันไม่น่าสนใจมากกว่าพี่...”


 -ปึง!-


เสียงวัตถุหนักๆ ถูกกระแทกลงบนโต๊ะไม้อย่างแรงทำเอาคนที่กำลังคุยกันอย่างออกรสชะงักปากแทบไม่ทัน แต่เหมือนไอ้คนน่ารำคาญนี่จะไม่ได้สำเหนียกอะไรเลยสักนิด


“ทำไมวางเอกสารแรงอย่างงั้นล่ะพี่ เดี๋ยวโต๊ะก็เจ็บพอดี”


ไม่ว่าเปล่า มันยังมีหน้ามาหัวเราะร่วนใส่ผมด้วย ถ้าหากนี่เป็นการ์ตูน คงเห็นภาพหัวของผมที่มีสัญลักษณ์อารมณ์บูดแปะไว้ตรงขมับแน่


เย็นไว้ เด็กมันก็เด็กล่ะวะ


ผมหันไปมองหน้าคนที่ยังหัวเราะอย่างไม่รู้สึกรู้สาเล็กน้อยก่อนจะลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย พวกที่ทำงานแค่เพราะเงินนี่ไม่เท่าไหร่ แต่นอกจากไม่มีใจแล้วยังไม่สนใจจะเรียนรู้นี่สิน่ารำคาญ


“พี่อีฟส์ ผมว่า...”


“เออ อีฟส์ เดี๋ยวพี่กับไวท์จะไปกินข้าวกัน จะไปด้วยกันไหม”


เสียงแทรกที่โพล่งขึ้นมาของพี่ชัย เพื่อนร่วมงานที่ทำงานกับผมมาเนิ่นนานนั้นราวกับเสียงสวรรค์ที่ช่วยชีวิตไอ้เด็กเวรนั่นเอาไว้ไม่มีผิด ผมว่าพี่ชัยคงรู้ว่าผมอารมณ์ไม่ดีเพราะอะไร พวกเราทำงานด้วยกันมานาน ทั้งผมและพี่ชัยต่างมีใจรักในเพลงคลาสสิคด้วยกันทั้งคู่ เพียงแต่ผมอาจจะมากกว่าหน่อย เขาก็คงพอรู้ล่ะว่าคำพูดของเด็กนั่นมันไม่เข้าหูผมสักเท่าไหร่ อันที่จริงก็คงไม่เข้าหูพี่แกด้วย แต่ด้วยความที่เราเป็นผู้ใหญ่กว่า จะให้ไปตีโพยตีพายไปเรื่อยก็คงไม่ได้ พี่เขาทำแบบนี้ก็ถูกแล้ว


ลากมันออกไปให้พ้นหน้าพ้นตาผมแบบนี้แหละถูกแล้ว


“ไม่ล่ะครับพี่ ขอบคุณมาก เดี๋ยวอีฟส์ต้องรีบกลับบ้านน่ะครับ แม่รอกินข้าวอยู่”


“อ๋อ โอเค งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ”


“เจอกันพรุ่งนี้ครับพี่”


ผมพูดพร้อมกับยกยิ้มกว้างแล้วยกมือไหว้ลาพี่เขาเหมือนอย่างทุกที แต่มันก็ดันมีสิ่งไม่ปกติเกิดขึ้นมาจนได้...


“พี่อีฟส์อะ ไม่เคยไปกินข้าวกับพวกผมเลย เหงานะพี่”


รำคาญ รำคาญโว้ย


“เนี่ย อุตส่าห์จะพาไปกินร้านอร่อยเลยน้า”


เย็นไว้อีฟส์ นั่นมันเด็ก อายุยี่สิบเท่านั้นเอง เย็นไว้


“พี่อีฟส์จะปล่อยพวกเราไปกันแค่สองคนจริงๆ เหรอพี่...”


“พอเถอะน่าไวท์ อีฟส์ก็บอกอยู่ว่าต้องไปกินข้าวกับที่บ้าน...”


“อันที่จริง น้องจะบอกว่าพี่ไม่เคยไปกินข้าวกับน้องและพี่ชัยก็ไม่ถูกนะ”


ผมโพล่งแทรกคำห้ามปรามของพี่ชัยขึ้นมาอย่างเหลืออด และก็เป็นอย่างที่คาด ไอ้เด็กนั่นทำหน้าหมางงได้ซื่อบื้อสุดๆ


ริมฝีปากผมยกขึ้นช้าๆ


“เพราะพี่น่ะ ไปกินข้าวกับพี่ชัยบ่อยมาก”


ผมพูดเอาไว้แค่นั้นก่อนจะยกมือไหว้ลาพี่ชัยอีกครั้งแล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่รอดูหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้นอีกเลย


มันจะทำหน้ายังไงก็เรื่องของมันเถอะ ไม่เกี่ยวกับผมอยู่แล้ว


ผมก้าวเท้าไวๆ ด้วยความโมโห เพียงไม่นานผมก็พาตัวเองออกมาจนเกือบถึงประตูรั้วของหอแสดงได้อย่างรวดเร็ว ในหัวมันมีแต่ความรู้สึกคุกรุ่นยากจะบรรเทา


ดนตรีคลาสสิคไม่น่าสนใจงั้นเหรอ พูดออกมาได้ยังไงกัน ถ้าเป็นคนๆ นั้น คงไม่มีทางพูดประโยคนี้ออกมาแน่


...อา...


จังหวะฝีเท้าของผมแผ่วความเร็วลงก่อนจะหยุดนิ่งอยู่บริเวณหน้าประตูรั้วของหอแสดง


ให้ตายสิ นี่ผมคิดบ้าอะไรอยู่


ผม...เอาเด็กนั่นมาเป็นตัวแทน ‘พี่’ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน


ไม่ควร ไม่ควรเลยจริงๆ


‘อีฟส์ พี่ตัดสินใจแล้ว’


ทำไมพี่ถึงไม่ออกไปจากหัวผมสักทีนะ


‘พี่จะแต่งงาน’


ทำไมใบหน้าของเด็กนั่นต้องเหมือนพี่ขนาดนี้ด้วย


ไม่หรอก อันที่จริงก็ไม่ได้เหมือนขนาดนั้น ยิ่งบุคลิกยิ่งไม่เหมือนเข้าไปใหญ่


ใช่ ไม่เหมือนเลย


ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกพ่นออกมาจากปาก มือขวาเลื่อนไปกระชับสายกระเป๋าสะพายให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้นอีกหน่อย จากนั้นขาสองข้างของผมก็เริ่มออกก้าวเดินอีกครั้งนึง


ผมเดินออกจากหอแสดงมุ่งตรงไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร บรรยากาศยามค่ำคืนของกรุงเทพยังคงคึกคักเหมือนอย่างที่คุ้นตากันอยู่เป็นประจำ รถรามากมายแย่งชิงพื้นที่บนท้องถนนจนทำให้เกิดรถติดยากจะแก้ปัญหา ร้ายพอๆ กับระบบขนส่งมวลชนที่ไม่มีความก้าวหน้าจากสิบปีที่แล้วสักเท่าไหร่ แค่คิดว่าต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแบบนี้ทุกวันก็เหนื่อยจะแย่แล้ว ไหนจะยังต้องมาเจอปัญหาอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้อีก


ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าสีหม่นที่ไม่มีดาวอยู่เลยสักดวง


จริงๆ ชีวิตแบบนี้มันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นหรอก ผมก็แค่ขี้บ่นไปอย่างนั้นเอง


“ขึ้นเลยจ้าขึ้นเลย ชิดในหน่อยพี่ แบ่งๆ กันไปนะ”


เสียงตะโกนจากกระเป๋ารถเมล์บนรถเมล์สายหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลทำให้ผมได้สติหันกลับมาใส่ใจท้องถนนอีกครั้ง ดูเหมือนว่าวันนี้พระเจ้าจะเข้าข้างผมอยู่หน่อย เพราะปกติแล้วผมต้องใช้เวลารอรถเมล์อย่างต่ำสิบห้านาที แต่คราวนี้รถเมล์สายที่ผมต้องขึ้นดันขับตามหลังรถเมล์คันเมื่อครู่มาพอดิบพอดีเสียอย่างนั้น


นานปีทีหนล่ะนะ


จังหวะที่ผมลุกขึ้นเพื่อเดินไปโบกรถเมล์ให้จอดเป็นเวลาเดียวกับที่มีเสียงเตือนข้อความแชทดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ของผมพอดี
แปลก


แม้จะสนใจใคร่รู้อยากดูข้อความแค่ไหน ผมก็ไม่มีเวลามากพอมาใส่ใจมัน รถไฟไม่คอยท่าฉันใด รถเมล์ก็ไม่คอยใครฉันนั้น บางครั้งก็ไม่จอดป้ายด้วยซ้ำไป เพราะแบบนั้นผมจึงต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดในการเบียดแทรกตัวเองขึ้นไปบนรถเมล์ที่มีผู้คนรวมตัวกันอยู่แน่นขนัดจนแทบปิดประตูรถไม่ได้


การต้องขึ้นไปยืนแน่นกระจุกกันเป็นปลากระป๋องบนรถเมล์เป็นสิ่งที่ผมเกลียดแสนเกลียด แต่ด้วยรายได้และอะไรหลายๆ อย่างทำให้ไม่มีทางเลือกสักเท่าไหร่ คนอื่นบนรถคันนี้ก็คงไม่ต่างกัน ผมลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางมองถนนที่แน่นขนัดไปด้วยรถจำนวนมากก่อนจะเหลือบมองไปที่นาฬิกาข้อมือตัวเองเล็กน้อย


...19.00 น. ....


นี่มันเวลามหาวิปโยคชัดๆ


และระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้น....


“อย่ายืนหน้าประตูนะคะ ชิดในหน่อยๆ Move inside”


พอได้ยินแบบนั้น ผมก็เผลอเอาตัวไปโฟกัสอยู่กับการเคลื่อนย้ายร่างไม่ให้เกะกะคนอื่นจนลืมเรื่องเสียงแชทเมื่อครู่ไปเสียสนิท










กว่าผมจะฝ่าฟันการจราจรจากตัวเมืองชั้นในของกรุงเทพมาจนถึงบ้านผมได้ก็กินเวลาไปหนึ่งชั่วโมงครึ่งไม่ขาดไม่เกิน แสงไฟนวลที่ส่องผ่านกระจกออกมาจากบริเวณห้องรับประทานอาหารในตัวบ้านทำให้รู้ว่าเวลามื้ออาหารสุขสันต์ของบ้านยังดำเนินอยู่ ซึ่งนั่นนับว่าเป็นเรื่องดี เพราะตั้งแต่เที่ยงมายังไม่มีอะไรตกถึงท้องผมเลยสักนิดเดียว


“สวัสดีค่ะคุณอีฟส์ พักนี้กลับดึกจังเลยนะคะ”


เสียงทักทายจากคุณป้าแม่บ้านที่เลี้ยงดูผมมาแต่อ้อนแต่ออกทำให้ผมต้องเอี้ยวตัวไปยิ้มให้เธอเล็กน้อยก่อนจะหยิบรองเท้าขึ้นเพื่อจะเอาไปเก็บไว้ในตู้ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอามันไปเก็บอย่างที่ตั้งใจไว้ หญิงสูงวัยผู้นั้นก็ปรี่เข้ามาแย่งมันไปเสียก่อน


“ไม่ต้องทำค่ะๆ เดี๋ยวป้าทำเอง”


ผมเลิกคิ้วพลางหัวเราะให้กับท่าทางนั้นเบาๆ


“ป้าแก้วทำอย่างกับผมเป็นเด็กเล็กๆ อย่างงั้นล่ะครับ แค่เก็บรองเท้าเอง ผมทำได้น่า”


“ไม่ได้หรอกค่ะ”


เธอส่ายหน้าไปมาก่อนจะหยุดส่งยิ้มให้ผม


“ป้าเป็นแม่นมของคุณอีฟส์ ให้ป้าได้ดูแลคุณอีฟส์เถอะนะคะ ต่อให้คุณอีฟส์จะแก่จนผมหงอก คุณอีฟส์ก็ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ สำหรับป้าเสมอเลย”


“โหป้า พูดแบบนี้อีฟส์รักตายเลย”


ผมว่าพลางโถมตัวลงไปกอดคุณป้าเธอเอาไว้ คำแซวของผมทำให้เธอหัวเราะน้อยๆ แต่เหมือนว่าอ้อมกอดจากผมจะทำให้เธอสุขใจมากกว่า


พวกเราหัวเราะคิกคักกันอยู่หลายนาทีก่อนที่ป้าแก้วออกไปไล่ให้ผมรีบไปกินข้าวกินปลาก่อนจะดึกไปกว่านี้นั่นล่ะ ผมถึงยอมเดินจากมา


ในทีแรกผมกะว่าจะเดินขึ้นไปบนห้อง อาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยลงมากินข้าว แต่เหมือนเจ้ากระเพาะจะไม่เอาด้วย เสียงโครกครากและอาการหิวข้าวจนแทบเป็นลมทำให้ผมต้องยอมโยนกระเป๋าทำงานไว้ตรงโซฟาแล้วปรี่ไปที่ห้องกินข้าวอย่างรวดเร็ว


วันนี้ไฟในห้องรับประทานอาหารก็ยังคงสว่างอยู่เหมือนปกติ เดาว่าแม่ผมก็คงกำลังกินอะไรจุบจิบอยู่ในนั้นเหมือนอย่างเคยแน่
ผมปลดกระดุมเสื้อบริเวณข้อมือออกแล้วพับแขนเสื้อขึ้นตั้งใจจะเดินไปเซอร์ไพรส์ให้แม่ตกใจเล่นสักหน่อย ถ้าหากยังติดกระดุมแขนอยู่ครบคงแกล้งจ๊ะเอ๋แม่ไม่สะดวกนัก


แม่เคยบอกว่าท่านชอบใช้เวลาในห้องนั้นมากกว่าจะมานั่งโซฟาที่โถงชั้นล่าง คงเพราะห้องโถงนั้นมันกว้างเกินไปสำหรับการอยู่คนเดียว แม่ก็เลยรู้สึกเหงา ไปๆ มาๆ แม่จึงเลือกที่จะใช้เวลาว่างอยู่กับของกินมากกว่านั่งฟุ้งซ่านอยู่หน้าทีวี ซึ่งผมว่าดีแล้ว
ปกติแล้วในเวลาแบบนี้ แม่ผมมักจะนั่งกินข้าวคนเดียวเพราะพ่อมีงานนู่นนี่ให้ทำอยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่ก็ต้องรีบกินรีบไปทำงานต่อ ซึ่งดีแล้ว


แม้จะฟังดูเป็นลูกทรพีไปสักหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมไม่ค่อยชอบนั่งกินข้าวกับพ่อตัวเองสักเท่าไหร่ พ่อไม่เคยเข้าใจสิ่งที่ผมทำ พ่อไม่เคยสนใจว่าผมรักหรือชอบอะไร สิ่งที่เขามองมีเพียงตัวเงินและเงินและเงินเท่านั้น พวกเราเลยเข้ากันไม่ค่อยได้ มีแต่แม่เท่านั้นที่ผมสบายใจที่จะคุยด้วย


แต่เหมือนว่าวันนี้โชคจะไม่เข้าข้างผมสักเท่าไหร่...


“อ้าวอีฟส์กลับมาแล้วเหรอลูก มาๆ มากินข้าวกัน”


ผมไม่ได้ตอบรับคำเชิญของแม่เพราะสายตาของผมกำลังจับจ้องอยู่ที่คนๆ หนึ่งซึ่งกำลังมองเขม็งมาทางผมอยู่เช่นกัน


มือของผมยกขึ้นไหว้คนทั้งสองที่นั่งอยู่ที่โต๊ะพลางลอบถอนหายใจเบาๆ


“สวัสดีครับแม่...สวัสดีครับพ่อ”


“มาลูกมาอย่ามัวแต่ไหว้ หิวใหญ่แล้วใช่ไหม”


แม่พูดด้วยท่าทีกระตือรือร้นกว่าทุกวันที่เคยเห็น ซ้ำยังกุลีกุจอวิ่งวุ่นเตรียมข้าวปลาอาหารให้ผมวุ่นวายไปหมด แม้ท่าทางนั้นจะชวนให้รู้สึกเต็มตื้นถึงความห่วงใยของแม่อยู่ในใจก็เถอะ แต่การปล่อยผมไว้กับพ่อแค่สองคนบนโต๊ะนี่มันก็ออกจะ...


“เป็นไงบ้างล่ะช่วงนี้”


มาแล้วนั่นไง คำถามติดปากของพ่อเขาล่ะ


“ก็ดีครับ เรื่อยๆ”


ผมไม่ได้มองเขา และเดาได้ว่าเขาก็คงไม่ได้มองผม


“แล้วเงินเดือนล่ะ เป็นยังไง”


เอาอีกแล้ว


“ก็ดีครับ พอใช้อยู่”


“พอใช้กับดีมันคนละเรื่องกันนะ”


ประโยคนั้นถูกพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนตำหนิอยู่กลายๆ


เอาเถอะ ยังไงผมก็ขัดอะไรไม่ได้อยู่แล้ว


“ครับ”


“แล้วก็นะ ถ้าปีหน้าเงินเดือนแกยังน้อยอยู่แบบนี้ก็ออกมาทำร้านที่บ้านดีกว่า”


ผมหันไปมองหน้าเขาอย่างอดไม่ได้ จริงอยู่ที่พ่อไม่ได้มองผม แต่ผมว่าพ่อรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมอง


ให้ตายสิ ผมไม่เข้าใจพ่อเลย จำได้ว่าพวกเราพูดเรื่องนี้กันไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ ทำไมเขาถึงยังไม่ยอมแพ้สักทีนะ


“ผมไม่ออก ผมมีความสุขกับงานที่ผมทำ”


สิ้นคำพูดของผม นัยน์ตาของคนสูงวัยก็เลื่อนมาสบตาผมเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน


“ความสุขมันกินได้ไหม ถ้าวันหนึ่งฉันกับแม่แกตายไป แกจะอยู่ยังไง”


“ผมบอกแล้วว่าเงินผมพอใช้”


“แกแน่ใจเหรอ”


เขาเลิกคิ้วใส่ผมด้วยท่าทีเหยียดหยาม


“ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าอุปโภคบริโภคในบ้านนี้แกจ่ายอะไรบ้าง ไม่มีสักอย่าง แค่ค่าเดินทางกับของกินใช้ส่วนตัวก็หืดขึ้นคอแล้ว ยังมีหน้ามาบอกว่าพอใช้อีกเหรอ”


ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอไปอึกใหญ่ ไร้ซึ่งคำพูดจะตอบโต้ข้อเท็จจริงนั้นโดยสิ้นเชิง


“นี่ถ้าแกเชื่อฉันแล้วไปเรียนเภสัชตั้งแต่แรก ไม่ดื้อด้านไปเรียนดนตรีอะไรนั่น แกก็ไม่ต้องมาเป็นแบบนี้หรอก”


“...พอดีผมทานข้าวกับเพื่อนที่ทำงานมาแล้ว ยังไงผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ”


แม้จะรู้ดีว่าการกระทำของตัวเองในตอนนี้นั้นไร้มารยาทอย่างมาก แต่ผมก็ยอมเสียมารยาทมากกว่าเสียความรู้สึกไปมากกว่านี้ ผมยกมือไหว้พ่ออย่างลวกๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องรับประทานอาหารไปอย่างรวดเร็ว


“อ้าวอีฟส์ จะไปไหนล่ะลูก”


แม่ที่เพิ่งเดินกลับมาจากในครัวเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าทั้งกังวลทั้งงุนงง ผมว่าแม่ก็พอรู้เรื่องความระหองระแหงระหว่างผมกับพ่อ ที่จงใจออกไปเตรียมอาหารก็คงเพราะอยากให้ปรับความเข้าใจกัน นั่นเป็นวิธีคิดธรรมดาของแม่อยู่แล้ว เสียอย่างเดียวตรงที่มันไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้งนี่ล่ะ


“ผมอิ่มแล้วครับแม่ พอดีทานกับเพื่อนที่ทำงานมาแล้ว ยังไงผมขอขึ้นไปพักผ่อนก่อนเลยนะครับ”


ผมบอกแม่ไวๆ ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าทำงาน


“อ๋อ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้อีฟส์ออกเช้านะครับ ไม่ต้องบอกป้าแก้วให้เตรียมอาหารให้นะ”


ริมฝีปากของผมยกยิ้มบางๆ ส่งให้แม่ที่ยังงุนงงไม่หายก่อนจะโน้มตัวลงไปหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่


“นอนหลับฝันดีครับแม่”


แล้วผมก็รีบเดินหนีขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้านอย่างรวดเร็ว


ทันทีที่ประตูห้องปิดลง ผมก็พลันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความหวังดีของพ่อแม่ที่อยากให้ลูกมีงานการที่มั่นคง แต่ผมก็อยากให้พวกท่านเข้าใจเหมือนกันว่านี่คือชีวิตของผม


นัยน์ตาของผมจับจ้องไปยังเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกตั้งพื้นบานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า


ใช่ นี่มันคือชีวิตของผม ผมควรมีสิทธิได้เลือก ผมควรมีสิทธิเลือกใช้ชีวิตอย่างที่อยากจะเป็น


เหรอ...ชีวิตที่อยากเป็นงั้นเหรอ...


ผมเบนหน้าไปมองตู้เก็บของตรงมุมห้องเล็กน้อย


ชีวิตที่อยากเป็นอะไรนั่นน่ะ....มันเป็นไปไม่ได้มานานแล้ว


พอคิดได้แบบนั้น มันก็อดถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ๆ ไม่ได้


ความเหนื่อยหน่ายทั้งกายและใจรุมสุมใส่ตัวเสียจนผมหมดอารมณ์จะอาบน้ำ สองขาก้าวช้าๆ พาร่างกายที่แสนอ่อนล้าไปทิ้งตัวนอนโง่ๆ ลงบนเตียง ดวงตาของผมจับจ้องอยู่ที่ฝ้าเพดานสีขาวว่างเปล่าอยู่หลายนาทีจนรู้สึกเบื่อจึงได้หยิบเอาโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงออกมา


โทรศัพท์เหรอ...จริงสิ เมื่อกี้นี้เหมือนจะมีคนส่งข้อความแชทเข้ามานี่นา


ที่ผมค่อนข้างประหลาดใจกับการที่มีคนส่งข้อความแชทมาหาเพราะว่ามันไม่มีใครส่งข้อความเหล่านั้นมาให้นานมากแล้ว ผมไม่ค่อยมีเพื่อนสักเท่าไหร่ เพื่อนที่พอจะสนิทอยู่บ้างก็อยู่ต่างประเทศกันหมด ซ้ำยังมีครอบครัวกันหมดแล้ว จะให้มาคุยแชทกันทุกวันก็คงไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็เลยกลายเป็นว่าโทรศัพท์ของผมนั้นมีประโยชน์แค่โทรเข้า-โทรออกเท่านั้นเอง


นิ้วมือของผมเลื่อนสไลด์ไปบนหน้าจออยู่อึดใจ ข้อความแชทนั้นก็ปรากฏขึ้นมาอยู่ตรงหน้า


[พี่ ผมขอโทษนะที่พูดแบบนั้นออกไป อย่าโกรธผมเลยนะพี่]


ผมเลิกคิ้วพลางอ่านทวนข้อความนั้นซ้ำอีกครั้งก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองชื่อของคนส่ง


‘WhiteW’


พอเห็นแบบนั้น มันก็อดขำออกมาไม่ได้


เด็กนี่นา...


ผมนิ่งคิดคำตอบอยู่ไม่กี่อึดใจ นิ้วโป่งสองข้างก็สามารถพิมพ์ข้อความลงไปได้อย่างรวดเร็ว


[ไม่เป็นไร พี่ก็ไม่น่าไปลงกับแกเหมือนกัน ขอโทษนะ]


ยังไม่ทันที่ผมจะได้กดออกจากห้องแชท ด้านข้างข้อความที่ผมส่งไปก็พลันปรากฏคำว่า ‘Read’ ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


เด็กสมัยนี้นี่ติดโทรศัพท์เองเรื่องเลยแฮะ


[ไม่หรอกพี่ ผมปากไม่ดีเองแหละ]


เอ...นานๆ ทีจะได้เห็นโหมดสำนึกผิดแบบนี้จากน้องมันบ้างก็ดีเหมือนกัน


[งั้นผมขอเลี้ยงข้าวพี่ไถ่โทษนะ]


[หืม? เอาจริง?]


[จริงสิพี่ ผมทำให้พี่เฟลนะ ;( ]


ผมขมวดคิ้วให้กับตรรกะประหลาดๆ นั่นนิดหน่อย แต่เอาเถอะ ไปกินข้าวกับน้องมันบ้างก็ดี เล่นพูดไปตั้งขนาดนั้น ถ้าเป็นคนอื่น ผมคงโดนเหม็นหน้าไปแล้ว


[โอเค แต่ไม่ต้องเลี้ยงนะ หารกันนั่นล่ะ]


[ไม่เอาดิพี่ อยากเลี้ยงอะ]


ไม่ใช่แค่พิมพ์ ยังอุตส่าห์ส่งสติกเกอร์หน้าตาตลกมาให้อีกด้วย


เด็กนี่นา...


ผมหัวเราะเบาๆ ให้กับข้อความของเขาก่อนจะรัวนิ้วพิมพ์ตอบ


[ถ้าเลี้ยงงั้นไม่ไปนะ]


[อะๆ งั้นหารก็หาร]


คราวนี้ผมหัวเราะร่วนอย่างสุดกลั้น คงเพราะพอจะเดาน้ำเสียงและสีหน้าของอีกฝ่ายออกอยู่บ้างนั่นล่ะ


ป่านนี้คงทำปากยื่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วมั้ง


[โอเค แล้วเจอกันพรุ่งนี้]


[ครับ]


ผมอมยิ้มมองแชทนั่นอยู่สักพักก่อนจะเลื่อนมือเพื่อไปกดปุ่มออกไปยังหน้าแชทรวม แต่ยังไม่ทันจะได้แตะ อีกฝ่ายก็ดันส่งข้อความมาหาเสียก่อน


[ฝันดีนะครับพี่]


ฝันดี...งั้นเหรอ


นอกจากแม่ก็ไม่มีใครพูดคำนี้ด้วยมานานมากแล้วสินะ


คงเพราะแบบนั้นริมฝีปากผมจึงคลี่ยิ้มกว้างขึ้นกว่าเก่า


[อือ ฝันดี]


พอกดส่งไป ผมก็รีบกดออกจากโปรแกรมแชทอย่างรวดเร็วด้วยกลัวอีกฝ่ายจะส่งอะไรมาอีกจนเอาแต่คุยกันแล้วไม่ได้ไปทำงานทำการอย่างอื่นกันพอดี


แต่ก็นะ...ถึงจะดูเสียเวลาไปหน่อย แต่ก็เป็นกิจกรรมที่น่ารักดี อย่างน้อยก็ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นล่ะนะ


ผมคิดแบบนั้นก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูเข้าไปในห้องน้ำ


ไว้อาบน้ำเสร็จแล้วค่อยลงไปหาอะไรกินก็แล้วกัน








***********************************************************************

[เกร็ดความรู้]


Dreaming เป็นเพลงหนึ่งในชุด Kinderszenen(Scenes from Childhood) แต่งโดย Robert Schumann ในปี 1838


ฟังได้ที่ >>>> https://www.youtube.com/watch?v=06rz0Bpr-wg



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-09-2018 12:38:41 โดย Marymo »

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 3 - Radetzky March





บางครั้งผมก็สงสัยนะ คนเราคาดหวังอะไรจากงานที่ทำกัน ความก้าวหน้าเหรอ หรือจะเป็นความสำเร็จ แล้วสิ่งเหล่านั้นมันวัดจากอะไรกันล่ะ ต้องประเมินจากจำนวนเงินเดือนเยอะๆ ความมั่นคง หรือความสุขจากการทำงานกันแน่ หรือแท้จริงแล้ว...มันไม่มีคำนิยามตายตัวสำหรับสิ่งเหล่านี้กันนะ...


ผมเงยหน้าขึ้นมองช่องแอร์ที่ติดอยู่บนฝ้าเพดานแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


วันนี้บรรยากาศในโถงกลางค่อนข้างเงียบเหงา เท่าที่นับได้ ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ก็เพิ่งมีลูกค้าเข้ามาซื้อตั๋วเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แม้ว่าบัตรเข้าชมการแสดงจะขายได้เกือบหมดอยู่ตลอด แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นบัตรที่ซื้อจากช่องทางออนไลน์ทั้งนั้น ตั้งแต่เทคโนโลยีล้ำหน้าขึ้น จำนวนคนที่เดินเข้ามาซื้อตั๋วหน้าเคาน์เตอร์ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากเมื่อหลายปีก่อนที่มีการแสดงทีไรก็งานยุ่งตลอด มามองตอนนี้กลับพบว่าบริเวณเคาน์เตอร์นี้ว่างเปล่าจนน่ากลัวว่าจะโดนไล่ออกเพราะดูไม่มีงานให้ทำเข้าสักวัน


ถ้าเกิดโดนออกจากงานขึ้นมา คราวนี้ผมคงโดนที่บ้านบังคับอย่างจริงจังแหง


“นี่พี่อีฟส์ ผมถามอะไรหน่อยได้รึเปล่าพี่”


คำถามที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นมาจากเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำให้ผมต้องละสายตาจากฝ้าเพดานตรงหน้าแล้วหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ


เด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้หันมามองหน้าผม ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เอกสารตรงหน้า ดูจากตรงนี้ผมเดาได้ว่าคงเป็นเอกสารประกอบการเรียนของเจ้าตัวนั่นล่ะ


“อะไรเหรอ”


เขาหยิบปากกาเน้นข้อความแล้วขีดเส้นยาวเหยียดลงไปบนข้อความบนกระดาษนั้น


“พี่ไม่คิดจะเปลี่ยนงานบ้างเหรอ”


หืม? ทำไมจู่ๆ ถึงถามแบบนี้กันนะ


“ก็ไม่นะ” ผมตอบไปสั้นๆ แล้วทิ้งจังหวะว่างไว้ครู่หนึ่ง “ทำไมล่ะ”


คราวนี้เด็กหนุ่มคนนั้นว่างปากกาในมือลงแล้วหันมามองหน้าผมอย่างจริงจัง


“ก็...งานแบบนี้มันไม่เห็นจะก้าวหน้าตรงไหนเลยพี่ เงินเดือนก็ไม่ได้ดี พี่ไม่อยากประสบความสำเร็จบ้างเหรอ”


ประสบความสำเร็จ...งั้นเหรอ


....นั่นสินะ...


ผมยกมือขึ้นเท้าคางเล็กน้อยพลางสบตากับเขา


“ประสบความสำเร็จคืออะไรเหรอ”


ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นขมวดคิ้วยุ่ง ผมเดาได้ว่าเขาคงไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูดเท่าไหร่ เพราะแบบนั้นก็เลยต้องพูดขยายความต่อให้อีกหน่อย


“ต้องมีเงินเยอะๆ มีงานที่มั่นคง มีปัญญาดาวน์รถซื้อบ้าน หรือจริงๆ แล้ว...”


ริมฝีปากผมคลี่ยิ้มบางส่งให้เขา


“ก็แค่มีความสุขและอยากตื่นขึ้นมาทำงานในทุกๆ วัน”


ไม่มีใครพูดอะไรต่อจากนั้นอยู่หลายอึดใจ ผมเงียบ เขาก็เงียบ จนผ่านไปหลายนาทีนั่นล่ะเขาถึงเอ่ยปากพูดตอบกลับมา


“พี่นี่...เป็นพวกมนุษยนิยมเหมือนกันเนอะ”


ผมเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ


“นี่เรียนปรัชญากับเขาด้วยเหรอ?”


“โถพี่ ดูทำหน้าเข้าสิ” เขาหัวเราะร่วน “หน้าอย่างผมไม่เหมาะกับการเรียนปรัชญาตรงไหนกัน”


คำพูดนั้นทำให้ผมเผลอหลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้


“ไม่ใช่หน้าไม่เหมาะ นิสัยต่างหากที่ไม่เหมาะ”


“โห ใจร้าย”


แล้วพวกเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน แม้เสียงจะไม่ดังนักแต่ก็มากพอที่ทำให้พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ยืนอยู่ตรงประตูหันมามอง เพราะแบบนั้นผมจึงสะกิดเขาให้เบาเสียงกันลงหน่อย


“เขาคงอยากมาแจมมั้งพี่”


เด็กคนนั้นกระซิบด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าจนผมต้องตีไหล่มันไปเบาๆ ด้วยกลัวคนถูกนินทาจะได้ยิน


“ขี้แซว”


“ก็เฉพาะเวลาอยู่กับพี่นั่นล่ะ”


ผมเลิกคิ้วใส่ด้วยสีหน้าไม่เชื่อ


“จะบอกว่าเวลาอยู่กับคนอื่นแล้วเป็นคนเรียบร้อยเหรอ”


“เปล่า” เขาส่ายหน้าเบาๆ “ถ้าอยู่กับคนอื่นอะผมไม่แซว ผมด่าจริง”


“ไอ้บ้า”


แล้วพวกเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกันอีกครั้ง


น่าแปลกที่เราสามารถคุยกันได้อย่างสนิทใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา ปกติแล้วผมก็มักจะคุยเล่นกับเขาแบบนี้อยู่แล้วก็จริง แต่ด้วยอาจจะเพราะทัศนคติบางอย่างไม่ตรงกัน บวกกับหน้าตาที่ชวนให้นึกถึงเรื่องที่ไม่อยากจำและพฤติกรรมไม่คิดจะเรียนรู้ด้านดนตรีคลาสสิคของเขามันทำให้ผมหัวเสียอยู่บ่อยๆ เพราะแบบนั้นก็เลยรู้สึกเหมือนมีกำแพงบางอย่างกั้นอยู่ระหว่างพวกเรามาตลอด แต่วันนี้ จู่ๆ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง


คงเพราะพวกเรากล้าจะขอโทษกันเมื่อคืนนี้ล่ะมั้ง


“เออ นี่ เรื่องเมื่อวานอะ พี่ต้องขอโทษอีกทีนะ”


ผมว่าพลางส่งสายตารู้สึกผิดไปให้อีกฝ่าย แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด...


เขาส่งยิ้มกว้างมาให้ผม


“โอยพี่ เรื่องเล็ก ผมเองก็ไปพูดไม่เข้าหูพี่เองแหละ ต้องขอโทษเหมือนกันนะพี่”


อันที่จริง เจ้าเด็กนี่พูดไม่เข้าหูผมอยู่หลายครั้งทีเดียว แต่นี่เป็นครั้งแรกล่ะมั้งที่เขารู้ตัว สิ่งที่น่าประทับใจคือทันทีที่รู้ เขาก็กล่าวขอโทษออกมาอย่างจริงใจ นั่นทำให้ความรู้สึกของผมที่มีต่อเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมาก


เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมมองเห็นเนื้อแท้ของเด็กคนนี้ชัดเจนขึ้นมาอีกหน่อย เมื่อก่อนผมเอาแต่มองเขาเป็นเด็กปากเก่ง ไม่สนใจเรียนรู้งานและไม่ใส่ใจคนรอบข้าง แต่วันนี้ผมได้เห็นแล้วว่าสิ่งที่ผมมองเขามาตลอดมันก็มีส่วนผิดอยู่


อย่างน้อยเขาก็เป็นคนใส่ใจความรู้สึกผู้อื่นและจริงใจกับคนรอบตัวพอสมควรล่ะนะ


แบบนี้ค่อยน่าทำตัวดีด้วยหน่อย


ระหว่างที่ผมกำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ คนข้างตัวก็พลันชวนคุยขึ้นมาอีก


“พี่อีฟส์ ทำไมพี่ถึงชอบงานนี้นักล่ะ”


ผมหันไปมองหน้าเขาแล้วฉีกยิ้มเล็กน้อย


“ก็ไม่มีเหตุผลให้ไม่ชอบนี่”


“ไม่สิพี่ มันต้องมีเหตุผลสิ แบบงานดี สวัสดิการดี งานท้าทาย อะไรทำนองนี้อะพี่”


“อืม...ก็คงประมาณนั้นล่ะมั้ง ทำงานนี้ก็ได้ทำงานเกี่ยวกับเพลงคลาสสิคด้วย งานก็ไม่หนักแถมได้อยู่กับสิ่งที่ชอบ ก็ไม่แย่นะ”


“อือ ก็จริงเนอะ”


เขาทอดจังหวะการพูดไว้ช่วงหนึ่งก่อนจะถามต่อ


“แต่ถ้าพี่ชอบเพลงคลาสสิคขนาดนั้น ทำไมไม่ไปทำงานสายนี้โดยตรงเลยอะพี่ แบบเป็นนักดนตรี อะไรทำนองนั้นอะ”


ทำไม...งั้นเหรอ


ผมเหลือบมองมือขวาที่มีสีไม่สม่ำเสมอเนื่องมาจากอุบัติเหตุในครั้งนั้นเล็กน้อยก่อนจะหันไปหาอีกคนด้วยสีหน้าที่ยังคงเปื้อนรอยยิ้มเหมือนอย่างเก่า


“ถามแต่พี่ ว่าแต่เราเถอะ ทำไมไม่ไปหางานพาร์ทไทม์อื่นทำล่ะ ที่นี่เงินไม่ได้ดีไม่ใช่เหรอ”


นัยน์ตาดำขลับของอีกฝ่ายจ้องมองผมนิ่งอยู่หลายวินาที ถ้าให้เดา ผมคิดว่าเขาคงกำลังนึกในใจว่าทำไมผมจึงไม่ยอมตอบ ซ้ำยังเปลี่ยนหัวข้อไปดื้อๆ แบบนี้


แต่ก็นะ ผมบอกแล้วว่าเด็กคนนี้น่ะเป็นคนดีพอตัว


“ก็งานที่นี่มันไม่หนักดีน่ะพี่ พอช่วงว่างๆ ไม่มีลูกค้า ผมก็ยังพอเอาหนังสือเรียนมาอ่านได้ แต่ถ้าทำงานร้านอาหารหรือร้านสะดวกซื้อพวกนั้น ก็คงต้องทำแต่งานตลอดเวลาอะพี่ กลัวการเรียนจะแย่เอา ผมยิ่งหัวไม่ดีอยู่ดี”


เขาพูดกลั้วหัวเราะด้วยสีหน้าเหมือนอย่างปกติได้จนผมเสียเองที่ประหลาดใจ


ถ้าให้พูดกันจริงๆ ใครโดนเปลี่ยนหัวข้อใส่หน้าแบบนั้นก็คงมีเสียศูนย์กันไปบ้าง แต่เด็กคนนี้กลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง


ไม่พูดเซ้าซี้ ไม่ถามในสิ่งที่ไม่อยากตอบ ซ้ำยังไม่โกรธที่ถูกเปลี่ยนเรื่องสนทนาไปแบบไม่มีมารยาท


เป็นเด็กดีเกินคาดเลยทีเดียว


“อีกอย่างนะพี่”


เสียงทุ้มต่ำที่จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้ผมที่ละความสนใจจากบทสนทนาไปแล้วต้องหันกลับมามองหน้าคนพูดอีกครั้ง


ใบหน้าของเด็กคนนั้นยังคงประดับด้วยรอยยิ้มกว้างเหมือนทุกครั้งที่คุยกัน แต่ไม่รู้ทำไมผมจึงรู้สึกว่าวันนี้ดวงตาของเขาเปล่งประกายกว่าปกติ


อ่อนโยนและจริงใจเสียจนผมที่สบตาอยู่ก็พลอยรู้สึกแปลกๆ ไปด้วย


“ผมมีสิ่งที่ชอบมากๆ อยู่ที่นี่ครับ”


ผมแสร้งหัวเราะแล้วทำตัวร่าเริงกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆ จากสายตาของอีกฝ่าย


“ไหนบอกว่าไม่ชอบเพลงคลาสสิคไง แล้วจะชอบอะไรที่นี่ล่ะ ชอบแอร์เย็นๆ รึไง”


น่าแปลกที่เขาไม่ได้ตอบกลับมาด้วยความตลกขบขันเหมือนอย่างทุกที ดวงตาสีดำคู่นั้นยังมองผมนิ่งไม่ละสายตาไปไหน ประกายบางอย่างในตาคู่นั้นส่องประกายวับวาวเสียจนผมต้องเป็นฝ่ายหลบตาเสียเอง


“เอ่อ เดี๋ยวพี่ไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะ ฝากเคาน์เตอร์ที”


“ครับพี่”


ทันทีที่เห็นเขาพยักหน้ารับ ผมก็รีบจ้ำออกมาอย่างรวดเร็ว ระยะทางจากเคาน์เตอร์ทำงานไปยังห้องน้ำที่เคยบ่นว่าไกลในทุกๆ วันก็พลันดูใกล้ขึ้นมาถนัดตา


ผมเปิดประตูห้องน้ำแล้วรีบแทรกตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ด้วยวันนี้ไม่มีการแสดงอะไร ในห้องนั้นจึงไม่มีคนเลยสักคน กระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่หน้าอ่างล้างมือปรากฏภาพของผมอยู่เพียงลำพัง เป็นภาพที่ผมไม่เห็นมานานแล้วเสียด้วยสิ...


...หน้าแดงอะไรขนาดนี้กันล่ะอีฟส์...


ก๊อกน้ำสีเงินตรงหน้าถูกผมดึงขึ้นด้วยแรงที่ไม่เบานัก สายน้ำมากมายพรุ่งพรูออกมาใส่มือของผมที่รองรับอยู่ด้านล่าง ผมวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าตัวเองอยู่สองสามครั้งก่อนจะปิดก๊อกแล้วยืนมองเงาสะท้อนของใบหน้าตัวเองที่เปียกโชกจากในกระจก


ก็แค่เด็กมันพูดอะไรไปตามประสา ไม่เกี่ยวกับตัวเองสักหน่อย จะเขินทำไมกันล่ะอีฟส์


ลมหายใจถูกพ่นออกมาจากปากเฮือกใหญ่


ใช่ เรื่องที่เด็กนั่นพูดไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับผมสักหน่อย


พอคิดได้แบบนั้น หัวใจที่เต้นรัวเมื่อครู่ก็พลันสงบลงมาหน่อย


ผมยืนทำสมาธิกับตัวเองอยู่หน้ากระจกนั้นครู่ใหญ่ จากนั้นจึงเดินไปหยิบกระดาษเช็ดมือบริเวณทางออกมาซับหยดน้ำบนใบหน้า


ใช่แล้ว เด็กนั่นจะชอบอะไรก็ไม่ได้เกี่ยวกับผมสักหน่อย เลิกเพ้อเจ้อน่า


ผมสูดหายใจเข้าในปอดเฮือกใหญ่เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองก่อนจะเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์ทำงาน


ในตอนแรกผมก็คิดฟุ้งซ่านในหัวไปมากมายว่าเมื่อกลับไปเจอหน้าน้องมันแล้วผมควรจะทำตัวยังไงดี แต่พอไปถึงจริงๆ ความคิดทั้งหมดที่ตระเตรียมมาก็พลันสลายหายไปในพริบตา เพราะสถานการณ์ตรงหน้าที่กำลังเกิดขึ้นนั้นดูห่างจากสิ่งที่ผมเตรียมพร้อมไว้อยู่โขเลยทีเดียว


“นี่คุณ เป็นพนักงานขายตั๋วของที่นี่ทั้งทีแต่แทบจะแนะนำอะไรไม่ได้เลยแบบนี้มันไม่โอเคนะคะ”


เสียงโวยวายจากลูกค้าวัยกลางคนท่านหนึ่งที่กำลังเอ็ดเด็กหนุ่มอยู่นั้นทำเอาผมต้องรีบปรี่เข้าไปช่วยกู้สถานการณ์ก่อนที่อีกคนจะตัวหดลีบตายไปเสียก่อน


“สวัสดีครับคุณลูกค้า ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”


เธอหันมามองผม ดวงตาใต้กรอบแว่นหนานั้นดูขุ่นเคืองและเกรี้ยวกราด


“ก็เด็กคนนี้น่ะสิ ถามอะไรก็ตอบไม่ได้เลย ฉันก็ไม่ได้มีความรู้มา อย่างจะขอคำแนะนำก็แนะนำอะไรไม่ได้เลย แบบนี้ใช้ไม่ได้เลยนะคะ”


ผมเหลือบมองคนที่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยความเห็นใจแว็บหนึ่งก่อนจะหันไปมองหน้าเธอแล้วยกมือไหว้


“ผมต้องขอโทษคุณลูกค้าด้วยนะครับ พอดีน้องเขายังเด็ก อาจจะยังไม่ได้เรียนรู้อะไรมากนัก ยังไงผมขออนุญาตให้บริการแทนนะครับ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าสนใจการแสดงไหนเหรอครับ”


ผมเดินเข้าไปชิดบริเวณเคาน์เตอร์มากขึ้นกว่าเก่าก่อนจะแอบเอื้อมมือไปแตะหลังมือคนที่ยังยืนก้มหน้านิ่งอยู่ตรงนั้น ทันทีที่รู้สึกได้ถึงสัมผัสบริเวณหลังมือ เขาก็พลันได้สติขึ้นมา ใบหน้าหล่อเหลานั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองผม เป็นโอกาสให้ผมได้สบตาเขาแล้วขยับหัวส่งสัญญาณให้ออกไปรอทางด้านหลัง


เด็กคนนั้นยกมือไหว้ลูกค้าตรงหน้าผมก่อนจะรีบจ้ำออกไปอย่างรวดเร็ว ผมมองเขาอยู่แว็บหนึ่งก่อนจะหันกลับมาหาหญิงวัยกลางคนตรงหน้า


“ต้องขออภัยแทนน้องเขาด้วยจริงๆ นะครับ เดี๋ยวทางเราจะอบรมเพิ่มเติมให้แน่นอนครับ”


เธอยังคงมองหน้าผมด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก แต่ก็นับว่าดีกว่าเมื่อครู่อยู่มาก


“ไอ้เรื่องยังเด็กน่ะก็เข้าใจนะคะ แต่มาทำงานที่นี่แล้วก็ควรจะใฝ่รู้เอาไว้เสียบ้าง เรื่องเกี่ยวกับงานตัวเองทั้งนั้น จริงไหมคะ”


“ครับ ทางเราต้องขออภัยคุณลูกค้าด้วยจริงๆ นะครับ”


ผมก้มหัวให้เธอเล็กน้อยก่อนจะรีบเปลี่ยนประเด็นเพื่อไม่ให้เรื่องราวใหญ่โตไปมากกว่านี้


“แล้วไม่ทราบว่าคุณลูกค้ามีการแสดงที่สนใจหรือยังครับ”


“ยังหรอกค่ะ” เธอขยับแว่นเล็กน้อย “ก็เลยอยากจะได้คำแนะนำ”


“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าอยากได้การแสดงประมาณไหนเหรอครับ”


เธอมองหน้าผมด้วยสีหน้าไม่ค่อยเชื่อถือสักเท่าไหร่ แต่ก็ยอมบอกออกมาในที่สุด


“ฉันไม่เคยฟังเพลงคลาสสิคหรอกค่ะ แค่อยากจะลองดู เห็นเพื่อนๆ เขามากัน ว่าจะพาลูกสาวมาลองฟังด้วยน่ะค่ะ”


“ไม่ทราบว่าลูกสาวของคุณลูกค้าเคยมาชมการแสดงเพลงคลาสสิคมาก่อนไหมครับ”


“ไม่เคยค่ะ”


ผมพยักหน้ารับคำตอบของเธออย่างนิ่มนวลก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโบรชัวร์หน้าเคาน์เตอร์มาชุดหนึ่ง


“ถ้าอย่างผมขอแนะนำเป็นการแสดงนี้เลยครับ การแสดงใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ไม่มีพักครึ่งระหว่างการแสดงนะครับ จุดประสงค์หลักของคอนเสิร์ตนี้ก็คือการให้คนที่ไม่เคยฟังเพลงคลาสสิคมาก่อนแต่อยากลองฟังหรือผู้ที่เริ่มฟังเพลงคลาสสิคในระยะแรกได้เข้ามาสัมผัสกับบรรยากาศการแสดงเพลงคลาสสิคสดจริงๆ น่ะครับ”


ผมขยับตัวเล็กน้อย


“ขออภัยนะครับคุณลูกค้า”


มือของผมเอื้อมไปแตะลงบนโบรชัวร์ตรงหน้าเธอเบาๆ


“แม้ว่าจะเป็นเพลงที่ฟังง่าย แต่เพลงที่เลือกมาแสดงก็ล้วนเป็นเพลงที่สำคัญนะครับ โดยเพลงหลักสองเพลงในคอนเสิร์ตก็คือสองเพลงนี้ครับ”


นิ้วของผมชี้ลงบนชื่อเพลงที่กำลังจะพูดถึง


“เพลงแรกคือโฟร์ซีซั่น(Four Seasons) ของวีวัลดี กับเพลงนี้คือเรเดทสกี้ มาร์ช(Radetzky March) ของ ชเตราสส์ ซีเนียร์ ทั้งสองเพลงเป็นเพลงที่มีชื่อเสียงมากในวงการเพลงคลาสสิค อีกทั้งยังเข้าใจง่ายและมีอารมณ์เพลงที่น่าสนใจ นอกจากนี้ก็ยังมีเพลงเปิดกับเพลงปิดคอนเสิร์ตที่ทางเราประพันธ์ขึ้นมาเองด้วยครับ คุณลูกค้าสามารถดูเพิ่มเติมได้บริเวณนี้เลยครับ”


พอพูดจบ ผมก็หดมือกลบมาพร้อมกับส่งยิ้มให้เธอด้วยความสุภาพเหมือนอย่างทุกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นเหลือบมองผมเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าลงไปอ่านโบรชัวร์


“ถ้างั้นขอดูที่นั่งรอบวันอาทิตย์บ่ายสองหน่อยสิคะ”


“ได้เลยครับคุณลูกค้า รบกวนดูที่จอนี้ได้เลยครับ”


หลังจากนั้นการขายของผมก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเหมือนอย่างเคย หญิงผู้นั้นชวนผมพูดคุยอีกนิดหน่อย อารมณ์ของเธอดูเปลี่ยนไปมากจากตอนแรกที่พบกัน ใบหน้ามีริ้วรอยนั้นดูร่าเริงและยิ้มแย้มขึ้นกว่าเก่า จากที่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาครู่ มาตอนนี้เธอกลับก้มหัวให้ผมตอนที่รับใบเสร็จด้วยซ้ำ


อารมณ์คนนี่เปลี่ยนกันไวจริงๆ แฮะ


“ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ถ้าได้ลองแล้วถูกใจยังไงจะมาอุดหนุนอีกนะคะ”


“ครับ ขอบคุณมากเลยนะครับ ยินดีให้บริการครับ”


ผมยกมือไหว้เธออีกครั้งก่อนจะยืนยิ้มมองเธอเดินจากไปจนลับตา


เสร็จเรื่องเสร็จราวไปสักที


ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ แต่ใจมันดันนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้เสียก่อน


ใบหน้าของผมหันไปมองยังประตูเชื่อมเข้าไปยังห้องพนักงานด้านหลังแล้วนึกถึงคนที่ยืนน่าเจื่อนเมื่อครู่ขึ้นมา


ถ้าถามว่าเห็นใจไหม ผมตอบได้เลยว่าเห็นใจมาก แต่เอาเข้าจริง นั่นมันก็เพราะน้องมันทำตัวเองด้วยส่วนนึงล่ะนะ ใช่ว่าผมจะไม่เคยบอกให้เขาไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม แต่เจ้าตัวดันไม่ใส่ใจเองเสียมากกว่า พอโดนไปแบบนี้น่ากลัวจะลาออกกลางคันเอานี่สิ


คงต้องใช้ไม้อ่อนสลับแข็งล่ะนะ


ผมสูดหายใจเข้าเล็กน้อยเพื่อปรับอารมณ์ตัวเองก่อนจะเดินไปหาอีกคน


ทันทีที่ประตูเปิดออก เด็กหนุ่มที่นั่งคอตกอยู่บนเก้าอี้ก็ผลุงตัวลึกขึ้นยืนทันที ถึงแม้จะมีท่าทางแบบนั้น เขาก็ไม่ได้พูดหรือถามอะไรออกมาสักคำ คงกลัวโดนดุอยู่มั้ง


ซึ่งก็กลัวได้ถูกเรื่องแล้ว


“เป็นไงล่ะเรา”


ผมเริ่มเปิดประเด็นด้วยน้ำเสียงกึ่งจริงจังกึ่งหยอกล้อ


“พี่เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ไปหาความรู้เพิ่มเติมมา ทำไมไม่ใส่ใจ”


คนตรงหน้าผมคอตกลงเล็กน้อย นัยน์ตาของเขาดูฉ่ำวาวราวกับกำลังจะร้องไห้อย่างไรอย่างนั้น


ให้ตายสิ เป็นแบบนี้แล้วผมจะดุต่อได้ลงคอเหรอ


“คราวหน้าก็หัดฟังคำพี่บ้าง อย่าปล่อยปละละเลยงานแบบนี้ ถ้าเขาไปร้องเรียนขึ้นมา เรานั่นล่ะจะเดือดร้อน”


เด็กคนนั้นพยักหน้าปอยๆ ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้พอสมควร


“ผมจะไม่โดนไล่ออกใช่ไหมครับ”


ผมยกมือขึ้นกอดอกหวังให้บรรยากาศจริงจังขึ้นมาอีกหน่อย


“ตอนนี้น่ะยัง แต่ถ้ายังมีอีกก็ไม่แน่”


ยิ่งได้ฟังแบบนั้น คนตรงหน้าผมก็ยิ่งหงอยลงกว่าเดิม จากตอนแรกที่รู้สึกอยากสั่งสอนให้หลาบจำ มาตอนนี้กลับสงสารเขาเสียแล้ว


ดูทำหน้าทำตาเข้าสิ ยังกับเห็นลูกหมาที่โดนดุแล้วหงอยอย่างไรอย่างนั้นเลย


“เอาเถอะ” ผมเอื้อมมือไปบีบไหล่เขาเบาๆ “ยังไงมันก็ผ่านไปแล้ว ครั้งหน้าอย่าให้มีอีกก็แล้วกัน”


คนถูกปลอบใจสบตาเข้ากับผม แววตาท้อแท้เมื่อครู่เริ่มมีประกายบางอย่างปรากฏให้เห็น


“พี่อีฟส์ พี่ชอบเพลงคลาสสิคใช่ไหมครับ”


ผมเลิกคิ้ว


“ก็ใช่ ถามทำไม”


“พี่สอนผมหน่อยได้ไหม”


นัยน์ตาของเขาปรากฏแววมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า


“ผมไม่อยากออกจากงานนี้ ผมไม่อยากไปจากที่นี่”


เขาสบลึกเข้ามาในตาของผม ในความมุ่งมั่นนั้นมีประกายบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจแฝงอยู่ด้วย


อะไรกันนะ แววตาที่ชวนให้หัวใจเต้นแรงแบบนี้คืออะไรกันนะ


“สอนผมทีนะครับ”


ใบหน้าของเขาโน้มต่ำลงมาเล็กน้อย คล้ายจะก้มหัวขอร้อง แต่ด้วยความที่เขาสูงกว่าผมพอสมควร พอก้มลงมาแบบนั้นก็เลยกลายเป็นว่าลมหายใจอุ่นๆ มันดันมาปะทะเข้ากับหน้าผากของผมพอดี


บ้าจริง ใจเต้นแรงไม่หยุดเลย


ไม่ได้ เย็นไว้ เย็นไว้ไอ้อีฟส์


“อือ ได้สิ”


ผมว่าอย่างนั้นก่อนจะอาศัยจังหวะถอยห่างจากเขาออกมาก้าวนึง


“งั้นเดี๋ยวพี่ทำลิสต์เพลงให้”


“ลิสต์เพลง?”


คนตรงหน้าผมทำหน้าหมางงเหมือนอย่างทุกครั้งที่เขาเกิดความสงสัย


เป็นสีหน้าที่จะตลกก็ไม่ใช่ จะน่าเอ็นดูก็ไม่เชิง เรียกได้ว่าเป็นสีหน้าที่ประหลาดเอามากๆ เลยทีเดียว


แต่จะให้มาขำเอาตอนนี้ก็ดูจะผิดกาลเทศะไปหน่อยล่ะนะ


“อือ ลิสต์เพลง ไปฟังให้จำได้ไง”


“ทำไมต้องฟังอะพี่”


คราวนี้เป็นผมเองที่ขมวดคิ้ว


“ถ้าไม่ฟังแล้วจะรู้ได้ยังไงเล่า”


“อ้าว นึกว่ามีหนังสือให้อ่านแบบคอร์สเร่งรัดอะไรทำนองนั้น”


พอได้ยินคำตอบแบบนั้น ผมก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างสุดจะทน


“เด็กสมัยนี้นี่น้า...”


“อะไรเล่าพี่”


ผมกอดอกแน่นขึ้นก่อนจะเชิดหน้ามองเขา


“เคยเรียนดนตรีมารึเปล่า”


เด็กหนุ่มดูงุนงงกับคำถาม แต่ก็ยอมเอ่ยปากตอบ


“เคยหัดเล่นกีตาร์เองครับ”


“รู้ใช่ไหมว่าถ้าไม่ฝึก ยังไงก็ไม่มีวันเก่งขึ้น”


เขาขมวดคิ้วแต่ก็พยักหน้าแต่โดยดี


“ดี” ผมว่าอย่างนั้น “งั้นก็จำไว้ว่าไม่มีทางลัดสำหรับการเรียนดนตรีบนโลกใบนี้”


ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าเสียงของตัวเองเข้มขึ้นเล็กน้อย


“ถ้าอยากจะเก่งก็ต้องฝึก ถ้าอยากจะรู้จักว่าแต่ละเพลงเป็นยังไงก็ต้องใส่ใจ ถ้าอยากให้พี่สอนก็ต้องเลิกหาทางลัดแล้วมาเอาใจใส่กับมันซะ”


ผมเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ


“ทำได้ไหม”


เด็กหนุ่มดูไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ เขามองหน้าผมนิ่งก่อนจะพูดขึ้นมาเบาๆ


“พี่ชอบเพลงคลาสสิคมากใช่ไหมครับ”


“ฮะ?”


“ผม...อยากรู้ว่าพี่ชอบเพลงคลาสสิคมากๆ และจะทำงานที่นี่ไปอีกนานๆ เลยใช่ไหมครับ”


ผมขมวดคิ้วอย่างงุนงงกับคำถามสุดประหลาด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมพยักหน้าไปอยู่ดี


“ใช่ สำหรับทั้งสองคำถาม”


“ได้ครับ” จู่ๆ เขาก็ดูเหมือนจะตัดสินใจอะไรขึ้นมาได้ “งั้นผมจะเรียนรู้มัน พี่ช่วยสอนผมด้วยนะ”


ยอมรับว่าท่าทางของน้องมันดูแปลกๆ ไปหน่อย แต่เอาเถอะ...


“อือ”


เด็กมันอุตส่าห์มีใจจะเรียนทั้งที จะให้ปล่อยผ่านไป ก็คงไม่ได้ล่ะนะ








**********************************************************************************

[เกร็ดความรู้]

Radetzky March

ราเด็ตสกีมาร์ช โอปุสที่ 228 (อังกฤษ: Radetzky March, Op. 228) เป็นเพลงมาร์ชที่แต่งโดยโยฮันน์ ชเตราสส์ ที่หนึ่ง ในปี ค.ศ. 1848 โดยอุทิศให้กับจอมพลโยเซฟ ราเด็ดสกี ฟอน ราเด็ดส์ (1766 – 1858) นายทหารชาวเช็กแห่งกองทัพออสเตรีย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรบที่คัสโตซา (ค.ศ. 1848) และการรบที่โนวารา (ค.ศ. 1849) เป็นส่วนหนึ่งของสงครามประกาศอิสรภาพอิตาลีครั้งที่หนึ่ง ระหว่างราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย กับจักรวรรดิออสเตรีย

เพลงนี้ถูกบรรเลงครั้งแรกต่อหน้ากองทหารออสเตรีย ซึ่งเมื่อได้ยินเสียงร้องประสานเพลงนี้ จะพากันปรบมือและกระทืบเท้าเป็นจังหวะ จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในการแสดงดนตรีคลาสสิกในกรุงเวียนนาในปัจจุบัน ที่ผู้ชมการแสดงเพลงนี้ จะต้องกระทืบเท้าตามจังหวะดนตรี โดยเฉพาะในงาน Neujahrskonzert หรืองานคอนเสิร์ตฉลองปีใหม่เวียนนา

ที่มา: ราเด็ตสกีมาร์ช





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-09-2018 12:40:29 โดย Marymo »

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อ่านเรื่องนี้แล้วนึกไปถึงซีรี่ส์โนดาเมะเลยค่ะ อ่านจบก็ไปเปิดเพลงตามชื่อตอน เราว่าเป็นกิมมิกที่น่ารักนะคะ รออ่านตอนต่อไปค่ะ รอดูพัฒนาการของไวท์ และการติวเข้มของพี่อีฟ ขอบคุณนะคะคุณปิงปอง  :กอด1:  :pig4:

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น

บทที่ 4 – [Overture of Carmen]






ผมว่า...มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าพิศวงและยากแก่การคาดเดา เราไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ แท้จริงแล้วชีวิตเขาประกอบไปด้วยลักษณะอะไรบ้าง ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่ายก็อย่างเช่น คนที่ดูสบายๆ ไม่ค่อยเอาจริงเอาจังกับอะไร ซ้ำยังไม่คิดพยายามฝืนใจทำสิ่งที่ไม่ชอบ ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่ง คนแบบนั้นจะกลายมาเป็นพวกมุ่งมั่นและพยายามเรียนรู้สิ่งที่ตัวเองเกลียดนักเกลียดหนาได้


นั่นสิ...คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ...


หลังจากที่ได้รับลิสต์เพลงสำหรับฝึกฟังจากผมไป เด็กหนุ่มคนนั้นก็เอาแต่ฟังเพลงคลาสสิคมาตั้งแต่หลังเลิกงานจนกระทั่งเดินเข้ามาในร้านอาหารแล้วก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ขนาดอาหารมาเสิร์ฟแล้วเขาก็ยังไม่สนใจ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเปลี่ยนเพลงไปมาแล้วก็ฟังอยู่อย่างนั้น


เป็นพวกทำอะไรสุดโต่งจริงๆ แต่จะปล่อยไว้ก็คงไม่ดีล่ะนะ...


“นี่ เลิกฟังสักสิบนาทีแล้วมากินข้าวก่อนที่มันจะชืดเถอะ”


ผมพูดเตือนไปอย่างนั้น ไม่ได้หวังใจให้คนฟังทำตามอยู่แล้ว แต่พอเห็นอีกคนนิ่งเฉยไม่คิดจะทำตามเข้าจริงๆ มันก็ชวนหงุดหงิดพิกล


“นี่”


ผมเรียกเขาอีกครั้ง


“นี่ไวท์”


คราวนี้อุตส่าห์เรียกชื่อแถมมาด้วย แต่อีกฝ่ายก็เหมือนจะยังไม่ได้ยิน นัยน์ตาคมเอาแต่จับจ้องโทรศัพท์มือถือในมือนิ่งไม่มีวอกแวก หูฟังที่เสียบอยู่นั้นก็คงกำลังบรรเลงเพลงอะไรสักอย่างอยู่แน่ ไม่งั้นคงไม่ตัดขาดจากโลกภายนอกไปได้ขนาดนี้


แต่ก็นะ เด็กที่ดีก็ควรแยกเวลากินข้าวกับเวลางานออกจากกันให้ได้


ผมยกหัวตัวเองขึ้นเล็กน้อยก่อนจะขยับมือที่ใช้เท้าคางไปค้ำยันไว้กับโต๊ะเพื่อดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของผมเลยสักนิด ดวงตาของเขาเอาแต่มองโทรศัพท์มือถือในมือด้วยสมาธิที่แน่วแน่เสียจนน่าทึ่ง


ถ้ามันตั้งใจได้แบบนี้ตอนทำงานบ้างก็ดีสิ


ดวงตาของผมจับจ้องคนที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่ผมจะตัดสินใจยื่นมือข้างหนึ่งของผมไปใกล้ๆ หูของอีกคนแล้ว...


“อ๊ะ”


เขาส่งเสียงอุทานออกมาไม่ดังนักก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองผมที่ยืนค้ำหัวอยู่ เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นดูหงุดหงิดในทีแรก แต่พอเห็นว่าคนที่ยืนถือหูฟังของเขาอยู่เป็นผม ใบหน้าคมเข้มนั้นก็ค่อยๆ คลายความดุดันลง 


“มีอะไรเหรอพี่”


แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ยังอุตส่าห์ทำเสียงเข้มมากกว่าปกติใส่ผมอยู่ดี


เอาเถอะ ไม่ได้ถือสาอะไรอยู่แล้ว


ผมสบตากับคนที่อารมณ์ไม่สู้ดีนักด้วยแววตาเหนื่อยหน่าย


“หยุดเพลงไว้แล้วมากินข้าวก่อน”


“ผมยังไม่ค่อยหิวอะ พี่กินก่อนเลย”


เขาบอกปัดแบบขอไปทีพลางทำสายตาออดอ้อนขอหูฟังคืน แต่มีเหรอที่ผมจะยอม ฝันเถอะไอ้น้อง


“กินข้าวก่อน” ผมสบลึกเข้าไปในตาอีกฝ่าย “นี่เวลากินข้าว”


“ผมยังฟังไม่จบอะพี่ ขออีกนิดนึงนะ”


“ไวท์”


“เหลืออีกแค่หนึ่งนาทีอะ...”


“ไวท์ครับ นี่เวลากินข้าว”


“โอเค ยอมแพ้”


เด็กหนุ่มคนนั้นว่าพลางวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะไม่เบานัก เขาชูสองมือเปล่าๆ ขึ้นบนอากาศก่อนจะบ่นงึมงำแบบจับใจความไม่ได้ไม่ได้อยู่อีกสองสามคำ


พอเห็นแบบนั้น มันก็อดหัวเราะไม่ได้เลยจริงๆ


...เด็กน้อยจริงๆ เลย...


ผมมองหน้าคนที่ยังบ่นงุงงิ้งไปตามประสาด้วยแววตากึ่งเหนื่อยหน่ายกึ่งขำก่อนจะยื่นหูฟังข้างที่ถืออยู่คืนให้เขาแล้วหย่อนตัวนั่งกลับลงไปตามเดิม ยังไม่ทันที่จะได้นั่งดี เจ้าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็รีบบ่นกระปอดกระแปดขึ้นมาให้ฟังราวกับกลัวจะไม่ได้พูดอย่างไรอย่างนั้น


“พี่อะ นิดๆ หน่อยๆ เอง สมัยนี้ใครๆ เขาก็เล่นมือถือกันตอนกินข้าวทั้งนั้นแหละ”


เขาบ่น...บ่นไปตามประสาเหมือนอย่างทุกทีที่โดนผมคาดโทษนั่นล่ะ เป็นมาอย่างนี้แต่ไหนแต่ไร ผมชินเสียแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมถึงยังห้ามใจตัวเองไม่ให้ขำไม่ได้สักที


ก็เด็กมันตลกนี่นะ...


ผมเหลือบมองคนที่ยังบ่นขิงบ่นข่าอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ


“เหรอ”


ตอนแรกที่พูดออกไปก็กะจะทำให้คนฟังอารมณ์ดีขึ้นด้วยการไม่ต่อความยาวสาวความยืด แต่เหมือนว่าแค่คำตอบรับนั้นมันจะไม่ค่อยถูกใจอีกฝ่ายสักเท่าไหร่นัก


“พี่ไม่เข้าใจอะ มันเป็นไลฟ์สไตล์พี่”


ผมเหลือบตามองเขาแว็บนึงก่อนจะละสายตามามองจานกับข้าวตรงหน้า


“ไลฟ์สไตล์กับความหมกมุ่นมันต่างกันนะ”


มือสองข้างของผมง่วนอยู่กับการตักผักบุ้งใส่จานตัวเอง ดวงตาของผมสนใจอยู่แค่กับจานกับข้าวตรงหน้า แต่ด้วยสัญชาตญาณ ผมรู้สึกได้ว่าน้องมันกำลังมองผมอยู่


เพราะแบบนั้นก็เลยต้องยอมละมือจากช้อนตักแกงส้มแล้วเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาอย่างมีมารยาท


“เวลาที่เราอยู่กับคนอื่น ก็ช่วยสนใจคนที่เขามาด้วยหน่อยสิ ไม่งั้นจะมาด้วยกันทำไมเล่า”


อีกฝ่ายยู่ปากเล็กน้อย ผมรู้ดีว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ผมพูดอยู่หรอก แค่พยายามทำตัวต่อต้านไปอย่างนั้นเอง


แต่ก็นะ ยังไงน้องมันก็แค่เด็กที่เพิ่งผ่านพ้นวัยมัธยมมาหมาดๆ นั่นล่ะ...


“แต่ผมก็ไม่ได้ทำเรื่องไร้สาระนี่นา”


“ไม่ไร้สาระ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจพี่นี่จริงไหม”


คราวนี้เขาเลิกยู่ปากแล้วมองหน้าผมตรงๆ


“พี่งอนเหรอ”


ทันทีที่ได้ยินคำถามแสนไร้เดียงสานั้น ผมก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างสุดกลั้น โชคดีที่คนในร้านมีไม่เยอะ ไม่อย่างนั้นคงโดนตำหนิแย่


“งอนบ้างอนบออะไรเล่า พี่ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”


ผมพูดพลางพยายามกลั้นขำไปด้วย กว่าจะสงบสติอารมณ์ลงได้ก็ใช้เวลาไปพักใหญ่ ระหว่างนั้นน้องมันก็เอาแต่บ่นของบ่นข่าไปพลางตักกับข้าวใส่จานตัวเองไปพลาง ยิ่งเห็นก็ยิ่งน่าเอ็นดูขึ้นมา


“นี่”


เสียงเรียกของผมทำให้คนที่กำลังก้มลงตักผัดกระเพราะหมูต้องเงยหน้าขึ้นมามอง พอเห็นอีกฝ่ายหันมาสนใจเต็มที่แล้ว ผมจึงพูดต่อ


“ที่พี่พูดเนี่ยไม่ใช่เพราะพี่โกรธหรืองอนอะไรเราหรอกนะ”


ผมหยิบช้อนตักผัดผักบุ้งขึ้นมาแล้วบรรจงกวาดผัดผักบุ้งในจานเข้ามาใส่ช้อนช้าๆ


“แต่อยากจะสอนไว้ว่าการให้ความสำคัญกับที่มาด้วยน่ะเป็นสิ่งจำเป็น”


จากนั้นจึงเลื่อนสายตากลับมามองหน้าเขา


“พี่อยากให้เราเป็นเด็กดีแล้วก็น่ารักสำหรับทุกคนนะรู้ไหม ยังไงพี่ก็เห็นแกมานาน ก็เห็นเป็นน้องชายคนนึง อยากให้โตไปได้ดี...”


ผมเว้นจังหวะการพูดไว้แค่ตรงนั้นอย่างจงใจก่อนจะยกช้อนกลางที่เต็มไปด้วยผัดผักบุ้งไปวางลงบนที่ว่างในจานของอีกฝ่ายแล้วนำกลับมาวางไว้ในจานกับข้าวตามเดิม


พวกเราต่างจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของกันและกัน


“เป็นห่วง”


แล้วคำพูดของผมก็จบลงแค่นั้น


น่าแปลกที่คราวนี้น้องมันไม่ยักจะทำเสียงงุงงิ้งงึมงำใส่เหมือนทุกที เจ้าตัวเพียงแค่มอง – มอง แล้วก็มองผมค้างอยู่อย่างนั้น


หรือมันจะโกรธจนคิดอยากต่อยผมแล้วกันนะ


ไม่ได้การ ต้องทำอะไรสักอย่างก่อนกระดูกจะเสียหาย


“เอ่อ...แต่ถ้าไม่พอใจอะไรก็...”


“ขอบคุณนะครับพี่”


“เอ๊ะ”


ผิดคาด ผิดคาดสุดๆ ไปเลย


แต่ก็...พอได้มองดีๆ ก็เพิ่งเห็นว่านัยน์ตาที่เอาแต่จ้องมองผมอยู่นี้มันไม่ได้ดูมีแววโกรธเคืองหรืออะไรทำนองนั้นเจืออยู่เลย ไม่ใช่แค่ไม่โกรธ แต่มันยังดูประหลาดอีกด้วย


แววตาเป็นประกายราวกับลูกหมาแบบนั้นมันอะไรกัน


เขาจ้องมองผมนิ่ง ดวงตาคมสีดำคู่นั้นยังจับจ้องอยู่ที่ผมไม่ละไปไหน


“ผมดีใจนะครับที่พี่พูดออกมาแบบนั้น”


“อ๋อ ก็นะ”


ไม่เข้าค่อยใจนักหรอกว่าสถานการณ์ตรงหน้านี้เป็นสถานการณ์แบบไหน สิ่งเดียวที่รู้คือผมทำตัวไม่ถูกเอาเสียเลย จะเรียกว่ารู้สึกประหม่าก็ได้มั้ง


แล้วจะประหม่าทำไมล่ะวะไอ้อีฟส์ บ้าจริงเชียว...


“แล้วก็...”


คำพูดที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นมาจากฝั่งตรงข้ามทำให้ผมต้องหยุดตบตีกับตัวเองแล้วหันไปตั้งใจฟัง เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมดูเลิ่กลั่กชอบกล เขามองหน้าผมสลับจานอาหารของตัวเองอยู่หลายครั้งกว่าจะพูดออกมาได้


“ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วงผม”


คำพูดของเขาแผ่วเบากว่าปกติ แทบจะกลายเป็นคำพึมพำกับตัวเองด้วยซ้ำ แต่โชคดีที่ด้วยบรรยากาศในร้านมันไม่ได้โหวกเหวกมากนัก ผมก็เลยพอจะจับใจความได้อยู่บ้าง


ขอบคุณที่เป็นห่วงงั้นเหรอ...เป็นเด็กแปลกๆ จริงๆ นะ


“อา...” คงเพราะยังรู้สึกแปลกๆ ผมจึงกล่าวคำตอบรับไปได้ไม่ดังนัก “ยังไงพี่ก็ต้องเป็นห่วงเราอยู่แล้ว เห็นกันมาตั้งนาน”


พอผมพูดจบก็ดูเหมือนว่าบทสนทนาระหว่างเราก็พลันจะจบลงเสียดื้อๆ ตรงนั้น เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ ในขณะที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรออกไปอีกรึเปล่า


อา บ้าจริง ใครเป็นคนสร้างบทสนทนาแปลกๆ นี้ขึ้นมานะ ทำตัวไม่ถูกเลย


นัยน์ตาของผมกวาดมองไปทั่วร้าน พยายามหาสิ่งที่จะมาทำลายบรรยากาศแปลกๆ บนโต๊ะกินข้าวของเรา


จะพูดเรื่องอะไรดีนะ ถามเรื่องจะสั่งกับข้าวเพิ่มไหมดีไหมนะ หรือจะถามว่าจะเอาชาเย็นไหมดี อา ไม่ได้สิ ถ้าทำแบบนั้นเดี๋ยวก็คงจะกลายเป็นการถามคำตอบคำ แล้วก็จบลงที่แย่ลงกว่าเดิม


ผมเริ่มกระวนกระวายในขณะที่อีกคนเองก็ดูเลิ่กลั่กไม่ต่างกัน


จะพูดอะไรดีนะ ต้องเป็นหัวข้ออะไรถึงจะสามารถพูดกันได้ยาวๆ นะ...


ทันใดนั้นผมก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์ของอีกคนที่นอนนิ่งสนิทอยู่บนโต๊ะ


...แล้วผมก็ได้พบทางสว่าง...


“เออนี่”


เขาหันมามองผมตามเสียงเรียก ดวงตาคมปรากฏแววฉงนใจคล้ายเวลาลูกหมาตัวเล็กๆ มองของเล่นใหม่ในมือเจ้านายอย่างไรอย่างนั้น


น่าแปลกที่ผมรู้สึกว่ามันน่ารักดี แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น สิ่งสำคัญที่จะต้องพูดต่อจากนี้ก็คือ...


“เมื่อกี้ก่อนกินข้าวฟังเพลงอะไรอยู่เหรอ”


คนถูกถามชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมา


“เอ่อ คาร์เมน...อะไรสักอย่างน่ะครับ”


“เห เพลงจากเรื่องคาร์เมนเหรอ ฟังเพลงไหนล่ะ ขอดูหน่อยสิ”


“ขอผมหาก่อนนะพี่ ตอนนั้นที่ฟังเหมือนจะบันทึกไว้ใน...”


เหมือนว่าแนวคิดของผมจะได้ผลเมื่อเด็กหนุ่มดูผ่อนคลายลงอย่างมากจนกลายเป็นปกติในที่สุด เขาก้มหน้าลงปลดล็อกโทรศัพท์เพื่อค้นหาชื่อเพลงให้ผมพลางชวนคุยเรื่อยเปื่อยไปด้วยเหมือนอย่างทุกที ใช้เวลาไปไม่นานนัก เขาก็ยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าผม


ชื่อเพลงที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้ผมเผลอขมวดคิ้วเล็กน้อย


“คาร์เมน โอเวอร์เชอร์(Overture) เหรอ” ผมเหลือบมองหน้าเขา “เข้าใจเลือกนี่”


คนถูกชมยักไหล่น้อยๆ


“ผมเลือกมั่วๆ อะพี่ จิ้มๆ มาจากลิสต์เพลงใช้ฝึกฟังที่พี่ให้นั่นล่ะ แต่เพลงมันฟังง่ายดีนะ สนุกดีอะ”


คำตอบนั้นทำเอาผมหัวเราะออกมาอีกครั้ง


“ให้ตายสิ” ผมว่าพลางยกมือขึ้นมาเท้าคางตัวเองไว้ “เคยรู้จักโอเปร่าเรื่องคาร์เมนรึเปล่า”


เป็นอย่างที่คาดไว้ เด็กหนุ่มตรงหน้าผมขมวดคิ้วยุ่งยิ่งกว่าอะไรดี


“โหพี่ เพลงคลาสสิคผมยังไม่ค่อยคุ้นเลย นับประสาอะไรกับโอเปร่า บัลลต์อะพี่”


อะ ก็ถูกของมัน


ผมนิ่งคิดไปนิดนึงก่อนจะคว้าโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาปลดล็อกบ้าง ตาผมมองหน้าจอโทรศัพท์ไปพลาง ปากก็ชวนอีกฝ่ายคุยไปพลาง


“แล้วอยากลองไปดูไหมล่ะ บางทีอาจจะเข้าใจง่ายกว่าไปฟังคอนเสิร์ตเพลงคลาสสิคน่ะนะ”


“โอเปร่าอะเหรอพี่”


“อาฮะ”


อีกฝ่ายมองผมนิ่ง


“ผมจะหลับไหมล่ะ”


คำถามซื่อๆ ชวนขำนั้นเอาผมไปไม่เป็นอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้


เด็กนี่มันประหลาดจริงๆ


“ไม่รู้สิ ยังไม่ได้ลอง ก็คงไม่รู้หรอก”


“ก็จริง...”


“แล้วอยากลองไหมล่ะ” ผมถามพลางส่งยิ้มให้บางๆ “ถ้าอยากลองก็จะพาไปลอง”


“ฮะ?”


“โอเปร่าไง”


“ไม่ คือรู้อยู่ว่าเป็นโอเปร่าแต่...”


เด็กหนุ่มดูเลิ่กลั่กชอบก่อน เขานิ่งอยู่นานกว่าจะพูดออกมา


“พี่...กับผมน่ะนะ”


“อือ”


“สองคน”


“อาฮะ”


คราวนี้เขานิ่งไปนานกว่าปกติ


“...เดทเหรอ”


“เพ้อเจ้อ!”


ไม่ต้องหยุดคิดให้เสียเวลา มือของผมผลักหัวของอีกฝ่ายเป็นการลงโทษในความเพ้อเจ้อของเจ้าตัวโดยอัตโนมัติ


ใช่ เพ้อเจ้อ เพ้อเจ้อทั้งนั้น


ผมเห็นอีกฝ่ายยกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ เขาเหลือบตามองผมพลางบ่นงึมงำตามประสาเหมือนอย่างเคย


“แซวเล่นน่า”


คำพูดที่ตอบกลับมาของเขาเป็นสิ่งที่ผมคิดเอาไว้อยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงได้รู้สึกไม่ชอบใจแปลกๆ


อา...นั่นสินะ ก็แค่แซวเหมือนอย่างทุกที


ใช่ ก็แค่แซวเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเลย


“แซวบ้าแซวบอน่า คนอื่นเขามาได้ยินจะเข้าใจผิดกันหมด”


ใช่ ตอบออกไปแบบนั้นล่ะถูกแล้ว


แล้วทำไม ใจถึงเต้นประหลาดนักล่ะ...


ไม่ได้การแล้ว ขืนอยู่ต่อไปคงโดนจับได้แน่...


“เอ่อ เดี๋ยวพี่ว่าพี่ต้องกลับแล้วล่ะ เดี๋ยวรถเมล์จะหมดเอา”


“อ้าว แต่พี่เพิ่งกินไปแค่นิดเดียวเองนะ”


“ไม่เป็นไร พี่ไม่ค่อยหิวน่ะ แค่นี้ก็อิ่มแล้ว”


ใช่ ต้องไป ต้องหนีไปจากตรงนี้ก่อนที่อีกฝ่ายจะจับได้


“แกนั่งกินต่อก็ได้นะ มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง เดี๋ยวไปจ่ายหน้าร้านไว้ให้”


“เฮ้ย ไหนว่าหารไงพี่”


คำโวยวายจากเขาเป็นสิ่งที่ผมคิดเอาไว้อยู่แล้ว สีหน้าไม่พอใจแบบนั้นก็พอจะเดาได้อยู่แล้วด้วย


...ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าตัวเองจะรู้จักเขาดีขนาดนี้...


บ้าน่าอีฟส์ คิดอะไรอยู่น่ะ


ผมรีบหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าแล้วลงมือนับให้พอดีกับค่าอาหารเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง


“ตอนนั้นก็พูดไปงั้นเอง แต่ยังไงพี่ก็เป็นพี่ ต้องเลี้ยงน่ะถูกแล้ว”


“ไม่ได้ดิพี่ ไหนเราตกลงกันไว้แล้วไง...”


“งั้นไว้คราวหน้าค่อยเลี้ยงพี่คืนแล้วกันนะ”


พอพูดจบ ผมก็รีบชิงลุกขึ้นจากโต๊ะก่อนอีกคนจะทันได้โวยวายไปมากกว่านี้


“แล้วเจอกัน”


ผมกล่าวลาเขาแล้วเดินออกมาจากร้านอย่างรวดเร็วคล้ายว่ารีบมากแต่พอได้ออกมาอยู่นอกร้านเพียงลำพังแล้ว ฝีเท้าก็ดันแผ่วลงจนโดนคุณตาที่เดินอยู่ด้านหลังแซงไปได้อย่างง่ายดาย


บ้าจริง เมื่อกี้นี้ทำอะไรลงไปนะ


สองขาของผมพาตัวเองเดินทอดน่องมาเรื่อยๆ จนถึงป้ายรถเมล์ที่เป็นจุดหมาย ผู้คนมากมายยังคงยืนรอรถเมล์กันอยู่แน่นขนัด บ้างก็พูดคุยกัน บ้างก็นั่งเงียบๆ คนเดียวไม่คุยกับใคร ดูไปแล้วก็ชวนให้รู้สึกวุ่นวายพิกล


ใช่ วุ่นวายชะมัด ไม่อยากคุยกับใครเลย


พอคิดได้แบบนั้น ผมก็รีบหยิบหูฟังขึ้นมาใส่หวังตัดตัวเองออกจากโลกภายนอกทันที


เมื่อเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจถูกตัดออกไปด้วยเสียงเพลงคลาสสิคจากหูฟัง ความรู้สึกแปลกๆ เมื่อครู่ก็กลับมาอีกครั้ง ความคิดสับสนที่ตีกันอยู่ในหัวทำเอาผมว้าวุ่นไปหมด จะบอกว่าไม่เข้าใจตัวเองในตอนนี้เลยก็ได้


ทำไมเมื่อกี้นี้ถึงทำตัวแบบนั้นใส่น้องมันไปนะ ทำไมหัวใจต้องวูบโหวงตอนที่น้องมันบอกว่าแค่แซวเล่นด้วยนะ ทำไมต้องรู้สึกแปลกๆ แบบนี้ด้วยนะ...


หรือเพราะ...เพราะเขาหน้าเหมือนคนๆ นั้นงั้นเหรอ


‘อีฟส์ พี่ตัดสินใจแล้ว พี่จะแต่งงาน’


งั้นเหรอ...เพราะเขาเหมือนพี่งั้นเหรอ


ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไร้ดวงดาวพลางถอนหายใจออกมาช้าๆ


ไม่มีทาง คนที่แม้แต่โอเปร่าก็ไม่เคยดู ขนาดเพลงในเรื่องคาร์เมนก็ไม่รู้จักแบบนั้นไม่มีทางเป็นพี่ไปได้แท้ๆ แต่ทำไม...ทำไมหัวใจมันถึงรู้สึกแปลกขนาดนี้


ไม่เข้าใจเลย ไม่เห็นจะเข้าใจอะไรเลย


ในขณะที่ผมกำลังกลัดกลุ้มอยู่กับความรู้สึกสับสน จู่ๆ เพลงโอเวอร์เชอร์ของเรื่องคาร์เมนก็ดันเลื่อนขึ้นมาในเพลย์ลิสต์ได้เหมาะเจาะราวกับถูกเซ็ตเตรียมเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น


ผมก้มหน้าลงมองโทรศัพท์อยู่พักใหญ่ก่อนจะละสายตากลับไปมองท้องถนนที่คลาคล่ำไปด้วยยานพาหนะมากมาย


โอเวอร์เชอร์...เพลงโหมโรงที่ใช้เริ่มต้นการแสดงงั้นเหรอ


...เริ่มต้นงั้นเหรอ...


“วงเวียนใหญ่ บางบัวทองขึ้นมาเลยจ้า”


เสียงร้องตะโกนจากกระเป๋ารถเมล์คันที่ผมรอคอยมาพักใหญ่ทำให้ผมได้สติ สองขาเร่งก้าวขึ้นไปบนรถที่ไม่แออัดมากเหมือนอย่างทุกทีแล้วหาตำแหน่งที่นั่งเหมาะๆ สำหรับนั่ง ยังไม่ทันจะได้จัดท่าทางการนั่งให้เรียบร้อยดี เสียงแจ้งเตือนข้อความแชทจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน


เสียงแจ้งเตือนข้อความแชทเหรอ...ไม่ต้องเปิดก็พอเดาได้ว่าคนส่งเป็นใคร


ผมปลดล็อกโทรศัพท์อย่างรวดเร็วแล้วกวาดตาอ่านข้อความที่ถูกส่งมา


[พี่ขี้โกงอะ คราวหน้ามาให้ผมเลี้ยงเลยนะ พาผมไปดูโอเปร่าด้วยเลย]


พออ่านจบ ริมฝีปากมันก็พลันยกยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว


งั้นเหรอ...โอเวอร์เชอร์งั้นเหรอ


...ก็เป็นเพลงที่เหมาะกับความสัมพันธ์ของพวกเราตอนนี้เหมือนกันนะ...






******************************************************************************




[เกร็ดความรู้]



Overture

เพลงโหมโรง (Overture) คือ บทประพันธ์ที่ใช้บรรเลงนำก่อนการแสดงอุปรากร บางครั้งใช้คำว่า พรีลูด (Prelude) เป็นเพลงที่แสดงถึงอารมณ์โดยรวมของอุปรากรที่จะแสดง กล่าวคือ ถ้าเป็นเรื่องเศร้า เพลงโหมโรงก็จะมีทำนองเศร้าอยู่ในที เป็นต้น

บางครั้งเพลงโหมโรงอาจรวมเอาทำนองหลักจากอุปรากรฉากต่าง ๆ ไว้ก็ได้ เพลงโหมโรงนี้มักเป็นเพลงสั้น ๆ ประมาณ 5-10 นาที ปกติจะใช้วงออร์เคสตราทั้งวงบรรเลง ลักษณะของเพลงโหมโรงมักรวมเอาองค์ประกอบต่าง ๆ ของดนตรีไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นด้านความดัง – ค่อย สีสัน ลีลาต่าง ๆ จึงทำให้เพลงโหมโรงเป็นบทเพลงที่ชวนฟัง เพลงโหมโรงของอุปรากรบางเรื่องมีความไพเราะเป็นที่นิยมฟังและบรรเลงเป็นบทเพลงแรกของการแสดงคอนเสิร์ตโดยทั่วไป เช่น “Overture of The Marriage of Figaro” ของโมสาร์ท “The Barber of Seville Overture” ของ รอสซินี “Fidelio” ของเบโธเฟ่น “Overture of Carmen” ของบิเซต์ เป็นต้น

ที่มา: อุปรากร





การ์เมน/คาร์เมน (Carmen)

เป็นอุปรากรภาษาฝรั่งเศสจำนวน 4 องก์ ที่แต่งโดยฌอร์ฌ บีแซ (1838-1875) ดัดแปลงจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของพรอสแพร์ เมอริมี (1803-1870) ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากโคลงภาษารัสเซียชื่อ The Gypsies (1824) ของอะเล็กซานเดอร์ เซอร์เยวิช พุชกิน (1799-1837) ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1845 โดยแปลงจากภาษารัสเซียเป็นภาษาฝรั่งเศส

เนื่อเรื่องในการ์เมน เกิดขึ้นที่เมืองเซบียา ประเทศสเปนเมื่อราวคริสต์ทศวรรษ 1830 เป็นโศกนาฏกรรมเกี่ยวกับหญิงสาวยิปซีชื่อ การ์เมน กับทหารหนุ่มชื่อ ดอน โคเซ ที่ตกหลุมรักการ์เมนจนยอมทิ้งคนรักเก่าไปมีความสัมพันธ์กับเธอ แต่การ์เมนกลับสลัดเขาทิ้งอย่างไม่ไยดี เพื่อไปมีความรักใหม่กับนักสู้กระทิงชื่อ เอสกามีโย ทำให้ดอน โคเซวางแผนฆาตกรรมการ์เมนเพื่อยุติปัญหารักสามเส้านี้

ที่มา: การ์เมน




ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 5 - Eine kleine Nachtmusik







เราทุกคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘พรสวรรค์หรือจะสู้พรแสวง’ กันมาบ้างไม่มากก็น้อย บอกตามตรงว่าตัวผมก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะส่วนใหญ่พวกที่เก่งเข้าขั้นอัจฉริยะก็ต้องมีทั้งสองอย่างควบคู่กันไป หากเป็นพวกหัวทึบ อาศัยแต่ขยันไปก็คงไม่ค่อยเกิดผล ในขณะเดียวกัน พวกที่ฉลาดแต่ขี้เกียจก็ไม่ได้ต่างอะไรจากพวกไม่เอาถ่าน ไร้ประโยชน์


ถึงจะพูดเหมือนไม่เชื่อในอะไรเลย แต่แท้จริงแล้วผมก็เชื่อในความมหัศจรรย์ของสิ่งๆ หนึ่งอยู่เหมือนกัน


ผมเชื่อในพลังของความชอบ


จากการสังเกตตัวเองและคนรอบตัวมาตั้งแต่เด็กจนโต ผมก็ได้ข้อสรุปว่า หากคนเรานึกชอบหรือคลั่งไคล้อะไรสักอย่างแล้ว พลังการเรียนรู้ด้านนั้นก็จะเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติจนน่าตกใจ อย่างเพื่อนผมคนหนึ่งที่เคยเกลียดคณิตศาสตร์เข้าไส้ แต่เพราะหลงใหลในจรวดและการท่องอวกาศมาก เจ้าตัวก็เลยมุมานะจนปัจจุบันได้ดิบได้ดีเป็นนักวิจัยอยู่ต่างประเทศไปแล้ว ไหนจะเพื่อนที่เกลียดภาษาอังกฤษแต่ชอบแฮร์รี่ พอตเตอร์เลยดั้นด้นอ่านจนกลายเป็นนักภาษาศาสตร์ไปแล้วก็มี


แต่ก็นะ...บางอย่างบนโลกนี้ก็มีข้อยกเว้นอยู่เหมือนกัน


“เพลงนี้...ไอเนอ ไคลเนอ นาคท์มูซีก(Eine kleine Nachtmusik) ของโมซาร์ท ท่อนที่สี่ ผมจำได้ ถ้าผิดให้ตบหัวหนึ่งทีเลย”


ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อจริงๆ


ไหน ขอทดสอบอีกหน่อยซิ


ผมหรี่ตามองคนที่ใส่หูฟังเตรียมพร้อมรับการทดสอบอยู่ด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ก่อนจะกดเลือกเพลงที่คิดว่าคนที่เพิ่งมาหัดฟังเพลงคลาสสิคคงไม่มีทางจำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์


“เอ่อ...โห เพลงนี้ยากจังอะ”


ใช่ ยอมแพ้ซะเถอะเจ้าหนู


“โห เนี่ยชื่อมันติดอยู่ที่ปลายลิ้นเนี่ยพี่ เพลงอะไรวะ”


ริมฝีปากผมยกยิ้มด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่งยวด


แพ้ไปซะ แพ้ไป


“เพลงอะไรนะ...”


ผมมองหน้าคนที่ดูอัดอั้นเพราะจำชื่อเพลงไม่ได้ด้วยสีหน้ารื่นรมย์กว่าปกติ


“ยอมแพ้เถอะน่า ถ้าจำไม่ได้ก็...”


“ดับเบิลคอนแชร์โตสำหรับฟลู้ท โอโบและวงออร์เคสตร้า ของโมเชเลส ท่อนแรก!”


เชี่ย ไหนบอกว่าไม่อินเพลงคลาสสิคไงฮะ!


‘ลูกศิษย์’ ของผมเอามือเท้าคางแล้วยักคิ้วกวนๆ ส่งมาให้อย่างผู้มีชัยเหนือกว่า


“วันนี้ผมชนะ”


แม่ง แม่ง แม่ง


“เออ”


ผู้ชนะหัวเราะร่วนกับท่าทีไม่สบอารมณ์ของผม แต่ก็ยังไม่วายไม่วางกวนอารมณ์ต่อ


“พี่จำข้อตกลงของเราได้ใช่ไหมครับ”


“เออ” ผมยกมือขึ้นกอดอก “อยากรู้อะไรก็ถามมา”


ให้ตายสิ ไม่น่าไปตกลงเล่นเกมบ้าๆ นี่กับน้องมันตั้งแต่แรกเลย


ดวงตาของผมจับจ้องไปยังคงที่ยังคงนั่งกวนประสาทด้วยท่าทีอารมณ์ดีเกินเหตุพร้อมกับลอบถอนหายใจออกมาช้าๆ


เพราะคำยุของพี่ชัยคนเดียวเลยเชียว


ในตอนนั้นผมก็ตั้งใจว่าจะสอนน้องมันให้รู้จักเพลงคลาสสิคมากขึ้น ก็เลยให้ลิสต์เพลงน้องมันไปฟังพร้อมกับขอทดสอบด้วยการสุ่มเพลงให้เจ้าตัวฟังแล้วบอกชื่อเพลงเพื่อเช็กว่าเขาได้ไปเรียนรู้มาจริงๆ รึเปล่าก็แค่นั้น แรกๆ น้องมันก็จำไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่หรอก ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่พอพี่ชัยเสนอให้เล่นเกมประเภทว่าใครแพ้จะต้องตอบคำถามอีกฝ่ายหนึ่งข้อโดยไม่มีข้อแม้ ไอ้เด็กคนนี้ก็ดูเหมือนจะมีใจอยากเรียนรู้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น


กติกาที่พี่ชัยเสนอคือให้ผมสุ่มเปิดเพลงในลิสต์ที่ให้น้องไปฟังมาทั้งหมดสิบเพลง ถ้าน้องทายถูกทั้งสิบเพลงก็ถือว่าชนะ แต่ถ้าไม่ถึงก็คือผมชนะ ใครเป็นฝ่ายชนะก็จะสิทธิ์ถามคำถามอะไรก็ได้กับอีกฝ่ายโดนคนถูกถามห้ามบ่ายเบี่ยงไม่ตอบเด็ดขาด


ที่น่าเจ็บใจคือน้องมันชนะผมมาสามรอบแล้วเนี่ย ไหนว่าไม่อินเพลงคลาสสิคไง เอาเวลาไหนไปฟังไปจำเนี่ย


“เอ...จะถามอะไรดีน้า”


เด็กหนุ่มทำหน้าทำตาที่โคตรจะกวนประสาท ไหนจะวิธีพูดแบบเน้นคำว่า ‘น้า’ นั่นอีก


อยากจะกระโดดตบหัวสักทีจริงๆ


“จะถามก็ถามมา มีการมีงานต้องไปทำโว้ย”


“แหม พอแพ้ล่ะมีงานขึ้นมาเลย”


แซวเก่ง แซะเก่งเลย ชาติที่แล้วเกิดเป็นเสียมรึไงฮึ


“จะถามไม่ถาม”


“โห เข้มอะพี่ นี่คนหรือกาแฟ”


“ไอ้ไวท์”


“แหน่ะ ทำเข้มใส่ผมอีกแล้ว ทีกับคนอื่นน่ะใจดีจังเลย พี่อะเลือกปฏิบัติกับผะ...”


“ไอ้ไวท์ จะถามไม่ถาม”


“ถามครับถาม ไม่แกล้งแล้วก็ได้”


ในที่สุดผมก็สามารถทำให้คนชอบกวนโมโหเลิกเล่นได้สักที เด็กหนุ่มคนนั้นกลับมาเท้าคางอีกครั้ง ใบหน้าของเขายังคงเปื้อนรอยยิ้มกว้างเหมือนอย่างทุกที ดวงตาคมสบเข้ามาในดวงตาของผมด้วยแววตาบางอย่างก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นกว่าเมื่อครู่


“ทำไมพี่ถึงเลิกเล่นดนตรีเสียล่ะครับ”


ฮะ?


ผมขมวดคิ้วยุ่งทันทีที่ได้ยินคำถาม


“หมายความว่ายังไง”


เด็กหนุ่มคนนั้นมองหน้าผมก่อนจะหลบสายตาแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ


“ผมก็แค่ถามว่าทำไมพี่ถึงเลิกเล่นดนตรีเอง ตกใจใหญ่โตไปได้น่ะพี่”


“ไม่ คือ...” ผมพยายามเรียบเรียงความคิดก่อนจะพูดต่อ “ทำไมถึงคิดว่าพี่เล่นดนตรีได้ล่ะ”


คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลิกคิ้ว


“ก็พี่ชอบดนตรีคลาสสิคไม่ใช่เหรอ คนส่วนใหญ่ถ้าชอบอะไรมากๆ มันก็ต้องเอาตัวเองไปอยู่ในสิ่งนั้นอยู่แล้วไหมล่ะ แบบชอบอ่านหนังสือก็จะไปเป็นนักเขียน ชอบเต้นก็จะหัดเต้นโคฟเวอร์อะไรแบบนี้อะพี่”


“ก็ไม่ใช่ทุกคนไหมล่ะ”


ผมพูดแค่นั้นก่อนจะเบนสายตาหลบลงไม่ให้อีกคนได้ทันสังเกต


พูดไม่ได้ แค่เรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่อยากเล่าให้ใครฟังทั้งนั้น


“อ้าว พี่เล่นไม่เป็นหรอกเหรอ ทำไมไม่หัดไว้อะพี่ ผมว่าพี่น่าจะทำได้ดีเลยนะ”


คำพูดเรียบๆ ที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจนั้นเรียกให้ผมต้องหันกลับไปมองหน้าอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้ แววตานั้นทั้งใสซื่อ ทั้งไว้ใจ เด็กคนนี้เชื่อที่ผมพูดโดยไม่ระแวงใจเลยสักนิด


ก็ดี...ก็ดีแล้ว


ริมฝีปากผมฉีกยิ้มบางไม่ต่างจากทุกที


“ก็เคยคิดอยากน่ะนะ”


มือสองข้างของผมแอบกุมประสานเข้าหากันอยู่ใต้โต๊ะ


ไม่เป็นไร เขาไม่รู้หรอก


“แต่ก็อย่างว่า เครื่องดนตรีคลาสสิคมันแพงน่ะ พี่ไม่มีปัญญาซื้อมาเล่นหรอก”


“นั่นสินะครับ ผมเองก็เหมือนกัน”


ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วส่งยิ้มให้เหมือนอย่างทุกที...ไม่ ไม่เหมือน


ในดวงตานั้น...ในดวงตาคมคู่นั้นมีประกายบางอย่างแฝงอยู่


ไม่ใช่ประกายวิบวับที่ชวนให้หัวใจเต้นรัวเหมือนอย่างที่เคยเห็น ไม่ใช่ประกายออดอ้อนเหมือนลูกหมายอย่างที่ชอบทำ แววตาแบบนั้นดูยังไงก็...โกรธ...งั้นเหรอ


ทำไม ทำไมกันล่ะ


ยังไม่ทันที่ผมจะได้หาคำตอบ บานประตูห้องพักพนักงานก็พลันถูกเปิดออกอย่างแรงเสียจนผมต้องหันขวับไปมองด้วยความตกใจ


“พี่ชัย” ผมเอ็ดคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ไม่เบานัก “เปิดแรงอะไรขนาดนั้นล่ะพี่ ตกใจหมด”


พี่ชัยยกมือเป็นเชิงขอโทษให้ผมเล็กน้อยก่อนจะเดินฟึดฟัดเข้ามาหาทั้งที่ยังไม่ได้ปิดประตู


“มีงานใหม่ส่งมาให้แผนกเราไปทำน่ะ”


“ฮะ?”


“งานอะไรเหรอพี่”


ในขณะที่ผมกำลังงุนงง เด็กหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ชิงถามขึ้นมาให้อย่างรู้ใจ


“ก็งานจิปาถะ ให้ไปเตรียมเวที เช็คห้องแสดงก่อนการแสดงนั่นล่ะ”


ผมหันไปสบตากับไวท์ก่อนจะหันกลับมามองหน้าพี่ชัยอีกครั้ง


“นั่นมันงานของฝ่ายสถานที่ไม่ใช่เหรอพี่ ทำไมเราต้องทำล่ะ”


น่าแปลกที่พี่เขาไม่ได้ตอบอะไรออกมาเลยสักคำ สิ่งเดียวที่ผมได้กลับมาคือเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับสีหน้าที่กลัดกลุ้มของคนอายุมากกว่า


เดี๋ยวนะ หรือว่า...


“ยุบฝ่ายเหรอพี่”


คำพูดที่โพล่งขึ้นมากลางวงของคนที่อายุน้อยที่สุดนั้นตรงใจผมจนน่ากลัว


ไม่หรอกน่า นี่ต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่ๆ ...


“อือ ตามนั้นล่ะ”


คำตอบของพี่ชัยที่ตอกย้ำความจริงว่าสิ่งที่น้องพูดนั้นไม่ผิดยิ่งทำให้ผมเสียศูนย์ยิ่งกว่าเก่า


ไม่...ไม่จริง เรื่องนี้มันต้องมีอะไรผิดพลาด


“ผู้อำนวยการหอแสดงเพิ่งเรียกพี่ไปคุยมาเมื่อกี้ เห็นว่าที่นี่ขาดทุนยับเลย อีกไม่นานรัฐบาลก็คงไม่เอาด้วยแล้ว เพราะทางรัฐเองเขาก็มีแผนจะสร้างที่ใหม่ที่เป็นของเขาเองอยู่”


ทำไม...เรื่องราวมันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน


ไม่ ผมว่าเรื่องนี้ต้องเป็นการเข้าใจอะไรผิดแน่


“พี่ชัยครับ มันจะขาดทุนได้ยังไงในเมื่อจำนวนคนที่มาดูก็ยังโอเค”


คำถามที่เอ่ยออกไปเป็นเสมือนความหวังสุดท้ายที่ผมพอจะใช้หลอกตัวเองได้ว่าสิ่งที่ได้ยินมานั้นไม่ใช่เรื่องจริง ตอนที่พูดออกไปก็หวังเพียงแค่ให้อีกคนตอบรับกลับมาว่า ‘ใช่ เราไม่ได้ขาดทุนหรอก’ หรืออะไรทำนองนั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะไม่เข้าข้างผมสักเท่าไหร่


“จำนวนคนน่ะพอไหวอยู่ก็จริงนะ แต่จำนวนสปอนเซอร์น่ะหายไปเยอะมากแล้ว”


ทำไม...ทำไมกันล่ะ


“ตั้งแต่มีหอแสดงเกิดขึ้นใหม่หลายที่ สปอนเซอร์ของคอนเสิร์ตต่างๆ ของเราก็หายไปเยอะ หลังๆ มานี่บางคอนเสิร์ตทางหอแสดงแบกรับภาระค่าใช้จ่ายแทบทั้งหมดเลยก็มี”


บ้าน่า ทำไมผมถึงไม่รู้อะไรเลยล่ะ


“แล้วนี่รัฐบาลก็มาลดงบสนับสนุนอีก เขาคงอยากเฉลี่ยๆ ให้หลายๆ ที่แหละ แต่ก็นะ เป็นแบบนี้เราก็ลำบากเลย”


ไม่เอา...ไม่เอาแบบนี้สิ


“หลังจากนี้ก็...เตรียมตัวหางานใหม่กันไว้หน่อยก็ดีนะ ถ้ามันต้องปิดจริงๆ จะได้ไม่เคว้ง”


บ้าน่า เรื่องแบบนี้มัน...


“ยังไง เดี๋ยววันนี้อีฟส์กับไวท์ก็ไปเรียนรู้งานเตรียมห้องแสดงเลยนะ ไปสักสี่โมงเย็นกำลังดี อาจจะดูปุบปับไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้รีบไปเรียนไว้ เพราะฝ่ายนั้นเขาต้องออกสิ้นเดือนนี้ แล้วเดี๋ยว...”


เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันปุบปับเกินไปจนผมตั้งรับไม่ทัน


“...ฟ”


ขาดทุนงั้นเหรอ ยุบฝ่ายงั้นเหรอ อาจจะปิดหอแสดงงั้นเหรอ


“...อีฟส์”


เรื่องพรรค์นั้น จะให้ไปยอมรับง่ายๆ ได้ยังไงกัน


“...อีฟส์”


ถ้าพ่อรู้เรื่องนี้เข้า ชีวิตหลังจากนี้ของผมก็คงจบกันแน่


“พี่อีฟส์!”


“เหี้ย!”


เสียงตะโกนเรียกชื่อผมจากเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าทำเอาผมสะดุ้งโหยงจนเกือบตกเก้าอี้ โชคดีที่คว้าขอบโต๊ะเอาไว้ได้ทัน แต่นั่นก็ทำให้เจ็บมือไปไม่น้อยเหมือนกัน


นี่มันวันอะไรวะเนี่ย


“อยู่ใกล้แค่นี้จะตะโกนทำไมเล่า!”


ด้วยเรื่องหลายอย่างที่เข้ามารุมเร้าจนอารมณ์ผมไม่ปกติเท่าไหร่ก็เลยเผลอตวาดน้องมันไป กว่าจะรู้ว่าไม่ควรทำแบบนั้นก็ตอนที่เห็นอีกฝ่ายทำหน้าหงอยๆ ใส่นั่นล่ะ


บ้าเอ๊ย ทำอะไรลงไปอีกแล้ววะอีฟส์ สงบสติอารมณ์หน่อยสิ


ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกปล่อยออกมาหวังบรรเทาอารมณ์ที่ขุ่นมัว โชคดีที่ตอนนี้เหมือนว่าพี่ชัยจะออกไปแล้ว ไม่งั้นผมคงโดนตำหนิเรื่องที่ทำตัวไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่แน่ แต่ถึงจะไม่โดนตำหนิ ยังไงก็ต้องยอมรับว่าผมทำอะไรที่ไม่ถูกไม่ควรไปอยู่ดี


“โทษทีนะ เมื่อกี้พี่อารมณ์เสียไปหน่อย”


ผมเอ่ยขอโทษเขาเสียงค่อยพลางยกมือปลดกระดุมเสื้อบริเวณข้อมือตัวเองเพื่อคลายความอึดอัด


“พอได้ยินว่างานเริ่มมีปัญหามันก็อดเครียดขึ้นมาไม่ได้น่ะ”


แม้แต่ตัวเองยังรู้สึกว่าเสียงที่เปล่งตอบไปนั้นฟังดูสั่นเครือจนน่าสังเวช


ไม่สมกับผู้ใหญ่เอาเสียเลย แบบนี้เด็กมันคงดูแคลนเอาแน่...


ความคิดผมชะงักค้างลงเมื่อสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ทาบลงบนแก้มอย่างไม่มีที่มาที่ไป


ความอบอุ่นจากฝ่ามือใหญ่ที่ทาบลงบนแก้มผมผงะถอยออกมาในทีแรก แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมลดละ ฝ่ามือใหญ่อุ่นร้อนนั่นยังคงไล่ตามมาทาบทับเข้าที่แก้มของผมตามเดิมจนเหนื่อยจะหนี สุดท้าย ผมก็ทำได้แค่สบตากับคนที่อยู่ห่างกันออกไปเพียงปลายจมูกอยู่นิ่งๆ แบบนั้น


“ทำแบบนี้ทำไม”


กว่าผมจะเค้นเสียงของออกมาได้ ระยะห่างระหว่างพวกเราก็เหลือน้อยลงไปทุกที


เพิ่งตระหนักได้เดี๋ยวนี้เองว่าแท้จริงแล้ว เด็กคนนี้ก็ไม่ได้เหมือนคนในความทรงจำของผมสักเท่าไรนัก


ทั้งดวงตาสีเข้มกว่า ทั้งปลายจมูกที่เชิดงอนกว่า ไหนจะ...ลมหายใจที่ร้อนผ่าวกว่านี่อีก


...ไม่เหมือนกันเลย...


“ไม่รู้สิครับ” เขาว่าอย่างนั้น ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาปะทะลงบนริมฝีปากของผม “พอเห็นพี่ทุกข์ใจ มันก็ทนไม่ได้ขึ้นมา คิดแต่เพียงว่าต้องทำอะไรสักอย่างให้พี่รู้สึกดีขึ้น”


พวกเราสบตากันนิ่ง


“แล้วรู้ได้ยังไงว่าทำแบบนี้แล้วพี่จะรู้สึกดีขึ้น”


เขาเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะใช้นิ้วมือไล้ไปตามแก้มผมช้าๆ


“นั่นสินะครับ บางที...ผมอาจจะแค่เอาแต่ใจตัวเองก็ได้”


ใช่ เอาแต่ใจ เอาแต่ใจมากๆ ด้วย เป็นแค่ความเอาแต่ใจแบบเด็กๆ ... ทั้งที่เป็นแบบนั้น แล้วทำไมหัวใจของผมถึงต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วยล่ะ


นั่นสิ ทำไมกันนะ


ไม่เข้าใจ...ไม่เห็นเข้าใจเลย


“รู้ว่าเอาแต่ใจก็ถอยออกไปสิ”


ผมเห็นอีกฝ่ายหลุบตาลงมองบริเวณริมฝีปากของผมแว็บหนึ่งก่อนจะดึงสายตากลับมาสบตากัน


“พี่แน่ใจเหรอ”


“ยิ่งกว่าแน่”


สิ้นคำตอบของผม ร่างสูงใหญ่นั้นก็ยอมผละออกไปแต่โดยดี


ฝ่ามืออุ่นร้อนเมื่อครู่ถูกเก็บกลับลงไปไว้ในกระเป๋ากางเกงของเจ้าตัว นัยน์ตาสีดำขลับที่ทอประกายอ่อนโยนเมื่อครู่ก็กลับกลายเป็นแววตาทะเล้นตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน


“งั้น ไว้เจอกันตอนสี่โมงเย็นนะครับ ผมขอตัวไปช่วยพี่ชัยที่หน้าเคาน์เตอร์ก่อน”


ผมพยักหน้าช้าๆ พลางมองอีกคนที่เดินจากไปด้วยท่าทีปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


เมื่อกี้นี่มัน...อะไรกัน


นิ้วมือของผมไล้ไปตามแก้มบริเวณที่โดนสัมผัสช้าๆ นัยน์ตายังคงจับจ้องไปยังประตูที่อีกฝ่ายเพิ่งเดินออกไป


บริเวณที่โดนสัมผัสยังคงร้อนผ่าว ริมฝีปากยังจดจำลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดนั้นได้อย่างแม่นยำ


บ้าน่า คิดอะไรอยู่น่ะอีฟส์


ผมสะบัดหัวไล่ความคิดชั่ววูบก่อนจะขยับมือไปยันกับโต๊ะกะจะใช้เป็นแรงยันตัวขึ้นจากเก้าอี้ แต่เหมือนว่าวันนี้ดวงผมจะไม่ดีเท่าไหร่


ดวงตาของผมจับจ้องไปที่มือทั้งสองข้างทันทีที่รู้สึกถึงความผิดปกติ ริมฝีปากของผมเม้มเข้าหากันทันทีที่เห็นเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า


ทำไม...ถึงกำเริบขึ้นมาอีกล่ะ


ทำไมมือของผมจึงสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้อีกแล้ว


ทำไม...ทำไมกัน


ผมหลับตาลงช้าๆ ด้วยไม่อยากเห็นภาพที่ทำให้เจ็บปวดใจ อาการสั่นไม่ทราบสาเหตุของผมเริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น แม้ว่าแพทย์จะยืนยันว่าร่างกายหายกลับมาเป็นปกติเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมันไม่ใช่เรื่องปกติ แม้ว่าแพทย์จะบอกให้ทำใจยอมรับพร้อมกับเสนอแนวทางฟื้นฟูอย่างเต็มที่ แต่นั่นมันก็ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา...ไม่ใช่เลยสำหรับผม
แม้ทุกคนจะบอกให้ทำใจยอมรับ บอกให้ลืมเหตุการณ์เลวร้ายไปแล้วเริ่มต้นใหม่ แต่เรื่องแบบนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ง่ายๆ


จะให้ใช้ชีวิตอยู่กับมือแบบนี้ จะให้ทำใจยอมรับกับมือที่สั่นอย่างควบคุมไม่ได้แบบนี้น่ะเหรอ...


‘คนที่ไม่มีปัญญาแม้แต่จะควบคุมคันสีไวโอลินให้ถูกต้องได้ ก็ไม่มีทางจะเป็นนักไวโอลินได้หรอก’


จะให้ลืมคำพูดที่ยังก้องอยู่ในหัวพวกนั้นน่ะเหรอ


‘คนที่แม้แต่จะสีเพลงไอเนอ ไคลเนอ นาคท์มูซีก(Eine kleine Nachtmusik) ยังไม่มีปัญญาจะทำได้ ยังมีหน้าเรียกตัวเองว่านักไวโอลินอีกเหรอ’


จะให้ลืมถ้อยคำหยามเหยียด แววตาดูถูก และเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งมวลพวกนั้นน่ะเหรอ


‘เราต้องขอโทษด้วยนะครับคุณอีฟส์ แต่ถ้ามือของคุณยังเป็นแบบนี้ ผมก็เกรงว่าเราคงให้คุณเล่นต่อในวงไม่ได้เหมือนกัน’


จะให้ลืมวันที่โลกทั้งใบพังทลายลงมาแบบนั้น...


...ผมทำไม่ได้หรอก...






*************************************************************************


[เกร็ดความรู้]




เซเรเนดหมายเลข 13 สำหรับเครื่องสาย ในบันไดเสียง จี เมเจอร์ (Serenade No. 13 for strings in G major, K. 525) เป็นเซเรเนดที่แต่งโดยโวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ทเมื่อปี ค.ศ. 1787 ผลงานชิ้นนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ ไอเนอไคลเนอนาคท์มูซีก ( Eine kleine Nachtmusik; แปลว่า "a little serenade") แต่งขึ้นสำหรับวงดนตรีแชมเบอร์ที่ประกอบด้วยไวโอลิน 2 ตัว, วิโอลา, เชลโล และดับเบิลเบส แต่มักจะใช้บรรเลงโดยวงออร์เคสตรา


โมซาร์ทแต่งเซเรเนดชิ้นนี้เสร็จเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1787 ในช่วงพักระหว่างประพันธ์อุปรากรเรื่องดอน โจวานนี อยู่ที่กรุงเวียนนา เขาไม่ได้ตั้งชื่อผลงานชิ้นนี้เป็นการเฉพาะ แต่ระบุไว้ในรายการส่วนตัว ขึ้นต้นว่า "Eine kleine Nacht-Musik" จึงกลายเป็นชื่อที่ใช้เรียกผลงานชิ้นนี้โดยทั่วไป


ที่มา: ไอเนอไคลเนอนาคท์มูซีก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-08-2018 21:12:47 โดย Marymo »

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เจ็บปวดกับปมพี่อีฟส์จัง อนาคตนักดนตรีอันสวยงามฝันสลายเลย แล้วก็น่าสงสัยเจ้าไวท์อีก  :katai1: เพลงตอนที่แล้วกับตอนนี้เราคุ้นหูมากเลยค่ะ :L2: ขอบคุณมากนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2018 00:54:15 โดย Rumraisin »

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 6 – Four Seasons [Spring]








คนอื่นจะว่ายังไง ผมก็ไม่รู้ แต่สำหรับผมแล้ว ชีวิตของคนเรามันก็เหมือนกับการหมุนของโลกใบนี้


ในทุกๆ ปี โลกของเราจะต้องเผชิญหน้ากับสภาพอากาศที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา บางพื้นที่ก็มีถึงสี่ช่วง บางพื้นที่ก็มีแค่สอง ไม่สิ หนึ่งด้วยซ้ำไป


“ทำไมประเทศไทยมันถึงได้ร้อนอย่างนี้น้า”


เสียงบ่นโหวกเหวกของคนที่เพิ่งเดินรีบร้อนเข้ามาในห้องทำเอาผมที่นั่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่ต้องหันไปมองอย่างอดไม่ได้ ชายที่เพิ่งเข้ามาใหม่เป็นพนักงานวัยกลางคนที่เหมือนผมจะเคยเห็นหน้าแต่ก็ไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อน มือสองข้างของเขาหอบของพะรุงพะรัง ใบหน้าและลำคอถูกชโลมไปด้วยเหงื่อจนรู้สึกเหนอะหนะแทน


ผมหยุดคิดประโยคที่ควรตอบออกไปกับตัวเองอยู่หลายวินาทีก่อนจะเอ่ยปากออกไปให้เป็นธรรมชาติที่สุด


“ออกไปข้างนอกมาเหรอกพี่”


“เออ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นฟังดูจากดาวอังคารก็รู้ว่าคนพูดกำลังหงุดหงิดอย่างหนัก เอาเสียผมไปต่อไม่เป็นเลย


พูดอะไรต่อดีนะ ขืนเงียบไปเฉยๆ น่ากลัวจะโดนหาว่าหยิ่งอีก แต่ถ้าให้พูด ก็ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดว่าอะระ...


“อ้าว พี่เกื้อ หวัดดีครับ”


เสียงทักทายจากบุคคลที่สามดังแทรกขึ้นมาหยุดความคิดฟุ้งซ่านของผมได้ชะงัก คนมาใหม่ที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องสาดส่งรอยยิ้มกว้างให้ทุกคนพลางสาวเท้าเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าแช่มชื่นเหมือนปกติ


ปกติอย่างกับว่าเมื่อครู่นี้...อา ช่างมันเถอะ คิดอะไรน่ะอีฟส์


“ไงไอ้ไวท์ พักหลังมานี้ไม่เจอเลยนะ ลืมพวกพี่ในวงเหล้าไปหมดแล้วมั้ง”


ฮะ? ไงนะ นี่พวกฝ่ายสถานที่ชวนน้องฝ่ายผมไปกินเหล้าเหรอเนี่ย ให้ตายสิผู้ใหญ่พวกนี้ แทนที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กมัน...


“ก็ยุ่งๆ อะพี่ ทั้งเรียน ทั้งงาน”


“งาน?”


"ก็..."


เจ้าเด็กตัวสูงนั่นเหลือบมามองหน้าผมแว็บนึงก่อนจะหันกลับไป


“ศึกษาดนตรีคลาสสิคไงครับ”


“ฮะ! เอ็งเนี่ยนะไอ้ไวท์ พี่ไม่ได้หูฝาดใช่ไหม”


หืม...ดูเหมือนเรื่องที่น้องมันไม่ค่อยถูกโรคกับเพลงคลาสสิคจะเป็นที่เลื่องลือกันพอสมควรเลยสินะ


ผมหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มที่กำลังยืนยิ้มแห้งๆ แถมยังพยายามสบตาผมราวกับกำลังขอความช่วยเหลือด้วยรอยยิ้มกว้างที่สุดในชีวิต


อา สะใจ สะใจอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ


“โถพี่ ดูพูดเขาสิ ผมก็จริงจังกับงานได้ไหมล่ะ”


“ก็พอรู้นะว่าแผนกจำหน่ายบัตรควรมีความรู้เกี่ยวกับการแสดงบ้าง แต่ไอ้ไวท์กับเพลงคลาสสิคนี่...พี่นึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่ะ แต่ถ้าเป็นเพลงเพื่อชีวิตนี่ภาพขึ้นมาเลยนะ...”


เพลงเพื่อชีวิตงั้นเหรอ...


ผมกวาดตามองคนที่ทำสีหน้าเลิ่กลั่กพร้อมพยายามแก้ตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า


ให้ตายสิ ทำไมจู่ๆ ผมถึงรู้สึกเหมือนกับว่าเห็นอีกฝ่ายมีหางกับหูที่กำลังลู่ตกลงอยู่กันนะ แต่ก็นะ เด็กคนนี้น่ะ...


“พี่ อย่าพูดแบบนั้นสิ พี่อีฟส์ได้ยินหมดแล้วเนี่ย”


ไม่ว่าจะดูยังไงก็...


“อ้าวนี่พี่แผนกเหรอ ที่เคยเล่าให้ฟังใช่ไหมว่าชะ...”


“ว่าช่วยสอนงานผมไงพี่ ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาก็ได้พี่อีฟส์เขาช่วยไว้ล่ะครับ ไม่งั้นผมก็คงทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง”


...เป็นเจ้าหมาตัวโตที่โกหกไม่เนียนเอาเสียเลยล่ะนะ...


เอาเถอะ ตามน้ำไปหน่อยจะเป็นไรไป ยังไงเสียก็คงไม่ใช่เรื่องมีสาระอะไรใหญ่โตที่ต้องใส่ใจอยู่แล้ว


“ครับ ผมเป็นคนสอนงานให้น้องเขาเอง”


รุ่นพี่จากอีกแผนกมองหน้าผมสลับกับเจ้าลูกหมาที่ยืนยิ้มหูหางกระดิกอยู่ตรงนั้นแล้วหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ


“อะๆ ตามนั้นๆ ไปทำงานกันดีกว่า”


คำพูดนั้นฟังดูแล้วคล้ายจะหยอกเย้าอยู่ในที แต่เอาเถอะ ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรอยู่แล้ว สิ่งเดียวที่ผมสนใจในตอนนี้คือภาระงานที่ผมต้องทำเพิ่มเติมขึ้นจากเก่าที่แค่ได้ฟังคำชี้แจงก็เหนื่อยจนอยากจะลาออกให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่คิดล่ะนะ


“ปกติก่อนจะเปิดห้องให้นักดนตรีเข้ามาเนี่ย เราต้องเช็คทุกอย่างเลย ทั้งหลังเวที ทั้งห้องควบคุม ดูแลให้ครบว่าเรียบร้อยรึเปล่า งานส่วนนี้ต้องทำก่อนการแสดงสักสามสี่ชั่วโมงได้ยิ่งดี จะได้ไม่ขาดเหลือจนวุ่นวายกันก่อนการแสดงจริง เอาเข้าจริงตัวงานมันก็ไม่ได้เยอะอะไรหรอก แต่ต้องใช้เวลากับความละเอียดนิดหน่อย ไหนๆ วันนี้ก็มาแล้ว ลองทำจริงเลยแล้วกัน”


ฝ่ามือหยาบกร้านผายไปทางด้านหลังเวทีแล้วค้างไว้


“อะ ไหนใครจะเป็นคนทำส่วนหลังเวที”


ผมกับน้องที่ยืนอยู่ข้างกันหันหน้าขวับมามองกันอย่างรวดเร็ว คิ้วของผมเลิกขึ้นเป็นเชิงตั้งคำถามว่าจะเอายังไง ในตอนแรกผมคิดว่าน้องมันจะอยากได้งานส่วนหลังเวทีเพราะภาระงานน้อยกว่าเยอะเมื่อเทียบกับส่วนห้องควบคุม แต่ไปๆ มาๆ ดันได้รับคำตอบที่ไม่คาดฝันกลับมาเสียอย่างนั้น


“ผมกลัวที่มืดๆ แคบๆ อะพี่”


“เอาจริงดิ”


“จริงดิพี่ ทุกวันนี้ยังไม่กล้าขึ้นลิฟต์เลย”


บ้าจัง ทำไมจู่ๆ ถึงได้รู้สึกโกรธขึ้นมานะ...


“ไม่เห็นเคยบอกกันเลยนี่”


“โห ให้บอกยังไงอะพี่ อายจะตาย”


“อายอะไร”


“ก็เป็นผู้ชายแมนๆ แต่ดันมากลัวอะไรแบบนี้ไง”


“ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย”


ไม่นะ...ไม่ได้อยากพูดอะไรแบบนั้นสักหน่อย


“จะผู้ชายหรือผู้หญิงมันก็มีสิทธิ์กลัวอะไรด้วยกันทั้งนั้นรึเปล่า”


อย่าพูดใส่อารมณ์แบบนั้นนะ หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ


“หรือจริงๆ แล้วก็แค่ไม่อยากบอกกันแน่”


สิ้นคำพูดของผม ห้องทั้งห้องก็พลันตกอยู่ในความเงียบที่ชวนอึดอัดจนอยากวิ่งหนีไปเสียให้พ้นๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ผมไม่พูด น้องมันก็ไม่พูด ยิ่งพี่เกื้อยิ่งปิดปากเงียบ ทุกคนต่างพากันเงียบจนผมเองก็พาลไม่รู้ไปด้วยว่าตัวเองควรรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้านี้อย่างไรดี


ไอ้อีฟส์เอ๊ย ผูกได้แต่แก้ไม่ได้ที่แท้เลย


เอาวะ ก่อนอื่นก็คงต้องขอโทษก่อน


“เอ่อคือ...”


“’งั้นเดี๋ยวอีฟส์ไปทำงานเถอะ ส่วนไวท์ก็ตามพี่ไปดูห้องควบคุมแล้วกัน ตามนั้นเนอะ”


ไม่แม้แต่จะทิ้งจังหวะให้ตอบตกลง พี่เกื้อพยักหน้าเป็นเชิงสั่งให้ไปทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปเพื่อนำเด็กหนุ่มอีกคนไปทำหน้าที่อีกจุดหนึ่ง ทุกอย่างที่พี่เขาแสดงออกมาดูปกติเสียจนผมเผลอคิดไปแว็บนึงว่าเมื่อครู่นี้ผมคงไม่ได้พูดอะไรเลวร้ายพวกนั้นออกไป ถ้าไม่ติดที่ว่า...


...เด็กหนุ่มตัวสูงชะลูดคนนั้นยังยืนจ้องหน้าผมไม่ยอมละสายตา...


ให้ตายสิ แล้วผมต้องทำตัวยังไงล่ะเนี่ย


เอาวะ ขอโทษให้มันหายค้างคากันไปน่าจะดีที่สุดล่ะนะ


“คืองี้นะไวท์ เมื่อกี้นี้พี่ไม่ได้ตั้งจะ...”


“พี่มีสิทธิ์โกรธผมด้วยเหรอครับ”


ฮะ?


ในทีแรกผมตั้งใจจะเหลือบไปมองหน้าน้องเพื่อแสดงให้เห็นว่าผมไม่พอใจกับคำถามของเขาสักเท่าไหร่ แต่พอได้เห็นสายตาของน้องที่ส่งมาให้ ริมฝีปากมันก็พลันเปิดไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น


ทำไมถึงมองกันด้วยแววตาที่น่ากลัวขนาดกันล่ะ


ทำไมดวงตาคู่นั้นถึงได้...


แต่ก่อนที่ผมจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น เด็กหนุ่มตรงหน้าก็พลันเบนสายตาหนีไปเสียก่อน


“ช่างเถอะครับ คิดเสียว่าผมไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน”


เสียงนุ่มทุ้มทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย


ทั้งที่อุตส่าห์พัฒนาความสัมพันธ์จากคนที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกันขึ้นมาจนเป็นพี่น้องที่ค่อนข้างสนิทกันได้แล้วแท้ๆ ...


ทำไม...ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ...









หลังจากเกิดเหตุการณ์ชวนอึดอัดใจเมื่อครู่ ผมก็เอาแต่ซ่อนตัวอยู่บริเวณหลังเวทีไม่ยอมกลับออกไปที่ห้องจำหน่ายตั๋วหรือด้านหน้าเวทีอย่างที่ควรทำ ขาสองข้างเหยียดยาวแนบเป็นระนาบเดียวไปกับพื้นไม้เปื้อนฝุ่น แผ่นหลังอ่อนล้าเอนพิงผนังปูนเย็นเฉียบทางด้านหลัง


สุดท้ายก็...เอาแต่หนีอีกแล้วสินะ


ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกปล่อยออกมาทางจมูกเพื่อบรรเทาความอัดอั้นภายในใจ สายตาที่มองมาเมื่อครู่นี้ยังประทับแน่นอยู่ในสมอง ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่อาจสลัดมันออกไปได้เลย


ทำไมถึงมองมาด้วยแววตาที่โกรธเคืองกันขนาดนั้นล่ะ


เพราะเรื่องคำพูดก่อนหน้านี้งั้นเหรอ...


‘พี่มีสิทธิ์โกรธผมด้วยเหรอครับ’


ทำไม...ถึงถามออกมาแบบนั้นกันล่ะ


...อย่างกับรู้อะไรมาอย่างงั้นล่ะ...


พอคิดได้แบบนั้น จู่ๆ หัวใจมันก็พลันเต้นรัวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ความรู้สึกน่าอึดอัดบางอย่างตีตื้นขึ้นมาในอกจนรู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก


เขารู้อดีตของผมอย่างนั้นเหรอ...บ้าน่า เรื่องแบบนั้นน่ะ ยังไงก็ไม่น่าเป็นไปได้ในเมื่อ...


ผมยกมือสองข้างที่กำลังสั่นเทาของตัวเองขึ้นมามอง...จ้องมองอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ก่อนจะค่อยๆ วางมันกลับลงไปที่พื้นตามเดิม
นักดนตรีที่ละทิ้งความฝันของตัวเองไปแล้วแบบนี้ คงไม่มีอะไรให้น่าจดจำหรอก


ไม่น่าจดจำ...สินะ


เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความเงียบและมืดสลัว ลมที่พ่นออกมาจากจมูกทำให้ฝุ่นที่ลอยละล่องอยู่กลางอากาศกระจัดกระจายไปมากกว่าเก่า


ดวงตาของผมจับจ้องไปยังความมืดตรงหน้าอยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดจะละสายตาไปไหน ภาพความทรงจำเก่าเก็บที่ถูกฝังเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของสมองถูกนำขึ้นมาฉายซ้ำอีกครั้ง


ในความทรงจำที่เนิ่นนานมาแล้ว ครั้งหนึ่ง ผมเคยอยู่ในตำแหน่งนี้...เคยยืนอยู่กับเพื่อนฝูงมากมายที่บริเวณหลังเวทีแห่งนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่ในฐานะของพนักงานดูแลหอแสดงเหมือนอย่างที่กำลังทำ


สัมผัสของไม้เนื้อดียังทิ้งรอยประทับอยู่ที่ฝ่ามือนี้ราวกับเรื่องราวเหล่านั้นเพิ่งผ่านไปไม่นานมา เสียงดนตรีที่ดังก้องไปทั่วทั้งหอประชุมที่ชวนให้ใจสงบนั้น ยังวนอยู่ในหูซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจางหาย


เรื่องพวกนั้น ไม่น่าเชื่อเลยว่าผ่านมานานมากแล้ว...


“อีฟส์ เสร็จรึยัง”


ในระหว่างที่กำลังคิดอะไรเผลอๆ ก็พลันมีเสียงตะโกนเรียกดังมาจากด้านหน้าเวที  แม้จะเพิ่งพบกันได้ไม่นานแต่ผมก็จำได้ดีว่านั่นเป็นเสียงของใคร


“เสร็จแล้วครับพี่ กำลังจะออกไปครับ”


ตะโกนออกไปแบบนั้นทั้งที่ยังนั่งอยู่กับพื้น ช่างเป็นคนไม่เอาไหนเอาเสียเลย


ผมหัวเราะเยาะความเหลาะแหละของตัวเองเบาๆ ก่อนจะยันตัวขึ้นจากพื้นเพื่อเดินกลับไปยังด้านหน้าเวที


หมดเวลาหลีกหนีความจริงแล้ว หลังจากนี้ก็คงต้องไปคุยกับน้องให้รู้เรื่อง ต้องขอโทษอย่างจริงใจที่ใช้น้ำเสียงไม่ดีใส่ หลังจากนั้นผลจะเป็นยังไงก็ต้องยอมรับการกระทำของตัวเอง


ขาสองข้างก้าวเดินไปตามพื้นไม้อย่างเชื่องช้า หวังใจไว้ว่าอยากถ่วงเวลาออกไปอีกสักหน่อยตามประสาคนขี้ขลาด  และคงเพราะเดินช้าผิดปกติวิสัยนั่นล่ะ หางตามันก็เลยไปเห็นบางอย่างเข้าให้


ผมหยุดเดินก่อนจะหันไปมองยังทิศทางนั้นเพื่อดูให้แน่ใจอีกครั้ง


นั่นมัน...ไวโอลินไม่ใช่เหรอ


ราวกับมีแรงดึงดูดที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากไวโอลินเปื้อนฝุ่นที่ถูกวางปนไปกับเศษไม้ระเกะระกะ ผมสาวเท้าเข้าหามันอย่างรวดเร็วก่อนจะถือวิสาสะหยิบขึ้นมาดูตามอำเภอใจ


ไวโอลินตัวนี้ดูเก่าคร่ำครึแถมยังถูกฝุ่นจับไปทั่วจนดูสกปรกก็จริง แต่พอสำรวจดูอย่างคร่าวๆ ก็ไม่ได้พบความเสียหายอื่นใดอีก
ยังไม่พังแท้ๆ ทำไมถึงถูกทิ้งกันล่ะ


นิ้วของผมไล่ลูบไปบนเนื้อไม้เปื้อนฝุ่นช้าๆ


ถูกทิ้งทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ถูกทิ้งแค่เพราะเขาไม่รักที่เราเป็นเรางั้นเหรอ


“เหมือนกันเลยนะ”


ผมกระซิบบอกเพื่อนตัวน้อยในมือพลางอมยิ้มเล็กน้อย หัวใจรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล นี่คงเป็นความรู้สึกของคนที่ได้เจอพรรคพวกเป็นครั้งแรกล่ะมั้ง


“เอ้าอีฟส์ ทำอะไรอยู่ พี่จะปิดห้องแล้วเนี่ย”


คำถามที่ดังมาจากทางด้านหลังอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้ผมสะดุ้งโหยงจนไวโอลินแทบหลุดออกจากมือ


ตกใจโว้ย!


“โธ่พี่ ตกใจแทบแย่ มาไม่ให้สุ้มให้เสียง”


พี่เกื้อขมวดคิ้วพลางมองตอบกลับมาด้วยสีหน้ากึ่งตลกกึ่งระอาใจ


“ไม่ให้สุ้มให้เสียงกับผีสิ เกรงใจเสียงส้นรองเท้าที่กระทบพื้นของพี่ด้วย”


พอพูดจบเขาก็หัวเราะร่วนให้กับมุกตลกของตัวเองก่อนจะพูดต่อ


“ไป กลับกันได้แล้ว พี่จะปิดห้อง”


“อ้อ ได้ครับ”


และในจังหวะที่พี่เขากำลังจะหันหลังเดินนำออกไปนั้นเอง ผมก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้


“พี่เกื้อครับ”


“หือ?”


สองมือของผมยกไวโอลินที่ถืออยู่ให้พี่เขาดูช้าๆ


“อันนี้...ผมขอได้ไหมพี่”


“เอาไปนี่เล่นเป็นเหรอเราน่ะ”


ผมส่ายหัวด้วยท่าทางที่คิดว่าดูเป็นธรรมชาติที่สุดเพื่อไม่ให้มีพิรุธ


“ไม่ครับ แค่คิดว่าปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ทั้งที่ยังไม่พังก็น่าสงสารน่ะครับ”


“น่าสงสาร?”


บ้าจริง เผลอหลุดคำพูดประหลาดๆ ไปอีกแล้วสินะ


“เอ่อ ผมหมายถึงน่าเสียดายน่ะพี่ มันแพงใช่ไหมล่ะเครื่องดนตรีพวกนี้น่ะ”


พี่เกื้อหยุดมองผมนิดนึงก่อนจะพยักหน้า


“อ๋อ เออ ก็จริงเนอะ งั้นก็เอาไปเถอะ ปล่อยทิ้งไว้จนฝุ่นหนาขนาดนี้คงไม่มีใครเอาแล้วล่ะ”


“จริงเหรอพี่”


“ไม่จริงมั้ง”


ผมหัวเราะให้กับมุกตลกของเขาเล็กน้อยก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณ


“ขอบคุณครับพี่ ผมจะรักษาอย่างดีเลย”


“เออๆ ไปกันได้รึยังเนี่ย อยากกลับบ้านแล้ว”


สีหน้าอยากกลับบ้านจนเต็มแก่ของพี่เขาทำให้ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้


“โอเคพี่ๆ กลับกัน”


หลังจากตกลงกันได้เรียบร้อย พวกเราสองคนก็เดินออกมาจากด้านหลังเวทีออกมาด้านหน้า สองเท้าของผมพาตัวเองเดินตัดผ่านห้องแสดงขนาดใหญ่ไปยังประตูที่อยู่ทางด้านหลังด้วยฝีเท้าที่เชื่องช้ากว่าปกติเล็กน้อย ยอมรับว่าแม้จะห่างหายไปนานแต่สัมผัสของพื้นพรมนุ่มก็ยังให้ความรู้สึกที่ดีเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน


คิดถึง...จังเลย


แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่การได้กลับไปสัมผัสกับสถานที่ที่คล้ายคลึงกับสถานที่ในความทรงจำแบบนี้ก็ชวนให้รู้สึกดีไม่น้อย
แต่สุดท้ายแล้ว มีพบก็ต้องมีจาก


ประตูบานหนาใหญ่ปิดสนิทลงเรียบร้อยในตำแหน่งที่มันควรจะเป็น พี่เกื้อผู้ทำหน้าที่ถือกุญแจเคลื่อนไหวมือขยับตัวล็อกประตูในตำแหน่งต่างๆ อย่างชำนาญ ท่าทางคล่องแคล่วนั้นชวนให้เพลินตาอยู่ไม่น้อย


“นี่อีฟส์”


จู่ๆ เขาก็เรียกชื่อผมขึ้นมาทั้งที่ยังหันหลังให้อยู่อย่างนั้น


มีอะไรกันนะ


แม้จะสงสัย แต่สุดท้ายก็ยอมขานรับไปแต่โดยดี


“ครับพี่”


เขาไม่ได้ตอบกลับมาในทันที เจ้าของเสียงเรียกในตอนแรกง่วนอยู่กับการล็อกประตูอยู่หลายอึดใจ และในที่สุดเขาก็ยอมหันมามองหน้าผม


ใบหน้ามีอายุนั้นประดับไปด้วยรอยยิ้มใจดีเหมือนอย่างที่ได้เห็นมาตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน


“หลังจากพี่ออกแล้วก็ฝากอีฟส์ดูแลหน้าที่นี้แทนด้วยนะ”


ทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกันแท้ๆ ทำไมผมถึงหวิวใจกับคำพูดของเขานักนะ คงเป็นเพราะ...ผมเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเขาอยู่บ้างล่ะมั้ง


“ครับ ผมจะดูแลเอง ไม่ต้องห่วงนะพี่”


 “ขอบใจนะ ได้ยินแบบนี้พี่ก็เบาใจ”


ผมฉีกยิ้มให้คนที่เดินมาตบบ่าผมเบาๆ เจ้าของฝ่ามือนั้นพูดบอกลาผมเล็กน้อยก่อนทำท่าจะเดินจากไป


เขาคงเดินจากไปแล้วถ้าไม่ติดว่าผมพูดรั้งไว้เสียก่อน


“พี่เกื้อ เราลืมอะไรไปรึเปล่าพี่”


“หือ?”


นัยน์ตาของผมเหลือบไปมองประตูห้องแสดงที่ปิดสนิทเล็กน้อยก่อนจะกลับมาสบตากับพี่เขาตามเดิม


“น้องล่ะพี่ ไอ้ไวท์น่ะ”


“อ๋อ กลับไปแล้วล่ะ”


“เอ๊ะ”


จากเดิมที่รู้สึกผิดที่เผลอขังน้องเอาไว้ในห้องแสดง มาตอนนี้กลับกลายเป็นความรู้สึกผิดหวังชอบกล


ผิดหวัง...งั้นเหรอ


“เห็นว่ามีธุระต้องไปทำน่ะก็เลยขอกลับก่อน พี่ไม่ได้ไปบอกพี่ฝ่ายอย่างแก ขอโทษทีนะ พอดีเห็นน้องมันรีบๆ เลยอนุญาตไปเลย”


“ไม่เป็นไรครับพี่ ทำถูกแล้วล่ะครับ”


ผมรีบกล่าวรับคำขอโทษนั้นด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ฟังดูปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้


กลับไปแล้วงั้นเหรอ มีธุระด่วนงั้นเหรอ คนแบบไอ้เด็กนั่น เป็นตายร้ายดียังไงก็ต้องแจ้นมาบอกเขาก่อนกลับแน่ๆ แต่ที่หายไปแบบนี้คงมีแค่เหตุผลเดียว


จงใจหลบหน้าสินะ


“งั้นพี่กลับก่อนนะ ฝากไวโอลินตัวนั้นด้วยล่ะ”


“เอ๊ะ อ๋อ ครับ ได้ครับ ขอบคุณมากเลยครับพี่”


แล้วอีกฝ่ายก็เดินจากไป ทิ้งผมไว้บนทางเดินที่วางเปล่ากับไวโอลินเปื้อนฝุ่นในมือ


เอาเถอะ อย่างน้อยวันนี้ก็ยังพอมีเรื่องดีๆ อยู่บ้างล่ะนะ






*******************************************************************


[เกร็ดความรู้]


บทเพลงสี่ฤดู (Le quattro stagion / The Four Seasons) เป็นชุดไวโอลินคอนแชร์โต 4 ชิ้นที่แต่งโดย อันโตนีโอ วีวัลดี เมื่อปี ค.ศ. 1723 จัดเป็นงานดนตรีชิ้นหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากยุคบาโรค ประกอบไปด้วยฤดู 4 ฤดู ได้แก่ Spring, Summer, Autumn และ Winter

ที่มา: บทเพลงสี่ฤดู



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-09-2018 18:15:33 โดย Marymo »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 7 – Four Seasons [Summer]







ผมเคยสงสัยนะว่าคนเราสามารถโกรธเคืองคนที่เรามีความสัมพันธ์เชิงบวกด้วยได้นานขนาดไหนกัน


หนึ่งวัน? สามวัน? หนึ่งสัปดาห์? หรือนานกว่านั้น? สำหรับผมแล้ว หนึ่งสัปดาห์คือขีดจำกัด คงเพราะนิสัยเกลียดความอึดอัดเป็นทุนเดิมนั่นล่ะ ถ้าต้องให้ผมมาทนอยู่ในบรรยากาศอึมครึมที่แสนอึดอัดแบบนั้นไปนานๆ มีหวังได้ประสาทเสียไปก่อนพอดี ปกติแล้วถ้าเคลียร์ไม่ได้ ผมก็จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอยุติความสัมพันธ์นั้นแล้วทำตัวแบบต่างคนต่างอยู่กันไป นี่คงเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ผมมีความอดทนขนาดนี้


“นี่ไวท์ เราไม่คิดจะมาเคลียร์ปัญหากับพี่ให้มันจบๆ ไปหน่อยเหรอ”


คำพูดที่เอ่ยขึ้นมาหลังจากเหลืออดกับพฤติกรรมประหลาดที่น้องมันทำใส่มาร่วมสองสัปดาห์เรียกความสนใจจากคนถูกถามได้เล็กน้อย


แค่เล็กน้อยเท่านั้น


ดวงตาคมปรายตามามองผมเพียงแว็บเดียวก่อนจะหันกลับไปจดจ่ออยู่กับเอกสารตรงหน้า


“ก็ไม่เห็นจะมีอะไรต้องเคลียร์นี่ครับ”


“พฤติกรรมแบบนี้แหละที่ต้องเคลียร์”


ฝ่ามือใหญ่หยิบเอกสารคู่นั้นยังคงวุ่นวายอยู่กับกระดาษตรงหน้า ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดมือเลยสักนิด มองยังไงก็เป็นความจงใจชัดๆ


หงุดหงิด...หงุดหงิดใจจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว


เย็นไว้อีฟส์ ใจเย็นไว้ อย่าใช้อารมณ์


ผมแอบสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเริ่มบทสนทนาต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากขึ้น


“นี่ ถือว่าพี่ขอ เรามาคุยกันดีๆ ได้ไหม”


คงเพราะท่าทีที่ดูเคร่งขรึมขึ้น เขาจึงยอมหยุดพฤติกรรมกวนโมโหนั้นแล้วหันหน้ามามองผมจริงๆ จังๆ เป็นครั้งแรกในรอบสองสัปดาห์


ในดวงตาคมคู่นั้นไม่ปรากฏแววตาใดๆ ให้เห็น ไม่โกรธ ไม่ดีใจ ไม่มีอะไรสักอย่าง เป็นเพียงแววตาเรียบเฉยที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ...เฉยเสียจนชวนให้ใจหายชอบกล


ทั้งที่แค่แววตาแท้ๆ ทำไมถึงได้มีอิทธิพลต่อหัวใจของผมขนาดนี้กันนะ หรือจะเป็นเพราะว่าใบหน้าของเขาคล้ายคนในความทรงจำ....ใช่ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ


“แล้วพี่มีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”


น้ำเสียงนุ่มทุ้มเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวดึงผมออกจากโลกที่มีแต่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง ผมผลักความคิดทั้งหมดเก็บลงไปในก้นบึ้งของหัวสมองเพื่อให้ความสนใจทั้งหมดกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า


“ก็เรื่องวันนั้นไง ที่เราโกรธพี่น่ะ”


“ผมไม่ได้โกรธ”


เขาหลบตา


ไม่ได้โกรธบ้านป้าแกสิ


ผมจ้องหน้าเขาเขม็งก่อนจะพูดประโยคเดิมออกมา หวังให้อีกคนยอมรับความรู้สึกของตัวเองสักที


“นี่ไงโกรธชัดๆ เลย”


“ผมเปล่านะ”


“ไวท์”


“ไม่ได้โกรธสักหน่อย”


“ไวท์”


“พี่คิดไปเองรึเปล่า”


“ไวท์ครับ”


“โอเค ใช่ ผมโกรธพี่ โกรธมากด้วย”


“ก็แค่นั้นล่ะ”


คนที่โดนไล่ต้อนจนจนมุมยกมือขึ้นกอดอกตัวเองก่อนจะทิ้งตัวเข้าหาพนักเก้าอี้อย่างแรง...แรงเสียจนล้อใต้บริเวณขาเก้าอี้หมุนพาตัวเขาเคลื่อนไปด้านหลังพอสมควร


“เดี๋ยวก็ล้มหรอก”


ผมเตือนด้วยความหวังดี แต่สิ่งที่ได้กลับมาดันเป็นใบหน้ายับยู่ยี่ราวกับเด็กเล็กๆ ที่กำลังโมโห


“ผมจะล้มไม่ล้มก็เรื่องของผมน่า”


“อ้าวไอ้เด็กนี่ ที่เตือนเพราะเป็นห่วงไง”


“พี่เหรอห่วงผม ทำร้ายจิตใจกันซะขนาดนั้น”


คิ้วของผมขมวดยุ่งเข้าหากัน


“ทำร้ายจิตใจ?”


คนขี้น้อยใจปรายตามามองผมเล็กน้อยก่อนจะเบนหนีไปทางอื่น


“ใช่ซี่ ผมไม่ได้สำคัญกับพี่นิ คงลืมแล้วมั้งว่าทำร้ายจิตใจผมไว้ยังไง”


“ไอ้ไวท์ อย่ามางอนไร้สาระ บอกมาว่าพี่ทำอะไรให้แกโกรธ”


“คิดเอาเองสิพี่”


หลังจากทนดูท่าทางขี้งอนอยู่พักใหญ่ ความอดทนของผมก็ขาดสะบั้นลงในที่สุด


ไม่ต้องรอให้อีกคนพูดอะไรไปมากกว่านั้น ผมกะตำแหน่งมือของตัวเองด้วยความสามารถทั้งหมดที่มีก่อนจะยืดแขนออกไปผลักหัวเจ้าเด็กพูดไม่รู้เรื่องตรงหน้าแรงๆ หนึ่งที


“โอ๊ย เจ็บนะพี่”


“ก็ผลักให้เจ็บ ผลักให้ไม่เจ็บจะผลักเพื่อ”


“ใจร้าย”


เสียงทุ้มที่เคยทรงเสน่ห์ในตอนนั้น มาตอนนี้กลับงุ้งงิ้งฟังแล้วชวนให้รู้สึกรำคาญพิกล


หรือมันจะเป็นปัญหาที่ช่องว่างระหว่างวัยกันนะ


“เด็กสมัยนี้นี่เป็นแบบนี้ทุกคนเลยรึเปล่าเนี่ย”


แทนที่จะตอบกลับมาด้วยท่าทีเหมือนเด็กขี้น้อยใจเหมือนอย่างทุกที มาคราวนี้เขากลับหันมาจ้องหน้าผมอย่างตั้งอกตั้งใจทั้งที่ก่อนหน้านี้พยายามหลบตามาตลอด


มันเป็นอะไรของมันอีกล่ะเนี่ย


“พี่ใช้คำว่าเด็กสมัยนี้ด้วยอะ”


ผมขมวดคิ้วยุ่งขึ้นกว่าเก่า


“แล้ว?”


อีกฝ่ายส่ายหน้าพลางถอนหายใจออกมาช้าๆ


“ยิ่งตอกย้ำเข้าไปอีกว่าพี่กับผมต่างกันขนาดไหน”


ฮะ? อะไรของมันวะเนี่ย


คำพูดประหลาดๆ ของอีกฝ่ายทำเอาผมไปต่อไม่ถูก สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือการมองเขานิ่งๆ อย่างไม่รู้จะทำตัวยังไงดี


มาแบบนี้นี่ต้องตอบออกไปยังไงล่ะวะนั่น


“พี่”


“ฮะ?”


เสียงเรียกชื่อที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้ผมผงะไปเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับประโยคก่อนหน้านี้แล้วก็นับว่ายังอยู่ในระดับที่ปกติอยู่พอสมควร ถ้าไม่ติดว่าประโยคที่ตามมาจะเป็น...


“เคยสนใจอยากคบคนอายุน้อยกว่าไหมครับ”


“ฮะ?”


ผมมั่นใจมากว่าท่าทางของตัวเองในตอนนี้คงตลกน่าดู แต่นั่นไม่ได้สำคัญเท่ากับสิ่งที่อีกฝ่ายเพิ่งถามออกมา


“คบกับคนอายุน้อยกว่า...เหรอ”


“อือ ไม่เคยคิดจะคบบ้างเหรอพี่”


“พี่จะคบไม่คบมันก็ไม่เกี่ยวกับกับแกไหมล่ะ”


สิ้นประโยคของผม นัยน์ตาคู่นั้นก็พลันหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะเบนไปทางอื่นพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“บางทีผมก็เหนื่อยนะพี่”


“ฮะ? อะไรของมึงเนี่ย พูดไม่รู้เรื่องเลยโว้ย”


เขายักไหล่


“ปล่อยผมไปเถอะพี่ คิดเสียว่าฟังเสียงนกเสียงกา”


“ป่วยไหมเนี่ย หาหมอไหม”


“ป่วยพี่” เขาหันหน้ากลับมาสบตาผม “ป่วยใจน่ะ”


ไอ้บ้า น้องมันเป็นบ้าไปแล้ว พูดอะไรออกมาไม่รู้เรื่องเลยสักอย่าง


“คุยกับแกแม่งโคตรเหนื่อยเลยรู้ไหม”


“แอบรักคนบื้อๆ ก็เหนื่อยเหมือนกันนะพี่”


ฮะ?


“ไม่รู้เมื่อไหร่เขาจะรู้ตัวสักทีเนอะ”


บ้าน่า น้องมันอาจจะหมายถึงคนอื่นก็ได้มั้ง


“สงสัยคงเพราะอายุห่างกันมากมั้ง เขาก็เลยมองไม่เห็นความรักของผมสักที”


บ้าน่า บ้าแล้ว บ้า ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอก


ทั้งที่พยายามบอกตัวเองอย่างนั้น แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจถึงได้เต้นแรงนัก


ก็แค่เพราะหน้ามันเหมือนคนที่เคยแอบชอบเท่านั้นล่ะ ใช่ ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ


“ถ้าวันนึงเขาชอบผมกลับมาเมื่อไหร่ พี่ช่วยรีบมาบอกผมทีนะ”


หยุดสิหัวใจ จะเต้นแรงไปให้เขาได้ยินเลยรึไงกัน ทำตัวให้ปกติเข้าไว้สิ


“จะบ้ารึไง พี่ไม่รู้จักคนที่แกชอบสักหน่อย จะไปบอกให้ได้ไง”


“รู้สิพี่”


จู่ๆ น้ำเสียงนั้นก็จริงจังขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล...จริงจังเสียจนผมเผลอหันไปสบตาเขาอย่างช่วยไม่ได้


ใบหน้าหล่อเหลานั้นคล้ายคลึงกับคนในความทรงจำอย่างน่ากลัว แม้ดูรวมๆ แล้วจะไม่เหมือน แต่รอยยิ้มแบบนั้นมันก็ยังชวนให้ใจมันไม่สงบอยู่ดี


นี่มันคนละคนกันนะอีฟส์ ตั้งสติไว้สิ


“ผมว่าพี่รู้จักเขาดียิ่งกว่าผมเสียอีก”


ไม่เอานะ อย่ายิ้มด้วยแววตาสดใสแบบนั้นสิ


“อย่าลืมนะครับ”


ทำไมเจ้าก้อนเนื้อในอกนี่มันถึงได้เต้นแรงขนาดนี้กันล่ะ


“ถ้าวันไหนที่เขาเริ่มรักผมแล้ว พี่ต้องมาบอกผมนะ”


เด็กหนุ่มตรงหน้าลุกขึ้นยืนช้าๆ ก่อนจะโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูของผม


“ผมเองก็จะพยายามไล่ตาเขาในแบบของผมเองเหมือนกัน”


แล้วเขาก็ดึงตัวเองกลับไปยืนตัวตรงตามเดิม รอยยิ้มทะเล้นยังคงประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาราวกับว่ามันจะคงอยู่อย่างนั้นตลอดไปอย่างไรอย่างนั้น


“ส่วนเรื่องที่ผมโกรธนั้น ผมหายแล้วนะครับ”


แล้วเขาก็เดินหายเข้าไปในห้องพักพนักงานด้วยท่าทีปกติเหมือนอย่างเคย ทิ้งผมเอาไว้กับหัวใจที่เต้นรัวด้านหลังเคาน์เตอร์เพียงลำพัง


นี่มัน...เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย...





**************************************************************************






ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 8 – Four Seasons [Autumn]







จำได้ว่าเมื่อก่อนก็เคยโดนเพื่อนให้ฉายาว่า ‘เจ้าบื้อ’ หรือ ‘พวกหัวช้า’ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยเก็บกลับมาคิดเป็นจริงเป็นจังเลยสักครั้ง เรียกอีกอย่างก็คือไม่เคยคิดจะใส่ใจ ในตอนนั้นคิดแต่เพียงว่าอาการรู้ตัวช้าบ้างในบางครั้งก็ดูจะมีประโยชน์อยู่เหมือนกัน อย่างเวลาที่เจอคนที่ไม่ชอบขี้หน้าเราแล้วเราไม่รู้ตัวสักที แบบนั้นก็ชวนให้รู้สึกดีกว่าเพราะจะได้ไม่ต้องมานั่งเครียดว่าถูกเกลียด แต่พอโตขึ้นมาหน่อยก็เหมือนว่าจะทันคนมากขึ้น แม้จะยังไม่มากเท่าคนอื่นเขา แต่ก็นับว่าดีกว่าเมื่อก่อนอยู่ไม่น้อย เรียกได้ว่ามีพัฒนาการที่ดีเสียจนอดภูมิใจในตัวเองขึ้นมาไม่ได้


ผมภูมิใจในการเปลี่ยนแปลงแบบนั้นมาตลอดจนเมื่อไม่นานมานี้...


“พี่อีฟส์หยิบถึงไหมพี่”


เสียงเอ่ยถามจากคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องดังขึ้นแทรกความเงียบงันในตอนแรกจนผมต้องยอมหยุดเขย่งเท้าแล้วหันไปมองคนพูด


“อือ หยิบได้อยู่แล้ว แค่นี้เอง”


ผมพยักหน้าให้เขาพลางตอบกลับไปด้วยท่าทีปกติเหมือนอย่างเคยก่อนจะเริ่มเขย่งเท้าอีกครั้ง


ซองเอกสารสีน้ำตาลที่วางอยู่บนตู้เหล็กคืออุปสรรคของผมในขณะนี้ คงเพราะกรรมพันธุ์ที่พากันตัวเล็กกันทั้งบ้านนั่นล่ะ ความสูงเลยดูเป็นปัญหาสำคัญสำหรับผมมาตลอด จำได้ว่าเมื่อก่อนก็เคยโดนแกล้งรังแกก็เพราะส่วนสูงที่น้อยกว่าชาวบ้านนี่ล่ะ ในตอนนั้นทุกคนก็พากันพูดปลอบเป็นทำนองว่า ‘เดี๋ยวโตก็สูงขึ้นเอง’ แต่เหมือนจะลืมบอกไปว่า ‘คนอื่นเขาก็จะสูงขึ้นเหมือนกันนะ’ ไปเสียอย่างนั้น สุดท้าย ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหน ผมก็เป็นได้แค่ผู้ชายตัวเล็กที่มีส่วนสูงแค่ร้อยเจ็ดสิบต้นๆ เท่านั้น


สงสารตัวเองเป็นบ้าเลย


ผมมองซองเอกสารที่อยู่ห่างออกไปเพียงคืบเดียวก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพักขากลับลงมายืนปกติ


ไม่ไหว เขย่งยังไงก็ไม่ถึงจริงๆ


“ได้ไหมพี่ ให้ผมช่วยรึเปล่า”


เจ้าของเสียงคนเดิมยังคงถามออกมาอย่างไม่ลดละ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงหันไปบอกให้เขามาช่วยไปแล้ว แต่หลังจากที่พูดคุยกันวันนั้นมันก็...


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่หยิบเอง ไปเฝ้าเคาน์เตอร์กับพี่ชัยเถอะ เดี๋ยวหยิบเสร็จแล้วพี่ตามไป”


นัยน์ตาคมมองผมด้วยสีหน้าลังเล แต่เมื่อโดนผมโบกมือไล่อีกครั้ง เขาก็ยอมจากไปแต่โดยดี


หลังจากทั้งห้องเหลือเพียงผมคนเดียวอีกครั้ง ผมก็ถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ คราวนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนสูงที่น่าน้อยใจหรืออะไรทำนองนั้น แต่มันเป็นเรื่องของเจ้าเด็กที่เพิ่งเดินจากไปเมื่อกี้นี้ต่างหาก


‘พี่เคยสนใจอยากคบคนอายุน้อยกว่าไหมครับ’


ตอนที่เอ่ยปากถามออกมา ในใจของเขาคิดอะไรอยู่กันนะ


‘แอบรักคนบื้อๆ ก็เหนื่อยเหมือนกันนะพี่’


นั่นน่ะ หมายถึงผมอย่างนั้นเหรอ


‘ถ้าวันนึงเขาชอบผมกลับมาเมื่อไหร่ พี่ช่วยรีบมาบอกผมทีนะ’


เรื่องแบบนั้นน่ะ...


มือสองข้างเผลอกำเข้าหากันแน่นโดยไม่รู้ตัว ภาพความคิดที่มีแต่เด็กหนุ่มรุ่นน้องเมื่อครู่ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยชายคนหนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันอย่างมาก


‘เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้หรอกอีฟส์’


ครั้งหนึ่ง ผมเคยได้รับคำพูดแบบนี้มาก่อน


‘ถ้าอีฟส์เป็นผู้หญิง คงจะดีกว่านี้นะ’


‘เขาคนนั้น’ เคยบอกผมว่าเมื่อนานมาแล้ว


‘พี่จะแต่งงาน’


 แล้วทุกอย่างในตอนนั้นก็จบลงพร้อมกับความฝันของผมที่จากไปตลอดกาล


...นั่นสินะ...


ผมยกมือที่ยังเหลือร่องรอยของอุบัติเหติในอดีตขึ้นมาดูช้าๆ พลิกไปพลิกมาราวกับว่าอยากจะจดจำรอยแผลเหล่านี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ


เรื่องตอนนั้น...บาดแผลนี้ จะบอกว่า ‘เขาคนนั้น’ เป็นสาเหตุก็คงไม่ผิด แต่ถ้าพูดแบบนั้นมันก็ฟังดูเหมือนพยายามยัดเยียดความผิดให้คนอื่นมากจนเกินไปสักหน่อย ถ้าจะให้พูดโดยปราศจากการปรักปรำแล้วก็คงต้องบอกว่า เขาเป็นสาเหตุ แต่ผมคือคนที่ทำให้มันเกิดขึ้นมาเอง


แรงปะทะ ความเจ็บปวด กลิ่นคาวเลือด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ผมยังจำได้ขึ้นใจ


...ช่วงเวลาที่เผลอก้าวขาลงไปในนรกแล้วหนึ่งก้าวแบบนั้น ใครมันจะไปลืมลงกัน...


ผมปิดเปลือกตาลงช้าๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง


เอาแต่จมอยู่เรื่องในอดีตแบบนี้นี่...ทำตัวแก่เอาเรื่องเลยนะไอ้อีฟส์


เสียงหัวเราะแปร่งๆ ดังออกมาจากในคอด้วยความสมเพชตัวเองอย่างบอกไม่ถูก สุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงแค่ผลักเอาความรู้สึกทั้งหมดเหล่านั้นเก็บลงไปในส่วนลึกที่สุดในใจแล้วกลับมาใช้ชีวิตในโลกแห่งความจริงตามเดิม


สุดท้ายแล้วเรื่องร้ายๆ เหล่านั้นก็เป็นได้เพียงแค่ความทรงจำที่เลวร้ายในอดีตที่ผมผ่านมาได้แล้วก็เท่านั้น


ผมลุกขึ้นยืนขึ้นอีกครั้งก่อนจะยกเก้าอี้ที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยมาตั้งหวังใช้เป็นฐานสำหรับยืนหยิบเจ้าซองเอกสารเจ้าปัญหา หลังจากลองขยับเช็กความมั่นคงของขาเก้าอี้อยู่สองสามครั้งจนมั่นใจว่าทุกอย่างน่าจะผ่านไปได้ด้วยดี ผมจึงค่อยๆ ก้าวขึ้นไปยืนก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเอกสารซองนั้นมาถือไว้ในมือ


ทุกอย่างกำลังจะลุล่วงอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่า...


-กร๊อบ!-   


ยังไม่ทันที่ผมจะได้ไตร่ตรองว่าเสียงที่ได้ยินคือเสียงของอะไร ร่างทั้งร่างก็พลันหล่นวูบลงไปด้านล่างราวกับมีแรงดึงจากมือที่มองไม่เห็น ตัวผมตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง ในขณะที่ซองเอกสารก็พลันหลุดออกจากมือไปจนกระดาษด้านในเทออกมาปลิวกระจัดกระจายไปทั่วทั้งห้อง


ร่างกายเจ็บร้าวเสียจนขยับไม่ไหวในทีแรก แต่พอผ่านไปสักพักความเจ็บปวดก็เริ่มทุเลาลงจนเริ่มประติดประต่อเรื่องราวได้ ผมเหลือบสายตาไปมองซากเก่าอี้ไม้พังๆ ที่ล้มระเนระนาดอยู่หน้าตู้เหล็กอย่างน่าอเนจอนาถ แต่ที่น่าสมเพชกว่าก็น่าจะเป็นสภาพของผมในตอนนี้นี่แหละ


พรุ่งนี้จะมีข่าว ‘อนาถ พนักงานหนุ่มวัยกลางคนตกจากเก้าอี้ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ’ ขึ้นหน้าหนึ่งไหมนะ


อา เจ็บจนไม่อยากคิดอะไรเลย


ในทีแรกผมตั้งใจไว้ว่าจะนอนแหมะอยู่อย่างนี้จนกว่าอาการเจ็บจะทุเลาลง จากนั้นจึงค่อยลุกขึ้นเก็บกวาดซากข้าวของที่พังพินาศไปหมดให้เรียบร้อยจะได้ไม่โดนด่าว่าตามหลัง แต่เหมือนว่าโชคชะตาฟ้าดินคงยังเห็นใจผมอยู่บ้าง ไม่ก็เสียงของโศกนาฏกรรมเมื่อครู่นี้คงจะดังไปหน่อย ไม่กี่นาทีหลังจากที่ผมตกลงมา ประตูเข้าออกที่มีเพียงบานเดียวในห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการมาเยือนของชายสองคนที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี


“อีฟส์! / พี่อีฟส์!”


พี่ชัยกับเจ้าไวท์ประสานเสียงเข้าด้วยกันอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะวิ่งกรูกันเข้ามาหาผมด้วยท่าทางตื่นตระหนก


“ลุกไหวไหมอีฟส์” เป็นพี่ชัยที่พูดขึ้นมาก่อนพลางมองสำรวจไปทั่วตัวผมด้วยสีหน้าเป็นกังวล “แก่ๆ กันแล้ว ระวังตัวเองกันหน่อยสิ คนแก่กระดูกหักง่ายนะ”


ขอบคุณครับพี่ รู้สึกดีขึ้นมาเยอะเลย


ผมแอบแซวพี่ชัยอยู่ในใจก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นมาจากพื้น


“ไม่หักหรอกพี่ ผมดื่มนมทุกวัน”


“ไอ้บ้า”


พนันได้เลยว่าถ้าผมไม่ได้กำลังอยู่ในสภาวะใกล้ตายอย่างตอนนี้ พี่แกต้องเอามือผลักหัวผมแน่นอน


“แล้วพี่ไปทำอีท่าไหนถึงเป็นแบบนี้ได้ล่ะพี่”


คำถามจากคนที่นั่งเงียบมาพักใหญ่ทำให้ผมอดยกมือขึ้นมาเกาหัวแก้เก้อไม่ได้


เขินเป็นบ้า จะให้บอกจริงๆ เหรอว่า ‘อ๋อ คือพี่เตี้ยก็เลยเอาเก้าอี้มาปีนหยิบเอกสาร แต่พอดีว่าอ้วนไปหน่อย เก้าอี้เลยหัก’ แบบนี้น่ะเหรอ


เอาเถอะ ยังไงก็ต้องบอกอยู่แล้ว เลี่ยงไปก็เท่านั้น


“พอดีว่าจะหยิบเก้าอี้ปีนไปหยิบเอกสารน่ะ แต่ขาเก้าอี้มันหักก็เลยตกลงมา”


“พี่บอกแล้วใช่ไหมอีฟส์ว่าให้ลดความอ้วน”


กู-ว่า-แล้ว แม้พี่ชัยจะเป็นพี่ชายและหัวหน้างานที่น่าเคารพแค่ไหน แต่เรื่องปากของแกนี่มันเหลือร้ายจริงๆ เรียกว่ามีชื่อเสียงกระฉ่อนองค์กร ใครหน้าไหนก็สู้พี่แกไม่ได้ทั้งนั้น


“ขาเก้าอี้มันไม่แข็งแรงต่างหากพี่”


“เออๆ แล้วนี่ทำงานต่อไหวไหมเนี่ย”


คำแก้ตัวเรื่องน้ำหนักของผมถูกปัดตกไปอย่างไม่ไยดี สีหน้าเป็นกังวลของพี่เขาทำให้ผมอดตงิดใจขึ้นมาไม่ได้ ถ้าเป็นเวลาปกติ พี่ชัยคงไล่ผมไปหาหมอแล้วรับปากว่าจะควบกะแทนไปแล้ว แต่ที่ทำหน้าตาแบบนี้น่ากลัวว่าจะ...


ผมเหลือบตาไปมองนาฬิกาที่เข็มสั้นกำลังจะชี้เลขสามในอีกสิบนาทีก่อนจะหันกลับมาสบตาคนตรงหน้า


“วันนี้มีธุระด่วนเหรอพี่”


“ฮะ?”


เขาทำหน้างุนงงนิดหน่อยผมเลยต้องขยายความต่อ


“ก็ดูพี่เครียดๆ”


“อ๋อ เปล่าหรอก” เขาหลบตาเล็กน้อย “พอดีวันนี้ภรรยาพี่มีผ่าคลอดตอนหกโมงเย็นนะ”


ผมหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางขมวดคิ้วยุ่ง


“แล้วพี่มานั่งทำแป๊ะอะไรอยู่ตรงนี้อะพี่”


“ฮะ?”


“กลับบ้านดิพี่ ภรรยาจะคลอดลูกทั้งคนเลยนะ”


“แต่ว่า...” เขาไล่สายตามองผมที่นั่งแหมะอยู่กับพื้นก่อนจะดึงสายตากลับขึ้นมาสบตากันอีกครั้ง “แกเจ็บตัวขนาดนี้ ไปโรงพยาบาลดีกว่าไหมล่ะ เดี๋ยวพี่ทำควบกะให้ก็ได้”


“เพ้อเจ้ออะพี่”


“อ้าว ไอ้เด็กเวร นี่อุตส่าห์จะเป็นคนดีละ...”


“เป็นคนดียังไง คนสำคัญที่สุดของเราก็ต้องมาก่อนไหมล่ะพี่”


เขาเงียบไป ผมจึงได้โอกาสพูดต่อ


“พี่กลับไปเลย ไม่ต้องห่วงทางนี้แล้ว ถ้าผมเจ็บตัวจริงๆ จนไม่ไหว ผมก็จะไปโรงพยาบาลแล้วรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดเอง ถ้าเจ้านายเขาจะว่าพี่ ผมก็จะบอกว่าพี่ไม่รู้เรื่อง พี่กลับไปก่อนแล้ว โอเคไหม”


ผมเอื้อมมือไปตบไหล่เขาเบาๆ


“ภรรยาพี่เขาต้องการพี่มากกว่าผมเยอะ”


บรรยากาศในห้องถูกความเงียบกลืนกินไปพักใหญ่ก่อนจะถูกทำลายลงด้วยเสียงแหบต่ำเป็นเอกลักษณ์ของชายวัยกลางคนตรงหน้าผม


“ขอบใจนะ”


ใบหน้าของผมพยักรับคำขอบคุณนั้นน้อยๆ ก่อนจะส่งยิ้มกว้างไปให้


“ขอให้ปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูกนะพี่”


พี่ชัยยิ้มกว้างยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่ผมเคยเห็นก่อนจะขอตัวออกกะเพื่อไปเตรียมตัวต้อนรับสมาชิกตัวน้อยคนใหม่ของบ้าน ทิ้งผมเอาไว้กับเด็กหนุ่มที่นั่งเงียบมาตลอดราวกับไม่มีตัวตน สารภาพเลยว่าผมก็เพิ่งนึกได้ว่าน้องมันนั่งอยู่ข้างหลังผมก็เมื่อกี้นี่เอง
ผมขยับหมุนตัวหันหน้าเข้าหาน้องมันพร้อมกับฉีกยิ้มให้เหมือนตามปกติ


“ไวท์ ไหนๆ ก็เหลือแกที่แข็งแรงอยู่คนเดียวแล้ว ช่วยพี่เก็บเอกสารทีได้มะ...เฮ้ย!”


ประโยคที่ยังพูดไม่ทันจบของผมถูกแทนทีด้วยเสียงอุทานทันทีที่ถูกอีกฝ่ายดึงเข้าไปกอด แผ่นอกกว้างนั้นกำลังถ่ายทอดความอุ่นร้อนบางอย่างเข้ามาในร่างผม อ้อมแขนแกร่งที่โอบรัดอยู่ด้านหลังดึงให้ตัวผมแนบชิดเข้ากับร่างของอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก


บ้าน่า นี่มัน...อะไรกันล่ะเนี่ย


“ทำอะไรของแกเนี่ย”


เสียงของผมอู้อี้และเบากว่าปกติ คงเป็นเพราะใบหน้าถูกกดแนบเข้ากับหน้าอกของอีกฝ่ายนั่นล่ะ


ใช่แล้ว ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ เรื่องเขินอะไรนั่นน่ะ ไม่ใช่หรอก


ผมพยายามสงบจิตใจตัวเองด้วยการบอกว่าอ้อมกอดนี้เป็นเพียงแค่ความเป็นห่วงของน้องชายธรรมดา แต่เสียงก้อนเนื้อที่เต้นถี่รัวอยู่ในอกของอีกฝ่ายกลับทำลายความพยายามนั้นเสียหมดสิ้น


เสียงแบบนี้ ใช่ว่าจะไม่เคยรู้จัก


“เป็นห่วง”


เขาพูดไว้แค่นั้นกอดจะกระชับอ้อมกอดที่แน่นอยู่แล้วให้แน่นมากขึ้นไปอีก ยิ่งไปกว่านั้น สัมผัสอุ่นร้อนบนกลุ่มผมของตัวเองนั้น....คือริมฝีปากของอีกฝ่ายใช่ไหมนะ...


บ้าจริง ทำไมถึงใจเต้นแรงขนาดนี้กันนะ


“อือ”


ผมพยายามที่จะทำตัวปกติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย


“ผมเป็นห่วง เป็นห่วงพี่จนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”


เขาว่าอย่างนั้นพลางซุกหน้าเข้ากับหัวของผมมากขึ้น


“ผมโกรธตัวเอง โกรธที่ทำไม่ถึงไม่ยอมดื้อดึงแล้วอยู่ช่วยพี่อีกนิด”


ผมเพิ่งจะรู้ตอนนี้เองว่าร่างกายของเด็กคนนี้นั้นแข็งแกร่งขนาดไหนตอนที่ถูกดึงเข้าไปกอด แขนสองข้างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แผงอกแข็งแบนไร้ไข้มัน ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เด็กคนนี้ก็แข็งแรงมากกว่าผมเยอะ แต่ตอนนี้ ร่างกายที่เต็มไปด้วยพละกำลังและความเข้มแข็งนี้กำลังสั่นไหว


เขากำลังอ่อนแอ...เพราะผมอย่างนั้นเหรอ...


“ตอนนั้นเอาแต่คิดว่าถ้าทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตแล้วพี่จะโกรธ กลัวแต่ว่าพี่จะไม่รัก สุดท้ายก็เลยเดินออกไปจนเป็นสาเหตุให้พี่ต้องมาเจ็บตัวแทน”


เสียงทุ้มต่ำทรงเสน่ห์ของเขาสั่นเครืออย่างน่าสงสาร


“ผมขอโทษ ผมขอโทษนะครับ”


ไม่รู้ทำไม พอได้ยินคำพูดนั้นมันก็อดหัวเราะออกมาใส่คนพูดไม่ได้


“พี่หัวเราะทำไมเล่า”


เสียงของเขาอู้อี้ไม่แพ้เสียงของผมเมื่อครู่สักเท่าไหร่นัก ติดที่ว่าปลายเสียงดูมีความขี้งอนมากกว่าก็เท่านั้น


เพิ่งจะรู้สึกเดี๋ยวนี้เองว่าเด็กคนนี้ก็น่ารักเอาเรื่องเลยเหมือนกัน


ก่อนอื่นก็คงต้องปลอบเจ้าเด็กขี้แยก่อนล่ะนะ


มือของผมยกขึ้นลูบหัวของอีกฝ่ายช้าๆ


“เด็กโง่” ผมว่าอย่างนั้นพลางลูบไล้ไปตามเส้นผมนุ่มเพื่อปลอบประโลม “นี่ไม่ใช่ความผิดของไวท์สักหน่อย”


“แต่ว่า...”


“อย่าเพิ่งแทรกขึ้นมาสิครับ”


เมื่อได้ฟังคำปราม อีกฝ่ายก็ยอมลงแต่โดยดี


เป็นเด็กน่ารักจริงๆ นั่นล่ะ


“แม่พี่เคยบอกไว้เมื่อตอนพี่ยังเด็กๆ ว่า อะไรที่เกิดขึ้นมาแล้ว มันย่อมดีและเหมาะสมแล้วทั้งนั้น”


ผมขยับตัวซุกเข้าหาอีกคนอีกหน่อย ก่อนจะย้ายมือที่คอยลูบหัวของอีกฝ่ายเมื่อครู่มาวางพักไว้บนไหล่กว้าง


“เพราะฉะนั้น พี่โอเคกับการตกเก้าอี้นะ” ริมฝีปากเปล่งเสียงร่วนออกมาก่อนจะพูดต่อ “เพราะฉะนั้น...”


สองแขนของผมค้ำยันเข้ากับแผ่นอกกว้างก่อนจะดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายเพื่อสบตากัน นัยน์ตาคมสวยคู่นั้นยังปรากฏร่องรอยของความรู้สึกผิด


น่าสงสารเสียจนผมต้องยกมือกลับไปลูบหัวเขาเบาๆ อีกครั้ง


“ไวท์ก็ไม่ต้องรู้สึกผิดกับสิ่งที่พี่โอเคแล้วนะครับ”


เด็กหนุ่มคนนั้นไม่พูดอะไรอยู่หลายอึดใจ ดวงตาคู่สวยเอาแต่จับจ้องเข้ามาในตาของผมอยู่อย่างนั้นเสียจนผมเป็นฝ่ายเริ่มรู้สึกแปลกๆ แทน


จะว่ายังไงดีล่ะ เรียกเขินก็คง...ได้มั้ง


ในขณะที่ผมกำลังทำตัวไม่ถูกว่าควรจะหลบตาหรือจ้องกลับอยู่นั่นเอง เจ้าของเสียงทุ้มก็ยอมเปิดปากออกมาในที่สุด


“พี่แม่ง”


อ้าว ไหงคำแรกถึงเป็นคนนี้ล่ะโว้ย!


ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากบ่น เขาก็พลันพูดแทรกขึ้นมาก่อน


“ใจดีเกินไปแล้วรู้ไหม”


ริมฝีปากที่อ้าไว้เตรียมด่าของผมถึงกับชะงักค้างอยู่กลางอากาศก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแห้งๆ แก้เก้อ


“อา ขอบใจนะ”


“เปลี่ยนจากคำขอบคุณมาเป็นคำตอบรับดีกว่าพี่”


“ฮะ?”


“คบกับผมนะครับ”


อา.....พี่ชัยครับ รบกวนกลับมาควบกะได้ไหมครับพี่....






********************************************************************





ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 9 – Four Seasons [Winter]









บางครั้ง ผมก็อยากให้สิ่งที่กำลังรับรู้เป็นเพียงความฝัน


“เมื่อกี้นี้...ว่ายังไงนะ”


ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าเสียงของตัวเองจะสั่นเครือได้ขนาดนี้ สุ้มเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจเปล่งออกไปอย่างแผ่วเบาคล้ายกับอยากให้อีกคนพูดอะไรสักอย่างตอบกลับมาเสียเดี๋ยวนั้น แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่ค่อยนำพาด้วยสักเท่าไหร่


ใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเด็กหนุ่มตรงหน้ายังคงเรียบเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาวราวกับไม่ได้ยินอะไรจนเป็นผมเสียเองที่ต้องถามย้ำออกไปอีกครั้งทั้งที่ไม่อยากจะพูดถึงเลยสักนิด


“เมื่อกี้นี้ ไวท์หมายความว่ายังไง”


คนถูกถามยังไม่ตอบ เรียกว่าไม่หือไม่อืออะไรเลยก็คงจะไม่ผิด สิ่งที่เขาทำมีเพียงการใช้ดวงตาคมกร้าวเป็นประกายคู่นั้นจับจ้องใบหน้าของผมไม่ยอมวางตา


ดวงตาคู่นั้น อยากจะสื่ออะไรกับผมกันแน่นะ


ไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจเลย


“วะ...”


“ผมล้อเล่นน่ะ”


“ฮะ?”


...ล้อเล่น...งั้นเหรอ


“ก็ตามนั้นล่ะ เห็นพี่ดูงงๆ จับต้นชนปลายชีวิตไม่ค่อยได้ก็เลยลองแกล้งเล่นดู”


...งั้นเองเหรอ...


“ตกใจล่ะสิท่า ผมไม่ขอพี่คบแบบนี้หรอกน่าไม่ต้องห่วงหรอก”


อา...นั่นสินะ


“เล่นบ้าๆ พี่ตกอกตกใจหมด”


หัวใจที่เต้นถี่รัวขึ้นมาเพราะคำรักนั้นค่อยๆ ลดความเร็วลงช้าๆ


“โห ตกใจขนาดนั้นเชียว”


น้ำเสียงตื่นเต้นกับท่าทางร่าเริงที่ปรากฏกลับมาเหมือนในยามปกติชวนให้หัวใจรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด


...แปลกเสียจนตัวเองก็ยังไม่เข้าใจ...


“เออน่ะสิ เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง คราวหลังอย่าไปเล่นอะไรแบบนี้กับใครเขารู้ไหม”


ทั้งที่สามารถพูดคุยตอบโต้ออกไปได้อย่างไร้พิรุธแท้ๆ แล้วทำไมในใจมันถึงได้รู้สึกหนักอึ้งขนาดนี้กันนะ


“คร้าบๆ ไม่ไปเล่นกับใครนอกจากพี่หรอกครับ”


ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคำพูดส่งๆ ไม่คิดอะไรของอีกคนเท่านั้น แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ดีใจนัก


“เออ อย่าทำอีกก็แล้วกัน”


ทั้งที่ปากก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงกึ่งสั่งสอนกึ่งหยอกเย้าเหมือนอย่างทุกที


“ครับผม”


แต่ในใจมันก็เอาแต่คิดแต่เพียงว่า


“ดีแล้ว”


...อย่าไปทำกับใครอีกเลยนะ...


ความคิดที่แล่นวาบเข้ามาในหัวทำให้ผมเผลอเบิกตากว้างอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะเปลี่ยนท่าทางกลับมาเป็นเหมือนเดิม


อย่าไปทำกับใครอีกเลยนะ...งั้นเหรอ


คิดบ้าๆ น่ะอีฟส์ น้องมันจะไปทำแบบนี้กับใครก็เรื่องของมันรึเปล่า เราจะไปยุ่งทำไมกัน บ้าแล้ว


...บ้าแท้ๆ เลย...


“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว เดี๋ยวผมขอตัวออกไปดูหน้าเคาน์เตอร์ก่อนนะพี่ พี่ชัยแกจะได้กลับบ้านสักที ส่วนพวกเอกสารนี่ทิ้งเอาไว้ก่อนก็ได้นะพี่”


เขาว่าพลางชี้ไปยังเอกสารที่หล่นกระจัดกระจายอยู่ทั่วห้อง


“ไว้เดี๋ยวพี่เดินออกไปหน้าเคาน์เตอร์แล้วผมจะเข้ามาเก็บให้นะ ตอนนี้ขอไปรับหน้าเคาน์เตอร์ก่อนนะพี่ ปล่อยว่างไว้มันไม่ดี”


“อือ โอเค เดี๋ยวพี่ตามออกไปนะ”


“ครับ”


แล้วบทสนทนาของพวกเราจบลงแค่นั้น เด็กหนุ่มคนนั้นลุกขึ้นเดินจากไปด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นดูไม่ต่างอะไรกับการพูดคุยที่เกิดขึ้นในยามปกติ ไม่มีความรู้สึกอะไรแอบแฝง ไม่มีความรู้สึกอะไรผิดแปลกไป มีเพียงแค่คำพูดธรรมดาๆ และความรู้สึกสนิทสนมใจเหมือนอย่างทุกทีก็เท่านั้น


จริงเหรอ...


ดวงตาของผมจับจ้องไปยังบานประตูที่เพิ่งปิดลงอยู่อย่างนั้น


‘คบกับผมนะครับ’


ประโยคนั้นยังดังก้องอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ สารภาพว่าตอนที่ได้ยินเขาพูดคำนั้นออกมา มันบอกไม่ถูกเลยว่าตัวผมกำลังรู้สึกยังไง รับรู้ได้เพียงแค่ว่าหัวใจมันเต้นถี่รัว มือไม้มันสั่น แถมสมองก็ยังขาวโพลนไปหมด หน้าตาตอนนั้นคงเหวอน่าดู
คงดูตลกไม่หยอกเลยสินะ น้องมันถึงได้...


‘ผมล้อเล่นน่ะ’


ลมหายใจถูกระบายออกมาทางจมูกอย่างเชื่องช้า


ล้อเล่นงั้นเหรอ โตมายังไงถึงได้มองเรื่องความรู้สึกคนเป็นเรื่องล้อเล่นกันนะ ถ้าเป็นลูกเป็นเต้านะ จะจับฟาดให้รู้สำนึกกันไปเลย
หรือจริงๆ แล้วคนที่ควรสำนึกมันควรจะเป็นผมเองนะ


‘ตกใจล่ะสิท่า ผมไม่ขอพี่คบแบบนี้หรอกน่าไม่ต้องห่วงหรอก’


แสดงว่าทุกเรื่องที่ผ่านมานั่นก็...คิดไปเองสินะ


เสียงหัวเราะแกนๆ ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบในห้องที่แสนไร้ระเบียบ


เอาเถอะตั้งแต่เมื่อก่อนก็โดนทำอะไรแบบนี้ใส่บ่อยๆ อยู่แล้ว จะโดนอีกสักนิดก็คงไม่เป็นไร


เสียงหัวเราะในลำคอค่อยๆ เงียบลงพร้อมกับภาพของคนในความทรงจำที่ผุดขึ้นมาซ้อนทับกับภาพของเด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินจากไป


อา...นั่นสินะ


ผมยันมือสองข้างกับพื้นข้างตัวก่อนจะพยุงตัวเองให้ลุกยืนขึ้นช้าๆ


เรื่องเดิมๆ จากคนหน้าเดิมๆ


ขาสองข้างเจ็บร้าวทุกครั้งที่ก้าวเดิน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะเปล่งเสียงร้องเรียกขอความช่วยเหลือหรือโอดครวญอะไรให้มากความ


สงสัยจะไม่ถูกโฉลกกับคนหน้าตาแบบนี้ล่ะมั้ง


แล้วเสียงหัวเราะเย้ยหยันตัวเองของผมก็ดังขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางความเงียบสงัดของห้องที่รกรุงรัง











ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายมักจะผ่านไปเร็วเสมอ ทั้งที่เวลาของทุกวันก็มีเพียงแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากัน แต่ไม่รู้ทำไมวันที่น่าเบื่อหน่ายถึงได้ดูยาวนานกว่าวันที่มีเรื่องน่าสนุกให้สนใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น หรือจริงๆ แล้ว ความสั้นความยาวของแต่ละวันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเข็มนาฬิกา แต่ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของคนแต่ละคนกันนะ...


“โห ทำไมวันนี้จู่ๆ ลูกค้าถึงได้เยอะขึ้นมาผิดหูผิดตาอย่างนี้ล่ะพี่”


ผมเหลือบไปมองเด็กหนุ่มที่นั่งหมุนไหล่ตัวเองพลางบ่นกระปอดกระแปดอยู่ที่เก้าอี้ข้างๆ พลางอมยิ้มบาง


“ตั๋วโปรโมชั่นล่ะมั้ง ช่วงนี้ของปีก็เป็นแบบนี้ตลอด ทำมาตั้งหลายปีแล้วยังไม่ชินอีกรึไง”


“โธ่พี่” เขาหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าเหยเก “ใครจะชินไหว นานน๊านทีจะมีสักครั้งนึง ไม่มีโอกาสให้ชินหรอกพี่”


ทันทีที่ฟังจบ ผมก็อดหัวเราะร่วนออกมาไม่ได้


ก็จริงของเด็กมันละนะ


ด้วยเพราะเห็นด้วยอยู่ประมาณหนึ่งจึงไม่ได้โต้แย้งอะไรมากไปกว่านั้น แต่เหมือนว่าความเงียบจะไปสะกิดต่อมอะไรบางอย่างของอีกคนเข้าให้


“พี่ไม่กังวลบ้างเหรอ”


“หืม?”


ผมเอียงคอเล็กน้อยพลางส่งเสียงฉงนใจออกไปอย่างไม่ปิดบัง


“กังวลอะไรล่ะ”


เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหันหน้ามองซ้ายมองขวาแล้วขยับเลื่อนเก้าอี้เข้ามาใกล้เสียจนที่พักแขนชนกัน


“ก็เรื่องตั๋วโปรโมชั่นไงพี่”


“อาฮะ”


“อาฮะ อะไรเล่าพี่”


คิ้วของผมขมวดเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจกับท่าทีประหลาดของคนข้างๆ ที่ขยับเข้ามาใกล้จนแทบจะปีนข้ามเก้าอี้มาสิงกันอยู่รอมร่อ


“จะไม่ให้อาฮะได้ยังไงล่ะ ดูทำท่าเข้าสิ”


“ก็เรื่องแบบนี้มันพูดดังๆ ได้ที่ไหนกันเล่าพี่”


ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะมีสีหน้าทะเล้นอยู่ตลอดเวลา มาตอนนี้กลับเคร่งขรึมชวนรู้สึกผิดหูผิดตาพิกล


“พี่ไม่รู้สึกเหรอว่าตั๋วโปรโมชั่นปีนี้ทั้งมาถี่แล้วก็เยอะแปลกๆ”


สมองของผมค่อยๆ ประติดประต่อตามที่อีกคนพูดทีละเล็กทีละน้อย


“ทั้งที่ปีที่แล้วก็มีแค่การแสดงแค่ช่วงเดือนนี้เดือนเดียว แต่คราวนี้มันลากยาวไปยันปลายปีเลยนะพี่”


จริงด้วยสิ ลืมสังเกตไปเลย


“ไหนจะเรื่องที่ยุบแผนก ลดคนอะไรนั่นอีก พี่ว่ามันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”


อ๋อ...


ผมสบเข้าไปในตาของอีกฝ่ายพลางคลี่ยิ้มบางๆ


พอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าในหัวนั่นกำลังคิดอะไรอยู่


เด็กหนอเด็ก


“ยิ้มอะไรเล่าพี่ นี่เรื่องซีเรียสนะ”


ท่าทีจริงจังเอาการเอางานของอีกฝ่ายทำเอาผมเผลอหลุดหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เสียงหัวเราะของผมทำให้เด็กหนุ่มตรงหน้าไปไม่เป็นอยู่ครู่ใหญ่ เขามองผมด้วยสีหน้าไม่พอใจในตอนแรกก่อนจะเปลี่ยนเป็นงุนงงภายในเสี้ยววินาที


ให้ตายสิ ดูทำหน้าเข้า


“พี่อีฟส์ หัวเราะอะไรเล่าพี่”


ผมไม่ได้ตอบออกไปพอๆ กับไม่ได้หยุดหัวเราะ คงเพราะแบบนั้นอีกคนก็เลยดูหงุดหงิดยิ่งกว่าเก่า


“โอเค ถ้าพี่จะคิดว่าเรื่องที่ผมพูดมันไร้สาระนักก็เชิญเลยครับ”


น้ำเสียงที่ดูหงุดหงิดจริงของอีกคนทำเอาผมต้องรีบหุบปากเพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดขอโทษ เด็กคนนั้นก็ผลุนผลันลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำท่าจะเดินหนีไปจนผมต้องรีบลุกขึ้นตาม


ทุกอย่างควรจะดำเนินไปในขั้นตอนของการรั้งเขาเอาไว้ พูดขอโทษ จากนั้นก็อธิบายกันให้เข้าใจ จากนั้นก็เก็บของเตรียมตัวเลิกงานตามปกติ ทุกอย่างควรจะเป็นไปตามรูปแบบนั้น ถ้าไม่ติดที่ว่า...


“โอ๊ย!”


ทันทีที่ออกแรงยันเท้าลงกับพื้นเพื่อออกเดิน อาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าจากอุบัติเหตุเมื่อเช้าก็พลันทำให้กระบวนการต่างๆ ของผมพังล้มครืนลงมาอย่างไม่เป็นท่า


ร่างทั้งร่างสูญเสียการทรงตัวจนแทบล้มคะมำลงกับพื้นถ้าไม่ติดว่าได้คนที่ผมต้องตามง้อหันกลับมาคว้าตัวผมเข้าไปไว้ในอ้อมกอดเขาได้ทันเสียก่อน


คุณพระคุณเจ้ายังเมตตาช่วยแท้ๆ แค่คิดสภาพว่าผมต้องล้มลงไปอีกรอบโดยใช้มือยันพื้นก็สยองจะแย่แล้ว


“เป็นอะไรไหมพี่ ไหวไหม”


น้ำเสียงห่วงหาและร้อนรนที่เปล่งออกมาทำเอาผมอดเงยหน้าขึ้นมองเขาไม่ได้


โดนกอด...อีกแล้วแฮะ...


ไม่รู้เพราะต่างฝ่ายต่างตกใจหรือว่าอะไร แต่ตอนนี้...เสียงหัวใจของเขาที่ผมได้ยินในตอนนี้...


...เป็นจังหวะเดียวกันกับหัวใจของผมไม่มีผิด...


บ้าจริงอีฟส์ คิดอะไรไร้สาระอีกแล้ว


ผมกลบฝังความคิดไร้สาระของตัวเองเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ ให้เขาเหมือนอย่างเคย


“ไม่เป็นไรหรอก ขอบใจมากนะ”


ดวงตาคู่คมนั้นหลุบลงไปมองเท้าผมอย่างพิจารณาอยู่ครู่นึงก่อนจะเบนกลับมาสบตาผมตามเดิม


“แน่ใจ?”


“อือ แน่ใจสิ”


“โอเคครับ”


เขารับคำด้วยท่าทีเข้าใจง่ายผิดปกติแล้วค่อยๆ ปล่อยผมออกจากอ้อมกอดช้าๆ


ผมพยายามจะยืนให้ดูมีท่าทางปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้อาการเจ็บข้อเท้าจะแย่ลงเรื่อยๆ จนแทบจะล้มอยู่รอมร่อ แต่ขืนต้องให้น้องมันมาเป็นห่วงเป็นใยอีกก็ดูจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ไหนจะเกรงใจ ไหนจะ...


“เหี้ย!”


ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรอยู่เพลินๆ ไอ้เด็กตัวสูงที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็ดันมาแกล้งผลักไหล่ผมเอาเสียได้ แม้จะเป็นแรงผลักที่ไม่แรงนักแต่มันก็มากพอให้ซวนเซไปได้สักสองสามก้าว


...ในกรณีของคนปกติน่ะนะ...


“กะแล้วจริงๆ ด้วย”


เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยออกมาพร้อมกับขมวดคิ้วยุ่งใส่ผมด้วยสีหน้าหงุดหงิด เขาดูขุ่นเคืองเสียจนผมต้องฉีกยิ้มแห้งๆ ให้อย่างเสียไม่ได้


เพราะสภาพร่างกายที่ไม่อำนวย แรงผลักที่ปกติดูจะไม่รุนแรงอะไรก็ดูหนักหนาขึ้นมาถนัดตา เพียงแค่แรงผลักเบาๆ ที่ไหล่ก็มากพอให้ตัวผมเอนเอียงเสียหลักเพราะข้อเท้าเจ็บเกินกว่าจะรักษาสมดุลไว้ไหวจนแทบล้มกลิ้งลงไปกองกับพื้น โชคยังดีที่คนตรงหน้าคว้าตัวเอาไว้ได้ทัน


แบบนี้ก็เท่ากับว่า วันนี้ผมโดนเขากอดไปสามครั้งแล้วสินะ...


“เจ็บเท้าขนาดนี้ ทำไมพี่ถึงไม่บอกผมเลย”


น้ำเสียงเข้มๆ ที่ดังออกมาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองหดลีบลงไปเหลือตัวหน่อยเดียว จะตอบออกไปก็ไม่รู้ว่าจะถูกใจไหม จะเงียบไปเลยก็ดูเหมือนจะไม่ดี สุดท้ายก็เลยทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ ให้อีกคนได้ถอนหายใจใส่เล่นๆ เพียงเท่านั้น


“พี่นี่มัน...น่าโมโหเป็นบ้าเลย”


“น้อยๆ หน่อย” ผมผลักไหล่เขาเบาๆ “นี่พี่นะ”


“เพราะเป็นพี่ไงเลยพูดแค่นี้ ถ้าเป็นเพื่อนนี่ตบหัวทิ่มซ้ำไปแล้ว”


อะได้ ยอม ไม่สู้คน


“ไปหาหมอไหมพี่ ผมพาไปเอง”


“ไม่ต้องหรอกน่า แค่พักนิดๆ หน่อยๆ ก็หายละ...”


“กะแล้วว่าคนอย่างพี่ไม่มีทางไปหาหมอแน่”


ฮะ?


ผมเหลือบตามองเขาด้วยความงุนงงใจก่อนจะค่อยๆ เข้าใจอะไรขึ้นมาทีละนิดทีละหน่อย


อย่าบอกนะว่า...


“ไหนๆ วันนี้ขาพี่ก็เดี้ยงแล้ว งั้นขออนุญาตบังคับพาไปหาหมอเลยแล้วกันนะครับ”


“บ้า! บอกว่าไม่ไปก็ไม่ไปงะ...”


“งั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปเก็บของเดี๋ยวนึงเนอะ แล้วเราออกงานพร้อมกัน”


“เดี๋ยวไวท์....”


“ของพี่อยู่ในล็อคเกอร์เนอะ กุญแจอยู่ในตะกร้าเดียวกับผมใช่ไหมครับ งั้นเดี๋ยวผมไปเอาให้แล้วกัน พี่นั่งรออยู่นี่แหละ”



ไม่ว่าเปล่ามันจะพาผมกลับไปนั่งแหมะอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมเสียเสร็จสรรพ


“ขออนุญาตเอาบัตรไปตอกให้เลยนะครับ”


“เดี๋ยวสิ...”


ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ เจ้าตัวก็ถือวิสาสะคว้าบัตรพนักงานที่คล้องคอผมไปไว้ในมืออย่างรวดเร็ว


“เป็นเด็กดีแล้วรอผมอยู่ตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมกลับมา”


“ไวท์ เดี๋ยวซะ...”


-ปัง-


แล้วไอ้เด็กตัวสูงก็เดินเข้าไปด้านในห้องพักพร้อมกับของทุกอย่างที่ผมจำเป็นต้องใช้ในการเดินทางกลับบ้าน แบบนี้นี่มันเรียกว่ามัดมือชกกันถูกไหมนะ


ที่เขาว่ากันว่าเทคโนโลยีทำให้เด็กสมัยนี้ใจร้อนขึ้นนี่...ท่าจะจริงสินะ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2018 21:52:08 โดย Marymo »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 10 - Moonlight Sonata






ผม...ไม่รู้เลยว่าควรจะอธิบายความรู้สึกของตัวเองที่เป็นอยู่ตอนนี้ออกมายังไงดี


“เท้าซ้ายไม่มีปัญหาอะไรนะครับ ส่วนเท้าขวาที่แพลงนี้กระดูกก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ที่บาดเจ็บจริงๆ คือกล้ามเนื้อกับเส้นเอ็น แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น อาการก็หนักอยู่ทีเดียว อย่างไรเสียหมอก็แนะนำให้ใส่เฝือกนะครับ”


ใส่เฝือก...งั้นเหรอ


ผมอาศัยจังหวะเพียงอึดใจกวาดตามองไปรอบห้องตรวจก่อนจะกลับไปสบตากับชายวัยกลางคนตรงหน้า


“รบกวนสอบถามได้ไหมครับว่าเฝือกนี่...ค่าใช้จ่ายมัน....”


“ใส่เลยครับหมอ เดี๋ยวเรื่องค่าใช้จ่ายผมจัดการเอง”


เสียงที่โพล่งแทรกคำถามของผมขึ้นมานั้นดังขึ้นมาจากคนที่ยืนมองอยู่ที่ปลายเตียง ใบหน้าของเขาดูนิ่งขรึมกว่าปกติ เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยนั้นก็ทั้งขึงขัง ทั้งแน่วแน่เสียจนผมไม่รู้จะเอาอะไรไปเถียง กว่าจะตั้งตัวหาเหตุผลที่จะใช้โต้กลับได้ ก็ดันโดนใส่เฝือกไปเรียบร้อยเสียแล้ว


ให้ตายสิ มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกันนะ


“เรียบร้อยแล้วครับ ยังไงช่วงนี้ก็แนะนำให้ใช้ไม้ค้ำยันช่วยเดินไปก่อนนะครับ พยายามอย่าลงน้ำหนักที่เท้ามากแล้วก็อย่าให้เฝือกโดนน้ำนะครับ ถ้าดูแลดี อีกประมาณสองอาทิตย์หลังจากนี้ก็น่าจะถอดเฝือกได้”


สองอาทิตย์เลยเหรอ


-ก๊อก ก๊อก-


“ขออนุญาตค่ะคุณหมอ รถเข็นผู้ป่วยมาแล้วค่ะ”


“เข้ามาได้เลยครับ”


สิ้นคำอนุญาตของคนตรงหน้า ประตูห้องตรวจก็พลันถูกเปิดออกโดยฝีมือของพยาบาลสาวคนหนึ่งที่ส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้อย่างใจดี


“เชิญเลยค่ะ”


“อะ...อ๋อ ขอบคุณครับ”


ผมก้มหัวพร้อมส่งรอยยิ้มให้เธอเล็กน้อยตามมารยาท ใจมันก็นึกขอบคุณที่เธออุตส่าห์เข็นมาให้อยู่หรอก แต่มันก็ดันติดปัญหาอยู่ที่ว่า...


“ให้อุ้มไหมพี่”


คำที่พูดโพล่งขึ้นมากลางปล่องนั้นช่างตรงกับใจผมจนน่ากลัว


ไม่หรอก จริงๆ ก็ไม่ตรงเท่าไหร่


“พยุงก็พอไหมล่ะ”


เด็กหนุ่มคนนั้นหัวเราะน้อยๆ กับคำที่ได้ฟัง ใบหน้าของเขาดูผ่อนคลายขึ้นมากเมื่อเทียบกับเมื่อครู่นี้


เป็นพวกอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายรึยังไงกันนะ


ผมมองคนตัวสูงกว่าที่ค่อยๆ สาวเท้าเข้ามาใกล้ก่อนจะถือวิสาสะโอบไหล่ผมเอาไว้โดยไม่ให้เวลาตั้งตัว


“พยุงก็พยุงครับ”


เขาว่าอย่างนั้นก่อนจะออกแรงดันให้ผมลงจากเตียงอย่างเชื่องช้า ทันทีที่เท้าข้างที่ยังดีแตะลงกับพื้น ร่างทั้งร่างก็รู้สึกโซซัดโซเซจนหวิดจะล้ม โชคดีที่ได้เด็กหนุ่มโอบรอบโหล่เอาไว้แน่น ไม่อย่างนั้นเห็นทีว่าคงจะได้ใส่เฝือกที่เท้าอีกข้างนึงแน่


ว่าแต่วันนี้นี่...โดนเด็กคนนี้กอดไปกี่ครั้งกันแล้วนะ


“ไหวนะพี่”


แค่วันนี้วันเดียว เขาพูดคำนี้ออกมากับผมกี่ครั้งแล้วนะ


“อือ สบายมาก”


“ถ้าสบายก็ไม่น่าจะมาอยู่ตรงนี้นะพี่”


“เงียบน่า”


ผมเห็นเขาหัวเราะร่วนในขณะที่บรรจงวางผมลงกับรถเข็นผู้ป่วยอย่างเบามือ ใบหน้าหล่อเหลานั้นประดับด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างทุกที...ไม่สิ อาจจะกว้างกว่าทุกทีด้วยซ้ำ ไม่รู้เพราะโล่งใจที่ผมไม่เป็นอะไรมากหรือเพราะหายโกรธเรื่องเมื่อเย็นแล้วกันแน่


นั่นสินะ ที่เขาเข้ามากอดนี่ก็เพราะอาการบาดเจ็บนั่นล่ะ ที่ได้เข้ามาสนิทกันมากกว่าที่เคยเป็นก็เพราะเท้าที่ใส่เฝือกอยู่นี่ล่ะ ถ้าไม่เจ็บตัว ป่านนี้ก็คงทะเลาะกันเพราะเรื่องที่ผมเผลอหัวเราะใส่ความไร้เดียงสาของเขาช่วงก่อนเลิกงานไปแล้ว


จะว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายดีล่ะเนี่ย...


คงเพราะคิดอะไรเผลอไปหน่อย กว่าจะรู้ตัวว่าถูกเข็นย้ายสถานที่มาจนถึงหน้าเคาน์เตอร์จ่ายยาแล้วก็ตอนที่มีสัมผัสนุ่มอุ่นทาบลงบนหัวนั่นล่ะ


“พี่อีฟส์ เดี๋ยวพี่รอผมอยู่ตรงนี้นะครับ ผมขอตัวไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายก่อน แล้วจะรีบมาหานะ”


เขาพูดทุกอย่างออกมารวดเดียวก่อนจะหมุนตัวเตรียมเดินจากไป ถ้าไม่ติดว่าผมเอื้อมมือไปคว้าแขนเขาไว้ทันเสียก่อนน่ะนะ


เด็กหนุ่มตัวสูงเบนใบหน้ากลับมามองผม สีหน้าของเขากลับไปเรียบนิ่ง ขึงขังเหมือนกับตอนที่มาถึงโรงพยาบาลใหม่ๆ ไม่มีผิด สีหน้ากึ่งจริงจังกึ่งดุนั่นล่ะที่ทำให้ผมชะงักไปอึดใจ


ทั้งที่เด็กกว่าแท้ๆ แต่ทำไมเวลาทำหน้าดุแล้วน่ากลัวเป็นบ้าเลยนะ


“เรื่องค่าใช้จ่ายน่ะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”


คนตรงหน้าเริ่มเอามือขึ้นมากอดอก


“พี่เจ็บอยู่นะ จะจัดการได้ยังไง”


“เอาน่า แค่เข็นพี่ไปที่ช่องจ่ายเงินก็พอ”


สิ้นประโยคของผม เด็กหนุ่มก็นิ่งเงียบไปหลายอึดใจ คิ้วสองข้างขมวดยุ่งจนหัวคิ้วสองข้างแทบจะชนกันอยู่รอมร่อ


ผมสบตาเขา เขาก็จ้องมองกลับมาในดวงตาของผม ต่างฝ่ายต่างมองกันอยู่อย่างนั้นอย่างไม่มีท่าทีว่าใครจะยอมแพ้ จนสุดท้าย....


“สงสารตัวเองบ้างน่ะพี่ เดี๋ยวผมไปจ่ายแล้วพี่ก็ค่อยเอาเงินมาคืนผมดีกว่า”


ถ้อยคำที่เอ่ยออกมานั้นดูเป็นเหตุเป็นผลที่ควรยอมรับก็จริง แต่สำหรับผมแล้วมันเป็นไปไม่ได้


“ไม่...ไม่ได้หรอก”


คนตรงหน้าทำหน้ายุ่งมากขึ้นกว่าเก่า


“ทำไมล่ะพี่”


ทำไม...งั้นเหรอ...อา...จะบอกออกไปยังไงดีล่ะเนี่ย


“เอาน่า ยังไงก็ไม่ได้หรอก”


“แล้วทำไมมันจะไม่ได้เล่า”


“ไวท์ พี่บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ไง”


“แล้วทำไมมันจะไม่ดะ...”


“ค่ารักษาโรงพยาบาลนี้น่ะ แกจ่ายไม่ไหวหรอก”


พูดออกไป...จนได้แล้วสินะ


ผมหลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“โรงพยาบาลนี้มันแพงมาก แกจ่ายไม่ไหวหรอก”


แม้จะไม่ลืมตามอง แต่ผมก็พอเดาได้ว่าเขากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ ป่านนี้คงได้แต่กำลังทำหน้าฉงนเหมือนลูกหมาไร้เดียงสาแล้วก็นึกสงสัยในใจว่าผมรู้ได้ยังไงนั่นล่ะ


ความจริงแล้วผมเองก็น่าจะบอกน้องมันให้เปลี่ยนโรงพยาบาลตั้งแต่แรก ไม่ก็ไปโรงพยาบาลรัฐที่ไกลออกไปอีกหน่อย แต่เพราะตอนนั้นเท้ามันดันระบมขึ้นมาจนไม่มีแรงจะคิดอย่างอื่นนอกจากอย่างไปให้ถึงโรงพยาบาลเร็วๆ กว่าจะรู้ตัวว่าถูกพามาโรงพยาบาลนี้ก็ตอนที่รถแท็กซี่จากไปแล้ว สุดท้ายก็เลยต้องตามน้ำไปอย่างช่วยไม่ได้


อันที่จริง จะเรียกว่าตามน้ำก็คงไม่ถูกนัก ต้องเรียกว่าตัวผมเองก็รู้สึกอุ่นใจได้รักษาในโรงพยาบาลที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กก็เลยไม่ท้วงอะไรออกไปมากกว่า


แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็คงพูดความจริงออกไปไม่ได้ ลำพังแค่เป็นพนักงานเงินเดือนน้อยธรรมดาจะมารับการรักษาที่โรงพยาบาลราคาแพงแบบนี้เป็นประจำได้ยังไง ขืนพูดออกไป ความจริงเรื่องครอบครัวของผมก็คงโดนเปิดเผยหมด ทั้งที่พยายามไม่ให้ใครรับรู้มานานแสนนานแล้ว จะให้มาความแตกเพราะเรื่องแค่นี้ก็คงไม่ได้


ไหนๆ ก็โกหกเรื่องนู่นเรื่องนี่มาตลอดอยู่แล้ว จะเพิ่มไปอีกสักเรื่องก็คงไม่เป็นไร...


“พี่เคยมารักษาที่นี่อยู่ครั้งนึงก็เลยรู้ว่าค่ารักษามันแพงมาก ลำพังแค่ไวท์น่ะ จ่ายไม่ไหวหรอก”


ใบหน้าคมไม่ฉายความรู้สึกอะไรออกมาให้เห็น เด็กหนุ่มทำเพียงแค่จ้อง – จ้อง และจ้องผมโดยไม่ละสายตาอยู่อย่างนั้น และนั่นก็ทำให้ผมสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง...อะไรบางอย่างที่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า แต่กลับแสดงออกมาอย่างชัดเจนผ่านแววตาที่สั่นไหว


กระแสความรู้สึกแบบนั้น...ดวงตาแบบนั้น....เสียใจ...งั้นเหรอ


ทำไม...ทำไมกันล่ะ


“แค่ครั้งเดียวเองเหรอครับ”


“ฮะ?”


ไม่รอให้ผมได้ทันตั้งตัว คนตัวสูงกว่าก็โน้มร่างลงมาหา ใกล้เสียจนผมต้องเป็นฝ่ายถอยร่นหนีจนแผ่นหลังแนบสนิทไปกับพนักพิงของรถเข็น แขนกำยำสองข้างจับยึดบริเวณที่เท้าแขนของรถเข็นเอาไว้แน่นก่อนจะเอ่ยปากพูดออกมาช้าๆ


“แค่ครั้งเดียว แล้วพี่แน่ใจได้ยังไงล่ะครับว่าครั้งนี้ผมจะไม่มีปัญญาจ่าย”


เสียงของเขายังคงนุ่มทุ้มเหมือนอย่างเคย แต่น่าแปลกที่คราวนี้มันกลับไม่ให้ความรู้สึกสงบใจเหมือนอย่างทุกครั้งที่เคยได้ยิน


“อะไรทำให้พี่มั่นใจนักล่ะครับว่าพี่จะจ่ายไหว ทั้งที่ขนาดผมที่เงินเดือนไม่ได้หนีห่างจากพี่เท่าไหร่ ยังจ่ายไม่ไหวเลยแท้ๆ”


ทั้งที่ลมหายใจของเขาเป่ารดลงแค่บนปลายจมูกของผมเพียงเท่านั้น แต่ไม่รู้ทำไมความรู้สึกที่ได้รับมันถึงได้หนักอึ้งราวกับเขากดร่างผมตรึงไว้กับพื้น รู้สึกราวกับกำลังถูกกักขังด้วยพันธนาการบางอย่างที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


“ทำไมเหรอครับพี่”


น่ากลัว


“ตอบผมมาสิครับ”


ผมกลัว...นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมรู้สึกกลัวเสียจนไม่อาจควบคุมจังหวะการหายใจของตัวเองได้


ทำยังไงดี ต้องตอบออกไปยังไงถึงจะถูกปลดปล่อยจากอ้อมแขนที่กางกักร่างผมเอาไว้ได้


“พี่...พี่มีเงินเก็บอยู่บ้าง”


เสียงของผมทั้งแผ่วเบาและติดขัดไม่น่าฟัง แต่อีกฝ่ายกลับตั้งใจจดจ่ออยู่กับมันอย่างยิ่งยวด


“แล้วพี่คิดว่าผมมีเงินเก็บไม่พอเหรอครับ”


เขาไล่ต้อนผมอีกครั้ง แม้ว่าสภาพของพวกเราในตอนนี้จะดูเหมือนแค่การพูดคุยกันตามปกติ แต่ในความรู้สึกของผมมันกลับไม่ใช่เลย


มีบางอย่างที่มากกว่านั้น มีบางอย่างที่เหนือแค่กว่าการถามไถ่ซ่อนอยู่


“สาบานกับผมสิครับว่าที่พี่พูดมาทั้งหมดคือความจริง”


ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกัน


“ยืนยันกับผมสิครับว่าพี่เคยมาที่นี่แค่ครั้งเดียว”


หัวใจหวาดกลัว ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างไม่อาจต้านทาน ราวกับว่ากำลัง...


ดวงตาของผมเบิกโพล่งขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกถึงความจริงข้อหนึ่งขึ้นมาได้


“บอกผมมาสิครับว่าทุกอย่างที่พี่พูดมาก่อนหน้านี้คือเรื่องจริง”


...ราวกับว่ากำลังถูกล่าอยู่อย่างไรอย่างนั้น...


“พี่อีฟส์ สบตาผมสิครับ”


เจ้าของเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เสียงของเขาแผ่วเบาแต่กลับทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ...ทรงพลังเสียจนเหยื่อตัวน้อยอย่าง
ผมไม่อาจจะต้านทานได้


ทำไมกันนะ ทั้งที่เด็กกว่าแท้ๆ ....


“บอกความจริงกับผมมาได้ไหมครับ”


“ไวท์หาว่าคำพูดของพี่ก่อนหน้านี้เป็นคำโกหกอย่างนั้นเหรอ”


นั่นเป็นความพยายามเฮือกสุดท้ายในฐานะเหยื่อของผม


แน่นอนว่ามันไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย...


รอยยิ้มประหลาดค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก ริมฝีปากสวยได้รูปขยับกว้างออกอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีดำสนิทของเขามีประกายบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจลุกโชนโชติช่วงอยู่ภายใน


“นั่นสินะครับ ผมนี่แย่จริงๆ เลย พูดอะไรออกไปก็ไม่รู้”


มือแกร่งสองข้างละออกจากรถเข็นผู้ป่วยของผมในขณะที่แผ่นหลังกว้างก็ค่อยๆ ถอยร่นห่างออกเป็นจนกลายเป็นเพียงการยืนตรงตามเดิม


ทั้งที่เขาก็ถอยห่างออกไปแล้วแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจของผมถึงได้เต้นถี่รัวยิ่งกว่าเก่าเสียอีก


นี่มันอะไรกัน ทำไมหัวใจถึงได้เต้นผิดจังหวะขนาดนี้กัน


“ขอโทษด้วยนะครับพี่ที่ผมแกล้งเล่นแรงไปหน่อย”


ประโยคที่ขัดกับท่าทีก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิงทำให้ผมอดเงยหน้าขึ้นสบตากับคนพูดไม่ได้ เด็กคนนั้นยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าเหมือนอย่างทุกที...ไม่....ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่รอยยิ้มอย่างปกติ


ในดวงตาคู่นั้น มีบางอย่างที่น่าหวาดกลัวซ่อนอยู่


“ถ้างั้นผมรบกวนพี่ไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมจะกลับไปเอารถมาจากที่ทำงาน แล้วจะได้ขับไปส่งพี่ที่บ้าน”


“รถ...งั้นเหรอ แล้วทำไมเมื่อกี้นี้ถึง...”


“พอดีรถผมเป็นมอเตอร์ไซค์นะครับ กลัวจะพาพี่มาไม่สะดวก แต่เดี๋ยวขากลับผมจะเรียกแท็กซี่ให้พี่นั่งแล้วจะขับตามไปครับ”


ทั้งที่ดูจากดาวอังคารก็รู้ว่าเขาไม่ได้กำลังอยู่ในอารมณ์ปกติแท้ๆ ไม่รู้ทำไมถึงยังทำหน้ายิ้มแป้นตอบคำถามอย่างฉะฉานได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่อีก


แปลก...นี่มันแปลกเกินไปแล้ว


“ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ แล้วจะรีบกลับมา”


เจ้าตัวพูดเองเออเอง ตัดสินใจเองเสียเสร็จสรรพจนผมต้องรีบเอื้อมมือไปคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ก่อนที่เขาจะเดินจากไปทั้งที่ยังไม่ได้ตกลงอะไรกันให้เรียบร้อยดี


“เดี๋ยวก่อนสิ ตัดสินใจเองแบบนี้ถามพี่รึยังเล่า”


เด็กหนุ่มตรงหน้าเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะแบบนั้นผมจึงได้โอกาสพูดต่อ


“ไวท์กลับบ้านไปเถอะ เดี๋ยวพี่กลับแท็กซี่เองได้”


ให้ตามไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นความลับเรื่องฐานะทางบ้านที่พยายามปิดเอาไว้คงแตกหมด


“เอาอย่างนั้นเหรอครับ”


“อือ กลับก่อนเลย”


“ได้ครับ”


ในชั่วขณะที่ผมกำลังดีใจที่เรื่องทุกอย่างคลี่คลายลงได้นั้น คนที่อยู่ตรงหน้าก็พลันพูดดักขึ้นมาราวกับรู้ทัน


“ถ้างั้นวันนี้พี่ไปพักบ้านผมก่อนแล้วกันนะครับ”


ฮะ?


รอยยิ้มประหลาดคล้ายคนถูกอกถูกใจกับบางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน


“จะให้ผมปล่อยคนป่วยที่เดินไม่ได้กลับบ้านไปคนเดียวก็คงไม่ได้ใช่ไหมล่ะครับ”


“เรื่องนั้นพี่...”


“ถ้าพี่ไม่สะดวกใจจะไปพักบ้านผม พี่ก็คงต้องยอมให้ผมไปส่งบ้านแล้วล่ะครับ”


“แต่ว่า...”


“เห็นใจคนเป็นห่วงอย่างผมด้วยเถอะนะครับ”


ดวงตาคู่นั้นมีประกายเว้าวอนออดอ้อนฉายขึ้นมาราวกับสั่งได้


“ถ้าไม่ได้เห็นพี่กลับเข้าที่พักอย่างปลอดภัยด้วยตาของตัวเอง ผมที่เป็นคนดูแลก็คงข่มตานอนไม่ลงแน่ครับ เข้าใจผมด้วยนะครับ”


น้ำเสียงอ่อนโยน แววตาเป็นกังวล ท่าทางของเขาดูน่าสงสารเสียจนผมปฏิเสธไม่ลง ทั้งที่ควรจะบอกปัดออกไปอย่างแข็งขันแท้ๆ แต่พอได้เจออะไรแบบนี้ ปากมันก็ดันขยับตามที่ใจนึกออกไปไม่ได้เลย


บ้าน่า มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกันล่ะเนี่ย


“ถ้ายังไง ผมขอตัวไปเอารถมอเตอร์ไซค์ก่อนนะครับ แล้วผมจะรีบกลับมา ระหว่างนี้ก็ลองคิดคำตอบไปพลางๆ ก่อนก็ได้นะครับ”


ปฏิเสธออกไปสิอีฟส์ บอกให้ชัดไปเลยว่าไม่ได้


“อ้อ แล้วก็ระหว่างนี้ อย่าแอบหนีผมกลับบ้านแล้วทิ้งผมไว้คนเดียวนะครับ”


เด็กหนุ่มกลับไปเป็นเหมือนปกติอีกครั้ง ท่าทางร่าเริง คำพูดคำจาทะเล้นชวนขำ ใบหน้าทรงเสน่ห์ถูกแต่งแต้มด้วยยิ้มกว้างเหมือนอย่างเคย


อะไรกัน ทั้งๆ ที่เมื่อกี้นี่ยัง...


“.....มันจะไม่มีครั้งที่สองอีกแล้วล่ะครับ”


“ฮะ? อะไรนะ”


ถ้อยคำแปลกประหลาดที่อีกฝ่ายพึมพำออกมาทำให้ผมที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองคนพูดอย่างช่วยไม่ได้ คงเพราะเมื่อกี้นี้ผมเหม่อไปหน่อย ประกอบกับอีกฝ่ายพูดเบามาก ก็เลยไม่ทันได้ยินจนครบประโยค ครั้นพอเอ่ยถามออกไป อีกฝ่ายก็ทำเพียงแค่ฉีกยิ้มบางๆ ตอบกลับมาเท่านั้น


“ไม่มีอะไรหรอกครับพี่” เขาพูดออกมาทั้งรอยยิ้ม “ผมก็แค่พึมพำงึมงำไปตามประสาเท่านั้นเอง”


ไม่อยากให้รู้สินะ...


“ถ้ายังไงผมขอตัวก่อนนะครับ แล้วผมจะรีบกลับมา”


“อือ”


ไม่มีการเอ่ยรั้งอะไรเกิดขึ้นอีก คนตัวสูงกว่าเดินจากไปด้วยท่าทีปกติเหมือนอย่างที่ควรเป็น


ไม่สิ ต้องเรียกว่า ดูเหมือนจะปกติมากกว่า


ผมก้มหน้าลงพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่างกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ ออกแรงหมุนล้อรถเข็นให้เคลื่อนไปตามทางเดิน


บทสนทนาของผมกับน้องเมื่อครู่นี้จะว่าปกติก็ไม่ใช่ จะว่าน่ากลัวก็ไม่เชิง มันเป็นความก่ำกึ่งระหว่างความประหลาดและกระอักกระอ่วนเสียมากกว่า สิ่งที่น้องพูดออกมาฟังคล้ายกับว่าเขารู้อะไรบางอย่างอยู่แต่ไม่ได้พูดออกมา ท่าทีพยายามเค้นความจริงว่าผมเคยมาโรงพยาบาลนี้แค่ครั้งเดียวจริงๆ รึเปล่านั้นก็ดูแปลกพิลึก


หรือใครจะไปพูดอะไรเกี่ยวกับผมให้น้องมันฟังกันนะ?


“ค่ารักษาทั้งหมด สองหมื่นหนึ่งพันบาทค่ะ”


ผมถอนหายใจออกมาช้าๆ ก่อนจะดึงบัตรสีดำจากกระเป๋าสตางค์ยื่นส่งให้เจ้าหน้าที่หน้าเคาน์เตอร์


“ชำระด้วยบัตรเครดิตนะคะ”


“ครับ”


เสียงจ้อกแจ้กจอแจที่แสนวุ่นวายในโรงพยาบาลไม่ได้มีผลต่อการใคร่ครวญคิดของผมเลยแม้แต่น้อย


‘บอกความจริงกับผมมาได้ไหมครับ’


คำพูดพวกนั้นหมายความว่ายังไงกันนะ


‘สาบานกับผมสิครับว่าที่พี่พูดมาทั้งหมดคือความจริง’


ทำไมจู่ๆ ถึงพูดออกมาแบบนั้นกันล่ะ


‘อ้อ แล้วก็ระหว่างนี้ อย่าแอบหนีผมกลับบ้านแล้วทิ้งผมไว้คนเดียวนะครับ’


คำพูดแบบนั้น มันไม่ประหลาดไปหน่อยเหรอ


“ขออนุญาตนะคะ รบกวนคุณอนุนัยเซ็นต์ชื่อตรงนี้ด้วยค่ะ”


“อ้อ ครับ”


กระบวนการทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างลื่นไหลไร้อุปสรรค เพียงไม่นานผมก็ได้ใบเสร็จค่ารักษาพร้อมกับถุงใส่ยามาอยู่ในมือ


จะหนีกลับไปก่อนที่เด็กคนนั้นจะกลับมา...ดีไหมนะ...


ในขณะที่ความคิดในใจกำลังตีกันอย่างหนักหน่วงจู่ๆ ประโยคสุดท้ายที่เขาทิ้งเอาไว้ก็พลันผุดขึ้นมาในห้วงความคิด


‘.....มันจะไม่มีครั้งที่สองอีกแล้วล่ะครับ’


ไม่มีครั้งที่สองอีกแล้วอย่างงั้นเหรอ...


ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ ภาพที่ปรากฏในสายตาคือร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แสนโดดเด่นท่ามกลางผู้คนมากมาย ขายาวได้สัดส่วนทั้งสองข้างของเจ้าตัวกำลังพาร่างของเขาเข้ามาหาผมมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้านั้นยิ้มแย้ม ดวงตาคู่นั้นดูร่าเริงเหมือนอย่างทุกทีที่ผ่านมา


‘บอกความจริงกับผมมาได้ไหมครับ’


‘สาบานกับผมสิครับว่าที่พี่พูดมาทั้งหมดคือความจริง’



“รอนานไหมครับพี่”


ประโยคสามประโยคที่แตกต่างกันดังขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย


สองประโยคมาจากความทรงจำ อีกหนึ่งกำลังเกิดขึ้นตรงหน้า


“แล้วตกลงพี่เลือกได้รึยังครับว่าจะให้ผมไปส่งหรือจะไปพักที่บ้านผมดี”


ผมรู้จักคนๆ นี้ ผม’คิด’ว่าผมรู้จักเด็กคนนี้ดีประมาณหนึ่ง แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่มันก็มากพอที่จะยืนยันได้ว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร


เด็กคนนี้ไม่ได้เลวร้าย เขาแค่มีอะไรบางอย่างซ่อนเอาไว้ภายในก็เท่านั้น และ‘บางอย่าง’นั้นเกี่ยวข้องกับผมโดยตรงอย่างไม่ต้องสงสัย


พอคิดได้แบบนั้น หัวใจของผมก็พลันเต้นรัวขึ้นมา


“ตกลงจะเอายังไงเหรอครับพี่”


ใช่แล้ว นี่ก็คือการเดิมพัน


“จะให้ผมไปส่งหรือจะไปกับผมดีครับ”


การให้เขาโผล่ไปที่บ้านมันจะเสี่ยงทำให้ความจริงเรื่องฐานะทางบ้านที่สู้อุตส่าห์ปิดมานานมีคนอื่นมารับรู้นั้นเป็นเรื่องที่ผมตระหนักดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเขารู้อยู่แล้วล่ะ...


“งั้นพี่รบกวนไวท์ไปส่งที่บ้านพี่หน่อยนะ ห่างออกไปจากที่นี่ไม่มากนักหรอก”


“ด้วยความยินดีครับพี่”


มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปิดเขาเอาไว้นี่นา...จริงไหมล่ะ...






**********************************************************************************


[เกร็ดความรู้]

เปียโนโซนาตาหมายเลข 14 ในบันไดเสียง ซี ชาร์ป ไมเนอร์ (Piano Sonata No. 14 in C # minor, Op. 27 No. 2) ของลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน หรือ Quasi una fantasia หรือรู้จักกันในชื่อ มูนไลต์โซนาตา (Moonlight Sonata) เป็นผลงานของเบทโฮเฟินที่เผยแพร่เมื่อ ค.ศ. 1801 กล่าวกันว่าเบทโฮเฟินอุทิศผลงานชิ้นนี้ให้แก่เคาน์เตสจูลีเยตตา กวิชชาร์ดี (Giulietta Guicciardi)เป็นหญิงสาววัย 17 ปี ที่เป็นลูกศิษย์ และเบทโฮเฟินหลงรัก


โซนาตาชิ้นนี้ได้ชื่อว่า "มูนไลต์โซนาตา" จากคำบรรยายของลูทวิช เร็ลชตาพ นักวิจารณ์ดนตรีชาวเยอรมัน ในปี ค.ศ. 1832 ว่ามูฟเมนต์ที่หนึ่งของโซนาตาชิ้นนี้ มีท่วงทำนองเปรียบได้กับแสงจันทร์ที่ส่องสว่างเหนือทะเลสาบลูเซิร์นในเวลากลางคืน


ที่มา: เปียโนโซนาตาหมายเลข 14 (เบทโฮเฟิน)



ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ไวท์เป็นน้องชายของเขาคนนั้นใช่ไหม  :katai1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 11 - Canon in D






โดยส่วนตัวแล้ว ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องโชคลางหรืออะไรสักเท่าไหร่ แต่ไหนแต่ไรมาก็คิดแต่เพียงว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้นประกอบไปด้วยการกระทำของเราเสียเก้าสิบเก้าส่วน มีเรื่องของความบังเอิญเข้ามาเกี่ยวข้องแค่เพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น อะไรจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ สุดท้ายแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับความพยายามที่ตัวเองได้ทุ่มเทลงไปมากกว่าที่จะคอยพึ่งพาโชคลางที่มองไม่เห็น


ผมเชื่อแบบนั้นมาตลอด จนกระทั่งเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา...


“ไวท์ทานได้ไหมลูก ให้น้าทำกับข้าวเพิ่มให้อีกสักอย่างไหม”


น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานของผู้เป็นแม่ทำให้ผมที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ ‘แขก’ อดเงยหน้าขึ้นมองคนพูดไม่ได้


บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของแม่ปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนยิ่งกว่าครั้งไหนที่เคยเห็น ดวงตาฝ้าฟางคู่นั้นฉายแววเอ็นดูคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างล้นเหลือ มากมากเสียจนผมแอบเบ้หน้าใส่คนข้างตัวอย่างอดไม่ได้


“ไม่ต้องหรอกครับ แค่คุณน้าอุตส่าห์ลุกขึ้นมาเตรียมให้ผมก็เกรงใจจะแย่แล้วครับ”


น้ำเสียงนอบน้อมมาพร้อมกับสีหน้าเกรงอกเกรงใจดูเหมือนจะยิ่งทำให้แม่ผมถูกอกถูกใจเจ้าเด็กตรงหน้ามากขึ้นไปอีก


“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะลูก น้าเสียอีกที่ต้องขอบใจ ลำบากไวท์แท้ๆ เลยต้องพาเจ้าอีฟส์มาส่งแล้วมาพลอยติดฝนไปด้วยแบบนี้”


“ไม่ลำบากหรอกครับคุณน้า พี่อีฟส์ก็เป็นพี่ที่ผมเคารพคนนึง” เขาว่าพลางหันมามองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองหน้าคู่สนทนาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “แค่นี้เล็กน้อยครับ”


แหม อยากจะแหมให้ถึงดาวอังคารจริงๆ เลยเชียว


“ได้ยินแบบนี้แม่ก็โล่งใจแล้วล่ะลูก กังวลอยู่เชียวว่าเจ้าอีฟส์ทำงานแล้วจะเป็นยังไง ตอนเด็กๆ น่ะเขาเข้าสังคมไม่ค่อยเก่งหรอก วันๆ ก็เอาแต่...”


“แม่ครับ วันนี้พ่อไม่กลับมาบ้านเหรอครับ”


คำพูดที่โพล่งขัดขึ้นกลางคันอย่างไร้มารยาททำให้แม่ชะงักก่อนจะหันมาทำท่าจะเอ่ยปากดุ แต่เหมือนว่าแม่จะนึกถึง‘อดีต’ของผมขึ้นมาได้ สุดท้ายก็เลยยอมเปลี่ยนเรื่องตามที่ผมชักจูงในที่สุด


“ไม่กลับจ้ะ วันนี้พ่อเขาต้องไปดูของที่โรงงาน”


“อ๋อ อย่างนั้นเองเหรอครับ”


แล้วบทสนทนาก็จบลงตรงนั้น


มันควรจะจบลงตรงนั้น ถ้าไม่ติดว่า...


“คุณน้าครับ อย่าหาว่าผมละลาบละล้วงเลยนะครับ แต่ผมติดใจเรื่องที่คุณน้าเล่าเมื่อกี้นี้นิดหน่อยน่ะครับ”


แทบไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดจบ ผมค่อยๆ เบนหน้าไปมองคนพูดช้าๆ ก่อนจะพบว่าเขามองผมอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าหล่อเหลานั้นถูกฉาบด้วยความกระตือรือร้นจนเกินพิกัด แววตาคมฉายแววอยากรู้อยากเห็นชัดเจนเสียจนปิดไม่มิด


ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอยากจะถามเรื่องอะไร


เด็กหนุ่มข้างๆ ผมฉีกยิ้มกว้างส่งมาให้ก่อนจะหันไปหาแม่ที่นั่งทำหน้ากระอักกระอ่วนอยู่ฝั่งตรงข้าม


“ที่คุณน้าบอกว่าเมื่อก่อนพี่อีฟส์เขาเข้าสังคมไม่เก่งนี่ เพราะอะไรเหรอครับ”


นั่นไง คิดอะไรเคยผิดเสียทีไหน ถ้าซื้อหวย ป่านนี้คงรวยร้อยล้านไปเรียบร้อยแล้ว


แต่ก็นะ ถ้าคิดว่าแม่ผมหลอกถามได้ง่ายแล้วล่ะก็...คิดผิดถนัด


ดวงตากลมโตของหญิงสูงวัยเหลือบตามามองผมชั่วอึดใจก่อนจะเบนกลับไปมองคนถามอย่างไร้พิรุธ ใบหน้าอ่อนหวานประดับด้วยรอยยิ้มเอ็นดูเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ไม่มีผิด


“ก็เมื่อก่อนน่ะ อีฟส์เขาเป็นเด็กขี้อายน่ะสิ วันๆ ไม่ค่อยไปเล่นกับเพื่อนคนอื่นสักเท่าไหร่หรอก แม่ล่ะก็เป็นห่วง กลัวโตมาจะไม่มีเพื่อนกับใครเขา”


“แม่ก็ เผาผมเสียเละเลย อีฟส์ไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบอะไรขนาดนั้นสักหน่อย”


“ขนาดนั้นล่ะจ้ะเราน่ะ เราน่ะยังเด็ก จะจำอะไรได้ล่ะ แม่นี่สิจำได้แม่นเลย”


“ก็จริงครับ”


สิ้นคำของผม แม่และผมก็แสร้งหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างเป็นธรรมชาติราวกับเรื่องทั้งหมดที่พูดมาเป็นเรื่องจริง ถึงแม้ว่าปกติแล้วผมจะไม่ใช่คนที่โกหกเก่งสักเท่าไหร่ แต่ถ้ามีคนรู้ใจมาคอยโยนลูกรับลูกส่งให้แบบนี้ ต่อให้ต้องแต่งเรื่องยาวไปอีกสามสิบนาทีก็ไม่ใช่ปัญหา


คิดจะมาไล่ต้อนกันถึงถิ่นแบบนี้มันง่ายเกินไปนะไอ้น้อง


ผมหันไปมองหน้าคนที่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้มและรับฟังด้วยรอยยิ้มกว้างกว่าก่อนหน้านี้มาก


“ตอนแรกที่แม่เล่า ไวท์ติดใจอะไรเหรอ”


คำถามของผมเรียกให้เด็กหนุ่มหันมามองก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ


“เปล่าหรอกครับ แค่ผมเห็นว่าตอนนี้พี่อีฟส์พูดจาฉะฉาน ดูเข้าสังคมเก่งมากเหมือนคนเจนเวทีก็เลยไม่คิดว่าจะเคยเป็นคนขี้อายมาก่อนน่ะครับ”


เจนเวที...งั้นเหรอ


เสียงหัวเราะลอดผ่านริมฝีปากของผมออกมาเบาๆ


“คนเรามันเปลี่ยนกันไปได้ตามกาลเวลานะรู้ไหม ถ้าฝึกฝนบ่อยๆ เดี๋ยวก็ทำได้ ก็อย่างที่แกบอกนั่นล่ะ ถ้าได้ลองพูด ลองเข้าสังคมบ่อยๆ เดี๋ยวก็เจนสนามเอง”


สิ้นคำตอบของผม อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เด็กหนุ่มทำเพียงคลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปสนใจอาหารในจานของตัวเองอีกครั้งหลังละมือมาพูดคุยเสียนาน ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมเองก็ตระหนักได้ว่าควรรีบกินข้าวให้เสร็จเสียทีจะได้รีบไปพักผ่อนและ...


พักผ่อนงั้นเหรอ...   


สายตาของผมละจากจานข้าวตรงหน้าไปยังหน้าต่างที่อยู่ด้านข้างของห้อง


สายฝนที่ซาดซัดบริเวณด้านนอกไม่มีทีท่าว่าจะซาลงแม้แต่น้อย เสียงหยาดน้ำกระทบกับผืนดินมีแต่จะทวีความดังมากขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าแล้วคงไม่พ้นจะตกหนักแบบนี้ไปทั้งคืนแน่


แบบนี้ก็หมายความว่า...


“คืนนี้ไวท์พักที่นี่นะลูก”


นั่นไง กะอะไรไว้ไม่เคยผิดเลยจริงๆ


“อย่าเลยครับคุณน้า แค่นี้ผมก็เกรงใจมากแล้ว”


“เกรงจงเกรงใจอะไรกันลูก หนูอุตส่าห์ช่วยมาส่งเจ้าอีฟส์ถึงบ้านจนต้องติดฝนกลับบ้านไม่ได้ แล้วจะให้น้าปล่อยหนูขับรถมอเตอร์ไซค์ฝ่าฝนออกไปได้ยังไง” แม่พูดพลางส่ายหน้ายิก “ไม่ได้เลยๆ”


แม่นะแม่


“นก นกเอ๊ย”


สิ้นเสียงตะโกนเรียกของแม่เพียงไม่กี่วินาที หญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งก็กุลีกุจอเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหารด้วยท่าทีนอบน้อมเหมือนอย่างทุกทีที่เคยเห็น


“มีอะไรเหรอคะคุณหญิง”


ผมเห็นแม่หันมามองหน้าแขกของบ้านชั่วอึดใจก่อนจะหันกลับไปพูดกับคนที่เพิ่งเดินเข้ามา


“ไปเตรียมห้องนอนแขกให้คุณเขาหน่อยไป”


“ได้ค่ะ”


พอรับคำเสร็จ เธอคนนั้นก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วเหมือนอย่างเคย


ความจริงแล้วผมเองก็ไม่ค่อยจะชอบท่าทีเหมือนหุ่นยนต์ทำงานนี่สักเท่าไหร่ แต่จู่ๆ จะมาบอกว่าไม่ชอบแล้วให้เปลี่ยนเลยก็คงไม่ได้ เพราะอย่างไรเสียคนงานในบ้านทุกคนถูกอบรมมาให้ทำแบบนี้ ถ้าจะให้โทษใครสักคน ก็คงต้องโทษพ่อผมนั่นล่ะที่ร่างกฎระเบียบประหลาดๆ แล้วส่งให้บริษัทจัดหาแม่บ้านอบรมมาให้


พ่อ...งั้นเหรอ


ผมเงยหน้าขึ้นจากจานอาหารของตัวเองก่อนจะเอ่ยปากถาม


“แม่ครับ พรุ่งนี้พ่อจะกลับมากี่โมงเหรอครับ”


“ก็คงเย็นๆ นั่นล่ะจ้ะ ทำไมเหรอลูก”


ผมส่ายหน้าช้าๆ


“เปล่าครับ ผมถามดูเฉยๆ”


ดีแล้ว ขืนให้พ่อมาเจอไวท์ ไม่รู้ว่าอะไรๆ จะผ่านไปได้ด้วยดีเหมือนวันนี้รึเปล่า รายนั้นยิ่งชอบย้ำปมว่าชีวิตผมพินาศเพราะทางที่เคยเลือกเดินในอดีตอยู่ด้วย เกิดได้มาเจอกันจริง น่ากลัวว่าความลับจะแตกหมด


ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดเรื่องของตัวเองอยู่นั้น คนที่นั่งข้างๆ ก็พลันพูดอะไรบางอย่างที่ผมคาดไม่ถึงขึ้นมาให้ได้ยิน


“น่าเสียดายนะครับ ผมก็เลยอดเจอคุณอาเลย”


ผมหันไปมองอีกคนเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา รายนั้นเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจผมเท่าไหร่ เด็กหนุ่มยังคงจดจ่ออยู่กับการตักอาหารใส่ช้อนก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับแม่ผมที่นั่งตรงข้ามกับเขาพอดี


“มาอาศัยบ้านทั้งทีแต่ไม่ได้ทักทาย ดูจะเสียมารยาทไปหน่อยน่ะครับ”


“โธ่ลูก ไม่ต้องคิดมากหรอกจ้ะ พ่อเจ้าอีฟส์เขาไม่ว่าอะไรหรอก เชื่อน้าเถอะ”


“ครับ” เด็กคนนั้นพยักหน้าช้าๆ แล้วเงียบไป


ในตอนแรกผมก็นึกว่าเขาจะมีอะไรพูดขึ้นมาต่ออีกเหมือนอย่างทุกที แต่สุดท้ายแล้วก็กลับกลายเป็นว่าบทสนทนาทั้งหมดจบลงเพียงแค่นั้น ไม่มีคำถามเพิ่มเติม ไม่มีสีหน้าเจ้าเล่ห์อยากรู้อยากเห็นเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ ราวกับว่าจู่ๆ เจ้าตัวก็ถอดใจไม่อยากรู้เรื่องผมไปเสียเฉยๆ


อะไรกันล่ะเนี่ย


ยังไม่ทันที่ผมจะได้ไขปริศนาเรื่องท่าทีของอีกฝ่ายได้ แม่ก็ดันช่วยหาปัญหาใหม่มาให้ผมช่วยแก้เพิ่มขึ้นไปอีก


“เดี๋ยวอีฟส์เอาชุดให้น้องยืมด้วยน่ะลูก”


ฮะ? แม่ ไม่นะแม่


“แต่น้องเขาตัวใหญ่กว่าอีฟส์นะแม่ จะใส่ได้ยังไงล่ะ”


“อ้าว แม่เห็นลูกมีเสื้อโอเวอร์ไซต์ตั้งหลายตัวไม่ใช่เหรอ ให้น้องเขายืมใส่นอนหน่อยเป็นไรไปล่ะลูก”


แม่ แม่พูดอะไรออกมาน่ะแม่


“แต่อีฟส์ไม่มีชั้นในให้น้อง...”


“ก็ตัวใหม่ที่ลูกซื้อมาผิดไซต์ไงลูก แม่จำได้นะ ตัวที่ซื้อมาเมื่อสองเดือนก่อนน่ะ ให้น้องไปสิ”


แม่!


“อ้อ แล้วห้องน้ำที่ห้องนอนแขกน้ำมันไหลเบา ถ้ายังไงพาน้องไปอาบน้ำที่ห้องนอนลูกหน่อยนะ”


แม่เดี๋ยวแม่


“แม่ง่วงละ ขอตัวไปนอนก่อนนะจ๊ะเด็กๆ”


แม่เดี๋ยว แม่จะมาวางระเบิดแล้วทิ้งกันไปแบบนี้ไม่ได้นะ!


ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดค้านอะไรมากไปกว่า ‘แต่อีฟส์ไม่มีชั้นในให้น้อง...’ คุณแม่สุดที่รักของผมก็พลันลุกขึ้นแล้วเดินลิ่วๆ จากไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย


แม่นะแม่ รู้ทั้งรู้ว่าอีฟส์ไม่ชอบให้ใครยืมเสื้อผ้าไปใส่อะ!


“ถ้าพี่ไม่โอเค ผมใส่ชุดนี้นอนก็ได้นะพี่ ไม่เป็นไร”


คงเพราะสีหน้าไม่พอใจของผมมันออกชัดไปหน่อย เจ้าเด็กข้างๆ นี่ถึงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงหงอยๆ ขนาดนั้น พอหันไปมองก็ดันเป็นจริงอย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด


ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยทำสีหน้าเจ้าเล่ห์อย่างนักล่าที่โรงพยาบาล มาตอนนี้กลับเหลือเพียงความเจียมเนื้อเจียมตัวและสีหน้าหมองๆ ที่ใครเห็นแล้วไม่สงสารก็คงจะใจร้ายใจดำเกินไปแล้ว


บ้าเอ๊ย พระเจ้าเกลียดผมชัดๆ


เอาวะ


“ไม่หรอก พี่แค่ไม่แน่ใจว่าจะมีเสื้อผ้าที่เราใส่ได้ไหมน่ะ ถ้ายังไงเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วไปเลือกเสื้อผ้าที่ห้องพี่แล้วกัน”


“ขอบคุณนะครับพี่!”


แล้วใบหน้าหม่นหมองนั้นก็ถูกฉาบด้วยความดีใจเสียจนผมเองยังเผลอยิ้มตามไปด้วยอย่างไม่มีสาเหตุ


เด็กคนนี้นี่ประหลาดจริง เวลาดีใจก็ดีใจสุด เวลาเสียใจก็เห็นได้ชัดจนไม่ต้องเดา ดูเผินๆ แล้วเหมือนเป็นเด็กซื่อๆ ไม่มีพิษมีภัยอะไร


แต่ผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่...


‘บอกความจริงกับผมมาได้ไหมครับ’


‘สาบานกับผมสิครับว่าที่พี่พูดมาทั้งหมดคือความจริง’



ท่าทางประหลาดพวกนั้นผมยังจำมันได้ขึ้นใจ อารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาพวกนั้นดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลจนคล้ายว่าอีกฝ่ายจะมีอาการทางจิตด้านการแสดงอารมณ์ก็จริง แต่ลึกๆ แล้วผมรู้ดีว่ามันมีอะไรบางอย่างมากกว่านั้น


แม้จะไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าแท้จริงแล้วอารมณ์ของเขา ณ ขณะนั้นมีเพียงอย่างเดียวที่เป็นของจริง ส่วนที่เหลือนั้นเป็นเพียงหน้ากากที่อีกคนเลือกจะหยิบมาสวมเพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีเสียมากกว่า ถ้าจะให้ผมเดา ตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาลนั้น อาการยิ้มแย้ม ใจดีทั้งหลายหลังจากพูดคำประหลาดเหล่านั้นออกมาคงเป็นการแสดงทั้งหมด แต่เรื่องสาเหตุที่ว่าทำไมน้องมันต้องทำแบบนั้น...


...ผมเองก็จนปัญญาจะเข้าใจ...










หลังจากกินข้าวเรียบร้อย ผมและ’แขก’จำเป็นของบ้านก็พากันเดินขึ้นมาที่ชั้นสองเพื่อจะได้แยกย้ายกันไปพักผ่อน แม้จะไม่อยากยอมรับสักเท่าไหร่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมถูกเด็กคนนี้ช่วยเอาไว้มากโข ถ้าไม่มีเขาป่านนี้ชีวิตผมจะเป็นยังไงก็ไม่อาจจะรู้ได้เลย


ถึงจะเป็นอย่างงั้นก็เถอะ ยังไงเสียการให้ยืมเสื้อผ้ามันก็เป็นคนละเรื่องกันอยู่ดี


“ไวท์นั่งรอพี่ตรงโซฟาริมหน้าต่างก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่หาชุดนอนให้”


ผมตะโกนบอกเด็กหนุ่มที่ยืนห่างออกไปพอสมควรโดยไม่ได้หันไปมอง ในตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของผมถูกทุ่มเทให้กับการควานหาเสื้อผ้าที่ผมซื้อมาและไม่เคยใส่เพื่อยกให้อีกคนไปเสียให้จบๆ ส่วนตัวแล้วผมเป็นคนไม่ชอบให้ใครมายืมใช้ของใช้ส่วนตัวของผมทั้งนั้น แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่ได้ เพราะแบบนั้น ถ้าสามารถหาเสื้อที่พอจะตัดใจยกให้อีกคนไปเลยได้ก็คงดี


ที่สำคัญก็คืออยากรีบๆ ไล่เจ้าเด็กนี่ออกไปจากห้องนอนของผมด้วย


ในขณะที่ผมกำลังค้นหาของที่ต้องการอย่างเร่งรีบอยู่นั้น เด็กคนนั้นก็ดันโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจเสียจนผมต้องละมือไปจากตะกร้าผ้าตรงหน้าเพื่อหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้


“โห มีชุดโซฟาในห้องนอนด้วยอะพี่ บ้านพี่โคตรรวยเลยอะ”


น้ำเสียงตื่นเต้นขนาดนั้น....หรือจะเพิ่งรู้จริงๆ นะ


ผมลอบมองใบหน้าคนพูดอยู่อึดใจก่อนจะเบนกลับมาแล้วแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำถามนั้นมากนัก


“ธุรกิจพ่อแม่น่ะ ไม่ใช่ของพี่หรอก”


“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะพี่ ของๆ พ่อแม่ สักวันก็ต้องเป็นของเราไม่ใช่เหรอ”


คำถามที่ทิ่มแทงลงมากลางใจพอดิบพอดีราวกับนกรู้ทำให้มือผมเผลอหยุดการค้นหาไปหลายวินาทีกว่าจะสามารถคืนสติกลับมาได้


สักวันก็ต้องเป็นของเรางั้นเหรอ...


“เรื่องแบบนั้นน่ะ ไม่มีทางหรอก”


“อะไรนะพี่”


คำเอ่ยทักที่ดังมาจากอีกฝ่ายทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรต่อมิอะไรออกมามากเกินไปแล้ว โชคยังดีที่อีกฝ่ายไม่ทันจะได้ยินอะไรไปมากมายก็เลยยังพอเฉไฉเปลี่ยนประโยคไปได้


“เปล่า พี่ก็แค่ไม่ได้คิดว่าจะต้องกลับมารับช่วงต่อเท่านั้นเอง งานที่ทำอยู่ตอนนี้ก็มีความสุขดี”


“แต่งานที่พี่ทำอยู่ตอนนี้มันไม่ดีพอที่จะทำให้สามารถเข้ารักษาในโรงพยาบาลระดับนั้นได้บ่อยๆ หรอกนะครับ”


มาแล้วสินะ


ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาจากตะกร้าผ้าตรงหน้าอย่างช้าๆ แม้จะไม่ได้หันหน้าไปมอง แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงคิดว่าตัวเองพอจะเดาสีหน้าของอีกคนได้อยู่


ตอนนี้อีกฝ่ายคงกำลังทำหน้านิ่งๆ น่ากลัวๆ อยู่แน่


“ตอนที่ผมถามว่าพี่เคยมาที่โรงพยาบาลนั้นแค่ครั้งเดียวจริงหรือเปล่า พี่ตอบผมว่าแค่ครั้งเดียวจริงๆ ใช่ไหมครับ”


เสียงซวบซาบของฝีเท้าที่ย้ำลงบนพื้นพรมใกล้เข้ามาหาผมทีละก้าว – ทีละก้าว


“ผมรู้นะว่าพี่โกหก เพราะตอนที่ผมเอาเรื่องพี่ไปดำเนินการที่ห้องระเบียนที่โรงพยาบาล มันขึ้นว่าพี่เป็นไวท์แพลตตินั่มเมมเบอร์ของที่นั่น ผมรู้จักโรงพยาบาลนั้นดีครับพี่ ที่นั่นแบ่งระดับผู้ป่วยออกเป็นสี่ระดับใหญ่ๆ กับอีกหนึ่งระดับพิเศษ พี่ก็น่าจะรู้ดีนะครับ”


เสียงนุ่มทุ้มนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆ – เรื่อยๆ


“ไวท์เมมเบอร์ สำหรับผู้ป่วยที่มาใช้บริการไม่ถึงสิบครั้ง ซิลเวอร์เมมเบอร์ สำหรับผู้ใช้บริการสิบครั้งขึ้นไป โกลด์เมมเบอร์ สำหรับผู้ใช้บริการมากกว่าห้าสิบครั้ง แพลตตินั่มเมมเบอร์ สำหรับผู้ใช้บริการมากกว่าหนึ่งร้อยครั้งขึ้นไป และระดับสุดท้าย...”


ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดลงข้างหูผม


“ไวท์แพลตตินั่มเมมเบอร์ สำหรับผู้ใช้บริการที่เกิดที่โรงพยาบาลนี้และรักษาที่โรงพยาบาลนี้มาอย่างสม่ำเสมอเกินสิบปี โดยต้องใช้บริการอย่างต่ำปีละยี่สิบครั้ง หรือเสียค่าต่อสมาชิกในรูปแบบของเงินบริจาคแล้วแต่ศรัทธา แต่เท่าที่ผมรู้มา สมาชิกระดับนี้จำกัดสิทธิอยู่แค่สองร้อยคนเท่านั้น ไม่เคยมีโควตาเพิ่มมาหลายสิบปีแล้ว ถ้ายอดบริจาคไม่ถึง ก็จะหลุดไปอยู่แพลตตินั่ม ผมพูดถูกไหมครับ”


น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย หากเย็นเยียบจนชวนให้รู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ


“สิทธิประโยชน์ของสมาชิกระดับนี้นั้นล้นเหลือ ถ้าเป็นผู้ป่วยในก็จะได้ห้องที่ดีที่สุด ถ้ามาตรวจอาการก็จะได้หมอที่เก่งที่สุดเท่าที่โรงพยาบาลจะหามาให้ได้ ณ เวลานั้น หรือถ้าอยากไปรักษาต่อที่ต่างประเทศ โรงพยาบาลก็ยินดีรับจัดการธุระให้อย่างรวดเร็ว อยากได้อะไรก็จะได้ อยากทำอะไรก็ได้ทำ เงื่อนไขของระดับนี้ทั้งจุกจิกและน่ารำคาญ แต่ผลที่ได้กลับมาก็คุ้มค่าใช่ไหมครับพี่”


ฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่ายค่อยๆ ไล่จากต้นคอไปยังหัวไหล่ข้างของผมช้าๆ สัมผัสอุ่นร้อนนั้นคลอเคลียอยู่ที่ต้นแขนผมไม่ห่าง แม้มือของอีกคนจะไม่ได้จับลงมาแต่ผมกลับรู้สึกราวกับถูกรัดตรึงร่างเอาไว้ด้วยโซ่เส้นใหญ่ที่มองไม่เห็น


ความรู้สึกราวกับกำลังจมน้ำแบบนี้...ไม่ชอบเลย


“ทำไมพี่ต้องโกหกผมด้วยเหรอครับ”


แม้ว่าคำถามที่เปล่งออกมานั้นจะฟังดูปกติราวกับกำลังพูดถึงเรื่องลมฟ้าอากาศ แต่ผมกลับสัมผัสถึงความปกตินั้นไม่ได้เลย น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแม้จะเรียบเฉยแต่กลับเจือปนไปด้วยความขุ่นเคืองบางอย่างที่สื่อผ่านออกมาถึงผมอย่างชัดเจน


ทั้งที่ควรจะทำให้รู้สึกกลัวแท้ๆ แต่ทำไมผมถึงได้...รู้สึกผิดขนาดนี้กันนะ...


“ตอบผมมาสิครับพี่ ตอบมาสิครับว่าพี่โกหกผมทำไม”


ผมรู้ดีว่าเขาพยายามบังคับให้เสียงของตัวเองฟังดูนิ่งและสงบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมรู้ว่าเขาพยายามจะจริงจังและขึงขังโดยไม่ร้องไห้ ผมรู้เพราะผมจับความสั่นเครือในน้ำเสียงของเขาได้


แม้จะไม่ชัดเจน แต่ก็มากพอให้หัวใจทั้งดวงของผมสั่นไหว


“ตอบมาสิครับพี่ ว่าพี่จะปิดบังเรื่องฐานะของตัวเองไปทำไม”


ในที่สุดประโยคนี้ก็หลุดออกมาจากปากของเขาจนได้


“พี่อีฟส์ครับ ผม...สำคัญกับพี่มากพอที่จะได้ยินความจริงจากปากพี่ไหมครับ”


ความน้อยใจที่พรั่งพรูผ่านมากับคำพูดของอีกคนทำให้ผมต้องหลับตาลงอย่างรู้สึกผิด


ที่โรงพยาบาลนั่น น้องดูแปลกไปก็เพราะความจริงที่ได้รับรู้มาสินะ ในตอนนั้นเขาคงทั้งผิดหวังและน้อยใจ แต่ก็ยังสู้อุตส่าห์ไม่พรั่งพรูความเสียใจออกมาแล้วทิ้งผมไว้กลางทาง ซ้ำยังช่วยพามาส่งถึงบ้านทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้


รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจดีว่าผมเป็นคนโกหก แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือผมไปไหน ซ้ำยังจับแน่นขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ


...คนแบบนี้ เห็นจะมีแค่คนเดียวในโลกล่ะมั้ง...


“ขอโทษนะ”


ในที่สุดก็พูดออกมาจนได้ ทั้งที่ตอนแรกกะเอาไว้ว่าต่อให้โดนต้อนจนจนมุมแค่ไหนก็จะพยายามโกหกต่อไปแท้ๆ


ทำไมถึงใจอ่อนเอาเสียได้นะอีฟส์


“พี่ขอโทษนะไวท์ ขอโทษจริงๆ ที่โกหก”


ผมลืมตาขึ้นช้าๆ พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมเอี้ยวหัวเล็กน้อยเพื่อมองหน้าคนที่กำลังทำสีหน้าใกล้จะร้องไห้แหล่ไม่ร้องไห้แหล่อยู่ทางด้านหลัง นัยน์ตาคมคู่นั้นรื้นน้ำเสียจนน่าสงสาร ถ้าปล่อยไว้อีกนิดน่ากลัวจะได้ร้องไห้ออกมาจริงๆ


ทำเด็กร้องได้เข้าจนได้ เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลยนะอีฟส์


“เหตุผลที่ทำให้พี่ต้องโกหกคนอื่นเรื่องฐานะทางบ้านมันมีอยู่หลายอย่าง บางอย่างก็อาจฟังดูไร้สาระสำหรับคนอื่น แต่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพี่”


มือสองข้างของผมค้ำยันเข้ากับตู้เสื้อผ้าเพื่อช่วยพยุงตัวเองให้หันไปเผชิญหน้ากับอีกคน แม้จะทุลักทุเลไปบ้าง แต่เพราะได้ความช่วยเหลือจากคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ผมจึงทำสำเร็จได้ในที่สุด


จนป่านนี้ก็ยังจะอุตส่าห์ช่วยกันอยู่ได้


บ้า...จริงๆ เลย...


“ถึงตอนนี้พี่อาจจะยังเล่าเหตุผลให้ไวท์ฟังไม่ได้ แต่สักวันหนึ่งเมื่อพี่พร้อม พี่จะเล่าให้ฟังนะ”


ดวงตาของผมสบลึกเข้าไปในตาของเขา


“พี่จะไม่ขอให้ไวท์ยกโทษให้ในฐานที่พี่โกหก แต่ขออย่าได้เกลียดกันเลยได้ไหม”


ผมถือวิสาสะเอื้อมมือไปแตะไหล่เขาเบาๆ


“นะไวท์นะ”


“แล้วถ้าผมบอกว่าไม่ล่ะครับ”


หัวใจของผมกระตุกวาบให้กับสิ่งที่ได้ยิน แม้จะเคยเตรียมใจเรื่องโดนจับโกหกได้ไว้บ้างแล้ว แต่พอมาโดนเข้าจริงๆ มันกลับรุนแรงมากกว่าที่คิดเอาไว้ชนิดที่เทียบกันไม่ติด


เจ็บ...เจ็บหัวใจจังเลย


แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเศร้าได้นาน ประโยคที่ตามมาก็พลันช่วยเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของผมขึ้นมาได้อย่างทันท่วงที


“ใจผมก็อยากจะพูดอย่างนั้นอยู่หรอกนะพี่ แต่ผมทำไม่ได้หรอก แค่เรื่องแค่นี้เอง ผมเกลียดพี่ไม่ลงหรอก”


คำพูดที่เอ่ยออกมาด้วยท่าทางกระเง้ากระงอดของอีกคนทำให้ผมถอนหายใจพลางคลี่ยิ้มได้อย่างโล่งอก ความดีใจที่เอ่อล้นขึ้นมาทำให้ผมเผลอโถมเข้ากอดอีกคนไปเสียยกใหญ่ กว่าจะรู้ตัวแล้วถอยออกมาได้ก็ผ่านไปหลายนาที


“โทษทีนะ พี่ดีใจไปหน่อยน่ะ”


“ไม่เป็นไรครับพี่” ใบหน้าหล่อเหลานั้นประดับด้วยรอยยิ้มทะเล้นเหมือนอย่างเก่า “เผลอบ่อยๆ ก็ดีนะครับ”


อ๊ะ!


“เป็นอะไรไปเหรอครับพี่ สีหน้าดูแปลกๆ นะครับ”


“อ๋อ เปล่าๆ ไม่มีอะไร เราน่ะไปอาบน้ำเถอะ พี่เตรียมเสื้อผ้าไว้ให้แล้ว ห้องน้ำอยู่ตรงนั้นนะ”


ผมว่าพลางเอี้ยวตัวไปหยิบเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ส่งให้อีกฝ่ายก่อนจะชี้ทางนิ้วบอกตำแหน่งของห้องน้ำให้อีกคนรู้ คนตัวสูงกว่ารับกองผ้าในมือไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักน่าเอ็นดู


ให้ตายสิเด็กคนนี้


“ส่วนเดี๋ยวเสื้อผ้าชุดเก่านี่ก็ถอดออกมาไว้กับพี่ก็ได้นะ เดี๋ยวพี่เรียกแม่บ้านไปซักอบให้ จะได้แห้งทันพรุ่งนี้”


“ได้ครับผม”


ท่าทางรับคำอย่างร่าเริงก่อนจะเดินดิ่งหายเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็วนั้นทำให้ผมเผลอหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้


ทำไมถึงได้เป็นเด็กที่ร่าเริงและน่ารักขนาดนี้กันนะ...


อ๊ะ! อีกแล้ว...


ผมยกมือขึ้นนาบบริเวณกลางอกของตัวเองพลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นสองครั้งในเวลาไล่เลี่ยกันเมื่อครู่


ทำไมหัวใจถึงได้เต้นแรกขนาดนี้กันล่ะ ครั้งแรกที่รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมาจากอกก็ตอนที่...


‘โทษทีนะ พี่ดีใจไปหน่อยน่ะ’


‘ไม่เป็นไรครับพี่ เผลอบ่อยๆ ก็ดีนะครับ’



กับเมื่อครู่นี้ที่...


ทำไมถึงได้เป็นเด็กที่ร่าเริงและน่ารักขนาดนี้กันนะ


บ้าน่า...ไม่จริงใช่ไหม...


นัยน์ตาของผมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นอย่างหนักเมื่อตระหนักได้ถึงความจริงข้อหนึ่งขึ้นมาได้


นี่ผม...ชอบน้องมัน...อย่างงั้นเหรอ


บ้าน่าๆ บ้าแล้วอีฟส์ น้องมันห่างกับเราตั้งกี่ปี เด็กขนาดนั้นยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ำ ไม่เอาน่า บ้าแล้ว


ผมสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระของตัวเองแรงๆ พลางเดินกะโผลกกะเผลกไปทิ้งตัวซุกหน้าลงกับหมอนบนเตียงนอนนุ่มหวังให้ใจสงบลงไปฟุ้งซ่าน แต่ไม่ว่าจะซุกหน้าลงไปมากแค่ไหน เสียงในห้องก็ยังคงสะท้อนแต่คำเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ


ชอบเขางั้นเหรอ ชอบเด็กงั้นเหรอ บ้าน่าอีฟส์


เปลือกตาของผมปิดแน่นสนิทเข้าหากันหวังตัดความว้าวุ่นทั้งหมดออกจากหัว ลมหายใจเข้าออกถูกควบคุมตามหลักการนั่งสมาธิที่เคยเรียนมาแต่เล็กแต่น้อยหวังใจว่าจะช่วยให้จิตใจสงบลงได้บ้าง


ใช่แล้ว ใจเย็นไว้อีฟส์ เราไม่ได้ชอบน้องเขาหรอก เราแค่ไม่ได้สนใจใครมานานมากแล้วก็เลยเผลอหวั่นไหวไปกับคำหยอดหวานๆ ก็แค่นั้นเอง


ใช่แล้ว ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ


ผมไม่ได้ชอบเขาหรอก ผมก็แค่สนใจเขาเพราะเขาหน้าเหมือนกับคนในความทรงจำก็แค่นั้นเอง


ใช่...ต้องใช่แน่ๆ เลย...





*******************************************************************************



[เกร็ดความรู้]


กานอง เอิง ดี (Kanon und Gigue für 3 Violinen mit Generalbaß) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ แคนอนของพาเคลเบล (Pachelbel's Canon) หรือ แคนอน ในบันไดเสียง ดี เมเจอร์(Canon in D major) เป็นผลงานประพันธ์ดนตรีบาโรกที่มีชื่อเสียงที่สุดของโยฮันน์ พาเคลเบล คีตกวีชาวเยอรมัน สกอร์ดนตรีดั้งเดิมแต่งขึ้นสำหรับบรรเลงแบบแคนอน (Kanon) ด้วยไวโอลินสามตัว โดยมีการเดินเสียงเบสด้วยเครื่องดนตรีเช่นเชลโล ดับเบิลเบส หรือบาซซูน ไวโอลินทั้งสามตัวเล่นด้วยโน้ตและจังหวะเดียวกัน แต่เริ่มต้นบรรเลงไม่พร้อมกัน โดยห่างกัน 4 ห้องเสียงไล่ตามกันไป และประสานออกมาเป็นเพลง

ที่มา: แคนอนของพาเคลเบล




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-09-2018 19:40:38 โดย Marymo »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 12 – On the Beautiful Blue Danube








ฝัน...ขึ้นชื่อว่าความฝัน ในบางครั้งมันก็เป็นเพียงแค่เรื่องประหลาดเกินที่เราจะคาดเดาได้ เมื่อตอนเด็กๆ ผมมักจะใช้เวลายามค่ำคืนท่องเที่ยวไปในห้วงอวกาศบ้าง ในป่าที่เต็มไปด้วยไดโนเสาร์บ้าง แต่พอโตมา รูปแบบของความฝันที่เคยเห็นก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กทีละน้อย รู้ตัวอีกที ก็ไม่ฝันถึงเรื่องที่เคยฝันอีกแล้ว


เมื่อสิบกว่าปีก่อน ความฝันของผมมักไม่มีภาพปรากฏ สิ่งที่รับรู้มีเพียงเสียงดนตรีที่ไหลผ่านเข้ามาในหู โน้ตแล้วโน้ตเล่า ร้อยเรียงต่อกันอย่างสะเปะสะปะ เพราะบ้างไม่เพราะบ้าง แต่ผมก็รักความฝันเหล่านั้นที่สุด แต่ก็อย่างที่บอก ผมเลิกฝันถึงความฝันเหล่านั้นมานานมากแล้ว นาน...นานมากเสียจนจำครั้งสุดท้ายที่ฝันถึงอะไรแบบนั้นไม่ได้เลย


นั่นสินะ ครั้งสุดท้ายที่ฝันว่าได้ยินเสียงไวโอลินแบบนี้คือเมื่อไหร่กันนะ


ท้วงทำนองแว่วหวานคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ทั้งที่มั่นใจว่าที่ได้ยินนั้นมีเพียงแค่เสียงของไวโอลินอย่างเดียวแน่ แต่ไม่รู้ทำไมถึงชวนให้ฟังอย่างน่าประหลาด ทั้งที่ไม่มีเสียงประสานอื่นใดมาช่วยชูรสของโน้ตที่ถูกสีออกมาแท้ๆ ไม่รู้ทำไมถึงหยุดฟังไม่ได้เลย


ผมเคยได้ยินเพลงนี้แน่ๆ แต่ทำไมถึงนึกไม่ออกกันนะ


นึกให้ออกสิ นึกชื่อเพลงนี้ให้ออกสิ


‘สักวันนึง ผมจะเป็นอย่างพี่ให้ได้เลยครับ’


เสียงนั่น...ใช่...ในวันที่เพลงนี้บรรเลงขับกล่อมอยู่รอบตัว ผมเคยได้ยินคำพูดแบบนั้นมาก่อน


‘สักวันนึง ผมจะขึ้นไปยืนเคียงข้างพี่ในวงดนตรีให้ได้เลยครับ’


คำพูดนั้น...ของใครกันนะ นึกไม่ออก ทำไมถึงนึกไม่ออกเลย


‘จนกว่าจะถึงวันนั้น อย่าเลิกเล่นไวโอลินนะครับ’


-กริ๊ง กริ๊ง-


เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังแหวกเข้ามาในความฝันทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาสุดแรง นัยน์ตาที่ควรจะสะลึมสะลือเบิกโพล่งขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก ผมถอนหายใจออกมาอย่างแรงหลังพบกับความจริงว่าผมยังอยู่บนเตียงนอน ไม่ได้มีเสียงปริศนาอะไรดังขึ้นมาข้างหู ไม่มีเสียงไวโอลิน ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ถ้าจะมีอะไรที่ผิดไปจากปกติก็คงจะเป็นตัวผมเอง


พอได้ก้มมองสารรูปของตัวเองแล้วมันก็อดจะถอนหายใจออกมาไม่ได้ ชุดทำงานของเมื่อวานยังอยู่บนตัวในสภาพที่ยับเยินจากการนอน ไม่ต้องให้ใครมาบอกก็รู้ว่าเมื่อคืนผมคงหลับไปโดยยังไม่ทันได้อาบน้ำแน่


เฮ้อ ให้ตายเถอะอีฟส์ โตเป็นผู้ใหญ่ป่านนี้แล้วก็ยังจัดการชีวิตตัวเองให้ดีไม่ค่อยจะได้เลยน้า


ผมบ่นขิงบ่นข่าในใจตัวเองก่อนจะเอื้อมมือไปปิดนาฬิกาปลุกที่ยังส่งเสียงน่ารำคาญออกมาไม่หยุด หลังจากนั่งตั้งสติได้ประมาณห้านาทีผมก็เพิ่งจะนึกได้ว่าวันนี้ไม่ใช่วันหยุด สุดท้ายก็เลยจบลงที่ผมต้องวิ่งวุ่นไปมาในสภาพขากะเผลกๆ เพื่อเตรียมตัวออกไปทำงาน


ภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกที่แตกต่างจากทุกวันทำเอาผมอดยิ้มแหยะๆ ออกมาให้ตัวเองไม่ได้ ปกติแล้วผมเป็นคนตัวเตี้ย การใส่อะไรที่ดูหลวมหรือโคร่งจนเกินไปจะทำให้ผมดูตันและจมหายไปในเสื้อผ้า เพราะแบบนั้นก็เลยพยายามเลี่ยงการใส่กางเกงขากระบอกหรือเสื้อที่ใหญ่กว่าตัวมาตลอด แต่พอมันมีเฝือกเข้ามา จะให้มาใส่เดฟมันก็...


-ก๊อก ก๊อก ก๊อก-


เสียงเคาะประตูที่ปกติจะไม่ดังในตอนเช้าทำให้ผมต้องละสายตาจากกระจกแล้วหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้


ใครมากันนะ


ถึงจะสงสัยอย่างนั้น แต่สุดท้ายแล้วผมก็พายังอุตส่าห์เดินกะโผลกกะเผลกไปเปิดประตูให้อยู่ดี


ทันทีที่บานประตูไม้ถูกเปิดออก คนที่อยู่ด้านหน้าประตูก็พลันเบิกตาโตขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง


“โห เปลี่ยนลุคส์เหรอพี่”


ดวงตาคมฉายแววตื่นเต้นอย่างแท้จริง ไม่มีแม้สักเสี้ยวที่จะหยามเหยียด ท่าทางน้องมันคงจะตื่นเต้นกับการแต่งตัวของผมวันนี้เข้าจริงๆ แต่ก็นะ มันก็พอจะเข้าใจได้อยู่หรอกในเมื่อผมไม่เคยแต่งตัวแบบนี้ให้ใครเห็นเลยสักคน


“เปล่า แค่กางเกงเดฟมันติดเฝือกน่ะ รู้อยู่นะว่ากางเกงทรงลุงมันไม่เข้าน่ะ แต่ทำไงได้ล่ะ”


“ไม่เข้าอะไรกันพี่ ดูดีออก”


ผมขมวดคิ้วยิ้มๆ


“พูดจริง?”


“อือ” เขาพยักหน้า “ดูเป็นผู้ชายตัวเล็ก น่ารัก น่าถนอมดีนะพี่ ไซต์พกพาง่ายงี้”


...อา...บ้าจริง ใจมันจะเต้นแรงขึ้นมาทำไมเนี่ย ไม่ได้ๆ ต้องกลบเกลื่อนไปก่อน


“คน ไม่ใช่หมากระเป๋า”


“ถ้าเป็นหมาผมไม่ชมหรอกพี่ ผมกลัวหมาจะตาย”


ผมเลิกคิ้ว


“จริงเหรอ”


“จริงพี่” เขาพยักหน้าแรงๆ “ผมชอบแมวมากกว่าอะ”


บ้าชะมัด...นี่มัน...บ้าเกินไปแล้ว


“เหรอ...เหมือนกันเลย”


นัยน์ตาของคนตรงหน้าเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากที่คลี่กว้างอยู่แล้วก็พลันขยายมากขึ้นกว่าเก่า


“พี่ก็ชอบแมวเหรอ”


ผมพยักหน้าช้าๆ


“อา...เมื่อตอนเด็กๆ เคยโดนหมากัดน่ะ ก็เลย...ไม่ชอบหมาเท่าไหร่”


“โห ใจเรานี่ตรงกันดีเนาะ”


ใช่ ตรงเกินไปจนกลัวกลัวใจตัวเองจะทะลุออกมาด้วยซ้ำ


ไม่ไหว แบบนี้ไม่ดีแน่


“เดี๋ยวยังไงไวท์ลงไปกินข้าวเช้าก่อนเลยนะ พี่ขอเก็บของอีกหน่อยแล้วจะตามลงไป”


“เอางั้นเหรอพี่ ผมมาเคาะนี่กะจะช่วยพยุงพี่ลงไปนะ”


ผมส่ายหน้าไวๆ
“ไม่เป็นไรๆ พี่ยังมีของต้องจัดการน่ะ ยังไงเจอกันที่ห้องกินข้าวเลย”


เขานิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ


“โอเคครับ เอาอย่างงั้นก็ได้ แต่...” ดวงตาคู่สวยสบลึกเข้ามาในตาของผม “ถ้ามีอะไรอยากให้ช่วย เรียกผมได้เลยนะครับ”


“อา...ได้ ขอบใจนะ”


แล้วเขาก็เดินจากไปพร้อมๆ กับประตูห้องผมที่ปิดลง ทันทีที่ได้อยู่คนเดียว เสียงถอนหายใจก็ดังฝ่าความเงียบขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงหัวใจที่เต้นถี่รัวจนกลัวว่าใครจะมาได้ยิน มือสองข้างยังสั่นไม่หาย หัวสมองก็ยังไม่สามารถคิดอะไรได้เป็นกิจจะลักษณะมากนัก


เด็กคนนั้นมีอิทธิพลกับผมขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย


ผมใช้มือสองข้างของตัวเองยกขึ้นลูบใบหน้าที่เห่อร้อนช้าๆ พลางคิดถึงบทสนทนาเมื่อครู่


ชอบแมวงั้นเหรอ กลัวหมางั้นเหรอ บอกว่าผมน่ารักดีงั้นเหรอ บ้าชะมัด เรื่องพวกนี้มันบ้าชะมัด ทั้งที่คิดเอาไว้แล้วว่าสาเหตุที่ใจเต้นกับเด็กคนนี้ก็เพราะหน้าดันคล้ายกับคนในความทรงจำแท้ๆ คิดไว้ว่าถ้าไม่ใช่เรื่องใบหน้าก็คงไม่ชอบแท้ๆ แล้วทำไมมันถึงได้...


‘อีฟส์ เอาแมวไปไกลๆ พี่หน่อยสิ พี่แพ้ขนน่ะ’


เท่าที่จำได้ ‘คนๆ นั้น’ ไม่ชอบแมวเลยสักนิด แต่ผมก็ยังชอบเขามากๆ เพราะฉะนั้นถ้าผมจะชอบน้องเพราะเหมือนกับเขาคนนั้นจริงๆ ก็ควรจะชอบบุคลิกไม่ชอบแมวนั่นด้วยไม่ใช่เหรอ...


บ้าน่า...


ความจริงบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในหัวเรียกให้ก้อนเนื้อในอกเต้นถี่รัวขึ้นยิ่งกว่าเก่า


เรื่องแบบนั้นมัน...ผมเนี่ยนะ...กับเด็กที่ยังไม่จบมหาวิทยาลัยเนี่ยนะ เรื่องแบบนั้นมัน...


ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกพ่นออกมาจากปาก แม้จะหนักใจแต่อย่างไรเสียความจริงก็คือความจริง มันเป็นสิ่งที่ผมต้องยอมรับให้ได้


ใช่แล้ว ผมต้องยอมรับให้ได้ว่าผมน่ะ...ชอบน้องเพราะตัวตนของน้องมันจริงๆ ....


อ๊าก บ้าเอ๊ย คิดอะไรวะอีฟส์ ยังกับสาวน้อยวัยมัธยมที่เพิ่งรู้ตัวว่าแอบชอบรุ่นพี่อย่างนั้นล่ะ บ้าแล้ว บ้าแล้ว ถึงจะเราจะเป็นเกย์แต่เราก็เป็นเกย์ไม่ออกสาวไม่ใช่เหรอวะ ที่สำคัญคือแก่ปูนนี้แล้วด้วย ใจเย็นไว้ก่อน


ใช่ๆ ต้องใจเย็นก่อน...


ผมหลับตาลงไปครู่ใหญ่ๆ เพื่อตั้งสติก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ


ใช่แล้วอีฟส์ ตอนนี้เราต้องมีสติ อย่าบุ่มบ่าม ต้องค่อยๆ ดูกันไป ถ้ามันใช่เดี๋ยวมันก็ใช่เองล่ะ


ถูกต้อง ใช่เลย มันต้องแบบนั้นล่ะ


หลังจากตกลงกับตัวเองได้เรียบร้อย ผมก็เริ่มดำเนินกิจวัตรตัวเองต่ออีกครั้ง


ผมเดินไปเช็คความเรียบร้อยของตัวเองที่หน้ากระจกอีกครั้งก่อนจะเดินไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่มุมห้อง กระเป๋าทำงานยังตั้งอยู่ที่เดิมไม่มีการขยับเขยื้อนจากเมื่อวานทำให้อะไรๆ ในตอนเช้าของผมง่ายขึ้นมาก ผมเดินไปคว้ากระเป๋าทำงานที่ไม่จำเป็นต้องจัดใหม่ให้เสียเวลาขึ้นมาก่อนจะหมุนตัวเพื่อเดินไปทางประตูห้อง


ผมเกือบจะเดินเลยไปอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าหางตามันดันเหลือบไปเห็นอะไรเสียก่อน


ใบหน้าของผมเบนไปมองเจ้าสิ่งที่ชวนสะดุดตานั่นช้าๆ ไวโอลินตัวเก่าคร่ำครึที่ผมเก็บมาจากด้านหลังเวทีของหอแสดงตัวนั้นผมจำมันได้ดี ทั้งที่เก่าขนาดนั้นแต่กลับไม่มีส่วนเสียหายเลยแม้แต่น้อย เสียงที่เล่นออกมาก็ยังกังวานดี จำได้ว่าผมหยิบมันมาเล่นอยู่สองสามครั้งก่อนจะเก็บเอาไว้ที่เดียวกับไวโอลินตัวอื่นๆ ในตู้เก็บของแล้วนี่นา...


ผมหันไปมองทางตู้เก็บของที่ยังดูเรียบร้อยดี แม่กุญแจที่คล้องอยู่ก็ไม่ได้มีร่องรอยของการเปิดออกเลยแม้แต่น้อย


หรือจะจำผิดกันนะ...


ในขณะที่ผมกำลังฉงนใจอยู่นั้น สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้องเข้าให้


เจ็ดโมงครึ่งแล้วเหรอเนี่ย!


เพียงเท่านั้น เรื่องราวของเจ้าไวโอลินตัวน้อยก็พลันถูกลบออกไปจากหัวของผมอย่างสิ้นเชิง








เสียงหัวร่อต่อกระซิกที่ดังมาจากห้องกินข้าวทำให้ผมอดเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงนใจไม่ได้ ปกติแล้วบ้านผมนั้นไร้ชีวิตชีวาจะตาย เสียงหัวเราะที่ดังก้องออกมาจนได้ยินไปทั่วบริเวณแบบนี้นี่...ไม่ได้ยินมานานมากแล้ว


คิดถึง...เหมือนกันนะ


“อ้าวคุณอีฟส์ วันนี้ลงมาสายกว่าปกตินะคะ”


น้ำเสียงอ่อนโยนคุ้นหูที่เอ่ยทักขึ้นทำให้ผมรีบหันไปมองพร้อมส่งยิ้มกว้างไปให้ คนตรงหน้าผมอยู่ในชุดเครื่องแบบเรียบร้อยไม่ได้แตกต่างจากแม่บ้านคนอื่นในบ้านหลังนี้ จะมีก็เพียงรอยยิ้มเอ็นดูที่ส่งมาให้นั่นล่ะที่แตกต่าง


“พอดีผมเจ็บขาน่ะครับป้าแก้ว ก็เลยจัดการตัวเองช้าไปหน่อย”


“พุธโธ พุทธัง เจ็บมากไหมคะคุณหนู”


คำเรียกที่แม้จะขอให้คนตรงหน้าเลิกเรียกกี่ครั้งก็ไม่เป็นผลสำเร็จนั้นทำเอาผมเผลออมยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้


“แค่นี้เองครับ ไกลหัวใจเยอะเลย”


ทันทีที่ได้ยินคำตอบของผม หญิงชราตรงหน้าก็พลันส่ายหน้าช้าๆ


“คุณหนูนี่ซนแบบนี้ตลอดเลยนะคะ” เธอเอ็ดผมไม่จริงจังนัก “มาค่ะ มานั่งตรงนี้ เดี๋ยวป้าไปหาอะไรออกมาให้ทาน”


เธอว่าอย่างนั้นพลางกึ่งจูงกึ่งพยุงผมไปนั่งที่โซฟารับแขกก่อนจะเดินหายลับไปในห้องกินข้าว


ผมมองตามแผ่นหลังที่เริ่มคู้ค่อมของผู้หญิงที่ผมนับถือเสมือนแม่คนที่สองไปจนลับตาก่อนจะดึงตัวเองกลับมามองหนังสือพิมพ์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเล็กๆ ตรงหน้า ยังไม่ทันที่มือของผมกำลังจะแตะเข้ากับหนังสือพิมพ์ฉบับบนสุด ก็พลันโดนขัดจังหวะเข้าเสียก่อน


“อีฟส์ เจ็บขามากเหรอลูก ไปทำงานไหวไหม”


แม่ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องกินข้าวเอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยเหมือนทุกครั้งที่เคยได้ยิน เธอปรี่เข้ามานั่งลงบนที่ว่างข้างๆ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวผมช้า


แม่เป็นแบบนี้มาตลอด ทั้งขี้กังวลและขี้เป็นห่วงจนบางครั้งอาจจะดูจู้จี้ แต่ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะหวังดี ผมรับรู้ความจริงข้อนี้มาได้นานแล้ว และมันก็ไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่ที่จะโดนหวงและห่วงในสมัยที่ยังเป็นเด็ก แต่พอโดนทำแบบนี้ตอนอายุสามสิบแล้วมันก็อดรู้สึกประดักประเดิดขึ้นมาไม่ได้เลยจริงๆ


“ไม่ต้องกังวลหรอกครับแม่ แค่นี้เอง อีฟส์ทำได้สบายมาก”


“สบายที่ไหนกัน ป้าแก้วบอกเจ็บขาจนเดินเข้าไปในห้องกินข้าวไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”


“ใช่ที่ไหนล่ะแม่” ผมว่าพลางหัวเราะ “ป้าแก้วต่างหากที่กลัวผมลำบากก็เลยให้มานั่งตรงนี้แทน”


“ก็ถูกของป้าเขาไหมล่ะลูก เรายังเจ็บอยู่เลยนะ ลาสักวันเถอะ”


“ได้ที่ไหนเล่าแม่ แค่ตอนนี้คนก็ไม่ค่อยพออยู่แล้ว ขืนลาไปโดนตัดเงินเดือนตายเลย”


“โดนตัดไปก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ลูก ถ้าเขาเคี่ยวนักก็ลาออกมาทำกิจการบ้านเรา ค่อยๆ เรียนรู้ไปก็ได้นะลูก”


คำพูดของแม่ที่เอ่ยออกมาทำให้รอยยิ้มของผมค่อยๆ หุบลง


“ถ้างานตอนนี้มันลำบากมากนัก แม่ว่าออกมาทำงานของบ้านเรามันน่าจะดีกว่า...”


“สุดท้ายแม่ก็ไม่เห็นต่างจากพ่อเลย”


คำพูดของผมที่โพล่งขึ้นมาขัดแม่ทำให้ทุกสรรพสิ่งหยุดชะงัก ไม่ใช่แค่แม่ที่หยุดพูด แต่จากหางตา ผมเห็นป้าแก้วกับเด็กหนุ่มที่ยืนชะงักค้างอยู่ข้างๆ กันตรงหน้าประตูห้องกินข้าว พวกเขามีท่าทีเลิ่กลั่กเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ถอยร่นออกไปยืนอยู่ไกลๆ
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้ว เพราะผมจะได้ไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่ผมกำลังจะพูดมากนัก


“ทั้งแม่ ทั้งพ่อ ไม่เห็นมีใครเข้าใจผมเลยสักคน ไม่เห็นมีใครเคารพการตัดสินใจของผมเลย”


“อีฟส์ อย่าเพิ่งโวยวาย ฟังแม่ก่อนสิลูก...”


“อีฟส์ฟังมามากพอแล้วแม่ แม่อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะว่าแม่คุยกับพ่อไว้ว่ายังไง” ดวงตาของผมสบลึกเข้าไปในตาของคนตรงหน้า “แม่บอกพ่อว่าให้ปล่อยผมไปก่อน แล้วแม่จะพยายามตะล่อมให้ผมกลับมารับงานที่บ้านต่อใช่ไหมล่ะ”


สิ้นประโยคของผม แม่ก็พลันหลบตาไปแล้วไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ เพราะแบบนั้นผมจึงได้โอกาสพูดต่อ


“ผมเคยคิดว่าแม่เข้าใจผมนะ...” ผมเว้นจังหวะไว้กะจะพูดอะไรบางอย่างออกมาในตอนแรก แต่โชคดีที่หางตาดันเห็นปฏิกิริยาบางอย่างจากคนที่อยู่ไกลๆ เสียก่อน ผมเลยยั้งปากตัวเองเอาไว้ได้ทัน


นัยน์ตาของผมเบนจากแม่ไปสบเข้ากับดวงตาคมของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ไกลๆ ใบหน้าหล่อเหลานั้นส่ายไปมาช้าๆ ราวกับเป็นสัญญาณว่าผมไม่ควรจะทำอะไรมากไปกว่านี้ ทั้งที่จริงแล้ว ระยะห่างระหว่างผมกับเขาก็มากพอสมควร...มากพอที่จะทำให้เขาไม่ได้ยินอะไรเลย และผมมั่นใจมากว่าตัวเองไม่ใช่คนพูดเสียงดัง ไม่รู้ทำไมเขาถึงส่ายหน้าห้ามผมขึ้นมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะขนาดนี้


ช่างเถอะ จะอะไรก็ช่าง ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว


ลมหายใจหนักๆ ถูกพ่นออกมาช้าๆ


“ผมขอโทษครับแม่” ผมยกมือขึ้นไหว้คนตรงหน้า “ยังไง...ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”


ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับเด็กหนุ่มที่ยืนห่างออกไป ทันทีที่เห็นสัญญาณจากผม เด็กคนนั้นก็รีบปรี่พาตัวเองมาบอกลาแม่ผมที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาก่อนจะอาสาเข้ามาช่วยพยุงตัวผมออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว


ไม่มีคำถาม ไม่มีท่าทางสงสัย คนที่พยุงผมอยู่ไม่แม้แต่คิดจะคาดคั้นผมออกมาด้วยซ้ำ เด็กคนนั้นทำเพียงแค่จับผมใส่หมวกกันน็อก พยุงผมขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์จากนั้นก็รีบขับออกไปอย่างรวดเร็ว


เพียงไม่นาน สายลมเย็นๆ ยามเช้าก็พลันพัดกรูเข้ามาปะทะร่าง


เพียงไม่นาน พวกเราก็ออกมาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับไปเพียงเพื่อพูดปรับความเข้าใจกัน


สุดท้าย...ผมก็ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ด้านหลังแล้ววิ่งหนีมาอีกตามเคย...





****************************************************************************





เดอะบลูดานูบ (The Blue Danube)


เป็นชื่อที่รู้จักกันทั่วไปของ An der schönen blauen Donau op. 314 (On the Beautiful Blue Danube) เพลงวอลต์ซโดยโยฮันน์ ชเตราสส์ ที่สอง แต่งขึ้นในปี ค.ศ. 1866 และแสดงครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1867 ที่สมาคมนักร้องประสานเสียงแห่งเวียนนา กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเพลงคลาสสิกที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด และถูกจัดให้เป็นเพลงชาติอย่างไม่เป็นทางการของประเทศออสเตรีย


ที่มา: เดอะบลูดานูบ


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ทำไมชีวิตพี่อีฟส์มันดูขมขื่นแบบนี้ พี่อีฟส์เคยรู้จักน้องมาก่อนใช่ไหม แต่ทำไมจำไม่ได้  :hao5:

ออฟไลน์ UnisonMinor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ดีใจที่เห็นคนรักเพลงคลาสสิคเหมือนกันครับ อ่านเพลินมาก ๆ
แอบสงสัยว่าชื่อนายเอกนี่จงใจให้อ่านว่าอีฟ หรือว่าควรเป็น ไอฟ์ แบบ ชารล์ส ไอฟ์ ตามชื่อเรื่อง

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
ดีใจที่เห็นคนรักเพลงคลาสสิคเหมือนกันครับ อ่านเพลินมาก ๆ
แอบสงสัยว่าชื่อนายเอกนี่จงใจให้อ่านว่าอีฟ หรือว่าควรเป็น ไอฟ์ แบบ ชารล์ส ไอฟ์ ตามชื่อเรื่อง



ฮือ ดีใจ ในที่สุดก็มีคนทักแล้ว ใจจริงเราตั้งใจให้ออกเสียงว่าอีฟส์แต่เขียนเหมือนไอฟส์ตามชื่อของชารล์ส ไอฟส์เลยค่ะ อยากให้ออกมาในรูปแบบของคำที่พ้องรูปแต่ไม่พ้องเสียงค่ะ ตอนแรกก็แอบคิดว่าอาจจะไม่ได้เหมือนกัน แต่เพราะเป็นชื่อเฉพาะด้วย และเป็นตัว I ด้วยก็เลยคิดว่าน่าจะออกเสียงเป็นอีฟส์ได้อยู่น่ะค่ะ ไอเดียชื่อแบบนี้เราได้มาจากเพื่อนที่ชื่ออีฟค่ะ ชื่อของเขาเขียนแบบ Eva ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าออกเสียงว่าอีฟ แต่เพื่อนคนอื่นกลับอ่านชื่อเขาออกมาได้หลากหลายมากเลยค่ะ บางคนก็อ่านอีฟ บางคนก็อ่านอีว่า บางคนอ่านเป็นเอว่าไปเลยก็มี เลยคิดว่าน่าจะลองเอามาเล่นกับในเรื่องนี้ดูบ้าง ก็เลยกลายเป็นแบบนี้ไปค่ะ อาจจะทำให้ตะขิดตะขวงใจตอนอ่านไปบ้างต้องขอโทษด้วยนะคะ เพราะจริงๆ เวลาเห็นชื่อเรื่องตัวเองเราก็มักจะออกเสียงเป็นไอฟส์เหมือนกันค่ะ 555555555


ตอนแรกเราก็อยากให้ชื่อไอฟส์เหมือนกันค่ะ แต่กลัวพฤติกรรมตัวละครบางอย่างจะไม่เหมาะสมแล้วไปพ้องกับชื่อคุณไอฟส์เข้าเลยเลี่ยงเล่นเป็นคำพ้องรูปน่าจะดีกว่าน่ะค่ะ เซฟตัวเองสุดๆ ไปเลย 55555555


ขอบคุณนะคะที่ทักท้วงเข้ามา ทำให้ได้เปิดพื้นที่ให้เราได้อธิบายนักอ่านคนอื่นๆ ไปพร้อมๆ กันเลย :pig4: :pig4:

   



ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 13 - Nocturne op.9 No.2






มีคนเคยบอกไว้ว่า คนเราสามารถเป็นอะไรก็ได้ตราบใดที่ยังมีความพยายามและไม่ยอม ถ้าสู้จนถึงที่สุด สักวันความพยายามนั้นจะเกิดผลงอกงาม


ไม่จริงหรอก


ผมขอยืนยันตรงนี้เลยว่าไม่ใช่ทุกเรื่องที่สามารถแก้ไขได้ด้วยความพยายามหรอกนะ โดยเฉพาะด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่นน่ะ เอาตรรกะตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกไปโยนทิ้งถังขี้ได้เลย...


“ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนเถอะนะพี่ สีหน้าพี่ดูไม่ดีเลยนะ”


น้ำเสียงเว้าวอนออดอ้อนจนแทบจะกลายเป็นขอร้องที่ถูกเปล่งขึ้นซ้ำไปซ้ำมาเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็เกินจะนับส่งผลให้ผมยกยิ้มขึ้นช้าๆ พร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ อีกครั้ง


ส่ายหน้าไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้


“ไม่ต้องเลย พี่อยู่ได้”


“อยู่ได้ไงอะพี่ หน้าพี่โคตรซีดเลย ให้ผมพาไปหาอะไรกินเถอะนะ เหลือเวลาก่อนเข้างานอีกตั้งเกือบชั่วโมง”


ท่าทางดื้อด้านไม่ยอมฟังทำให้ผมเผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่...ใหญ่พอจะทำให้อีกคนโวยวายขึ้นมาได้มากกว่าเก่า


“นั่นไง พี่ถอนหายใจอีกแล้ว เครียดมากใช่ไหมพี่”


เครียดกับมึงนี่ล่ะ


ถึงใจมันอยากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ยังไงก็ทำไม่ได้ อย่างไรการรักษาน้ำใจคนพูดก็ถือเป็นมารยาทขั้นพื้นฐานทางสังคมอยู่แล้ว ให้พูดตามที่ใจคิดทุกเรื่องก็คงไม่ได้


นั่นสินะ งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน


“วันนี้เรามีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ”


ทันทีที่ฟังคำผมจบ คนที่กำลังโวยวายอยู่เมื่อครู่ก็นิ่งค้างไปอึดใจใหญ่ๆ ก่อนจะกลับมาพูดต่อได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“เรื่องเรียนน่ะช่างมันเถอะพี่ ยังไงพี่ก็...”


“ไวท์”


เสียงเรียกชื่อที่โพล่งขึ้นมาทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบทำให้คนที่กำลังพูดเจื้อยแจ้วอยู่เมื่อครู่ชะงัก ในทีแรกเขาทำท่าจะอ้าปากถามขึ้นมาแล้วว่าผมเรียกชื่อเขาขึ้นมาทำไม แต่พอได้สบตากัน ริมฝีปากสวยที่อ้าค้างไว้ก็ค่อยๆ ปิดลง


ดวงตาของเขาสบลึกเข้ามาในตาของผมด้วยแววตาไร้ประกายต่างจากปกติ


“รู้แล้วน่า พูดเหมือนไม่เห็นความสำคัญของการเรียนแบบนั้น พี่ไม่ชอบใช่ไหมล่ะ”


ผมพยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบแล้วไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก คงเพราะแบบนั้นอีกฝ่ายก็เลยได้โอกาสบ่นกระปอดกระแปดต่อ


“ที่พูดไปน่ะ ไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นความสำคัญของการศึกษานะพี่ แต่พี่สำคัญกว่างะ...”


“ไวท์”


ผมขัดเขาขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมไม่ได้ทำเพียงแค่แทรกขึ้นมาเหมือนอย่างทุกที


“ไวท์จะบอกว่าการอยู่ปลอบพี่สำคัญกว่าอนาคตของตัวเองรึไง”


นัยน์ตาคู่คมเบิกโพล่งขึ้นเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


“จะว่าพี่ว่าหัวโบราณหรือเข้มงวดไปก็ได้นะ แต่สำหรับพี่ การศึกษาคือทุกสิ่งทุกอย่างที่จะกำหนดชีวิตที่เหลือของเราในอนาคต เพราะฉะนั้น...”


ผมสบตาเขานิ่ง


“ไปเรียนซะ อนาคตแกรออยู่ที่นู่น ไม่ใช่ที่นี่ หัดคิดถึงตัวเองในอนาคตให้มากๆ หน่อยสิ เอาแต่คิดถึงคนอื่นตลอดแบบนี้ก็แย่พอดี”


คนถูกสอนเหลือบตามองผมเล็กน้อยก่อนจะเบนหนีไปอย่างรวดเร็วราวกับเด็กๆ ที่กลัวถูกดุ แต่ก็ยังไม่วายบ่นพึมพำออกมาตามประสา


“บ่นเป็นแม่เลยอะพี่”


“เออ อีกนิดจะบ่นเป็นอากงแล้ว”


เขาหันมามองผมพร้อมทำสีหน้าแหยงๆ ใส่อย่างจงใจ


“มุกไรพี่เนี่ย”


“ไม่ใช่มุก กูบ่นจริง”


ผมว่าอย่างนั้นพลางฟาดแขนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเบาๆ


“ไปเรียนได้แล้วเดี๋ยวสาย”


“รีบทำไมเล่าพี่ มหาลัยอยู่แค่เนี่ย ขับรถไปห้านาทีก็ถึง”


“แล้วทำไมต้องรอเวลาจวนเจียนเล่า จะไปก่อนเวลาเรียนไม่ได้เลยรึไงหืม?”


“แหน่ะ ไล่เก่งเลย ชาติก่อนเป็นหุ่นไล่กาไหมเนี่ย”


ไม่ต้องรอให้คิดต่อ มือของผมก็พลันเอื้อมไปตีมืออีกคนไม่เบานัก


“โอ๊ย เจ็บนะพี่”


“ก็ตีให้เจ็บไง” ผมถลึงตา “นับวันยิ่งลามปามนักไอ้เด็กคนนี้นี่”


“ขอโทษครับผม”


ไม่ว่าเปล่า ยังทำหน้าหงอยๆ ส่งมาให้ด้วย


“ก็เป็นห่วงพี่อะ”


น้ำเสียงสำนึกผิดพร้อมท่าทีหูลู่หางตกแบบนี้มัน...


ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


ใครมันจะไปดุต่อได้ลงละวะนั่น


“เอาเถอะๆ เลิกงอแงแล้วไปเรียนได้แล้ว อย่าให้พ่อให้แม่เรามาว่าว่าพี่ทำให้เราเสียการเรียน”


นัยน์ตาดำขลับนั้นเหลือบมองผมเล็กน้อยก่อนจะหลุบตาก้มหน้าลงรับคำเบาๆ


“ครับ”


พอพูดจบเจ้าตัวก็ลุกขึ้นหยิบข้าวหยิบของด้วยท่าทางไร้เรี่ยวแรงก่อนจะเดินตัวลีบๆ ไปยังประตูทางออกของห้องพักพนักงานช้าๆ


ให้ตายสิน้า....


“นี่”


เสียงเรียกของผมทำให้เขาที่กำลังจะเดินออกไปจากห้องต้องหันมามอง ใบหน้านั้นดูหมองหม่นน่าสงสาร ทำเอาผมพลอยใจคอไม่ดีตามไปด้วย จากตอนแรกที่ตั้งใจจะบอกว่าให้ตั้งใจเรียนก็กลับกลายเป็นพูดไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น


สงสัยคงดุแรงไปหน่อยจริงๆ สินะ...เอาวะ พูดสิ่งที่คิดออกไปบ้างสักนิดสักหน่อยคงไม่เป็นไร


“ที่บอกว่าเป็นห่วงน่ะ...” นัยน์ตาผมหลุบลงด้วยไม่กล้าสบตาคู่สนทนาสักเท่าไหร่ “ขอบคุณนะ”


ในทีแรกผมกะเอาไว้ว่าอีกฝ่ายคงต้องยิ้มกว้างแล้วพูดอะไรต่อมิอะไรออกมาเสียยกใหญ่ แต่ความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง


ทำไมถึงเงียบสนิทแบบนี้ล่ะ


ด้วยเพราะทนความสงสัยไม่ไหว ผมจึงยอมเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อมองไปยังอีกคนที่ยืนห่างออกไปไม่มากนัก จริงๆ ก็ยอมรับว่าแอบกลัว...กลัวว่าน้องมันจะมองเป็นคำพูดเลี่ยนๆ ชวนอ้วก กลัวจะได้ปฏิกิริยาไม่ดีกลับมา แต่เหมือนผมจะประเมินน้องมันต่ำไปสักหน่อย...


“ดีใจนะครับ”


น้ำเสียงของอีกฝ่ายทั้งทุ้มทั้งเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงสามารถจับใจความได้ทุกคำไม่มีขาด


“ดีใจมากๆ ที่ในที่สุดพี่ก็ยอมพูด...”


รอยยิ้มที่ฉาบบนใบหน้าหล่อเหลานั้นต่างไปจากทุกที ปกติแล้วเขามักจะยิ้มสดใสไม่ก็ทะเล้นอยู่เสมอ แต่รอยยิ้มอ่อนโยนจริงจัง


แบบนี้...ไม่คุ้นเลยจริงๆ


ไหนจะเรื่องคำพูดคำจาอีก มันไม่ประหลาดไปหน่อยเหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงลดระดับเสียงลงจนเบาหวิวขนาดนั้นล่ะ จากเดิมที่ยังได้ยินอยู่ดีๆ แต่พอท้ายประโยคกลับไม่ได้ยินอะไรเลย


เหตุการณ์แบบนี้...เหมือนเคยเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เลยแฮะ


“ยังไงผมขอตัวไปเรียนก่อนนะครับ เรียนเสร็จเมื่อไหร่จะรีบมาเข้ากะทันทีเลยครับ สวัสดีครับ”


ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดหรือถามอะไรออกมาอย่างที่ใจคิด เด็กหนุ่มคนนั้นก็พลันชิงหายตัวไปเสียก่อน สุดท้ายแล้วก็เลยไม่ได้รู้อะไรเหมือนอย่างเคย


เหตุการณ์แบบนี้...ชวนสังหรณ์ใจยังไงก็ไม่รู้


‘.....มันจะไม่มีครั้งที่สองอีกแล้วล่ะครับ’


‘ดีใจมากๆ ที่ในที่สุดพี่ก็ยอมพูด...’



เหมือนเคย...ได้ยินคำพูดแบบนี้ที่ไหนมาก่อนเลย แต่ทำไมถึงนึกไม่ออกกันนะ


ผมเอนตัวพิงพนักเก้าอี้พลางเงยหน้ามองฝ้าเพดานสีขาวด้านบน ความว่างเปล่าที่เห็นตรงหน้าช่วยให้จิตใจที่ว้าวุ่นของผมสงบลงได้เล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคาใจ ยังมีบางอย่างที่ชวนให้รู้สึกกังวลใจชอบกล


ไม่รู้คิดมากไปเองรึเปล่า แต่ตอนนี้รู้สึกราวกับว่า...กำลังถูกอดีตที่ตัวเองพยายามวิ่งหนีมาตลอดไล่ตามอย่างไรอย่างนั้นเลย


แขนสองข้างที่ปล่อยแนบไว้ข้างลำตัวเมื่อครู่ถูกชูขึ้นมาเหนือหัวแล้วค้างไว้อย่างนั้น ปล่อยให้ดวงตาได้ทำหน้าที่ของมัน ปล่อยให้มันได้บันทึกภาพนี้ฝังเอาไว้ในสมองอีกครั้ง


ภาพของแขนที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นขาวไม่น่าดูนี้เห็นมากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ จะบอกว่าชินแล้วก็คงไม่ผิดอะไร สีผิวหนังที่ไม่เสมอกันจากการถูกไฟลวกผิวอย่างรุนแรงเสียหายหนักไปทั้งแขน แต่ถ้าร้ายแรงสุดตอนนั้นก็คงจะเป็นที่มือสองข้างนี่ล่ะมั้ง...


‘กระดูกนิ้วแหลกละเอียด แค่รักษาให้กลับมาใช้ชีวิตปกติก็สุดความสามารถแล้วครับ ญาติกรุณาเข้าใจด้วยนะครับ’


เรื่องแบบนั้นน่ะ ไม่ต้องให้ใครมาบอกก็เข้าใจอยู่แล้ว เข้าใจทุกอย่างตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าตัวเองมีสายนู่นสายนี่ยึดร่างอยู่เต็มไปหมดแล้ว เข้าใจอยู่แล้วว่าต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิต ก็คงไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิม


เวลา...ไม่มีวันเดินย้อนกลับอยู่แล้ว


‘อย่างไรเสียหมอก็อยากให้ญาติทำใจเสียแต่เนิ่นๆ ว่าคนไข้คงกลับไปเล่นไวโอลินอาชีพได้ลำบากแล้ว อยากให้เตรียมคำพูดสำหรับบอกคนไข้ไว้ด้วยน่ะครับ หมออยากให้เขารู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่อย่างนั้นคนไข้อาจจะรับไม่ได้’


เฮอะ


ผมแค่นหัวเราะในคอเบาๆ ก่อนจะดึงมือกลับลงมาแล้วเปลี่ยนกลับมานั่งในท่าปกติ


รับไม่ได้งั้นเหรอ ค่อยเป็นค่อยไปงั้นเหรอ เรื่องพวกนั้นน่ะ ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ต่อให้ใช้เวลาอีกสิบปี ยี่สิบปีหรือทั้งชีวิต มันก็ไม่มีวันพอที่จะทำให้ยอมรับได้ว่าตัวเองไม่มีวันกลับไปทำสิ่งที่รักได้อีกแล้ว เรื่องที่จะให้มาทำใจยอมรับว่าสิ่งที่ตัวเองพยายามมาตลอดมันไม่มีประโยชน์เพราะความโง่เขลาของตัวเอง เรื่องที่จะให้มาทำใจยอมรับว่าตัวเองในอดีตคือคนที่ทำลายตัวเองในปัจจุบันเสียจนป่นปี้ เรื่องที่ว่าถ้าจะต้องโทษใครสักคนที่ทำให้ชีวิตเป็นแบบนี้ ก็มีแต่ต้องโทษตัวเองเท่านั้นน่ะ...


...ให้ตายก็ไม่มีวันยอมรับได้หรอก...


ไม่มีวัน...ไม่มีวันเลย...










เสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังครืดคราดน่าหนวกหูอยู่เหนือฝ้าเพดานทำให้ผมต้องละสายตาจากเอกสารตรงหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้เงยหน้ามองจนคอเคล็ดก็ไม่มีประโยชน์แต่ก็ยังสู้อุตส่าห์ทำอยู่ซ้ำๆ แบบนี้ จะถูกเรียกว่าไม่กระตือรือร้นก็คงไม่ผิดอะไร


แต่ใครจะมาเรียกล่ะ ในเมื่อตอนนี้แทบไม่มีใครอยู่เลยสักคน


ผมเปลี่ยนองศาของใบหน้าตัวเองมากวาดตาไปรอบๆ บริเวณที่ว่างเปล่า


ทั้งว่างเปล่าและเงียบสนิทอย่างกับป่าช้า ไม่สิ เผลอๆ ป่าช้ายังจะวุ่นวายกว่าที่นี่เสียอีก


ดวงตาผมเหลือบไปมองปฏิทินที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็อดจะถอนหายใจออกมาไม่ได้


ทั้งที่ยังเป็นช่วงที่มีโปรโมชั่นอยู่แท้ๆ แต่คนกลับน้อยขนาดนี้ สถานการณ์ของหอแสดงนี่ ท่าทางจะแย่เต็มทนแล้วสินะ


‘ถ้างานตอนนี้มันลำบากมากนัก แม่ว่าออกมาทำงานของบ้านเรามันน่าจะดีกว่า...’


นั่นสินะ สิ่งที่แม่พูดมาน่ะถูกต้องที่สุดแล้ว ทั้งที่ถ้ายอมรับช่วงกิจการที่บ้านไปให้มันจบๆ ก็คงไม่ต้องมามีสภาพน่าหนักใจแบบนี้แท้ๆ


ทั้งที่ถ้ายอมรับไปแต่แรก ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็คงดีกว่านี้แล้วแท้ๆ ...


ทำไมเรื่องที่อยากทำกับเรื่องที่ควรทำถึงไม่เป็นเรื่องเดียวกันนะ พระเจ้าท่าทางจะเกลียดผมเอาเรื่องเลยนะเนี่ย...


“อีฟส์!”


“เหี้ย!”


เสียงร้องทักที่ดังขึ้นมาไม่ให้สุ่มให้เสียงจากทางด้านหลังทำเอาผมเผลออุทานคำหยาบคายออกมาเสียดังลั่นจนแทบตะครุบปากไว้ไม่ทัน แต่ดูเหมือนว่าตัวต้นเหตุจะไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนไปด้วยเลยสักนิด ซ้ำยังเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ ผมพลางหัวเราะลั่นอย่างมีความสุขใส่อีก


ถ้าไม่ติดว่าเป็นพี่นะ...


“ดูทำหน้าเข้าสิ โกรธพี่รึไง”


“ไม่โกรธหรอกพี่ ตกใจมากกว่า”


“โถหยอกเล่นนิดเดียว ขวัญอ่อนจริงนะ ขวัญเอ๊ยขวัญมา”


เขาแซวเล่นซ้ำพลางหัวเราะร่วนอย่างมีความสุขเหมือนในยามปกติ ไม่สิ เผลอๆ จะมากกว่าปกติด้วยซ้ำ


นั่นสินะ ลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิทเลย...


“ลูกกับภรรยาเป็นไงบ้างครับพี่”


ทันทีที่ได้ฟังประโยคคำถาม ใบหน้ายิ้มแย้มของคนตรงหน้าก็เหมือนจะเปล่งประกายมากขึ้นไปอีก


“ปลอดภัยทั้งคู่ ต้องขอบใจเรานั่นล่ะ”


“ยินดีครับพี่ ว่าแต่ลูกสาวลูกชายเหรอครับ”


“ลูกสาวน่ะ ตอนคลอดออกมาหนักตั้งสามโลกว่าแหน่ะ”


“สุขภาพดีนะครับเนี่ย”


“ใช่ไหมล่ะ ตอนเห็นในภาพอัลตร้าซาวด์ก็ตัวนิดเดียวเองน่ะ แต่พอผ่าออกมานะ...”


น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายวัยกลางคนตรงหน้าผมฟังดูมีชีวิตชีวากว่าทุกวัน ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกาย รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขแบบนั้น...


อยากรู้จังว่าวันที่ผมคลอดออกมา พ่อกับแม่จะมีท่าทางแบบนี้ไหมนะ


จะเสียใจรึเปล่าที่ได้ลูกผู้ชาย จะดีใจไหมที่ผมน้ำหนักมากกว่าสามกิโล ท่าทางของพ่อแม่ในตอนนั้น จะเป็นเหมือนพี่ชัยในตอนนี้รึเปล่านะ


อยากรู้จังเลย


“แต่ก็นะ คลอดออกมาครบสามสิบสอง ร่างกายแข็งแรงก็ดีแล้ว ถึงผมจะน้อยไปหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกเนอะ”


ผมหัวเราะลั่นให้กับคำแซวลูกสาวตัวเองของคนตรงหน้า


พี่ชัยนี่มันพี่ชัยจริงๆ สินะ ทั้งที่เป็นพ่อคนแล้ว แต่ก็ยังทำตัวสนุกสนานได้ไม่เปลี่ยนเลย


...ดีจริงๆ ...


“แล้วเราล่ะอีฟส์ ไม่คิดจะตบจะแต่งกับใครเขาหน่อยเหรอ”


อา...มาอีกแล้วสินะหัวข้อนี้


“พี่ชัย พี่ถามผมเรื่องนี้มากี่ปีแล้ว ผมเคยมีแฟนให้พี่เห็นบ้างไหมล่ะ”


“อ้าว ก็ไม่เคยเห็นไงถึงได้ถาม แหน่ะ หรือแอบซุกกิ๊ก เลี้ยงนักศึกษาไหมเนี่ยเราน่ะ ระวังพ่อแม่เขามาตีหัวเอานะโว้ย”


“ไปใหญ่แล้วพี่” ผมหัวเราะ “ผมจะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงใคร ลำพังเลี้ยงตัวเองยังลำบากเลย”


ปกติแล้วพอผมชงมุกไปแบบนี้ สิ่งที่ได้รับกลับมาก็ควรจะเป็นคำพูดติดตลกอย่าง ‘เออ พี่ก็ไม่มีเหมือนกัน’ ไม่ก็คำแซวเล่นๆ อย่าง ‘โห จนว่ะ ไม่คุยด้วยแล้วนะ’ อะไรทำนองนั้น แต่มาคราวนี้กลับต่างไปจากทุกทีอย่างสิ้นเชิง


ใบหน้าที่มีรอยยิ้มกว้างเมื่อครู่ค่อยๆ เปลี่ยนไปจนกลับกลายเป็นใบหน้าที่ถูกฉาบด้วยความเหนื่อยล้าและหม่นหมองเสียจนผมเองยังตกใจ


ทำไมกันล่ะ ทั้งที่เมื่อกี้นี้ยังดีๆ อยู่เลย


“พี่ชัย พี่โอเคไหม”


เขาหันมามองหน้าผมก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ


“จะว่ายังไงดีล่ะ จริงๆ พี่ก็คิดเรื่องนี้มาสักพักแล้วล่ะ แต่ไม่รู้จะบอกแกยังไงดี”


คำพูดนั้นถูกเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนอย่างทุกที แต่ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังบอกผมว่าสิ่งที่ตาเห็นมันไม่ใช่ทั้งหมด
ยังมีบางอย่างซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีไม่ทุกข์ร้อนนั้น...บางอย่างที่ผมไม่ปรารถนา


“พี่ว่า พี่น่าจะลาออกแล้วล่ะ”


“ฮะ?”


“พี่มาคิดๆ ดูแล้ว ลำพังเงินเดือนที่มีอยู่ตอนนี้คงไม่พอที่จะดูแลครอบครัว หลังจากนี้ลูกพี่ก็จะโตขึ้น ต้องเข้าโรงเรียน เข้าสังคม เงินที่ต้องใช้ก็ไม่ใช่น้อยๆ ลำพังรายรับของครอบครัวพี่ตอนนี้คงไม่พอ พี่อยากให้ลูกพี่เติบโตมาด้วยความพร้อม ไม่ใช่ความขัดสน อีฟส์เข้าใจพี่ใช่ไหม”


จะว่าเข้าใจมันก็เข้าใจอยู่หรอก แต่ว่า...


“อีกอย่างนะอีฟส์ ที่นี่ก็คง...อยู่ได้อีกไม่นานแล้วล่ะ ไม่เกินสองปี ยังไงเสียก็คงต้องปิดตัวลงอยู่ดี สู้ออกไปหางานใหม่เสียตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า ถึงเวลาจะได้ไม่เคว้งคว้างไง”


เรื่องแบบนั้นก็เข้าใจได้อยู่หรอก แต่ว่า...แต่ว่า...


“ที่สำคัญนะ...”


“แล้วเรื่องดนตรีคลาสสิคล่ะครับพี่”


“เอ๊ะ?”


ผมสบลึกเข้าไปในตาของคนที่ยังดูสับสนก่อนจะพูดย้ำออกมาอีกครั้ง


“แล้วเรื่องดนตรีคลาสสิคที่พี่ชอบล่ะครับ พี่เคยบอกผมว่าพี่ดีใจที่ได้ทำงานที่นี่เพราะจะได้อยู่กับเพลงคลาสสิคไม่ใช่เหรอครับ”
ทั้งที่ตอนนั้นอุตส่าห์ดีใจที่ได้เจอคนที่เหมือนกันแล้วแท้ๆ แล้วทำไมมาตอนนี้ถึงได้ละทิ้งความฝันนั้นไปเสียล่ะ ทำไมถึง...


“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะเหรอ”


เขาพูดขึ้นมาก่อนจะระบายยิ้มออกมาบางๆ แล้วสบตาผมกลับมาด้วยแววตาที่อ่อนโยนลง...แววตานั้นเหมือนกับทุกครั้งที่เขาพูดถึงเพลงคลาสสิค แววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและศรัทธา


ทั้งที่แววตานั้นยังเหมือนเดิมแท้ๆ แล้วทำไมล่ะ...


“ฟังพี่นะอีฟส์” เขาเริ่ม “บางครั้งคนเราก็ต้องเลือกระหว่างสิ่งที่อยากทำกับสิ่งที่ควรทำนะ”


คนสูงวัยกว่าหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะกลับมาพูดต่อ


“พี่น่ะ เมื่อก่อนก็เคยคิดนะว่าเป็นตายร้ายดียังไงก็จะไม่ยอมจากเพลงคลาสสิคไปไหนแน่ แต่พอเอาเข้าจริง...พอเราเริ่มมีคนที่สำคัญเพิ่มเข้ามาในชีวิต มันก็ปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมล่ะว่าเราก็ต้องคิดถึงเขาด้วย”


ใบหน้าของพี่ชัยยังคงเปื้อนด้วยรอยยิ้ม หากมันกลับดูเศร้าพิกล


“ตอนนี้พี่ได้งานใหม่แล้วล่ะ เป็นงานในบริษัทน่ะ ก็อาศัยความรู้ตอนที่เรียนปริญญาตรีมาไปทำ เงินเดือนสูงกว่าที่นี่พอสมควรเลย แต่งานท่าทางจะน่าเบื่อน่าดู”


เขาหัวเราะอีกครั้ง หัวเราะ...ด้วยน้ำเสียงที่ชวนหดหู่ใจจนแทบทนไม่ไหว


“บางครั้งนะอีฟส์ คนเรามันก็มีทางเลือกในชีวิตไม่มากนักหรอก ไม่ทำเพื่อตัวเอง ก็ทำเพื่อคนที่เราเห็นว่าสำคัญ ถ้าเลือกตัวเอง ยังไงใจพี่ก็อยากอยู่ที่นี่ไปจนกว่ากิจการจะปิดกันไปข้างนึงอยู่แล้ว แต่ถ้าต้องเลือกคนสำคัญ...”


เสียงนั้นเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะกลับมาพูดต่อ


“พี่ไม่อยากเห็นคนที่พี่รักลำบากเลยอีฟส์ และพี่ก็ทำใจเห็นไม่ได้ด้วย ก็คิดเสียว่า...เราตามใจตัวเองมาหลายปีดีดักแล้ว หลังจากนี้ก็ถึงเวลากลับไปทำสิ่งที่ควรทำ ใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็นและอยากเป็นในอีกบทบาทนึงบ้าง มันก็เท่านั้นล่ะ”


แล้วบทสนทนาของเราก็จบลงตรงนั้น ไม่มีใครพูดอะไรขัด ไม่มีใครพูดอะไรเสริม สิ่งที่พวกเราทำมีเพียงการนั่งนิ่งอยู่ด้วยกันในห้องโถงที่มีเสียงแอร์ดังครืดคราดน่ารำคาญมาจากฝ้าเพดานด้านบนก็เท่านั้น


อา...นั่นสินะ โลกมันก็เป็นแบบนี้เอง


ไม่ทำเพื่อตัวเอง ก็ต้องทำเพื่อคนอื่น แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเลือกทางไหน เราก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่จะตามมาให้ได้


เพื่อที่จะใช้ชีวิตบนโลกนี้ บางครั้งก็อาจจะต้องเสียสละความฝันและตัวตนไปบ้างสินะ


เรื่องแบบนั้นน่ะ ได้ยินมาจนชินแล้ว


ไอ้เรื่องที่ว่าความฝันกับความจริงจะไปด้วยกันได้ถ้าพยายามมากพอก็ได้ยินมาจนชินแล้วเหมือนกัน แต่ถึงจะได้ยินมามากแค่ไหน รู้วิธีทำมายังไง สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมรับในความจริงที่ว่า...


...บนโลกนี้น่ะ มีสิ่งที่ต่อให้พยายามจนตัวตายก็ไม่มีวันได้มาอยู่เหมือนกัน...






********************************************************************
[เกร็ดความรู้]

น็อกเทิร์น (Nocturne) บทเพลงสำหรับเดี่ยวเปียโนในลักษณะโรแมนติก ให้บรรยากาศยามค่ำคืน ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าน็อกเทิร์นจะเป็นเพลงที่มีแต่ความหวานซึ้ง น็อกเทิร์นบางบทก็มีอารมณ์ที่รุนแรง อาทิ Nocturne op.48 no.1 in c minor, Nocturne op.9 no.3 ดังนั้นน็อกเทิร์นจึงมีความแตกต่างจากลัลลาบาย (lullaby) ซึ่งมีความหมายว่าเพลงกล่อมเด็ก


อย่างไรก็ตามผู้ที่ใช้คำว่า "น็อกเทิร์น" เป็นคนแรกหาใช่ชอแป็งแต่อย่างใด คนที่ใช้คนแรก คือ จอห์น ฟีลด์ (John Field) หากแต่น็อกเทิร์นของชอแป็งนั้นมีความไพเราะและเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากกว่า คำที่ใช้แทนน็อกเทิร์นนั้นได้แก่ "นอตตูร์โน" (notturno)



ที่มา: น็อกเทิร์น





Nocturnes, Op. 9 (Chopin)

น็อกเทิร์นหมายเลข 9 ของชอแป็ง เป็นชุดของเพลงน็อกเทิร์น 3 เพลง เขียนโดยเฟรเดริก ชอแป็ง เพลงที่ 2  ในชุดน็อกเทิร์น(Nocturne op.9 No.2) นี้จัดว่าเป็นหนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุด

ที่มา: แปลจาก Nocturnes, Op. 9 (Chopin)







ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด